Coin 17ปกติโต๊ะหินอ่อนใต้ตึกคณะจะมีพวกผมนั่งกันอยู่เจ็ดคน มีไอ้โจ๋ ไอ้กล้วย ไอ้เคิ่ล ไอ้กึ่ม(น้องรหัสไอ้เคิ่ลที่แทบไม่มีบทบาทในสายตาเพื่อนฝูง) ไอ้ปิ๊ก ไอ้อุกกี้ แล้วก็ผม ก็ครึกครื้นเฮฮากันไป วันไหนคึกหน่อยก็มีลุกขึ้นมาเต้นบ้าง ของกินไม่เคยขาดโต๊ะครับ มีไอ้อุกกี้เจ้าแม่วงการข่าวใต้ดินมาฝอยน้ำลายแตกฟองให้ได้ฟังบ่อยๆ
แต่ว่าวันนี้..
นับได้เกินเจ็ดชีวิตครับ
“เฮ้ย!! พวกถาปัตย์แม่งตลกเป็นบ้าเลยหว่ะ กร๊ากกกก” พี่ต้น พี่โผล่มาจากไหนครับ แล้วไอ้กล้วย มึงอย่าหัวเราะท่าทางอุบาทว์แบบนั้นไปพร้อมๆกับพี่ต้นได้ไหม ขนาดอุกกี้มันยังเหวอเลยนะ
“น้องโจ๋ หยิบหนังสือเล่มนั้นให้พี่หน่อยดิ” อีกสักพักหนึ่งผมก็เห็นหนังสือเล่มใหญ่เท่าสารานุกรมบินผ่านหน้าผมไป “ส่งให้ดีๆก็ได้ อย่าโยนสิวะ” พี่คิดผิดเองนะครับที่ใช้พวกผม
ไอ้เจ็ดคนที่มานั่งสลอนปกติหน่ะ จะมานั่งไอ้ม้านั่งหินอ่อนตรงนี้ก็ไม่แปลกหรอกนะ
แต่ว่า... อีกเก้าชีวิตที่เหลือโผล่มาจากไหนกันวะครับ!!!
ไอ้โต๊ะที่ปกติก็หาความสงบไม่ได้อยู่แล้ว มาวันนี้ยิ่งกว่าโรงเจอีก อะไรจะครึกครื้นเฮฮาเกินขนาดแบบนี้! ไอ้เก้าหน่อวิศวะที่โผล่มามันมาจากไหนวะเฮ้ย! ตึกพวกเอ็งอยู่ทางโน้น แล้วจะมานั่งเบียดแย่งออกซิเจนตรงนี้กันทำไม!!
ไอ้ตัวต้นเหตุก็ดันนั่งทำหน้านิ่งไม่รู้ไม่ชี้อยู่ข้างๆผม ช่วยชี้แจงหน่อยได้ไหมครับ ว่าพวกพี่คิดยังไงถึงยกขโลงกันมาแบบนี้
“ก็กูจะนั่ง มึงจะทำไม”
“.......”
“ม้านั่งนี้มีชื่อมึงสลักไว้หรอ กูถึงนั่งไม่ได้”
“งั้นก็เชิญเหอะหว่ะพี่ ผมไปนั่งตรงนู้นก็ได้”
“มึงย้ายกูก็จะย้ายตาม”
อยู่ดีๆก็นึกถึงภาพซามูไรพ่อลูกอ่อนขึ้นมาอย่างไรเหตุผล นี่ผมไปไหนมาไหนต้องแบกพี่ขึ้นหลังแบบนี้ด้วยหรือเปล่าหว่ะ?
“ผมถามจริง พี่มาทำไมอะ”
“เปล่า ไม่มีอะไร” ปลายสายตามันส่งสัญญาณอาฆาตให้กับไอ้ปิ๊กที่นั่งอยู่ข้างๆผม ชาติที่แล้วผมทำบุญด้วยอะไรครับ ทำไมชาตินี้ผมต้องมาเจอศึกชิงนายอะไรแบบนี้ด้วย แล้วผมมีดีตรงไหนถึงขั้นให้ไอ้พวกสติไม่ครบแบบนี้มาแย่งกันวะเนี่ย
ถ้าเป็นสาวๆจะไม่ว่าเลยสักคำ แต่นี้ถอดเสื้อมาก็นมฟีบตูดแฟ่บเหมือนกันหมด เซ็งหว่ะเฮ้ย
“พี่ตี๋ ไปนั่งตรงอื่นกันไหม ผมว่ามันอึดอัดอะ” ถึงจะลากโต๊ะมาต่อก็เถอะ (มันเป็นหินอ่อนยังอุตส่าห์จะช่วยยกกันมาอีก ความพยายามสูงในเรื่องไม่มีสาระจริงๆ)
“เออ กูเห็นด้วยหว่ะ”
“มึงลองไปสิ”
ไอ้พี่หมอกมองตาขวาง ผมที่กำลังจะลุกขึ้นเลยต้องหยุด
วูบหนึ่ง ผมรู้สึกกลัว
เสียงมันก็ยังเหมือนเดิม แต่ผมรู้สึกว่านัยน์ตามันเปลี่ยนไป
มันดูโมโห และเหมือนถ้าผมยังแหย่มันอีก ความโกรธจะทำให้มันควบคุมตัวเองไม่ได้
ม..ม..ไม่ไปดีกว่า
“เฮ้ยปิ๊ก นั่งตรงนี้เห็นรังนกนะเว้ย”
“อะไรของพี่วะ ร้อยวันพันปีไม่เห็นสนใจ”
“กูรักธรรมชาติโดยสันดาน ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยหว่ะ”
“...เหมือนที่เอามือไปแตะแมงกะพรุนอย่างนั้นนะหรอ?”
“หุบปากไปเลยมึงอะ!!” ฮาแตกกันทั้งกลุ่ม ไอ้พวกวิศวะยังขำเลยครับ พอพูดถึงเรื่องนี้ไอ้กล้วยก็ขอขยายประเด็น
“ไอ้ตี๋แม่งโคตรโง่เลย เกิดมากูไม่เคยเจอ ใครวะแม่งกระโดดจับแมงกะพรุน”
“กูนึกว่ามันจะเหมือนแมงกะพรุนที่มันใส่ในเย็นตาโฟซะอีก” หยุดแซวกูเถอะ เอาเรื่องนี้ฝังไปพร้อมกับชีวิตกูเลย ได้โปรด
“เออ มีมึงคิดแบบนั้นคนเดียวในโลกหว่ะ”
เหลือบตาไปมองไอ้พี่หมอก มันก็หันกลับไปสนใจหนังสือมันแล้วครับ
หน้ามันก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆเหมือนเดิม ดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไร
นั่งใกล้กันแค่นี้
แต่ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างที่ยังปกคลุมอยู่
ผมย้อนกลับมาหามันไม่ถึงอาทิตย์ ทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น โทรศัพท์มันก็ยังโชว์ชื่อที่ผมไม่คุ้นอยู่เสมอ จะให้ผมพูดอะไรออกไป ในเมื่อผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมอยู่กับมันในฐานะอะไร
แต่เมื่อผมเลือกแล้วว่าจะทนอยู่กับสภาพแบบนี้ ก็ต้องทำใจยอมรับกับมันนั่นแหละครับ
ส่วนเรื่องเงินที่มันโอนมา ผมปิดบัญชีธนาคาร เอาเงินส่วนหนึ่งมาคืนมัน บอกมันว่าส่วนที่เอาไปจ่ายหนี้ผมจะหาคืนให้เร็วที่สุด แต่คิดหรอครับว่ามันจะฟังผม
สุดท้ายผมก็ต้องฝากเงินก้อนนั้นไว้ที่เฮีย รอสักวันที่มันพร้อมจะฟังคนอื่นบ้าง ผมจะได้เอาไปคืนมันสักที
“เออ แล้วพวกพี่สอบเมื่อไหร่อะ” เร็วมากครับ แป็ปๆจะปิดเทอมอีกแล้ว
“ก็อีกสองอาทิตย์หล่ะมั้ง” พี่บอลตอบ ไอ้พี่บอลนี่เปลี่ยนกรอบแว่นอีกแล้ว ผมไม่เคยเห็นมันจะใส่ซ้ำกันนานเกินอาทิตย์เลย “ตอนนี้ก็มีแล็บบ้าง เทสย่อยบ้าง สลับกันไปหน่ะ”
“พวกผมเจอแค่งานก็จะแย่อยู่แล้ว” วันนี้กะขอไอ้พี่หมอกไปค้างบ้านไอ้เคิ่ลทำงานซักหน่อย แต่ไม่รู้มันจะให้หรือเปล่า บ้านไอ้เคิ่ลสนับสนุนมันเต็มที่ครับ เห็นว่าเปลี่ยนห้องเก็บของเป็นสตูดิโอให้มันเลย พวกผมก็ชอบไปใช้ อุปกรณ์มีครบ ไม่ต้องลำบากไปซื้อเอง (ตูงก)
พอถึงเวลาที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไปเรียน ต่างคนก็ต่างเก็บของของตัวเอง ผมเห็นไอ้พี่หมอกมันยืนรอผมอยู่ ก็เลยกะจะขอเรื่องที่จะไปทำงานบ้านไอ้เคิ่ล มันตอบแทบทันทีเลยว่า
“ไม่ให้”
“พี่ ผมไปทำงานอะ”
“ไม่ให้ไป”
“นะพี่ ทำงานที่นั่นมันสะดวก บ้านมันมีสตูดิโอด้วย พวกผมชอบ มันสะดวกดี”
“กูไม่ให้”
“.....”
“อยากทำมาทำที่คอนโด แถวคอนโดก็มีห้างอยู่ ของไม่มีมึงก็ไปซื้อ”
“เหตุผลของพี่คืออะไร”
“กูไม่อยากให้มึงไป”
“แค่นั้น?”
มันพยักหน้า แล้วจะให้ผมพูดอะไรต่อได้หล่ะครับ ผมเลยต้องไปพูดกับไอ้พวกโจ๋ ให้ยอมย้ายที่ทำงานกัน มันก็โวยใหญ่เลย แต่พอบอกชื่อไอ้พี่หมอกไปเท่านั้นแหละ
“กูว่าไม่เป็นไรนะ” ไอ้โจ๋ มึงเอาอีกแล้ว ชื่อนี้มีอิทธิพลกับมึงขนาดนี้เลยเรอะ ไว้วันหลังใช้มันทำงานก็จะใช้ชื่อพี่หมอกอ้างนี่แหละ เลวใช้ได้
“แต่กูว่าไปบ้านไอ้เคิ่ลแหละดีแล้ว ของไม่ต้องซื้อเพิ่มไง”
“งี้ก็แวะไปบ้านไอ้เคิ่ลก่อนดิ” ทุกคนมองหน้าไอ้โจ๋เงียบเลยครับ
“ไอ้โจ๋ พี่หมอกไปติดสินบนอะไรกับมึงไว้”
“สินบนเชี่ยไร”
“ไม่ต้องเลย มึงโกหกแล้วมึงจะหลบสายตาไปทางซ้าย กูรู้”
“บอกมาถ้ามึงยังเป็นเพื่อนกู” โอ้โห ไอ้กล้วยกินขาด “เร็วๆสิวะ”
“ก็..ก็ได้วะ! มึงจำสาวที่-ฮึ่ย แม่งเป็นกระเทยได้ป่ะ”
“เออๆ ไมวะ”
“นั่น น้องรหัสพี่บอล”
“...แล้วเกี่ยวไรกับพี่หมอกวะ”
“พี่หมอกก็รู้สิวะ ว่า...เป็นแบบนั้นอะ..พี่เขาเลยใช้ให้กูไปยื่นใบชุมนุมให้น้องเขา ให้กูตาสว่าง ให้กูพบธรรมมะในใจว่าโลกนี้แล้วมีแต่อนัตตา ความไม่มีอยู่จริง!”
“มึงก็เลยซาบซึ้งบุญคุณมันอะนะ?” ผมไม่อยากเชื่อเลยครับ ไอ้พี่หมอกจะช่วยเหลือคนอื่นทั้งๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง
“เปล่า พี่เขาแบล็คเมล์กูวะ บอกว่าถ้าไม่อยากให้พี่ไปบอกคนอื่น ให้ทำตามที่พี่หมอกบอก”
นั่น กูว่าแล้ว
ทุกคนถอนหายใจพร้อมกันเลยครับ นี่ไง อนัตตาที่มึงว่า ความใจดีของพี่หมอกไม่มีอยู่จริง
“ก็ได้วะ ครั้งนี้ครั้งเดียว ไอ้ตี๋ มึงนะมึง เพราะมึงคนเดียว”
“ไหงโทษกูวะ!”
“พี่เขามาหลงอะไรในตัวมึงวะ กูมองหัวจรดเท้ามาสักพันรอบแล้ว กูยังไม่เห็นอะไรในตัวมึงเลย” แม่งใช้หางตามอง ไอ้กล้วย มึงแรดมาก
“ถึงหน้าตากูจะหล่อ แต่ใจกูหล่อกว่าไง ฮ่าๆ”
“เออ แถมยังเป็นพวกไม่ยอมรับความจริงอีกหว่ะ”
“ถึงเป็นเพื่อนกับมึงไงไอ้กล้วย!!” มันวิ่งแล้วครับ จะมีหรอที่ผมไม่วิ่งตาม “หยุดนะว้อยยย ขอกูถีบมึงซักทีเหอะ!!”
“ใครแม่งเอาลิงมาปล่อยแถวนี้วะ” ไอ้โจ๋ มึงไม่ต้องมาพูดเลย ความผิดมึง(ห้ะ?) ไม่รู้หล่ะ ความผิดมึงทุกอย่างเลย!
เวลาสิบนาฬิกา สามสิบนาที ใครอยากเห็นละครลิง เชิญที่ใต้ตึกคณะสถาปัตย์นะครับ
.....................................
..........................
“รบกวนด้วยคร้าบบ”
“.....” ไอ้พี่หมอกทำหูทวนลม เดินลิ่วเข้าห้องนอนไปเลยครับ
“พี่เขาได้ยินกูพูดเปล่าวะ(ซุบซิบ)”
“กูสงสัยมานานแล้ว พี่หมอกแกมีปัญหาเกี่ยวกับการพูดเปล่าวะ(ซุบซิบ)”
“ไอ้กล้วย ไอ้โจ๋ มึงจะยืนกระซิบกันถึงพรุ่งนี้เช้าตรงนั้นก็ได้นะเว้ย”
พอพูดแบบนี้ มันถึงเลิกเว่อร์ได้สักที
ไอ้เคิ่ลดูจะเฉยๆที่สุดครับกับการมาคอนโดไอ้พี่หมอกมัน บ้านมันก็รวยพอตัว ไม่มีอะไรให้ต้องตกใจ ต่างจากไอ้โจ๋ไอ้กล้วยเลยครับ กลิ้งดูทุกซอกทุกมุม ไปกรี้ดกร้าดให้ได้อายในห้องน้ำด้วย บอกว่าไม่รู้จักกันยังทันไหมวะ
“พี่จะไปไหนอะ?”
เห็นไอ้พี่หมอกรื้อตู้เสื้อผ้าอยู่เลยลองถามดู วันนี้มันอารมณ์ไม่ค่อยดี ผมถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบ มีหงุดหงิดใส่คนรอบๆตัวมันด้วย คนหน้าเดิมๆอย่างผม พี่บอล เพื่อนๆมันก็รับเคราะห์ไป
“เรื่องของกู”
“.....”
“เหยิบไป”
ที่มันพูดเพราะผมยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนพอดีครับ
“ผมทำอะไรผิดหรือเปล่าพี่ ผมขอโทษ”
“.....”
“เพราะว่าผมขอพี่ไปทำงานที่บ้านไอ้เคิ่ลวันนี้หรือเปล่า?”
“กูบอกให้หลบ”
“.......”
มันไม่มองหน้าผมเลย ยิ่งทำให้ผมไม่สบายใจ
“พี่หมอก ตอบผมหน่อยสิ”
“กูไม่ได้โกรธมึง”
“แล้วพี่หลบหน้าผม ไม่คุยกับผมทำไมอะ”
“.....”
มีแต่ความเงียบ
ผมอยากได้ยินคำตอบ แต่อีกใจก็กลัวที่จะได้ฟัง
“กูควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วกูก็ไม่ชอบที่กูเป็นอยู่ตอนนี้”
“........”
“กูโมโห กูหงุดหงิด แต่กูไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร”
“...พี่หมอก”
“เฮ้ย ไอ้ตี๋ มึงเข้าไปคลอดลูกหรอวะ!! ออกมาทำงานสิโว้ยยย”
ไอ้กล้วย มึงตลอด!
ผมเลยต้องหลบทางให้ แต่พอพี่หมอกจะเปิดประตูออกไปผมกลับหยุดมือพี่เขาไว้
“พี่จะกลับมาคืนนี้หรือเปล่า”
“ไม่รู้”
แล้วสุดท้าย ผมก็ต้องปล่อยมือออก
ไอ้พี่หมอกเปิดประตูออกไปอย่างไม่ลังเล เดินตามออกมาก็เห็นมันกำลังจะออกจากห้องไป
“มาทำงานได้แล้วมึง จะได้มีเวลาก๊ง ฮ่าๆ”
ผมไม่ได้สนใจไอ้กล้วยพูด ไอ้โจ๋ที่กำลังหาของกินในห้องครัว หรือไอ้เคิ่ลที่เริ่มทำงานเงียบๆคนเดียว
ผมสนใจเพียงแต่หลังของพี่หมอกที่กำลังจะหายไปเมื่อประตูบานนั้นปิดลง...
....................................
..........................
“อ๊า!! เมื่อไหร่จะเสร็จวะ”
“คนที่มันทำงานน้อยที่สุดมันยังกล้าบ่นอีกหรอวะ ดูไปเหอะ การ์ตูนเน็ทเวิรค์ของมึงอะ”
“ตี๋?”
“ห้ะ?”
เพราะไอ้เคิ่ลเรียก เลยทำให้รู้ว่าผมนั่งจ้องหลอดกาวมาสักพักแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้โจ๋ไอ้กล้วยเริ่มตีกันที่พื้นตั้งแต่เมื่อไหร่
“ไม่สบายหรอ?”
“เปล่า”
“เป็นอะไร”
“ไม่ได้เป็นอะไรหว่ะ”
ควบคุมตัวเองไม่ได้? โมโห? หงุดหงิด? เรื่องอะไร..
ผมไปทำอะไรไว้ตอนไหนให้พี่เขาไม่พอใจหรือเปล่า ผมพยายามนึกแต่คำตอบก็ว่างเปล่า
“นี่กี่โมงแล้ว?”
“สามทุ่มครึ่ง”
“หรอ...”
“....ไอ้ตี๋”
งานแทบไม่เดินเพราะไอ้โจ๋ก็เอาแต่อู้ ไอ้กล้วยที่ช่วยเคิ่ลก็เหมือนยิ่งทำให้งานแย่ลงไปอีก ส่วนผมก็ทำๆหยุดๆ
“มึงไปซื้อของกินกับกูดีกว่า”
“ห้ะ? ซื้อไรวะ ก็พึ่งสั่งพิซซ่ามากินกัน”
หลักฐานก็ยังอยู่ที่เดิม ชีวิตหนุ่มโสดก็งี้แหละครับ ซกมกที่หนึ่ง
“ไปเหอะ”
“อือๆ”
สุดท้ายก็เดินตามไอ้เคิ่ลออกมา ทางเดินไปลิฟท์อย่างหนาว ผมเร่งเท้าไปเดินข้างๆไอ้เคิ่ล
“มีไรจะพูดกับกูวะ”
“กูนึกว่ามึงจะไม่ถามซะแล้ว”
“ก็คนอย่างมึงชวนกูเดิน ก็คงมีเรื่องจะพูดนี่แหละ”
“อืม ฉลาดแล้วนี่หว่า”
เดี๋ยวได้เกิดฆาตกรรมในลิฟท์หรอก ไอ้นี่นิ
“มีไร ว่ามา”
“มึงกับพี่หมอกเป็นไรกัน”
“.....ก็รุ่นพี่รุ่นน้อง”
“มึงไม่ต้องมาโกหกกูหรอก กูดูออก กูแค่อยากถามเพื่อความชัดเจน”
“...ไม่รู้หว่ะ กูยังไม่รู้เลย”
ประตูลิฟท์เปิดออก พอมีคนอื่นเข้ามาในลิฟท์เราเลยเงียบไปโดยปริยาย
ผมกับเคิ่ลยืนกันคนละมุมของลิฟท์ แต่ก็คงกำลังคิดและสงสัยในเรื่องเดียวกัน
ผมเป็นอะไรกับไอ้พี่หมอก?
ผมถามตัวเองหลายครั้งแล้ว แต่ละคำตอบก็มีน้ำหนักในตัวมันเองทั้งนั้น ผมเลยเลือกไม่ได้สักคำตอบ
พอถึงชั้น G เราก็เดินตามกลุ่มคนที่เข้ามาในลิฟท์หลังจากเราออกไปยังนอกตัวตึก ผมพึ่งรู้ว่าอากาศแถวนี้ตอนกลางคืนเย็นกำลังสบาย รถติดนิดหน่อย อย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่าห้างก็อยู่ใกล้ๆแถวนี้ เลยมีร้านรวงขายเต็มไปหมด ท้องถนนเลยไม่เคยเงียบเหงา
“ที่บอกว่าชัดเจน ไม่ใช่ให้ตัวกูแน่ใจ แต่ให้ตัวมึงแน่ใจต่างหาก”
“กูกลัวคิดเข้าข้างตัวเอง”
“แล้วมึงอยากให้ออกมาเป็นคำตอบไหนหล่ะ?”
เคิ่ลไม่ได้มองหน้าผมด้วยซ้ำ มันมองตรงไปข้างหน้าเหมือนๆกับผม มองไปในสิ่งที่ไม่รู้ว่ามีตัวตนหรือเปล่า ไม่ได้จับจ้องอะไรเป็นพิเศษ แค่ปล่อยให้ของเหล่านั้นผ่านสายตาไป
อยากให้เป็นคำตอบไหนหรอ?
ผมมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ แล้วตอนนี้มันเป็นความสัมพันธ์แบบไหนกัน
ผมใช้เวลานานก่อนจะเลือกคำออกมาตอบไอ้เคิ่ล ให้ตรงกับสิ่งที่ผมคิดมากที่สุด
“กูพอใจกับที่กูเป็นอยู่ตอนนี้ กูตอบได้เท่านี้หว่ะ”
“มันดูคลุมเครือ ไม่ได้มีอะไรชัดเจน บางครั้งมึงก็คงอึดอัดสินะ”
“อื้ม”
“มึงเคยชอบผู้ชายหรือเปล่า”
“เฮ้ย!! กูใช้ชื่อขึ้นต้นว่า นาย นะเว้ย ไม่ใช่นางสาว”
“ไม่เห็นเกี่ยวกันเลย ชอบก็ชอบดิ เพศเกี่ยวไร”
“มันไม่แปลกหรอวะ?”
“มึงคิดว่ามันแปลกไหมล่ะ”
ผมไม่รู้
ผมไม่เคยคิดหรอกว่ามันเป็นยังไงกับการรักผู้ชายด้วยกัน เพราะตั้งแต่เล็กจนโตผมก็อยู่กับความฝันว่าสักวันผมจะได้อยู่กับคนที่ผมรัก คนที่ผมอยู่ด้วยแล้วมีความสุข และมันก็คงไม่แปลกที่คนในจินตนการผมเป็นผู้หญิง
เราหยุดซื้อของนมปั่นที่ร้านกาแฟร้านหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หยุดนั่งครับ พอได้คนละแก้วก็ออกเดินต่อ ไม่รู้ว่าต้องเดินไปขนาดไหน ทางข้างหน้ามันอีกไกลหรือเปล่ากว่าผมจะได้คำตอบให้กับตัวเอง แต่สิ่งที่ไอ้เคิ่ลจะบอก ผมคิดว่ามันต้องการให้ผมเดินไปตราบเท่าที่ผมยังมีความสุข
“คงจะมีคนคิดว่าถ้าการได้ชอบใครสักคนมันมีความสุขก็คงจะดี แต่ถ้ามันมาพร้อมความเจ็บปวดแล้วหล่ะก็ ขออยู่ตัวคนเดียวจะดีกว่า”
“แปลว่าอะไรวะ?”
สายตาพวกเราจับจ้องไปที่เด็กตัวน้อยขี่จักรยานผ่านไป ตามมาด้วยพ่อแม่ที่จูงน้องเล็กอีกคน พอคนน้องเห็นพี่ขับจักรยานสนุกก็อยากจะขับบ้าง แต่พอจะให้ลองจริงๆกับส่ายหน้าหนี ร้องไห้แง
พวกเราเดินผ่านไป ก้มลงดูดนมปั่นในแก้วของตัวเอง ก่อนที่เคิ่ลจะพูดต่อ
“มันก็มีคนงประเภทที่เลือกจะมีความสุขและปฏิเสธความทุกข์ เพราะกลัวที่จะเจ็บปวด”
“มันมีที่ไหนว่ะ ไอ้เรื่องแบบนั้น ชีวิตมันก็ต้องมีทั้งสุขทั้งทุกข์ปนกันไปสิวะ”
“คนพวกนั้นถึงไม่เคยมีรัก สุดท้ายก็จะกลายเป็นกลัวที่จะได้รักใคร ถึงได้แต่เฝ้ามอง ก็เหมือนเด็กคนเมื่อกี้นี่แหละ พอให้ลองกลับไม่กล้า คงจะเคยเห็นพี่ตัวเองล้มมาก่อน”
“กูเริ่มฟังไม่ค่อยเข้าใจแล้วหว่ะเคิ่ล มึงปรับความติสต์ลงมาสักนิดดิ”
“สักวันมึงจะเข้าใจ”
นี่มันนวนิยายผจญภัยใช่ไหม มึงถึงได้ทิ้งข้อความเป็นปริศนาให้กูตามแก้ไขหน่ะ ไอ้เคิ่ลหยุดเดิน หมุนตัวกลับ เป็นสัญญาณว่าบทสนทนาของมันได้จบลงแล้ว
แต่มันก็ได้ทิ้งคำใบ้สำคัญไว้ให้ผม...
“พี่หมอกของมึง ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปกับเด็กคนเมื่อกี้เลย”..................................
...................
“ตี๋”
“....”
“ไอ้ตี๋”
ผมลืมตาตื่น
เห็นไอ้พี่หมอกยืนค้ำหัวอยู่ เลยพึ่งรู้ว่าผมเผลอหลับไปบนโซฟา ยันตัวขึ้นมาก็เห็นพวกที่เหลือนอนอยู่ตามพื้น สภาพไม่ได้ต่างกันนัก จอทีวียังเปิดอยู่ด้วยซ้ำ
หันไปมองนาฬิกา ตีสองกว่า
“ไปนอนในห้องไป”
“อืม”
ผมเดินเข้าไปในห้อง ไปถึงก็ทิ้งตัวลงนอน หลับตาเงี่ยหูฟังเสียงน้ำ ไม่นานก็เป็นเสียงเปิดประตู พี่หมอกคงเดินตรงมาที่ตู้เสื้อผ้า เปลี่ยนเสื้อ ก่อนจะรู้สึกได้ว่าที่นอนข้างๆตัวยุบลงไป
“พี่หมอก”
มันไม่ได้ตอบ แต่ผมรู้ว่ามันรอฟังผมอยู่
ผมพลิกตัวไปทางมัน ถึงได้รู้ว่ามันก็จ้องผมอยู่เหมือนกัน
สายตาตอนนี้ยังเต็มไปด้วยความสับสน เหมือนจะพยายามซ่อนไว้ แต่ก็ทำได้ไม่ดีพอ
“ผมจะอยู่กับพี่”
มีแต่เสียงลมหายใจเท่านั้นที่ดังคั่น ไฟจากข้างนอกลอดผ่านผ้าม่าน ผมเห็นหน้าพี่หมอกเพียงเสี้ยวเดียว ก็รับรู้ได้ว่าสายตาพี่หมอกไม่ได้อยู่กับผม พี่หมอกกำลังจมไปกับความคิดของตัวเอง
“ผมจะไม่ทิ้งพี่หนีไปไหนอีกแล้ว พี่ก็เชื่อใจผมนะ”
“กูจะเชื่อใจมึงได้ยังไง”
“ทุกวันนี้พี่ยังไม่เชื่อผมอีกหรอ”
“มันไม่มีอะไรรับประกันได้ว่ามึงจะไม่ทิ้งกูไป”
นี่ใช่ไหม ที่พี่หวังจะครอบครองตัวผม
เพียงเพื่อให้สบายใจว่าอย่างน้อย ผมก็เป็นของพี่
“ไม่มีอะไรรับประกันได้หรอก”
เป็นผมที่ตอบกลับไปเอง มันกลับมาจ้องหน้าผมนิ่ง รอฟังผมที่จะพูดต่อ
“ผมก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าพี่จะไม่ทิ้งผมไป แต่ผมเชื่อใจพี่”
พี่กลัวที่จะเชื่อ
ผมจะทำยังไงให้คนขี้กลัวแบบนี้ ยื่นมือออกมาจับมือผม
ตอนนี้ผมจึงทำได้แต่ยื่นมือออกไปรอ รอว่าสักวันมันจะกล้าพอที่จะคว้ามือผมไว้ ผมจะได้ดึงพี่หมอกออกจากความกลัวนั้นสักที
ไม่มีใครพูดอะไรต่อ
“ตี๋”
สุดท้ายก็เป็นผม ที่ยื่นมือออกไป กอดมันไว้ ให้พี่หมอกรู้ว่าผมอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ไปไหน
“ถ้ากูเชื่อใจมึง แล้วมึงทิ้งกูไป กูจะทำยังไง”เพราะชอบ ถึงเชื่อใจไม่ได้
เพราะรัก ถึงไม่กล้าวางใจ
เหมือนดาบสองคม ที่สักวันหนึ่ง ความเชื่อใจจะกลับมาทำร้ายเราเอง
ผมไม่ได้ตอบอะไรไป
มีแต่แรงรัดจากอ้อมแขนที่หมอกเท่านั้น ที่ทำให้ผมรู้ว่า ในใจของพี่หมอกก็สับสนไม่ได้น้อยไปกว่าผมเลย
.............................
...................
[Coin 17 : complete]
[23.11.54]
ปล.โพลของเรื่องนี้มีไว้เพื่อความแนว โหวตไม่ได้ อณุญาติให้ใช้แทนศาลพระภูมิได้ชั่วคราว

ปล2.ใครที่ถอดใจกับเรื่องสองเดือนไปแล้วเชิญ

ปล3.ถ้าเปิดเทอมจะหยุดจริงๆหล่ะน้า
ปล4. เป็นพวกถ้าไฟไม่ลนก้น จะไม่อ่านหนังสือ ฮ๋าๆๆๆ คราวที่แล้วไปสอบขอนแก่นอ่านแปดวันก่อนสอบ สอบเคมีหลับในห้องสอบอีก 55 ยังงงอยู่เลยว่าติดได้ไง
