.
.
.
.
.
.
.
.
.
ยังครับ ไม่ได้มีอะไรชวนซี๊ดสิวสยิวกายแต่ประการใด ผมผลัก น่าจะเรียกว่า‘กลิ้ง’มันเข้าไปนอนชิดผนัง ก่อนผมจะลงไปนอนเบียดบนเตียงแคบๆนั้นอีกคน
“เมิงจะเบียดกะกรูทำกล้วยอะไรวะ”
“นอนคนเดียวหนาวนะเมิงขอบอก”ผมพลิกกายตะแคงไปด้านที่ไอ้เมศนอน หน้าเราห่างกันแค่นิดเดียวด้วยความแคบของเตียง มันมองตาผมฝ่าความมืดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปิดตาลง เป็นอันว่าข้อตกลงเป็นอันใช้ได้ คืนนี้ผมได้นอนฟังเสียงรถไฟวิ่งกึงกังเสียงติ๊งตั๊งจากแถบกันรางรถไฟ และเสียงลมหายใจของคนที่ ผมคิดว่าชอบมัน อิจฉาใช่ไหมล่ะครับ
“อย่าลืมตั้งเวลาปลุก”เสียงงัวเงียพลางขยับตัวของไอ้เมศทำให้ผมยิ้มออกมาในความมืดสลัว ผมรับคำมันเบาๆ ว่า ‘ครับๆ’
เช้าแล้ววันนี้พวกเรามีคิวออกนอกโตเกียวกันครับ เวลาอาหารเช้าที่กำหนดไว้คือมาทานตอนเจ็ดโมงจะได้ไปถึงที่หมายไม่สายเกิน ที่นี่เรื่องความตรงต่อเวลาสำคัญมากครับ แล้วเหล่านักเรียนไทยอย่างเราๆก็ย้วยกันได้ถึงใจจริงๆด้วยการตื่นสายสุดๆ เราเข้ามาโรงอาหารตอนเจ็ดโมงสิบห้าครับ สาวๆมาก่อนแล้ว ยิ่งสายคนในโรงอาหารยิ่งเยอะต่อคิวกันหน้ามืด เนื่องจากที่พักของเราเป็นสถานที่ที่เยาวชนจากหลายๆที่มักเข้ามาพัก มาทำกิจกรรมแบบข้ามประเทศกัน รวมถึงมีการประชุมสัมนาต่างๆด้วย จึงเป็นภาพที่เราเห็นแล้วแปลกตาดีครับ ฝรั่งหัวทองชายหญิง นั่งปนกับเอเชียชาติอื่นๆ บางทีก็เป็นเด็กวัยรุ่นนั่งร่วมโต๊ะกับพนักงานบริษัทใส่สูธสีดำเรียบสนิท เพราะคนเยอะโต๊ะนั่งเลยไม่ค่อยจะพอ
“ท่าทางอิดโรยเหมือนคนนอนไม่พอนะ ไปทำไรกันมาล่ะเมื่อคืน”เสียงจากฝั่งตรงข้ามบูธอาหารดังมาขณะผมตักแซลม่อนชิ้นสีส้มสวยใส่จานที่มีขนมปังก้อนใหญ่วางรออยู่แล้ว ผมเงยหน้ามองสาวสภาสองคนที่กำลังตักปลาชนิดอื่นๆใส่จาน
“ก็ไอ้เมศอ่ะดิ แม่ม นอนกัดฟันกรอดๆทั้งคืน ฟันแม่มร่วงหมดปากยังไม่รู้”
“โทษทีกุฝันว่าแทะไก่ย่างห้าดาวว่ะ”
“ อ้อหรอ แล้วนั่นรอยอะไรที่คอวะไอ้เมศ อุ้ย!.... หนุ่มสูทแว่น” โม ญ ว่า พลางมองแทบลอยตามหนุ่มหน้าใสในชุดสูท แน่นอนว่าใส่แว่นตาด้วยไป หลังจากแม่นางหย่อนระเบิดไว้ ก็หายลับตามสูทแว่นเอ้ย กลีบเมฆไปโจ้อาหารเช้าทันที คาดว่ารอยที่มันว่านั่น มันต้องเป็นใฝในลูกตามันแน่นอน ผมได้แค่ระอาใจล่ะครับงานนี้ หันไปหยิบแก้วพลาสติกสีชา มาสี่ใบ ใส่น้ำเหล่าและนมอย่างละใบแล้ววางลงในถาดไอ้เมศให้มันไปก่อน ก่อนจะทำอย่างเดียวกันใส่ถาดตัวเอง พอถือถาดหันออก ก็เกือบชนกับสาวออฟฟิซน่าตาน่ารักเหมือนนางแบบนิตยสารเข้า ผมถึงกับผงะ
“sumimasen”นึกอะไรไม่ออกพูดไว้ครับประโยคนี้
“that’s ok” อ้าวเวง พ่นประกิตใส่ซะงั้น ผมแอบเสียเซล์ฟเล็กๆเลยได้แต่ส่งยิ้มสยามให้แทนแล้วรีบจ้วงไปที่โต๊ะเลยครับ ที่นั่นมี ไอ้เมศที่มองตรงมาที่ผม สองสาวสภาและเพื่อนๆที่มาด้วยกันอีก พอผมนั่งลงเท่านั้น ทุกคนมองกันเป็นตาเดียว
“อะไรวะ”
“เจ๊าะแจ๊ะกะสาว ไม่สนไอ้เมศแล้วน้อ~” ช่างหาเหามาใส่หัวจริงนะไอ้พวกนี้ ตัวนำเป็นใครไม่ต้องบอกนะครับ
“อ้าวเล้งกะเม้งทำไรอ่ะ”สาวสภาลักปิดลักเปิดเอากะเขามั่ง เพื่อนหนุ่มสองคน ที่ชื่อจริงเขามี แต่เธอสองคนก็เปลี่ยนให้ เป็นเล้งกับเม้งด้วยเหตุผลง่ายๆ จำชื่อมันไม่ได้ สองหนุ่มที่กำลังคีบอาหารจากจานของอีกคนชะงัก ท่าทางตกใจ อย่างว่าล่ะครับ มันไม่ค่อยคุ้นก็เงี้ย ผมส่งซอสปรุงรสหมาบลูด๊อก(เพราะที่ฉลายมีลายหมาบลูด๊อกเป็นพรีเซนเตอร์)ให้ไอ้เมศ มันแค่มองแต่ไม่แตะต้อง ผมมองอย่างสงสัย ปรกติมันชอบเติมซอสนั่นนิดนี่หน่อย แต่วันนี้มันไม่เติมอะไรเลย ปรากฏการทางธรรมชาติประหลาดแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อนครับ สิ่งที่ผมทำได้คือดูท่าที
“บรรยายกาศ....อึมได้อีก…เน๊อะ”
“อืม....สูทแว่นคนผมน้ำตาลน่ารัก”สองสาวกระซิบกันเบาๆ ผมหันไปมองตัวที่คาดว่าเป็นต้นเหตุพลางแสยะยิ้มน่ารักให้ที มันเลยรีบกินกันใหญ่ หลังจากผมกับไอ้เมศเงียบอยู่นาน ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวครับ ปรกติ ถึงมันจะเพิ่งตื่นแล้วหงุดหงิด หรือยังง่วงอยู่ มันก็ยังพอจะชวนคุยบ้าง แต่นี่เงียบแอร์ดัง เงียบเป่าสากดีๆนี่เอง
“เอาซุปเพิ่มไหม?” มันวางตะเกียบลงเป็นสัญญาณว่าอิ่มและไม่ต้องการกินอะไรอีกแล้ว ผมมองหน้ามันแบบงงๆ พยายามมองตามันว่ามันคิดอะไร แต่มันหลบตานี่สิครับ
“เขารอเมิงอยู่แน่ะ” มันพูดเบาๆ เหมือนอยากให้ได้ยินแค่สองคน แล้วบุ้ยใบ้ไปที่มุมหนึ่งของคาเฟต สาวออฟฟิซน่ารักคนนั้น ยืนรีๆรอๆอยู่ที่โซนเก็บถาด ที่ทุกคนเมื่อกินอิ่มแล้ว ต้องไปเก็บ
“ไปสิ”ผมมองหน้ามันเหมือนคนไม่เข้าใจภาษา .....และมันยังคงไม่สบตาผมเหมือนเคย จากการกะระยะสายตาของมันแล้ว
“เมิงมองคอกรูทำไมนักหนา คอกรูมีเลขหวยหรือไง จะได้โทรกลับไปบอกแม่”
“haiyaku สายแล้วนะ”โคซากะเซนเซ อาจารย์ที่ตามมาดูแลเราในทริปนี้ เดินมาเร่ง เป็นผลให้ทั้งโต๊ะเริ่มกินรีบไปล่ะครับ เอิ่ม...วันนี้อาจารย์ก็ยังน่ารักครับ หึหึหึหึ
“โคตรเห็นแก่กินเลย”ไอ้มเศหันไปกัดกับโม ญ และแชร์รี่ ที่กำลังพยายามม้วนขนมปังใส่ทิชชู่ เนื่องจากที่นี่ห้ามเอาของกินออกข้างนอกครับ มันเลยต้องกักตุนเสบียงแบบนี้
“เอาน่า ก็ตรูจะกินอ่ะ”
“สมน้ำหน้า แทนที่จะรีบกิน”
“ก็ชั้นไม่ได้มานั่งกินก่อนเหมือนแกนี่หว่า”ทั้งสามยังคงทะเลาะกันไม่อายญี่ปุ่นมอง เหมือนเด็กๆเลยครับ ผมเลยต้องทำหน้าที่พ่ออีกแล้ว
“เออๆ พอแล้ว รำคาญ”
ผมไล่ไอ้ตัวป่วนสามตัวให้ไปเก็บกันล่วงหน้า มันบ่นกันกระปอดกระแปดว่าผมทำตัวเหมือนพ่อมันก็ไม่ปาน บ่นว่าผมเข้าข้างอีกฝ่ายมั่งล่ะ ผมจะบ้าครับ ไอ้พวกนี้ ผมแยกขยะจะพวกทิชชูลงถังขยะ เก็บตะเกียบใช้แล้วลงในที่เสียบ ก่อนจะวางถาดลงในรางเลื่อนที่มีหนักงานทำหน้าที่เตรียมรับไว้แล้ว ก่อนจะเดินไปล้างมือทบ้วนปากที่อ่างใกล้ๆ เด็กอนาถ เอ้ย อนามัย ครับ ผมบ้วนปวกด้วยน้ำอุ่นเรียบร้อย พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นสาวออฟฟิซคนนั้น
“ohaiyogosaimasu” เธอทักมาผมเลยงึมงำตอบ ผมเลือกจะเงียบไว้เพราะนึกไม่ออกว่าจะถามเขาอย่างไร
“What’s your name?” ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นพอจับใจความได้ จะดีหรอครับถามชื่อกันแบบโต้งๆ ไม่กลัวไก่ตื่นกันเลย
“I’m Run And you are?” ผมหลิ่วตาลงเล็กน้อย ยกยิ้มจางๆให้เธอ พลางลอบสังเกตุฃกริยาและเห็นรอยซับสีเลือดจางๆบนดวงหน้าของเธอ
“I’m kurumi.Do you have any free time I want to ….”
“iee….jikanganai”(*ไม่....ไม่มีเวลา)น้ำเสียงไร้เยื่อใยสุดๆเสียงหนึ่งแทรกขึ้นจากข้างหลังเธอ ไอ้เมศก้าวอาดๆมาที่เรา
“nai nai nai….are you ok’bout that?” มันพูด แล้วมองผมด้วยสายตาที่ระบุไม่ได้ครับ มันมีหลายอารมณ์ปนกันจนแยกกันไม่ออก (nai = ไม่มี)
“ถ้าเมิงจะป้อสาวตรงนี้ ก็ช่าง แต่ทั้งคันรถรอเมิงคนเดียว”มันพูดเสร็จแล้วสะบัดตรูดออกจากคาเฟตไปทันที ผมกล่าวลาแล้วรีบแจ้นตามมันไป
ผมรีบตามมันกลับมาขึ้นรถบัสของทัวร์ มีพี่ไกค์ที่เป็นนักศึกษาไทยในญี่ปุ่น อาจารย์และเพื่อนร่วมการเดินทางของเรามารอพร้อมอยู่แล้วพร้อมกับเสียงเจี๊ยวจ๊าวราวนกกระจอกเทกรังแตกทั้งตับลพร้อมกัน ผมเดินผ่านทุกคนไปยังเบาะที่นั่งข้างไอ้เมศ เห็นมันมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนผมเป็นอากาศธาตุ เบาะข้างๆมันที่ควรเป็นของผม มีกระเป๋ามันวางกองไว้เหมือนไม่ใส่ใจ ผมเลยหยิบวางไว้บนชั้นวางของเหนือศรีษะก่อนจะนั่งลง...แล้วการเดินทางก็เริ่มขึ้น ได้ยินเสียงไกค์พูดแว่วๆว่า ภูเขาไฟฟูจิ
เส้นทางการไปฟูจิซัง หรือภูเขาไฟฟูจินั้น พวกเราจำได้น้อยมากครับ เพราะเมื่อพี่ไกค์เริ่มพูด พวกเราก็เริ่มง่วง จากเดิมที่เสียงดังยิ่งกว่าโรงเรียนอนุบาลลูกเจี๊ยบศึกษาก็พลันเงียบแบบไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก ผมเองก็หลับเช่นกันและอยู่ๆก็ตื่นขึ้นมาเสียเฉยๆ ขณะที่คนทั้งคันรถหลับกันหมด ผมก้มลงจัดท่าทางการนั่งเสียใหม่พลางเสียบหูฟังที่หลุดจากหูเพราะก้มตัวลง เสียงอินโทรของเพลงหนึ่งดังขึ้น ผมจำได้ว่าเพลงนี้ผมขโมยจากนังน้องปูของไอ้เมศมาครับ เสียงเกือบห้าวของนักร้องสาวเป็นสเน่ห์ที่ทำให้ผมและไอ้เมศชอบเธอ ผมดึงหูฟังข้างขวาออกจากหูตัวเอง แล้วค่อยใช้มือเปิดกลุ่มผมที่ปรกหูคนที่หลับพิงตัวกับกระจกรถเบาๆ แล้วเสียบหูฟังเข้าไปแล้วหกให้เล่นเพลงนั้นตั้งแต่ต้นอีกครั้ง ผมเห็นคนนอนหลับสะดุ้งนิดหนึ่งทว่ากลับยังหลับในท่าเดิม เสียงเพลงค่อยดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับเนื้อร้อง
One step too far
All at once I'm falling
Just like a star
I'm burning for you
Thought I could keep myself from feeling this way
I guess that was my first mistake
Cause suddenly I'm walking'
Down a dark street to your door
Wanting you is driving' me insane
And now my feet are standing
Where they've never stood before
Guided by a twist of fate
If I lose myself with you tonight
Fall apart or hold on tight
Wrong or right
I won't be afraid
Cause even if my heart should break
You'd be the best mistake I ever made
Joanna wang :The best mistake I ever made
และผมคิดว่า ผมเห็นคนหลับแอบยิ้มให้เงาสะท้อนรางๆในกระจก
“ว๊าวว~ หิมะใช่ไหม?” เสียงตื่นเต้นจากสองสาวสภาที่นั่งอยู่ข้างหน้าผมกับเมศ ทำให้ตื่นขึ้นมามองรอบตัวเห็นต้นไม้เต็มไปหมด เสียงพี่ไกค์พูดทำให้เรารู้ว่าเรามาถึงฟูจิงัซังแล้ว และกำลังไต่อยู่ที่ชั้น3จากทั้งหมด5ชั้น หากวันไหนอากาศดี เราสามารถเอารถขึ้นไปถึงชั้น1ที่มองเห็นยอดฟูจิซังได้ชัดสุดๆ
“ซากุระๆๆๆ”ช่วงที่เราไปกันนั้น เป็นช่วงที่ซากุระโรยลงหมดแล้ว แต่ที่ฟูจิซังยังพอมีให้เห็นอยู่เล็กน้อย เพราะอากาศบนนี้ยังเย็นอยู่มาก ชั้นสูงๆนี่ยังเห็นหิมะกองกันอยู่ใต้ต้นไม้อยู่เลย
“หยิบกล้องให้หน่อยเร็วๆๆ”ไอ้เมศหันมาบอกผมอย่างตื่นเต้นผมเลยรีบหยิบให้มัน ผมก็ตื่นเต้นด้วยครับ มันหายโกรธแล้ว ได้ยินเสียงมันกดชัตเตอร์กล้องมันอย่างตั้งใจ
“รันย์ๆ ยอดฟูจิ”มันยื่นมือมาเกาๆดึงๆให้ผมชะโงกหน้าไปดูกับมัน ผมก็ว่าง่ายครับ ชะโงกหน้าไปดูกับเขามั่ง
“ไหนๆ”
“แหมเมิง ปากเมิงจะติดหน้ามันแล้ว”โม ญ แซว ผมหันไปยักคิ้วให้มันที
“ถ่ายรูปให้เอาใหม่”มันถามพลางทำท่าตื่นเต้น ผมไม่ขัดศรัทธาหรอกครับ ยื่นกล้องตัวเองให้มัน รถบัสจอดริมทางให้ พวกเราลงไปถ่ายรูปกับยอดฟูจิในวันอากาศเปิดดินฟ้าเป็นใจ
“ลงมาได้แระไอ้คู่ฝาระมีภรรยุงเนี่ย”
เรารีบลงไปถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน ท้องฟ้าสีฟ้าตัวภูเขาสีดำตัดกับสีขาวของหิมะสวย อากาศที่ว่าหนาวไม่ทำให้เรารู้สึกเลยเพราะทุกคนกำลังเมามันส์กับการถ่ายรูป เราวิ่งข้ามไปอีกฟากถนนเพื่อถ่ายภาพให้ใกล้ขึ้น หยิบหิมะมายัดเสื้อกันมั่ง หกล้มหกลุกกันมั่งจนเสื้อกางเกงเปียกไปหมด
“เมิง ป้ายๆๆ”ป้ายเมิงก็ตื่นเต้นเร๊อะไอ้เมศ ที่ป้ายมีที่พอนั่งได้ครับ มันวิ่งไปป้ายอยู่ๆมันก็หายไปจากหน้าจอผมเลยครับ
“อ้าวเฮ้ย!”
“ช่วยกรูด้วยยยยย กรูอยู่นี่”เอ....ผมได้ยินคนเดียวหรือเปล่าครับ อาจเป็นเสียงผีฟูจิพากย์ไทย ไม่ใช้ออริจิเน่าซาวแทรก
“ยืนอึ้งทำเปรี้ยวไร ดึงกุขึ้นไปดิวะ”ไม่ใช่ผีเผอที่ไหนอ่ะครับ ไอ้เมศนั่นแหล่ะมันลงไปนอนกองกะพื้น เพราะขาข้างนึงตกลงไปในหลุมใต้ป้าย หิมะมันบังหลอกตาอยู่เลยไม่เห็นว่าเป็นหลุมเลยก้าวพลาดลงไปหมอบกระแตอยู่บนหิมะ ผมหลุดหัวเราะ
“เร็วเดะกุอายเขานะเมิง”มันพยายามจะลุกครับทำท่ากระดึ๊บๆเหมือนหนอนเลย ผมเลยทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีครับ ถ่ายรูปมันมาสามสี่ช็อตก่อนแล้วค่อยดึงมันขึ้น ปรากฏว่าขากางเกงยีนส์ข้างที่ลงไปอยู่ในหลุมกับเสื้อด้านหน้าทั้งหมดเปียกเป็นปื้นเลยครับ สภาพมันน่าอนาถมาก
“ยังจะหัวเราะอีก ไอ้เพื่อนเวง ไอ้ดอกจิก ไอ้จิ๊กโช่ว”
“ทำไมวะ ตัวกรูกลิ่นเปรี้ยวๆหรือไง”เรื่องไรมาหาว่าผมตัวกลิ่นเปรี้ยวเหมือนจิ๊กโช่ว เดี๋ยวปั๊ดให้พิสูจน์กลิ่น
“ว่าไงวะ ไหนมาพิสูจน์ให้กรูหน่อยเด๊ะ”ผมดันหัวมันให้ดมเสื้อผมด้วยเจตนาโค-ต-ร บริสุทธิ์ คือจะแกล้งมันครับ มันทำตัวแข็ง นึกถึงหมากลัวน้ำเลยครับ น่าน..นั่นแหล่ะ ที่จินตนาการนั่นถูกแล้วครับ
“ไม่เอานะเมิง เล่นเอี้ยอะไรวะ”
“ต้องการที่รโหฐานอัญเชิญหลังโขดหินนะยะ ประเจิดมากนังคู่นี้”โม ญ โฉบผ่านมา ดึงคอเสื้อผมจากข้างหลังแล้วยัดหิมะเย็นเฉียบเข้ามาในเสื้อก้อนใหญ่ ซี๊ดดดดดดดดด~
“ไอ้เปด ยัดเข้ามาได้ ไอ้จิตป่วง”
“เมิงต้องขอบคุณกรูนะที่ไม่ยัดเข้ากางเกง”ว่าแล้วมันก็หัวเราะชอบใจก่อนจะไปรวมกับเพื่อนๆคนอื่น มันโฉดมากครับ ใครพบเห็นตัวมันอย่าเข้าใกล้นะครับ เป็นบุคคลอันตรายระดับซ๊าดเลย
“หึหึหึหึหึหึ”
“หัวเราะไรวะสาด”ผมพูดพลางกระโดดให้หิมะออกจากเสื้อ
“เมิงตลกดีว่ะ”ไอ้เมศพูดไอขาวๆเพราะอากาศหนาวพวยพุ่งออกจากริมฝีปากนั้น ดวงตานั้นสะท้อนเงาร่างของผม ไอ้เมศกลับไปคนเดิม คนที่น่ารักกับเพื่อนๆ คนที่ตลกโป้งชึ่ง คนที่...ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด
ค่ำของวันนั้นยังคงเป็นเวลาฟรีไทม์เช่นเคย วันนี้เนื่องจากเรามาถึงที่พักเลทไปหนึ่งชั่วโมงเต็มแต่เคอร์ฟิวยังเท่าเดิม พวกเราส่วนใหญ่จึงตัดสินใจไปกันไม่ไกลนัก หลายกลุ่มไม่แค้ลวไปชินจุกุ หรือฮาราจุกุ แต่ผมขอผ่านทุกรายการครับ แบบว่าอาการกำเริบครับ ...ไม่ใช่อาการอินเลิฟอินรักมันกำเริบนะครับ แต่เป็นอาการ เล็บขบ มันไม่ใช่อาการเล็บขบแบบทำมดานะครับ แต่เป็นเล็บขบระยะสุดท้าย เคยไหมครับที่เล็บมันขบชนิดเจ็บสุดๆ แน่นอนครับสภาพอย่าให้บอกคือทั้งบวมและแดง(และอาจมีสีอื่นแซม ฮาๆฮือๆ)
“เน่าแน่เมิง” ไอ้เมศลงความเห็นด้วยน้ำเสียงตัดกำลังใจสุดๆ ขณะที่ผมนั่งทำหน้าน่าจะคลับคล้ายหนุ่มดัชชี่ภาคปลาตีนหนีน้ำอยู่บนเตียงไอ้เมศ
“กรูว่ามีตัดขาทิ้ง”โม ญ มันเสริม ดูมันดิครับ เพื่อนผม ร๊ากกกกกผมทุกตัวตน
“เราว่า นะ...ไม่รอด”แชร์รี่เสริม เอาเข้าไปไอ้พวกนี้
“เอาไงอ่ะ ทิ้งมันไว้ หรือว่าจะลากมันไปด้วย” พวกมันปรึกากันข้ามหัวผมเลยครับ เหมือนผมเป็นของอะไรสักอย่าง
“ถ้าลากมันไปด้วย แล้วพรุ่งนี้มันเดินไม่ไหวจะซวยนะ พรุ่งนี้ท่าทางจะเดินเยอะกว่าทุกๆวัน”
“งั้นเอาไงอ่ะ?”
“กรูมีกรรไกรตัดเล็บ ให้มันช่วยตัวเองไป แล้วเมิงไปกะพวกกรู”ไอ้เมศทำท่าคิดตาม
“มันยังไม่กินข้าวเลย งั้นเอางี้ พวกแกไปเหอะ เดี๋ยวกรูอยู่กะมันเอง”ไอ้เมศว่า ผมมองมันอย่างโคตรรักมันเลยครับ
“เอางั้นหรอ จะเอาอะไรจากข้างนอกไหมล่ะ อยากกินไรป่ะ” โม ญ หันมาถามผม ผมเลยมองมันแบบโคตรซึ้งน้ำใจ
“เอาน้ำใจเธอ” โม ญ ทำหน้าคล้ายจะบอกว่า อ้อ หรอ ตบกะโหลกผมหนึ่งที
“ไปเหอะ ไม่ต้องกงไม่ต้องกินมันแระ ไปตามหาน้ำใจเอาเองเหอะ” โม ญ หายไปหยิบกรรไกรตัดเล็บมาให้ก่อนจะชักชวนเพื่อนสาวออกไปข้างนอกเหลือผมกับไอ้เมศแค่สองคน ห้องทั้งโซนของเราเงียบเหงา
“หิวไหม เดินไหวหรือเปล่า?”ไอ้เมศถามพลางยืนไว้อาลัยให้แม่โป้งขวาของผมไปด้วย
“หิวนิดหน่อย เมิงหิวยังล่ะ”
“หิว”มันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หิวมากด้วย”
“อืมไปเหอะ หาของกินกันในนี้แหล่ะ”
“ไม่เจ็บหรอ ซื้อมาฝากก็ได้นะ”
“ไปด้วยกันนี่แหล่ะ เมิงเคยกินข้าวคนเดียวโดยไม่มีกรูหรอ”ไอ้เมศอึ้ง แล้วคาดว่าน่าจะทึ่งเสียวปะปนกัน
สุดท้ายแล้วผมกับไอ้เมศก็ตกลงใจกันว่าจะกินในที่พักซึ่งมีภัตรคารอยู่สามสี่ที่ที่ยังไม่ปิด เราเลือกร้านที่อยู่บนตึกDชั้นเก้า เพราะคิดว่าท่าทางจะแปลกใหม่ดีแม้ราคาจะค่อนข้างแพง และสิ่งที่เราคาดไม่ถึงคือ ทุกคนในร้านแต่งกายค่อนข้างดีผิดกับเราที่มาแบบชิลๆ เมื่อเช้าแต่งยังไง ค่ำนี้ก็ยังอย่างนั้น ที่เลวร้ายสุดเห็นจะเป็นรองเท้าผมล่ะครับ ลากอีแตะช้างดาวสัญชาติไทยฃยขึ้นภัตรคาร จากอาการเล็บขบที่ไม่ถึงั้นต้องเดินกระเผลกก็กลายเป็นว่า ต้องเดินประหนึ่งขาเสียกันเลยทีเดียว(เผื่อว่าจะลดคำครหาได้นิดหน่อยนะครับ คิดตื้นจริงๆ หึหึหึหึ) ดีนะครับที่คนไม่เยอะมาก เราเลือกนั่งโต๊ะติดริมหน้าต่าง ไอ้เมศโชว์แสกเดี๋ยวด้วยการหลับหูหลับตาสั่งอาหาร ซึ่งทางร้านบอกว่า มีเฉพาะช่วงเช้า หน้าแหกหมอญี่ปุ่นไม่รับเย็บล่ะครับ สุดท้ายเลยจบที่พิซซาแบบมิกซ์ ....ไปญี่ปุ่นกินพิซซ่า ไม่น่าเวทนาตอนนี้ก็ไม่รู้จะเวทนาเมื่อไหร่ล่ะครับ ผมได้แต่ สั่งตามมันล่ะครับ
“เมิงดูวิวดิ สวยชิบ”ผมหันไปมองตาม วิวตึกสูงในโตเกียวที่อยู่ถัดจากหมู่แมกไม้ในย่านอยู่อาศัย กำลังสะท้อนแสงสู้ไฟ
“น่าถ่ายรูปชะมัดเลย เสียดายถ่ายรูปไม่ได้”
“แล้วชอบไหมล่ะ?”
“อืม ชอบสิ สวยดี ไม่เหมือนบ้านเรานะ ที่นี่ถึงจะมีตึกสูงๆแล้วคนยั๊วะเยี๊ยะ แต่ทุกซอกทุกมุมของเขามีต้นไม้เยอะแยะ”
“ชอบก็ดีแล้ว”ผมพูดแล้วจิบน้ำเปล่าเย็นๆ อะไรสักอย่างมันดลใจให้ถามบางอย่างออกมา
“แล้วกรูล่ะ ชอบหรือเปล่า?” ผมแอบสะดุ้งกับคำถามของตัวเอง ผมถามคำถามนี้ออกมา ทั้งที่ตัวเองก็ไม่พร้อมกับผลที่จะตามมา ผมหวังและภาวนาให้ไอ้เมศต่อมุขอย่างที่เคยๆ
‘ตัวเมิง เมิงยังไม่รู้ แล้วมาถามกรูได้ไง ตอบไม่ได้เมิงม้วนตัวไปเรียนอนุบาลใหม่เลยปะ’
ทว่าคำตอบที่ผมได้รับ คือความเงียบที่ผิดแผกไปจากทุกที ความเงียบ....ที่ยากจะคาดเดา
********************************
ลป.น้องคนแต่งคะ ชั้นได้ข่าวว่าแกมาโตเกียวตั้งเป็นชาติแล้ว นี่แสดงว่าดองจิงๆ นะเนี่ย