-29-
ดูเหมือนชิงหลงจะไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ที่ถูกนัดออกมาในช่วงค่ำแบบนั้น หรือเขาคิดเอาเองกันนะว่าชิงหลงไม่ได้แปลกใจกับการนัดหมายของเขา
ในความเป็นจริงแล้ว ชิงหลงเป็นคนค่อนข้างเดาใจยากและไม่เปิดเผยความรู้สึก เขาเองก็ชินกับน้ำเสียงที่มีอยู่เพียงโทนเดียวของอีกฝ่ายมานานแล้ว และเท่าที่จำได้ เขาไม่เคยได้ยินเสียงที่แสดงออกถึงความประหลาดใจจากชิงหลงเลยไม่ว่าจะในเวลาที่พูดกันต่อหน้าหรือคุยโทรศัพท์ แต่อย่างไรก็ตาม เขาแน่ใจว่าสิ่งที่ชิงหลงจะได้เห็นในวันนี้ต้องทำให้อีกฝ่ายแปลกใจได้แน่นอน
เพราะแม้แต่เขา...ก็ยังอดแปลกใจไม่ได้...
ไป๋หู่เฝ้ารอเวลานั้นอย่างใจจดใจจ่อ ภายในใจของเขากำลังรู้สึกตื่นเต้นระคนสนุกสนานไปพร้อม ๆ กัน
ที่เขามีปฏิกิริยากับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันนี้คงเพราะเขากำลังอยู่ในช่วงน่าเบื่อหน่ายของชีวิตก็ว่าได้ เพราะหลังจากเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนเองในฐานะผู้เสียหายเสร็จ ก็ไม่มีอะไรให้เขาต้องใช้สมองอีกนอกจากงานซ้ำ ๆ เดิม ๆ ที่ปกติพวกผู้หลักผู้ใหญ่ในองค์กรจะจัดการให้เสร็จสรรพก่อนที่จะมาถึงมือเขา ดังนั้นเมื่อมาถึง มันก็จะไม่มีอะไรให้คิดพิจารณาอีกแล้วนอกจากจะอนุมัติหรือไม่
นอกจากนี้ เรื่องผู้หญิงเขาก็มีมาประปราย เพียงแต่พวกเธอไม่ค่อยจะตรงสเปคเขานัก แค่พอทำให้สนุกได้นิดหน่อย ส่วนหลางเมี่ยวเจินก็เดินทางไปอยู่ต่างประเทศชั่วคราว เขาจึงไม่มีคนแก้เบื่อไปโดยปริยาย
ความจริง หากซากุระไม่ได้ตกลงใจแต่งงานกับเซินหมิงเฟิ่ง เขาก็คงดึงเธอมาอยู่ด้วย เพราะหากว่าไปแล้ว เธอค่อนข้างจะตรงใจเขาทีเดียว เสียดายก็แต่เรื่องที่เธอเป็นเหยื่อที่จูเชว่รุ่นที่แล้วส่งมา เขาถึงไม่อาจแตะต้องเธอได้ด้วยประการทั้งปวงหากต้องการให้ทุกอย่างลุล่วงไปตามแผนที่วางไว้ ซึ่งมันก็เป็นด้วยดี
ไป๋หู่ยิ้มกับตนเองเมื่อมองนาฬิกาแล้วเดินออกจากอาคารสูงเพื่อไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ เขาส่งสัญญาณด้วยมือให้กับคนขับรถ เพียงเท่านั้นคนขับเก่าแก่คนนี้ก็รู้ว่าเขาต้องการไปที่ใด
ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงจุดหมาย เป็นคอนโดมิเนียมหรูหราแห่งเดียวกับที่ซากุระเคยมาเมื่อ 2 ปีก่อน แห่งเดียวกับที่หลางเมี่ยวเจินมักจะมาอย่างลับ ๆ และเป็นแห่งเดียวกับที่หญิงสาวมากหน้าหลายตาเคยเดินเข้าและออกมากน้อยครั้งต่างกันไป
และวันนี้ไป๋หู่ก็นัดชิงลงมาพบกันที่นี่ เพราะบางอย่างที่เขาต้องการให้อีกฝ่ายเห็นนั้นเป็นสิ่งที่ต้องพบเจอกันอย่างลับ ๆ และไม่มีใครอื่นรู้เห็น
ที่นี่แหละ เหมาะที่สุด
ไป๋หู่ผิวปากเดินเข้าไปด้านใน พนักงานทุกคนเมื่อเห็นเขาก็ทำราวกับว่าเห็นผู้ที่พำนักทั่วไป ไม่แสดงพิรุธออกมาชัดเจนว่าเขาเป็นใครมาจากไหนทำให้คนทั่วไปไม่ได้สังเกตมากนัก อีกทั้งเขาเองก็เข้าทางประตูพิเศษซึ่งจะไม่มีคนผ่านไปผ่านมาสักเท่าไหร่และเชื่อมกับลิฟต์พอดี
ตัวเขาเองมีห้องพิเศษอยู่ชั้นบนสุดซึ่งจะไม่มีใครอื่นไปรบกวนได้
เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการทำอะไรลับ ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งนั่นคงเป็นเหตุผลที่พ่อของเขาสร้างมันไว้ ก็เขากับพ่อนิสัยเหมือนกันหลายส่วนเลยนี่นะ โดยเฉพาะเรื่องชู้สาว ถ้าหากทำอะไรโจ่งแจ้งมันจะไม่ดีกับภาพลักษณ์แต่จะให้อัดอั้นไว้ก็ออกจะทรมานตัวเองเกินไป ซึ่งเขาเองไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องเสียหายอะไรเลย ผู้มีอิทธิพลหรือคนร่ำรวยส่วนใหญ่ก็มีที่แบบนี้อยู่สักแห่งสองแห่งกันเป็นปกติ
ไป๋หู่เปิดประตูเข้าไปในห้อง เปิดสวิตช์ไฟ และทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา มองนาฬิกาเห็นว่าเวลายังไม่เท่าไหร่ อีกสักพักกระมังสิ่งที่เขากำลังรอถึงจะมา รวมถึงชิงหลงที่เขานัดให้มาสายกว่านั้นด้วย
ระหว่างนั้นเขาก็ตัดสินใจเปิดโทรทัศน์ฟังข่าวช่วงค่ำไปด้วย อย่างไรอาชีพเขามันก็ต้องติดตามข่าวสารบ้านเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศอยู่เนือง ๆ หากปกติอยู่ที่บ้านตัวเองเขาก็จะเปิดอินเทอร์เน็ต ดูข่าวต่าง ๆ ที่อัพเดทได้ไวกว่าหนังสือพิมพ์หรือดาวเทียม
แต่ถึงอย่างนั้นข่าวเหตุการณ์ในวันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ทำให้เขาเริ่มเบื่อที่จะรอ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องสนุกที่จะตามมาทำให้เขาสามารถทนรอได้อีกนิด
แต่แล้วเสียงเคาะประตูก็ทำให้เขาผุดยิ้มกว้างขึ้น
ไป๋หู่ลุกจากโซฟา เดินไปเปิดประตูและมองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าด้วยสายตาเป็นประกายสนอกสนใจ บุคคลซึ่งเขากำลังรออยู่ บุคคลซึ่งเขาอยากจะชิงหลงได้พบเจอ บุคคลซึ่งเขาไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นคนเริ่มติดต่อกับเขาก่อนทั้งที่ไม่เคยได้คุยกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลย
เซินหมิงเฟิ่ง...ไม่สิ จูเชว่
“ยินดีต้อนรับสู่รังลับของผม” ไป๋หู่ทำเสียงเริงร่าเหมือนเด็ก ๆ พลางหลีกทางให้ผู้มาเยือน
เซินหมิงเฟิ่งยิ้มตอบ เป็นรอยยิ้มแบบที่ได้มาจากการสั่งสมประสบการณ์ในโลกของมาเฟีย รอยยิ้มที่ปิดซ่อนบางสิ่งบางอย่างไว้อย่างแนบเนียน
ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในสถานที่ซึ่งเจ้าของเรียกว่ารังลับ ออกจะเป็นการเปรียบเทียบที่เด็กและไร้เดียงสาเกินไปสักหน่อยสำหรับพวกเขา แต่ก็เป็นสิ่งที่บอกกล่าวถึงประโยชน์ของสถานที่นี้ได้อย่างดี ดังนั้นเซินหมิงเฟิ่งจึงได้ขอนักพบไป๋หู่ที่นี่ ที่ ๆ เป็นเขตของคนอื่นซึ่งตัวเขาไร้สิ้นอำนาจใด ๆ เหมือนกับว่าจงใจยกประโยชน์ด้านสถานที่ให้ไป๋หู่ไปเต็ม ๆ ซึ่งอาจแสดงถึงความเชื่อใจเกินจำเป็น หรือเป็นความต้องการใช้ประโยชน์จากข้อเสียเปรียบนั้นก็ได้
“เป็นรังลับที่น่าอยู่ไม่น้อยเลยนะครับ” เซินหมิงเฟิ่งวาดมือไขว้หลังและมองไปรอบตัว
“ผมบอกแล้วว่าคุณต้องชอบ” ไป๋หู่หัวเราะ “เครื่องดื่มหน่อยไหม?”
เซินหมิงเฟิ่งโบกมือแล้วเดินไปนั่งบนโซฟา
“ผมไม่เชื่อใจคุณเท่าคุณซากุระหรอก”
คำพูดที่เปล่งออกมาจากปากของเซินหมิงเฟิ่งทำให้มือของไป๋หู่ที่กำลังเอื้อมไปหยิบเครื่องดื่มชะงัก แต่ก็ชะงักเพียงชั่วครู่ก่อนเขาจะหยิบเหล้าราคาแพงมารินลงแก้วให้ตัวเอง
“ผมไม่คิดว่านายหญิงบ้านตระกูลเซินจะเชื่อใจผมขนาดนั้น ความจริงเราก็เคยเจอกันแค่ครั้งเดียว แล้วพวกคุณก็แต่งงานกันแล้ว” ไป๋หู่ไหวไหล่ “พูดจริง ๆ ว่าถึงเจอกันครั้งเดียวผมก็รู้สึกประทับใจมาก น่าอิจฉาจริง ๆ ที่คุณได้แต่งงานกับเธอ” เขาทำเป็นพูดเรื่องสบาย ๆ ไม่แสดงอาการเคร่งเครียดทั้งที่ใจของเขานั้นรู้อยู่แล้วว่าเซินหมิงเฟิ่งคงจะรู้อะไรมาแน่ ๆ จึงได้พูดขึ้นมาแบบนี้ แต่ยังไงก็คงไม่ใช่จากปากซากุระหรือคนในบ้าน เพราะหากคนเหล่านั้นคิดจะพูดคงพูดนานแล้ว ไม่ได้รอมานานถึง 2 ปีแบบนี้
เซินหมิงเฟิ่งโคลงศีรษะน้อย ๆ
“แน่ใจหรือครับว่าครั้งเดียว?”
“แล้วคุณหนูมินาโมโตะบอกว่าเจอกันกี่ครั้งล่ะครับ?”
นัยน์ตาสีอ่อนกลอกไปรอบหนึ่งก่อนส่ายศีรษะ
“คุณซากุระไม่ได้บอกอะไรผมถึงเรื่องก่อนที่เราจะแต่งงานกันสักเท่าไหร่ ความจริงแล้วผมว่าเธอค่อนข้างจะเป็นคนที่เก็บงำทุก ๆ อย่างได้ดี แม้แต่เรื่องในอดีตของเธอก็ไม่เคยพูดถึงให้ผมได้ยิน ส่วนใหย่เราก็เลยปรึกษากันเรื่องงานมากกว่าเรื่องส่วนตัว”
“คุณคงไม่ได้ลงทุนมาหาผมที่นี่เพราะหึงหวงหรอกนะ?” ไป๋หู่เล่นลิ้นพลางยกแก้วที่บรรจุเครื่องดื่มสีเหลืองทองมายังโซฟาแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับแขก
“ผมก็คงจะหึงนิด ๆ ล่ะมั้ง เพราะคุณเองก็เพิ่งแสดงออกว่าสนใจภรรยาของผมมากทีเดียว” เซินหมิงเฟิ่งแย้มรอยยิ้มบาง “อีกอย่าง ผมรู้ว่าพวกคุณไม่ได้เจอกันครั้งเดียว จริงอยู่ว่าคนที่บ้านคุณซากุระจะประหลาดใจที่คุณไปรับเธอถึงบ้านในวันหนึ่งเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ว่า...คืนก่อนหน้านั้นเธอไม่ได้มาอยู่ที่นี่หรอกหรือ?”
“ถ้าเธอเคยมาที่นี่ล่ะก็ เธอคงจะเสร็จผมไปแล้ว” ไป๋หู่หัวเราะเสียงลึก
“เอาเถอะ” ชายหนุ่มโบกมือ “เรื่องนั้นไม่ได้สำคัญเท่าไหร่ ที่สำคัญกว่าคือวันนั้นที่คุณไปหาคุณซากุระต่างหาก หลังจากนั้นคุณไปที่ไหนกันต่อหรือครับ?”
ไป๋หู่เลิกคิ้ว
“เห? แปลกจังนะจูเชว่ คุณสงสัยภรรยาตัวเองในวันที่ออกไปกับผมในที่สาธารณะมากกว่าที่สงสัยสิ่งที่เกิดขึ้นหากว่าเธอมาอยู่กับผมสองต่อสองในห้องแบบนี้หรือ?”
“ผมเป็นสามีของเธอนะครับ คิดว่าผมจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจนั้นไม่ได้หรือ?” เซินหมิงเฟิ่งวางท่าพูดอย่างมั่นใจทั้งที่จริง ๆ แล้วเขากับซากุระไม่เคยมีสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกันเลย “แล้วสรุปว่าหลังจากนั้นพวกคุณไปไหนกันหรือครับ?” แล้วเขาก็เบี่ยงประเด็นกลับมาทันที
“เรื่องนั้นคุณน่าจะไปถามภรรยาของคุณเองนะ จูเชว่”
“....บ้านของผม...ใช่ไหม?”
ไป๋หู่ดูไม่แปลกใจนักเมื่อเซินหมิงเฟิ่งเดาได้ถูก ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้บางอย่างมาจริง ๆ และรู้มากกว่าที่ใคร ๆ อยากจะให้รู้ด้วย แต่ก็เอาเถอะ ตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดจะปิดบังเรื่องนี้เพราะอย่างไรมันก็คือการลงโทษตามกฎของพวกเขา หากเซินหมิงเฟิ่งจะมาเพื่อทำให้ตัวเองแน่ใจ เขาก็ยินดีจะพูดทุกอย่างให้ฟัง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันขึ้นกับว่าเซินหมิงเฟิ่งจะทนฟังได้แค่ไหนมากกว่า
เขาวางแก้วลงบนโต๊ะ เสียงแก๊กของแก้วกระทบกระจกดังขึ้นก่อนจะถูกกลืนไปกับความเงียบ
“คุณต้องการอะไรน่าจะบอกมาตรง ๆ เลยจะดีกว่า ผมเองก็ไม่คิดจะปิดบังอยู่แล้ว” ไป๋หู่กล่าวด้วยใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มขี้เล่นอย่างเคย
“คุณใช่ไหม ที่ทำให้พ่อผมตาย” เซินหมิงเฟิ่งไม่รอช้า และเปิดประเด็นที่ตนเองต้องการคำตอบอย่างตรงไปตรงมา เพราะเมื่อไป๋หู่บอกว่าไม่คิดปิดบัง แสดงว่าอีกฝ่ายพร้อมจะตอบเขาทุกเรื่อง แต่เมื่อไป๋หู่ได้ยินคำถาม เขากลับผุดรอยยิ้มที่มุมปาก
“พ่อของคุณฆ่าตัวตายเอง ผมไม่ได้เอาปืนจ่อหัวเขาด้วยซ้ำไป”
“แต่คุณเป็นคนกดดันให้เขาทำแบบนั้นใช่ไหม!” เสียงของเซินหมิงเฟิ่งดังขึ้นกว่าปกติและห้วนลงเล็กน้อย กระนั้นรอยยิ้มของไป๋หู่กลับผุดกว้างขึ้น
“คุณต่างหากล่ะ” ไป๋หู่กล่าว “เขาตายเพื่อพาตัวคุณกลับมา คุณต่างหากที่เป็นคนฆ่าเขา”
คำพูดของไป๋หู่ราวกับกรรไกรคมที่ตัดเส้นด้ายบาง ๆ ขาดผึง เซินหมิงเฟิ่งเบิกตากว้างอย่างดุดันก่อนกระชากตัวขึ้นจากโซฟาแล้วดึงวัตถุสีดำชิ้นหนึ่งออกมาจากด้านหลังกางเกง เขาจ่อมันไปยังฝ่ายตรงข้ามด้วยมืออันสั่นเทาด้วยความโกรธและดวงตาเดือดดาล ทั้งที่เห็นไฟโทสะลุกโชติช่วงถึงขนาดนี้แล้ว ไป๋หู่กลับไม่อาจอดกลั้นไม่ให้ตนเองขำขันกับเหตุการณ์ตรงหน้าได้
ท่าทางตอบรับอย่างไม่คาดหมายนั้นทำให้เซินหมิงเฟิ่งทั้งแปลกใจทั้งโมโห นิ้วชี้ของเขาสั่นเมื่อพยายามจะกดลงไปบนไกปืน ทว่า...
“แน่ใจหรือครับ ว่าจะลั่นไกจริง ๆ” เสียงนั้นทำให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกเหมือนถูกฉุดสติกลับมาอย่างแรง ไป๋หู่เห็นว่าท่าทางของอีกฝ่ายคลายการเกร็งลงแล้วจึงพูดต่อ “สิ่งที่ผมทำเป็นไปตามกฎของพวกเรา เรียกว่าบทลงโทษ ส่วนสิ่งที่คุณจะทำเรียกว่าการฆาตกรรมนะครับ แล้วถ้าคุณลั่นไก สังหารผมซึ่งดำรงตำแหน่งไป๋หู่ รุ่นต่อไปจากผมจะมีหน้าที่พิพากษาคุณ ซึ่งคนที่ตายครั้งนี้อาจจะเป็นคุณเอง หรือจูเชว่รุ่นต่อไปซึ่งเป็นลูกของคุณก็ได้”
ใช่ ไป๋หู่พูดถูก...
กฎของพวกเขาบังคับให้ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ เซินหมิงเฟิ่งคิดพลางสูดหายใจเข้าลึกเพื่อคืนสติให้ตนเอง
ไป๋หู่คิดว่าอีกฝ่ายคงจะเลิกล้มความตั้งใจแล้วจึงปัดปลายกระบอกปืนไปทางอื่น แต่แล้วสายตาของเขาก็เลื่อนขึ้นไปเห็นริมฝีปากของเซินหมิงเฟิ่งที่เริ่มบิดกลายเป็นรอยยิ้มแปลกตา ไม่นานหลังจากนั้น มันก็กลายเป็นการระเบิดเสียงหัวเราะอย่างไม่สมกับความสุขุมที่อีกฝ่ายปั้นไว้แต่ต้น
“...ขอโทษนะครับ....” เซินหมิงเฟิ่งกลั้นใจพูดได้แค่นั้นก่อนจะหัวเราะออกมาอีก ท่าทางการหัวเราะท้องคัดท้องแข็งนั้นบ่งบอกได้หลาย ๆ อย่าง ซึ่งไป๋หู่ก็เริ่มเดาไว้ในใจแล้ว แต่เซินหมิงเฟิ่งพูดพูดต่อก่อนที่เขาจะริ่มสันนิษฐาน “อา....ผมลืมบอกคุณไปเสียสนิท ถึงผมจะฆ่าคุณเสียตรงนี้ ก็ไม่มีใครเอาผิดผมได้ไม่ว่าในทางกฎหมาย หรือด้วยกฎของพวกเราก็ตาม”
เมื่อเห็นว่าไป๋หู่แสดงสีหน้าแปลกใจ เขาจึงหันไปมองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่อยู่ใกล้ ๆ
“คงจะได้เวลาพอดี” เซินหมิงเฟิ่งพูดแค่นั้นก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบรีโมทบนโต๊ะแล้วยิงสัญญาณไปยังโทรทัศน์ที่เปิดช่องข่าวต่างประเทศอยู่กลายเป็นช่องภายในประเทศที่กำลังฉายข่าวด่วนข่าวหนึ่ง
ภายในกรอบโทรทัศน์ปรากฏภาพถนนเปลี่ยวสายหนึ่งซึ่งติดกับผาซึ่งทอดไปสู่ทะเล บริเวณนั้นเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งซึ่งจะกลายเป็นข่าวเล็ก ๆ ในหนังสือพิมพ์วันถัดไป แต่วันนี้กลับมีข่าวใหญ่เป็นพิเศษทั้งที่สถานที่เกิดเหตุก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากจุดเดิมที่เกิดบ่อย ๆ ซึ่งเหตุผลก็คือภาพนิ่งของชายหนุ่มคนหนึ่งในกรอบเล็ก ๆ มุมจอซึ่งเป็นผู้ประสบอุบัติเหตุในครั้งนี้ ใบหน้านั้นดูคุ้นตาอย่างไม่น่าเชื่อ และยิ่งไม่น่าเชื่อยิ่งขึ้นเมื่อนักข่าวสาวที่ปรากฏตัวในที่เกิดเหตุกล่าวชื่อเจ้าของรถซึ่งรู้มาจากแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผย อีกทั้งมีการยืนยันมาแล้วว่า บุคคลนั้นอยู่ในรถขณะเกิดเหตุจริง และเมื่อมองดูจากสถานการณ์แล้วมีโอกาสน้อยที่จะรอด
ไป๋หู่เลื่อนสายตากลับมามองคนที่ยืนอยู่หน้าเขาพลางหัวเราะ
“รถของจูเชว่แหกโค้งตกเหวหรือ? น่าเศร้านะครับ” เขากล่าวราวกับเป็นเรื่องไกลตัว แม้ข่าวจะกล่าวว่าผู้ประสบเหตุคือเซินหมิงเฟิ่ง เขาก็ไม่คิดจะถามคำถามโง่ ๆ อย่าง ‘คุณเป็นผีหรือเปล่า?’ ออกมา เพราะกลแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องยากหากคิดจะทำ ก่อนจะมาที่นี่ เซินหมิงเฟิ่งคงจัดการสั่งลูกน้องให้จัดฉากเรียบร้อย และมีการติดต่อกับสื่อให้ออกมาทำข่าว ไม่อย่างนั้นเซินหมิงเฟิ่งคงไม่หันไปมองเวลาก่อน แต่คำถามคือ ทำไปเพื่ออะไร?
“คนตายจะไม่ถูกผูกมัดในกฎของคนเป็น” เซินหมิงเฟิ่งเปรยลอย ๆ ขึ้นมาแล้วหันไปหาไป๋หู่ “ถ้าคุณถูกฆ่าโดยคนที่ไม่มีตัวตนตามกฎหมายอีกต่อไป ใครจะเอาผิดกับคนที่ตายแล้วได้ จริงไหมครับ?”
อย่างนี้เอง....
“จะว่าคุณโง่หรือฉลาดดีนะ การที่คุณทำแบบนี้ทำให้ตัวคุณเองไม่มีที่ยืนในฐานะมนุษย์ได้อีกเลย มันคุ้มกับการแก้แค้นครั้งนี้แล้วหรือครับ?” ไป๋หู่กลอกตาราวกับว่าคนที่ยืนตรงหน้าเขานี้ช่างไร้สมองจนน่าใจหาย
“ผมไม่สนใจมันอยู่แล้ว ทุกอย่างที่ผมควรทำผมได้จัดการเรียบร้อยแล้วทั้งหมด” เซินหมิงเฟิ่งเม้มปาก “ชีวิตของผม...เหลือแค่สิ่งนี้เท่านั้น...” ว่าแล้ว เซินหมิงเฟิ่งก็ยกปืนขึ้น ครั้งนี้แววตาของเขาไร้ซึ่งความลังเล เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ สิ่งที่เขาทำจะไม่ส่งผลอะไรกับคนที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งจูเชว่อีก
ให้ทุกอย่างจบลงที่ตรงนี้....พร้อมกับชีวิตของเขา...
ปัง!
เสียงประตูถูกกระแทกเปิดทำให้เขาชะงัก และในจังหวะที่หันไปมองต้นเสียงนั้น ร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งก็โผเข้าใส่เขาและจับข้อมือซึ่งกุมปืนไว้ให้ทิ้งลงทำให้ปลายกระบอกปืนจ่อไปบนพื้น กระนั้นถึงแม้จะรู้สึกเจ็บที่ถูกบีบกำข้อมืออย่างแรง เซินหมิงเฟิ่งก็กัดฟันจับปืนไว้มั่นไม่ยอมปล่อยให้หลุดไป
“....ชิงหลง....” เซินหมิงเฟิ่งเค้นชื่อตำแหน่งอีกฝ่ายเมื่อเห็นคนที่เข้ามาห้ามเต็มตา
“นี่มันเรื่องอะไรกัน นายคิดจะทำอะไรอีก” ชิงหลงมองไปยังไป๋หู่ทั้งที่ยังล็อคเซินหมิงเฟิ่งจากด้านหลัง
“ถามผิดคนแล้วชิงหลง นายก็เห็นอยู่ว่าใครจะทำใครกันแน่” ไป๋หู่ไหวไหล่แล้วยกเหล้าขึ้นจิบต่อ “นายจะเอายังไงล่ะ? จะให้เขายิงตามใจชอบ หรือจะห้ามไว้ดี?”
เซินหมิงเฟิ่งเห็นท่าทีไม่มีทุกข์ร้อนของไป๋หู่ก็ยิ่งของขึ้น
“ปล่อยผมนะชิงหลง! ไม่อย่างนั้นผมจะยิงคุณด้วย!” เขาดิ้นรนขืนแรงที่จำกัดการเคลื่อนไหวของตนเอง
“ผมไม่มีทางปล่อยให้คุณทำเรื่องบ้า ๆ หรอกนะ” ถึงแม้เสียงของชิงหลงจะดูไม่ได้ต่างจากปกติ แต่คนที่ฟังอยู่บ่อย ๆ จะรู้ว่ามันแฝงความร้อนใจเอาไว้หลายส่วน
“ไม่มีทางปล่อยให้ผมทำ...” เซินหมิงเฟิ่งทวนคำแล้วแค่นเสียงหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดนั่นมันคืออะไรกันล่ะ!? คุณคือคนที่ปล่อยผมไปเองไม่ใช่หรือไง!”
ชิงหลงมุ่นคิ้ว จ้องมองอีกฝ่ายที่หันมาตะโกนใส่เขาอย่างบ้าคลั่งก่อนจะกัดฟันแล้วหันกลับไปก้มหน้าเหมือนคนที่ถูกต้อนจนมุม ไหล่ของเซินหมิงเฟิ่งสั่นเทาน้อย ๆ เช่นเดียวกับมือซึ่งยังกุมอาวุธสังหารนั้นอยู่ ไม่ว่าจะทำอย่างไร เซินหมิงเฟิ่งก็ไม่ยอมปล่อยมือจากปืนกระบอกนั้นเลย ราวกับว่ามันคือที่พึ่งสุดท้ายที่ตนเองมี จึงต้องพยายามยึดเหนี่ยวไว้ให้ถึงที่สุด
“อิสระที่คุณคืนให้ผม....มันคือนรกบนดินแท้ ๆ ....ทุก ๆ วัน มันมีแต่สายตาพวกนั้นที่จับจ้องผมเหมือนประเมินสินค้า มีแต่คนที่พร้อมจะหักหลังและเหยียบย่ำเมื่อผมพลาดท่า หรือไม่ก็สายตาที่แสดงความหวาดกลัวในสิ่งที่ผมเป็น พ่อของผม...ที่ควรจะมีโอกาสสอนผมให้เตรียมตัวสำหรับสิ่งเหล่านี้ก็ถูกพรากไปแล้ว ผมไม่เหลือใคร....ไม่เหลือใครเลย...” เสียงของเซินหมิงเฟิ่งแสดงออกถึงอารมณ์และความกดดันจากหลายสาเหตุเกินกว่าจะพรรณนาออกมาได้ ทั้งหวาดกลัว ทั้งสับสน และเหมือนกับว่าในวันนี้ ความอดทนได้มาถึงที่สุดแล้ว แมงมุมที่เกาะบนหลังได้เติบโตเต็มที่และกำลังพ่นใยพันรัดร่างกายและจิตใจนั้นให้จมดิ่งอยู่ในความมืดมนไร้ทางออก
แววตาของชิงหลงอ่อนลง ก่อนค่อยผ่อนแรงที่ยึดมือทั้งสองไว้เมื่อเห็นว่าเซินหมิงเฟิ่งสงบนิ่งไปแล้ว ทว่าในวินาทีต่อมาเขาก็พบว่าตัวเองคิดผิด เมื่อเซินหมิงเฟิ่งเงยหน้าขึ้นและหันกลับมามองเขาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายคล้ายคนที่ไม่มีทางให้หันหลังกลับอีกแล้ว
“แล้วคุณเอง ก็เป็นคนที่ทิ้งผมไปเหมือนกัน” สิ้นเสียงนั้น เซินหมิงเฟิ่งก็กระแทกศอกเข้าใส่ชายโครงชิงหลงอย่างแรง ก่อนกระแทกสันปืนใส่ขมับซ้ำทำให้ชิงหลงล้มลงไปบนพื้น
คุณเป็นคนปล่อยมือผมไป...
คนที่สัญญาว่าจะปกป้องผมไม่มีอีกแล้ว...
และโลกใบนี้มันก็ไร้ค่าเกินกว่าจะมองดูต่อ
เซินหมิงเฟิ่งใช้เวลาแค่เสี้ยววินาทีปรายตามองชิงหลงบนพื้นก่อนจะหันปืนไปทางไป๋หู่ที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับหนีไปไหน ไม่แสดงออกแม้แต่ความหวาดกลัว ทั้งที่นั่นคือสิ่งที่เขาอยากจะเห็นจากคน ๆ นี้ที่สุดก่อนที่ความตายจะมาเยือน
บ้าเอ๊ย....ร้องขอชีวิตสักนิดสิ!