รักไม่รู้ชื่อ (ทำ)ซื่อไม่รู้รัก โดย ภาณุเมศพลัง
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: รักไม่รู้ชื่อ (ทำ)ซื่อไม่รู้รัก โดย ภาณุเมศพลัง  (อ่าน 177229 ครั้ง)

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23
เอามาปล่อยก่อน

ยังไม่ได้อ่านเลย แหะๆ


**************


ตอน๑๑ ความเงียบ ณ โตเกียว

สวัสดีพ่อแม่พี่น้องอีกครั้ง กระผมในรันย์นามสมมุติ(ว่าหล่ออย่างเทพ)เจ้าเก่าเจ้าเดิมมาอีกแล้ว  ครั้งที่แล้วพยายามมีสาระไปแล้ว แต่ดูเหมือนจะยังไม่มีสาระเช่นเดิม แย่หน่อยนะครับ ผมได้พยายามแล้ว  ครั้งนี้เลยจะแก้มืออีกรอบ ได้ปวดหัวเอ้ย...ชวนหัว เย้ย...เอาเป็นว่าให้หัวเราะขำขันแบบปริมาณสมราคา แล้วกันนะครับ

ตอนนี้พวกผมจับเครื่องบิน(จับหมายถึงขึ้น อย่าทำเบลอกับภาษาโบราณนิดๆนะเออ เดี๊ยะจับตบจูบ) ตรงมาที่กรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น  แต่ไม่ได้ร่วมโครงการ ฝาเดียวทัวร์ยกโขลงเหมือนที่มีโฆษณาอยู่นะครับ  พวกผมมากับสถาบันเป็นโปรแกรมStudy tour  ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาที่อยากมาเที่ยวและเรียนในประเทศญี่ปุ่นได้มีโอกาสมาศึกษาดูงานเผื่อวางแผนไว้สำหรับอนาคตของตัวเอง  แน่นอนครับ..ในเมื่อไอ้เมศอยากมา ผมก็ย่อมต้องมาด้วย  พร้อมด้วยเพื่อนๆชาวคณะร่วมทริป๒๐คนได้  เอ่อ...ไม่อยากจะบอกครับว่า สาวสภาฯรอดเข้าทัวร์นี้มาสองหน่อ  อย่าให้บอกเลยครับว่าเป็นใคร ความสยองยังคงอยู่ ติดแน่นทนนานแน่นอน .... อะไรนะครับ?...อยากรู้?....บอกก็ได้ครับ  เอิ่ม...อืมมมมม.... โม ญ สาววายเลือดบริสุทธิ์กับ แชร์รี่ สาววายแบบลักปิดลักเปิด ขอทำเบลอข้ามๆสภาฯสองคนนี้ไปเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินนะครับทุกท่าน

“หนาวเอี้ยๆเลยว่ะ”ถูกครับ  ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ผลิก็จริง แต่พอเดินออกจากเครื่องปั๊บ อาการหนาวสั่นก็มาเยือนเลยครับ  พูดออกมาทีไอจางๆพวยพุ่งแม้แต่เวลาสายเกือบเที่ยง ฝนที่พรำลงมาเรื่อยๆก็เกือบทำให้ทั้งคณะทัวร์ลูกเป็ดไทยส่งกายไปนอกแทบหนาวตาย

“ใครวะมันบอกว่า ๒๓ องศา  องศาหัวใจมันอ่ะดิ”ไอ้เมศบ่นกระปอดกระแปดทันทีที่ลงจากเครื่องบินและปัจจุบัน ขณะที่เราอยู่ที่วัดอะสะกุสะ มันก็ยังบ่นเป็นหมีกินผึ้ง ก่อนเข้าวัดต้องล้างมือให้สะอาดด้วย  แอบเห็นคนญี่ปุ่นบางคนล้างปากด้วย แต่น้ำเย็นมากครับล้างมือเสร็จแล้วนึกว่ามือหาย มันชาครับทุกคน

“เอาน่าเมิง  ข่าวเขาออกแล้วว่า ก่อนเรามาพายุมันเข้า  แผ่นดินไหวอีกตะหาก”

“หนาวอย่างแรงอ่ะเมิง  เมิงไม่หนาวหรือไง?”  

“ก็หนาวนิดหน่อย”ผมใส่เสื้อหนากว่าไอ้เมศเยอะ แลดูเหมือนไอ้หนุ่มฮิปฮอปด้วยเสื้อตัวโคร่ง

“เอามือเมิงมาสิ”ผมว่าพลางจับมือมันมาซุกในกระเป๋าจิ้งโจ้ของเสื้อกันหนาวผม มือมันเย็นเฉียบจากการเพิ่งล้างมือ

“อุ่นว่ะ”

“แน่นอนกรูมันร้อนแรง”

“แหม พวกเมิงๆเนี่ยนะ ในวัดในวาก็ไม่เว้น สวีทกันนอกหน้าจริงจริ๊งหมั่นไส้” ไม่ต้องสงสัยว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรของพวกผมฝ่ายไหน คนที่คุณก็รู้ว่าใคร ผู้หญิงที่เกือบไม่ได้เข้าประเทศ เพราะจะตั๊นปากตม.(จากปากคำคือโดนตม.ด่า ส่งสัยประจำเดือนมาไม่ปรกติ เลยด่าคนเข้าประเทศ)

“มันหนาวนะครับเจ๊”

“เออ ช่างพวกเมิง”โม ญ ว่า ก่อนจะไปเดิน(วินโดว์)ชอปปิ้ง มันขี้งกครับ หึหึหึ ไอ้เมศอีกตัว เดินหัวซอยยันท้ายซอยหน้าวัดอาสากุสะ เสียงตังค์แค่50เยน ค่าเซมเบ้1แผ่น

“เมื่อคืนที่นั่งเครื่องมานอนไม่หลับเลย” หลายคนเลยที่นั่งเครื่องแล้วนอนไม่หลับ ไม่ใช่กลัวหรืออะไรนะครับ แต่มันไม่ยอมหลับจริงๆ  พอ ตั้งท่าจะหลับ มันต้องมีเงาว๊อบแว๊บของพี่แอร์สาวคนสวย หรือไม่ก็มีอะไรรบกวนให้ไม่หลับ   ที่เด็ดสุดคือ ระหว่างกำลังเคลิ้มระยะสุดท้าย ถูกปลุกมากินข้าวเช้าตอนตี2เวลาประเทศไทยครับทุกคน  (ญี่ปุ่นเวลาเร็วกว่าประมาณ2ชม.ได้ครับ)  แต่ก็ดีครับ ได้นั่งมองหน้าไอ้เมศมาตลอดทาง

“อืมกรูเห็นแล้วแหล่ะยุกยิกตลอดเวลา”ผมบอกมันพลางชี้ชวนสาวสภาฯไปที่รูปนักร้องหนุ่มแดนปลาดิบที่พวกนางกรี๊ดกันหนักหนา

“มาญี่ปุ่นเมิงอยากได้อะไรมากสุด?” ไอ้เมศถามขึ้นขณะที่ผมกำลังพิจารณารูปนักร้องพวกนั้นแล้วนึกในใจ กรูหล่อฝ่าเยอะ หึหึหึหึ

“เมิงบอกของเมิงก่อน”

“อยากได้ไอพอดว่ะ ได้ข่าวว่าถูกกว่าเมืองไทย”ผมพยักหน้ารับ พลางช่วยไอ้เมศบังคับร่มไม่ให้ไปเกี่ยวกับร่มคนอื่น

“แล้วเมิงล่ะ?”ผมมองหน้าไอ้เมศคนถาม ก่อนจะตอบอย่างทีเล่นทีจริง

“อยากได้หัวใจเธอ เอาฮี๊ววว~”  ผมมองตาโตๆของมันได้ไม่นาน มันก็เบือนหน้าไปมองร้านขายของกิน ทิ้งให้ผมถอนหายใจยาวเป็นไอขาวลอยคว้างก่อนกลืนหายไปกับอากาศหนาวเย็น

      
ยามค่ำคืนของมหานครโตเกียว มีแสงไฟพราวอย่างเมืองที่ไม่เคยหลับใหล ทริปของเรา มีช่วงฟรีไทม์ตั้งแต่ห้าโมงเย็นจนถึงสี่ทุ่ม ซึ่งแน่นอนครับ กลับกันห้าทุ่มทุกวัน เพราะเดินเพลิน มึนทาง และแน่นอนที่สุดครับ หลงทาง หลงทางแสดงว่าต้องเกิดอาการสับขาหลอกตัวเอง ในสถานที่ที่เคยมาแล้ว ใช่ครับ....พวกผมหลงที่สถานีรถไฟ(railway)สาย Odakyu ซึ่งเป็นสถานีที่นับว่าคนพลุกพล่านวุ่นวายมาก...สถานี ชินจุกุ

“อยากกินซูชิ”นั่นคือประกาศิตที่สองสาวสภาฯลั่นวาจาบนโต๊ะอาหารเช้าที่หอพักของเรา เป็นอันว่า ค่ำนี้เราไปเดินหาซูชิกินกันที่ย่านชินจุกุ เพราะกลับง่าย (แต่ก็ยังหลง)

“มันออกทางไหนวะ?”มากี่ทีก็งงทางครับ

“ทางนี้ๆ กรูจำได้”ไอ้เมศยืนยัน พลางชักชวนให้เพื่อนๆตามไปทางประตูออกที่ทุกคนรู้สึกตะหงิดแปลกๆ มันทำท่าภูมิใจ สอดตั๋วเข้าไปในเครื่อง  แผงกั้นที่เปิดจากคนก่อนหน้า เปิดรอ พอไอ้เมศเดินผ่านเท่านั้น แผงกั้นเจ้ากรรมปิดดัง ผับ!  แต่อาจเพราะความพลิ้วของไอ้เมศ มันไปยืนฝั่งตรงข้ามได้สำเร็จ ด้วยหน้าชื่นตาบานทั้งที่แผงกันมันฟ้อง ว่าผ่านไม่ได้ มาเลยครับ พ่อ เอ้ย~นายสถานี  มาโนะๆเนะๆกันอยู่หลายตลบ  ไอ้เมศมันเยี่ยมจริงครับ  พูดภาษาอังกฤษ แต่นายสถานีตอบเป็นญี่ปุ่น  แต่ก็ยังเข้าใจกันได้ครับ หลังจากเคลียร์กันเรียบร้อย  ไอ้เมศโดนลากกลับเข้ามาที่เดิม แล้วไล่ไปออกประตูอื่น

“ทำไมไม่พูดญี่ปุ่นวะ?”นั่นสิครับ ผมก็สงสัย

“ก็ไม่เห็นหน้านายสถานีเขาหรอ กุเสียเซล์ฟนะเว้ย พูดแล้วทำหน้างงใส่ กรูเลย พูดอังกฤษ”

“แล้วเขาก็ตอบเป็นญี่ปุ่น” ไอ้เมศพยักหน้ารับ แบบไร้สาร(รับแบบหน้าใสใจสะอาดมากๆครับ)

“ แต่ก็ยังคุยรู้เรื่อง กรูละเชื่อเมิงเลย”มันยิ้มแป้นแล้น ไม่รู้สึกรู้สาทำให้เพื่อนได้แต่ถอนใจ ก่อนจะพากันเดินขึ้นสู่ย่านชินจุกุ

ย่านชินจุกุเต็มไปด้วยแสงสี ชาวไทยเจ้าเอ๋ยกลุ่มเล็กๆอย่างพวกผม โผล่ขึ้นจากสถานีตรงตึก star  การเดินเที่ยวในต่างแดนโดยไม่มีคนนำทาง มีแค่หัวเท่าจำนวนคนกับแผนที่คนละแผ่น สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องจำว่า เราเดินผ่านอะไรไปแล้ว ในเมืองที่วุ่นวายและย่านที่พลุกพล่านอย่างย่านใหญ่ๆเช่นชินจุกุ หรือชิบุยะ แล้วสำคัญมากครับ ที่จะไม่พยายามหลงทางกัน  มาโตเกียวสิ่งที่ควรทำคือเดินขึ้นลงเนินครับ ถนนเส้นที่เราเดินอยู่นี้ก็เป็นเนินเช่นกัน   แต่สงสัยว่า เราจะไปกันไม่ถึงร้านซูชิล่ะครับ เพราะสองสาว สะกิดกันยิกๆ เมื่อเห็นร้านราเม็นริมทาง ยังใช้เครื่องปั่นไฟเก่าๆที่ส่งเสียงครึกๆอยู่เลย ร้านตั้งอยู่ริมทาง ตรงหน้าห้างใหญ่เลยครับ เป็นภาพออกจะขัดกับภาพรวมของถนนทั้งเส้น แต่ไม่มีอะไรหยุดพยาธิในท้องสาวสภาฯได้

“ราเม็นเหอะวะ” คำถามที่ถามในน้ำเสียงแต่บังคับในเนื้อความครับ  อย่าครับ...อย่าคิดว่าผมจะต้องหันไปปรึกษาไอ้เมศ  มันล่ะคนแรกล่ะครับ พุ่งไปหาร้านเขาเลย นอกจากร้านเขาจะขายราเม็นชามโตแบบ ราเม็นชามละร้อยบาทเราชิดซ้ายแล้ว ยังขายโอเด้งด้วย

“ikuradesuka?”(*เท่าไหร่ครับ)เริ่มเจรจาล่ะครับ ผมได้ยินสองสาวตกลงแชร์ราเม็นกัน เริ่มยุทธการณ์โนะๆเนะๆอีกครั้งครับ

“เอาอันเดียวครับ ฮิโตสสึ”ไอ้เมศพูดพลางชูนิ้วชิ้ประกอบ เวลาเห็นมันเจรจาต่อรองแล้วขำดีครับ ท่าทางมันตั้งใจมาก หน้าตาจริงจังเหมือนเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย

“เฮ้ยไอ้รันย์ เขามุงอะไรกันวะ?”ไทยมุงเมดอินไทยแลนด์สงสัยครับว่าญี่ปุ่นมุง เขามุงอะไร  ถัดไปไม่กี่ก้าว กลุ่มคนวัยทำงานใส่ชุดสีดำยืนออกันเป็นกลุ่มใหญ่ทั้งชายหญิง เหมือนมีของแปลกอะไรให้ดู ในเมื่อสงสัยก็ต้องพิสูจน์ใช่ไหมครับ

“เดี๋ยวกรูไปดูให้”

“เฮ้ยเดี๋ยว”ไอ้เมศมันยื้อแขนเสื้อผมไว้ พอผมหันมา เจอะตะเกียบคีบโอ้เด้งแทบทิ่มลูกกะตา

“เมิงจะเอาตะเกียบจิ้มลูกตากรูเร๊อะ” ผมว่าพลางหัวเราะ ก่อนจะงับของกิน อร่อยเหาะ2ชิ้น100เยน(30บ.) ขอบอกครับว่าของเขาดีจริงๆ

“Sharkนิคุนะเมิง”(หมายถึงเนื้อฉลาม) ดีนะครับที่ของกินอุดปากสาวสภาฯให้หน้ามืดตามัวไม่งั้น..คงรู้นะครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“เมิงเอาสักภาษาดิ๊”ผมตบหัวมันทีนึง เผื่อว่าเขาจะหดลงสักหน่อย ก่อนจะเดินไปมุงญี่ปุ่นมั่งครับ

ชาวญี่ปุ่นในสูทสีดำเป็นมาตรฐานที่เขามุงๆกันอยู่ทั้งชายหญิง ผมได้พิสูจน์แล้วครับว่า เทพมะเร็งไม่เข้าใครออกใคร  คนปอดไม่แข็งแรงอย่าท้าอย่าลองนะครับ  พอเข้าไปร่วมวงกับเขาเท่านั้น กลิ่นบุหรี่มันตีจมูกทันทีครับ สรุปก็คือ ที่เขายืนกันเป็นกลุ่มก้อน เพราะที่ตรงนั้นเป็นที่สำหรับสูบบุหรี่ ซึ่งคนญี่ปุ่นสูบบุหรี่กันแทบเป็นนิจศีล แต่ไม่สูบเพ่นพ่านนะครับ  หลังจากรมควันศักการะเทพมะเร็งประจำสาขาญี่ปุ่นเรียบร้อยก็กลับมารายงาน  พอดีไอ้พวกนี่ไม่รู้ตายอดตายอยากมาจากไหน มันซัดของกินเรียบ กำลังเอะอะโวยวายกับลุงเจ้าของร้าน ไม่ใช่ตีกันนะครับ พูดคุยกันถูกคอต่างหาก ลุงแกบอกว่าชอบมวยไทย มีเพื่อนทำงานอยู่เมืองไทย เลยได้บินไปไทยบ่อยๆแกบอกแกชอบมาก(ไหนว่าชอบทำไมไม่ลดค่าราเม็งหว่า ..บางเมนูเป็นพันเยนนะครับ แสดงว่าของเขาไม่ใช่เข้ๆ) หลังจากเสวนากันพอแล้วก็ลุยต่อละครับ

หลังจากท้องเริ่มหนักก็ลุยต่อครับ เราเดินท่อมๆไปตามย่านชินจุกุแบบหลับหูหลับตาเดินตามๆเขาไป มุดอุโมงค์ข้ามถนน เจอร้านขายทุเรียนให้เห็นราคาแล้วแขยง ก่อนจะเจอโซนร้านปาจิงโกะ เขาว่ายากุซ่าเยอะนะครับร้านพวกนี้ ไม่แนะนำให้เด็กๆเข้า เพราะเขาจำกัดอายุให้เข้าด้วย อาจต้องถูกตรวจพาสบอร์ดให้เสียวแว๊บๆ เดินไปอีกหน่อยพอให้งงๆทาง มาล่ะครับสิ่งที่ทุกคนเห็นเป็นตาประกายแว๊บๆ คาราโอเกะ ถนนเล็กๆที่ครึกครื้น มองเข้าไปในซอยคนเพียบ บางคนใส่โอเวอร์โค้ต ถือกระดาษหรือป้าย บางคนใส่สูทผมทำสีแนวเท่ห์ๆ ลุยล่ะครับ ฮุ่ย~

“เฮ้ยคนนั้นแม่งน่ารักว่ะ”มันเริ่มล่ะครับ อาการนี้ท่าทางจะเก็บยาก สาวสภาฯเริ่มปฎิบัติการหาอาหารตา

“คนนั้นก็น่ารัก”

“พวกแกตกลงมาดูอะไรกันแน่วะ?”ผมถามอย่างอนาถในอารมณ์นิดๆครับ เพราะคนนึงก็แลดูจะเป็นป้านางหนึ่ง ส่วนอีกคน มันแต่งตัวได้ทอมมาก.... สรุปแล้ว คือมากันสี่ เหมือนมีผู้ชายเสียสาม

“ผู้ชาย!” สองสาว(หรือว่าหนึ่ง?)หันมาตอบโดยพร้อมเพรียง ไอ้เมศมันหัวเราะเยาะ พลางกระเซ้า ว่าเมิงไม่น่าถามพวกมันเลยนะ

“คาราโอเกะสักชั่วโมงมะ?”สาวสภาเริ่มเปิดประเด็น หลังจากเห็นราคาแล้ว ยวนเย้าให้ลิ้มลอง แต่ที่เด็ดกว่า คือเด็กเรียกแขกเข้าร้านครับ คาดว่าเขาคัดหน้าตาแน่นอน ผมว่าผมหล่อแล้ว มันหล่อน้อยกว่าผมหน่อยนึง สองสาวเข้าไปโนะๆเนะๆ ปรกกฎว่า ราคาคาราโอเกะจากที่ค่อนข้างถูกอยู่แล้วยิ่งถูกหนักเข้าไปอีก

“เฮ้ย เราไม่มีเวลาขนาดนั้นว่ะ ต้องกลับก่อนเคอร์ฟิวนะเว้ย” ผมเริ่มประท้วงครับ เห็นไอ้เด็กเรียกแขก มายักคิ้วหลิ่วตาให้คนใกล้ๆตัวแล้วมันจี๊ด

“เออว่ะ เสียดายยยยย”สองสาวบ่นก่อนจะตีตัวออกห่างพ่อเด็กเรียกแขก เดินไปเกือบถึงแยก กลุ่มพวกเราโดนดักหน้าเลยครับ!!  หนุ่มน้อยหน้าตาท่าทางน่าจะสักม.ปลาย ยืนดักหน้า  ทำท่าขยิบตา ให้สองสาวคนนำขบวน  

“เย้ยยยย.......น่าฮักขนาดดดดด”เสียงโอดเบาๆทำให้ไอ้เมศเขาอารมณ์ดี ส่วนสองสาว ช๊อคไปแล้วครับ เจอwinkระยะซูมอิน พลางโฆษณาชวนเชื้อคาราโอเกะที่ทำงานอยู่

“sumimasen jikanganaidesu ..พวกเมิงๆไปกันได้แระ เดี๋ยวไม่ทันเคอร์ฟิว”(ขอโทษครับ พอดีไม่มีเวลา) พั๊วะพ๊ะกับสาวสภาฯสักพักผมชนะได้ทีรีบลากมันเดินต่อเลยครับ  สรุปคือกว่าจะผ่านถนนเส้นนั้นมาได้เล่นเอาผมหอบรับประทาน  ถ้าไม่หอบนี่คงต้องมีลมปราณแก่กล้าแน่นอนครับ เพราะถนนทั้งเส้น มีแต่โฮตส์หนุ่มๆหน้าตาดีใส่สูทยืนเดินกันให้ขวักไขว่  แถวยังมีเด็กเรียกเข้าร้านคาราโอเกะสรรพคุณอย่างข้างต้นอีก นี่แค่ตรอกระยะ ประมาณ ๕๐๐เมตรเท่านั้นนะครับ แล้วลองจินตานาการถึง ตรอกลัษณะแบบนี้อีกหลายๆตรอกสิครับ ผมเหนื่อยเลยครับ สวมบทพ่อจำเป็นลากเพื่อนๆ โดยเฉพาะสาวสภาฯ พวกนางได้พิสูจน์แล้วว่า นางนั้นน่ากลัวขนานไหน  ไอ้เมศก็ไม่ใช่เล่นครับ

“เฮ้ยๆ ยู๊ดดดดดหยุดๆๆ”ทั้งขบวนเราเลยต้องหยุดครับ  มันทำท่าตื่นเต้น ชี้ชวนไปทางขวามือ ร้านคูหาเดียว ที่เปิดไฟแฟนซีดัดเป็นอักษรชื่อร้าน และตัวการ์ตูนสาวเซ็กซี่ สรุปมันคือร้านAVเขียนราคาเป็นนาทีไว้ ติดเรท ฉ ฉิ่งตีดัง  น ๑๘ ไม่เหมาะกับเยาวชน เพราะฉะนั้น ขออธิบายข้ามๆแล้วกัน

“สักครึ่งชั่วโมงมะวะไอ้รันย์”

“เสียตังค์ เพื่อดูAVเนี่ยนะ เมิงกลับไปโหลดดูที่บ้านไป”  

“หูยยยย....มาแล้วทั้งทีขอดูสาขาต้นตำหรับเหอะวะ”มันมาแนวใจแตกนะเนี่ย

“เมิงมีเพื่อนผู้หญิงมาด้วย เกรงใจมันหน่อย เมิงหื่นนะเนี่ย เดี๋ยวกรูจะให้เมิงหื่นให้พอ”ผมหัวเราะกับความคิดจิตเตลิดในหัวครับ เซนเซอร์ตรู๊ดดดดดดดูดเสียงออก

“พวกมันใช่ผู้หญิงที่ไหน” สองสาวมองหน้ากัน ก่อนจะพยักหน้า ประมาณว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ผมเห็นท่าจะชิงเสียกระบวนท่าเสียเองเลยงัดท่าไม้ตายมาชิงใช้ก่อน เพื่อเบรคเกมส์เสิร์ฟ เอ...ตกลงเราพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่ครับ ชักไปไกล

“แต่กรูหิว” ผมพูดพลางส่งสายตาหวานเยิ้มนิดๆอ้อนตรีนหน่อยๆให้มัน สองสาวพอได้ยินเรื่องปากท้องก็พยักหน้าเห็นพ้อง

“อยากกินมาม่า” แน่นอนครับทีมเราออกนอกประเทศทั้งที่ยัดมาม่าไปด้วยคนละสองสามกระป๋อง เผื่อฉุกเฉินแห้งกรอบเหมือนมาม่ายังไม่ลวกน้ำเพราะเงินไหลออกหมดกระเป๋า

“มาโตเกียวทั้งที ดันจะกินมาม่า” ไอ้เมศถึงกับออกอาการเซ็ง ผมยิ้มเอาใจมันทีนึง

“เออ..กลับก็กลับ”


แล้วไอ้คนที่มันบ่นว่าอยากกินมาม่า มันก็ตาย ณ ร้านเค๊ก ในสถานีแทนครับ หลังจากเราคลำทางกลับไปทางตึกสตาร์ โบกมือบ๊ายบายลุงร้านราเม็งอีกที ก็ถึงคราวงงรถไฟอีกรอบ  แต่ก่อนอื่นนี่ โผหาของกินก่อนเลยครับ ร้านเค๊ก เค้กที่ญี่ปุ่นอย่างที่ทุกคนทราบกันดีนะครับ หน้าตามันชวนกินสมราคามันเลยครับ  (แต่ผมว่าคุ้มนะ)  สองสาวฟาดกันไปแบบเบาะๆคนละชิ้น ส่วนผมกับไอ้เมศฟาดกันคนละสอง ไว้แลกกันชิม ตอนแรกว่าจะซื้อไม่เยอะนะครับ แต่เห็นหน้าคนขายชวนอยากหิ้วกลับบ้าน บวกกับหน้าตาขอเค้กชวนน้ำลายไหลเป็นน้ำตก ก็หน้ามืดซื้อมา  ก่อนถึงทางเข้ารถไฟสายOdakyuทางกลับหอพักของพวกเรา ผ่านร้านเบเกอรี่ เกือบได้เวลาปิดร้านพอดีครับ  ร้านคนแน่นพอควร เพราะของเขาจะลดครึ่งราคาเลยครับ  เลยสวมวิญญาณนักรบไทยใจแกล้วกล้า ทะลวงฝ่า เข้าไปได้ขนมปังกลับมาอีกสอง น้ำแอปเปิ้ลชื่นใจ๊ชื่นใจในราคาแสนถูก ที่เล่าถึงของกินเสียมาก เพราะมาที่นี่แล้ว มีแต่ของน่ากินทั้งนั้นครับ พออยากกินก็เลยจัดให้ตัวเองเข้าไปเยอะ แต่รับรองว่าไม่อ้วนครับ เพราะวันนึงๆเราเดินกันเยอะมาก ขึ้นๆลงๆเนินในโตเกียว โดดขึ้นรถไฟสายนั้นสายนี้ ก่อนจะสลบเป็นตายครับ




“ไรวะ กลับมาท้องอิ่มแช่น้ำร้อนหน่อยตาปรือเลยนะเมิง” ผมเปิดประตูห้องมันพลั๊วะโดยไม่ต้องเคาะ แบบว่าลืมตัวครับ  มองเข้าไปในห้องแคบๆที่ชักจะรกเพราะกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่เปิดอ้ามีกองเสื้อถูกรื้อเละๆเทะๆอยู่ในนั้น  บนโต๊ะมีนังน้องปู  โน้ตบุ๊คคู่บุญและสายไฟระโยงระยางของนังพจมานคนสวย แถมยังของสารพัดอย่าง  มีไอ้เมศนั่งตาปรือปรอยหัวชื้นๆอยู่บนเตียงเป็นตัวประกอบ ผมตรงเข้าไปผลักหัวมัน มันทำท่าโงนเงนเหมือนตุ๊กตาล้มลุกจนผมเห็นแล้วอนาถต้องจับมันนั่งตรงๆ

“หัวค่ำล่ะหื่นเชีย ทีนี้ทำซึมนะเมิง” ผมพูดพลางจัดทรงผมให้หล่อเนี๊ยบทุกท่วงท่าที่กระจกตรงผนังใกล้ประตู  ตอนนี้สภาพห้องคงน่าอึดอัดไม่น้อย เพราะผู้ชายตัวไซส์มาตรฐานชายไทยสองคนอยู่ในห้องแคบๆนี้

“ห้องข้างๆมันชวนไปดูหนัง จะไปป่ะ เมิงอยากไม่ใช่หรอ หึหึหึหึ”หนังสารคดีเสียด้วยสิครับ

“ไม่อ่ะ จะนอน”

“หัวยังเปียกเนี่ยนะ เดี๋ยวราแด๊กซ์หัวหรอก”อากาศที่นี่ค่อนข้างชื้นนะครับ เพราะฝนตกทุกวัน มาช่วงมรสุมเรียบชายฝั่งพอดี นอนหัวไม่แห้งมีสิทธิ์เพาะเชื้อราบนหัวแบบไม่ได้ตั้งใจเอาง่ายๆ

“เอ้า เช็ดๆซะ พอแห้งๆหน่อยแล้วค่อยนอน”ไอ้เมศมองผมด้วยสายตาว่างเปล่า เหมือนสงสัยว่าผ้าเช็ดตัวในมือผมมันคืออะไร ....ควายน้อยมันน่ารักจริงๆหึหึหึ ผมเลยโยนผ้าเช็ดตัวที่มันแขวนไว้กับผนังโยนคลุมหัวมัน

“เช็ดดิวะ รอให้มันงอกเป็นต้นฝ้ายหรือไง” ทุกคนสงสัยเหมือนผมไหมว่า ตกลงผมเป็นเพื่อนมันหรือพ่อมันกันแน่ ผมเช็ดกะโหลกให้ไอ้เมศด้วยอารมย์เหมือนเอาผ้าขี้ริ้วถูหมาเลยครับ  ถูแล้วมันมันส์เขี้ยว มันไม่โวยวายเลยครับ ปรกติมันต้องแหกปากลั่นโลกแล้ว แต่นี่เงียบสนิทสงสัยจะเหนื่อยจริง

“ออยยยยยยยยยยย”มันร้องเสียงเหมือนกบออกมาเมื่อผมจับไหล่มันสองข้างแล้วเขย่าๆถี่ๆ สนุกดิครับงานนี้ มันให้แกล้งฟรี มันร้องเหมือนกบสะอึกออกมาอีกทีแล้วนอนแปะกับเตียง

“ไรว๊า ไม่ไปดูหนังกะกรูหรอ”ที่นี่ในห้องไม่มีทีวีครับ มีให้ดูที่โซนนั่งเล่นรวมแทน ในกรณีดูหนังแบบไม่ต้องการความเป็นส่วนตัวมากนักนะครับ ถ้าอยากได้ส่วนตัวสุดๆก็เชิญห้องใครห้องมันล่ะครับงานนี้

“หนาว”

“เหยิบๆไปหน่อยดิ๊”ผมล็อคห้องแล้วปิดไฟก่อนจะเดินไปหาคนบนเตียงช้าๆ  แล้วโน้มตัวลงบนเตียง....
.
.
.
.
.
.
.
.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-07-2008 19:34:12 โดย krappom »

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23

.
.
.
.
.
.
.
.
.
ยังครับ ไม่ได้มีอะไรชวนซี๊ดสิวสยิวกายแต่ประการใด ผมผลัก น่าจะเรียกว่า‘กลิ้ง’มันเข้าไปนอนชิดผนัง ก่อนผมจะลงไปนอนเบียดบนเตียงแคบๆนั้นอีกคน

“เมิงจะเบียดกะกรูทำกล้วยอะไรวะ”

“นอนคนเดียวหนาวนะเมิงขอบอก”ผมพลิกกายตะแคงไปด้านที่ไอ้เมศนอน   หน้าเราห่างกันแค่นิดเดียวด้วยความแคบของเตียง มันมองตาผมฝ่าความมืดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปิดตาลง เป็นอันว่าข้อตกลงเป็นอันใช้ได้ คืนนี้ผมได้นอนฟังเสียงรถไฟวิ่งกึงกังเสียงติ๊งตั๊งจากแถบกันรางรถไฟ และเสียงลมหายใจของคนที่ ผมคิดว่าชอบมัน อิจฉาใช่ไหมล่ะครับ

“อย่าลืมตั้งเวลาปลุก”เสียงงัวเงียพลางขยับตัวของไอ้เมศทำให้ผมยิ้มออกมาในความมืดสลัว ผมรับคำมันเบาๆ ว่า ‘ครับๆ’




เช้าแล้ววันนี้พวกเรามีคิวออกนอกโตเกียวกันครับ เวลาอาหารเช้าที่กำหนดไว้คือมาทานตอนเจ็ดโมงจะได้ไปถึงที่หมายไม่สายเกิน ที่นี่เรื่องความตรงต่อเวลาสำคัญมากครับ แล้วเหล่านักเรียนไทยอย่างเราๆก็ย้วยกันได้ถึงใจจริงๆด้วยการตื่นสายสุดๆ เราเข้ามาโรงอาหารตอนเจ็ดโมงสิบห้าครับ สาวๆมาก่อนแล้ว ยิ่งสายคนในโรงอาหารยิ่งเยอะต่อคิวกันหน้ามืด  เนื่องจากที่พักของเราเป็นสถานที่ที่เยาวชนจากหลายๆที่มักเข้ามาพัก มาทำกิจกรรมแบบข้ามประเทศกัน รวมถึงมีการประชุมสัมนาต่างๆด้วย จึงเป็นภาพที่เราเห็นแล้วแปลกตาดีครับ ฝรั่งหัวทองชายหญิง นั่งปนกับเอเชียชาติอื่นๆ   บางทีก็เป็นเด็กวัยรุ่นนั่งร่วมโต๊ะกับพนักงานบริษัทใส่สูธสีดำเรียบสนิท  เพราะคนเยอะโต๊ะนั่งเลยไม่ค่อยจะพอ

“ท่าทางอิดโรยเหมือนคนนอนไม่พอนะ ไปทำไรกันมาล่ะเมื่อคืน”เสียงจากฝั่งตรงข้ามบูธอาหารดังมาขณะผมตักแซลม่อนชิ้นสีส้มสวยใส่จานที่มีขนมปังก้อนใหญ่วางรออยู่แล้ว ผมเงยหน้ามองสาวสภาสองคนที่กำลังตักปลาชนิดอื่นๆใส่จาน

“ก็ไอ้เมศอ่ะดิ แม่ม นอนกัดฟันกรอดๆทั้งคืน ฟันแม่มร่วงหมดปากยังไม่รู้”

“โทษทีกุฝันว่าแทะไก่ย่างห้าดาวว่ะ”
 
“ อ้อหรอ  แล้วนั่นรอยอะไรที่คอวะไอ้เมศ อุ้ย!.... หนุ่มสูทแว่น” โม ญ ว่า พลางมองแทบลอยตามหนุ่มหน้าใสในชุดสูท แน่นอนว่าใส่แว่นตาด้วยไป  หลังจากแม่นางหย่อนระเบิดไว้ ก็หายลับตามสูทแว่นเอ้ย กลีบเมฆไปโจ้อาหารเช้าทันที คาดว่ารอยที่มันว่านั่น มันต้องเป็นใฝในลูกตามันแน่นอน  ผมได้แค่ระอาใจล่ะครับงานนี้  หันไปหยิบแก้วพลาสติกสีชา มาสี่ใบ ใส่น้ำเหล่าและนมอย่างละใบแล้ววางลงในถาดไอ้เมศให้มันไปก่อน ก่อนจะทำอย่างเดียวกันใส่ถาดตัวเอง พอถือถาดหันออก ก็เกือบชนกับสาวออฟฟิซน่าตาน่ารักเหมือนนางแบบนิตยสารเข้า ผมถึงกับผงะ

“sumimasen”นึกอะไรไม่ออกพูดไว้ครับประโยคนี้

“that’s ok” อ้าวเวง พ่นประกิตใส่ซะงั้น  ผมแอบเสียเซล์ฟเล็กๆเลยได้แต่ส่งยิ้มสยามให้แทนแล้วรีบจ้วงไปที่โต๊ะเลยครับ ที่นั่นมี ไอ้เมศที่มองตรงมาที่ผม สองสาวสภาและเพื่อนๆที่มาด้วยกันอีก พอผมนั่งลงเท่านั้น ทุกคนมองกันเป็นตาเดียว

“อะไรวะ”

“เจ๊าะแจ๊ะกะสาว ไม่สนไอ้เมศแล้วน้อ~” ช่างหาเหามาใส่หัวจริงนะไอ้พวกนี้ ตัวนำเป็นใครไม่ต้องบอกนะครับ

“อ้าวเล้งกะเม้งทำไรอ่ะ”สาวสภาลักปิดลักเปิดเอากะเขามั่ง เพื่อนหนุ่มสองคน ที่ชื่อจริงเขามี แต่เธอสองคนก็เปลี่ยนให้ เป็นเล้งกับเม้งด้วยเหตุผลง่ายๆ จำชื่อมันไม่ได้  สองหนุ่มที่กำลังคีบอาหารจากจานของอีกคนชะงัก ท่าทางตกใจ อย่างว่าล่ะครับ มันไม่ค่อยคุ้นก็เงี้ย ผมส่งซอสปรุงรสหมาบลูด๊อก(เพราะที่ฉลายมีลายหมาบลูด๊อกเป็นพรีเซนเตอร์)ให้ไอ้เมศ มันแค่มองแต่ไม่แตะต้อง ผมมองอย่างสงสัย ปรกติมันชอบเติมซอสนั่นนิดนี่หน่อย แต่วันนี้มันไม่เติมอะไรเลย ปรากฏการทางธรรมชาติประหลาดแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับผมมาก่อนครับ สิ่งที่ผมทำได้คือดูท่าที

“บรรยายกาศ....อึมได้อีก…เน๊อะ”

“อืม....สูทแว่นคนผมน้ำตาลน่ารัก”สองสาวกระซิบกันเบาๆ  ผมหันไปมองตัวที่คาดว่าเป็นต้นเหตุพลางแสยะยิ้มน่ารักให้ที มันเลยรีบกินกันใหญ่  หลังจากผมกับไอ้เมศเงียบอยู่นาน ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหวครับ  ปรกติ ถึงมันจะเพิ่งตื่นแล้วหงุดหงิด  หรือยังง่วงอยู่ มันก็ยังพอจะชวนคุยบ้าง แต่นี่เงียบแอร์ดัง เงียบเป่าสากดีๆนี่เอง

“เอาซุปเพิ่มไหม?” มันวางตะเกียบลงเป็นสัญญาณว่าอิ่มและไม่ต้องการกินอะไรอีกแล้ว ผมมองหน้ามันแบบงงๆ พยายามมองตามันว่ามันคิดอะไร แต่มันหลบตานี่สิครับ

“เขารอเมิงอยู่แน่ะ” มันพูดเบาๆ เหมือนอยากให้ได้ยินแค่สองคน แล้วบุ้ยใบ้ไปที่มุมหนึ่งของคาเฟต สาวออฟฟิซน่ารักคนนั้น ยืนรีๆรอๆอยู่ที่โซนเก็บถาด ที่ทุกคนเมื่อกินอิ่มแล้ว ต้องไปเก็บ

“ไปสิ”ผมมองหน้ามันเหมือนคนไม่เข้าใจภาษา .....และมันยังคงไม่สบตาผมเหมือนเคย จากการกะระยะสายตาของมันแล้ว

“เมิงมองคอกรูทำไมนักหนา คอกรูมีเลขหวยหรือไง จะได้โทรกลับไปบอกแม่”

“haiyaku สายแล้วนะ”โคซากะเซนเซ อาจารย์ที่ตามมาดูแลเราในทริปนี้ เดินมาเร่ง เป็นผลให้ทั้งโต๊ะเริ่มกินรีบไปล่ะครับ เอิ่ม...วันนี้อาจารย์ก็ยังน่ารักครับ  หึหึหึหึ

“โคตรเห็นแก่กินเลย”ไอ้มเศหันไปกัดกับโม ญ และแชร์รี่ ที่กำลังพยายามม้วนขนมปังใส่ทิชชู่ เนื่องจากที่นี่ห้ามเอาของกินออกข้างนอกครับ มันเลยต้องกักตุนเสบียงแบบนี้

“เอาน่า ก็ตรูจะกินอ่ะ”

“สมน้ำหน้า แทนที่จะรีบกิน”

“ก็ชั้นไม่ได้มานั่งกินก่อนเหมือนแกนี่หว่า”ทั้งสามยังคงทะเลาะกันไม่อายญี่ปุ่นมอง เหมือนเด็กๆเลยครับ ผมเลยต้องทำหน้าที่พ่ออีกแล้ว

“เออๆ พอแล้ว รำคาญ”

      
         ผมไล่ไอ้ตัวป่วนสามตัวให้ไปเก็บกันล่วงหน้า มันบ่นกันกระปอดกระแปดว่าผมทำตัวเหมือนพ่อมันก็ไม่ปาน  บ่นว่าผมเข้าข้างอีกฝ่ายมั่งล่ะ ผมจะบ้าครับ ไอ้พวกนี้  ผมแยกขยะจะพวกทิชชูลงถังขยะ เก็บตะเกียบใช้แล้วลงในที่เสียบ ก่อนจะวางถาดลงในรางเลื่อนที่มีหนักงานทำหน้าที่เตรียมรับไว้แล้ว ก่อนจะเดินไปล้างมือทบ้วนปากที่อ่างใกล้ๆ เด็กอนาถ เอ้ย อนามัย ครับ  ผมบ้วนปวกด้วยน้ำอุ่นเรียบร้อย พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นสาวออฟฟิซคนนั้น

“ohaiyogosaimasu” เธอทักมาผมเลยงึมงำตอบ  ผมเลือกจะเงียบไว้เพราะนึกไม่ออกว่าจะถามเขาอย่างไร

“What’s your name?” ภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นพอจับใจความได้ จะดีหรอครับถามชื่อกันแบบโต้งๆ ไม่กลัวไก่ตื่นกันเลย

“I’m Run And you are?” ผมหลิ่วตาลงเล็กน้อย ยกยิ้มจางๆให้เธอ พลางลอบสังเกตุฃกริยาและเห็นรอยซับสีเลือดจางๆบนดวงหน้าของเธอ

“I’m kurumi.Do you have any free time I want to ….”

“iee….jikanganai”(*ไม่....ไม่มีเวลา)น้ำเสียงไร้เยื่อใยสุดๆเสียงหนึ่งแทรกขึ้นจากข้างหลังเธอ ไอ้เมศก้าวอาดๆมาที่เรา

“nai nai nai….are you ok’bout that?” มันพูด แล้วมองผมด้วยสายตาที่ระบุไม่ได้ครับ มันมีหลายอารมณ์ปนกันจนแยกกันไม่ออก  (nai = ไม่มี)

“ถ้าเมิงจะป้อสาวตรงนี้ ก็ช่าง แต่ทั้งคันรถรอเมิงคนเดียว”มันพูดเสร็จแล้วสะบัดตรูดออกจากคาเฟตไปทันที  ผมกล่าวลาแล้วรีบแจ้นตามมันไป




ผมรีบตามมันกลับมาขึ้นรถบัสของทัวร์ มีพี่ไกค์ที่เป็นนักศึกษาไทยในญี่ปุ่น อาจารย์และเพื่อนร่วมการเดินทางของเรามารอพร้อมอยู่แล้วพร้อมกับเสียงเจี๊ยวจ๊าวราวนกกระจอกเทกรังแตกทั้งตับลพร้อมกัน  ผมเดินผ่านทุกคนไปยังเบาะที่นั่งข้างไอ้เมศ  เห็นมันมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนผมเป็นอากาศธาตุ เบาะข้างๆมันที่ควรเป็นของผม มีกระเป๋ามันวางกองไว้เหมือนไม่ใส่ใจ ผมเลยหยิบวางไว้บนชั้นวางของเหนือศรีษะก่อนจะนั่งลง...แล้วการเดินทางก็เริ่มขึ้น ได้ยินเสียงไกค์พูดแว่วๆว่า ภูเขาไฟฟูจิ


เส้นทางการไปฟูจิซัง หรือภูเขาไฟฟูจินั้น พวกเราจำได้น้อยมากครับ  เพราะเมื่อพี่ไกค์เริ่มพูด พวกเราก็เริ่มง่วง จากเดิมที่เสียงดังยิ่งกว่าโรงเรียนอนุบาลลูกเจี๊ยบศึกษาก็พลันเงียบแบบไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก  ผมเองก็หลับเช่นกันและอยู่ๆก็ตื่นขึ้นมาเสียเฉยๆ ขณะที่คนทั้งคันรถหลับกันหมด  ผมก้มลงจัดท่าทางการนั่งเสียใหม่พลางเสียบหูฟังที่หลุดจากหูเพราะก้มตัวลง  เสียงอินโทรของเพลงหนึ่งดังขึ้น  ผมจำได้ว่าเพลงนี้ผมขโมยจากนังน้องปูของไอ้เมศมาครับ เสียงเกือบห้าวของนักร้องสาวเป็นสเน่ห์ที่ทำให้ผมและไอ้เมศชอบเธอ ผมดึงหูฟังข้างขวาออกจากหูตัวเอง แล้วค่อยใช้มือเปิดกลุ่มผมที่ปรกหูคนที่หลับพิงตัวกับกระจกรถเบาๆ แล้วเสียบหูฟังเข้าไปแล้วหกให้เล่นเพลงนั้นตั้งแต่ต้นอีกครั้ง   ผมเห็นคนนอนหลับสะดุ้งนิดหนึ่งทว่ากลับยังหลับในท่าเดิม  เสียงเพลงค่อยดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับเนื้อร้อง

One step too far
All at once I'm falling
Just like a star
I'm burning for you
Thought I could keep myself from feeling this way
I guess that was my first mistake

Cause suddenly I'm walking'
Down a dark street to your door
Wanting you is driving' me insane
And now my feet are standing
Where they've never stood before
Guided by a twist of fate

If I lose myself with you tonight
Fall apart or hold on tight
Wrong or right
I won't be afraid
Cause even if my heart should break
You'd be the best mistake I ever made
Joanna wang :The best mistake I ever made

และผมคิดว่า ผมเห็นคนหลับแอบยิ้มให้เงาสะท้อนรางๆในกระจก


“ว๊าวว~ หิมะใช่ไหม?” เสียงตื่นเต้นจากสองสาวสภาที่นั่งอยู่ข้างหน้าผมกับเมศ ทำให้ตื่นขึ้นมามองรอบตัวเห็นต้นไม้เต็มไปหมด เสียงพี่ไกค์พูดทำให้เรารู้ว่าเรามาถึงฟูจิงัซังแล้ว และกำลังไต่อยู่ที่ชั้น3จากทั้งหมด5ชั้น หากวันไหนอากาศดี เราสามารถเอารถขึ้นไปถึงชั้น1ที่มองเห็นยอดฟูจิซังได้ชัดสุดๆ

“ซากุระๆๆๆ”ช่วงที่เราไปกันนั้น เป็นช่วงที่ซากุระโรยลงหมดแล้ว  แต่ที่ฟูจิซังยังพอมีให้เห็นอยู่เล็กน้อย เพราะอากาศบนนี้ยังเย็นอยู่มาก ชั้นสูงๆนี่ยังเห็นหิมะกองกันอยู่ใต้ต้นไม้อยู่เลย

“หยิบกล้องให้หน่อยเร็วๆๆ”ไอ้เมศหันมาบอกผมอย่างตื่นเต้นผมเลยรีบหยิบให้มัน ผมก็ตื่นเต้นด้วยครับ มันหายโกรธแล้ว ได้ยินเสียงมันกดชัตเตอร์กล้องมันอย่างตั้งใจ

“รันย์ๆ ยอดฟูจิ”มันยื่นมือมาเกาๆดึงๆให้ผมชะโงกหน้าไปดูกับมัน ผมก็ว่าง่ายครับ ชะโงกหน้าไปดูกับเขามั่ง

“ไหนๆ”

“แหมเมิง ปากเมิงจะติดหน้ามันแล้ว”โม ญ แซว ผมหันไปยักคิ้วให้มันที

“ถ่ายรูปให้เอาใหม่”มันถามพลางทำท่าตื่นเต้น ผมไม่ขัดศรัทธาหรอกครับ ยื่นกล้องตัวเองให้มัน รถบัสจอดริมทางให้ พวกเราลงไปถ่ายรูปกับยอดฟูจิในวันอากาศเปิดดินฟ้าเป็นใจ 

“ลงมาได้แระไอ้คู่ฝาระมีภรรยุงเนี่ย”

เรารีบลงไปถ่ายรูปอย่างสนุกสนาน  ท้องฟ้าสีฟ้าตัวภูเขาสีดำตัดกับสีขาวของหิมะสวย อากาศที่ว่าหนาวไม่ทำให้เรารู้สึกเลยเพราะทุกคนกำลังเมามันส์กับการถ่ายรูป เราวิ่งข้ามไปอีกฟากถนนเพื่อถ่ายภาพให้ใกล้ขึ้น  หยิบหิมะมายัดเสื้อกันมั่ง  หกล้มหกลุกกันมั่งจนเสื้อกางเกงเปียกไปหมด

“เมิง ป้ายๆๆ”ป้ายเมิงก็ตื่นเต้นเร๊อะไอ้เมศ  ที่ป้ายมีที่พอนั่งได้ครับ มันวิ่งไปป้ายอยู่ๆมันก็หายไปจากหน้าจอผมเลยครับ

“อ้าวเฮ้ย!”

“ช่วยกรูด้วยยยยย กรูอยู่นี่”เอ....ผมได้ยินคนเดียวหรือเปล่าครับ อาจเป็นเสียงผีฟูจิพากย์ไทย ไม่ใช้ออริจิเน่าซาวแทรก

“ยืนอึ้งทำเปรี้ยวไร ดึงกุขึ้นไปดิวะ”ไม่ใช่ผีเผอที่ไหนอ่ะครับ ไอ้เมศนั่นแหล่ะมันลงไปนอนกองกะพื้น เพราะขาข้างนึงตกลงไปในหลุมใต้ป้าย หิมะมันบังหลอกตาอยู่เลยไม่เห็นว่าเป็นหลุมเลยก้าวพลาดลงไปหมอบกระแตอยู่บนหิมะ ผมหลุดหัวเราะ

“เร็วเดะกุอายเขานะเมิง”มันพยายามจะลุกครับทำท่ากระดึ๊บๆเหมือนหนอนเลย ผมเลยทำตัวเป็นเพื่อนที่ดีครับ  ถ่ายรูปมันมาสามสี่ช็อตก่อนแล้วค่อยดึงมันขึ้น ปรากฏว่าขากางเกงยีนส์ข้างที่ลงไปอยู่ในหลุมกับเสื้อด้านหน้าทั้งหมดเปียกเป็นปื้นเลยครับ สภาพมันน่าอนาถมาก

“ยังจะหัวเราะอีก ไอ้เพื่อนเวง ไอ้ดอกจิก ไอ้จิ๊กโช่ว”

“ทำไมวะ ตัวกรูกลิ่นเปรี้ยวๆหรือไง”เรื่องไรมาหาว่าผมตัวกลิ่นเปรี้ยวเหมือนจิ๊กโช่ว  เดี๋ยวปั๊ดให้พิสูจน์กลิ่น

“ว่าไงวะ ไหนมาพิสูจน์ให้กรูหน่อยเด๊ะ”ผมดันหัวมันให้ดมเสื้อผมด้วยเจตนาโค-ต-ร บริสุทธิ์ คือจะแกล้งมันครับ มันทำตัวแข็ง นึกถึงหมากลัวน้ำเลยครับ น่าน..นั่นแหล่ะ ที่จินตนาการนั่นถูกแล้วครับ

“ไม่เอานะเมิง เล่นเอี้ยอะไรวะ”

“ต้องการที่รโหฐานอัญเชิญหลังโขดหินนะยะ ประเจิดมากนังคู่นี้”โม ญ โฉบผ่านมา ดึงคอเสื้อผมจากข้างหลังแล้วยัดหิมะเย็นเฉียบเข้ามาในเสื้อก้อนใหญ่ ซี๊ดดดดดดดดด~

“ไอ้เปด ยัดเข้ามาได้ ไอ้จิตป่วง”

“เมิงต้องขอบคุณกรูนะที่ไม่ยัดเข้ากางเกง”ว่าแล้วมันก็หัวเราะชอบใจก่อนจะไปรวมกับเพื่อนๆคนอื่น มันโฉดมากครับ ใครพบเห็นตัวมันอย่าเข้าใกล้นะครับ เป็นบุคคลอันตรายระดับซ๊าดเลย

“หึหึหึหึหึหึ”

“หัวเราะไรวะสาด”ผมพูดพลางกระโดดให้หิมะออกจากเสื้อ

“เมิงตลกดีว่ะ”ไอ้เมศพูดไอขาวๆเพราะอากาศหนาวพวยพุ่งออกจากริมฝีปากนั้น ดวงตานั้นสะท้อนเงาร่างของผม ไอ้เมศกลับไปคนเดิม คนที่น่ารักกับเพื่อนๆ คนที่ตลกโป้งชึ่ง คนที่...ผมอยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด

         
         
ค่ำของวันนั้นยังคงเป็นเวลาฟรีไทม์เช่นเคย  วันนี้เนื่องจากเรามาถึงที่พักเลทไปหนึ่งชั่วโมงเต็มแต่เคอร์ฟิวยังเท่าเดิม พวกเราส่วนใหญ่จึงตัดสินใจไปกันไม่ไกลนัก หลายกลุ่มไม่แค้ลวไปชินจุกุ หรือฮาราจุกุ แต่ผมขอผ่านทุกรายการครับ  แบบว่าอาการกำเริบครับ ...ไม่ใช่อาการอินเลิฟอินรักมันกำเริบนะครับ แต่เป็นอาการ เล็บขบ มันไม่ใช่อาการเล็บขบแบบทำมดานะครับ แต่เป็นเล็บขบระยะสุดท้าย  เคยไหมครับที่เล็บมันขบชนิดเจ็บสุดๆ แน่นอนครับสภาพอย่าให้บอกคือทั้งบวมและแดง(และอาจมีสีอื่นแซม ฮาๆฮือๆ)

“เน่าแน่เมิง” ไอ้เมศลงความเห็นด้วยน้ำเสียงตัดกำลังใจสุดๆ ขณะที่ผมนั่งทำหน้าน่าจะคลับคล้ายหนุ่มดัชชี่ภาคปลาตีนหนีน้ำอยู่บนเตียงไอ้เมศ

“กรูว่ามีตัดขาทิ้ง”โม ญ มันเสริม ดูมันดิครับ  เพื่อนผม ร๊ากกกกกผมทุกตัวตน

“เราว่า นะ...ไม่รอด”แชร์รี่เสริม  เอาเข้าไปไอ้พวกนี้

“เอาไงอ่ะ ทิ้งมันไว้ หรือว่าจะลากมันไปด้วย” พวกมันปรึกากันข้ามหัวผมเลยครับ เหมือนผมเป็นของอะไรสักอย่าง

“ถ้าลากมันไปด้วย แล้วพรุ่งนี้มันเดินไม่ไหวจะซวยนะ พรุ่งนี้ท่าทางจะเดินเยอะกว่าทุกๆวัน”

“งั้นเอาไงอ่ะ?”

“กรูมีกรรไกรตัดเล็บ ให้มันช่วยตัวเองไป แล้วเมิงไปกะพวกกรู”ไอ้เมศทำท่าคิดตาม

“มันยังไม่กินข้าวเลย  งั้นเอางี้ พวกแกไปเหอะ เดี๋ยวกรูอยู่กะมันเอง”ไอ้เมศว่า ผมมองมันอย่างโคตรรักมันเลยครับ

“เอางั้นหรอ จะเอาอะไรจากข้างนอกไหมล่ะ อยากกินไรป่ะ” โม ญ หันมาถามผม ผมเลยมองมันแบบโคตรซึ้งน้ำใจ

“เอาน้ำใจเธอ” โม ญ ทำหน้าคล้ายจะบอกว่า อ้อ หรอ ตบกะโหลกผมหนึ่งที

“ไปเหอะ ไม่ต้องกงไม่ต้องกินมันแระ ไปตามหาน้ำใจเอาเองเหอะ” โม ญ หายไปหยิบกรรไกรตัดเล็บมาให้ก่อนจะชักชวนเพื่อนสาวออกไปข้างนอกเหลือผมกับไอ้เมศแค่สองคน ห้องทั้งโซนของเราเงียบเหงา

“หิวไหม เดินไหวหรือเปล่า?”ไอ้เมศถามพลางยืนไว้อาลัยให้แม่โป้งขวาของผมไปด้วย

“หิวนิดหน่อย เมิงหิวยังล่ะ”

“หิว”มันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“หิวมากด้วย”

“อืมไปเหอะ หาของกินกันในนี้แหล่ะ”

“ไม่เจ็บหรอ ซื้อมาฝากก็ได้นะ”

“ไปด้วยกันนี่แหล่ะ เมิงเคยกินข้าวคนเดียวโดยไม่มีกรูหรอ”ไอ้เมศอึ้ง แล้วคาดว่าน่าจะทึ่งเสียวปะปนกัน



สุดท้ายแล้วผมกับไอ้เมศก็ตกลงใจกันว่าจะกินในที่พักซึ่งมีภัตรคารอยู่สามสี่ที่ที่ยังไม่ปิด เราเลือกร้านที่อยู่บนตึกDชั้นเก้า เพราะคิดว่าท่าทางจะแปลกใหม่ดีแม้ราคาจะค่อนข้างแพง และสิ่งที่เราคาดไม่ถึงคือ ทุกคนในร้านแต่งกายค่อนข้างดีผิดกับเราที่มาแบบชิลๆ เมื่อเช้าแต่งยังไง ค่ำนี้ก็ยังอย่างนั้น ที่เลวร้ายสุดเห็นจะเป็นรองเท้าผมล่ะครับ ลากอีแตะช้างดาวสัญชาติไทยฃยขึ้นภัตรคาร  จากอาการเล็บขบที่ไม่ถึงั้นต้องเดินกระเผลกก็กลายเป็นว่า ต้องเดินประหนึ่งขาเสียกันเลยทีเดียว(เผื่อว่าจะลดคำครหาได้นิดหน่อยนะครับ คิดตื้นจริงๆ หึหึหึหึ) ดีนะครับที่คนไม่เยอะมาก เราเลือกนั่งโต๊ะติดริมหน้าต่าง  ไอ้เมศโชว์แสกเดี๋ยวด้วยการหลับหูหลับตาสั่งอาหาร ซึ่งทางร้านบอกว่า มีเฉพาะช่วงเช้า หน้าแหกหมอญี่ปุ่นไม่รับเย็บล่ะครับ สุดท้ายเลยจบที่พิซซาแบบมิกซ์ ....ไปญี่ปุ่นกินพิซซ่า ไม่น่าเวทนาตอนนี้ก็ไม่รู้จะเวทนาเมื่อไหร่ล่ะครับ  ผมได้แต่ สั่งตามมันล่ะครับ

“เมิงดูวิวดิ สวยชิบ”ผมหันไปมองตาม วิวตึกสูงในโตเกียวที่อยู่ถัดจากหมู่แมกไม้ในย่านอยู่อาศัย กำลังสะท้อนแสงสู้ไฟ

“น่าถ่ายรูปชะมัดเลย เสียดายถ่ายรูปไม่ได้”

“แล้วชอบไหมล่ะ?”

“อืม ชอบสิ สวยดี ไม่เหมือนบ้านเรานะ ที่นี่ถึงจะมีตึกสูงๆแล้วคนยั๊วะเยี๊ยะ แต่ทุกซอกทุกมุมของเขามีต้นไม้เยอะแยะ”

“ชอบก็ดีแล้ว”ผมพูดแล้วจิบน้ำเปล่าเย็นๆ อะไรสักอย่างมันดลใจให้ถามบางอย่างออกมา

“แล้วกรูล่ะ ชอบหรือเปล่า?” ผมแอบสะดุ้งกับคำถามของตัวเอง ผมถามคำถามนี้ออกมา ทั้งที่ตัวเองก็ไม่พร้อมกับผลที่จะตามมา ผมหวังและภาวนาให้ไอ้เมศต่อมุขอย่างที่เคยๆ

‘ตัวเมิง เมิงยังไม่รู้ แล้วมาถามกรูได้ไง ตอบไม่ได้เมิงม้วนตัวไปเรียนอนุบาลใหม่เลยปะ’


ทว่าคำตอบที่ผมได้รับ คือความเงียบที่ผิดแผกไปจากทุกที  ความเงียบ....ที่ยากจะคาดเดา


********************************

ลป.น้องคนแต่งคะ ชั้นได้ข่าวว่าแกมาโตเกียวตั้งเป็นชาติแล้ว นี่แสดงว่าดองจิงๆ นะเนี่ย  :m29:


ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
อิอิ ของดอง นี้มันอร่อยจิงๆน่ะเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0


ลป.น้องคนแต่งคะ ชั้นได้ข่าวว่าแกมาโตเกียวตั้งเป็นชาติแล้ว นี่แสดงว่าดองจิงๆ นะเนี่ย  :m29:






ฮ่าๆๆๆ .....ฮือๆๆๆ  ดองจริงค่ะขอสารภาพความผิดบาป เเบบว่า ติดภารกิจรักติดพันหัวใจ  เลย...เอิ่ม...อ่า....เพิ่งมาโผล่เอาป่านนี้ล่ะค่ะ
กลายเป็นนิยายรายสองเดือนไปเเหล่วววว :เตะ1:

ขอบคุณที่ยังอ่านนิยายดองเค็มกันนะคะ 

ปล.เห็นด้วยกะรีบนค่ะ ของดองอร่อยยยย o7  กินมากๆระวังท้องเสียนะคะ  ด้วยรักเเละปรารถนาดอง



ออฟไลน์ astral

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3470
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-5
เอิ่มมมม อยากกินของหวานๆ แทนของดองได้ไหมคะ  :m1:

ออฟไลน์ Ryze

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-1
ปุจฉา

ตอนหน้า จะใช้เวลาดองเท่าไหร่เอ่ย

ฮิ ฮิ

ออฟไลน์ YMP

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1062
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-2

...ด้วยรักเเละปรารถนาดอง


ปราถนา + ดอง  = ตั้งใจดอง ซินะ

 :L2: ที่ส่งของดองมาในอายุขณะยังบริโภคได้

ออฟไลน์ Turn_righT

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 492
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
พอมาเป็นมุมมองของรัณย์แล้วเมศโก๊ะได้อีก..ฮากลิ้งๆๆ  :m20:
อ่านไปอ่านมาทำให้รู้สึกว่ารัณย์ตั้งใจจริงนะ...ตั้งใจแต๊ะอั๋งทุกเวลาทุกสถานการณ์
แต่ถ้ามาจากมุมมองของเมศมันจะดูเหมือนทีเล่นทีจริง  สรุปไม่มีใครแน่ใจว่าอีกฝ่ายชอบตัวเอง
มีเพียงคนอ่านเท่านั้นที่ฟันธงไปแล้วว่า  มันร้ากกกกกกกกัน  :laugh:

นิยายรายปักษ์...ไม่ใช่ปักษ์เดือนนะ ปักษ์ปีกันเลยทีเดียว 
อ่ะ...ล้อเล่งงงง เด๋วจะงอนพาลดองเกินสองเดือนไป   :oni1:

three

  • บุคคลทั่วไป

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ HaLF333

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
แย่แล้ว..แย่แน่ๆๆ   :o12:
หลงติดเรื่อง(ดองๆ)นี้ไปซะแล้ววว  o7
อย่าดองนานจนกลายเป็นฟอสซิลไปก่องน้า  :sad2:
แต่ถึงจะนานก็จะรอ o7

สนุกมากกกกกกกกค่า.. o13
ฮาสุดๆๆ อ่านไปขำไป น่ารักดีทั้งคู่.. :m1:

ปล.อ่านแระชอบ โม ญ.  (มีสีสันดี หุหุ..)

madamkung

  • บุคคลทั่วไป
ฝากข่าวประชาสัมพันธ์ ล่วงหน้า
เซ็งเป็ดอวอร์ดครั้งที่สอง
เริ่มให้โหวตกันเดือนสิงหาคมนี้
ยังไงช่วยกันเข้าไปดูรายละเอียดกันหน่อยค่ะ ตาม linkนี้เลยนะคะ


ออฟไลน์ life_fracture

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1874
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +518/-4

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
 ข้างบนน่ะ

o12................มาวิ่งเล่นแถวนี้ เดี่ยวเอามีดจิ้มมมมมมมมมมมมมมมมเลยนี้  :m31:

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
Re: รักไม่รู้ชื่อ (
«ตอบ #135 เมื่อ07-08-2008 23:46:12 »

ตอนที่ 12 กลัว


         บางทีทุกคนอาจลืมไปแล้วนะครับว่าคนที่เริ่มเล่าเรื่องนี้คนแรกคือ ผม..ไอ้เมศ....ใช่สิครับ ผมมันคนไม่สำคัญ  คนเบื้องหลัง แค่เห็ดแค่รา แค่ดอกไม้ใบหญ้า เหมือนดอกลั่นทมที่เคยเด็ดดม ที่เคยเด็ดเล่น เด็ดเช้า...แล้วก็เด็ดเย็น ที่เคยเด็ดเล่น เด็ดอม เอ้ย เด็ดดมๆ  ซ้อมไว้ครับจะรับน้องแล้ว ก่อนเราจะรับน้อง สิ่งที่พวกผมและชาวคณะต้องผ่านไปให้ได้ก่อนคือ ‘ค่ายรับเกียร์รุ่น’  ค่ายนี้เราจัดกันอย่างลับๆล่อๆ หลบๆซ่อนๆ ถึงขนาดต้องเอารถทัวร์ไปจอดที่ปั๊มน้ำมันแถบสถาบัน ผมเห็นเพื่อนๆเริ่มมารอกันแล้ว ยังไม่เห็นเงาร่างไอ้รันย์ เจอแต่มนุษย์ว.แดงครับ มันว.คุยกับแก๊งว.แดงของมันเหมือนว่าโลกนี้มีเพียงพวกมัน อยู่ใกล้กันแค่ไม่ถึง10ก้าว ไม่รู้จะว.หากันไปทำเปรี้ยวอะไร

“เป็นไงวะญี่ปุ่น?” เพื่อนต่างไถ่ถามอยากรู้เมื่อเจอหน้าผม

“อืม ก็ดี ไม่ดีอย่างเดียว เจ้าสำนักฯ” สำนักง้อไบ๊มั้งครับ  ขอข้ามไปเพื่อรักษาเงาหัวตัวเองไว้นะครับ บางอย่างเราต้องเบลอๆไว้ให้ลุ้นให้เดา...รู้สึกขนหัวลุกชันนิดๆน่ะครับ

“กลับมาตั้งกะเมื่อไหร่?”

“มะรืนนนน” ผมตอบพลางทำหน้าเบลอใส่พวกมัน ประมาณว่า ตรูพักผ่อนน้อย อย่าถามตรูเยอะ เพราะตั้งแต่กลับมา ผมก็ยังไม่ได้พักผ่อนอะไรเป็นกิจจะลักษณะสักเท่าไหร่

“ สาวญี่ปุ่นเป็นไงวะ?”ถามเข้าไปพวกเมิงเนี่ย ผมหันหน้าไปมองแต่ละคนที่รอคำตอบ  ประกายหื่นสนิทศิษย์ส่ายหน้ามันประกาศหราอยู่บนหน้าเลยครับ  ผมมองพวกมันอย่างมีชั้นเชิง พลางหลิ่วตา ก่อนจะ ชูนิ้วโป้งทั้งสองข้างขึ้น เรียกเสียงอื้ออึงได้ไม่น้อย

“ขี้โม้แต่เช้านะเมิง” อ้าวไอ้เวง  เพื่อนเสียดครับ ไอ้นี่ก็เห็ดราอีกคน คาดว่าวิวัฒนาการน้อยกว่าใครเพื่อน ประหนึ่งตัวละครทิชชู ใช้แล้วทิ้งๆ

“มาแล้วหรอเพื่อนเสนียด”

“เสียดว้อยไปญี่ปุ่นทีเดียวลืมชื่อกันเลย เดี๋ยว อาตี๋ประเคนแข้ง”

“ไม่ต้องประเคน จัดบังสุกุลโลด” 

        ไอ้เสียดง้างตรีนมันเป็นสัญญาเตือน  พอดีกับรถยุโรปคันหรูจอดพรืดตรงหน้าเพื่อนๆ ไอ้รันย์สวมแว่นกันแดดทรงเท่ห์ก้าวลงจากตำแหน่งคนขับด้วยชุดแบบออนเดอะบีชกันเต็มที่ วิ่งอ้อมมาที่ประตูรถฝั่งตรงข้ามเปิดประตูพูดกับตุ๊กตาหน้ารถครู่หนึ่ง  ก่อนจะเปิดประตูหลังหยิบเป้ขึ้นสะพายบ่า สาวสวยคนนั้น ก้าวจากตำแหน่งนั่งคู่คนขับ  ส่งยิ้มชวนมองให้เพื่อนเราที่ยืนน้ำลายย้อยนิดนึงแล้วเปลี่ยนไปเป็นคนขับ ไอ้รันย์พูดอะไรกับสาวสวยคนนั้นอีกครู่หนึ่ง  ก่อนรถคันสวยจะขับออกไป

“ใครวะแม่ง เยสสสส.....สวยชิบ” ไอ้รันย์ถอดแว่นกันแดดออก แหมทำเป็นเท่ห์นะ

“พี่สาวกรูทำไมวะ?”

“พี่สาวสายไหนวะเมิง เอาให้แน่นาสาดด” เพื่อนแซวมันกันเกรียวล่ะครับ

“สายดำไอคิโด้ว่ะ”

“อู้ยยยย...ดุว่ะ”

“สวยดุกรูชอบบบบ  กร๊ากกก”ไอ้เสียดเสริม บทมันน้อย ต้องให้มันนะครับทุกคน อย่าเคืองๆ

“ไร้สาระแต่เช้าเลยนะพวกเมิงเนี่ย”

“แหม เมิง ไอ้โอเมก้าสาม ไอ้สไปรูผีบ้า ใครจะเหมือนเมิงครับ สารอาหารเต็มเปี่ยม ฉลาดล้ำคับโลก”

“ไอ้เมศศศศ.....เมิงทิ้งกรู(อู้ววววๆๆๆ...กรูณาอ่านเป็นเสียงแอคโคนะครับ)”

“อ้าวโม ญ มาได้ไงครับเนี่ย” ต้องพูดดีครับ ผมมันคนมีคดีติดตัว

“กุบอกให้รอออ”

“ก็คุณเพื่อนบอกว่ารถเมล์เสีย ให้ไปเลยนี่ครับ”

“อ้าว ไอ้นี่ กุพูดอยู่ว่าให้รออีกแป๊บนึง หูเมิงเนี่ยหัดแงะขี้เลื่อยออกๆซะมั่ง ใส่สมองไม่พอลามไปถึงหู”

“กัดกันอย่างกะหมาเลยว่ะ”เพื่อนเสนียด เอ้ย...เสียด อย่างมีส่วนร่วม

“เออ.....เรื่องของกรู” สองเสียงหันมาพูดใส่ไอ้ตี๋ มันถึงกับผงะเดินถอนหลังเข้าร้านสะดวกซื้อไป หลังจากนั้นไม่นาน พลพรรคชาวคณะก็ได้ฤกษ์เดินทางสู่ค่ายรับเกียร์รุ่น ที่จะทดสอบความ สามัคคี  ความอดทน  และความแข็ง(?) ...คิดกันไปไกลแล้วล่ะสิ  หึหึหึหึ




         ค่ายรับเกียร์รุ่นของเรา จัดกันที่ริมชายทะเล ในพื้นที่ของทางทหาร พอเท้าพวกเราแตะพื้นดินที่ค่ายก็เดินกันพล่านเลยครับ จับจองที่หลับที่นอน เป็นเตียงสองชั้นที่ชั้นบนแอ่นจนต้องแอบคิดในใจว่านอนๆอยู่มันจะถล่มลงมาทับพุงหรือเปล่าหว่า คิดกันทุกคนล่ะครับ  ผมนอนเตียงล่างเนื่องจากไม่อย่างเสี่ยงชีวิตผาดโผนขึ้นไป นอนสะดุ้งอยู่ชั้นบน ขนาบข้างซ้ายขวาด้วยไอ้เพื่อนเสนียด เอ้ยเสียด และไอ้คุณชายรันย์  เห็นหน้ามันแล้วหมั่นไส้ครับ เห็นแล้วมันคันยิบๆทางฝ่าเท้า เป็นที่น่าถีบขนาดหนัก

“อ้าว ไอ้เสียด เมิงนอนเตียงล่าง ขวางทางรักพวกมันทำไมเนี่ย”ปากมันมาก่อนตัวเลยครับ  สาวๆคณะเรานอนห้องตรงข้ามนี่ล่ะครับ  มันมาเกาะประตูมองประหนึ่งมองสัตว์สงวน

“ฮ่วย มาเกาะประตูกันทำไมเนี่ย  อ๊ะๆห้ามให้อาหารสัตว์นะคร๊าบ”

“เออ ไม่ให้หรอก ปล่อยแม่งอดตายห่านไปเลย กรูจะมาบอกว่า เขาเรียกรวมแล้ว”ผมพยักหน้าก่อนจะโยนๆข้าวของเครื่องใช้ที่แงะออกมาจากกระเป๋าในสภาพเดียวกับตอนไปโตเกียว กระเป๋ายังไม่ทันรื้อก็หยิบๆมาค่ายต่อเลย  ดีเหมือนกันครับ ไม่ต้องเตรียมเยอะ  แต่ข้อเสียคือ อาจต้องมีการอุปโภคกกน.แบบหน้าเอหน้าบีเป็นที่เสียวขี้กราก

“สวัสดีนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ทุกคน” ชาวคณะส่งเสียงตอบกลับเหมือนอนุบาลลูกเจี๊ยบว่า สวัสดีครับ/ค่ะ

“จุดมุ่งหมายของการมาฝึกครั้งนี้คือ เพื่อเสริมสร้างความรักสามัคคีกลมเกลียวในหมู่คณะ และให้เป็นแนวทางในการรับน้องอย่างสร้างสรรค์ต่อไป” แล้ววิทยากรหรือครูฝึกของเราก็เริ่มให้เราเล่นกิจกรรมต่างๆ ทั้งฝึกวินัย ให้เข็มแข็ง  เล่มเกมส์ต่างๆ


“เฮ้ย!!  อย่าเพิ่ง กรูกางเกงจะหลุด”ไอ้เสียดโวยวาย เมื่อ ถึงคิวมันถูกเพื่อนๆในแถวยก  เกมส์นี่วิธีเล่นคือ ตั้งเป็นสองแถวหันหน้าเข้าหากัน แล้วนั่งให้เข่าชนเข่าฝั่งตรงข้าม  จากนั้น เอาเพื่อนหัวแถวให้ลงนอนหงายในท่าสบายสุดๆ จากนั้นเพื่อนๆที่เหลือก็ช่วยกันยกจนกว่าจะสุดแถว ซึ่งแน่นอนครั้เมื่อมีการแข่งขันกัน ความเร็วจึงเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้เพื่อนๆผู้น่ารัก ไม่ใช่แค่จับยกส่งต่อแบบสามัคคี แต่เป็น ‘โยน’ อย่างสามัคคี

“เฮ้ย  ไอ้เอี้ยเดี๋ยวตก!!”มันยังโวยวายต่อไป เป็นที่สะใจของเพื่อนๆ  คิวต่อไปผมละครับ ฟิตตัวเตรียมพร้อมอยู่อีกด้านแล้ว  ในขณะที่ไอ้รันย์อยู่ท้ายแถว

“เร็วๆ นอนลงๆ”เอิ่ม ถึงจะบอกว่าเป็นเพื่อนกัน ลองจินตนาการนะครับ  ผมซึ่งยืนอยู่หัวแถว ที่กำลังจะต้องล้มตัวลงนอนหงายให้เพื่อนๆช่วยกันแสดงพลังสามัคคีด้วยการยก(โยน)  นี่คือสถานะการตกเป็นเหยื่อหรือเปล่า???  เอ...  ไม่เป็นไร นอนคิดก่อนคงได้แหล่ะ ถึงปลายแถวเดี๋ยวรู้เอง

“เอ้ายก! นึงสอง...ซ่ำ”ตัวผมลอยจากพื้นอยู่บนรางมนุษย์ ที่มีเพื่อนๆผมเป็นเครื่องจักรมีชีวิตที่ส่งผมไปถึงปลายทาง ใครมันคิดครับว่าให้นอนในท่าสบายที่สุด  มันต้องเอาโป้งกีบขวาคิดแน่นอน

“โยนเลยๆ”เอาแล้วไง ผมได้แต่คิดเงียบๆครับ   สถานการณ์นี้ผมไม่มีปากมีเสียงพอจะคัดค้านเพื่อนๆผู้กำลังลุ่มหลงในการช่วงชิงชัยชนะอย่างมันส์ในอารมณ์ได้

“อ๊อบ~” ไม่ใช่เสียงใครครับ ไม่ใช่กบที่ไหนด้วย เสียงผมเอง เวลามันโยนให้เพื่อนกระจุกต่อไปรับ  ไส้กรูจะไหลออกมาไหมเนี่ย...เตี่ยคร๊าบบบบบบบผมอยากกลับบ้านนนนน เฮ้ย ทำไมมือมันหนุบหนับจังวะ

“เฮ้ย  จับตรงไหนวะไอ้พวกเอี้ย!”ผมร้องเสียงหลงดิครับ  มือปลาหมึกที่ไหนไม่รู้มันจับขาดๆเกินๆไปตามร่างกายเป็นที่สยึ๋มกึ๋ยขนาดหนัก  เพื่อนหัวเราะเป็นที่สนุกสนานครับ  ดีที่มันไม่รุ่มร่ามกับเพื่อนๆผู้หญิงนะครับ

“เมื่อไหร่จะถึงปลายแถววะแม่ง”

“เออ ถึงแล้ว  ยินดีด้วยนะเมิง ที่มีชีวิตรอดมาได้”เสียงไอ้เสียดเรียกสติกันกระเจิงของผมกลับมาครับ  ผมคลานไปหอบหายใจ อัดอ๊อกซิเจตเข้าปอด  ก่อนจะชะโงกตัวไปดูหนังหน้าคนในแถวว่า ไอ้มือปลาหมึกตัวไหน   เพื่อนส่วนใหญ่หันไปสนกับเหยื่อรายต่อไปที่ถูก ยก เอ...โยน มา  มีอยู่หนึ่งตัวล่ะครับ มันหันมาผมยกยิ้มทิ่ริมฝีปากอย่างผู้มีชัย พลางยักคิ้วให้ด้วยท่าทางชวนบาทาสโมสร

“ไอ้เอี้ยรันย์ จำไว้นะเมิง”




      
         หลังกิจกรรมช่วงแรกผ่านพ้น ผมรู้สึกถึงอาการปวดระบมตามร่ากายเล็กน้อย  เพราะนอกจากจะโดนเพื่อนจับโยนแล้ว ยังโดนปะแป้งเสียขาว เรียกว่าหงอกกันทันตาเห็น  ถ้าเป็นแป้งธรรมดาอาจไม่ซาดิสซ์สะใจ  นี่เลยครับ แป้งตางูเงี้ยวและเขี้ยวขอ  ปาดแถบๆลูกกะตานี้ ซาบซึ้งกันถึงทรวง ซาดิสซ์กันทั้งศิษย์อาจารย์  หลังจากนี้เป็นช่วงพักล่ะครับ  หน้าที่พักเรามีทะเลให้ลุยเล่น แต่เพราะไม่ใช่หาดทรายจึงไม่สวยสักเท่าไหร่  มีเปลือกหอยคมๆคอยบาดกันเต็มที่  แต่ผมไม่สนครับ สะพายกล้องเดินลุยออกจากฝั่งไปไกลเนื่องจากน้ำลดลงไปเยอะ   เห็นเพื่อนๆมาเดินเล่นกันอยู่ไกลๆ  ผมยกกล้องคู่บุญขึ้นถ่ายรูป พลางคิดอะไรคนเดียวเงียบๆ  บางเวลาคนเราก็อยากอยู่เงียบๆ ในโลกส่วนตัว และคิดอะไรหลายๆอย่างนะครับ

“คิดอะไรอยู่? ท่าทางดูไม่ค่อยสเบย” ผมเหลียวหลังไปมองหน้าคนพูด  สาวสภาฯที่ใกล้ชิดผมที่สุด

“ผิดหวังหรอเมิงที่กรูไม่ใช่ไอ้รันย์” ลูกเด็กเล็กแดงพบเห็นอย่างเอาเป็นเยี่ยงอย่างนะครับ เป็นสาวเป็นนางใช้ภาษาพ่อขุนไม่ดีๆ (แต่เห็นพวกมันก็ไม่สำเนียกอะไร)

“เปล่า กรูยังไม่ทันพูดอะไรเลย”

“กรูล้อเล่นน่าเมิง” โม ญพูด  ก่อนจะงึมงำบ่นว่าหาดนี้ไม่ค่อยน่าเล่น

“ไอ้รันย์มันคงไปติดต่อให้แหล่ะ  หาดฝั่งโน้นสวยกว่านี้ เห็นมันว่างั้นนะ”

“อืมดี  กรูไม่เที่ยวทะเลมานานแล้ว เพราะกรูแพ้อาหารทะเล”

“เกี่ยวไรกันวะ”

“เห็นแล้วแดร๊กซ์ไม่ได้  สู้อย่าเห็นดีกว่า”  ผมพยักหน้า เออ อาจจะจริงของมัน พลางคิดเบาๆแบบเดาๆว่า เพื่อนผมอาจกินปูปลาแล้วเกิดนึกอยากกินแบบดิบๆ

“เฮ้ยไอ้เมศ  โม ญ ขึ้นสองแถวไปหาดนู้นกันเว้ย!!”

“เออ” โม ญตะโกนตอบ ก่อนที่เราจะเดินกลับเข้าฝุ่งอีกครั้ง

“เฮ้ย  เมิงมีไรบอกกรูได้นะเว้ย” โม ญพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง  ผมมองหน้ามันพลางคิด ....เพื่อน เมิงแมนได้อีก



         พวกผมตีกรองตีฉิ่งตีฉาบร้องเพลงไปเรื่อยเปื่อยขณะรอรถสองแถวไปปาดฝั่งตรงข้าม  สักพักใหญ่ๆ รถสองแถวบริการภายในค่ายก็มาจอดเทียบที่หน้าค่ายเรา  ชาวคณะจึงขึ้นรถกันอย่างเฮฮา เกาะโหนเบียดอัดกันเป็นที่สนุกสนาน  แน่นอนครับ แก๊งค์ว.แดงรับหน้าที่ประสานงานประจำรถทุกคัน พวกเรามีกันสามคันครับ  คันแรกผ่านด่านเก็บค่าเข้าชมไปแบบชิลๆ แต่พอมาถึงคันที่สองที่ผมนั่งดิครับ ดันเรียกเก็บค่าเข้าชม แต่ไม่มีใครพกเงินติดตัวกันเลยครับ  เลยต้องวอหาอาจารย์กันยกใหญ่ สุดท้าย  เหรัญญิกชาวคณะต้องรับหน้าไปก่อน 

         หลังจากผ่านด่านเก็บเงินมาได้  ก็ได้เวลาสนุกแล้วสิครับ  พี่โชเฟอร์ขับขึ้นเขาแบบซิ่งสุด ลมแรๆงพัดเข้าหน้าเราหอบกลิ่นทะเลชวนชื่นใจ  ผมสูดอาศเข้าเต็มปอด ยิ้มกับตัวเอง  พอดีกับหันไปสบตาไอ้รันย์ ผมแยกเขี้ยวให้มันทีก่อนจะเสพย์ความสดชื่นต่อไป  พอถึงหาด  หาดสะอาดสมค่าเข้าเขาละครับ ทราบสีขาวน้ำทะเลสีเขียวมรกต สะท้อนแสงอาทิตย์ยาวตะวันตกดิน ตัวหาดค่อนข้างสงบ  แต่ชักเริ่มไม่สงบเมื่อตัวก่อนกวนอย่างชาวคณะมาถึง  วิ่งกันให้พล่านยิ่งกว่าเทเลทับบี้ทับแบนอีกครับ  แต่ผมเลือกจะไม่ลงเล่นน้ำ เพราะกลัวกล้องเปียกเลย ได้แต่ถลกชายกางเกงขาสั้นขึ้นมาอีกหน่อยแล้วลุยลงไปในน้ำจนถึงระดับสูงเหนือเข่าเล็กน้อยจึงเลิกเดิน คลื่นลมที่บางครั้งก็ซัดแรง ซัดเบาเอาแน่เอานอนไม่ได้ ทำให้ผมถึงกับเซจะล้มเมื่อคลื่นลูกใหญ่โถม

“เฮ้ย ระวัง”เสียงคุ้นๆมันดังใกล้ๆหู  มือแข็งๆของมันช่วยจับต้นแขนผมไม่ให้ล้ม 

“เออ ขอบใจ เกือบลงไปว่ายน้ำเล่นแล้วไหมล่ะน้องฟูจิ”น้องฟูจิคือกล้องล่ะครับ ไม่ต้องถามยี่ห้อนะครับ

“ยืนดีๆ เดี๋ยวล้ม  ไปยืนตรงที่ทรายมันแน่นๆหน่อย”ผมว่าพลางยื้อต้นแขนผมให้เดินตามมันไปยืนตรงที่ทราบค่อนข้างแน่น ถัดไปอีกหน่อยเป็นสนามฟุตซอลชายหาด

“ไม่ไปเล่นน้ำหรอ” ผมถามเพราะอย่างมันไม่น่าพลาดโอกาส

“ก็เมิงไม่เล่น”

“เมิงตัวติดกะกรูหรอ ไปไกลๆเลยปะ”

“เปล่า”ไอ้รันย์ตอบหน้าเครียด คิ้วเข้มๆขมวดหากัน

“แต่หัวใจผูกกัน”  โอ๊กกกกก...ตรูแวะให้อาหารเต่าตรงนี้เลยดีไหมเนี่ย

“ช่างกล้านะเมิงนะ”

“แน่นอน ด้านไว้ก่อนพ่อสอนไว้”

“ช่างเมิงเหอะ”ผมพูดกลั้วหัวเราะ ปล่อยคนบ้าไปเถอะครับ ผมยกกล้องขึ้นถ่ายวิว แต่พอยกกล้องปั๊บ ไอ้รันย์โผล่หน้าเข้ามาทันที

“โผล่เข้ามาดูเอี้ยอะไร”

“อยากดูหัวใจเธอ”

“เมิงนี่ถ้าจะว่างนะŬ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2008 00:02:51 โดย ภาณุเมศพลัง »

ออฟไลน์ ภาณุเมศพลัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 238
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-0
Re: รักไม่รู้ชื่อ (
«ตอบ #136 เมื่อ08-08-2008 00:07:32 »

“เมิงนี่ถ้าจะว่างนะเนี่ย  ไปหาดูในทะเลปะ  ออกอ่าวไทยไปเลยนะเมิง เสร็จแล้วเปิดไฟเลี้ยวซ้ายเข้าแปซิฟิก เดี๋ยวกรูกลับไปรับมรดกบ้านเมิงเอง”ไอ้รันย์หัวเราะขำขันอยู่ใกล้ๆ เกือบปีแล้วครับที่ผมมีไอ้บ้าคนนี้อยู่ใกล้ตัว

“เมศ”

“หือ?”

“กรูชอบเมิงนะ” บางทีผมอาจลืมบอกไป ไอ้บ้าคนนั้น มันไม่ได้มีพิษมีภัยต่อสังคม แต่มันมีพิษมีภัยต่อหัวใจใครหลายคนนะครับ    ผมมองหน้ามันเฉยๆ เฉยมากจนผมเองยังตกใจ  และนี่เป็นอีกครั้งที่ผมเลือกจะเงียบ...เงียบเพราะตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก  ไอ้รันย์หัวเราะเบาๆ หัวเราะที่ฟังดูฝืดฝืน มันมองหน้าผม  พลางแย้มริมฝีปากยิ้ม  แต่ตาคู่นั้น มันไม่ยิ้มด้วยเลย

“ตะกี้เมิงบอกว่าให้เปิดไฟเลี้ยวออกแปซิฟิกใช่ไหม? กรูว่ากรูจะไปอ้อมแหลมกู๊ดโฮ๊ปก่อนดีกว่าว่ะ”  มันพูด ก่อนจะเดินหันหลังให้ผมมุ่งตรงไปสู่ทะเล ก่อนจะกระโจนลงน้ำ   ตอนนี้ผมพอจะนึกออกแล้วว่าทำไมผมเลือกที่จะเงียบอีกครั้ง

จะว่าอย่างไรดี ผมกลัว...กลัวอะไรบางอย่างที่ตัวเองยังไม่เคยรู้จัก




         ช่วงค่ำ หลังจากกิจกรรมสันทนาการเล็กๆน้อยๆจากครูฝึก ก็เริ่มประชุมงานรับน้องอย่างเคร่งเครียด  แบ่งงานแบ่งหน้าที่กันหน้าดำคร่ำเคร่ง หารือและถกเถียงกันจนได้งานเป็นรูปเป็นร่างน่าพอใจแล้วก็ถึงเวลาที่หลายๆคนรอคอย  เพราะพวกมันเตรียมตัวยกลังมาตั้งไว้ตั้งแต่หัวค่ำแล้วครับ  สารพัดสัตว์โลกบนกล่องกระดาษเริ่มออกมาอวดโฉม  พร้อมกับลุงจอห์นนี่ที่เริ่มออกมาเดินสวนสนามในยามค่ำคืน   ผมก็ช้างชนเสือ เสือชนสิงฆ์ สิงฆ์ชนเร้ดจนรู้สึกร้อนๆ  ได้ที่ก็เบรคกินข้าวต้มรอบดึกครับ  ผมเดินไปตักข้ามต้มทะเลทรงเครื่องมาหนึ่งชามกับน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว ไปนั่งริมหาด ที่น้ำทะเลยามกลางคืนเป็นสีดำสนิท ขึ้นสูงขึ้นมามากจากเมื่อกลางวัน  พลางนึกในใจว่าเดี๋ยวต้องให้เพื่อนๆที่ยังมีสติครบช่วยกันดูแลแถวนี้ เพราะบางคนที่จิตหลุดไปแล้วอาจะลงไปให้อาหารเต่าเพลินและอาจหายไปกับทะเลได้  อันตรายครับ ต้องช่วยกันดูๆ  แต่เห็นทีผมจะต้องดูแลไอ้คนนั่งข้างๆนี่ก่อน

“เมาแล้วเมิง”ผมพูดพลางตักข้าวต้มเข้าปาก มองหน้าหล่อๆของไอ้รันย์ที่แดงได้ที่  จากตาหยาดเยิ้มของมัน บอกระดับความมึนเมาว่าเข้าขั้นมาก

“เอามานี่มา” ผมเอื้อมมือไปแย่งแก้วน้ำเปลี่ยนนิสัยมายกดื่มเองทีเดียวหมด  ขณะที่มันพยายามแย่งแก้วคืน

“เอามาๆ”

“หมดแล้วเมิง อ่ะเอาไป”ผมยื่นชามข้าวต้มให้มันแทน  มันรับไปแบบเอียงๆ ข้าวต้มร้อนๆเลยจะหกใส่มัน 

“ถือตรงๆ”ไอ้รันย์พูดตาม

“ตรงๆ” เสียงมันอ้อแอ้ ท่าจะเมาหนัก ปรกติมันไม่ใช่คนคอแข็งนะครับ เห็นมันเมาอย่างนี้แล้ว รู้สึกไม่ดี

“เมิงเป็นอะไร?” ผมถามมัน มันทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจ เลยถามมันอีกที แบบช้าๆ เหมือนคุยกับเด็กเล็กๆ

“เป็นอะไร”มันยังมีหน้ามาทวนคำถาม  ไม่ได้ตอบโจทย์อัตนัยวิชาสังคมนะเมิงนะ

“เออ ปรกติไม่กินเยอะนี่หว่า”ผมพูดพลางช่วยมันจับช้อน เหมือนสอนเด็กสักสี่ห้าขอบเลยครับ ตกลงมันเพื่อนหรือลูกนี่ก็ชักไม่แน่ใจ  สักพักมันก็พยายามจะตักเข้าปาก ผมเห็นแล้วรำคาญตา เลยแย่งชามกลับมาแล้วส่งน้ำเปล่าให้แทน

“ เมา....”ไอ้รันย์พูดอ้อแอ้นิดๆ

“กรูถามไปตั้งนาน เพิ่งตอบ ดีเลย์นะเมิงน่ะ” ผมหยุดพูด เมื่อไอ้รันย์มองผม ด้วยดวงตาเยิ้มๆด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ในเลือดมันสูง  ดวงตาคู่นั้น มันฟ้องว่าพอมีสติ แม้จะชักลางๆ

“เมา.....เมารัก”  สิ้นคำนั้น ผมกลับเข้าโหมดบ้าใบ้แบบอัตโนมัติ  ผมเลี่ยงที่จะมองตามันครับ  ทั้งที่รู้ว่ามันรอคอยคำตอบด้วยใจจดจ่อขนาดไหน  ผมไม่ได้ตั้งใจจะทรมานอะไรมันนะครับ  เพียงแต่ผมกลัว



ในที่สุดผมก็รู้แล้วครับ ว่าสิ่งที่ผมกลัวคืออะไร





ใช่แล้วครับ....ต้องไม่มีใครทายถูกแน่ๆ




เพราะสิ่งที่ผมกลัว





คือ










‘ความรัก’


 


         

ในชีวิตใครหลายๆคน ส่วนใหญ่มักรู้จักรัก  แต่จะมีสักกี่คน ที่รู้จักความรัก
ผมเป็นคนหนึ่งที่อาจรู้จักรัก แต่ไม่เคยจับต้องความรักที่เนื้อแท้
มันเป็นของแปลกใหม่เกินไป ท่ามกลางการบอกเล่าของสรรพคุณของมันว่า มีพิษทางใจเข้าข่ายร้ายแรง
แล้วผมผิดหรือเปล่าที่กลัวความรัก?
[/i]






!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

เเอบงงๆว่า editเเล้วมันหาย

ที่สำคัญพี่ป๋อมเเป๋มเข้าเล้าไม่ได้ สงสัยสวรรค์จะลงโทษ เหล่หนุ่มโอซาก้าไม่เผื่อน้องนุ่งเเละลุงป้า ทำไงดีอ่ะ  ถามใครดี

ขอบคุณสำหรับการเข้าอ่าน ทุกคอมเมนต์เช่นเคย  เเล้วพบกันเมื่อเลิกดอง ฮ๋าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
:m29:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-08-2008 00:25:22 โดย ภาณุเมศพลัง »

fc_uk

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
 :m29:ตาคนข้างบนมาได้ไงเนี่ย


เมศกลัวความรักเหรอ อย่ากลัวเลยสงสารรันอ่ะ
สงสารคนอ่านด้วยลุ้นหลายรอบแระ
ตอนนอนฟังเสียงกัดฟัน ก็แอบลุ้นนึกว่าจะมีกัดกัน  :o8:


 :oni1: :oni1: :oni1:



ออฟไลน์ HaLF333

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
มาแบบยาวๆ ได้ใจ.. o13
แต่ไม่ต้องหายไปนานก็ได้น๊า รออ่านอยู่อ่ะ  :m13:
ไม่ผิดหรอก ความรักมันน่ากลัว แต่ก็น่าลองไม่ใช่เหรอ..
ยิ่งในเมื่อคนที่กำลังรอคอยคำตอบ แสดงออกอย่างชัดเจนแล้ว..
เชียร์ให้รับรัก  :กอด1:
สู้ๆ  :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23
มาหา จขกท  :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:

มาทำไม  ไม่รักก็ไม่ต้องมา
ฮิ้ววววววววววววววววววววววว


แต้งกิ้วน้องเมศที่รักที่มาลงเรื่องต่อให้
(คนโพสอะไรก็ไม่รู้ บีบบังคับให้คนแต่งเอาเรื่องมาลงต่อเอง)
แบบว่าข้าพเจ้าเพิ่งเข้าเล้าได้วันนี้นี่เอง สดๆ ร้อนๆ เลย ฮ่าๆ


pantanakan

  • บุคคลทั่วไป
ในที่สุด  พระเจ้า 

ขอบคุณสวรรค์ที่ดลใจให้พี่ท่านมาต่อ 

ไม่ต้องกลัวมันหรอกค่ะ  ดับเครื่องชนไปเลย 

อย่างมากก็แค่เจ็บ  ไม่ถึงตายหรอก   

Givesza

  • บุคคลทั่วไป
โอ๊วววว กว่าจะมาได้

 :oni2:


อยากเป็นพี่เมศแทน

จะไปรักพี่รันย์ให้ดู :a11:

ออฟไลน์ tawanna

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0
 o13 o13 อืออ ดองเค็มไปนิด







         เปรี้ยวไปหน่อย







       สุดท้ายก็ ..............หวาน









  แถมอีกนิด ก็   เมา ........รัก


เมศกลัวความรักเหรอ :a5:

ออฟไลน์ watermoonj

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-1
ชอบเรื่องนี้นะ :man1:
เคยอ่านแล้วจากบอร์ดอื่น อยากให้อัพเดทเร็วๆจัง ขอบคุณผู้โพสต์ด้วยค่ะที่เอาความสนุกมาแบ่งปันที่นี่
กำลังถึงตอนลุ้นเลย อยากให้นายรันย์ได้สมหวังเร็ว  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
เอ่อน้องขา พี่ดูวันอัฟล่าสุด แล้วก็นะ  o7
เดี๋ยวส่งชื่อเข้าประกวดนิยายดองเปรี้ยวเลย :angry2:

ออฟไลน์ oa_ko

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-0

ออฟไลน์ oa_ko

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 643
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-0

ออฟไลน์ krappom

  • 人は誰でもそれぞれに悩みを抱えて生きる
  • เป็ดนักโพสมือดี
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1182/-23
ตอน๑๓ หอยมือเสือ

ช่วงนี้พวกผมเปิดเทอมกันนานแล้วครับ หลังจากรับน้องที่ทำเอาผมน้ำหนักลดทีเดียวสามกิโล ไม่ใช่ว่าเรารับกันโหดนะครับ ดูเผินๆเราอาจจะเหมือนโหด แต่ไม่มาดูเองคงไม่รู้หรอกครับ เพราะ ‘ข้างบน’ อยากให้เรารับน้องอย่างสร้างสรรค์ ให้เป็นรูปแบบการรับน้องแบบใหม่ ผมว่าพวกผมทำได้ค่อนข้างประสบความสำเร็จนะครับ แม้จะขรุขระไปบ้าง ไม่เข้าใจกันบ้าง ถ้าพูดถึงน้องๆแล้ว ปีนี้เรามีน้องเพิ่มขึ้นมาถึงหลายร้อยคนเลยทีเดียว  จัดแบ่งสายรหัสกันปวดหัว ทำให้ปีสองอย่างพวกผมมีน้องรหัสกันอย่างต่ำสามคน  น้องบางคนก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดีจากค่ายเมื่อปีที่แล้ว บางคนก็ไม่เคย...เริ่มแว๊บๆ นึกถึงอะไรแพลมๆแล้วใช่ไหมครับ....มันคือ...ไอ้เขียว 

“น้องกรีน.....ศุกร์นี้พี่พาสายรหัสไปเลี้ยง  ทำตัวให้ว่างไว้นะ” โม ญ พี่รหัสบังเกิดเกล้าบอกน้องเขียวของมันอย่างอารมณ์ดี

“อ้อ...ครับ ถ้าพี่เมศไปผมก็ไป”มันยิ้มตอบร่าเริงให้พี่รหัสมัน และยิ้มหวานปากหมาเน่าให้ผมด้วย

“อ้าวเกี่ยวไรกับกรูวะเนี่ย”ผมอุบอิบ ก่อนจะดูดเก๊กฮวย เดี๋ยวนี้พัฒนาแล้วครับ ชามะนาวมันแพงเก๊กฮวยดีกว่า

“แปลว่าเมิงต้องไปด้วยไงคะ”โม ญ บอกให้ด้วยใจกุศล..ขอบใจนะ

“แล้วไอ้เสียดอ่ะ”

“มันบอกจะไปเลี้ยงแถวบ้านมัน ติ่มซำเข่งละ15”ผมตอบพลางแอบนึกในใจ น่าไปกับมันครับ ผมอยากกินติ่มซำ

“อ่อดีๆ ว่างๆ อยากไปกินมั่งวะ ไม่กินนานแล้ว ไว้ว่างๆ จะขึ้นสาย7หน้าบ้านไป”

“นั่นสิครับไม่กินมานานแล้วเหมือนกัน”ไอ้เขียวรีบต่อ

“ไปด้วยกันไหมอ่ะ”โม ญ ยิ้มหวาน มันดูเป็นผู้หญิงก็คราวนี้ล่ะครับ

“ไปค๊าบบ แล้วพี่รหัสจะเลี้ยงผมเปล่าล่ะ”ผมนึกในใจ เมิงนี่ลิ่วล้อจริงๆ ไอ้เขียว

“ไม่  ยกเว้นแต่จะต้องใส่บาตรไปให้ค่อยว่ากัน” ไอ้เขียวยิ้มค้าง ในขณะที่พี่รหัสมันลุกไปเอาชีทที่ร้านซีรอกซ์ ทิ้งน้องมันให้ช๊อคคาที่

“พี่รันย์นี่ สาวตอมกันหึ่งเลยนะเนี่ย  วิชาดีไม่บอกต่อนี่หว่า” ผมหันไปมองตามไอ้น้องเขียวครับ ไอ้รันย์ เดินมาพร้อมกับสาวๆ ล้อมหน้าล้อมหลังเหมือนเคย คงเพิ่งลงจากลิฟท์มา

“คนนะไม่ใช่ขี้”ผมเล่นมุกแล้วฮาคนเดียวไม่แบ่งใคร .....ทั้งที่..รู้สึกแปลกๆ จนต้องรีบเบือนสายตา

“บ่ายสองแล้ว เรียนไรวะไอ้เขียว?”

“ชอปครับพี่ มาช่วยผมตะไบหน่อยดิ”ผมหัวเราะขึ้นจมูก ตบบ่ามันเหมือนให้กำลังใจแล้วบอกมันด้วยประโยคคลาสสิค

“ของอย่างงี้มันต้องทำเองจะได้เป็นไงไอ้น้อง”เรื่องอะไรตูจะต้องตะไบให้เหงื่อแตกเป็นท่อรั่ว ครั้งเดียวพอครับ แบบว่าเหนื่อย ใครไม่เคยไม่รู้หรอกครับ ยืนตะไบสองสามชั่วโมงติด มีสลบนะครับนั่น

“ไปล่ะ”

   


ผมขึ้นเรียนวิชาที่น่าเบื่อที่สุดสำหรับเทอมนี้ วิชาอารยธรรมฯ ก่อนมิดเทอมเราเรียนอารยธรรมโลกแหล่งใหญ่ แต่หลังมิดเทอมมาเราเรียนเจาะจงที่ จีน เกาหลี ญี่ปุ่นโดยเฉพาะญี่ปุ่นนี่เรียนเป็นการเป็นงานมากครับ อาจารย์ผู้สอนคือท่านเจ้าสำนักฯ ลงมือสอน(เคี่ยวเข็ญ)ด้วยตัวเอง  พวกผมก็ตั้งใจเรียนกันดีครับ  ผมกางหนังสือ... หนังสือเกมส์ลับสมองรอตั้งแต่เพิ่งเริ่มคาบได้สิบห้านาที  ห้องที่เรานั่งมีเสาร์แบ่งเป็นสองซีกพอดีกับที่เรียนรวมสองคณะ ส่วนใหญ่วิศวะจะนั่งฝั่งขวา ประกาศให้รู้ว่า ตรูไม่มีคู่ มีบ้างที่ข้ามฝั่งหากมีเพื่อนสนิท หรือ แฟนอยู่คณะอื่น  แน่นอนครับ กระผมนายภาณุเมศ นั่งฝั่งขวา เพราะเป็นคนไม่มีแควน  ผมเหลือบเห็นจากหางตาเห็นใครคนหนึ่งนั่งลงข้างๆผม

“สมองคมหรือยังเมิง?”ผมยกยิ้มให้หนังสือเกมส์ลับสมอง ดินสอ ปากกา ยางลบ อ้อ..วาเป๊กอีกขวด ก่อนจะรับคำเบาๆ

“ไม่นั่งฝั่งโน้นหรอ”

“ไม่อ่ะ เบื่อแล้ว”ผมพยักหน้ารับคำตอบมัน ก่อนจะใช้ดินสอวงลงบนแถวตัวอักษรที่สลับสับสน

“ไม่สบายหรอ?” มือมันคว้าขวดวาเป๊กไปเปิดๆ ดมๆ  ผมเลยแย่งกลับมา

“เดี๋ยวติดหวัด”  ผมว่าแล้วใช้ดินสอวงคำว่า endure ปลายดินสอของไอ้รันย์ยื่นมาช่วยวงคำว่าrelate

“ช่วงนี้รู้สึกเหมือนไม่ค่อยได้คุยกันเลย”มันเปรยเบาๆ ขณะที่สายตามันมองไปยังสไลด์ที่ค่อยเปลี่ยนไป

“หรอ”ผมตอบสั้น เงยหน้ามองสไลด์อารยธรรมญี่ปุ่นที่ผ่านสายตาไปช้าๆ

“ไม่ยักรู้สึกอย่างงั้น”ทันทีที่ผมพูดจบ ไอ้รันย์หันมามองหน้าผม แต่ผมยังทำคอแข็งไม่หันไปมองมัน  หลังจากนั้นไม่มีการสนทนาใดๆเกิดขึ้นจนถึงช่วงพัก



เคยรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวในโลกไหมครับ ทั้งที่มีคนพลุกพล่านไปมา ทั้งที่มีเสียงสนทนาหยอกล้ออยู่รอบตัว แต่กลับรู้สึกเหงาๆ โหวงๆ อย่างน่าประหลาด ผมกำลังเป็นแบบนั้น รู้สึกเบื่อจนไม่อยากทำอะไร รู้สึกตัวเองใช้ไม่ได้สักอย่าง นี่คงเป็นอาการน้อยเนื้อต่ำใจระยะสุดท้าย มันอาจส่งผลให้ผมเย็นชาในอารมณ์ในระยะนี้  ผมหยิบใบเช็คชื่อที่เคยลักลอบซีรอกซ์ไว้มาเขียนว่าวันนี้เรียนอะไรไปบ้าง ฝากให้เพื่อนส่งให้ แล้วเก็บข้าวเก็บของยัดใส่กระเป๋าเดินออกไปทันสวนกับโม ญ พอดี ผมมองหน้ามันแล้วส่ายหน้าน้อยๆ  เป็นอันเข้าใจกันครับว่าผมไม่ต้องการจะตอบหรือถามอะไรใดๆ ทั้งสิ้น  ผมเดินไปหน้าลิฟท์เห็นคนเยอะเลยลงบันได แค่สี่ชั้นจริงๆ มันไม่เหนื่อยหรอกครับ แต่วันนี้ผมเหนื่อย พอผมเดินลงมาถึงชั้นสาม ผมเจอไอ้รันย์เดินสวนขึ้นมา

“อ้าว จะไปไหน?”

“กลับบ้านน่ะ”

“เพิ่งมาวันนี้เองไม่ใช่หรอ”มันถามอย่างแปลกใจ เพราะวันนี้มีเรียนบ่าย ผมเพิ่งมาถึงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี่เอง

“มีอะไรหรือเปล่า?”รันย์ขยับตัวเข้ามาใกล้ยืนบนขั้นบันไดที่ต่ำลงไปเพียงขั้นเดียว

“ไม่มี”ผมตอบพลางพยายามยิ้ม ทั้งที่รู้ตัวดี มันต้องออกเหมือนคนปวดฟันแก้มตุ่ยแน่นอน

“ไปส่งไหม?”นับแต่เปิดเรียนมา ไอ้รันย์ไปส่งผมน้อยมากครับ เพราะช่วงนี้มันไม่มีธุระกับบ้านอีกหลังของมันแถวนั้น จนผมชินชากับการกลับบ้านคนเดียวไปนานแล้ว

“ไม่ต้องหรอก เรียนเถอะ” ผมลงบันไดอีกขั้น..ขั้นเดียวกับที่ไอ้รันย์ยืน ก่อนจะก้าวลงอีกขั้น..ขั้นที่ต่ำกว่า มืออุ่นๆ ของมันจับแขนผมไว้แน่น ผมหันไปมองมันอย่างตกใจ 

“มีอะไร ใช่ไหม?”ผมไม่ตอบ แค่ยิ้มเป็นโมนาลิซ่า ให้มันคันยิบๆ ในหัวใจว่ายิ้มแบบนั้นทำไม

“กลับไปร้องเพลงลูกเสือที่บ้าน..ละมั้ง ต๋งหม่งเหมียวขื่อ ไม่รู้จักอะดิ”ผมตอบแบบขอไปทีแล้วทิ้งไอ้รันย์ไว้เบื้องหลัง บทจะทิ้งเมิง กรูจะทิ้งแม่มให้เหมือนทิชชู่ สั่งขี้มูกเสร็จขยำโยนทิ้ง!



ผมเดินลงมาถึงชั้นล่าง ผ่านชอปที่คนค่อนข้างพลุกพล่านเพราะปีหนึ่งกำลังใช้เรียนปฎิบัติการ และเออีโซนที่ปีสองกำลังไปนั่งกองรวมกันเมื่อมีเวลาว่าง ขออธิบายมุมนี้หน่อยนะครับ เป็นมุมที่น่าสนใจมาก แต่ก่อนตรงนี้ไม่มีอะไรเลยครับ มีแค่ป้อมยามที่พัฒนามาเป็นห้องพักอาจารย์สอนปฎิบัติการ ต่อมามีคนเอาคอมมาตั้งสองเครื่องสภาพในคณะเราขณะนี้ มีช่างคอมมากกว่าช่างเครื่องนะครับ ดังนั้นคอมสองเครื่องนี้จึงมีทุกอย่างให้เลือกสรร โปรแกรคาเตี่ย อินเตอร์เน็ตความเร็วเต่า คาราโอเกะ ลำโพงโฮมเทียร์เตอร์ และอีกมากมาย เหมาะเป็นที่สิงสู่ของปีแก่ๆ(สุดแล้วของสถาบันนะเออ) และปัจจุบัน มีกล้วยมาแขวนไว้ทั้งเครือ! ประกอบการนั่งเล่น ประชุม ปริ๊นงาน ฯลฯ ผมพิสูจน์แล้วครับว่าเป็นกล้วยจริงกินได้ หวานอร่อยดีครับ

“อ้าว มีเรียนไม่ใช่หรอพี่”ไอ้เขียวมันวิ่งโย่งๆ มาทักครับ มันทำท่ากระดี้กระด้าจะเข้ามาหา นึกถึงหมาแถวบ้านนะครับ นั่นล่ะครับ...ถูกต้อง

“ไม่เรียนละ”

“อ้าว ใจโฉดนี่ครับพี่”ด่ากรูอีก น้องรหัสใครวะ มาเอามันไปเด๊ะ

“ไปไหนอ่ะพี่ เดี๋ยวไปส่ง”

“กลับบ้าน”ไอ้เขียวทำท่าถึงบางอ้อ

“เดี๋ยวไปส่งเอาป่ะพี่”

“เออดี”ผมตอบพลางนึกในใจ บ้านตรูอยู่อีกซีกเมือง ดูซิว่าจะมีปัญญาไปส่งไหม

“เดี๋ยวนะพี่” ไอ้เขียววิ่งหายไป สักพักมันกลับมาพร้อมจักรยาน นี่ใจคอจะไปส่งพี่มันด้วยจักรยานว่างั้น....เดี๋ยวคงต้องโทรบอกแม่ก่อนว่า อาจจะถึงบ้านสักเที่ยงคืน เตรียมรถพยาบาลรอไว้ได้เลย เพราะกว่าจะถึงคงแทบดิ้นตายกลางทาง มันไม่ใช่ระยะแค่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติกับบีทีเอสชิดลมนะครับ

“ขึ้นเลยเฮีย” มันทำท่าจะประคองผมขึ้นซ้อนจักรยาน เฮ้ย ...ไม่ใช่หญิงท้องแก่ ไม่ต้องประคอง มดลูกตรูไม่เคลื่อน แล้วไอ้เขียวมันก็จับไหล่ผมสองข้าง พอดีผมเหลือบมองมือมันแล้วถึงกับอุทาน

“ไอ้เอี้ย เอามืออกไป!”

“แหม...ทำเป็นหวงตัวนะเฮีย” มันทำท่าเขินอายบิดไปบิดมาเหมือนมีพยาธิไชขามัน น่ารักน่าถีบมากไอ้เขียววววว...

“เฮียเฮอ ห่านอะไรมือเมิงเนี่ย ไปตะไบเหล็กมาล้างยัง มาจับเสื้อนศ.กรูเนี่ย”ไอ้เขียวมันยิ้มเผล่ เจอมุขนี้ก็ได้แต่ถอนใจล่ะครับ ตั้งแต่รู้จักมันมา ลองมันยิ้มอย่างงี้ เป็นใครก็ต้องใจอ่อนในความอ้อนตรีนของมัน  คลับคล้ายมนุษย์ คนนี้นั้นโน้นนน ...นั่นล่ะครับ(คนไหนไปคิดเอาเองแล้วกัน)

“ส่งก่อนค่อยล้าง ไปไป โดดขึ้นมาเลยเพ่ บิดโลด” เซียนเทพเด็กแว้นประทับร่างอีก..เอาเข้าไป

“เอ็งอ่ะดิเป็นโรคบิด” ผมบอกมันอย่างปลงก่อนจะซ้อยท้ายมัน



ไอ้เขียวพาผมไปอ้อมหน้าโรงอาหารใหม่และลานจอดรถก่อนหนึ่งรอบ เป็นการวอร์มร่างกาย ตามด้วยไปวนลานดำอีกหนึ่งรอบให้เฉี่ยวกับรถ(ที่จอดนิ่งๆ)อีกทีหนึ่ง ก่อนพาผมไปวนรอบวงเวียนทักทายมอมมี่และลุงยามเสียทีหนึ่ง ก่อนจะออกสู่ถนนหน้าสถาบันที่ปลูกต้นโมกข์ที่ร้อยวันพันปีไม่เคยออกดอก สงสัยจะร้อนจนออกดอกไม่ไหว

“อ่ะ ถึงและ ลงซะที”ไอ้เขียวเบรคจักรยานจอดสงบนิ่งที่ป้อมลุงยามหน้าสถาบัน แล้วไล่ผู้โดยสารอย่างผมลงทันที

“หน้าม. เนี่ยนะ”ไอ้เขียวพยักหน้า ผมเลยพยักหน้าตาม

“ไปละ จะรีบไปล้างมือ”แล้วไอ้เขียวก็ถีบจักรยานเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดลอยชายกลับเข้าถาบันไป ทิ้งผมยืนงงๆ ปลงๆ ต่อไป




เช้าวันศุกร์สุดหรรษาผมมาเรียนแบบเบลอๆ เล็กน้อย เพราะวันศุกร์เป็นอีกวันที่มีคาบเรียนตั้งแต่แปดโมงเช้า และแน่นอนครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยมาทันเคารพธงชาติ จนอาจารย์ผู้มีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาได้เลื่อนเวลาเรียนออกไปให้เป็นเก้าโมง ..ซึ่งก็ยังสายกันอยู่ดี อันที่จริงแล้ว ผลของความใจดีของอาจารย์มันยังไม่สำแดงเดชตอนนี้หรอกครับ มันสำแดงเดชใน ‘ห้องสอบ’ที่พวกเราแทบจะคลานออกจากห้องสอบ 

เช้านี้ทุกอย่างดูเป็นปรกติดีครับ ยกเว้นอย่างเดียวหน้าไอ้คุณศรันย์ ทุกๆ สามวิสีหน้าจะเปลี่ยนทีหนึ่ง เดี๋ยวหงิก เดี๋ยวคิ้วขมวด เดี๋ยวขำ(แบบอนาถๆ) เดี๋ยวก็ทำหน้าฉงนสงสัย มันมองหน้าผม แล้วผมก็มองหน้ามัน เล่นเกมส์ใครกระพริบตาก่อนแพ้ จนสุดท้ายเมื่ออาจารย์ปล่อยพัก มันก็เลยออกปาก

“ไปด้วยกันหน่อยดิ”เช้านี้ผมว่าง่ายครับ ตามมันไปแบบไม่คิดอะไร....(จริงๆก็เป็นคนไม่ค่อยคิดอะไรอยู่แล้ว) ไอ้รันย์พาเดินไปสุดระเบียง ทำท่าจะผลักประตูบันไดหนีไฟ มันจะไปไหนวะ อย่าบอกนะว่าจะมาดักปล้น

“เอาตรงนี้แหล่ะ” ผมรีบบอกก่อนมันจะพาเข้าหลืบลับหูลับตาคน เผื่อไอ้รันย์เกิดบ้าโดดงับหูผมจะได้ร้องให้คนช่วยได้...รอบคอบจริงๆผม

“มีอะไร?”ไอ้รันย์พยายามจ้องตากับผมต่อไป มีใครบอกเมิงไหมนี่ว่าอย่าจ้องกรูเยอะ เดี๋ยวกรูกลายร่างเป็นเหานะเว้ยเฮ้ย  ไอ้รันย์ทำหน้าปุเลี่ยนก่อนจะพูดออกมาเบาๆ

“ที่ว่า...เป็นแฟนโม ญ เรื่องจริงหรือเปล่า?” 

“เอิ่ม ทำไมหรอ?”ผมถามกลับทั้งที่จริงๆ แล้วในหัวผมมันร้องอ๊ากกกกกกกกกกก~

อย่าเพิ่งลุกขึ้นมากรีดร้อง ทึ้งเส้นผมกันนะครับทุกคน(รวมถึงไอ้รันย์ด้วย)...ผมร้องนำให้ก่อนแล้ว จบตอนค่อยคอรัสรัดคอ  คือเรื่องนี้มันมีที่มาที่ไปอย่างนี้ครับ





เมื่อวานนี้สุดท้ายแล้วผมก็ไม่ได้กลับบ้านหรอกครับ เลือกจะเดินกลับมานอนหอมากกว่า เห็นรถแล้วเซ็งในอารมณ์ น้ำมันก็แพงนะครับ แต่รถก็ยังติด สรุปแล้ว ในน้ำมันหนึ่งถังพวกเราเผาน้ำมันไปกับการติดเครื่องจอดรอไฟเขียวมากกว่า การขับรถถึงบ้านนะครับ  แน่นอนครับเมื่อกลับถึงหอ ผมต้องรีบเผ่นไปบอกรักหมอนผ้าห่มก่อนเป็นอย่างแรง เปลี่ยนชุดให้พอดีสะดวกแก่การขยับร่างกาย แล้วอยู่ในท่าเตรียมก่อนจะ โดดลงเตียง...เตียงจ๋าฉันรักเธอ  ผมนอนไปตื่นใหญ่โทรศัพท์เจ้ากรรมในห้องก็ดังขึ้น ผมคลานลงจากเตียงเตะขวดแก้วใส่น้ำกินเสียงดังโคร้งเคร้งก่อนจะรับโทรศัพท์ มันจะได้หยุดกรีดเสียงร้องเสียที

“โหลๆ หอยแครงหอยแมลงภู่ปลาทูนึ่งแม่กรอง”ผมข้องใจนะครับว่าทำไมของกินสามอย่างนี่ต้องขายด้วยกัน ผ่านแถวหอทุกแปดโมงครึ่งตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ อาจจะเว้นวันหยุดราชการ

“ว่าแล้วว่าต้องอยู่หอ”เสียงเพื่อนข้างห้อง แสดงว่าโม ญ กลับมาแล้ว ทำให้ผมเหลือบมองนาฬิกา เลยเวลาเลิกเรียนมาโข

“รู้ได้ไงว่ากรูอยู่นี่”ผมเริ่มคำถามเหมือนพวกสายลับ

“เสียงเล่นโบลิ่งอยู่ห้องข้างๆ นี่ไม่ใช่เมิงก็ไม่รู้หมาแมวที่ไหนแล้ว” เสียงที่มันว่าคือเสียงของบนเตียงผมหล่น เช่นเสียงขวดน้ำกลิ้งเมื่อกี้ หรืออาจเป็นเสียงหนังสือหล่นจากเตียง เพราะผมวางของทุกอย่างไว้บนเตียงครับ ขอสารภาพ

“เมิงตั้งใจฟังนะ”น้ำเสียงเพื่อนข้างห้องจริงจังประหนึ่งว่ากำลังจะพูดเรื่องถึงเป็นถึงตาย

“จัดไป”

“เมื่อเย็น ไอ้รันย์มาถามกรูว่าเมิงเป็นอะไร”

“แล้วไง”

“กรูก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไร เลยตัดรำคาญบอกว่าเมิงทะเลาะกับกรู แต่พอดีสภาครบองค์ พูดไปพูดมา กลายเป็นเรื่องปัญหาครอบครัว”ผมนึกภาพตามเห็นเป็นหลายๆ ปากพูดน้ำไหลไฟดับใส่หน้าไอ้รันย์

“ยังไงวะ?”

“เอาเหอะ เอาเป็นว่า ไอ้รันย์เข้าใจว่ากรูกะเมิงเป็นแฟนกัน...มันเข้าใจเองนะ ฮ่าๆ”ผมได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจจากปลายสายครับ เป็นการหัวเราะคีย์สูงแสดงว่าสะใจนางอยู่มิใช่น้อย…ผมช๊อคพูดไม่ออกครับ

“ตั้งแต่เปิดเรียนมากรูเห็นเมิงพ่อแง่แม่งอนกับไอ้รันย์ กรูเลยถูกโอกาสนี้ช่วยไกล่เกลี่ย”อย่างงี้เขาไม่เรียกไกล่เกลี่ยครับไอ้คุณโม ญ  อย่างงี้เขาเรียกเอาตรีนเขี่ยแล้วครับพี่ครับ

“สรุปคือ เมิงทำเป็นรับมุขเข้าไว้ แล้วเดี๋ยวจะดีเอง”อะไรดีค๊าบบพี่น้องงง...ช่วยบอกผมที



ผมแจกยิ้มกะเรี่ยกะราดให้ไอ้รันย์ แต่ไอ้รันย์มันอาจจะสายตาสั้นมองไม่เห็นครับ เลยต้องเขม้นมอง ริมฝีปากบิด หน้าหล่อล้ำค้ำโลกที่มันแสนภาคภูมิกลายเป็นหอยมือเสือไปในพริบตา มันพยายามมองสบตาผมต่อไป

“อ้าวมาอยู่นี่เอง” เสียงที่สูงกว่าคีย์ปรกติทำให้ทั้งผมและไอ้รันย์หันกันขวับ คอแทบเคร็ด โม ญ เดินยิ้มหน้าระรื่นมาแต่ไกล

“เมศ ไปหาไรกินกันนะ” จากการวิเคราะห์ทางความถี่คลื่นเสียงแล้ว ลงท้ายประโยคด้วยเสียงความถี่สูง  จากเคิร์ฟมีลักษณะเป็นยอดแหลมถี่ๆ แสดงว่า ประโยคนี้มีใจความเป็นเชิง ‘ภาคบังคับ’

“ไปสิ ไปด้วย”หอยมือเสือ เอ้ย ไอ้รันย์บอก 



สถานการณ์คงไม่เลวร้ายนักหรอกครับ ถ้าไม่นั่งเผชิญหน้ากัน ไม่ใช่แค่ผมกับไอ้รันย์และโม ญ มีลิ่วล้ออย่างไอ้น้องเขียวมาประกอบฉากอีกหนึ่ง เพราะมันอยู่ในระยะไม่มีเรียน  เรียกว่าครบองค์เลยทีเดียว ผมแอบเห็นไอ้เขียวขมวดคิ้ว  แต่ที่แน่ๆ เห็นโม ญ ยิ้มพิลึกๆ อยู่ตลอด

“พี่ๆ เจ็บคอกันหรอครับ ผมวิ่งไปซื้อยาอมให้ไหม” น้ำใจงามมากไอ้น้อง

“ไม่ต้อง......หรอก” หอยมือเสือบอกน้องเขียวด้วยเสียงแข็งๆ ครับ ทุกท่านอ่านถูกแล้วครับ การมีไอ้น้องเขียวมาร่วมวงเพิ่มดีกรีความหงิกของมันเข้าไปอีก

“ตะกี้คุยอะไรกันหรอ”โม ญ เปิดประเด็นขึ้นหลังจากเงียบดูเชิงกันมาพักใหญ่ หอยมือเสือส่งสายตาเฉียบขาดให้คนพูด โม ญ เหยียดยิ้มนิดหนึ่งให้พอดูมีชั้นเชิง

“กำลังคุยกันอยู่ว่าเป็นแฟนกันไปตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เมื่อไหร่นะ?”โม ญ หันมาถามผม ...ใบ้สิครับงานนี้  แล้วผมจะเอาอะไรมาตอบวะครับ

“เอิ่ม..อืม...เอ่อ” ระหว่างผมกำลังพยายามเค้นสมองหาคำตอบ ไอ้เขียวขยับตัวอย่างอึดอัด  ขณะเดียวกันไอ้รันย์ก็ทำท่าคล้ายจะทนฟังไม่ได้

“ไม่รู้สิ... เท่าที่จำได้” โม ญ พูด แล้วดูดไวตามิลล์อึกหนึ่งอย่างใจเย็น

“ไม่เคยนะ” ไอ้รันย์กับไอ้น้องเขียวหยุดนิ่งอึ้งเหมือนกดปุ่มพอซ

“ถ้าหวั่นไหวแม้กับเรื่องไม่มีมูลอย่างนี้ ไอ้รันย์ ฉันพูดได้คำเดียวว่าแก...เหนื่อยแน่ๆ”

“หมายความว่า...”ไอ้รันย์ยังงงๆ

“หมายความว่า ถ้าแกเชื่อว่าฉันกับไอ้เมศเป็นแฟนกัน แกก็โง่มากๆ ไงล่ะ”  หอยมือเสือหายหงิกขึ้นมาทันตาเห็น ลูกกะตาวับๆ ขึ้นมาทันที พอดีกับเพื่อนสาวสภาคนอื่นเดินมาบอกว่าหมดเวลาพักแล้ว

“เรียนแล้วงั้นขึ้นเรียนเถอะ”ผมพยักหน้าตามที่ไอ้รันย์บอก  ลุกขึ้นเดินเอาขวดแก้วไปวางตรงจุดเก็บจาน ไอ้รันย์ที่อาการหน้าหงิกเป็หอยมือเสือเมื่อครู่หาย ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

“ยิ้มอะไร?”

“ตลกหอยมือเสือ”ไอ้รันย์ทวนคำ อย่างงงๆ

“หอยมือเสืออะไรวะ”ผมไม่ได้ตอบมันหรอกครับ เพราะเอาแต่ขำ เพราะคิดว่า ดูๆ ไปหอยมือเสือเวลาอารมณ์ดีๆ ปากมันก็เหมือน Angelina Jolie เหมือนกันนะครับ

“โม ญ ยังไม่ขึ้นหรอ?”ผมถามสาวสภาฯ(ตัวจี๊ด)เพราะเห็นมันยังนั่งอยู่ที่โต๊ะเดิมกับน้องรหัสของมัน

“ยังไม่หมด”มันพูดพลางชี้ขวดไวตามิลค์ที่เหลือกว่าครึ่ง ผมเลยส่งสัญญาณมือว่าผมจะขึ้นไปเรียนก่อน

“เข้าใจแล้วใช่ไหม” รุ่นพี่สาวพูดแล้ว มองหน้าน้องรหัส

“แจ่มแจ้งแดงแจ๋...ยิ่งกว่าไฟแดงแยกอโศก”

“ยังจะลอง?”

“น่าสนุกดีไม่ใช่หรอครับ..พี่รหัส”โม ญ หัวเราะชอบใจ

“เออ สนุกก็สนุกวะ ไอ้เด็กเวลล์”

*************************

ดองไม่นานเท่าไรนะ...แค่สองเดือนกว่าๆ เอง  :oni1:
:m28:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2008 21:44:16 โดย krappom »

ออฟไลน์ tawanna

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 437
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด