ตอน๑๕ เวิร์คแอนด์ตระเวน ส่วนที่หนึ่ง สวัสดีพ่อแม่พี่น้องทั้งหลายนะครับ กลับมารายงานตัวอีกครั้ง เป็นการตอกย้ำและย้ำเตือนว่า กระผมยังไม่ตายจากทุกท่านไปไหน เอาล่ะ....จากความเดิมตอนที่แล้วทำให้ใจสั่นควานหายาดมยาอมยาลมยาหม่องกันแทบไม่ทันไปแล้ว จะมีสักกี่คนครับที่รู้ว่า ณ วินาทีนั้น หัวใจมันเต้นแรงขนาดไหน แรงจนผมนึกว่า จะกระดอนเด้งออกมาจากอกเสียแล้ว ดีที่ลูกน้องของผมขัดตาทัพไว้ก่อน แต่หลังจากนั้นเราก็ยังเป็นเราครับ ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง...งงล่ะสิ ว่าไอ้ลับๆแจ้งๆนี่มันคืออะไร
“ไอ้รันย์ กุปวดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”ผมพูดเสียงอู้อี้ พลางเอามือขวาโปะถุงใส่น้ำแข็งไว้ที่แก้มขวา มือซ้ายถือโทรศัพท์แนบหูซ้าย
“เพิ่งผ่าฟันคุดมายังโทรศัพท์อีก”
“กุปวดจริงๆนะ”
“เออ รู้แล้ว กินยาดิวะ กินยาแล้วนอน เหมือนวีต้าพุงอ่ะเมิงรู้จักป่ะ กินยาแล้วไปนอนซะ”มันบีบเสียงให้เหมือนพรีเซนต์เตอร์โฆษณาตบท้าย นอกจากเสียงแบนๆของไอ้รันย์แล้ว ผมได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวของเครื่องกรึงกัดไสทั้งหลายแหล่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ไอ้รันย์ทำงานอยู่ในชอปแน่นอน
“อย่าให้กุขำได้ป่ะ กุเจ็บแผลผ่านะเมิง”โอย...นอกจากเจ็บแล้ว น้ำหมาก..เอ้ย น้ำลายเหมือนจะไหลประกอบกัน
“แค่นี้ทำเป็นไม่เคย แล้วเลือดหยุดยัง?”
“หยุดแล้ว ...ก็ไม่เคยผ่าฟันนี่หว่า”
“เออ เลือดหยุดก็ดีแล้ว กินยาแล้วรีบนอนซะ เดี๋ยวค่ำๆไปหา”
“จะมาทำไม?”
“อ้าวไอ้นี่....ที่โทรมานี่ไม่ได้อยากให้ไปหาหรอวะ”
“ป่าวอ่ะ...แค่อยากระบาย”
“เหอะ” ผมได้ยินมันร้องออกมาคำนึง แล้ววางสายไปเลย เหอะ....
ผมวางโทรศัพท์มือถือลงแล้วหันไปมองกองสัมภาระที่กระจัดกระจายไม่เอาเข้ากระเป๋าสักที แม้จะจวนเจียนวันเดินทางเข้ามาทุกที พลางคิดไปว่า บ้านไอ้รันย์ตอนนี้ก็อาจจะรกอย่างนี้ เพราะตัวมันเอง ได้ทุนไปแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่นตามเป้าประสงค์ โชคดีที่ไปแค่ระยะสั้นๆ ถ้าไปเป็นปี ผมคง......ผมคง...เศร้าพิลึก
“ใกล้จะไปแล้ว ถึงแล้วโทรหาแม่ด้วยนะ เอาของไปฝากพี่ด้วย แม่วางไว้ใกล้ๆกระเป๋าอย่าลืมเอาใส่กระเป๋านะ แล้วนี่ยังปวดอยู่ไหม?”ผมส่ายหน้าพลางร้องครางด้วยความปวดจากยาชาที่กำลังสิ้นฤทธิ์ตอบคุณนายแม่
“กินอะไรล่ะ ข้าวต้มไหม?”ผมส่ายหน้ายิกๆ แต่คุณนายตุ้มเธอน่าจะเบลอๆ
“ข้าวต้มหมูนะ”นางพูดแล้วยักย้ายออกไปซื้อข้าว แม่ผมเป็นแม่บ้านอาหารถุงครับ ไม่ค่อยจะทำให้กิน ยกเว้นเมนูรีเควส ต้มย้ำกุ้งปรุงรสเด็ด แซบจี๊ดดดดดดดถึงไต (หมายถึง นอกจากเปรี้ยวเผ็ด แถมเค็มให้ด้วย) ได้อารมณ์ไปอีกแบบ
บอกตรงๆครับว่า ไม่ได้มีความตื่นเต้นในชีวิตกันเลย แม้จะจวนเจียนวันเดินทาง แม้คนรอบกายจะบิ้วท์อย่างหนัก ว่าจะไปแล้วๆ....แต่ผมกลับรู้สึกเฉยๆมากครับ อาจเพราะช่วงนี้เราชาวคณะวุ่นๆกับการทำรถเพื่อเตรียมไปแข่ง หรืออาจะเป็นเพราะผมวุ่นๆ กังวนกับการผ่าฟันเสียมากกว่าก็ไม่แน่ใจ หรืออาจะเป็นเพราะใจห่วงใครบางคนที่จะไปใกล้กว่า แต่ก็ไกลกันอยู่ดีอย่าง..เอิ่ม....คนที่คุณก็รู้ว่าใคร…นั่นแหล่ะครับ
“มาแล้วเปิดประตูด้วย” เสียงเนือยๆแบบเหนื่อยๆของไอ้คนที่คุณก็รู้ว่าใครดังมาตามสาย หลังจากฟ้าเมืองไทยมืดสนิทไปได้สักพักแล้ว
“ก็บอกว่าไม่ต้องมา”
“อะ ....งั้นกลับ”
“เฮ้ย! มาแล้วก็เข้ามาดิ”
“นึกว่าจะใจร้าย”ไอ้รันย์ทำเสียงสลดน้อยๆให้พอหมั่นไส้
มันยังคงขับรถมัสแตงค์คันเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ หน้ามันครับหน้ามันโทรมเหมือนเพิ่งรอดจากการโดนรุมตื๊บมาหมาดๆ หนวดเคราไม่มีคิดจะโกน อารมณ์ชีวิตแค่โดนทำร้าย
“หิวแล้ว แม่ค๊าบ~วันนี้มีอะไรกินบ้าง”ตกลงมันเป็นลูกบ้านไหนครับพี่น้องครับ ผมได้ยินเสียงคุณนายแม่ตอบแจ้วๆ พลางลูบหัวลูบหลังมันอย่างเอ็นดู โธ่...รัก(หน้า)โจรมากกว่าลูก
“คืนนี้จะนอนค้างไหมละ?”สิ้นเสียงคุณหญิงแม่ถาม ไอ้รันย์เหลือบมามองผมที่นั่งอยู่หน้าคอมแวบหนึ่ง
“ดีครับ เหนื่อยไม่อยากขับรถกลับกลัวหลับในเดี๋ยวได้นอนอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่รู้คนแถวนี้จะเห็นใจไหม ” กรรม...มันโยงหาผมได้ตลอดเลยรู้สึกไหมครับทุกคน
คืนนี้เรานอนคุยกันเรื่องสัพเพเหระ ส่วนใหญ่ผมนอนฟังกับครางอือออ ให้พอรู้ว่ายังฟังอยู่ เพราะเพิ่งผ่าฟันคุดมาหมาดๆ แค่อ้าปากยังน้ำตาจะร่วง เลยพยายามเป็นผู้ฟังที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ล่ะครับ
“ขอจับมือหน่อย”ไอ้รันย์ว่า พลางเอามือใหญ่ๆของมันคลำไปคลำมาแถวแขนผม
“อาอับอามอัย”(จะจับทำไม)
“อ้าว เดี๋ยวจะไม่ได้จับไปสามเดือนเลยนะ” ไอ้รันย์จับมือผมกุมไว้เบาๆ ก่อนจะลากนิ้วมือของมันไปบนหลังมือของผมเบาๆ ...แน่ะ..ลวมลามมือกรูอีก
“หรือบางที หลังจากสามเดือนไปแล้ว อาจจะไม่ได้จับอีกแล้ว”
“ทำไมล่ะ”ผมถามเสียงเบา พูดชัดขึ้นมาทันใด
“เมศ สัญญากับไอ้รันย์สักเรื่องได้ไหม?” ไอ้รันย์ลุกขึ้นนั่งบนฟูกนอกของมัน ผมนอนหันมาสบตากับมัน อย่างสับสน
“ถ้าในสามเดือนนี้ เกิดเจอคนที่คิดว่าใช่กว่า สัญญาได้หรือเปล่าว่าจะไม่ลังเลใจ....”
“ที่จะทิ้งเมิงนะหรอ”ผมพูดแทรกแล้วขำกลบเกลื่อน จริงๆคือกลัวนะครับ อยู่ๆไอ้รันย์ผีเข้าพูดเรื่องเข้าใจยากแบบนี้
“ใช่”ผมอ้าปากค้าง ลืมอาการปวดหลังผ่าฟันคุด ไปสนิท
“เพราะกรูก็จะทำแบบนั้นเหมือนกัน” ณ วินาทีนั้น ผม คิดอยู่อย่างเดียว ....เยสเข้..มันกล้ามาก
หลังจากคืนแห่งคำสัญญา ฟังดูดีนะครับ เราต่างวุ่นวายกับเรื่องของตัวเอง ได้คุยกันบ้างตามโอกาส จนในที่สุดก็ถึงวันเดินทางหนีออกนอกประเทศ เอ้ย เดินทางไปโครงการเวิร์คแอนด์ตระเวนก็มาถึง โดยที่ผมกับไอ้รันย์ได้คุยกันเพียงน้อยนิด มีเพียงข้อความสั้นๆ ส่งมาตอนที่ผมกำลังจะขึ้นเครื่อง ว่า ‘ขอให้โชคดี’ สี่พยางค์สั้นง่ายได้ใจความจากไอ้คุณรันย์ แต่ครั้นจะให้ผมใจน้อย งอนแก้มพองเป็นลิงลมดมกระปิก็เห็นจะไม่ใช่เรื่อง อย่าลืมนะครับ ว่าผมกับไอ้รันย์ ยังไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่า ‘เพื่อนสนิทคิดไม่ค่อยซื่อ’
เอาละครับ สำหรับท่านไหนที่ไม่ค่อยอยากทราบว่าชีวิตความเป็นอยู่กะเหรี่ยงเมศเป็นอย่างไรบ้าง ทำให้ทำเบลอๆข้ามย่อหน้าที่ไม่มีเครื่องหมายคำพูดตรงนี้ไปได้ตามสะดวกโยธิน......หลังจากนั่งขดอยู่บนเครื่องบินเกือบๆยี่สิบชั่วโมง กินอาหารจืดๆที่พี่แอร์โฮสเตสคนสวยเสิร์ฟ หลับสัประหงกพลางกอดหมอนที่กว่าจะได้มาเกือบโดนพี่แอร์สาวคนสวยตบกระโหลกแตก ในที่สุดก็ถึง ประเทศที่เขาว่าเป็นมหาอำนาจของโลกอย่าง อเมริกา ที่ๆเขาว่าเจริญนักหนา...เจริญจริงครับ สนามบินน้ำท่วม... หลังผ่านตม.(แปลว่าตรวจคนเข้าเมือง ไม่ใช่ ตม) เหล่าเด็กเวิร์คฯทั้งหลายก็เป็นกะเหรี่ยงเข้าเมืองอย่างถูกต้องตามกฏหมาย ขอเล่าข้ามๆไป ถึงชีวิตความเป็นอยู่และการทำงานนะครับ
ผมเลือกทำงานสวนสนุกแห่งหนึ่งในฝั่ง west ของอเมริกานะครับ (สวนสนุกที่มีตัวเลข) ในรัฐที่เป็นเมืองหลวงของความบรรเทิงโลก....ให้ไปเดาเอาละกัน ฮ่าๆๆ หลังจากทางบริษัทรับเด็กกะเหรี่ยงอย่างชาวเวิร์คเข้าทำงานเรียบร้อยทำเอกสารเซนต์สัญญาทุกอย่างถูกต้อง เราจะได้รับการ train โดยแบ่งไปตามแผนกต่างๆตามความสมัครใจ เช่น ทำfood service , merchandise,game หรืออย่างที่ผมเลือกทำคือ ride operators
ของแผนกอื่นผมไม่ทราบเหมือนกันว่าเทรนกันยังไงบ้าง แต่สำหรับ ride ops จะเทรนเรื่องความปลอดภัย สัญญาณมือต่างๆที่ควรรู้ ก่อนจะให้เลือกพื้นที่ และในวันรุ่งขึ้น จะถูกพาไปปล่อยตามเครื่องเล่นต่างๆในแอร์เรียที่ได้เลือกไว้ ซึ่งเครื่องคู่บุญที่ผมเลือก คือ Batman the ride เป็นรถไฟเหาะตีลังกา ที่ไม่เน้นที่การดิ่งจากที่สูง แต่เราเน้นการเหวี่ยง ตีลังกา up side down 2ครั้ง screw อีก3-4 รับรองว่าลงมาแล้วเดินไม่ตรงทางแน่นอนครับ ซึ่งบนเครื่องเล่นแบบนี้จำเป็นต้องมี operators จำนวนหนึ่งถึงจะเปิดเครื่องได้ สำหรับที่ถ้ำค้างคาวที่ผมประจำอยู่ ต้องมีสามคนขึ้นไปถึงจะเปิดได้นะครับ ซึ่งจะมีการแบ่งยศศักดิ์กันตามความสามารถเป็นปิรามิต คือ attendantธรรมดา สูงมาหน่อยเป็น leadป้ายส้มๆ สูงขึ้นไปจะเป็น superviser ซึ่งเขาจะไปแบ่งกันอีกหลายขั้นให้ปวดตับ แน่นอนครับ สำหรับกะเหรียงเมศอย่างผม....อยู่ที่ฐานปิรามิด
“boring!!” กะเหรี่ยงเมศสุดน่ารักสะดุ้งเหยง หันไปมองหรีด(lead) ที่ยืนอยู่บนยกพื้นที่มีแผงควบคุมรถไฟ(เหาะ) เคลื่อนเข้าออกจากสถานีติดตั้ง ขณะที่เรารอเวลาจนกว่าสวนสนุกจะเปิด ผมหันไปยิ้มแห้งๆ กลืนน้ำลายเอื๊อก! กุก็เบื่อ...แต่กุไม่มีอะไรจะคุยกะเมิง okๆ
ปล.ต่อไปนี้ขอนำเสนอบทสนทนาเป็นภาษาไทย เพื่อความเมามันส์ทางภาษา และรักษาอรรถรสสำหรับผู้ไม่สันทัดทางภาษาอังกฤษเช่นผู้เขียน
“เอ่อ....ตอนนี้เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วแต่ทำไมยังหนาว...อ่ะครับ” ผมถามแบบไม่ค่อยมั่นใจ
“อ้อ ปีนี้ฤดูมันเลทไปเดือน” ไมเคิล ดูบอน หรือที่ผมมักแอบเรียกว่า ไมเคิล ดู(ใบ)บอนตอบพลางถอดแว่นกันแดดออก ให้เห็นหน้าแบบแม็กซิกันขาวชัดเจน คิ้วเข้มๆขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเวลาไปเครื่องเล่นอื่นคนมักถามว่าผมมาจากเครื่องไหน พอบอกว่าแบทแมนทีไรต้องถามทุกทีว่า ไมเคิลดูใบบอนอยู่ไหม พอบอกว่าอยู่ คนถามมักทำหน้าชื่นอกชื่นใจกันเป็นทิวแถว(ส่วนใหญ่จะผู้หญิงเสียด้วย)
“อ่อ...ครับ”
“อายุเท่าไหร่?”
“คุณเดาสิ”ผมพยายามต่อมุกให้มีอะไรคุย
“16-17” โธ่ เกิดมาหน้าเด็กเนี่ยมีกรรมนะครับ จริงๆแล้วฝรั่งเขาเป็นเอเชี่ยนอย่างเราๆดูอายุน้อยมาก
“ไม่ใช่ละ ยี่สิบตะหาก”ไมเคิลดูใบบอน ทำหน้าไม่เชื่อผมเลยชูนิ้วประกอบ
“แล้วคุณละ?”
“เดาสิ”แน่ะมันเล่นแง่
“ยี่ห้า”ผมทำมือสองห้าประกอบอีกที มันส่ายหัวดิก
“ผิดละ ผมดูแก่ขนาดนั้นเชียว” เอาไงดี จะตอบ yes or noดีครับทุกคน ถ้าตอบเยส จะตกงานไหมครับ....โจทย์ยาก คิดด่วนๆ
“ไทยสแตนดาร์ทไง แล้วคุณละ”ไอ้คุณหรีดทำหน้าเข้าใจ ไอ้เมศรอดไปอีกงานแต่มันไม่ยอมตอบคำถาม
“น้ำหนักเท่าไหร่? ดูแล้วไม่น่าถึงสองร้อยปอนด์นะ”
“ห้าสิบห้ากิโล ไม่รู้ว่ากี่ปอนด์”ไมเคิลดูใบบอนพยักหน้า กดเครื่องคิดเลขที่ใช้สำหรับคิดหลังจากอ่านตัวเลขที่เครื่องนับจำนวนคนเข้าออกจากstation มาจิ้มๆกดๆ
“ร้อยยี่สิบปอนด์ได้ ผอมไป ต้องอย่าผมสิถึงจะดูดี” เออ...เมิงหล่อ ตัวเป็นหมีแมกซิกันแล้วเมิงน่ะ ผมคิดเบาๆครับ คิดดังไม่ได้เดี๋ยวมันรู้ ถ้าเทียบไซส์ตัวแล้วผมสูงแค่คางมันเองครับ
“แล้วตกลงคุณอายุเท่าไหร่??”
“ไม่บอก มันเป็นความลับของผม เอาไว้จะพาไปกินทาโก้” ไมเคิลดูใบบอน บอก ก่อนจะเตะส่งผมลงไปยืนตากแดดที่ตำแหน่งlocker attendant อยู่ทั้งวัน...พูดอังกฤษคล่องขึ้นเยอะเพราะทำตำแหน่งนี้ละครับ ตำแหน่งที่จะทำให้คุณตากแดดหัวแดง ผิวแทนทั้งวัน เม้าท์กันเมามัน (targo อาหารแม็กซิกันประเภทหนึ่งห่อเนื้อสัตว์และผักไว้ในแผ่นแป้ง)
วงจรชีวิตหลักๆของกะเหรี่ยงเมศไม่ยากครับ อธิบายสั้นๆ ตื่นเช้า ไปทำงาน กลับบ้าน นอน ทำอย่างนี้อิทตย์ละหกวัน ทำงานวันละแปดชั่วโฒงโดยประมาณ โดยห้ามใช่โทรศัพท์มือถือในปาร์ค และ ห้ามนั่ง อย่างหลังนี่ทรมานมากในวันแรกๆ แต่หลังๆเริ่มเฉยๆไปเอง เมศทนได้....หึหึหึหึ เช้านี้ก็ไม่ต่างจากเช้าวันทำงานวันอื่นๆหรอกครับ ขึ้นรถเมล์สายหกตอนแปดโมงแปดนาที บางทีรถสายนี้ก็เลท ทำให้ตกรถอีกต่อหนึ่ง ไม่เป็นไรครับ มีเวลาอีกสี่นาทีให้วิ่งจากหน้าปาร์คไปหลังปาร์คเพื่อclock in เหมือนตอกบัตรเข้าทำงานนั่นล่ะครับ ผมกำลังมองถนนสายยาวที่ทอดไปสู่ที่หมายอย่างกึ่งหลับกึ่งตื่น รู้สึกเหมือนมีใครเลย เลยหันไปพบไอ้หนุ่มเมกันท่าทางมีเชื้อแม็กซิกัน(อีกแล้ว)หน่อยๆมันจดๆจ้องๆ
“เป็นพนักงานบริษัทXXXหรือ?”
“ใช่ครับ” ผมนึกในใจเห็นเสื้อสีเหมือนปากกาไฮไลท์แสบตาขนาดนี้ คนเมืองนั้นรู้กันครับว่าพนักงานบริษัทไหน หลังจากลงรถบัสที่หน้าปาร์คเรียบร้อย ผมเตรียมใส่เกียร์หมาวิ่งไปหลังปาร์คอย่างที่วางแผนไว้ ไอ้หนุ่มคนเดิมก็ทักเสียก่อน
“คุณรู้ไหมว่าESOไปทางไหน” ย่อมาจาก employee service office
“ผมกำลังจะไปที่ESOพอดี ไปด้วยกันสิครับ”เห็นไหมครับ ไอ้เมศของทุกคนใจดีขนาดไหน ไอ้หนุ่มยิ้มฟันสวย ยื่นมือมาให้ เวลามันยิ้มแล้วน่าเอ็นดูดีว่ะครับ ดีครับได้เพื่อนใหม่อีกคน
“ผมชื่อไมเคิล..”ไมเคิลอีกแล้ว ชื่อโหลสุดๆ ผมทำตามทำเนียมยิ้มเหนียมอายหนึ่งทีแล้วเชคแฮนด์พร้อมแนะนำตัว แอมฟายแทงคิ้วแอนด์ยู้ววว~
หลังไอ้หนุ่มไมเคิลฟันสวยถึงที่หมายเรียบร้อยดี ผมก็ไปทำงานตามปรกติ ไปสอบเลื่อนระดับให้สามารถทำได้ทุกตำแหน่งในเครื่องเล่นที่ผมประจำเรียบร้อยผ่านฉลุย หลังจากเทรนมานานนมนมนาน การทำงานในเดือนหลังๆจะสนุกปนเบื่อบางอารมณ์ เวลาเจอคนเยอะๆก็เหนื่อยก็เบื่อนะครับ แต่เพื่อนร่วมงานทุกคนก็ดี แหย่เล่นกันพูดหยอกเล่นหัวกันมีความสุข พอเครื่องใกล้จะปิดแล้ว หน้าที่อีกอย่างหนึ่งที่คนแย่งกันทำคือ (ผมเดาว่าไม่มีใครเดาถูก) เปลี่ยนถุงขยะกับกวาดพื้นครับ! เพราะเป็นหน้าที่ที่ได้เดินลั้นลา ชิลๆ อู้กระจาย(อย่าลืมนะครับ พวกเรานั่งกันไม่ได้เลย ดังนั้นการได้เดินไปที่อื่นบ้าง แอบนั่งบ้างย่อมต้องดีกว่าอยู่แล้ว) ดังนั้นหรีดไม่หรีดก็แย่งกันทำตำแหน่งนี้
“Mezz come here”ผมทำหน้าเหรอหราเดินมาหาหลีดไมเคิลดูใบบอน
“ไปกวาดคิวไลน์”โอ้เยส~ ไมเคิลดูใบบอนหล่อขึ้นสามสิบเปอร์เซนต์
“แล้วใครจะเปลี่ยนถุงขยะ”
“ผมทำเอง รีบไปกวาดเร็วเข้า” ผมรีบคว้าไม้กวาดที่โกยไปทำตามคำสั่งพ่อใบบอนทันที
กว่าจะกวาดหมดทั้งเครื่อง เล่นเอาเหนื่อยนะครับหลังเวลาปาร์คปิดได้สักห้านาทีผมก็ได้ยินเสียงว่าบนstation เคลียร์คนทั้งหมดออกไปแล้ว และกำลัง power off เครื่อง แปลว่าใกล้ได้กลับบ้านแล้วครับ ผมรีบกวาดลวกๆให้พอสะอาดแล้วเสนอหน้าขึ้นไปบนstation เผื่อคุณไมเคิลดูใบบอนแกจะนึกจิตคิดกุศลปล่อยกะเหรี่ยงเมศกลับบ้าน(เวลาไปclock inจะได้ กระดาษมาหนึ่งใบ ในนั้นจะเขียนว่าเข้าทำงานกี่โมง เบรคครั้งที่หนึ่งสอง ทานกลางวันกี่โมงถึงกี่โมง และต้องคืนเวลาไปclock outเมื่อเลิกงาน) ปรากฏว่า เหลือแต่ผมกับหลีดที่ยังไม่ได้clock out
“ช่วยขนถุงดำลงไปทิ้งหน่อย”ไมเคิลดูบอนสั่งการพลางก้มๆ เงยๆ รวบรวมถุงดำเตรียมลากไปทิ้ง ผมจึงช่วยรวบปากถุงก้มๆเงยๆตามไปอีกคน
“อายุยี่สิบแล้วจริงๆนะหรอ?”ผมเงยหน้ามามองมันงงๆ นี่ไอ้เมศไม่มีเครดิตขนาดนั้นเชียว พูดไปบ่มีใครเซื่อ
“ใช่สิ แล้วตกลงคุณอายุเท่าไหร่?”
“ไม่บอก!” ไอ้คุณไมเคิลดูใบบอนมันยักคิ้วหลิ่วตาพลางใส่แว่นกันแดดแล้วเปิดประตูทางหนีไฟ แล้วทิ้งถุงขยะจากระเบียงชั้นสองลงไปที่ชั้นหนึ่ง ก่อนจะเดินตามลงไปเพื่อลากไปทิ้ง(เรามักทำอย่างนี้เพราะขี้เกียจลากถุกขยะใบใหญ่ยักษ์เกือบสิบใบลงไป) ตรูไม่ตกหลุมเอ็งหรอกครับ ไปยักคิ้วใส่สาวๆเครื่องอื่นดีกว่า
“อยากรู้!” ผมพูดพลางทิ้งถุงขยะลงไปชั้นล่าง เฉี่ยวหัวหลีดของผมไปนิดเดียว มันหันมามองแบบอาฆาต
“ประทุษร้ายร่างกายเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะนะเมศ!”
“ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แปลว่านี่ยังไม่ถึงยี่สิบเอ็ดใช่ไหม?”
“ยังไม่ถึง” มันว่า พลางรวมขยะทิ้งลงถังเรียบร้อย ก่อนจะเดินกลับขึ้นมา ผมมองมันแบบยังอยากรู้
“รู้จัก culture shock หรือเปล่า?”ผมส่ายหน้า ตอนปฐมนิเทศน์ผมหลับครับ ความรู้ไม่ครบถ้วน ไมเคิลดูใบบอนมันย่างสามขุมมาหาผมสีหน้าสีตามันดูหื่นๆพิกลทำให้ต้องถอยไปจนหลังชนราวระเบียง
“มันคือการกระทำที่แตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม ที่อาจจะทำให้คนต่างที่มาต่างวัฒนธรรมตกใจ”ไมเคิลดูบอน อธิบายเสียงเบา ผมเผลอเกาะราวระเบียงแป๊บเดียว ริมฝีปากคู่นั้นก็ประทับบนริมฝีปากของผมเรียบร้อย
“แบบนี้ไง” มันว่าผมรีบดันมันออก
“นี่มันลวนลามแล้วเดี๋ยวจะไปแจ้ง security ”ชายอเมริกันผู้ฉกชิงจูบแรกในชีวิตชายหนุ่มของไอ้เมศยักไหล่ไม่ใส่ใจ
“เขาไม่ใส่ใจหรอก กะอีแค่โดนเด็กสิบแปดแตะนิดแตะหน่อยทำอย่างกับไม่เคย kiss” ไม่เคยว้อย ไม่เคยโดนผู้ชายkiss เด็กเปรตตตตตต…..โธ่ ชีวิตไอ้เมศ โดนเด็กอายุสิบแปดกดขี่ข่มเหง เรียนคุณปวีณาครับ ช่วยมาประคับประคองสิทธิบุรุษใกล้ถึงบ้านนี้เมืองนี้ทีเถอะครับ
นึกๆไปแล้ว ผมจะบอกคนที่ไปญี่ปุ่นยังไงดีครับ ว่าผมเสียจูบแรกให้ไอ้หนุ่มแม็กซิกันชื่อโหลนามสกุลประหลาดไปเสียแล้วละครับ...โจทย์ยากครับทุกท่าน วอนทุกท่านช่วยคิดที....ท่าทางจะอีกหลายเดือนกว่าจะคิดออก
******************************************************************************
กลับมาเเล้วค่ะ อัพเรื่องนี้ในเด็กดีไปสัปดาห์นึงได้เเล้ว...ลืมอัพในเล้า
(ปรกติในเล้ามีพี่เเป๋มกรุณาอัพให้...คราวนี้เราหากันไม่เจอ เลยเเปะเอง... พี่ขาน้องคิดถึง)
ขอโทษสำหรับความล้าช้า ที่มีเเนวโน้มว่าจะช้าต่อไป
จะพยายามนะคะ ....หลายท่านอาจจะอ่านตอนนี้เเล้วมันขัดใจ ....อย่าดักตีหัวเมศนะ
ด้วยใจรัก
ปล.จำไม่ได้ว่าจะบอกอะไร(ช่วงนี้ความจำสั้นขาดสมาธิ อาจต้องกิน ซอยเป๊บไทน์ ให้ขนลุกเกรียววันละ3เวลา ...ฮ่าๆ)