Coin 23พอหาที่จอดรถได้ ก็รีบเข้าไปจอด ปิดเทอมแบบนี้ห้างจะค่อนข้างแน่น คิดว่าน่าจะได้ยินเสียงเด็กร้องเจี๊ยวจ๊าวในห้างแน่ๆ แค่จินตนาการก็เริ่มปวดหูซะแล้ว แต่ว่าตอนนี้...
ได้โปรดส่งเด็กสักคนมาส่งเสียงเจี้ยวจ้าวตรงนี้ทีเถอะ!
สงครามเย็น! มันคือสงครามเย็นใช่ไหม? ผมจะเป็นอะไรดีหล่ะ จีน โซเวียต หรืออเมริกาดี ทำไมในรถถึงได้เงียบขนาดนี้ รถจอดแล้วนะ ดับเครื่องแล้วนะ ทำไมยังไม่มีใครคิดจะขยับตัวอีก!
เสียงร้องไห้ของน้องฝนเงียบไปนานแล้ว พี่หมอกก็ยังมองออกไปข้างนอกตัวรถ ผมได้แต่นั่งสำรวจนิ้วตัวเองไปมา จะให้หยิบมือถือขาวดำตัวเองออกมาเล่นเกมงูก็คงไม่เหมาะ คนแรกที่เดินออกจากรถไปทายสิว่าใคร?
น้องฝนครับ
เธอวิ่งออกไปเลย ผมเลยรีบวิ่งตามออกไป ทั้งๆที่พี่แท้ๆยังนั่งเฉยอยู่ในรถ
“ฝน! น้องฝน!”
“ไม่ต้องตามมาเลยนะ! ฉันเกลียดแก!”
ใจนึงผมอยากหยุด แต่อีกใจก็บอกให้ผมวิ่งต่อ มันเป็นความผิดของผมเอง ไม่ว่ายังไงผมก็อยากเคลียร์กับน้องเขาให้รู้เรื่อง จะให้พี่น้องมาทะเลาะกันเพราะผมมันไม่ถูกครับ
“ห..หยุดวิ่งตามซักที!”
วิ่งขึ้นบันไดเลื่อนมาสักสามชั้นแล้ว คนรอบๆข้างก็มองอย่างงงๆ ผมเห็นคนในร้านเสื้อผ้าบางคนเดินออกมามอง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ วิ่งตามน้องฝนในชุดนักเรียนต่อไป ช่วงไหนที่คนเยอะ จะหาน้องเขาค่อนข้างลำบาก เพราะตัวน้องเขาไม่ได้สูงเหมือนพี่หมอกซักหน่อยนิครับ
“ฝ..ฝน”
ผมคว้าข้อมือเธอไว้ เธอหันกลับมามอง แต่ยังไม่มีใครพูดอะไรนอกจากหอบหายใจ นี่ในห้างนะครับ แต่เหงื่อผมยังออก เธอที่เป็นผู้หญิงยิ่งดูเหนื่อยกว่าผมอีก
“จะตามมาทำไม!”
มีแรงก็แว้ดใส่ผมเลย
“พี่จะบอกว่าน้องฝนเข้าใจผิด”
ชั่วขณะที่ผมพูดคำนั้นออกไป ผมรู้สึกได้ว่ามือผมสั่น
เข้าใจผิด...เข้าใจอะไรผิดหล่ะ?
“แล้วจะให้เข้าใจว่าอะไร มันชัดซะขนาดนั้น!”
“พี่หมอกเขาล้อเล่น”
“พี่หมอกไม่เคยพูดเล่น”
สายตาเหมือนกันทั้งบ้าน ถนัดเรื่องการจ้องมองให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกยอมแพ้ เป็นสายตาของคนที่มองลงมาจากที่สูงกว่า เมื่อก่อนพี่หมอกก็มีสายตาแบบนี้ สายตาที่ทำให้บางครั้ง ผมรู้สึกหนาวไปทั้งตัว
“พี่ขอโทษ”
“ถ้าสำนึกผิดก็ออกไปจากชีวิตพี่หมอกซะ”
“.....”
“ปล่อย”
ผมไม่ได้ปล่อย กำลังคิดหาคำพูดอยู่
“ก็บอกให้ปล่อยไงหล่ะ!”
“ถ้าปล่อยไปก็ไม่มีวันจะได้คุยกันให้เข้าใจสักทีหน่ะสิ”
“ไม่มีอะไรต้องคุยแล้ว ทุกอย่างมันยังชัดไม่พออีกหรอ”
“......”
พอผมเผลอ น้องฝนก็สะบัดมือแล้ววิ่งหนีไปอีกแล้ว ผมไม่รู้จะทำยังไงต่อเลยได้วิ่งตามไปก่อน คิดออกแล้วค่อยทำ แต่ถ้าไม่วิ่งตาม แล้วน้องฝนหายไป รู้สึกว่าแบบนั้นน่าจะเลวร้ายกว่า
เหนื่อยกันทั้งคู่ ทั้งผมทั้งน้องฝน พอพ้นบันไดเลือนที่วิ่งจนคนที่ยืนอยู่ต้องหลบให้ ก็ถึงชั้นบนสุด เพราะว่ามีโรงหนังผู้คนเลยพลุกพล่าน เหนื่อยกันลิ้นห้อยครับ สุดท้ายน้องแกก็นั่งลงกับโซฟาหน้าโรงหนัง ผมรู้สึกถึงมือถือที่สั่นมาสักพักแต่ยังไม่ได้หยิบออกมาดู คิดว่าน่าจะเป็นพี่หมอก เดี๋ยวค่อยโทรกลับ
“เหนื่อยยัง”
เธอพยักหน้า ผมยืนมอง ตอนนี้แก้มเธอแดง เหงื่อเต็มเลยครับ คงขี้ร้อนแบบพี่หมอก “นั่งรอตรงนี้แป็ปนึงนะ”
ผมเดินไปที่โรงหนัง ซื้อน้ำเปล่าขวดนึงมา ห้ะ ยี่สิบบาทเลยเรอะ ข้างนอกเขาขายสิบบาทเอง แบบนี้มันขูดรีดกันนี่หว่า แต่ผมก็ซื้อมา เปิดขวดแล้วยื่นให้น้องฝนซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิมกิน
เธอสะบัดหน้าหนี ผมบอก “เอาไปกินเหอะ” สุดท้ายเธอก็คว้าไปกิน เกือบหมดขวดนั่นแหละครับ พอเธอส่งคืนผมเลยกินที่เหลือจนหมด
“ไม่ต้องมาทำดีด้วยหรอก”
“เปล่า ก็เห็นว่าเหนื่อย จะซื้อมากินเองแต่เห็นเยอะไปเลยแบ่งให้กินด้วย”
“......”
น้องฝนดูเป็นผู้หญิงที่มั่นใจในตัวเองมาก พอเจอคำตอบแบบนี้เข้าไปเลยขมวดคิ้วใส่ผมแล้วหันหน้าหนี ฝนหยิบมือถือขึ้นมาจากกระเป๋ากระโปรงตัวเอง น่าจะเป็นคนเดียวกันกับคนที่พึ่งเลิกโทรหาผมเมื่อสักครู่
“อะไร!”
“...อยู่ชั้นบน หน้าโรงหนัง”
“อือ..อยู่ด้วยกันนั่นแหละ”
“แค่นี้นะ!”
ดูยังไง มันก็พี่น้องกันชัดๆ
เห็นฝนหันมาค้อนผมบ่อยๆ ผมก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ครับ เธอก็ไม่ได้วิ่งไปไหนแล้ว สักพักไอ้พี่หมอกก็เดินขมวดคิ้วมาเลย
“หายบ้าหรือยัง”
“......”
“ถ้าอยากวิ่งทำไมไม่ไปวิ่งที่สนาม วิ่งทำบ้าอะไรในห้าง”
“พี่หมอก!”
ผมก็นั่งเงียบ ปล่อยมันพูดไปครับ มันก็หันไปบ่นน้องฝน
“วิ่งออกมาเคยคิดบ้างไหม? อยากโดนทิ้งมากหรือยังไง? โตแล้วทำอะไรให้เป็นผู้ใหญ่บ้าง”
“พี่โตกว่าฝนสามปีเอง”
“หมายถึงความคิดทางสมอง”
แรง!!
“อย่าโตแต่ตัว งอแงไปเสียหมด”
“พี่ลองมาเป็นฝนไหมหล่ะ! ฝนตกใจนะ ที่คนอย่างพี่หมอก..ฮึ่ย!”
“ทำไม คนอย่างพี่มันทำไม”
“....”
“มึงก็เหมือนกัน จะตามมันออกมาทำไม”
อ้าว ทำไมกูโดนด้วยหล่ะ
“ก็น้องพี่วิ่งออกมา ก็ต้องตามไปดิ!”
“เดี๋ยวมันก็กลับมาเอง”
“พี่คิดแบบนี้ได้ไงวะ?”
“......”
เงียบกันพักใหญ่ ผมก้มมองรองเท้าพละตัวเองอย่างไม่รู้จะมองอะไรดี
“อยากกินอะไร?”
ทั้งผมทั้งน้องฝนเงยหน้าไปมองมันเลยครับ อยู่ดีๆพี่หมอกก็พูดออกมา คนบ้าอะไรเปลี่ยนเรื่องได้เร็วชะมัด
“ไอติมไหม?”
“........”
.......................................
.........................
แล้วเราก็มานั่งอยู่ในร้านไอศกรีมกันจริงๆ ร้านป้ายแดงๆขาวๆนั่นแหละครับ
สั่งกันคนละถ้วย ดูท่าน้องฝนก็ชอบกินเหมือนกัน บรรยากาศตอนนี้เลยเงียบสงบดีไม่มีเสียงอะไรให้น่ารำคาญใจ
ผมเห็นก่อนน้องเขาจะกินมีการถ่ายรูปลงมือถือแล้วนั่งกดอะไรยิกๆไม่รู้ พี่หมอกก็มองแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
น้องฝนแกใช้บีบี กดตลอดเลยครับ จับมือถือสลับกับช้อน พวกผมมองแล้วปวดหัวแทน
“กินก็กินให้มันเสร็จแล้วค่อยเล่นทีเดียว”
“ฝนจะทำ ใครจะทำไม”
“เอามา”
พี่หมอกแบมือขอมือถือ แต่น้องฝนแกจับไว้แน่น ส่ายหน้าใส่ “ไม่ให้”
“บอกให้ส่งมา”
“เรื่องอะไร ฝนทำผิดตรงไหน”
“ฝน!”
“ใจเย็นๆหน่อยคร้าบ พี่หมอก ปล่อยน้องเขาเล่นไปเหอะ ยิ่งมาเถียงกันไอติมก็ยิ่งละลาย”
ผมรู้ว่าต่อให้พูดอะไรกับฝนไป น้องก็คงไม่ฟังผมหรอก เลยหันมาพูดกับพี่หมอกแทน พี่หมอกแม้จะดูหงุดหงิด แต่ก็กำมือกลับมา ไอ้พี่หมอกชอบกินช็อคโกแลต สั่งไอศกรีมกินทีไรทั้งถ้วยกลายเป็นสีน้ำตาลหมด น้ำถ้วยมันกินหมดแล้วครับ แต่ยังไม่เห็นพนักงานเดินมาเติมให้ ผมเลยส่งแก้วผมไปให้มันกิน กลัวมันฟันผุ ไม่ใช่อะไร
น้องฝนจ้องตาไม่กระพริบเลยครับ..
อยากจะแย่งแก้วคืนจากพี่หมอก แต่ช้าไปแล้ว ทุกอย่างมันทำไปโดยธรรมชาติ เลยไม่ทันคิดว่าน้องฝนจะคิดยังไง
ยิ่งเห็นยิ่งรู้สึกว่าตาพี่หมอกกับน้องฝนเหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกจะพี่เมฆด้วย
กินเสร็จก็ออกมายืนกันนอกร้าน ผมอยากกลับบ้านแล้วครับ บ้านผมเลย ไม่อยากนั่งอยู่กลางสงครามเย็น อึดอัดครับ เวลาทำอะไรแล้วมีสายตามองอยู่ตลอด ผมรู้สึกเหมือนโดนจ้องจับผิด
“ฝนอยากดูหนัง”
พี่หมอกไม่ตอบ แต่หยิบแบงค์จากกระเป๋ายื่นให้ ผมก็เห็นน้องฝนวิ่งไปที่โรงหนัง ไม่ไกลจากที่พวกเรายืนอยู่ ระหว่างทางผู้ชายหลายคนจ้องมองน้องฝนไปจนสุดสายตา ผมมารู้ที่หลังว่าน้องฝนเคยถ่ายแบบลงนิตยสารวัยรุ่นด้วย (ผมไม่เคยอ่านหรอก มันของผู้หญิงอ่าน)
ตอนแรกผมคิดว่าน้องฝนจะซื้อมาแค่สองใบครับ น่าแปลกที่น้องแกซื้อมาเพื่อผมด้วย พอฉีกตั๋วแบ่งกันถึงเข้าใจครับ ว่าที่นั่งผมมันห่างกับที่นั่งสองคนนั้นซักสองปีแสงเลยทีเดียว
พี่หมอกก็เห็น แต่ไม่พูดอะไร
พอถึงเวลาฉาย กลับเป็นพี่หมอกที่ไปนั่งสุดขอบจักรวาล แล้วให้ผมนั่งกับน้องฝน ผมไม่รู้ว่าหนังมันสนุกหรือเปล่า เพราะผมหลับตั้งแต่ต้นๆเรื่อง เป็นหนังรักอะไรไม่รู้ครับ ตอนออกมาจากโรงหนังผมเห็นพี่หมอกหาวไปหลายรอบ ไปกระแซะถามก็บอกว่าหลับเหมือนกัน
น่าขำที่แม้แต่คนซื้อตั๋วหนังเองยังหาวตลอดทางกลับบ้าน คิดว่าคงจะหาหนังน่าเบื่อๆมาให้พวกผมดู แต่เธอกลับโดนผลกระทบนั้นเข้าไปเองด้วย
พอถึงบ้าน น้องฝนก็รีบเดินลงจากรถไป กระเป๋าก็มีพี่คนงานมายกไปให้ ผมยังไม่ลงจากรถ กะจะขอพี่หมอกกลับบ้าน แต่มันมาอีกแล้วครับ ไอ้คำนี่
“ไม่”
“นะ ขอกลับนะ”
“ทำไม”
“เดี๋ยวน้องเขาอึดอัด”
“แล้วไปสนอะไร”
“นั่นน้องพี่นะ”
“แล้วมึงไม่สนกูเลยหรอ?”
“...”
“ยังไงก็ต่างคนต่างอยู่อยู่แล้ว จะสนใจกันทำไม”
ผมนึกภาพครอบครัวนี้ไม่ออกจริงๆ พ่อพี่หมอกก็ไปขยายสาขาที่ประเทศอื่น นานๆครั้งกลับบ้านที่ บ้านนี้แทบจะกลายเป็นบ้านร้างถ้าไม่มีพวกป้าน้อยอยู่
“ตอนมัธยมใครเป็นผู้ปกครองพี่”
“พี่เมฆ”
พี่เมฆโตกว่าพี่หมอกประมาณ 6 ปีครับ ห่างกันมาก ตอนพี่หมอกมัธยม พี่เมฆก็คงจะมหาลัยแล้ว
“แล้วของน้องฝนหล่ะ”
“กู”
“พี่เคยไปงานโรงเรียนฝนบ้างไหม”
“ไม่เคย”
“แล้วรับผลสอบ”
“กูไปเซ็นแล้วกลับ”
ว่าแล้วว่าต้องโตกันมาแบบนี้ คิดว่าพี่เมฆก็คงจะทำคล้ายๆกับพี่หมอก
ผมได้แต่ถอนหายใจครับ ที่เป็นนิสัยแบบนี้ทั้งบ้านก็เพราะว่าโตมาด้วยเงิน ไม่ได้โตมาด้วยความอบอุ่น ผมคุยเรื่องน้องฝนกับพี่หมอก (สุดท้ายก็ไม่ได้กลับบ้าน) ตอนก่อนนอน พี่หมอกบอกว่าฝนเคยหนีออกจากบ้านตอนม.3 กว่าพี่หมอกจะรู้ว่าน้องนี้ออกจากบ้านก็ตอนที่น้องฝนกลับมาแล้ว คนที่ไปตามก็คือพวกป้าน้อยนี่แหละครับ
ผมฟังแล้วอดสงสารไม่ได้ บางทีคนรวยก็เหมือนมีแต่เงิน อยากได้อะไรที่เงินสามารถซื้อได้ก็หามาได้หมด แต่กลับกัน อะไรที่เงินซื้อไม่ได้ ก็ไม่เคยได้มาครอบครอง
ก่อนนอน ผมออกมายืนโทรศัพท์ที่ระเบียงห้องพี่หมอก ก็โทรหาเฮียนี้แหละครับ ระหว่างรอสายมองลงไปข้างล่าง ที่สระว่ายน้ำ ผมเห็นน้องฝนนั่งอยู่ตรงนั้น แกว่งขาไปในน้ำเรื่อยๆ เกิดเป็นวงคลื่น บวกกับแสงไฟข้างสระ ทำให้หยุดมองไม่ได้
“ฮัลโหล?”
มองนาฬิกา พึ่งสองทุ่มกว่า ทำไมเสียงเฮียงัวเงียจังวะ
“เฮีย นี่ตี๋นะ”
“เออๆ มีไร”
“...จะโทรหาเฮียไม่ได้หรอ”
“ก็ปกติไม่ได้โทรหาอะไรอยู่แล้วนิ นี่อยู่ไหน”
“อยู่บ้านพี่หมอก”
“เก็บข้าวของแล้วย้ายไปอยู่บ้านมันเลยนะ เฮียจะได้มีที่วางของเพิ่ม”
“เฮียแม่ง เออ ผมถามหน่อยดิ”
“ถามไร”
“พี่น้องที่มันไม่ห่วงกันหน่ะ มันมีป่ะ?”
“มึงจะหมายถึงใคร บอกกูมาเลยดีกว่า” ได้ยินเสียงครางต่ำๆซึ่งไม่ใช่เสียงเฮียดังลอดออกมาด้วยเว้ย เฮียทำไรอยู่วะ!
“เฮีย เสียงใครวะ”
นี่กูโทรถูกจังหวะใช่ไหม! ได้ฟังอะไรดีๆด้วย!
“เดี๋ยวกูโทรกลับ ขอสิบนาที”
แล้วมันก็ตัดสายไป ผมนี่อยากรู้จนตัวสั่นว่าเสียงใคร วู้ว เดี๋ยวนี้เฮียมันฮอตเว้ย มีสาวๆมาถึงห้องเลยหว่ะ
เดี๋ยวนะ...ถ้ามันอยู่บ้าน มันก็มีแต่ไอ้พี่ฟินไม่ใช่หรอ?
“......”
เหมือนจะคิดอะไรแปลกๆเข้าให้เสียแล้ว หยุด หยุดดีกว่า! หยุดคิด เมื่อกี้ผมหูฟาดไปเอง หูฟาดสินะ วะฮ่าฮ่าฮ่า แย่จังเลยเรา
กลับเข้าไปในห้อง เห็นพี่หมอกนั่งอ่านหนังสืออยู่หัวเตียง ผมวางมือถือลงกับโต๊ะ พอจะออกจากห้องมันก็ถาม “จะไปไหน”
“ผมจะลงไปข้างล่างแปปนึงอะ”
“ไปทำอะไร”
“อยากลงไปเดินเล่น”
“ไม่ต้อง มานี่ พรุ่งนี้เช้าค่อยลงไปเดิน”
“.....”
“ตี๋”
“พี่” ผมเดินเข้าไปนั่งข้างๆมันเลยครับ ตอนนี้มันทำหน้าไม่พอใจ วางหนังสือในมือลง แสงจากโคมไฟหัวเตียงทำให้ผมเห็นว่ามันหงุดหงิด
“ผมเข้าใจนะว่าพี่หวงผม แต่ผมก็อยากให้มันอยู่ในระดับพอดี บางทีผมรู้สึกว่ามันมากเกินไป”
“มึงทำตัวให้กูต้องหวง”
“แค่ผมจะลงไปเดินข้างล่างเนี่ยนะ” มันพยักหน้า
“งั้นพี่ก็ไปกับผมดิ แทนทีพี่จะสั่งให้ผมอยู่กับพี่ ทำไมพี่ไม่ลองไปกับผมดูบ้าง”
ผมเลยลากมือมันไปด้วยกันเลยครับ ตอนแรกมันไม่ยอม แต่สุดท้ายก็เดินออกมาด้วย ผมให้มันรออยู่ในบ้าน ผมเลื่อนบานประตูกระจกออกไป แล้วเดินไปนั่งลงข้างๆน้องฝน พื้นข้างๆสระน้ำเป็นพื้นหยาบ รอบๆเป็นต้นไม้เรียงกันแทนรั้ว ลมเย็นๆพัดมา บางครั้งก็สร้างคลื่นน้ำวิ่งแล่นออกไป
กว่าน้องจะรู้ตัวว่าผมเดินเข้ามา ก็ตอนที่ผมนั่งลง ยื่นเท้าลงไปในน้ำ โห อย่างเย็น
“ทำไมต้องเป็นพี่หมอก”
อยู่ดีๆก็โดนยิงคำถามใส่ ผมหันหลังกลับไป เห็นไอ้พี่หมอกยืนดูจากในบ้าน นั่นสินะ ทำไมต้องเป็นมันด้วย
“ไม่รู้เหมือนกัน”
มันหน่ะขี้หวง บ่อยครั้งก็พูดจาไม่รู้เรื่อง ยึดหลักโลกหมุนรอบตัวกู แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังชอบทุกอย่างที่เป็นตัวมัน
“รู้จักกับพี่หมอกได้ยังไง”
“เรื่องมันยาว”
“ฉันมีเวลามากพอ”
ผมเลยเล่าในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับงานพิเศษของผม เล่าว่าเจอกันตอนที่ผมไปทำงานที่ผับ เรียนอยู่มหาลัยเดียวกันเลยได้เจอกันบ่อยๆ เสียงน้ำกระเซ็นบางครั้งที่เผลอแกว่งเท้าแรงเกินไป น้องฝนดูเหมือนจะฟัง แต่บางครั้งก็ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจ
“พี่หมอกเปลี่ยนไป”
“หืม?”
“ดู...ใจดีขึ้น”
อย่างนั้นยังเรียกว่าใจดีอยู่อีกหรอ!?
ตอนนี้น้องฝนไม่ได้แต่งหน้า เลยดูเด็กลงไปมากกว่าเดิมอีก เหมือนวัยรุ่นธรรมดาทั่วไป ที่ไม่ได้ทำตัวเด่นหรือยืดตัวเหนือผู้อื่น
เป็นแค่เด็กธรรมดา ที่ไม่ได้รับการใส่ใจจากครอบครัว
“ปกติพี่หมอกไม่ใช่แบบนี้ พี่หมอกไม่คบใคร ไม่ยุ่งกับใคร ไม่ชอบให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัว”
ผมไม่รู้จะตอบอะไร และคิดว่าน้องฝนคงไม่ต้องการคำตอบ เลยนั่งเงียบฟัง จ้องมองภาพเท้าตัวเองที่บิดไปมาผ่านผิวน้ำ
“เพื่อนฉันหลายคนก็ชอบพี่หมอกอยู่ แต่ทุกคนก็รู้ว่าสักวันนึงก็ต้องเดินผิดหวังกลับมา”
ผมเห็น..หลายคนที่ต้องผิดหวัง
และหลายคนนั้น ก็ต้องเสียใจเพราะผม
หลายต่อหลายชื่อที่โดนลบออกจากเครื่องพี่หมอก มันหมายถึงการถูกลบออกไปจากชีวิตของพี่หมอกด้วย
“แล้วฝนไม่ชอบพี่หมอกแบบนี้หรอ”
“มันแค่ไม่ชิน”
ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างเราสองคน ผมหันกลับไป ไม่เห็นพี่หมอกแล้ว
ไม่รู้จะชวนคุยอะไร คิดขึ้นได้ว่าน้องเขาอยู่ม.6 เลยถามขึ้นมา
“ฝนอยากเรียนคณะอะไร?”
“หืม?”
“เอาแบบ ที่ชอบจริงๆหน่ะ”
“อยากเรียนศิลปกรรม แต่พ่ออยากให้เรียนวิศวะ พี่เมฆก็เรียนวิศวะเหมือนกัน”
“แล้วฝนชอบวิศวะหรือเปล่า”
เธอส่ายหน้า
ผมไม่รู้ว่าผมพูดแบบนี้จะถูกไหม แต่ผมอยากให้ทุกคนเดินไปตามทางที่ตัวเองต้องการจริงๆ ไม่ได้เดินไปด้วยความต้องการของคนอื่น เพราะทางเส้นนี้เป็นทางของเรา เป็นสิ่งที่เราต้องอยู่กับมันไปทั้งชีวิต
“อืม ความจริงพี่ก็เรียนอยู่สถาปัตย์นะ อยากให้สอนก็มาถามได้ แล้วถ้าจะเรียนวิศวะจริงๆ ก็ลองให้พี่หมอกติวดู ก็น่าจะได้เหมือนกัน”
เธอหันมามองหน้าผม แต่ไม่ได้พูดอะไร
“ไม่เคยมีใครถามเลยว่าฉันอยากเรียนอะไร”
“คนแรกหรอเนี่ย? ฮ่าๆ สุดยอดเลย”
“.....”
ผมขำผิดจังหวะเหรอครับ?
“พี่ตี๋” นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเรียกชื่อผม “ถ้ารักพี่หมอกจริง...ก็ออกไปจากชีวิตพี่หมอกเถอะ”
“....”
“พี่หมอกไม่เคยรักใคร สักวัน พี่อาจจะต้องเจ็บ แต่ฝนอยากให้พี่รู้ว่าพี่หมอกจะเจ็บมากกว่าหลายเท่า”
ผมรู้
รู้มาโดยตลอด
ยังไงสักวันนึงมันก็ต้องจบอยู่ดี ความสัมพันธ์แบบนี้มันช่างเปราะบาง
“อย่างพี่หน่ะ จะหาแฟนน่ารักๆสักคนก็ไม่ยากอยู่แล้ว”
เออ ก็รออยู่เหมือนกันนี่ ผู้หญิงตัวเล็กๆ น่ารักๆ หุ่นซะบึ้มหน่อยๆ
แต่ไหงถึงได้เป็นผู้ชายตัวใหญ่ๆ หน้ามึนๆ หุ่นดีแบบที่สาวๆมองแล้วน้ำลายหก ผมก็ยังไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
“นั่นสินะ..”
นึกคำอื่นขึ้นมาตอบไม่ได้ จึงได้แต่มองคลื่นน้ำที่เคลื่อนตัวออกไปไกลเรื่อยๆ
...........................................
.................................
......................
ปล. อีกสิบนาทีต่อมา เฮียก็ยังไม่โทรกลับ รอเป็นชั่วโมง ก็ยังไม่โทรมา สุดท้ายเลยปิดเครื่องแล้วเข้านอน
[Coin 23 : complete]
[30.11.54]
ถ้าทันจะมาต่อให้อีกตอนนะคัฟ
ยังถามได้เรื่อยๆนะคัฟ เดี๋ยวคืนนี้มาตอบ
