-21-
ว่ากันว่า ความฝันคือการเรียบเรียบความทรงจำในยามนิทรา หลาย ๆ ครั้งที่เราฝันถึงภาพในอดีตหรือสัญลักษณ์ที่เกี่ยวพันกับบางสิ่งที่เราหลงลืมไป บางคนกล่าวถึงขั้นว่า เราสามารถพบคนที่เคยพบเจอในชาติก่อนได้ในความฝันเสียด้วยซ้ำ กระนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ความฝันมักจะมีนัยสำคัญบางประการที่บ่งบอกได้ถึงสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจหรือสิ่งที่ฝังอยู่ในความทรงจำ
ภาพสวนสวยสีเขียวที่ปรากฏเบื้องหน้าเป็นภาพที่แสนคุ้นตา แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมากระทบใบไม้สีสดและน้ำค้างเป็นประกายสวยงาม
กลางสวนแห่งนั้น หญิงสาวคนหนึ่งในชุดกระโปรงเรียบ ๆ กำลังก้มอยู่เหนือพุ่มกุหลาบ แขนข้างหนึ่งคล้องตะกร้าสานเล็ก ๆ ไว้ ภายในบรรจุกุหลาบแดงอยู่ 2-3 ดอก
แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาจนแสบตาทำให้เขามองเห็นภาพนั้นไม่ชัดเจนนัก แต่เขารู้ว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นใคร
ถึงอย่างนั้นก็น่าแปลก...ทำไมเขาถึงนึกชื่อเต็มของเธอไม่ออกนะ
อาจจะเป็นเพราะในช่วงชีวิตที่เขาได้อยู่ร่วมกับเธอ เขาไม่เคยมีเหตุจำเป็นต้องเรียกชื่อเต็มของเธอเลย และไม่เคยคิดจะอยากรู้ว่าเธอมีพื้นเพมาอย่างไรจากตระกูลไหน แต่เพียงมีเธออยู่ใกล้ ๆ คอยอุ้มชู โอบกอด และให้ความรัก นั่นก็มากมายเพียงพอแล้วสำหรับตัวเขาในเวลานั้น
มือเล็กเอื้อมออกไปเบื้องหน้า สัมผัสไออุ่นของแสงจากบนฟ้าที่ส่องผ่านเมฆลงมา
เขาก้าวออกไปจากชานบ้าน เท้าเปลือยเปล่านุ่มนิ่มสัมผัสพื้นดินที่ถูกปูด้วยหินกรวดเป็นทางทอดยาวเข้าไปที่กลางสวน ทีละก้าวอย่างช้า ๆ เขาเข้าไปถึงตัวหญิงสาวด้วยเวลาอันสั้น ภาพที่อยู่ห่างไกลถูกย่นระยะเข้ามาจนกระชิด เขาจึงคว้าจับกระโปรงสีขาวเบื้องหน้าแล้วดึงเบา ๆ ทำให้หญิงสาวที่กำลังให้ความสนใจกับการตัดดอกกุหลาบหันกลับมาหาเขาและแย้มยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เรือนผมสีดำยาวสลวยเลื่อนไหลลงมาจากลาดไหล่เล็กบางและท่อนแขนที่ห่มด้วยผ้าคลุมพื้นกว้างขณะที่เธอก้มลงมา กรรไกรที่ถืออยู่ในมือถูกเก็บเข้าไปในตะกร้าเพื่อป้องกันอันตราย ก่อนที่เธอจะโน้มตัวเข้าจูบบนหน้าผากของเขาแล้วลูบหัว
ดวงตาของเธอช่างอบอุ่นราวกับแสงตะวันที่สาดส่องอยู่เหนือพวกเขา มือของเธอขาวและบอบบาง ข้อมือเล็กเรียว แต่สำหรับเขาแล้ว อ้อมแขนของเธออบอุ่นและอ่อนโยนเหลือประมาณ
เขาสนใจสิ่งที่เธอกำลังทำ จึงเอื้อมมือไปที่พุ่มกุหลาบอย่างไร้เดียงสา หนามแหลมเกี่ยวเข้าที่ปลายนิ้วเล็ก เขาชักมือกลับจึงได้เห็นหยดเลือดสีแดงตัดกับผิวขาว
เขาเจ็บ...และรู้สึกว่าถูกทำร้าย
น้ำตาอุ่นคลอหน่วงอยู่ในเบ้า เขาหันไปมองหญิงสาวคล้ายฟ้องร้องสิ่งที่ดอกกุหลาบกระทำ ในลำคอจุกด้วยเสียงสะอื้นที่พร้อมจะถูกเปล่งออกมาในทุกเมื่อ
เธอยิ้มให้เขา ประคองมือเล็ก ๆ ขึ้นไปและประทับริมฝีปากสีสวยสดลงบนหยดเลือด เพียงไม่นาน หยดเลือดสีแดงก็ถูกกลืนหายไป เหลือเพียงรอยแผลสีช้ำเล็ก ๆ บนปลายนิ้ว และความเจ็บเจือจางบนบาดแผลนั้น ลมหายใจอุ่นของเธอเป่ารดลงมาบนบาดแผล คล้ายจะปัดเป่าความเจ็บปวดให้ปลิวหายไป
หยดน้ำตาค่อย ๆ เหือดแห้ง เธอปาดส่วนที่เหลือออกไปจากใบหน้าของเขาแล้วจูบหน้าผากอีกครั้ง
มือเล็กแสนบอบบางของเธอกุมมือของเขาเอาไว้แน่น บ่งบอกว่าเธออยู่ที่นี่และจะไม่มีใครทำร้ายเขาได้เมื่อเธออยู่ใกล้ ๆ
ทีละก้าว เธอประคองเขาเข้าไปในบ้าน เท้าเปลือยเปล่าของเขาสัมผัสความอุ่นชื้นของพื้นดินและเปลี่ยนเป็นพื้นหินปูนก่อนจะเข้าสู่ตัวบ้าน หูของเขาได้ยินเสียงเอะอะเมื่อมีคนมองมาที่พวกเขาและพบว่าเท้าของเขาไม่มีสิ่งใดห่อหุ้มอยู่เลยจึงเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน
หญิงสาวหัวเราะเสียงสดใสก่อนจะใช้แขนเล็กทั้งสองข้างอุ้มเขาขึ้น และมีคนอีกคนหนึ่งกุลีกุจอนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดฝ่าเท้าทั้งสองจนกระทั่งสะอาดดี
เท้าของเขาสัมผัสพื้นอีกครั้งเมื่อเข้ามาถึงพื้นไม้ขัดเงาภายในตัวบ้าน และตอนนี้เท้าของหญิงสาวก็เปลือยเปล่าเช่นกัน เธอยังคงจับมือเขาและพาเดินเข้าไปข้างใน มือเล็กของเขาฝังอยู่ในความอบอุ่นและอ่อนนุ่มของมืออีกข้างหนึ่ง แต่เขากลับไม่คิดอยากจะปล่อยมือเลย
หญิงสาวคนนั้นพาเขาเข้าไปในห้องหนึ่งซึ่งมีตู้หนังสือ เก้าอี้ และชั้นวางรูปภาพ
ในอกของเขาเหมือนจะรู้ดีว่าตนเองเข้าห้องนี้ไม่ได้โดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะเป็นห้องประจำของใครอีกคนหนึ่งซึ่งชื่นชอบความสงบเงียบขณะพักผ่อน และคน ๆ นั้นซึ่งเป็นเจ้าของห้องก็มองเขาด้วยสายตาตำหนิเมื่อถูกรบกวน แต่ในวินาทีต่อมา มันแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนที่แฝงอยู่ลึก ๆ ภายใต้สีหน้าเข้มงวดดุดัน
หญิงสาวบอกผู้ชายคนนั้นว่าเธอเก็บดอกกุหลาบมาประดับแจกันให้เขา ชายคนนั้นยิ้มออกมานิด ๆ ราวกับว่าการยิ้มอย่างเปิดเผยเป็นเรื่องยากลำบากแต่เขากลับไม่สามารถอดกลั้นมันไว้ต่อหน้าเธอได้
แจกันว่างเปล่าถูกวางไว้ข้างหน้าต่างโดยไม่ได้รับความใส่ใจ มันถูกเติมเต็มด้วยน้ำใสและดอกไม้สีสวยสดซึ่งทำให้มันมีชีวิตชีวาขึ้นมา
เขามองเสี้ยวหน้าของผู้ชายคนนั้นที่กำลังทอดมองแจกันด้วยสายตาหลายหลากอารมณ์
หญิงสาวย้อนกลับมาจับมือเขาอีกครั้ง บอกขอตัวกับเจ้าของห้องและพาเขาเดินออกมา ก่อนที่ประตูจะปิดลง เขารู้สึกเหมือนว่าเห็นทั้งสองส่งสายตาลึกซึ้งต่อกันโดยไม่ต้องอาศัยคำพูดใด ๆ
เธอพาเขาไปยังห้องนั่งเล่น อุ้มเขานั่งบนเก้าอี้ และเรียกหากล่องปฐมพยาบาล แต่ในความเป็นจริงแล้ว เธอต้องการเพียงพลาสเตอร์แผ่นเดียวเพื่อปิดรอยแผล กระนั้นชายวัยกลางคนที่นำกล่องมาให้กลับยืนยันว่าต้องใส่ยาฆ่าเชื้อก่อนจึงปิดแผลได้
บาดแผลเล็ก ๆ ที่ไม่ได้เจ็บปวดอีกแล้วถูกดูแลอย่างทะนุถนอมเอาใจใส่
หญิงสาวยิ้มให้เขาเมื่อบาดแผลถูกพยาบาลอย่างเรียบร้อย
เขาก็ยิ้มตอบให้เธอ...
‘แม่ก็ทำแผลด้วยสิ’
เขาพูดกับเธอ แต่เธอกลับหัวเราะแล้วบอกว่าตนเองไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร น่าแปลกที่ใจเขากลับนึกสงสัยขึ้นมาว่า ในขณะที่เขาสัมผัสก้านเขาได้รับบาดแผล แต่หญิงสาวที่ทำบางอย่างกับพุ่มของมันอยู่นานสองนานกลับไม่มีบาดแผลใด ๆ
‘ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนแต่ต้องการความรักและการสัมผัสอย่างอ่อนโยน หากสัมผัสอย่างถูกวิธี มันก็ไม่ทำร้ายเราหรอกจ้ะ’
เธอพูดกับเขาด้วยกระแสเสียงที่แสนเสนาะหู เขาได้แต่พยักหน้ารับโดยที่ยังไม่เข้าใจนัก
ดูเหมือนเธอจะพูดอะไรบางอย่างกับเขาอีก แต่น่าแปลกที่เขาไม่ได้ยินอะไรเลย และเหมือนว่าภาพที่ปรากฏเบื้องหน้ากลับค่อย ๆ ห่างไกลและเลือนรางออกไป มันถูกแทนที่ด้วยความมืดและไม่นานก็มีแสงส่องผ่านเข้ามาก่อนที่ภาพเบื้องหน้าจะเปลี่ยนไป กลายเป็นภาพเบลอ ๆ ของเพดานห้องห้องหนึ่งในแสงสลัว รอบข้างไม่มีเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงทำงานเบา ๆ ของเครื่องปรับอากาศ
เขาขยับพลิกตัว และพยายามเรียบเรียงความทรงจำก่อนจะลุกขึ้นนั่ง
เช้าแล้วหรือ?
เขาหันมองนาฬิกาที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กข้างเตียง มันบอกเวลา 8 โมงเช้ากับอีกราว ๆ 13 นาที
สองแขนชึ้นสูง ดึงกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นต่าง ๆ ในร่างกายให้คลายจากการขดในท่าเดิมเป็นเวลานานหลายชั่วโมง
เมื่อคืนนี้เขาฝันถึงตัวเองตอนเด็ก ๆ สินะ น่าแปลกที่เขาไม่ได้นึกถึงมันมานานแล้วปีแล้ว ทั้งที่ตอนแรก ๆ ที่ต้องไปเรียนที่อังกฤษเขายังคิดถึงมันอยู่ทุกคืน มาถึงตอนนี้ ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาคิดถึงมันขึ้นมาได้อีก จนถึงกับเก็บมาฝันได้แสดงว่ามันต้องสะกิดใจเขามากทีเดียว
เซินหมิงเฟิ่งพาตัวเองลงจากเตียงแล้วคว้าผ้าขนหนูเดินดิ่งไปยังห้องน้ำ
แล้วภาพในความฝันก็ค่อย ๆ จางหายไปจากความทรงจำ
-------------------------------->
หลังจากพ่อจากไป ซากุระก็เข้ามาบริหารงานในบริษัททำให้เธอไม่อาจหาเวลาส่วนตัวได้ง่ายนัก ถึงอย่างนั้นทางญี่ปุ่นก็มีข่าวคราวมาแล้วว่าจะมีคนมาแทนเธอในอาทิตย์หน้า ซึ่งจะทำให้เธอได้เวลาส่วนตัวกลับมาอีกครั้งและไม่ต้องข้องเกี่ยวกับงานของพ่ออีก กระนั้นในหัวของซากุระก็ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องของสองพี่น้องตระกูลหลางซึ่งมีหลายอย่างสะกิดใจเธออยู่
โดยปกติแล้วในบ้านที่มีผู้ชาย ผู้หญิงจะไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำงานในฐานะที่เท่ากันหรือสูงกว่าสักเท่าไหร่ และบ้านตระกูลหลางก็ดูแล้วน่าจะหัวโบราณอยู่ไม่น้อย แต่หลางเมี่ยวอินซึ่งเป็นหลานสาวคนเล็กที่น่าจะได้รับการโอบอุ้มไว้ประดุจไข่ในหิน กลับได้ทำงานทัดเทียมกับผู้ชาย ตอนนี้หลางเมี่ยวอินอายุเพียง 18 ปียังได้รับมอบหมายให้ดูแลกิจการเล็ก ๆ แล้ว นอกจากนี้เธอยังสืบทราบมาว่ามีกิจการอีกหลายแห่งที่เตรียมจะโอนให้เป็นกรรมสิทธิ์ของหญิงสาวคนนี้เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์
แล้วฝ่ายชายล่ะ?
หลางเมี่ยวเจินคือคนที่เป็นทายาทของเสวียนอู่ โดยปกติแล้วกิจการทุกอย่างจะตกเป็นของทายาทมิใช่หรือ? เพราะมีแต่ผู้รั้งตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเท่านั้นจึงมีสิทธิครอบครองทุกอย่างซึ่งอยู่ในชื่อเสวียนอู่และตระกูลหลาง นอกจากนั้นก็เป็นได้แค่ตัวแทน หรือเป็นผู้บริหารเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของหลางเมี่ยวเจินกับไป๋หู่อีก
ทำไมทั้งสองคนจึงถูกพบอยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนมได้ จริงอยู่ว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกหากจะนัดพบกัน แต่ด้วยสัญชาตญาณหญิงของเธอ มันร้องบอกว่ามีอะไรมากกว่านั้นระหว่างคนทั้งสอง ทายาทเสวียนอู่กับไป๋หู่น่ะหรือ มันแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากที่สุด
ซากุระถอนหายใจ
เธอรู้ตัวว่าไม่ใช่คนฉลาดสักเท่าไหร่ ถึงแม้คนรอบข้างจะพูดกันว่าเธอเป็นคนฉลาด แต่เมื่อเทียบกับคนเจนโลกแล้ว เธออาจจะเหมือนเด็กน้อยโง่เขลา
แต่เวลาก็ไม่คอยท่าเธอนัก...
มันเดินผ่านไปเรื่อย ๆ โดยไม่เคยหยุด
ป่านนี้เซินหมิงเฟิ่งจะเป็นเช่นไรบ้างก็ไม่มีใครรู้ และจะเป็นอันตรายหรือเปล่าก็ไม่มีใครกล้าคาดเดา
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นอย่างกะทันทำให้ซากุระสะดุ้งจากภวังค์ความคิด สิ่งที่อยู่ในสมองจนถึงเมื่อครู่กระจัดกระจายออกเป็นชิ้น ๆ หญิงสาวรีบหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองด้วยความว่องไวและกดรับโดยไม่ได้ดูเบอร์โทรที่ปรากฏบนจอ
“คุณมินาโมโตะ”
“คุณเองหรือคะ” ซากุระจดจำเสียงนั้นได้ทันที นักสืบที่เธอว่าจ้างให้สืบสาวเรื่องให้นั่นเอง ความจริงซากุระคิดว่าอาจจะไม่ได้รับการติดต่อกลับมาอีก เพราะงานที่เธอมอบหมายไปนั้นเป็นเรื่องยากและเป้าหมายก็อันตรายเกินกว่านักสืบเอกชนคนหนึ่งจะกล้าเสี่ยงชีวิต กระนั้นเขาก็รับปากว่าจะสืบหาเรื่องราวเท่าที่เขาสามารถยื่นมือเข้าไปได้โดยไม่เป็นอันตรายกับชีวิตของตนเองและคนรอบข้าง
หรือว่าจะมีข่าวคืบหน้าแล้ว?
ซากุระพยายามคิดเช่นนั้น แต่ว่าเสียงของฝ่ายตรงข้ามฟังดูแย่มาก
ปกติเขาจะเรียกเธอว่า คุณหนูมินาโมโตะ ไม่ใช่หรือ?
“เอ่อ....คุณมีอะไรจะบอกฉันหรือคะ?”
“....ช่วยออกมาพบผมจะได้ไหมครับ”
“ตอนนี้เลยหรือคะ?” ลางสังหรณ์ของซากุระกำลังร้องเตือนว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่หากเกิดเรื่องไม่ดีจริง ๆ เธอจะทำใจดำปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นรับกรรมได้หรือ? ทั้งที่เขาทำงานให้เธอเท่าที่กำลังของตัวเองทำได้ ถึงมันจะเป็นอาชีพแต่เขาก็มีความสัตย์ซื่อ หากในตอนนี้เขากำลังลำบาก เธอก็คงรีบถลันไปหาอย่างทันทีเป็นแน่ ถึงจะรู้ว่าเป็นกับดักของใครก็ตาม...
“ครับ...ผมจะบอกสถานที่ให้ ช่วยมาตามลำพังจะได้ไหมครับ” เสียงของฝ่ายนั้นสั่นเทาอยู่เล็กน้อย และถ้อยคำก็เป็นรูปแบบคลาสสิกของประโยคลักพาตัวและล่อหลอกใครอีกคนออกไปหา
แต่คนที่ได้รับสารจะมีทางเลือกหรือ?
ถึงจะเป็นรูปแบบคลาสสิกที่รู้กันทั่วโลก แต่คนที่ได้รับการติดต่อก็ย่อมต้องไปตามเงื่อนไข ไม่ใช่เพราะหลงกล แต่เพราะไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“ได้ค่ะ” ซากุระตอบหนักแน่นเหมือนต้องการจะบอกคนที่อยู่ข้างหลังผู้ที่กำลังพูดอยู่ด้วยว่าเธอจะไม่หลบหนีเด็ดขาด “บอกที่อยู่มาได้เลยค่ะ” เธอว่าก่อนจะหันไปดึงกระดาษเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งในกล่องใส่พร้อมปากกา แล้วค่อย ๆ จดที่อยู่ซึ่งบอกผ่านโทรศัพท์อย่างระมัดระวัง เมื่อจดเสร็จ เธอก็ทวนซ้ำอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองจะไม่ไปผิดที่ เพราะตัวเธอยังไม่ชินกับชื่อสถานที่มากนัก
“แล้วพบกันนะครับ”
“ค่ะ”
ซากุระละโทรศัพท์ออกจากหูเมื่อได้ยินเสียงสายตัดไป เบอร์ที่ปรากฏอยู่ก่อนที่แสงไฟจะดับลงไม่คุ้นตาเธอเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่เบอร์ของนักสืบคนนั้นด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ต้องไป...
ลมหายใจพรูออกมาในขณะที่ตัดสินใจ
ไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ อาจเป็นได้ทั้งไป๋หู่ เสวียนอู่ หลางเมี่ยวอิน และหลางเมี่ยวเจิน หรือกระทั่งผู้บริหารในองค์กรใต้ดินของคนเหล่านั้น ซึ่งแต่ละคนที่เธอสามารถคิดถึงได้ล้วนแต่สามารถทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นเพื่อเค้นเอาสิ่งที่ตัวประกันรู้ออกมา ไม่รู้ว่าเขาถูกทำร้ายหรือไม่เพื่อให้โทรมาหาเธอ บางทีตอนนี้คงจะกำลังถูกทรมานอยู่ก็เป็นได้ เมื่อยิ่งคิด ซากุระก็ยิ่งร้อนใจ
“ฉันจะออกไปข้างนอก เย็นนี้คงจะได้กลับมาที่นี่ ถ้ามีอะไรก็ฝากเรื่องไว้ที่โต๊ะนะคะ” เธอบอกกับเลขาหน้าห้องแล้วผลุนผลันออกไป
“เดี๋ยวค่ะ! แล้วถ้ามีคนติดต่อมาหาคุณมินาโมโตะ...”
“บอกเขาว่าฝากเบอร์ไว้ฉันจะโทรกลับภายในวันพรุ่งนี้ค่ะ”
ความรีบร้อนของซากุระพาให้เลขาสาวรู้สึกแปลกใจ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีกระทั่งเวลาจะอธิบายให้เธอฟังว่าจะไปไหน เธอจึงไม่อาจเก็บมาสงสัยในใจได้นานนัก เพราะงานของเธอเองก็มีอยู่ล้นมือ นั่นยังไม่รวมที่ซากุระบอกว่าจะไม่กลับมาภายในวันนี้ แปลว่างานของวันนี้ต้องยกยอดไปวันอื่นทั้งหมด หรือไม่ก็ต้องโอนไปให้คนที่มีหน้าที่ทำแทน หญิงสาวเดินกลับไปที่โทรศัพท์และเริ่มทำงานของตัวเอง
------------------------->
“เธอจะมาสินะ?” เสียงหนึ่งเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตัดสายไปแล้ว
“ครับ...คุณมินาโมโตะจะมาทันที” ชายหนุ่มตอบเสียงเบา เขารู้สึกผิดกับหญิงสาวที่ต้องเดือดร้อนไปด้วย ทั้งที่เป็นเรื่องที่เขาทำพลาดเองแท้ ๆ และเขาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร ทำไมจึงแค่จับเขามาและขู่ให้โทรไปเรียกตัวซากุระเท่านั้น แต่กลับไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย
หรือว่าสิ่งที่ต้องการคือตัวซากุระ?
“พวกคุณคิดจะทำอะไร...”
ฝ่ายนั้นแย้มยิ้ม
“คุณไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อคุณมินาโมโตะมาถึง เราจะปล่อยคุณไป”
“คุณมินาโมโตะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผมทำ”
ฝ่ายนั้นโคลงหัวเมื่อได้ยินนักสืบคนหนึ่งกำลังพยายามปกป้องลูกค้าตัวเอง ผู้ชายคนนี้ช่างมีจรรยาบรรณในวิชาชีพสูงส่งจริง ๆ นิสัยแบบนี้อยู่ในวงการมาได้ยังไงกันนะ ในเวลาแบบนี้สมควรจะพยายามเอาตัวรอดมากกว่า แต่เจ้าตัวเอาแต่เป็นห่วงลูกค้าตัวเองและไม่ยอมเปิดเผยอะไรเลย
แต่เอาเถอะ ทางนี้ก็ไม่ได้ต้องการให้เปิดเผยอะไรอยู่แล้ว เพราะรู้มาแต่แรกว่าซากุระเป็นผู้จ้างวาน
ก็หากไม่ใช่เธอ จะเป็นใครไปได้อีกล่ะ?
“ความจริงก็อยากจะขอเตือนอะไรไว้อย่างนะคุณนักสืบเฉิน” ในขณะที่พูดเล่นเช่นนั้น เสียงรองเท้ากระทบพื้นก็ค่อย ๆ เข้าใกล้เก้าอี้ “อาชีพของคุณมันเสี่ยง ดังนั้น คุณควรจะคิดหาทางรอดให้ตัวเองดีกว่าไปคิดให้คนอื่น เพราะคุณคงไม่โชคดีแบบคราวนี้อีก”
แบบนี้เรียกว่าโชคดีหรือ?
นักสืบหนุ่มคิดในใจแต่ไม่กล้าพูดออกไป เขาขยับแขนที่ถูกล็อคติดกับเก้าอี้ด้วยกุญแจมือ
ความโชคดีอย่างเดียวคงจะเป็นเรื่องที่ว่าเขาไม่โดนซ้อมหนักหน่วงอะไรกระมัง แต่โดนชกไปทีหนึ่งเพื่อให้เขารู้ว่ากำลังเล่นกับอะไรอยู่เท่านั้น ส่วนเหตุผลที่เขาโทรไปเรียกซากุระ ก็เพราะอีกฝ่ายรับปากว่าจะไม่ทำอันตรายใด ๆ กับหญิงสาว แต่ถ้าไม่ทำ เจ้าตัวก็ไม่รับรองความปลอดภัยของพวกเขาทั้งคู่ อาจจะดูเป็นเรื่องขี้ขลาดที่เขายอมทำตาม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น
ซากุระก็ช่างใจดี...ทั้งที่รู้แก่ใจก็ยังยืนยันมาหาเขา ทั้งที่ตัวเขาก็แค่ทำงานให้ด้วยค่าจ้าง ถึงเวลาลำบากจะตัดหางปล่อยวัดก็ย่อมได้
สำหรับคนทำวิชาชีพนักสืบแล้ว เขาคงเป็นนักสืบที่แย่จริง ๆ
จบเรื่องนี้แล้วเขายังสมควรทำอาชีพนี้ต่อไหมนะ...
------------------------------>
เพราะถูกกำชับมาว่าให้ไปเพียงลำพัง ซากุระจึงไม่สามารถเอารถของตัวเองไปได้ เรื่องจากเซินจงสั่งมาให้การ์ดเป็นคนขับให้เสมอ แม้ซากุระจะซาบซึ้งกับความเอาใจใส่ของว่าที่พ่อสามี แต่เรื่องบางเรื่องเธอก็ไม่สามารถให้อีกฝ่ายรับรู้ด้วยได้
ซากุระเดินออกไปจากบริษัทโดยไม่ได้บอกการ์ดและแอบออกไปทางประตูหลังที่ไม่มีคนเฝ้า
เมื่อออกมาถึงถนนใหญ่ ซากุระก็โบกรถแท็กซี่แล้วยื่นกระดาษจดสถานที่ให้คนขับ เป็นเรื่องง่ายกว่าในการสื่อสารด้วยตัวอักษร เพราะการออกเสียงของเธอทำให้คนสับสนอยู่บ่อย ๆ
สถานที่ที่เป็นที่นัดหมายอยู่ไกลออกไปทางชานเมือง ค่อนข้างสงบและความเจริญน้อย กระนั้นก็มีโรงแรมและสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ประปราย