ตอน ๑๐ (พยายาม)มีสาระ
สวัสดีพ่อแม่พี่น้องลิงบ้าและน้าอา....ไม่ได้มาหาเสียงนะครับ ผมได้ข่าวมาว่า ไอ้เมศมันไร้สาระจริงๆ ๑๐ตอนแล้ว ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากขำ และมันมั่นใจว่ามันเด่น แต่ผมมั่นใจว่าผมเด่นกว่า ทำไม๑๐ตอนกับเวลาเขียนเกือบครบรอบปีถึงไปได้แค่นี้? มันจะเพราะใครถ้าไม่ใช่เพราะไอ้เมศมัน โง่บ้าเซ่อร์ครับ มันไม่รู้อะไรสักอย่าง ผมสารพัดจะทำทั้งหยอกไก่ ทอดสะพานจนไหม้เกรียม หรือแม้แต่อ่อยแบบอ่อนๆ มันก็ยังโง่ไม่รู้เรื่องรู้ราว สงสัยผมต้องจูนมุขใหม่ ให้ตรงกะมัน เผื่อว่ามันจะตู่รู๊ดๆ จูนคลื่นติดกับผมบ้างครับ
เพราะเป็นช่วงปิดเทอม ไอ้เมศมันเป็นเด็กติดบ้านครับ กินนอนหน้าคอมไม่ค่อยออกไปเที่ยวไหนซึ่งดีครับ ผมจะได้แน่ใจว่า มันไม่ได้ไปเพ่นพ่านที่ไหน แต่ก็มีบ้างที่ยกพวกกันเฮโลไปกินเที่ยวเยี่ยวเข้ กันบ้าง ...อย่ามาแอบยิ้มนะครับ มันเป็นคำพ้องเสียงกัน ผมไม่เน้นฮา ขอยืนยันไว้ตรงนี้ ครับ...ต่อครับ แต่วันนั้นผมนัดเพื่อนเก่าไว้ที่ห้างแห่งหนึ่งย่านฝั่งธน กำลังนั่งกินข้าวกันอยู่สรวลเสเฮฮากันตามประสา ผมเหลือบไปเห็นโต๊ะตรงมุมร้าน ถัดจากโต๊ะพวกผมไปไม่มาก แต่คนค่อนข้างเยอะครับ เพราะเที่ยงเวลาที่ใครๆก็ออกหากิน เห็นคนหน้าตาคุ้นตา กำลังหัวเราะเสียงดังกับใครอีกหลายคนในโต๊ะ ท่าทางสนิทสนม แม้คนจะเยอะ แต่ผมเห็นมันชัดกว่าใคร เหมือนมีสปอตไลท์ฉายกันเลยทีเดียว เว่อร์ไหมเนี่ย
“เฮ้ย เมิงว่าไงวะ จะไปไหนต่อ?” เสียงเพื่อนเก่าของผมถาม แต่ผมไม่ค่อยสนใจมันครับ กำลังยืดคอมองไอ้ซื่อบื้อที่มุมร้าน
“แม่งมองไรวะ มองอยู่ได้” พวกมันยืดคอมองกัน หาไปเหอะ ไม่เจอหรอก ลงมนต์พรางตาไว้แล้ว เล่นไสยศาสตร์กันเลยทีเดียว
“มองว่าเมื่อไหร่เขาจะมาเติมน้ำ เอาแก้วเมิงมา”ผมกลบเกลื่อน แล้วหยิบแก้วเพื่อนนั่งฝั่งตรงข้ามมาดูด
“เออ แม่งแปลกจริงอย่างพวกเมิงว่าว่ะ” พวกผมคนหนึ่งพูดขึ้น ผมชักสนใจว่าแปลกยังไง
“เฮ้ย กรูได้ข่าวมาหลายกระแสว่าเมิงอยู่ ม. สาวติดเยอะหรอเมิง”
“ก็พอประมาณ” ผมตอบแบบไม่ค่อยสนใจครับ เสียงโห่ หมั่นไส้จากรอบโต๊ะไม่ทำให้ผมรู้สึกอะไรหรอกครับ
“ไม่คิดจะถ่อมตนหน่อยหรอเมิง กุหมั่นไส้เมิงว่ะ”
“เมิงก็หมั่นไส้มันมาหกปีแล้วแหล่ะสาด” ผมไม่ค่อยสนใจเพื่อนเก่าของผมมากนัก และยังคงมองโต๊ะมุมร้านต่อไป ในโต๊ะนั้นมีผู้หญิงบ้าง หน้าตาน่ารักไม่เลว หนึ่งในนั้น เอามือ....มือจับมือไอ้เมศ
ซวบ!
เปล่าครับผมยังไม่ได้ลุกเอาตะเกียบ ช้อน จาน หรือหลอดดูดน้ำไปกระซวกใคร อะๆ..แค่เอาหลอดจิ้มลงไปในโค้กแก้วใหญ่รีฟิลของตัวเองเท่านั้น อย่าทำเป็นขำนะครับว่าแค่หลอดดูดน้ำจะไปทำอะไรใครได้ เคยได้ยินไหมครับ หลอดดูดอยู่ที่ใจ แค่ไม้ไผ่ก็ไร้เทียมทาน อืม มัว แต่ไม่เป็นไรครับ คนหล่อทำอะไรก็ไม่ผิด สังเกตการณ์ต่อครับ อย่าเอ็ดไป... ท่าทางเพื่อนกลุ่มนี้จะเป็นเพื่อนเก่าสมัยมัธยมของมันนั่นแหล่ะครับ แล้วทำไมตอนคุยกันเมื่อคืนมันถึงไม่บอกผมว่าจะออกมาข้างนอก ?...เดี๋ยวนี้มีความลับหรอวะ หรือว่ามันลืม?
“เฮ้ย กรูได้ข่าวมาว่า ม.เมิง มีหน้าตาน่ารักเยอะนี่หว่า”ผมหันไปมองหน้าเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของผม ที่อ้าปากก็เห็นถึงไส้ติ่ง และบางทีอาจเห็นลึกถึงตาปลาในบางเรื่อง เพื่อนคนนี้ ไม่ธรรมดาครับ มีประวัติคั่วได้ทั้งชายหญิงอย่างโชกโชน ต้องระวังครับ
“ทำไมวะ” ผมถามไอ้ รัก เพื่อนที่จัดว่าสนิทที่สุดของผม
“กุยังไม่ทันถามอะไร อย่าทำเสียงแบบนี้ดิวะ”มันพูดเบาๆ ให้ได้ยินแค่สองคน แล้วตบบ่าผม แววตามันบอกครับ อย่าร้อนตัว ไอ้เอี้ยนี่ มันร้ายครับ
“เปล่า ว่างๆกรูจะไปเหล่เด็กม.เมิงอีก ครั้งก่อนกรูไปแล้วไม่เจอเมิง เลยลองถามๆคนแถวนั้นดู”ทุกคนตั้งใจฟังไอ้รักพูด รวมถึงผม ที่ ถึงจะทำเหมือนไม่ค่อยสนใจก็เถอะ
“เห็นซื้อชามะนาวดูดๆอยู่ ตัวสูงแค่ไหล่กรูเอง เลยสะกิดเรียก”
“สะกิดเลยหรอเมิง มือถึงตรีนถึงนะสาด”
“ยังๆ ตรีนยังไม่ถึง” ไอ้รักหัวเราะแล้วมองหน้าผม ผมว่ามันมีสักอย่าง... อะไรสักอย่างที่มันเหมือนจงใจเล่าให้ผมฟัง
“ต่อๆ กรูเลยสะกิด แม่งหันมา น่ารักชิบหายเลย ถูกใจกรูว่ะ”
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวๆ ผู้ชายผู้หญิงวะ”
“กรูว่าผู้ชายชัวร์พันเปอร์เซ็นต์ ลองแม่งมาพร่ำเพ้อแบบนี้”
“เออ สมเป็นเพื่อกรู รู้ใจ”ไอ้รักมันว่า ผมชักตะหงิดๆ
“หันมา แม่งตาโต หน้าขาวคมๆ กรูเลยถามว่า รู้จะคนชื่อศรันย์ไหม เขาก็ตอบว่ารู้จัก มาหารันย์หรอ รันย์กลับไปก่อนแล้ว” ผมถึงบางอ้อเลบครับ ประมาณสองสัปดาห์ก่อน พวกผมไปทำงานให้คณะกันมาครับ ออกแบบของไว้หลอกขายเด็ก เอาเงินมาลงโต๊ะ เพราะใกล้สิ้นฤดูกาล เอ้ย เอาตังค์มาหมุนในคณะทำกิจกรรมรับน้อง วันนั้นผมรีบกลับครับมีธุระทางบ้าน
“เขาบอกว่าเขาชื่อเมศว่ะ ชื่อแมนไม่เข้ากะหน้าเลย” คาดว่าผมคงส่งสายตาไม่ค่อยพอใจใส่มัน มันเลยตบไหล่ผมอีก
“อืม แล้วเขาว่าไง” ผมลองถามต่อไป
“เขาก็ไม่ว่าไง เขาว่าจะบอกให้ว่าเพื่อนมาหา แล้วก็ถามว่ากรูชื่ออะไร”
“แล้วเมิงตอบว่าอะไร” ผมพยายามรักษาเสียงให้ปรกติครับ
“อ้าว ก็ตอบชื่อมันดิวะ เมิง เพี้ยนป่าวเนี่ย” ถึงผมจะเพี้ยน ก็เพี้ยนเพราะรักครับทุกคน
“เออ กรูก็บอกชื่อไปว่ากรูชื่อรัก เขาก็ว่า ชื่อเพราะดี แล้วจะบอกให้ แล้วเขาบอกเมิงป่าววะ”ไอ้รักหันมาถาม ผมเกลียดสายตาแบบนี้ของไอ้รัก
“เปล่า ลืมมั้ง”
“เสียดาย ไม่ได้ขอเบอร์”
“เขาอาจไม่ให้ก็ได้นะเมิง หึหึหึหึ” ผมว่า มองสบตาไอ้เพื่อนเวง
“ร้อนว่ะแถวนี้ สงสัย ไฟกระทะแรงไป”เพื่อนๆที่เหลือ รีบกุลีกุจอ ใส่อาหารลงในกระทะปิ้งย่างกันให้สนุก พอผมละจากการประสานสายตากะไอ้รัก ก็พอดีเห็น ตัวต้นเหตุเดินออกไปนอกร้านคนเดียว ผมเลยรีบวางอุปกรณ์การกิน บอกเพื่อนๆว่าจะไปส้วม แล้วรีบเดินตามออกไป ไม่รู้หรอกครับว่าไอ้รักมองตามหรือเปล่า และมันเห็นไอ้เมศไหม
ผมรีบเดินสะกดรอยตามมันไปทางห้องน้ำครับ มันเข้าทำกิจเป็นที่เรียบร้อย กำลังล้างมือ ผมก็ไปยืนข้างหลังมัน ดีนะที่ห้องน้ำไม่มีคน มันก้มหน้าก้มตาล้างมือ บ้วนปาก เหมือนอย่างที่มันทำทุกครั้งหลังกินข้าวเสร็จ เด็กอนามัยจริงๆ ไอ้เมศ มันเงยหน้าขึ้นมา สบตากับเงาในกระจกของผม ผมก็จ้องมันตอบในกระจก มันยิ้มให้น้อยๆ วันนี้แต่งตัวแปลกตาด้วยครับ ปรกติเห็นใส่ชุดนศ. เสื้อยืดเน่าๆกับกางเกงยีนส์เพื่อใส่เสื้อชอปทับ หรือ ไม่ก็ เสื้อยืด กางเกงเลหนีบช้างดาว(รองเท้าแตะ) แต่วันนี้ใส่ขาห้าส่วนลายทหารซีดๆ กับเสื้อสีขาวลายควาย เขียนข้างล่างว่า Ikwuai น่ารักจริงว่ะ กรูน่าจะรวบหัวรวบหางซะเลย
“มาได้ไงวะ ไม่เห็นบอกเลยว่าจะมาแถวนี้”มันทัก
“นึกว่ารู้แล้ว ไอ้ควาย” ผมผ่านตามลายเสื้อมันนะครับ ไม่ได้ว่ามันแต่อย่างใด แล้วยืนกอดอก มองมัน
“มากับเพื่อนหรอ?” ผมรับคำ มันก็บอกว่ามันมากับเพื่อนมันเหมือนกัน
“อ้าวแล้วเพื่อนไปไหนแล้วล่ะ”
“มาส้วม กุต้องหนีบเพื่อนมาด้วยหรอวะ”
“แล้วนี่เมิงมากินร้านไหนเนี่ย”
“ร้านเดียวกะเมิงแหล่ะ จะกลับไปร้านเลยไหม?”ไอ้เมศพยักหน้าแล้วเดินนำออกไปครับ ระหว่างทางเดินกลับนั้นเราคุยกันหลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่องงานคณะไปจนถึงเรื่องบอล เหมือนคุยกันยาวจริงๆแป๊บเดียวครับ
“เออ กรูออกแบบลายเสื้อเสร็จและนะ เดือดร้อนพี่ๆน้องๆกรูหมด โดยเกณฑ์มาใช้แรงงาน”ใช่ครับ งานคณะจุกจิกยิบย่อย บางทีก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ทุนไม่พอ ปัญหาเยอะครับ
“เอาน่า กรูไว้ใจเมิงว่าต้องออกมาสวย”ไอ้เมศพนมมือแต้
“เพี๊ยงกรูเหนื่อยแล้วขอให้โหวตชนะ ได้เสื้อรับน้องกรูฟรีเหอะวะ”ผมหัวเราะครับ ท่าทางมันเหมือนลิงไหว้เจ้าเลย ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ ใครมีหน้าที่การงานด้านนี้ จัดให้มันหน่อยนะครับ สงสาร
“เออ เมื่อวานก่อนเพื่อนบอยแบนด์เมิงมาแน่ะ กรูก็นึกว่า ฟิล์มรัดตะปูตัวเป็นๆ ชื่ออะไร ไม่รู้ รักๆ รัดๆ สักอย่างอ่ะ เมิงไปถามหาเอาเองแล้วกัน”ผมต้องใช่เวลาประมวลผลอยู่อึดใจกว่าจะเข้าใจว่ามันพูดอะไร ไอ้ฟิล์มรัดตะปูนี่มันหน้าตายังไงวะ
“ เออ มันบอกกรูแล้วแหล่ะ”แล้วมันก็ตั้งถ้าจะตั้งหม้อกะเมิงด้วย
“เมิงนี่มันพูดไม่รู้เรื่องจริงๆ” ผมพูดแล้วหัวเราะกับตัวเองที่มีเพื่อนแปลกแบบนี้
“กรูได้ยินนะเมิง” ดูมันมองผมดิครับ กรูรู้แล้ว กรูชอบของแปลกนี่เอง
“ได้ยินว่าไร?”
“ได้ยินเสียงของหัวใจ” มันทำท่าใจเต้นตึกตักออกมานอกอก อืม....เมิงเพี้ยนจริง กรูรับรอง
“ไอ้เมศ กลางห้างนะเมิง”
“อ้าวหรอ กรูก็นึกว่าท้องพระโรงส่วนตัว” เอาเข้าไปเพื่อนกรูบ้าไปแล้ว สงสัยวันๆอยู่แต่หน้าคอมจนประสาทกลับเสียจริต
“ร้านไหนวะ กรูงง” เอากะมันดิครับ มันความจำปลาทองขนาดจำไม่ได้ว่าเดินมาจากร้านไหน
“ร้านนี้ เลี้ยวขวาๆ” ผมดันไหล่มันให้เลี้ยวขวา เบาๆครับ ขอย้ำ ผมดันไหล่เบาๆเท่านั้น มันเจือกขวาหัน แล้วพุ่งตัวใส่ทันที สงสัยนึกว่าเรียน รด.
โครม!
“เฮ้ย ไอ้เมศ!” ไม่ทันครับ ไอ้เมศมันเดินชนกระจกร้านไม่ใช่แค่ดังตึงนะครับ ประทานโทษ ดังโครม คาดว่าหัวมันชนอย่างแรงแน่นอน ผมมองภาพแล้วขำ นอกจากมีไอ้เมศที่ยืนกุมหัวปูดๆของมันไว้แล้ว ยังมีแบคกราวครอบครัวพ่อแม่ลูก ที่ตะลึงค้างทั้งที่ยังมีหมูพริกไทยดำอยู่คาตะเกียบ งานนี้ช่วยไม่ได้ครับ ผมฮาแตก หัวเราะท้องคัดท้องแข็ง ทำเป็นไม่รู้จักมันจะยังทันไหมครับ?
“เจ็บนะเมิง หัวเราะเยาะกรูอีก”มันพูดเสียงดังแบบไม่อายฟ้าดิน แต่ผมอายครับ เลยรีบลากมันไปหลบหลืบดูอาการกันก่อน
“กรูบอกให้เมิงเดินเลี้ยวขวาเข้าร้าน ไม่ใช่ขวาหันเข้าร้าน หัวปูดมากไหมเนี่ย โง่กว่าเดิมหรือเปล่าก็ไม่รู้” ผมรีบดูอาการมันก่อนครับ เลือดตกยางออกไป แม่มันจะว่าไง ผมยังต้องยื่นใบสมัครเป็นแคนดิเดทว่าที่ลูกเขย เกิดมีคู่แข่งยังต้อง ดีเบทคะแนนกับคู่แข่งอีก จะยอมเสียคะแนนเพราะเรื่องแค่นี้ไม่ได้ครับ เอ่อ...อะแฮ่ม ขอโทษครับ สงสัยดูการเมืองสหรัฐมากไป
“กรูไม่เป็นไรๆ”มันมัดไม้ปัดมือเหมือนคนเมา นี่นะไม่เป็นไร
“กลับบ้านไหม?”มันเงยหน้ามองผม หน้าตามันมึนๆ สงสัยจะชนแรงเหมือนกัน ขนาดหน้ามึน ยังน่าเอ็ดดู...จิตหลุดอีกแล้วผม
“เฮ้ยไม่ได้ๆนานๆจะเจอเพื่อนสักที”
“แน่ใจนะ”ผมพยักหน้าหงึกหงัก ผมยังไม่แน่ใจนัก แต่มันยังยืนยันหนักแน่น ว่าจะกลับไปหาเพื่อนมัน ผมเลยต้องพามันเดินกลับเข้ามาในร้าน แม้สถานการณ์ภายในจะสงบแล้ว แต่มีบางคนที่จำหน้าได้เขาก็หัวเราะครับ ผมหันไปมอง แต่สงสัยว่าจะส่งจิตสังหารมากไปหน่อย อ้าวเฮ้ย ไม่ใช่การ์ตูน
“ต้องไปส่งที่โต๊ะไหม?”
“ต้องไปแนะนำตัวกับเพื่อนเมิงไหม?” ผมกับไอ้เมศพูดขึ้นพร้อมกัน ยืนจ้องกันแบบมึนๆพลางประมวลผลไปด้วย ก่อนจะตอบ
“ไม่ต้อง” ออกมาพร้อมๆกัน
“ทำไมอ่ะ?”มันชิงถามก่อนผม ในใจผมก็อยากถามอย่างนี้เหมือนกัน
“ก็ไม่ต้องหรอก เพื่อนกรูไม่ได้สำคัญขนาดนั้น เมิงหัวปูดงี้ไม่อายเขาหรอ”ไม่ได้ครับ ผมต้องกีดกันให้เมศห่างจากไอ้รักเข้าไว้ หมอนั่นอันตรายครับ ไม่ควรให้เข้าใกล้เด็ดขาด
“ชิ อยากดู8บอยแบนด์ใกล้ๆก็ไม่ได้”8ไหนวะ เพื่อนกรูมาแค่4 อ่านการ์ตูนมากไปป่าววะเนี่ยเพื่อนตรู(*8บอยแบนด์ ฉายาที่ชาวพันทิพ ตั้งให้ 8กุนซือสำคัญ หรือ8พิสดาร ในเรื่องหงสาจอมราชันย์)
“แล้วทำไมไม่ให้กรูเดินไปส่งที่โต๊ะ” ไอ้เมศท่าทางกระสับกระส่าย ไม่สบายใจครับ แสดงว่ามันไม่สะดวกใจจะตอบ(อย่างมาก)
“ทำไม?”
“เฮ้ย อย่าขมวดคิ้วเดะ กรูกลัวนะเมิง”ผมอ้าปากเหมือนจะถามต่อมั้ง มันเลยรีบตอบ
“กรูเขินอ่ะดิ เมิงอย่าลืมนะว่ากรูเพิ่งผ่านการหน้าแตกมาหมาดๆ” รู้ตัวว่าหน้าแตกได้ด้วยว่ะไม่น่าเชื่อ ต้องวิ่งรอบฉอปแก้บนไหมนี่
“เออ ถ้าตอบไม่สวยอย่าหวังจะได้เจอเพื่อนเลย” ผมมองส่งไอ้เมศจนมันถึงโต๊ะ แล้วค่อยเดินกลับมาโต๊ะตัวเอง
“ไงวะ ไปเข้นานจริงนะเมิง คนเมื่อกี้ใคร” ผมมองหน้าไอ้รักทีนึง ยักคิ้วให้มันแบบสะใจสุดๆครับ
“เพื่อนว่ะ เพื่อนที่ถาบัน บ้านเขาอยู่แถวนี้”
“ท่าทางสนิทกันนะ” ผมมองหน้าไอ้รัก ผมมองมันอย่างผู้ชนะ สายตาแบบที่มันเกลียดที่สุด
“ใช่ สนิทมาก มันแปลกดี” ผมให้ความแน่ใจกับไอ้รักแบบเต็มเหนี่ยว....ไอ้เมศของกรูนะเมิง คงต้องรอดูกันต่อไปว่ามันจะทำแกล้งเซ่อร์ไม่รู้สิ่งที่ผมจงใจบอกหรือไม่ หวังว่ามันจะไม่แกล้งเซ่อร์นะครับ ผมเจอคนเซ่อร์จริงหรือแกล้งเซ่อร์อย่างไอ้เมศคนเดียวก็แย่แล้ว
วันนี้เป็นวันเดย์ออฟ หรือวันพักอู้งาน ละจากหน้าที่การงานสารพันของ กปว. กลุ่มปฎิรูปคณะวิศวะ ครับ อยู่ไม่รู้ไอ้เมศมันกินอะไรเข้าไปเมื่อคืนนี้อยู่ดีๆ ก็โทรมาตอนตีสองกว่า พูดอะไรไม่รู้เยอะแยะ ง่วงครับจำไม่ค่อยได้ เลยอือๆออๆไปกับมัน พอจับใจความได้ว่าไอ้เมศออกปากชวนเที่ยว ผมก็ไปครับ เต็มใจ สรุปคือ วันนี้ผมมาอยู่ แถววัดโพธิ์ครับ ไม่ได้ มานวด หรือฤาษีดัดตนนะครับ เป้าประสงค์ของเรา อยู่ที่ตึกกระทรวงพาณิชย์เก่า มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์ใหม่เอี่ยมอ่อง เพิ่งเปิดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมเห็นตึกก็ชอบใจแล้วครับ แอบนึกในใจว่า ไอ้เมศช่างรู้ใจ ตึกเก่าแบบที่ผมฝันว่า ถ้าในอนาคตมีเงิน มีบุญ และมีคนที่อยากอยู่ด้วยไปนานๆ จะหามาอยู่สักหลัง แต่ซื้อบ้านได้ของแถมเป็นเงาวอบแวบ หรือมายืนปลายเตียง นี่ก็ไม่ไหวครับ ไอ้เมศมาถึงแบบเกือบจะไม่ตรงเวลา สภาพเหมือนเพิ่งมาจากหมอชิต คือ แบกกระเป๋าใบใหญ่มาเลยครับ สงสัยกะปักหลักตั้งเต้นท์เลยทีเดียว
“กรูช่วยถือไหม ท่าทางเหมือนหอบผ้าหอบผ่อนหนีเจ้าหนี้”
“เออ ช่างเหอะ”มันพูดแบบไม่ใส่ใจผมเลยครับ แล้วมันก็ควักกล้องกิ๊กก๊อกต๊อกต๋อยของมันออกมา ผมไม่ได้ดูถูกมันนะครับ แต่ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ
“เอาน้ำไหม?”มันเงียบ...
สงสัยเขตพิพิธภัณฑ์เขาห้ามพูด ไอ้เมศมันงับปากเงียบสนิทเลยทีเดียว มันเริ่มถ่ายภาพไปยังตึกทรงโคโลเนียลสีครีมสวย ก่อนจะดึกแขนเสื้อผมให้รีบตามมันเข้าไปข้างใน ท่าทางมันตื่นเต้นมาครับ สงสัยมันเสี้ยนจัดอยากมาที่นี่มาก ไม่อย่างนั้นคงไม่ออกปากชวนผมตอนตีสองกว่าแบบไม่ให้ตั้งตัว เมื่อผ่านลอบบี้เข้าไป ก็เข้าสู่ห้องเบิกโรง เหมือนโรงหนังย่อมๆเลยครับแอร์เย็นฉ่ำชื่นใจ ไฟสลัวๆได้บรรยากาศ มีเก้าอี้เป็นแท่นเตี้ยๆขึ้นมา ไอ้เมศ นั่งมันกลางเก้าอี้ ผมก็เลยต้องไปนั่งอีกตัวแทน ขัดใจเล็กน้อย
“เมศ”ผมเรียกมันเบาๆ ขณะเราอยู่กันสองคนในห้องเบิกโรง รอให้มีผู้ร่วมขบวนการ อาจเพราะเป็นวันธรรมดา ทำให้คนน้อยมาก
“ทำไมถึงชวนมา”
“เมื่อวาน ระหว่างทำงาน พี่สาวกรูบิ้วท์มา ว่าให้ลองมา แถวนี้ก็ถิ่นเก่า ใกล้บ้านกรูดี ยิ่งเห็นพี่สาวกรูถ่ายรูปสวยๆยิ่งเสี้ยนอยากมา”
“แล้วชวนคนอื่นด้วยหรือเปล่า?”
“ชวน แต่ฉุกละหุกอย่างนั้น จะมีใครมา มีแต่เมิงแหล่ะใจง่ายมากะกรู” เอ....มันหลอกด่าผมหรือเปล่าครับ?
“แล้วถ้ากรูไม่มาด้วยอ่ะทำไง?”
“ก็มาคนเดียว” อูย....ขัดใจอีกแล้วครับ
“แย่ว่ะ เมิงเอากล้องมาดูรูปหน่อยเด๊ะ”ผมแย่งกล้องต๊อกต๋อยของมันมาดู รูป อึ้งครับ ...สภาพกล้องกะหน้าตาคนถ่ายไม่น่าถ่ายรูปได้สวย แต่ละรูป ผมเห็นแล้วนึกในใจ ตรูไม่มีปัญญา ผมหันไปมองหน้ามัน แต่แสงไฟสลัวๆมืดลง เลยเห็นหน้าไอ้เมศไม่ชัด เสียงจากภาพยนต์ขนาดสั้นของพิพิธภัณฑ์เริ่มกระหึ่ม ทั้งที่มีแค่ผมกับเมศ2คนเท่านั้น แต่ดีครับได้ฟิลล์
“เมิงถ่ายสวย ว่ะ”
“ห๊ะเมิงว่าไงนะ”
“กุบอกว่า….”ผมชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ เป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้เมศชะโงกมาหาเหมือนกัน ปลายจมูกผมไปถูกหน้ามันแบบไม่ตั้งใจ กำไรสิครับงานนี้ แต่โดนตำแหน่งสูงไปหน่อย กึ่งหูกึ่งแก้ม ไม่ได้ครับ ต้องไม่ยอมแพ้ ต้องแก้มือ คราวนี้ต้องให้โดน กึ่งปากกึ่งแก้ม หึหึหึหึ ถ้าพลาดเหมาะๆจะได้โดยปาก ความคิดชั่วร้ายจริงๆ
“ กรูจะบอกว่า เมิงถ่ายรูปสวยดี” ผมพูดเมื่อเสียงจากภาพยนต์เงียบเสียงลง
“อืม กรูกำลังพยายามหัดอยู่” มันพูดแล้ว กลับไปสนใจที่ตัว ภาพยนตร์ที่กำลังฉายขึ้น ผมเลยหันไปดูบ้าง พลางนึกชม ทำตัวหนังพรีเซนต์ได้ดีทีเดียว จากหางตา ผมเห็นมือไอ้เมศ ถูแถวที่ผมลวนลามแบบไม่ตั้งใจ สงสัยจะคัน เพราะโดนของ
“เชิญที่ห้องต่อไปเลยค่ะ”เสียงเจ้าหน้าที่บอกแล้วผลุบหายไปหลังม่านจากทางเข้า ผมกับไอ้เมศมองหน้ากันแบบงงๆ เพราะทางที่ชี้ไปนั้น มีม่านปิดหมด ไม่รู้จะไปทางไหน เลยได้แต่ลองสุ่ม
“ทางนี้มั้ง”ผมรั้งแขนไอ้เมศไว้ ขอกรูลวนลามเมิงอีกทีน่า ครั้งนี้จะเอาให้ตรงเป้า หึหึหึ
“ไม่มั้ง ทางนี้มากกว่า” ไอ้เมศพาเดินไปอีกทาง จริงๆผมเห็นป้ายชื่อห้องแล้วล่ะครับ แต่ผมไม่ยอมบอกมัน โฉดไหมนี่
“ไม่ใช่ ทางนี้ๆ”ผมยิ่งดึงมันมาใกล้ตัว แต่ท่าทางไอ้เมศมันจะยังติดใจอีกทางมากว่า เลยหันไปมองทางที่มันอยากไป จังหวะนี้ก็ได้เสียสิครับ เอียงหน้ารอจูบแบบนี้ หน้าใสๆ คอเล็กๆ ผมสีดำที่ตัดกับผิวเนื้อตรงคอขาวๆ เห็นแล้วมัน อื้มมมมม....มาก คอซักทีเหอะ หันมาสักสิบองศาสามสิบแปดลิปดานี่ใช่เลย
“กรูว่า ทางม่านพะเยิบๆมากกว่า” มันพูดแล้วหันไปมองทางที่มันว่า ใช่ล่ะครับ สิบองศาที่รอคอย ผมรีบพุ่งใส่มันทันที
“เนี่ยๆทางเนี้ย” มันพูดพร้อมกับเสียงดัง ‘พลั่ก’ ในหัวผม คาดว่ามันดังจนไอ้เมศก็ได้ยิน เจ็บน้ำตาไหลเลยครับ ไอ้เมศออกแอคติ้งเหมือนไทยมุงชี้สถานที่เกิดเหตุ มือมันกระแทกเข้าจมูกผมเต็มๆ ซึ้งครับ เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ เจอเพื่อนสนิทใจสะอาด เท่ากับซวยครับ เลือดกำเดาไหลไหมเนี่ย
“เฮ้ย เจ็บป่าว? เป็นไรไหม?” ไม่เจ็บ(อย่างเดียว) แต่น้ำตาไหลเลยแหล่ะ
“เลือดกำเดาไหลเลยอ่ะ พี่คร๊าบบบ”ไอ้เมศดูตกใจมากครับที่ผมเลือดจมูกทะลักพลั่กๆ ร้องเรียกพี่เจ้าหน้าที่เสียงหลง มันพยายามลากผมไปหาพี่เจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับข้างนอก ท่าทางกระวนกระวาย มันไม่รู้หรอกครับ ว่าผมแอบยิ้มกับห้องเบิกโรง มันห่วงผมคร๊าบบบทุกคน~
ผมกำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในห้องประชุมกลุ่มปฎิรูปคณะวิศวะที่บัดนี้มีเสียงแอร์ร้องหึ่งๆ และกระเป๋าหลายใบของเพื่อนๆทิ้งไว้แทนตัว พลางดูรูปที่ไอ้เมศถ่าย มันถ่ายได้ไม่เลวเลยครับ แต่บางรูปก็สั่นบ้าง อาจเพราะตื่นเต้นที่ทำผมกำเดาไหลเหมือนท่อแตก เขาว่าคนเลือดกำเดาไหลง่ายมักหื่น ไม่รู้จริงหรือเปล่า ไม่ใช่เพราะมันเอ็กซ์แตกแต่อย่างใดนะครับ หึหึหึ เพราะมือมันชนเปรี้ยงทีเดียวเหมือนโดนต่อยแบบเบาะๆแค่นั้นแหล่ะ หลังจากวุ่นวายห้ามเลือดกำเดาอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเราก็ได้ เดินเที่ยวกันล่ะครับ เป็นที่เที่ยวแบบเข้าฟรีที่คุ้มที่สุดเท่าที่เคยเข้ามาล่ะครับ เพราะนอกจากแอร์เย็นฉ่ำ ตึกสวย ยังมีเกมส์ให้เล่นเพียบ แอ๊บเด็กกันเต็มที่เลยทีเดียว แย่งเด็กเล่นอีกต่างหากครับ โดยเฉพาะห้องสยามยุทธิ์ ยิงปืนใหญ่กันสนุกสนานฮาเฮ ยิงไปยิงมา โดยพม่าฆ่าตายเลย ขำดีครับ แต่เด็ดสุดคือห้องสีสันตะวันตก อย่างมันส์ครับ ห้องโทนแดงแปร๊ดสะใจ มีจำลองคาเฟ่สมัยยุค 50 ที่สำคัญคือมีเหล้าโบราณให้อยากชิม เอ้ย ศึกษาครับ
“พี่ครับ น้ำชาป่าวเนี่ย” ไอ้เมศถามพี่เจ้าหน้าที่
“ของจริงสิครับ”พี่เจ้าหน้าที่ตอบ
“สีเหมือนไม่ใช่น๊า”ผมรีบผสมโรงทันที อยากรู้เหมือนกันครับ
“เดี๋ยวพี่พิสูจน์”พี่เขาว่า แล้วเปิดตู้เหนือเคาท์เตอร์เปิดขวดเหล้า ที่ฉลากเขียนว่าแม่น้ำ(น่าน)ให้ดมเลยครับ
“อืมมมมม ของจริงๆ” ผมพูด
“พี่....ชิมได้เปล่าครับ”ดูมัน.....พิพิธภัณฑ์โว้ยไอ้เมศ
“จะดีหรอน้อง”พี่เขาว่า ไอ้เมศหัวเราะ
“ได้จริงก็ดีครับ”เอากะมันสิ มันบ้าๆบอๆว่าไหมครับ ระหว่างผมดูรูปเพลิน เพลงเจ๊กเย็บจักรก็ดัง ผมเลยกดรับสาย
“เออ ว่าไงวะ?”ผมพูดพลางมองเจ้าของสายเรียกเข้าในรูปไปด้วย
“รันย์ เมิงลงมาฉอปเร็วๆ!!!”เสียงมันตื่นเต้นมากครับ
“ทำไมวะ มีอะไร?”
“ลงมาๆ”
ลงก็ลงครับ ผมเขี่ยของไปกองสุมๆกันพอเป็นพิธีแล้วเดินลงจากตึกมุ่งไปยังฉอป พอเข้าไปในฉอป พบไทยมุงชาวคณะ ยืนทำหน้าเหมือนปวดเข้กันทุกตัวตน คาดว่าไม่มีการอุปาทานหมู่แน่นอน ผมเลิกคิ้วถามโม ญ มันพยักเพยิดไปหลังพาร์ทีชั่นที่ใช้กั้นโซนระหว่างโซนเรียนเลคเชอร์กับโซนปฎิบัติงาน พบน้องเงินน้องทอง ตัวยาวเมตรครึ่งท่าจะได้ ขึ้นโชว์ตัวอยู่บนโต๊ะวางของหลังโซนเลคเชอร์ สงสัยหนีออกจากเซฟเฮ้าซ์(บึงหน้าสถาบัน) มาอาบแดด(แสงนีออน)
“ตัวใหญ่ชิบเลยว่ะเน๊อะ”ไอ้เมศพูด
“เมิงเรียกกรูลงมาดูเอี้ยเนี่ยนะ”
“เออ ดิ เนี่ย ไซส์ใหญ่สั่งพิเศษเลยนะเว้ย เมิงเห็นป่าว” มันมีลูกคู่เป็นชาวคณะที่ยืนพยักหน้าเห็นด้วยกะพวกไอ้เมศ
“แล้วไง?” แค่ผมพูดเหมือนไม่ค่อยใส่ใจ น้องเงินน้องทองก็ ผงกหัวแบบท่าทางอารมณ์เสีย แล้วโดดขึ้นพาร์ทีชั่น จู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัว
“เฮ้ยเอี้ย!!”ใครสักคน ร้องขึ้น วงวิศวะมุง ผงะถอยหลังอย่างเร็ว
“ผมรู้แล้ว”เสียงสปาโก้ผู้คุมฉอป ว่า มุขนี้แอบฮานะครับ ของมันเห็นอยู่กับตาครับว่า น้องเขาตัวจริงเสียงจริงขนาดไหน
“ตัวใหญ่จริงๆ ผมเห็นยังสยิว” เหมือนน้องเงินน้องทองเธอจะเข้าใจภาษา เธอผงกหัวเหมือนพอใจในคำชม แล้วกระโจนหายไปอย่างว่องไว หลังจากน้องนางบ้านบึงหน้าสถาบัน จากไป สภาฯก็กลับมาพูดได้อีกครับ
“แล้วทำไม อาจารย์ต้องสยิวด้วยละคะ?” เอ่อ....มุขนี้ เป็นผมก็ต่อไม่ติดครับ สปาโก้ถึงกับชอคไป ช่างน่าสงสารจริงๆกับ อาจารย์(ของเล่น? ของสภาฯ)นามว่า สปาโก้
หลังจากการปรากฏตัวของน้องเอี้ย ผ่านไป วิศวะมุงก็กลับขึ้นห้องประชุมงานกันต่อไปครับ เรื่องปวดหัวที่สุดก็ไม่แคล้วเป็นเรื่องเงินๆทองๆ ยิ่งพูดเรื่องนี้ยิ่งเครียดครับ หารือกันหน้าดำหน้าแดง เพราะมีตังค์จ่ายมัดจำ แต่อาจไม่มีตังค์ไถ่ของออกมา แย่สิครับ เมื่อความเครียดมันถาโถม ไอ้เสียดผู้คุมแผงหน้าด้วยโน้ตบุ๊คฟูจิสึ นามว่าจูเนียร์ก็เปิดเพลงได้เข้ากับสถาบันครับ เพลง Caramell Dansen เวอร์ชั่นรีมิกซ์ไส้แลบ เร็วชนิดออริจินอลตกเหวลงข้างทางไปเลย เพลงที่เหล่าโอตาคุน่าจะรู้จักกัน เพลงท่าเต้นโนเนะ คลับคล้ายปัญญาอ่อน ที่เต้นท่าเดียวเหนื่อยทั้งเพลง ถ้าคนเต้นเป็นสาวน้อยน่ารัก จะเจริญตาอย่างยิ่งครับ แต่ถ้ากลายเป็นผีหน้าหนอน ขึ้นมาเมื่อไหร่ ความเสื่อมจะมาเยือนทันที เพลงนี้มีหลายคนนำอนิเมะเรื่องดังมาทำเป็นคลิปเต้นเยอะมาก มีทุกเวอร์ชั่น ตั้งแต่ ลัคกี้สตาร์ โคนัน มาริโอ้(เก็บเห็ดนะครับ ไม่ใช่ดารา หรือมาลีโอ เมารึ?ของพวกผม) ดราก้อนบอล มีหมดครับ แต่ดราก้อนบอลนี่เสื่อมสุดเท่าที่ผมดูมาครับ ตัวล่ำๆกล้ามเป็นมัดมาเต้นแบบนี้เสื่อมจิตแบบมิได้นำพา
เมื่อคุยงานกันมันเครียด เราก็ร่วมโครงการแค่ขยับเท่ากับออกกำลังกาย คุยไปเต้นไปครับ ท่าเต้นง่าย ท่าเดียวทั้งเพลง เต้นกันสิครับ ไอ้เมศที่ผมข้างหลังชักยาว เอายางใครไม่รู้มามัดเป็นจุกหนูแทะแล้วเต้นกะเค้าด้วย น่ารักว่ะ... ผมแอบคิด แล้วผมล่ะ...เพื่อนเต้นไปคุยงานไป ผมก็ต้องเต้นครับ แม้จะนึกอนาถกับตัวเองเล็กน้อย แต่ก็มันส์ดี บรรยากาศการทำงานเป็นขี้ข้าคณะของพวกเราเป็นประมาณนี้ล่ะครับ บ้าๆบอๆ แต่งานเดินดีครับ หึหึหึหึ
สรุปแล้วที่อ่านมาจนเหนื่อยทั้งหมด หาสาระไม่ได้พอๆกับของไอ้เมศแหล่ะครับ ขอจบรายงานเพียงเท่านี้ครับ อ่อ แค่ขยับเท่ากับออกกำลังกายนะครับทุกคน
ปล.(ผมพบว่าวงเล็บเยอะ)***************************************
แบบว่าช่วงนี้ไม่รู้เป็นไร เข้าเล้ายากมากเลยอ่ะ