กรุ่นกลิ่นรวงข้าว ตอนอวสาน
นางอำไพยกน้ำในขันเงินขึ้นดื่ม ก่อนจะส่งเสียง “อ้า” เบาๆเป็นการแสดงถึงการสิ้นสุดลงของอาหารมื้อนี้
“ทำไมแม่ไพถึงมากับไอ้วิปริตนั่นได้ล่ะ” นายวันเอ่ยขึ้น
“พ่อหนุ่มนั่นไปบอกฉันเอง”
“อ้อ มันคาบไปฟ้องแม่ไพสินะ”
“ใช่ เขาฟ้อง ... แต่ถ้าไม่ไปฟ้องฉันก็ไม่มีทางรู้ว่าว่าพี่ทำอะไรแย่ๆไปบ้าง” นางอำไพเอ่ย พลางชายตามาทางลูกชาย “แกก็ด้วยเจ้าโน ทีเรื่องอย่างนี้ล่ะไม่พูด เห็นฉันเป็นคนอื่นหรือยังไง”
“ก็รู้ไง ว่าถ้าแม่มาแล้วจะเป็นแบบนี้ อีกอย่างผมก็ไม่รู้จะบอกแม่ยังไง”
“แกพูดเหมือนชั้นไม่รู้อะไรๆของแก นี่ไม่ใช่แฟนหนุ่มคนแรกของแกนะ “
“อะไรนะแม่ไพ!!” นายวันอุทานเสียงหลง
“นี่ตาเฒ่า ฉันก็รู้อยู่หรอกนะว่าที่นี่มันบ้านนอก แต่คงไม่ถึงกับไม่มีไฟฟ้าและทีวี เลยไม่รู้ว่าทุกวันนี้โลกมันไปถึงไหนต่อไหน... หลานของแกน่ะมันเป็นชอบผู้ชายมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว “
“แต่ฉันก็รับไม่ได้ที่....”
“รับไม่ได้ก็เรื่องของพี่เถอะ .... ถึงพี่จะรักมันเหมือนลูกยังไงแต่พี่ก็ยังเป็นแค่ลุง ฉันจะไม่พูดหรอกนะว่าพี่ก็เป็นแค่ลุง แต่ฉันก็หวังว่าพี่เองก็คงอยากให้เจ้าโนมันมีความสุขในสิ่งที่มันเป็นไม่ใช่สิ่งที่พี่เห็นว่ามันควรจะเป็นน่ะ”
นายวันถึงกับสะอึกเมื่อเจอผู้เป็นแม่ของหลานยื่นคำขาดเช่นนั้น และนางอำไพก็ไม่ได้เว้นจังหวะให้ชายหัวโบราณตรงหน้าได้อุทธรณ์ด้วย
“แล้วแกล่ะ เจ้าโน... คิดยังไงกับเจ้าลูกชายผู้ใหญ่บ้านนั่น”
.
.
.
“โนหมายความว่ายังไงที่ว่ามันจบแล้วน่ะ” เมฆินทร์ถามด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะด้วยความกลัวต่อคำตอบที่กำลังจะออกจากปากของตรงหน้า
“ผมขอโทษนะครับ” อโณชาหันหลังให้อีกคน
“โอเค .... พี่เข้าใจแล้ว” ชายหนุ่มพยักหน้าช้าๆพร้อมกับดวงตาที่เริ่มร้อนและพร่ามัวด้วยม่านน้ำตา
“ผมขอโทษนะ ที่ไปกรุงเทพโดยไม่บอก คุณอาเค้าพาผมกับแม่ไปเที่ยวตากอากาศกันที่ประจวบน่ะครับ” หนุ่มเมืองกรุงหันมายักคิ้วให้ “นี่คุณอากับแม่ผมเค้าไปเที่ยวกันต่อ ส่วนผมขอกลับมาก่อน”
“คุณอา?”
“ครับ ... แฟนใหม่แม่ผม”
หนุ่มบ้านนาขมวดคิ้วเป็นปมด้วยความฉงน ก่อนจะพูดต่อ “แล้วลุงวัน?”
“ลุงวันก็อยู่ท้ายหมู่บ้านไงครับ” อโณชายิ้มแฉ่งตีรวน
“นี่มันยังไงกันแน่เนี่ยโน”
“ผมก็ไม่รู้สิครับ”
คำพูดของชายหนุ่มแม้จะกำกวม หากแต่สีหน้าของเขานั้นก็คล้ายๆกับเป็นการเฉลยเรื่องราวทั้งหมดอยู่ในที และนั่นก็ทำให้ร่างเล็กนั้นถูกตะครุบด้วยฝีมือของไอ้หนุ่มลูกทุ่ง จนคนในอ้อมกอดดิ้นขยุกขยิกแต่ก็ยังหัววเราะคิกคัก
“หัวเราะอะไร มันไม่ตลกเลยนะ เกือบโดนลูกปืนเจาะพุงไส้แตกแน่ะ”
“ช่วยไม่ได้ อยากทำอะไรไม่คิด”
“ก็เพราะว่ารักน่ะสิ .... ไม่รู้หรือไง” ไม่เพียงแต่คำพูดเท่านั้น เขายังฝากรอยช้ำเบาๆบนแก้มของคนในอ้อมกอดด้วย
“ฮ่าๆๆๆ ไม่รู้ๆ ไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละ”
สายฝนยังคงกระหน่ำซัดฝืนดินอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย เสียงซ่านเซ็นดังกลบเสียงหัวเราะของคนที่กำลังหลบฝนอยู่ในคอกควายแคบๆที่เหมือนจะแคบเกินไปเพราะทั้งคู่ต่างกำลังเบียดกายแนบชิดกันใกล้ขึ้นและแน่นขึ้นเรื่อยๆเหมือนไม่อยากที่จะให้มีช่องว่างซึ่งกันและกัน
.
.
.
ขจรเกียรติเก็บเสื้อผ้าและข้าวของของตนด้วยความเหม่อลอย ถึงแม้ตอนนี้เขาสามารถที่จะเป็นอิสระได้ แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกเหมือนกับไม่มีความสุขที่จะไปจากที่นี่ ราวกับเขาเป็นนกที่ถูกเลี้ยงในกรงมาตั้งแต่เล็กๆและเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในกรงมากกว่าที่จะโบยบินไปสู่อิสระ .... ถึงแม้จะคิดมานานแล้วว่ายังไงก็ต้องกลับไปเรียนให้ได้ หากแต่.... ถ้าคนๆนั้นเลือกที่จะรั้งเขาไว้สักหน่อย หรือพูดเหมือนว่าเขาก็มีความสำคัญ.... เขาคงจะไปจากที่นี่อย่างมีความสุขมากกว่านี้
ชายหนุ่มหิ้วกระเป๋าสะพายใบโตที่บรรจุของส่วนตัวทุกอย่างเอาไว้เดินออกมาจากห้อง นฤบดินทร์กำลังจิบกาแฟอยู่บนโต๊ะอาหารด้วยท่าทีเรียบสงบ เขาเสตามามองเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น
“จะไปแล้วงั้นหรอ งั้นเดี๋ยวชั้นไปส่งที่ บขส. นะ”
“ครับ”
เกษตรอำเภอยกแก้วกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง ก่อนจะวางลงและคว้ากุญแจรถขึ้นมา
“เดี๋ยวครับพี่หน่อง ....พี่ไม่สงสัยหรอว่าทำไมผมถึงกล้ากลับไปกรุงเทพ”
ชายในชุดสีกากีหันไปมองคนที่พูดขึ้น ก่อนจะตอบไป “การที่นายไปที่นั่นมาแล้วครั้งหนึ่ง นั่นก็เป็นการตอบได้แล้วนี่ว่านายจะกลับไปได้อย่างปลอดภัย .... อีกอย่างหนึ่งคือฉันรู้ว่านายน่ะเป็นคนฉลาดมากจนใกล้เคียงกับคำว่าเจ้าเล่ห์ พอๆกับที่ฉันก็รู้ว่าตาพี่เมฆนั่นค่อนข้างฉลาดน้อยใกล้เคียงกับคำว่าทึ่ม .... การที่นายไปลงเรือลำเดียวกับตานั่นเป็นการยืนยันอีกทางว่านายคงได้อะไรกลับมาจากภารกิจครั้งนี้ .... ใช่ไหมล่ะ?”
เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง พลางเกาหัวแก้เก้อ “พี่หน่องเล่าได้เป็นฉากจนผมกลัวเลยนะครับ แต่ผมก็ไม่ได้รังแกพี่เมฆของพี่มากนักหรอกน่า”
“ไม่ใช่ของพี่หรอกจอน เป็นของคนอื่น”
ขจรเกียรติกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เป็นอีกครั้งที่ฝ่ายตรงข้ามทำให้เขารู้สึกเหมือนคนจนตรอก และครั้งนี้ คำพูดของเกษตรอำเภอแห่งบ้านเดิมบางก็กำลังทำให้เขาหวั่นไหว .... เพราะเขาก็ไม่อยากให้คนตรงหน้า ....เป็นของคนอื่นเหมือนกัน
“ถ้าผมจะบอกว่า ผมเองอยากเป็นเจ้าของพี่บ้างล่ะครับ” ขจรเกียรติพูดหลังจากที่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
“นั่นเป็นคำพูดที่ชั้นไม่อยากฟังเลยจอน... โอเค เราอาจจะต่างคนต่างเหงา ต่างคนต่างเข้าใจกัน แต่สำหรับชั้น ... ไม่สิ ไหนๆเราก็ไม่ได้เป็นนายบ่าวกันแล้ว พี่ขอพูดในฐานะพี่ชายของนายคนหนึ่งแล้วกัน พี่ว่ามันยังน้อยเกินไปที่เราจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้ พี่อยากให้จอนอย่าเพิ่งคิดอะไรกับพี่ไปมากกว่านี้ กลับไปที่เก่าที่จอนมาแล้วตั้งใจทำตรงนั้นให้ดีที่สุดเถอะ”
ขจรเกียรติพยักหน้ารับช้าๆด้วยดวงตาที่ชื้นแฉะ “ผมเข้าใจครับ .... ว่าตอนนี้ผมมัน....”
“การศึกษาจะทำให้คนเรามีค่ามากขึ้นในสังคม จอน .... “
“ครับพี่หน่อง .... ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำและทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา”เด็กหนุ่มแหงนหน้ามองเพดานพลางใช้หลังมือปาดน้ำตาตัวเอง ”และมีอีกคำที่ผมอยากจะพูด นั่นคือ ผมรัก พ....”
“เอาไว้ให้ถึงวันนั้น เราค่อยมาพูดเรื่องนี้กันอีกทีเถอะ” นฤบดินทร์ตัดบทพลางยิ้มให้กับเด็กหนุ่มตรงหน้า “รถเข้ากรุงเทพเที่ยวแรกกำลังจะออกในอีกครึ่งชั่วโมง พี่คิดว่าเราควรจะไปกันได้แล้วล่ะ”
เกษตรอำเภอเดินนำหน้าไปอย่างอารมณ์ดี ทิ้งอีกคนยืนยิ้มแหยๆอยู่ข้างหลัง เขาเปิดประตูเข้าไปในรถก่อนจะตะโกนเรียก
“นี่ถ้าไม่ขึ้นรถพี่จะไม่ไปส่งแล้วนะ อย่าลีลา”
“อ่า...ครับๆ ไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”
.
.
.
http://www.youtube.com/v/o6RO7xTcdBI?version=3&&autoplay=1
“หอมกลิ่นน้ำคลองที่ปลายท้องทุ่ง
สาวนาช้อนกุ้งอยู่ท้ายทุ่งเหว่ว้า
แดนนี้คือสวรรค์บ้านนา
ในน้ำมีปลา ในนามีข้าวทั่วบาง
ฉันหลับฝฝันดีที่เพิงไม้ไผ่
ถึงจนทนได้และภูมิใจไม่จาง
คนท้องนามือหนาหน้าบาง
รำเคียวเกี่ยวฟางสร้างพลังชาติไทย
กระถินริมทาง กระยางริมทุ่ง
น้ำพริกผักบุ้ง ต่อลมหายใจ
อาบดินกินแดดร่ำไป
อยู่อย่างไทย ผิวกายกร้านแกร่ง
หอมกลิ่นเนื้อนวลเมื่อจวนฟ้ารุ่ง
หอมทวนลมทุ่ง บ้านนาหน้าแล้ง
สาวท้องนาถึงแก้มไม่แดง
ฝีมือต้มแกง เสน่ห์เจ้าแรงเหลือเกิน”
(สวรรค์บ้านทุ่ง : ยอดรัก สลักใจ)
ลมทุ่งพัดโชยมาเบาๆหอบเอากลิ่นไอดินและรวงข้าวมาแตะจมูกผมทำเอารู้สึกหิวขึ้นมาตงิดๆ ถึงเจ้านายจะไม่ได้เลี้ยงดูผมอย่างอดอยาก แต่กลิ่มหอมๆแบบนี้ก็ช่วยเรียกน้ำย่อยในกะเพราะให้ออกมาท้าทายกับหญ้าสดๆได้ดี
ผมเดินเยื้องย่างไปบนทางเดินที่เป็นดินลูกรังอย่างเชื่องช้าไปยังที่ทำงานอย่างกระปรี้กระเปร่า หลังจากที่เมื่อคืนได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เบื้องหน้าลิบๆผมมองเห็นที่ทำงานของผมที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำพร้อมกับมนุษย์ผิวคล้ำนั่งอยู่บรแคร่ไม้ไผ่ที่เจ้านายชอบนั่งพักเวลาที่ช่วยกันทำงานกับผมแล้วเสร็จ ถึงผมจะมองเห็นชายคนนั้นลิบๆแต่ก็คงไม่ต้องสงสัยว่าเป็นใคร เพราะแขกที่แวะเวียนมาที่ที่ทำงานของผมเป็นประจำก็มีอยู่แค่หนึ่งคนกับหนึ่งนางเท่านั้น
“แม่แฉะจ๋า ไอ้รอดคิดถึงแม่แฉะจังเลย” ผมทักทายควายสาวที่ยืนเคี้ยวหญ้าอ่อนๆบนคันนา หลังจากที่เจ้านายก้าวลงจากตัว แม่แฉะยังน่ารักและงดงามสมกับเป็นควายที่ผมหลงเสน่ห์มานมนาน
“ไม่ต้องมาปากหวานเลยไอ้รอด ทำไมถึงมาช้านัก”แม่แฉะค้อนหนึ่งทีก่อนจะก้มลงกินหญ้าต่อไป
“ตะวันยังขึ้นได้ไม่นานเลยนะจ๊ะ ... ปกติคุณโนเขาก็มาเวลานี้ คุณเมฆของแม่แฉะนั่นแหละที่มาไวตั้งแต่ไก่โหเสียทุกวัน”
“อ้อ .... นี่หาว่าเจ้านายของฉันเป็นคนผิดสินะ!” แม่แฉะตวาด
“อะไรกันฮึ นังแฉะ ทะเลาะอะไรกัน” คุณโนพูดขึ้นหลังจากที่ได้ยินเสียงแม่ยอดขมองอิ่มของผมร้องลั่น ถ้าคุณโนเข้าใจภาษาควาย เขาก็คงจะช่วยผมแก้ตัวกับแม่แฉะด้วยอีกแรง
“มันคงจะจีบกันละมั้งโน ... ก็เจ้านายมันสมหวังแล้วนี่จะเหลือก็แต่มันสองตัวนี่แหละ” คุณเมฆพูดได้ตรงใจผมนัก
“ฝันไปเถอะจ๊ะคุณเมฆ ฉันน่ะไม่เอาควายขี้เหร่อย่างไอ้รอดมาทำผัวหรอก” แม่แฉะตัดรอนจนผมคอตก
“โธ่แม่แฉะ!!”
“กินอะไรมาหรือยังครับพี่เมฆ”
“รอกินพร้อมโนนั่นแหละ” คุณเมฆยิ้มแฉ่ง ก่อนจะชะโงกหน้ามาดูเถาปิ่นโตที่คุณโนนำมาด้วย “ไหนดูซิมีอะไรกินบ้าง”
“ก็มีไข่เจียวกับแกงเลียง แต่อย่างหลังไม่รู้จะกินได้มั้ย เพิ่งให้ป้าทองสอนได้ไม่นาน”
“ต้องอร่อยอยู่แล้ว เชื่อสิ”
เจ้านายยิ้มเหมือนจะขวยเขินเล็กน้อย ก่อนจะแก้เชือกที่ล่ามผมให้ออกหาหญ้ากิน
“หืยยย จืดชะมัด” เจ้านายสบถขึ้นเมื่อตักแกงคำแรกเข้าปาก คุณเมฆตักเข้าปากบ้างหากแต่อุทานออกมาคนละอย่าง
“ไม่นะ อร่อยจะตายไป”
“พูดไป.... ตอนนี้น้ำต้มผักก็ว่าหวานแหละ”
“ไม่ใช่แค่ตอนนี้สักหน่อย .... ตลอดไปเลยล่ะ รักน่ะนะ ”
โอ๊ยให้ตายเถอะ ผู้ชายคนนี้ทำควายเขิน!!
“ข้าก็รักแกมากนะนังแฉะ”ผมฟังแล้วก็ชักอยากจะหวานกับบ้าง
“แต่ฉันเกลียดแก ไอ้รอด!” แม่แฉะยังตัดเยื่อใย
.
.
ผมกับแม่แฉะออกแรงลากคันไถที่ผูกติดกับแอกที่อยู่ด้านหลัง ดินของที่นี่ค่อยข้างเป็นดินที่ดีและมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ทำให้ผมไม่ต้องออกแรงมากนัก
“เหนื่อยไหมจ๊ะแม่แฉะ”
“ถ้าแค่นี้เหนื่อยก็ไม่สมควรที่จะเกิดมาเป็นควายแล้วล่ะ เสียชื่อควาย”
“แต่แม่แฉะเป็นควายแคระนี่จ๊ะ ฉันก็เลยเป็นห่วง”
“แคระแต่ก็เป็นควายไม่ใช่หรือไง ฉันเป็นควายตัวเมียไม่ใช่มนุษย์ผู้หญิงจะได้ให้ควายตัวผู้มาคอยดูแลเอาใจใส่ว่าอันนั่นไหวมั้ยไอ้นี่ไหวหรือเปล่า เพราะฉันเองก็แข็งแรงไม่แพ้แกหรอกไอ้รอด” แม่แฉะพูดในขณะที่กำลังลากคันไถ
ผมยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าหนีไปทางอื่น “เพราะอย่างนี้ฉันถึงรักแม่แฉะยังไงล่ะ ฉันเชื่อนะว่าแม่แฉะจะต้องเป็นแม่ที่ดีของลูกๆเราได้”
“ลูกของเรา? .... จะต้องให้ฉันย้ำอีกกี่รอบฮึไอ้รอดว่าไม่มีวัน”
.
.
ควันไฟที่จุดไล่ยุงม้วนตัวเป็นวงลอยขึ้นฟ้า ผมกระดิกหางไล่ยุงช่วยอีกแรงพลางเงยหน้ามองควันไฟเหล่านั้นเหมือนเป็นศิลปะที่สรรค์สร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ วันนี้เจ้านายและคุณเมฆถือโอกาสมานอนที่นากัน เจ้านายแอบกระซิบบอกผมว่า คุณเมฆนี่ก็โรแมนติกอยู่ไม่หยอกที่ชวนมาดูดาวกันริมทุ่งแบบนี้ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยมาดูดาวกันด้วยบรรยากาศแบบนี้เลย
ปลาช่อนที่จับได้เมื่อเย็นอยู่บนกองไฟส่งกลิ่นแตะจมูกเบาๆ ผมทำจมูกฟุดฟิดพลางนึกสงสัยถึงรสชาติของมัน แต่มันคงน่าอร่อยไม่น้อย เพราะผมเห็นคุณโนทำหน้าเหมือนพอใจในกลิ่นของมันมากๆ
“หอมจังครับพี่เมฆ”
“และอร่อยมากๆด้วย ปลาช่อนนาเมืองสุพรรณเชียวนะ”
คุณเมฆบิเนื้อปลาออกเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนจะเป่าให้เย็นลงและป้อนเข้าปากเจ้านายของผม
“อร่อยจริงๆด้วยเนาะ”
“พี่เคยโกหกโนมั้ยล่ะ”
“เชื่อครับ คนอย่างพี่เมฆน่ะ โกหกใครไม่เป็นหรอก”
“ฟังเหมือนเป็นคำชมนะ”
“เปล่าเลย ผมกำลังจะบอกว่าพี่เมฆน่ะทึ่มจะตาย”
“ปากดีแบบนี้เดี๋ยวปากจะโดนดี” คุณเมฆส่งสายตาเจ้าเล่ห์
“ทำไม พี่เมฆจะทำอะไรผม” เจ้านายส่งยิ้มกวนไม่แพ้กัน และเพียงเท่านั้น ครู่เดียวผมก็เห็นใบหน้าของเจ้านายถูกบังไว้ด้วยใบหน้าของคุณเมฆ
“โดนแบบนี้ไง”
“เค็มมั้ยล่ะนั่น ปากยังเลอะปลาย่างอยู่เลย”
“นิดหน่อย .... แต่ยังดีที่จูบของโนรสชาติใช้ได้”
คุณเมฆทำให้ผมคิดไปว่า แล้วปากของแม่แฉะจะรสชาติเป็นอย่างไรนะ จะหอมกลิ่นใบหญ้าเหมือนที่ผมชอบหรือเปล่า ผมหันไปมองแม่แฉะที่มองเจ้านายของหล่อนเงียบๆพลางกระพริบตาปริบๆเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรอย่างผมเท่าไหร่ ความคิดทั้งหมดเลยถูกพับไปเพราะถ้าถามไปตอนนี้คงถูกไล่ขวิดจนต้องวิ่งหนีจนน้ำบาน
.
.
.
“คืนนี้ดาวสายจริงๆด้วย”
“ก็พี่บอกแล้วนี่ คืนนี้เป็นข้างขึ้นไง ดาวเลยสวยอย่างนี้”คุณเมฆพูดในขณะที่ทั้งคู่นอนหงายมองดาวบนฟ้า ส่วนเจ้านายกำลังหนุนแขนข้างหนึ่งของคุณเมฆไว้ ดูจากสีหน้าของเจ้านายแล้วคงมีความสุขไม่น้อย ทั้งคู่ชี้ชวนกันดูดาวนั่นนี่ ก่อนจะจบลงที่เจ้านายถูกซุกจมูกลงบนแก้มเป็นครั้งที่เท่าไหร่ผมก็เลิกนับไปแล้ว
“โนลองนับดาวคืนนี้ดูสิ ว่ามีกี่ดวง”
“โหย จะบ้าหรือไง เยอะขนาดนี้ ใครจะนับหมด” เจ้านายพ้อ
“ไม่แปลกหรอก ก็เหมือนความรักที่พี่มีต่อโนนั่นแหละ ถ้านับได้ก็คงนับกันไม่หวาดไม่ไหว”
“โอ๊ย เลี่ยนจะอ้วก”
คุณโนครับ ไอ้รอดเห็นด้วย ไอ้รอดเสียดายหญ้าจริงๆ แต่ผมฟังแล้วก็รู้สึกผะอืดผะอมอยากสำรอก!
ผมหันไปทางยอดขมองอิ่มของผมที่ทำหน้าทองไม่รู้ร้อนอย่างไม่รู้สึกรู้สา ก็อดถามขึ้นไม่ได้
“แม่แฉะเป็นอะไรไป ไม่ดีใจกับเจ้านายหน่อยรึ คุณเมฆเค้าออกจะมีความสุขอย่างนี้”
“แล้วยังไงล่ะ แกจะวิ่งไปเคล้าแข้งเคล้าขาแสดงว่าแกรู้สึกดีใจกับเขามาแค่ไหนเหมือนไอ้ด่างหรือยังไง”
“เอ่อ ... ก็ถูกของแม่แฉะ “ผมพยักหน้า “ฉันก็แค่ดีใจที่เจ้านายมีความสุข”
“ย่ะ!”
ผมขยับตัวเข้าไปใกล้แม่แฉะขึ้นอีก ก่อนจะถามขึ้น
“ถามจริงๆเถอะนะ แล้วแม่แฉะไม่คิดจะมีคู่กับเขาบ้างรึ ขนาดมนุษย์อายุยืนยาวกว่าเราเขายังไขว่คว้าอยากมีคู่เลย”
“ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากมี แกรู้บ้างมั้ยก่อนที่เจ้านายของเราจะมาหวานแหววกันแบบนี้ คุณเมฆเขาเสียน้ำตามากแค่ไหน ไหนจะบ่นระบายบ้าบออะไรก็ไม่รู้เหมือนคนบ้า พูดแต่รัก รัก รัก ฉันเป็นควายฉันก็ไม่รู้หรอกว่ารักคืออะไร แต่ถ้าจะให้ฉันเป็นอย่างนั้น ฉันไม่เอาแน่ๆ เกิดเป็นควายภูมิใจของเราคือการไถนา ไม่ใช่เรื่องอะไรแบบนี้”
แม่แฉะเฉลยความรู้สึกของตนเองและของเจ้านาย ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะพูดขึ้นบ้าง “ไม่ใช่แค่คุณเมฆหรอก เจ้านายของฉันก็พร่ำบ่นเกี่ยวกับความรักมามากมาย ซึ่งฉันเองก็ไม่เข้าใจนัก แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้คือก่อนหน้านี้เจ้านายเหงาและว้าเหว่มาก เขาผ่านเรื่องราวร้ายๆจากกรุงเทพและโชคชะตาก็ทำให้เจ้านายมาอยู่ที่นี่ ... เหนือสิ่งอื่นใดที่ถือเป็นบุญคุณกับฉันอย่างไม่รู้จะตอบแทนได้อย่างไรคือเจ้านายเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่กับฉัน ฉันเลยรักเจ้านายมาก”
“รัก? เหมือนกับที่เจ้านายรักกับคุณโนของแกงั้นน่ะรึ”
“ฉันว่าไม่เหมือนกันนะจ๊ะแม่แฉะ ฉันไม่เข้าใจความรักมากนักว่ามันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ สำหรับฉันกับเจ้านาย ความรักของฉันคือฉันอยากไถนาให้เจ้านาย อยากเป็นที่ระบายยามที่เขามีความทุกข์ .... ส่วนกับแม่แฉะ ความรักของฉันคือฉันอยากเดินไปด้วยกัน อยากไถนากินหญ้าอยู่ข้างกัน และก็อยากขยายพันธ์ควายรุ่นต่อๆไปให้โลกได้รู้ว่า ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ซื่อสัตย์อย่างพวกเราอยู่บนโลก”
“นี่ ไอ้รอด ถ้าแกคิดอยากจะแค่ผสมพันธ์ล่ะก็ ฉันจะบอกให้ว่าบนโลกนี้มีควายอีกเยอะแยะ ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นฉันที่ไม่คิดจะมีผัวหรอก” แม่แฉะยังยืนกราน
“แม่แฉะพูดถูกว่ามีควายอีกเยอะแยะ ฉันก็บอกไม่ถูกว่าฉันรักแม่แฉะตรงไหน อาจจะมีควายตัวกะทัดรัดอย่างแม่แฉะให้ฉันได้รู้จักพบเจอ แต่ตอนนี้ฉันกล้าพูดเลยนะ ว่าถ้าไม่ใช่แม่แฉะฉันก็ไม่เอามาทำแม่พันธ์หรอก”
แม่แฉะนิ่งเงียบไปเลยเมื่อเจอไม้นี้ของผม และผมไม่ปล่อยโอกาสให้โดนปฏิเสธอีกหรอก สาวเจ้าเคลิ้มแล้ว งานนี้มันต้องซ้ำ!
“ชีวิตมันสั้นนักนะแม่แฉะ ถ้าหากแม่แฉะได้ลองมาวิ่งหนีคนที่กำลังจะเอาเราไปเชือดอย่างฉัน แม่แฉะจะเข้าใจว่าชีวิตควายเรามันสั้นเพียงใด แต่ที่ฉันจะบอกไม่ใช่ว่าเราควรจะผสมพันธ์ก่อนที่เราจะตายไป ...ที่ฉันจะบอกคือ เราควรจะไขว่คว้าความสุขเอาไว้ก่อนที่เราจะละลมหายใจเหลือเพียงแต่เขาและกระโหลกบนโลกใบนี้ต่างหาก”
“แกน่ะหรอ จะเป็นความสุขของฉัน ไอ้รอด!”
“ฉันเชื่อมั่นอย่างนั้นจ๊ะแม่แฉะ และควายอย่างเราจะไม่มีทางรู้ได้เลยถ้าไม่ลองเชื่อดูก่อน ถึงเวลานั้น ถ้าแม่แฉะคิดว่าฉันทำให้แม่แฉะมีความสุขไม่ได้ จะปฏิเสธฉันฉันก็จะไม่ว่าอะไรเลย”
แม่แฉะพยักหน้ารับรู้ พลางพ่นลมหายใจจนฝุ่นฟุ้ง หล่อนหันมองไปทางอื่นก่อนจะตอบรับเบาๆ
“ก็ได้”
“หมายความว่ายังไงหรือจ๊ะแม่แฉะ”
“ฉันจะลองเชื่อดูก็ได้”
“แม่แฉะ!!!!” ผมอุทานเสียงดังอย่างลิงโลด “จริงหรอจ๊ะ”
“อย่าให้พูดซ้ำ ฉันไม่ใช่ควายพูดจาเรื่อยเปื่อย บอกว่ายังไงก็อย่างนั้นแหละ”
“ไชโย!!! ไอ้รอดดีใจที่สุดเลย รู้ไหมจ๊ะ แม่แฉะจ๋า”
“ไอ้รอด แกจะส่งเสียงดังทำไมเนี่ย!” เจ้านายหันมามองผม ซึ่งคงจะร้องดีใจเสียงดังไปหน่อย แต่เวลานี้ผมขอพยศเสียหน่อย ก็คนมันดีใจระคนสะใจ อยากหวานกันนักจนควายอิจฉา ผมเลยถือโอกาส....
“เอ๊ยนั่น ควายจูบกันแน่ะโน ฮ่าๆๆ” คุณเมฆอุทานพลางหัวเราะเสียงดังลั่น
“จูบกันที่ไหน มันเลียปากกันเฉยๆ”
“ไอ้รอด .... อย่ามาทะลึ่งนัก ฉันเพิ่งตอบตกลงแกจะมาลวนลามฉันเลยแบบนี้มันง่ายไปมั้ย” แม่แฉะตวาดเสียงเขียวพลางเอาเขาสั้นๆของแม่แฉะขวิดผมเบาๆ
“โอ๊ย!” ผมสลัดตัวบรรเทาความเจ็บ ก่อนจะหันไปบอกเจ้านายทั้งสองคนด้วยภาษาควาย
“ถึงคุณเมฆจะทึ่มอย่างที่คุณโนบอก แต่ผมว่าเรื่องของควายเจ้านายช่างไร้เดียงสานัก ก็อย่างนี้นี่แหละครับที่ควายเรียกว่าจูบน่ะ”
“ไอ้รอด !!! ยังมีหน้าไปบอกคนเขาอีก ไอ้ควายบ้า!!!”
“อุ๊ย ทำบ้าอะไรน่ะ” เจ้านายอุทานได้แป๊บเดียว ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก ปากของเจ้านายถูกประกบด้วยปากของคุณเมฆไปเสียแล้ว ผมหัวเราะคิกคักเพราะกว่าคุณเมฆจะถอนปากออก เจ้านายก็หน้าแดงก่ำจนเห็นได้ชัด
“ไม่อายควายมันรึไง ดูซิมันมองตาแป๋วอยู่น่ะ”
“ก็เพราะอิจฉามันไง เลยจูบให้มันดู มีอย่างที่ไหนมาจูบกันให้เห็นแบบนี้”
“ไอ้พี่เมฆบ้า อิจฉาควายก็เป็น!!”
เชิญเถอะครับคุณเมฆ ไอ้รอดไม่สนใจหรอก เพราะไอ้รอดสนใจแค่ว่า ตอนนี้ไอ้รอดมีเมียแล้ว ไอ้รอดไม่ได้เป็นควายตัวเดียวอีกต่อไปแล้ว
คืนนี้ควายอย่างไอ้รอดคงหลับฝันดี เพราะมีคู่ชีวิตนอนอยู่ข้างๆ
ถ้าพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมานะ ไอ้รอดจะจูบปากแม่แฉะก่อนอื่นเลย แล้วก็ดมกลิ่นไอดิน กลิ่นหญ้าอ่อนๆ กลิ่นรวงข้าวที่ลอยมากับสายลม ฉลองชีวิตใหม่ ... ชีวิตคู่ของไอ้รอด
โอ๊ย...ไอ้รอดมีความสุขที่สุดเลย!
---อวสาน----
นายหนิงหน่องจบแล้วครับสำหรับพี่เมฆกับนายโน
เรื่องนี้ยอมรับโดยดีเลยว่าเขียนได้ไม่ดีเท่าไหร่ ด้วยปัจจัยหลายอย่าง
เช่นเขียนในช่วงที่งานกำลังรุมเร้า เลยได้เว้นช่วงแต่ละตอนนานมาก
อีกทั้งเป็นช่วงเตรียมตัวบวช เลยทำให้มีเรื่องให้คิดให้ทำหลายอย่าง
ดังนั้นผมไม่แก้ตัวเลยว่าเรื่องนี้มันดรอปลงมากแค่ไหน
ยังไงซะก็ขอแก้ตัวกับเรื่องต่อๆไปนะครับ
สำหรับตอนจบที่แอบหักมุมแบบนี้
(แทนที่จะให้พี่เมฆกับน้องโนเป็นตอนจบกลายเป็นไอ้รอดกับนังแฉะขโมยซีนไปเสียฉิบ)
ไม่รู้ว่าจะชอบหรือโกรธคนเขียนมั้ย
แต่สุดท้ายก็เลือกแล้วครับว่าจะจบแบบนี้
ส่วนหนึ่งเป็นแรงบันดาลใจจากที่ได้อ่านเรื่องสมาคมขนสั้นของพี่เดหลี
เลยอยากเขียนนิยายผ่านมุมมองสัตว์เลี้ยงบ้าง
แต่ถ้าเขียนตอนนั้นเลยคงจะโดนหาว่าลอกเลียนแน่ๆ
เลยมาเขียนหักมุมจบตอนนี้แทน
เรื่องนี้เป็นนิยายที่สั้นที่สุดที่เคยเขียนมา แต่อย่างที่เคยบอกเสมอว่าเป็นคนเขียนหวานๆได้ไม่นาน
ชีวิตไม่ค่อยรู้จักความหวานเท่าไหร่ ฮ่าๆๆ
ยิ่งมาเจอเนื้อเรื่องเรื่อยๆแบบนี้บางทีก็หาทางไปไม่เป็นเหมือนกัน
แต่ดันมาได้ถึงขนาดนี้นับว่าภูมิใจกับเรื่องนี้ในระดับหนึ่งแล้ว
สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะครับ
ปล. ใครแอดเฟสมาแนะนำตัวกันด้วยเนาะครับว่ามาจากเล้า
บอกล๊อกอินกับชื่อด้วยก็ดีเราจะได้รู้จักกันและเป็นครอบครับเล็กๆกัน
ขอบคุณอีกครั้งครับ