กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10  (อ่าน 126578 ครั้ง)

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 17 (13/06/12)
«ตอบ #150 เมื่อ13-06-2012 23:04:28 »

ดีใจที่มาอัพเรื่อยๆ  o13
เซินกะชิงหลง ไม่เห็นวี่แววจะรักกันลงเลยนะ หรือจะเป็นอารมณ์ประมาณว่า อยู่ๆกันไปก็เฉยๆ แต่พอห่างกันก็เกิดโหยหากันขึ้นมา  :laugh:
คิมหันต์ไปอยู่กับโจเซแล้ว เซินเหงาแย่  :o12: อิตาชิงหลงนี่ก็ทำตัวเป็นเด็กๆเหมือนกันแหละน่า ซากุระมาเอาตัวเซินกลับไปให้ได้นะ!

รอตอนหน้าน้า ><

ออฟไลน์ wikichan

  • ชื่อ:Wi! วิ! วิกิ! วิเวียน//วันๆ ไม่ทำอะไรชอบอ่านมังงะและนิยายเป็นชีวิตจิตใจ ชอบผลงานของพี่แพร์ Nigiri_Sushiที่สุดอ่านทุกเรื่องแต่ไม่ได้ซื้อทุกเรื่อง อยากเจอตัวจริงสักครั้งนึงแบบว่านักเขียนในดวงใจ #เพ้อ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 17 (13/06/12)
«ตอบ #151 เมื่อ13-06-2012 23:53:13 »

อ๊าาา...จะรักกันได้มั๊ยยยย เีนี่ยยย เพื่อให้คนนึงเข้าใจความรู้สึกอิกคนนึง เอ๊ะ!?  ยังายยย ยย 555555

รอตอนต่อไปคร๊าบบบบ

ออฟไลน์ ployspy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 17 (13/06/12)
«ตอบ #152 เมื่อ14-06-2012 01:17:54 »

ในที่สุด...สิ่งที่รอคอยก็มา :o12: :o12: :o12: :o12:

ว่าแล้วเชียวอีชินหลงแกๆๆๆๆๆๆ  :fire: :fire: :fire:

บังอาจทำกับเซินเซินและคิมหันที่น่ารักได้นะ :m31: :m31:

แต่ว่า...โจเซจับคิมหันทำเมียเตอะ  :-[ :-[ :-[ :-[

เชียร์ๆๆๆๆ :impress2: :impress2:

รอมาต่อนะคะ :z2: :z2:

ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 17 (13/06/12)
«ตอบ #153 เมื่อ14-06-2012 17:41:07 »

ชิงหลงนิสัยไม่ดีทำแบบนี้กับหมิงได้ไง  :m31: โจเซกับคิมหันต์ว่าแล้วต้องเป็นแบบนี้  :L1:

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 17 (13/06/12)
«ตอบ #154 เมื่อ14-06-2012 18:55:59 »

ชิงหลง อยากให้รู้ความในใจว่ารัก รึเปล่า

ออฟไลน์ BBSS

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 17 (13/06/12)
«ตอบ #155 เมื่อ14-06-2012 19:00:03 »

เอ๊ะ ชิงหลง นี่ยังไง  :m16:

ไม่มีความเชื่อใจให้คนอื่นเลยใช่ไหม ห่ะ :angry2:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 17 (13/06/12)
«ตอบ #156 เมื่อ14-06-2012 22:31:01 »

ตามกันต่อไป
เรื่องนี้ไม่มีทีท่าว่าจะจบกันได้ง่ายๆเลยทีเดียว

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 18 (17/06/12)
«ตอบ #157 เมื่อ17-06-2012 19:55:29 »

-18-


   ท้องฟ้าในอิตาลีวันนี้ค่อนข้างหม่นมัวจนน่าอึดอัด ถึงแม้จะเป็นเวลาสายจนใกล้เที่ยงวันแล้ว แดดกลับยังไม่ส่องเข้ามาในห้องเพราะโดนหมู่เมฆบดบัง อีกไม่นานฝนจะต้องตกลงมาแน่ ๆ อากาศแบบนี้กแปรกับการที่เขาต้องอยู่คนเดียวอย่างเหี่ยวเฉา ทำให้อารมณ์ของเซินหมิงเฟิ่งไม่ร่าเริงนัก เขาตัดใจจากหน้าต่างหันไปมองตู้หนังสือที่ไม่มีอะไรน่าจับน่าใคร่นัก

   ไม่รู้ว่าชิงหลงคิดอะไรอยู่ จึงให้นำหนังสือวิชาการหรือสารคดีมากมายเข้ามาอัดจนเต็มชั้น ซ้ำครึ่งหนึ่งยังเป็นภาษาอิตาลี ส่วนที่เหลือเป็นภาษาฝรั่งเศสกับอังกฤษปะปนกันไป พูดง่าย ๆ คือ ในชั้นหนังสือทั้งหมด 7 ชั้น หน้ากว้าง 3 ฟุต มีหนังสือเพียง 30% ที่เขาสามารถอ่านได้ ส่วนที่เหลืออีก 55% เขาสามารถอนุมานได้จากรูปภาพ และส่วนที่ไม่ได้พูดถึง คือหนังสือที่อัดแน่นไปด้วยตัวอักษรเรียงรายตัวยิบย่อยและสัญลักษณ์ที่เขาไม่รู้จักอีกเพียบ และแน่นอนว่ามันถูกเขียนด้วยภาษาอิตาลีหรือฝรั่งเศส

   พอมองตู้หนังสือแล้วคิดออกมาเช่นนั้นแล้ว อารมณ์ของเขาก็ยิ่งเฉาลงไปกว่าเดิมหลายเท่าจนไม่ต่างกับต้นไม้ที่ขาดน้ำ

   เซินหมิงเฟิ่งเอื้อมมือไปที่ชั้นหนึ่งซึ่งอยู่ในระดับสายตา

   เขาดึงมันออกมาอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่ก็พบว่ามันเป็นหนังสือภาพถ่ายสถานที่สำคัญของโลก เล่มของมันค่อนข้างหนาเพราะพิมพ์ด้วยกระดาษอาร์ตมันอย่างดี 4สีทั้งเล่ม สิริรวมราคาเป็นค่าเงินแถบ ๆ นี้แล้ว เขาก็ไม่อยากจะผันกลับเป็นดอลลาห์ฮ่องกงเอาเสียเลย

   เซินหมิงเฟิ่งสอดหนังสือเล่มนั้นไว้ใต้รักแร้แล้วดึงหนังสือภาพออกมาอีก 2 เล่ม ก่อนจะถือทั้งหมดเดินไปที่โซฟาแล้วนั่งลง บนโต๊ะยังมีจานใส่ขนมจุกจิกที่เขาให้การ์ดคนหนึ่งลงไปซื้อมาให้กินแก้เบื่อกับขวดน้ำผลไม้วางอยู่ด้วยกัน เขาเอื้อมมือไปหยิบนมโยนใส่ปากพลางฟังเสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่ง ๆ อยู่เหนือศีรษะ คงต้องขอบคุณมันที่ทำให้ห้องมีอากาศไม่อุดอู้เกินไปนัก แม้ภายนอกจะเต็มไปด้วยความชื้นก็ตาม

   หนังสือเล่มแรกถูกเปิดออก เขาคิดเอาไว้แล้วว่าบางทีเขาอาจจะต้องเฉาตายอยู่ในห้องนี้ไปตลอดชีวิต แต่ครั้นคิดเปรียบเทียบกับตอนที่ถูกลักพาตัวไปโดยคนของบราซินี บางที การอยู่แบบนี้อาจจะดีกว่าหลายเท่า เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ถูกทำร้ายร่างกายใด ๆ ซ้ำยังมีที่นอนอุ่นสบาย มีเสื้อผ้าที่ซักใหม่ ๆ ให้สวมใส่ทุกวัน อาหารอย่างดีมาเสิร์ฟถึงห้อง 3 เวลา

   บางทีการเป็นนกในกรงอาจจะไม่ได้แย่มากนัก.....

   เมื่อคิดออกมาแบบนั้น เขาก็อดชะงักไปไม่ได้

   ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาเริ่มคิดแบบนี้ ตั้งแต่ตอนไหนที่เขารู้สึกว่าการถูกกักขังเอาไว้เป็นเรื่องที่ดี ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขายังสามารถคิดวิธีมากมายเพื่อส่งข่าวหรือหนีออกไป แม้ว่ามันจะไม่สำเร็จ แต่ในตอนนั้นเขาก็ยังพยายามในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

   แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กัน....ที่เขายินยอมอยู่ในห้องนี้อย่างเต็มใจ....

   นี่มันผิดปกติแน่ ๆ

   เซินหมิงเฟิ่งมุ่นคิ้วกับตัวเองพลางมองจานขนมและขวดน้ำบนโต๊ะ มองหนังสือในมือ และเสื้อผ้าที่ตนเองกำลังสวมใส่

   สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของของเขาเลยสักอย่างเดียว ไม่มีอะไรเลยที่ได้มาด้วยตัวเขาเอง มีแต่สิ่งที่ชิงหลงนำมาให้หรือได้จากคนของชิงหลงทั้งนั้น

   อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมา ความขัดแย้งระหว่างสภาพจิตใจกับความคิดทำให้สมองของเขาปั่นป่วนเหมือนโดนโยนใส่เครื่องปั่น

   แย่ที่สุด....

   ในขณะที่เขาคิดเช่นนั้น ก็มีใครบางคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง เซินหมิงเฟิ่งหันไปดูเพราะรู้ว่าคนที่เข้ามาไม่ใช่คิมหันต์อย่างแน่นอน

   “ชิงหลง?” แต่คนนี้ค่อนข้างเหนือความคาดหมาย

   ชิงหลงเดินเข้ามาในห้องเสมือนว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของห้องนี้อยู่แล้ว เจ้าตัวพาตนเองไปยังตู้หนังสือที่สั่งให้คนเอามาอัดจนเต็ม ก่อนจะเลือกหยิบมา 2 เล่ม ซึ่งเป็นเล่มที่เซินหมิงเฟิ่งไม่คิดอยากจะแตะ เพราะมันคือหนังสือวิชาการที่เต็มไปด้วยตัวอักษรล้วน ๆ

   เขาเดินตรงมาที่โซฟาแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม โดยที่สายตาของเซินหมิงเฟิ่งยังจับจ้องอยู่ด้วยความสงสัยและอีกหลากหลายอารมณ์

   ไม่นานนัก ชิงหลงก็เงยหน้าขึ้นมาสบสายตาที่จ้องมองอยู่นั้น

   “มีอะไรหรือ?”

   “.....เปล่า” พอถูกถาม เซินหมิงเฟิ่งก็ไม่รู้ว่าตนเองควรจะตอบว่ามีอะไรดีหรือเปล่า เขาก็แค่สงสัยว่าอีกฝ่ายเข้ามาในห้องนี้ทำไม แต่มองไปแล้ว เจ้าตัวอาจจะแค่เข้ามาอ่านหนังสือก็ได้ แต่ถ้าแค่นั้นทำไมถึงไม่อ่านที่ห้องตัวเอง ความคิดสรตะวุ่นวายตบตีกันในหัวทำให้เขาไม่แน่ใจว่าจะพูดอะไรก่อน

   “บางทีคุณอาจจะอยากอยู่เป็นส่วนตัว ผมจะออกไปก็แล้วกัน” ชิงหลงสรุปความว่าอย่างนั้นก่อนจะลุกขึ้นพร้อมหนังสือในมือ

   “ม...ไม่ใช่!” เซินหมิงเฟิ่งร้องก่อนจะชะงักเมื่อรู้ตัวว่าทำเสียงดังเกินความจำเป็น “ผมหมายถึงว่า ไหน ๆ ตอนนี้ก็มีผมอยู่คนเดียวแล้ว คุณจะมาอยู่เป็นเพื่อนผมบ้างก็ไม่เป็นไร” เขาลดเสียงลงและพยายามพูดให้เหมือนตนเองไม่ได้รู้สึกเหงาหรือหดหู่อะไรมากมาย

   “ผมคิดว่าคุณจะไม่ชอบหน้าผมเสียอีก”

   ในบางครั้ง เซินหมิงเฟิ่งก็อดคิดไม่ได้ว่าตนเองกำลังโดนปั่นหัวอยู่หรือเปล่า...

   แต่แน่นอน เขาไม่ชอบหน้าชิงหลงเท่าไหร่ ใครกันล่ะจะชอบหน้าคนที่ลักพาตัวเองมากักขังเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะไม่มีทางให้เลือกมากนัก

   “ถึงจะไม่ค่อยถูกชะตา แต่ถ้าคบหากันไปนาน ๆ คุณอาจจะมีส่วนที่น่าคบก็ได้” เซินหมิงเฟิ่งไม่กล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา จึงบ่ายเบี่ยงเป็นอย่างอื่นไปแทน

   “ถ้าคุณว่าอย่างนั้น” ชิงหลงไหวไหล่แล้วนั่งลงที่เดิม

   เซินหมิงเฟิ่งลอบมองอีกฝ่ายพลางถอนหายใจ แต่แล้วก็มีกระแสความคิดบางอย่างไหลเจ้าสู่สมองโดยไม่ได้ตั้งใจจะคิดเช่นนี้

   หรือว่าชิงหลงจะกลัวเขาเหงา?

   ไม่น่า....

   คนอย่างชิงหลงน่ะหรือจะคิดถึงใจคนอื่นถึงขนาดนั้น ที่ทำกับเขาไว้นั่นถึงจะทำดีด้วยเท่าไหร่ก็คงไม่เท่ากับการยอมปล่อยเขากลับบ้านให้เป็นอิสระ ดังนั้นถึงจะใจดีด้วยแค่ไหน เขาก็คงไม่อาจไว้ใจได้ว่าอีกฝ่ายจะมีจิตใจที่นึกถึงคนอื่นจริง ๆ หรือเปล่า

   ก็กระทั่งคิมหันต์...ที่ทำงานถวายชีวิตให้ขนาดนั้น ก็ยังยกให้คนอื่นเสียง่าย ๆ....

   “คุณไม่ได้เล่นหมากรุกนานแล้วหรือเปล่า?” อยู่ ๆ ชิงหลงก็ถามขึ้นมา ทำให้เซินหมิงเฟิ่งที่กำลังคิดอะไรอยู่ในใจถึงกับสะดุ้งเฮือกเพราะนึกว่าโดนอ่านใจเข้า แต่เมื่อฟังดี ๆ และคิดประมวลแล้ว นั่นเป็นคำถามพื้น ๆ ที่เรียบง่ายที่สุดจากคนตรงหน้า

   “จะว่าไป ก็นานแล้ว...” เขาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเขามีสิ่งฆ่าเวลาที่เรียกว่า ‘หมากรุก’ อยู่ กระนั้น เหตุผลหนึ่งที่เขาเลิกเล่นก็เป็นเพราะเขาเหนื่อยที่จะใช้สมองไปกับการละเล่นพร้อมกับการคิดหาทางออกให้ตัวเอง อีกทั้งตัวเขาเองก็รู้ซึ้งถึงฝีมืออันอ่อนด้อยเมื่อลองประลองกับชิงหลงครั้งหนึ่งหลังจากที่โดนโจเซหยอกเล่นเอาโดยไม่รู้ตัว ทำเอาเขาเอียนหมากรุกไปพักใหญ่เลยทีเดียว

   “ลองเล่นกันไหม?”

   “เอ๋?”

   เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้วมองชายหนุ่มตรงหน้า นึกแปลกใจว่าอยู่ ๆ อีกฝ่ายคิดยังไงถึงมาชวนเขาเล่นหมากรุกเอาเวลาอย่างนี้

   “คุณเก่งจะตายไป เล่นกี่ครั้งผมก็คงแพ้ราบคาบ” เขาว่าพลางนึกถึงครั้งสุดท้ายที่ชิงหลงลงมานั่งเล่นกับเขา หากพูดตามจริง เป็นการสั่งสอนเสียมากกว่า

   “ผมสัญญาว่าจะออมมือให้”

   “สัญญาของมาเฟียเชื่อถือได้แค่ไหนผมยังไม่รู้เลย” พอเซินหมิงเฟิ่งพูดออกไปแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะเผลอพูดดูถูกอีกฝ่ายรวมถึงพ่อของตัวเองเข้า “อย่าเพิ่งโกรธผมนะ ผมแค่ไม่รู้ว่าปกติมาเฟียเขาสัญญาอะไรกันยังไง ก็อย่างที่คุณเคยว่า ผมเป็นคนธรรมดาที่ยังอ่อนหัด”

   ชิงหลงเหลือบสายตามองคนที่พยายามแก้ต่างให้ตัวเองเป็นพัลวัน เขารู้สึกขำอยู่ในใจแต่ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย

   “ถ้าพูดให้ถูก สัญญาของพวกเราถือเป็นคำสัตย์ เพียงแต่ว่าคนทำสัญญามักจะไม่รอบคอบและยอมตกลงโดยไม่ไตร่ตรองเอง” ถ้อยคำของชิงหลง หากแปลความง่าย ๆ ก็คือ ทุกคำสัญญา ทุกคำสาบาน มักจะมีช่องว่างให้เล็ดรอดได้เสมอ และผู้ที่ทำสัญญาด้วยมักจะเผอเรอไม่รอบคอบพอจะมองเห็นช่องว่างนั้น หรือไม่ก็เห็นแต่ไม่คิดจะอุดเพราะไม่คิดว่าจะเกิดความเสียหายขึ้น

   สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแม้แต่ในชีวิตประจำวันทั่ว ๆ ไปของคนธรรมดา หลายต่อหลายครั้งที่คนเรามักถูกหลอกในการทำสัญญากับใครบางคนหรือบางองค์กร ซึ่งหลักการของมันคล้าย ๆ กัน นั่นคือ การหลอกล่อด้วยผลประโยชน์ที่จะตอบแทนให้ผู้ทำสัญญา หนังสือสัญญาที่ระบุข้อความไม่ครบถ้วน และผู้ทำสัญญามักไม่มีความอดทนพอที่จะอ่านเงื่อนไขทั้งหมดให้ครบ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือสัญญาที่มีตัวอักษรยิบย่อยเต็มหน้ากระดาษ และบางครั้งก็มีหลายหน้าเกินกว่าจะอ่านได้หมดในเวลาจำกัด อีกทั้งสมองของมนุษย์ไม่ได้มีความสามารถจดจำและประมวลผลข้อความทั้งหมดได้ในเวลาพร้อม ๆ กัน การทำสัญญาที่ไร้ช่องโหว่ให้เล็ดรอดจึงเป็นเรื่องยาก แม้สำหรับผู้ที่มีการศึกษาสูงหรือผู้ที่รู้กฎหมายก็ตาม

   แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริงจังเกินกว่าประเด็นการเล่นหมากรุก

   “ผมไม่รู้ว่าจะโกงคุณไปทำไม อีกอย่าง ถ้าผมจริงจังเกินไป การละเล่นฆ่าเวลาของผมคงจะหมดสนุก” พูดในอีกแง่ ชิงหลงต้องการจะบอกว่า หากเขาเอาจริง ไม่กี่นาทีก็เอาชนะได้แล้ว ซึ่งแม้เซินหมิงเฟิ่งจะรู้ความหมายโดนนัยแต่ก็เถียงไม่ออก

   “ผมไม่ฉลาดพอจะให้คุณมาฆ่าเวลาด้วยหรอกนะ แต่บางทีการที่ผมถูกลักพาตัวไปคงช่วยฆ่าเวลาให้คุณได้มากกว่าในการวางแผนเอาตัวผมกลับมา” อยู่ ๆ สมองก็หวนกลับไปคิดถึงเรื่องนั้นอีกครั้ง แต่เมื่อพูดออกไป ชิงหลงกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาใดเป็นพิเศษ ตอนแรกเขาคิดว่าจะถูกประชดกลับมาราว ๆ ว่า ‘แปลว่าอยากถูกลักพาตัวอีกหรือ?’ อะไรแบบนี้

   “ความจริงแล้ว ผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างน่าเบื่อ”

   เรื่องพวกนั้นเขาแทบจะไม่ได้ใช้เสี้ยวสมองเสียด้วยซ้ำ

   แต่ในความคิดเซินหมิงเฟิ่ง...เขาแทบจะหงายตกจากโซหาเมื่อได้ยินเช่นนั้น

   เรื่องคอขาดบาดตายของเขา อีกฝ่ายบอกว่าน่าเบื่องั้นหรือ!?

   “คุณคิดว่ามันเป็นเกมการละเล่นหรือยังไงกัน! ถ้าตอนนั้นคุณไม่ไปที่นั่น ผมอาจจะถูกฆ่าก็ได้!” เขาของขึ้นขึ้นมาอีกครั้ง

   “ดอนบราซินีไม่ฆ่าคุณหรอก” ชิงหลงพูดอย่างใจเย็น

   “คุณรู้ได้ยังไง!?”

   “เพราะดอนบราซินีไม่กล้าลองดีกับมอเรสซาเรขนาดนั้น เขาเป็นแฟมิลีขนาดเล็กที่อาศัยบารมีมอเรสซาเรมาตลอด เรื่องบุญคุณก็ไม่ใช่น้อย ๆ แต่ที่กล้าลงมือ คงเพราะแฟมิลีอื่น ๆ ยุยงส่งเสริมและเจ้าตัวก็ไม่ค่อยจะพอใจผมสักเท่าไหร่ และตอนนี้ก็ได้รับบทเรียนไปเรียบร้อยแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวถึงเรื่องภายในแฟมิลีอื่นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเองแม้แต่น้อย

   “มันเป็นเพราะเขาอยากให้คุณออกไปจากถิ่นของเขา ผมถึงได้โดนลูกหลง” เซินหมิงเฟิ่งสูดหายใจลึก “มันเป็นความผิดของคุณที่ทำให้ผม.....” เขากัดฟันเมื่อนึกถึงตนเองในขณะที่ถูกทำร้ายร่างกายโดยไม่อาจปกป้องตัวเองได้ ในตอนนั้นชิงหลงคงวางแผนอย่างสบายใจอยู่ที่นี่

   “ผมรู้ ราฟาเอลสารภาพหมดแล้ว” ชิงหลงพูดพลางเอนหลัง “แล้วเขาก็ได้รับการลงโทษในแบบที่เขาสมควรจะได้รับแล้ว คุณมีอะไรไม่พอใจงั้นหรือ?”

   มีอะไรไม่พอใจ?

   นี่เป็นคำถามที่ใช้ถามผู้เสียหายหรือ?

   “ผมไม่พอใจ ผมไม่พอใจมาก ๆ ด้วย!” เซินหมิงเฟิ่งตะคอกพร้อมคว้าหนังสือใกล้มือขว้างใส่ แต่ชิงหลงรับไว้ได้อย่างง่าย ๆ “ในตอนนั้นคิมหันต์เป็นคนเดียวที่อยู่ข้างผม คอยดูแลผม ในขณะที่คุณหายหัวไปไหนก็ไม่รู้! แล้วตอนนี้คุณยังเอาคิมหันต์ไปจากผมอีก คุณมีหัวใจบ้างหรือเปล่า! ทั้งหมดมันเป็นเพราะคุณจับตัวผมมา เพราะคุณพาผมมาที่นี่ และเพราะคุณนั่นแหละผมถึงถูกเจ้าพวกนั้นซ้อมเอา! คุณมันหลงตัวเอง ไม่เคยคิดถึงใจคนอื่น! เพื่อให้คนหนึ่งเข้าใจความรู้สึกของอีกคนอะไรกัน คุณยังไม่คิดจะเข้าใจผมเลยสักนิด!”

   เซินหมิงเฟิ่งระบายความรู้สึกที่อัดอั้นออกมาอย่างเต็มที่ เหมือนกับว่าทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เขาอยากจะพูดมาตั้งแต่แรกแต่ไม่มีใครพร้อมจะรับฟัง มันจึงพรั่งพรูออกมาไม่ยอมหยุดพอ ๆ กับแรงโทสะที่มากขึ้นทุกครั้งที่คำพูดถูกถ่ายทอดไปหาคนต้นเรื่อง

   ชิงหลงนั่งเงียบ ๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายระบายความรู้สึกออกมาจนกว่าจะพอใจ เขาไม่ได้ลุกหนีไปไหนหรือทำหน้าแสดงความรำคาญ เพียงแค่นั่นฟังเงียบ ๆ โดยไม่แสดงการโต้แย้งเท่านั้น และนั่นคือทั้งหมดที่ผู้พูดมักต้องการจากผู้ฟัง แค่มีใครสักคนรับฟังสิ่งที่ตนอยากจะพูด อยากจะให้มีใครสักคนรับฟัง และจนถึงที่สุด ผู้พูดจะค่อย ๆ อารมณ์เย็นลงและมีเหตุผลมากขึ้นเอง

   หลังจากระบายออกไปจนเสียงแห้ง เซินหมิงเฟิ่งก็ค่อย ๆ สงบลง เขาทรุดลงนั่งอย่างหมดแรงแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นกระดกให้ตัวเองหายคอแห้ง

   ในตอนที่อารมณ์เพิ่งสงบ ชิงหลงรู้ว่าเขาไม่ควรพูดหรือตอบโต้ในทันที เพราะอารมณ์ที่เพิ่งมอดลงอาจปะทุขึ้นมาอีกครั้งก็ได้

   เขารอจนกระทั่งเซินหมิงเฟิ่งเงียบและไม่พูดอะไรต่ออีก

   “ผมสัญญาได้ว่าจากนี้ไปคุณจะอยู่ในความดูแลของผมอย่างปลอดภัย” ชิงหลงพูดช้า ๆ ด้วยเสียงมั่นคงมากพอจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกมั่นใจ

   “แต่มีเงื่อนไขอีกตามเคยใช่ไหม” เซินหมิงเฟิ่งพูดตอบเสียงอุบอิบพลางสูดหายใจ ผู้ชายจะร้องไห้ด้วยเรื่องแบบนี้มันดูไม่ดีเอาเสียเลย แต่เมื่อเขาได้ระบายออกมา มันก็ยากจะห้าม เมื่อครู่จึงพยายามสูดหายใจหลาย ๆ ครั้งเพื่อกลั้นน้ำตาไว้แต่มันก็ยังปริ่มออกมานิดหน่อย หากเขาร้องไห้ต่อหน้าชิงหลง เขาคงจะดูอ่อนแอมากเกินไป เขาจะไม่ร้องไห้ให้อีกฝ่ายเห็นเด็ดขาด

   “ตราบใดที่คุณอยู่ในสายตาของผม”

   “เรื่องนั้นผมเคยสัญญาไปแล้ว ผมไม่ตุกติกแบบคุณหรอก”

   ชิงหลงได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้ารับ

   “เอาเป็นว่าผมจะเชื่อคำพูดของคุณก็แล้วกัน เพราะว่าถ้าคุณไปไกลจากจุดที่ผมยื่นมือไปถึงได้ทัน ผมก็คงจะรับประกันไมได้ว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบเดิมขึ้นอีก” คำพูดของชิงหลงทำให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา ความกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจอย่างรวดเร็ว

   คำขู่ของชิงหลงได้ผลอย่างชะงัด เมื่อเขาได้ให้อีกฝ่ายได้รับบทเรียนจากการพยายามทำตามใจตัวเองมาแล้วครั้งหนึ่ง

   จิตใจของคนเรามักตอบสนองต่อความกลัวได้มากกว่าอารมณ์อื่น ๆ เพราะมันคือสัญชาตญาณการป้องกันตัวโดยธรรมชาติของมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์สามารถหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อตนเองได้ และสิ่งนี้เองที่ชิงหลงใช้เป็นเครื่องมือ เมื่อเซินหมิงเฟิ่งรู้สึกหวาดกลัวโลกภายนอก ก็จะไม่สามารถต่อต้านสัญชาตญาณของตนเองได้ แม้ว่าจะสับสนที่ตนเองยินยอมอยู่ในกรงนี้อย่างสมัครใจ แต่มันคือที่เดียวที่มีความปลอดภัยและปราศจากความหวาดกลัว จนกว่าเจ้าตัวจะแข็งแกร่งพอที่จะฝ่าทะลวงความกลัวของตนเองได้นั่นแหละ เซินหมิงเฟิ่งจึงจะสามารถเป็นอิสระจากกรงภายในจิตใจตัวเองที่ชิงหลงเป็นคนสร้างขึ้นได้

   ในตอนแรก คิมหันต์คือที่พึ่งพิงซึ่งทำให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกว่ามีคนร่วมชะตากรรม และเป็นเพื่อนที่คอยดูแล แต่ชิงหลงก็ได้พรากเขาไปด้วยทำให้เซินหมิงเฟิ่งโดดเดี่ยวในโลกนี้

   ซึ่งในตอนนี้ เซินหมิงเฟิ่งยังไม่รับรู้ถึงข้อเท็จจริงนั้น...

   เขาคิดว่ามันเป็นแค่ผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ทำให้สะเทือนใจ และอีกไม่นานเขาคงจะหายจากความรู้สึกแบบนี้ไปเอง

   ชิงหลงมองเซินหมิงเฟิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนลุกจากเก้าอี้ไปที่โต๊ะซึ่งชุดหมากรุกวางอยู่ เขายกมันมาวางที่โต๊ะระหว่างโซฟาสองตัว เซินหมิงเฟิ่งจึงเงยหน้าขึ้นมามองสิ่งที่เขาทำ

   “การเล่นหมากรุกเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ลืมเรื่องร้าย ๆ ได้ เพราะมันทำให้มีสมาธิมากขึ้นและจดจ่ออยู่กับการวางแผนที่ซับซ้อน ผมคิดว่าได้ผลมากกว่าของมึนเมาทุกชนิด” ราวกับการโฆษณาชวนเชื่อ แต่ถ้อยคำและน้ำเสียงของชิงหลงมักจะชักชวนให้ผู้คนคล้อยตามได้เสมอ

   เซินหมิงเฟิ่งยืดตัวขึ้นแล้วค่อย ๆ หยิบตัวหมากขึ้นมาวาง

   “อย่าลืมสัญญาที่ว่าจะออมมือให้ผมแล้วกัน”

   “ผมไม่ได้ความจำสั้นขนาดนั้น” ชิงหลงกล่าวตอบ

   แล้วพวกเขาทั้งสอง ก็เริ่มใช้เวลาที่เหลือหลังจากนั้นไปกับการเล่นหมากรุกฆ่าเวลาที่ค่อย ๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนน่าเบื่อของวันอันน่าอึดอัด

--------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 18 (14/06/12)
«ตอบ #158 เมื่อ17-06-2012 19:57:33 »

   กระดานหมาก ก็เหมือนกับชีวิตคน มีทางให้เลือกเดินมากมาย แต่ละทางเช่นเดียวกับหมากแต่ละตัว เงื่อนไขบนเส้นทางนั้นมีแตกต่างกัน อาจจะเดินได้แสนไกล อาจจะเคลื่อนไหวได้เพียงสั้น ๆ แต่ทุกก้าวเดินล้วนแต่มีความหมายในตัวของมัน และแม้จะเป็นตัวหมากที่ดูไม่มีความสำคัญ ในความเป็นจริงแล้ว มันอาจสามารถพิชิตเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ได้ด้วยแผนการอันแยบยล

   ผู้คนจำนวนมากในโลกนี้ เปรียบเสมือนตัวหมากที่เดินอย่างไรทิศทาง ไร้ผู้กำกับอย่างถูกต้อง หรือไม่ก็เดินตามแบบแผนอันเรียบง่ายที่ถูกวางไว้ในตำรา ทำให้สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ถูกแบ่งอย่างง่าย ๆ เป็นสองแบบ นั่นคือ คนที่ไม่ยอมถูกกำกับและคนที่ยอมถูกกำกับ คนที่ไม่ยอมถูกกำกับจะกลายเป็นคนนอกคอก และถูกกีดกันด้วยวิถีประชา นำไปสู่การรวมกลุ่มคนแบบเดียวกันเพื่อให้กำเนิดทางเดินแบบใหม่ในกระดานหมาก ส่วนอีกพวกคือคนที่ถูกกำกับไว้ตามแบบแผน ชีวิตอันจืดจางไร้สีสัน เกิดและตายด้วยการถูกวางทางเดินเอาไว้ทุกก้าวอยู่ร่ำไป ชีวิตคนเรามักจะต้องเลือกเสมอว่าจะเป็นคนแบบไหน

   ลิขิตชีวิตตัวเองเพื่อไปสู่จุดหมายที่ปรารถนา หรือปล่อยให้ผู้อื่นลิขิตและไปสู่จุดหมายในแบบที่ผู้อื่นต้องการ

   การจะเลือกได้นั้นคงต้องตระหนักเสียก่อนว่า ชีวิตเราเป็นของใคร

   ของพ่อแม่ เพื่อน พี่น้อง ครูอาจารย์ หรือตัวเราเอง

   ทว่า จากจำนวนมนุษย์ทั้งหมด ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เกิดขึ้นมาและถูกสั่งสอนเป็นอีกแบบ ไม่ใช่เพื่อเป็นตัวหมาก แต่เป็นผู้ควบคุมกระดาน

   ตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น....

   เขาเกิดมาเพื่อเป็นผู้ควบคุม เป็นผู้กำหนดทางเดินให้กับหมากที่มีอยู่ในมือ ให้กับกระดานที่มีผู้เล่นอยู่มากมายบนนั้น แต่ในขณะเดียวกัน เขาเองก็เป็นหมากบนกระดานของใครอีกคนเช่นกัน ของผู้ที่เลี้ยงเขาขึ้นมา ของกฎในโลกที่เขาเติบโตมา

   และเขาก็ต้องเลือกว่าจะเดินตามแบบแผนเดิม หรือสร้างหนทางใหม่ขึ้น....

   หมากแต่ละตัวกำลังเดินไป มือของเขาโยกตัวหมากหลบเลี่ยงการปะทะในบางครั้งและเผชิญหน้าในบางครั้ง นั่นเป็นนิสัยส่วนตัวของเขาหรือเปล่านะ

   เสียงเคาะตัวหมากบนกระดานดังกึก ๆ เป็นช่วงไม่ถี่นัก หมากขาวและดำไม่ค่อยจะมีโอกาสปะทะโดยตรงเท่าไหร่เพราะเขาเป็นคนควบคุมทั้งสองฝั่ง เวลาเขาเล่นกับตนเองมักเป็นเช่นนี้เสมอ ถึงจะพยายามเอาชนะแต่ก็อดจะคิดเอาชนะโดยหลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรงเสียทุกทีไป เพราะอย่างนั้นกระดานของเขาจึงมักกลายเป็นเกมไล่จับคิงสองฝั่งไปเสียทุกคราว จนถึงตอนนี้ เมื่อต้องเล่นหมากรุกคนเดียวทีไร เขาก็ต้องกำหนดกฎให้ตัวเองข้อหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้เกมมีจุดจบที่ไม่ช้าเกินไปนัก

   การห้ามขยับคิงอย่างเด็ดขาด

   อย่างนี้ก็ขึ้นกับว่าหมากตัวไหนจะไปถึงคิงก่อนเท่านั้น

   ในบางครั้ง ชีวิตเราก็ต้องวิ่งแข่งเพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง....

   มันฟังดูเหมือนเรื่องไร้สาระสำหรับคนแบบเขา เพราะแต่ไหนแต่ไรมา เขาไม่เคยจำเป็นต้องแข่งขันกับใครอย่างจริงจัง แต่เพียงได้ยินชื่อ ทุกคนก็พร้อมหลีกทางให้อย่างไม่มีข้อกังขา เขาจึงสามารถได้ทุกอย่างที่ต้องการมาโดยง่าย และแล้วเขาก็พบสิ่งหนึ่ง....สิ่งที่เขาปรารถนา แต่ไม่มีวันจะได้มาครอบครอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากจะได้ และกำลังเดินไปให้ถึงคิงตัวนั้น...ที่ไม่ได้ขยับหนีไปไหน

   “การรอผมมันน่าเบื่อขนาดนั้นเลยหรือ?” ชายหนุ่มคนหนึ่งชะโงกหน้าเข้ามาที่กระดานหมาก มองดูเกมวิ่งแข่งระหว่างตัวหมากสองฝั่งที่แทบจะไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น เรือนผมสีขาวเลื่อนลงมาปรกบนใบหน้าเสี้ยวหนึ่งส่งให้ใบหน้านั้นดูซุกซนขึ้นกว่ายามปกติ แต่เขาเหลือบมองเสี้ยวหน้าในอารมณ์เช่นนั้นได้ไม่นาน เจ้าของเรือนผมก็เสยมันกลับขึ้นไปรวมกับผมเส้นอื่น ๆ

   “ผมชินแล้วกับการรอคอย” เขาตอบกลับไปพลางเลื่อนตัวหมาก

   ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวหัวเราะในคอก่อนจะเดินไปนั่งที่ฝั่งตรงข้าม โยนเสื้อสูทไปที่เก้าอี้อีกตัว แล้วเท้าคางมองกระดานด้วยสายตาขบขัน

   การเล่นหมากรุกแบบนี้เป็นวิธีเล่นที่แปลกตาดีแท้

   เสมือนเขาจะรู้ความคิดอีกฝ่ายได้จากแววตา จึงรวบตัวหมากทั้งหมดลงจากกระดานแล้วใส่ในกล่องบรรจุที่ทำจากไม้อย่างดี

   “ว้า ทำไมเลิกเล่นเสียล่ะ ผมกำลังสนุกอยู่เลย” ชายหนุ่มผู้มาใหม่กล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดมเสียดายอย่างสุดซึ้ง แต่ใบริมฝีปากนั้นยังประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่เป็นแบบฉบับ

   “เพราะผมไม่อยากให้คุณสนุกกับของแบบนี้มากเกินไปน่ะสิครับ ไป๋หู่” เขาตอบกลับไปพลางแย้มรอยยิ้มแล้วยกกระดานหมากไปวางบนชั้น “อีกอย่าง ผมเล่นมาหลายกระดานแล้ว ผมเลยเริ่มจะเบื่อขึ้นมานิดหน่อย แถมมองยังไงก็รู้สึกว่าฝั่งขาวน่าจะถึงคิงก่อนฝั่งดำ”

   ไป๋หู่ฟังแล้วก็หัวเราะออกมา

   “หลางเมี่ยวเจิน คุณน่ะหวงตัวหมากมากเกินไป”

   เจ้าของนามหลางเมี่ยวเจินเลิกคิ้วน้อย ๆ แต่ก็ยังเงียบฟังสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะพูดโดยไม่โต้แย้งอะไรในทันที

   “ถึงคุณจะเปลี่ยนเกมหมากรุกกลายเป็นเกมวิ่งแข่งก็เถอะ แต่ในการแข่งขันทุกอย่างต้องเกิดการปะทะขึ้นอยู่แล้ว คุณกลับหลีกเลี่ยงมันเสียหมดมันถึงได้เป็นแบบนั้น แต่ลองคิดดูสิ” ไป๋หู่เว้นจังหวะไปเล็กน้อยแล้วยิ้มกว้างขึ้น “ในขณะที่ฝั่งขาวคิดแต่จะไปถึงเส้นชัยและไม่คิดปะทะกับฝ่ายดำเพื่อรักษากำลังของตนเอง ถ้าฝ่ายดำรู้ชัดเจนว่าตนเองกำลังจะแพ้ จะไม่ตอบโต้ด้วยกำลังเพื่อให้หนึ่งในพวกตนไปถึงเส้นชัยก่อนแม้จะต้องเสียเลือดเนื้อหรือ? แล้วถ้าฝ่ายดำเกิดคิดขึ้นมาเช่นนั้น ผลแพ้ชนะก็จะพลิกกระดานทันที”

   “แต่ฝ่ายดำอาจจะคิดว่า ถึงแพ้ก็ช่างปะไร หากยังมีกำลังเหลืออยู่ วันหน้าค่อยเอาคืนก็ยังไม่สาย ก็มีความเป็นไปได้นะครับ” หลางเมี่ยวเจินโต้แย้งแล้วเดินกลับมาที่โต๊ะ

   “แล้วถ้าหากของสิ่งนั้นเป็นของที่เมื่อเสียไปแล้วไม่อาจเอาคืนมาได้ล่ะ?” ในขณะที่พูดเช่นนั้น นัยน์ตาของไป๋หู่ก็เป็นประกายวาววับขึ้นมา “เมื่อของสิ่งนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และไม่อาจกลับคืนมาได้เป็นครั้งที่สอง คุณจะไม่ทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อเอามันมาครอบครองหรอกหรือ?”

   “ถ้าเป็นแบบนั้น ก็อาจจะต้องเป็นแบบที่คุณว่า” หลางเมี่ยวเจินกลอกตา ไม่รู้ว่าจะแย้งประเด็นนี้อย่างไร แต่เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าชีวิตของเขามีของที่อยากได้ถึงขนาดนั้นอยู่จริงหรือไม่ แม้แต่ของที่อยากได้ในปัจจุบันนี้ เขาก็ไม่ได้ต้องการถึงกับยอมเสียสละทุก ๆ อย่างเพื่อให้ได้มา การที่เขาจะยอมเสียอะไรย่อมต้องได้ผลตอบแทนเป็นตัวเป็นตนนั่นแหละถึงจะยอมเสีย

   เขาไม่ใช่ประเภทชอบเสี่ยงอย่างไร้สมองเสียหน่อย

   ในขณะที่กำลังคิดอยู่ มือของเขาก็ถูกฉุดดึงทำให้เสียหลักล้มลงไปนั่งบนตักของไป๋หู่อย่างพอดิบพอดี
   “ได้ยินว่าคุณไปพบคุณหนูมินาโมโตะมา เธอเป็นยังไงบ้าง?”

   “ต่อหน้าผมยังพูดถึงผู้หญิงคนอื่นแบบนี้ มันน่าตีนักนะครับ” หลางเมี่ยวเจินพูดกลับไปด้วยอารมณ์หมั่นไส้พลางหัวเราะเบา ๆ แล้วจึงพูดต่อ “คุณก็เคยเห็นเธอแล้ว อย่างที่เขาว่ากันเธอดูสวยไปทุกมุมมองแล้วยังฉลาดเฉลียว แต่ว่าน่าเสียดายที่เป็นคู่หมั้นของจูเชว่ คุณคงต้องอกหักเสียแล้ว”

   ไป๋หู่หัวเราะกับถ้อยคำนั้น

   “คงแปลกหากพยัคฆ์จะหลงรักพวงผกา” เขาพูดเปรียบเปรยติดตลก “แต่ยังไงก็ตาม คุณหนูมินาโมโตะเป็นเหยื่อที่ควรค่า”

   ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่บอบบางราวกับกลีบดอกไม้กลับหาญกล้าลุกขึ้นมายืนอยู่ต่อหน้าชายชาตรีอย่างไม่เกรงกลัว มีหรือที่เขาจะไม่สนใจคนเช่นนี้

   “คุณจะเล่นเกมกับเธอหรือ?” หลางเมี่ยวเจินเลิกคิ้ว

   “ทำไมจะไม่ล่ะ? คุณหนูมินาโมโตะอุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจถึงขนาดนั้น ผมทำให้เธอเสียความตั้งใจไม่ได้หรอก” ไป๋หู่ว่าพลางยันศอกกับที่พักแขนแล้วเท้าคางลงไป “เมื่อมีผู้เสมอมา ผมก็ต้องสนองกลับไป ไม่อย่างนั้นจูเชว่คงจะรู้สึกผิดแผนไม่น้อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นกับคุณหนูมินาโมโตะที่จะมาถึงตัวผมได้หรือเปล่า การที่จูเชว่เลือกคุณหนูมินาโมโตะ ผมเชื่อว่าสายตาของเขายังคงเฉียบคม”

   หลางเมี่ยวเจินหวนคิดถึงซากุระที่ได้พบกันเมื่อไม่กี่วันก่อน และที่พบในวันหมั้นของเซินหมิงเฟิ่ง แน่นอน ในความรู้สึกของเขาเธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและเก่งกาจ อีกทั้งยังพร้อมทั้งรูปทั้งทรัพย์ เรียกว่าแทบจะไม่มีที่ติ ผู้หญิงที่ฉลาดถึงขนาดนั้นจะไม่รู้ตัวเลยหรือว่าตัวเองกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือ ถ้าหากทุ่มเทให้ถึงขนาดนี้โดยไม่รู้ตัว บางทีเขาอาจจะประเมินค่าผู้หญิงคนนี้สูงเกินไป

   “จูเชว่อาจจะตาฝ้าฟางกว่าที่คิด” เขาส่ายศีรษะเหมือนไม่ค่อยจะเชื่อวิจารณญาณของไป๋หู่นัก

   “เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ เพราะตอนนี้ผมยังมีเกมที่น่าสนใจกว่าอยู่ตรงหน้า” ไป๋หู่พูดขัดแล้วดึงหลางเมี่ยวเจินเข้ามากอด มือของเขาไต่ไปตามหน้าขาและเลื่อนไปยังขอบกางเกง

   “แล้วคุณจะสนใจเกมของผมไปถึงเมื่อไหร่ล่ะครับ?” หลางเมี่ยวเจินไม่ได้ขัดขืนการกระทำของไป๋หู่แต่อย่างใด แม้จะพูดเช่นนั้น ริมฝีปากของเขาก็ยังคงประดับด้วยรอยยิ้มท้าทายก่อนจะเลื่อนมือไปหยุดยื้อความซุกซนของอีกฝ่ายไว้ “ผมขอสถานที่ที่สะดวกสบายกว่านี้หน่อยจะได้ไหม? คุณก็น่าจะรู้ว่าบนเก้าอี้แบบนี้ถ้าเลอะเทอะขึ้นมา แม่บ้านของคุณนั่นแหละจะลำบาก”

   “ตามต้องการเลย” ไป๋หู่ตอบรับก่อนจะอุ้มหลางเมี่ยวเจินขึ้นด้วยแขนทั้งสองข้างแล้วสาวเท้าเร็ว ๆ เดินเข้าห้องนอนไป

   ก่อนประตูห้องจะปิดลง หลางเมี่ยวเจินชะโงกใบหน้าเข้าหาแล้วจูบบนริมฝีปากชายหนุ่มผมขาวครั้งหนึ่งอย่างดูดดื่ม

   ชีวิตของพวกเขาคือเกมกระดาน ตัวหมากแต่ละตัวคือเส้นทางที่ต้องเดินไป จะแพ้หรือชนะ เส้นทางที่เลือกคือตัวตัดสิน หมากกระดานของพวกเขา ไม่ใช่เพียงเป็นผู้ควบคุมเหนือกระดาน ทว่าในหลาย ๆ ครั้ง...การจะนำมาซึ้งชัยชนะก็จำเป็นต้องพาตัวเองลงไปเล่นในเกมด้วยเช่นกัน

TBC

ออฟไลน์ ployspy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 18 (14/06/12)
«ตอบ #159 เมื่อ17-06-2012 20:24:45 »

ก๊ากๆๆๆๆ   :laugh: :laugh: :laugh:  ในที่สุดก็มาเป็นคนแรก

นับวันยิ่งงงเข้าไปใหญว่าอิตาชินหลงมีอะไรกับจูเช่วนักหน่า :m16: :m16: :m16:

รีบมาต่อไวไวนะค่ะ  :L2: :L2: :L2: :L2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 18 (14/06/12)
« ตอบ #159 เมื่อ: 17-06-2012 20:24:45 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 18 (14/06/12)
«ตอบ #160 เมื่อ17-06-2012 21:22:14 »

อ่านเท่านั้นถึงจะรู้แจ้ง แถลงไข เดาบ่ออก ชิงหลงใจร้ายกับเซินจัง

ออฟไลน์ ตัวเลข

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 18 (14/06/12)
«ตอบ #161 เมื่อ17-06-2012 22:36:12 »

อยากรู้จังว่าถ้าหมิงเฟิ่งรู้ว่าทั้งหมดนั้น เป็นเพราะชิงหลงวางแผนเอาไว้ หมิงเฟิ่งจะรู้สึกอย่างไร

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 18 (14/06/12)
«ตอบ #162 เมื่อ21-06-2012 00:31:37 »

ชิงหลงเข้ามานั่งด้วยทำไม วางแผนอะไรไว้อีก ตอนแรกเหมือนจะมีสีชมพูบางๆ ไปๆมาๆดำทะมึนอีกแล้ว จะรอดไหมสองคนนี้  :เฮ้อ:
เมี่ยวเจินกับไป๋หู่ เอ่อ ไม่รู้ว่าแบบนี้เรียกว่าหวานกันรึเปล่านะ แลดูมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องพิกล  :a5:

รอตอนหน้าค่ะ  o13

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
«ตอบ #163 เมื่อ21-06-2012 14:36:37 »

-19-


   “ไง น่าแปลกนะที่นายมาหาฉันถึงที่น่ะเวย์” โจเซยิ้มถามอย่างแปลกใจเมื่อพบหน้าอีกฝ่าย ทั้งที่ปกติชิงหลงจะมาหาก็ต่อเมื่อมีแผนการจะทำอะไรบางอย่างหรือมีเรื่องปรึกษาเกี่ยวกับธุรกิจเท่านั้น แต่เท่าที่เขารู้ ในตอนนี้ธุรกิจที่ชิงหลงถือหุ้นอยู่ดำเนินไปด้วยดีในชื่อของ มาเรีย มอเรสซาเร ผู้เป็นแม่ ซึ่งตอนนี้อาศัยอยู่ในฮ่องกงและไม่ได้เดินทางมาด้วยในครั้งนี้ เป็นเหตุให้อเล็กซานโดรตัดพ้อหลานชายตัวเองอยู่

   “ก็แค่มาดูความเรียบร้อย เผื่อว่านายจะไม่ถูกใจของขวัญ” ชิงหลงถือวิสาสะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงาน “วันนี้ไม่อยู่หรือ?”

   “อ้อ เอสตาเต” โจเซหัวเราะเมื่อนึกถึงใบหน้าแสดงความไม่พึงพอใจนักเมื่อเขาเรียกชื่อนี้บ่อยเข้าโดยไม่ยอมเรียกชื่อจริง ๆ

   ช่วยไม่ได้ ก็มันสะดวกปากเขามากกว่า

   “อีกเดี๋ยวคงมา เห็นว่าไปหาอะไรใส่ท้องอยู่ นี่ก็บ่ายกว่าแล้วนี่นะ” ชายหนุ่มว่าพลางมองนาฬิกาข้อมือเรือนเรียบหรู “แล้วนายกินอะไรมาหรือยัง?”

   “เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะออกมาเสียอีก”

   หลังสิ้นเสียงชิงหลง ประตูก็เปิดออกพร้อมคิมหันต์ที่เดินเข้ามากับเพื่อนการ์ดอีก 2 คน พวกเขาไม่ได้คุยอะไรกันเมื่อเข้ามาถึงในห้อง แต่สีหน้าบ่งบอกว่าพวกเขาสนทนากันมาจนถึงเมื่อครู่และท่าทางจะถูกคอกันดี ถึงแม้คิมหันต์จะเป็ฯคนเงียบเฉยแต่ถ้ามีคนเต็มใจผูกสัมพันธ์ด้วยเจ้าตัวก็ไม่เคยนึกขัดใจ

   เมื่อเข้ามาแล้ว คิมหันต์ก็เงยหน้าขึ้นก่อนจะตกใจนิดหน่อยที่เห็นเจ้านายเก่านั่งอยู่ในห้อง

   “ท่านชิงหลง” เขาค้อมศีรษะให้อย่างที่เคยทำ

   “ดูเหมือนคุณจะยังสุขสบายดีสินะ” ชิงหลงทักทายลูกน้องเก่าด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ไม่ได้แสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยเหมือนกับคำถาม กระนั้นน้ำเสียงก็ยังบ่งบอกว่าเจ้าตัวต้องการคำตอบ นั่นหมายถึงความเอาใจใส่ในรูปแบบของเขาที่ไม่ค่อยจะมีใครเข้าใจนัก

   “ผมสบายดีครับ ดอนมอเรสซาเรดูแลผมอย่างดี” คิมหันต์ตอบพลางเลื่อนสายตาไปมองผู้ชายอีกคนซึ่งกำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

   หากจะให้เขาพูดตามจริง เขารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้กำลังมีความสุขที่ได้เห็นเขาหงุดหงิดมากกว่า

   ในระหว่างที่เขากำลังคิดอยู่นั้น ประตูก็พลันเปิดออก

   “บอส จะถึงเวลานัด.....” เซซิลิโอที่เข้ามาอย่างกะทันหันก็ต้องเบรกอย่างกะทันหันเช่นกัน “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่ทราบว่าบอสมีแขก” เขามองชิงหลงด้วยสายตาฉงน เพราะอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในตารางนัดของเขาแปลว่าไม่ได้นัดล่วงหน้า แต่คิดดูอีกทีแล้ว ผู้ชายคนนี้ก็ไม่เคยนัดล่วงหน้าผ่านเขาสักครั้ง เมื่อคิดได้ดังนั้น ความสงสัยก็หายไปจากแววตาของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นมือขวาและเลขาไปพร้อม ๆ กัน

   “ไม่เป็นไร ว่าแต่ จะถึงเวลาแล้วสินะ” โจเซยกนาฬิกาขึ้นมองอีกครั้งแล้วลุกขึ้น “เอาล่ะ ฉันต้องไปข้างนอกก่อน คงจะกลับเย็น ๆ ถ้านายมีอะไรไม่สำคัญจะเขียนโน้ตเอาไว้บนโต๊ะฉันก็ได้ แต่ถ้าสำคัญก็เดี๋ยวเอาไว้คุยกันอีกที ระหว่างนี้ฉันจะให้คิมหันต์อยู่เป็นเพื่อนก็แล้วกัน” เขาพูดจบก็เดินไปรับเสื้อนอกจากเซซิลิโอแล้วเดินออกไปพร้อมกับการ์ดคนอื่น ๆ เหลือแต่เพียงคิมหันต์และชิงหลงอยู่ในห้องสองคน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วโจเซน่าจะคิดว่าชิงหลงคงจะกลับไปเลย ไม่มีความจำเป็นต้องทิ้งคิมหันต์ไว้ดูแล กระนั้น ด้วยความชำนาญในการอ่านอารมณ์ญาติผู้น้อง โจเซจึงรู้ได้โดยทันทีว่าทั้งสองคงมีอะไรต้องคุยกันตามลำพัง

   หลังจากทุกคนออกไปจากห้องแล้ว ชิงหลงก็หมุนเก้าอี้มาทางคิมหันต์ซึ่งยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเพราะไม่มีคำสั่งให้เขาไปอยู่ ณ จุดใดเป็นพิเศษ

   “คุณรู้ใช่ไหมว่าผมส่งคุณมาเพื่ออะไร”

   “...ครับ ผมทราบดี” คิมหันต์ตอบ “แน่ใจหรือครับว่าไม่ต้องการให้ผมทำมากกว่านั้น เพื่อท่านชิงหลงแล้วถึงผมจะต้องเสี่ยงชีวิตกับคนของมอเรสซาเรผมก็ยินดี” เพราะรู้ว่าในห้องของโจเซไม่มีการติดเครื่องดักฟังใด ๆ แน่นอน เขาจึงกล้าพูดออกมาตรง ๆ แบบนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาไม่ถนัดพูดให้คนอื่นจับใจความเอาเองเหมือนที่ชิงหลงและคนอื่น ๆ ชำนาญด้วย

   “ผมไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้น” ชิงหลงกล่าว มอเรสซาเรนั้นเขาไม่ได้ต้องการจะครอบครอง เพราะฐานอำนาจอยู่ถึงอิตาลีในขณะที่เขามีหน้าที่ของตัวเองในฮ่องกง อีกทั้งมอเรสซาเรก็เป็นเสมือนครอบครัวของเขา ถึงเขาจะเลือดเย็นขนาดหักหลังคนใกล้ชิดได้ในภาวะหรือเหตุการณ์ที่มีความจำเป็นจริง ๆ แต่กับครอบครัวถือเป็นสิ่งที่เขายกเว้นให้ในทุกกรณี

   “ผม...คงจะไม่มีโอกาสกลับไปรับใช้ท่านชิงหลงอีกแล้วใช่ไหมครับ” เสียงของคิมหันต์ฟังดูคล้ายกำลังน้อยใจอยู่มาก ก็ไม่น่าแปลก เพราะตลอดสิบกว่าปีที่อยู่กับจูเชว่ เจ้าตัวพยายามทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้กลับมาอยู่ข้างกายเขาอีกครั้ง

   “จนถึงตอนนี้คุณก็ยังทำงานให้ผมอยู่ ถึงจะเป็นคนของโจเซ แต่หากคุณทำงานได้ดี ผลพลอยได้ก็ตกอยู่กับผมด้วย นั่นถือว่าคุณกำลังรับใช้ผมเช่นกัน”

   ได้ยินเช่นนั้น ริมฝีปากคิมหันต์ก็คล้ายจะผุดรอยยิ้มขึ้นมาบาง ๆ

   “ขอบคุณมากครับ”

   ชิงหลงพยักหน้ารับเงียบ ๆ แล้วลุกขึ้นยืน

   “เอ่อ....” คิมหันต์ส่งเสียงขึ้นมาเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่กล้าพูดออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยตรง

   “มีอะไรหรือ?”

   คิมหันต์ได้ยินเสียงถามก็แสดงท่าทางไม่แน่ใจ

   “เรื่องคุณเซิน....”

   “ผมกำลังฟัง” ชิงหลงตอบรับให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาอนุญาตให้พูดได้ตามสบาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าควรจะพูดอะไรขัดหูขัดใจเขา

   “ผมไม่ใช่คนฉลาดเท่าไหร่ อาจจะไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก แต่ว่า...ผมคอยดูแลคุณเซินมาตั้งแต่ยังเด็ก เหมือนกับที่ผมเคยอยู่ข้าง ๆ ท่านชิงหลงเมื่อยังอายุน้อย ความผูกพันที่ผมมีให้คุณเซินไม่น้อยไปกว่าท่านชิงหลงเลย เรื่องนี้ หากทำให้ท่านชิงหลงขุ่นเคืองผมก็ขอยอมรับผิดทุกอย่าง” คิมหันต์พูดอย่างช้า ๆ โดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง กระนั้นขิงหลงก็ไม่ได้ตอบรับอะไรมากกว่านั้น เพียงแค่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ เขาจึงค่อย ๆ พูดต่อ “ผมรู้สึกเป็นห่วง...คุณเซินที่ต้องอยู่เพียงลำพังโดยไม่มีผม...”

   “คุณไม่ต้องเป็นห่วง ผมมีทางจัดการของผมอยู่แล้ว” ชิงหลงพอจะสรุปใจความที่อีกฝ่ายต้องการสื่อได้คร่าว ๆ ถึงจะยืดเยื้อไปสักนิดก็ตาม

   “ท่านชิงหลง” คิมหันต์เอ่ยเรียกอีกครั้งก่อนอีกฝ่ายจะเดินผ่านเขาไป “ถ้าเกิดต้องทำอะไรร้ายแรงจริง ๆ ก็...อย่าทำให้คุณเซินทรมานมากนะครับ”

   ชิงหลงเลื่อนสายตากลับมามองลูกน้องเก่าที่คล้ายจะกำลังเว้าวอนเขาด้วยสายตาของลูกสุนัขตัวน้อย ๆ ที่น่าสงสาร

   “ผมหวังว่า ‘อะไรร้ายแรง’  ที่คุณว่าจะไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น”

-------------------------->

   วันนี้ชิงหลงออกไปข้างนอกหลังอาหารเที่ยง ทำให้เซินหมิงเฟิ่งไม่มีเพื่อนคุยหรือเล่นหมากรุกด้วย เขาเองก็ไม่ถนัดจะเล่นคนเดียวทำให้เวลาที่ผ่านมาน่าเบื่อกว่าเดิม แต่ก็ยังถือว่าโชคดีเมื่อเขาพบของแก้เวลาชิ้นใหม่ นั่นคือเด็กตัวเล็กที่วัยเพียงขวบปีกว่า ๆ

   ภรรยาสาวของการ์ดชาวอิตาลีที่โจเซส่งมาให้ดูแลความเรียบร้อยพาลูกชายมาเยี่ยมพ่อที่ทำงานทั้งวันทั้งคืนไม่ได้กลับบ้านพักผ่อน

   ตอนแรกเขาก็นึกตำหนิภรรยาที่พาลูกมาดูเขาทำงาน ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้ภูมิใจกับงานที่ทำนัก อย่างน้อยก็ไม่ภูมิใจพอที่จะเล่าให้ครอบครัวฟัง แต่อาจภูมิใจในหน้าที่การงานโดยส่วนตัว กระนั้นก็ไม่อยากจะให้ลูกชายเจริญรอยตามแม้แต่น้อย

   เรื่องราวทั้งหมดนี้เซินหมิงเฟิ่งไม่ได้เป็นผู้เห็นเหตุการณ์เพราะคนนอกไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาได้ตามใจชอบ การ์ดคนดังกล่าวจึงไปพบภรรยาที่ล็อบบี้ และบังเอิญว่าตรงกับเวลาที่ชิงหลงจะไปหาโจเซพอดี เขาไปเห็นเหตุการณ์จึงนึกขึ้นมาได้และขอยืมตัวเด็กชายไว้สักพักเพื่อให้มาอยู่เป็นเพื่อนเซินหมิงเฟิ่ง ส่วนตัวภรรยาเขาขอให้ไปนั่งรอที่ร้านอาหารของโรงแรมและเป็นคนจ่ายค่าอาหารทั้งหมดให้ ในตอนแรกฝ่ายสามีไม่เต็มใจเท่าไหร่เพราะรู้สึกเกรงอกเกรงใจ แต่สิ่งที่ชิงหลงตัดสินใจไปแล้วย่อมยากจะมีคนทัดทานได้

   และด้วยเหตุนี้เอง เซินหมิงเฟิ่งจึงเพิ่งมีโอกาสได้เลี้ยงเด็กตัวเล็ก ๆ เป็นครั้งแรกนับจากที่น้อง ๆ ต่างพ่อของเขาเติบโตขึ้นจนเขาอุ้มไม่ไหวแล้ว

   เด็กชายตัวน้อยกำลังอยู่ในวัยน่ากอดน่าฟัด ทั้งซนและช่างพูดจ้อย ๆ แม้จะพูดไม่ค่อยรู้เรื่องก็ตาม แน่นอนว่าเด็กน้อยพูดได้แต่ภาษาอิตาเลี่ยน นั่นทำให้การสื่อสารระหว่างพวกเขาเป็นเรื่องลำบากในช่วงแรก ๆ แต่เมื่อสังเกตภาษากาย เซินหมิงเฟิ่งก็พบว่าเด็กจะมีภาษากายคล้าย ๆ กัน

   “ตอนแรกฉันนึกว่าแกเป็นลูกลับ ๆ ของชิงหลงเสียอีกนะเจ้าหนู” เขาพึมพำกับเด็กชายที่นอนกลิ้งเล่นบนพื้นพลางนึกขำตัวเอง

   ก็ใครเล่าจะไม่คิดแบบนั้น อยู่ ๆ ก็อุ้มเด็กคนหนึ่งขึ้นมาบนห้องแล้วบอกว่าฝากดูแลสักพัก ในวินาทีนั้นเขาถามตัวเองแทบไม่ทันว่าอีกฝ่ายกับเด็กคนนี้มีอะไรเหมือนกันหรือเปล่า แต่พอเขามองดี ๆ แล้วก็พบว่าไม่มีเค้าหน้าเหมือนกันสักนิด กอปรกับครู่ต่อมา พ่อตัวจริงของเด็กก็เข้ามาพูดฝากฝังอย่างเกรงอกเกรงใจแล้วรีบรุดตามชิงหลงออกไป เขาจึงเพิ่งถึงบางอ้อว่ามันเป็นมาแบบนี้นี่เอง

   เจ้าเด็กแสนซนคลานเล่นบนพื้นสักพักก็ลุกขึ้นก้าวเร็ว ๆ ไปที่โต๊ะ คว้าจับตัวหมากได้ตัวหนึ่งก็จัดแจงจะโยนใส่ปาก เซินหมิงเฟิ่งที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ตาลีตาลานวิ่งไปจับตัวแทบไม่ทัน

   ทำไมเด็กตัวเล็ก ๆ ถึงทำอะไรได้เร็วขนาดนี้นะ

   “นี่น่ะมันอมเล่นไม่ได้นะเจ้าหนู” เขาดึงตัวหมากรุกออก ทำให้เด็กน้อยที่โดนแย่งของเล่นไปร้องไห้โยเยจะคว้าคืนมาให้ได้

   เซินหมิงเฟิ่งมองไปรอบตัว นึกไม่ออกว่าจะเอาอะไรมาให้เด็กเล่นแทนตัวหมากรุกแข็ง ๆ และพร้อมจะเข้าไปติดคอได้ทุกเมื่อ ในที่สุดสายตาของเขาก็กวาดไปเจอประตูห้องนอน ถ้าเล่นบนเตียงแล้วกันเอาไว้ไม่ให้ตกก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นได้

   เขาอุ้มเด็กน้อยที่กำลังงอแงได้ที่ไปที่เตียงพร้อมพูดปลอบไปด้วย ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายฟังไม่รู้เรื่องก็ตาม

   พอมาถึงเตียง เด็กชายก็หยุดร้องแล้วเริ่มมองสิ่งรอบตัวในสภาพแวดล้อมใหม่ด้วยสายตาสนอกสนใจ เตียงนุ่ม ๆ ไม่เหมือนที่เคยสัมผัสตอนอยู่ที่บ้าน ถึงเตียงที่บ้านจะอุ่น นุ่ม และสบาย แต่ก็ไม่ได้นุ่มจนแทบจะเด้งตัวลอยได้เหมือนกับที่นี่ เขาพยายามจะลุกขึ้นยืนแต่ความนิ่มของเตียงทำให้เขาเสียหลักลงไปนั่งเหมือนเดิม จึงต้องเคลื่อนไหวด้วยการคลานไปเรื่อย ๆ

   เซินหมิงเฟิ่งมองเด็กชายคลานไปบนเตียงแล้วหยิบหมอนข้างกับหมอนมากั้นขอบเตียงไว้ ส่วนตัวเขาก็นั่งมองพยายามไม่ให้คลาดสายตา

   เสียงเด็กชายร้องอ้อแอ้แบบขัดใจปนสนุกกับเตียงที่เหมือนจะเด้งขึ้นลงทุกครั้งที่ขยับตัวพาให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกสดชื่นไปด้วย เขาไม่ได้ฟังเสียงที่ไร้เดียงสาแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ พอมองเด็กตัวเล็ก ๆ แบบนี้แล้ว เขาก็พลันนึกถึงตัวเองที่อีกไม่นานจะต้องแต่งงานกับซากุระที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง ถ้าเขายังมีโอกาสได้กลับไป ณ จุดเดิมอีกครั้ง และเธอยังไม่หนีไปแต่งงานกับใครก่อน เขากับเธอคงจะได้มีลูกด้วยกันสักคนหรือสองคนเป็นอย่างน้อย เพราะเท่าที่มองดู ซากุระเป็นหญิงสาวสุขภาพแข็งแรงและอายุยังน้อย ตัวเขาเองก็ไม่ได้มีโรคภัยเบียดเบียน ครอบครัวพวกเขาก็ไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ คงจะไม่อับโชคเรื่องผู้สืบสกุลเหมือนกับพ่อเขาแน่ ๆ

   แต่ว่าทำไมกันนะ เขาถึงนึกภาพตัวเองกับซากุระในรูปแบบครอบครัวที่แสนสุขไม่ออกเลย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าทั้งเขาและเธอถูกจับคู่ด้วยเหตุผลทางธุรกิจก็เป็นได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็หวังว่าตนเองจะสามารถรักผู้หญิงคนนั้นในฐานะภรรยาได้ในสักวัน

   เซินหมิงเฟิ่งขยับทอดตัวลงนอนบนเตียงเมื่อเห็นเด็กชายเล่นมากไปจนเริ่มหาวก่อนจะคลานไปหาหมอนแล้วขดตัวลงนอน

   เครื่องปรับอากาศค่อนข้างเย็น เซินหมิงเฟิ่งจึงขยับผ้าห่มมาห่มให้พวกเขาทั้งคู่

   ออกจะไวเกินไปหน่อยสำหรับเวลานอน แต่พอเห็นเด็กจะนอนแล้ว เขาก็เกิดง่วงตามขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ เขาเกรงว่าหากหลับไปแล้ว เด็กชายจะตื่นขึ้นมาซุกซนจนตกเตียงไปโดยเขาห้ามไม่ทัน จึงฝืนหนังตาตนเองไว้และรอจนกระทั่งเด็กชายหลับสนิทไปแล้วจึงค่อยปรือตาลง

   หูของเขาแว่วเสียงประตูและเสียงโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะตามด้วยเสียงคนพูดจากห้องด้านนอก

   “เย็นนี้ผมสะดวกครับ”

   นั่นเสียงของชิงหลง เสียงแบบนั้นไม่มีใครเหมือนได้แน่นอน

   “ครับ ผมจะจัดการให้ แล้วพบกันครับ”

   บทสนทนาดำเนินไปไม่นานนัก เหมือนกับนิสัยที่เจ้าตัวมักแสดงออกคือไม่ชอบบทสนทนาที่ยืดเยื้อ ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเสียงชิงหลงก็เงียบไป สติของเซินหมิงเฟิ่งจึงขยับลงสู่การนิทราลึกยิ่งขึ้น แต่เขาก็ต้องสะดุ้งขึ้นมาอีกครั้งเมื่อชิงหลงเปิดประตูเข้ามาในห้องนอน ทุกอย่างเลือนรางและดูไม่เหมือนจริง คงเพราะเขาอยู่ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น ครั้นนึกจะลืมตาขึ้นก็ยากลำบากจนอยากจะทำเป็นหลับไปแล้ว

   ชิงหลงอุ้มเด็กชายที่กำลังหลับสนิทขึ้นอย่างเบามือ เซินหมิงเฟิ่งจึงปรือตาขึ้นมอง เห็นภาพชายหนุ่มที่กำลังอุ้มเด็กตัวน้อยอย่างทะนุถนอมในวงแขนด้วยสีหน้าอ่อนโยน ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายเย็นชาคนนั้นจะสามารถทำสีหน้าเช่นนี้ได้ และสามารถโอบอุ้มเด็กตัวเล็ก ๆ ได้โดยที่เจ้าตัวไม่ตื่นขึ้นมาเลย

   ชิงหลงหมุนตัวออกไปจากห้อง ท่าทางจะเอาเด็กไปคืนให้กับผู้เป็นแม่

   เซินหมิงเฟิ่งขยับลุกขึ้นจากเตียง รู้สึกมึนงงเล็ก ๆ เพราะพยายามพาตัวเองออกจากสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นที่ความจริงมากกว่าครึ่งเอนเอียงไปทางหลับมากกว่าตื่น

   เขาลุกไปเข้าห้องน้ำแล้วล้างหน้าก่อนจะได้ยินเสียงชิงหลงกลับเข้ามา

   “ทำธุระเสร็จเร็วนะครับ” เขาพูดออกมาจากห้องน้ำเมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้องนอน

   “ไม่ใช่เรื่องยากที่ต้องใช้เวลานานมากขนาดนั้น” เสียงของชิงหลงบ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่ได้เหน็ดเหนื่อยกับธุระที่เพิ่งไปทำมาเลย “คุณเซิน คุณอยากออกไปข้างนอกหรือเปล่า?”

   ข้างนอก?

   เซินหมิงเฟิ่งมุ่นคิ้ว ไม่คิดว่าคำนี้จะออกจากปากชิงหลงได้โดยที่เขาไม่ได้เอ่ยปากขอ

   “เพื่อให้ผมถูกลักพาตัวอีกรอบน่ะหรือครับ?” เขายังจำได้ดีถึงเรื่องที่ผ่านมาไม่นาน และเขาก็ไม่อยากจะเจอเหตุการณ์เดิมซ้ำสอง ไม่เอาอีกแน่ ๆ ในแผ่นดินที่ห่างไกลจากบ้านแบบนี้

   “ผมไม่ได้จะปล่อยคุณไปตามลำพัง ผมต้องไปด้วย”

   เซินหมิงเฟิ่งเยี่ยมหน้าออกมาจากห้องน้ำพลางมุ่นคิ้วก่อนเปิดออกแล้วเดินออกมา

   “หมายความว่ายังไงที่ว่า ‘ต้อง’ ?”

   “อเล็กซานโดร ตาของผมเชิญไปทานอาหารเย็น และเพราะเหตุลักพาตัวคราวก่อนทำให้เขารู้ว่าผมมีใครอีกคนแอบซ่อนไว้ไม่ให้เขารู้จัก เขาก็เลยอยากจะทำความรู้จักกับคุณขึ้นมา” คำพูดของชิงหลงเหมือนเจ้าตัวจะถูกตัดพ้อมาไม่น้อย ถึงได้จำยอมต้องตามใจญาติผู้ใหญ่ที่นาน ๆ จะได้พบกันสักครั้ง แต่เขาก็ดูจะไม่ได้เดือดร้อนอะไรที่จะแนะนำเซินหมิงเฟิ่งให้อเล็กซานโดรรู้จัก

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
«ตอบ #164 เมื่อ21-06-2012 14:37:05 »

   เซินหมิงเฟิ่งเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่า ญาติฝั่งแม่ของชิงหลงอยู่ที่นี่หมด จึงไม่น่าแปลกอะไรหากอีกฝ่ายจะต้องพบปะญาติผู้ใหญ่

   “เขาเชิญผม?” ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังแปลกใจที่ญาติชิงหลงเกิดอยากรู้จักเขาขึ้นมา

   “ใช่ ตามที่คุณเข้าใจ”

   “แต่ว่าผมไม่มีชุดอะไรเลย” เซินหมิงเฟิ่งมองสภาพตัวเองที่มีแต่เสื้อยืดกับกางเกงผ้าสบาย ๆ ที่ชิงหลงหามาให้ อย่างดีก็เสื้อยืดคอปกกับกางเกงยีนส์ที่เพิ่งจะถูกเอาไปซักอย่างหนักมาเนื่องจากเป็นชุดที่เขาใช้สวมออกไปในวันที่ถูกลักพาตัวไปขัง ทำให้มันเน่าจนเกินทน

   “เรื่องนั้นคุณไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ผมจัดการให้คุณได้” ชิงหลงไม่เห็นว่าปัญหาของเซินหมิงเฟิ่งจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร แค่สั่งไม่กี่คำ ของที่ต้องการก็มาถึงที่แล้ว “แล้วก็ยังมีเวลาให้คุณเตรียมใจอีก 2 ชั่วโมง ก่อนที่เราจะไปที่รถแล้วค่อยไปให้ถึงบ้าน”

   2 ชั่วโมง...

   ให้เวลาน้อยเกินไปหรือเปล่า...

   เซินหมิงเฟิ่งคิดอยู่ในใจ เพราะอเล็กซานโดรนั้นเป็นตาของชิงหลง หมายความว่าเป็นปู่ของโจเซ และเป็นดอนมอเรสซาเรรุ่นก่อน เจ้าพ่อมาเฟียอับดันต้น ๆ ของอิตาลีที่ใคร ๆ ก็ยำเกรงจะเป็นคนแบบไหน แค่คิดเขาก็ขนลุกซู่เมื่อในหัวผุดภาพชายวัยกลางคนมีหนวดเครารุงรังหน้าตาโหดเหี้ยม มีรอยแผลเป็นประดับเต็มใบหน้าเสมือนรางวัลเกียรติยศ และรอยยิ้มเลือดเย็นที่ติดบนริมฝีปากเหมือนสิงโตจ้องมองลูกแกะ

   สีหน้าของเซินหมิงเฟิ่งบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเจ้าตัวกำลังจิตนาการภาพอะไรอยู่ ชิงหลงที่มองเห็นก็ไม่คิดจะแก้ต่างใด ๆ

   “ถ้าอย่างนั้นผมจะให้เวลาคุณทำใจไปก่อนแล้วกัน” ว่าแล้วชิงหลงก็เดินออกไป

   เซินหมิงเฟิ่งได้ยินว่า ‘เวลาทำใจ’ ก็ยิ่งคิดถึงภาพที่น่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะรีบหยุดความคิดตัวเองลงแค่นั้นเมื่ออีกกระแสความคิดวิ่งเข้ามาแทนที่

   พ่อของเขากับชิงหลงก็เป็นมาเฟียเหมือนกัน ยังไม่ได้น่ากลัวถึงขนาดนั้น แม้แต่โจเซก็ไม่ได้น่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย

   โจเซกับชิงหลงก็เป็นหลานของอเล็กซานโดรทั้งคู่ หากเอาหน้าทั้งสองคนมาประสมกันจะได้ใบหน้าของอเล็กซานโดรหรือไม่นะ?

   คำถามนั้นเซินหมิงเฟิ่งทำได้แค่ถามกับตัวเอง เพราะอย่างไรเขาก็ต้องเห็นหน้าอเล็กซานโดรก่อนจึงจะได้ข้อสรุปที่แท้จริง

------------------------>

   ราว ๆ ชั่วโมงต่อมา ชุดก็มาส่งที่ห้อง เซินหมิงเฟิ่งเปิดถุงแล้วลองชุดอยู่หน้ากระจกด้วยความไม่คุ้นชิน เพราะมันเป็นชุดที่ดูเป็นทางการแบบที่เขาไม่ชอบสวมใส่นัก ที่เคยสวมหากไม่รวมตอนสมัยเด็กก็น่าจะเป็นตอนจบการศึกษากับตอนที่ไปงานหมั้นของตัวเองเท่านั้นกระมัง

   ชิงหลงเดินเข้ามาหลังจากได้เวลา 2 ชั่วโมงตามกำหนด

   “พร้อมจะไปหรือยัง?” เขาเอ่ยถามแล้วมองเซินหมิงเฟิ่งที่กำลังเซ็ตผมตัวเองให้เรียบแปล้ เพราะทนมองไม่ไหวจึงเดินเข้าไปช่วยจัดการทำทรงผมให้ดูไม่น่าเกลียดเกินไปนัก เขาออกงานสังคมบ่อยจนชินกับเรื่องพวกนี้ไปเสียแล้ว ทำให้เขานึกสงสัยว่าเซินหมิงเฟิ่งอยู่ในสังคมแบบไหนถึงแต่งตัวเป็นทางการไม่เป็น

   “ค่อยดูดีขึ้นหน่อย คราวก่อนอาซิงทำผมให้ เขาแทบจะถลกหนังหัวผมให้ได้” เซินหมิงเฟิ่งจงใจพูดให้เกินจริงเพื่อให้ตนเองรู้สึกขำจนผ่อนคลายลง แต่พอหันไปเห็นสีหน้าจริงจังของชิงหลง อารมณ์ของเขาก็ยิ่งฝ่อลงกว่าเดิมและเหนื่อยใจเกินกว่าจะปั้นมู้ดขึ้นมาใหม่

   “ไปที่รถได้แล้ว ผมไม่ชอบไปสาย” ชิงหลงเดินนำออกไปจากห้อง ทำให้เขาต้องยอมเดินตามไปอย่างเสียไม่ได้พร้อมกับการ์ดล้อมหน้าหลัง

   รถติดเครื่องรออยู่แล้ว รวมถึงรถการ์ดอีก 3 คัน

   เซินหมิงเฟิ่งขึ้นรถคันเดียวกับชิงหลง เขามองคนข้างตัวที่เอาแต่นั่งเงียบตลอดทางไม่ยอมพูดอะไรเลย ผู้ชายคนี้จะพูดต่อเมื่อจำเป็นจริง ๆ เท่านั้นหรือยังไงกันนะ

-------------------------->

   การเดินทางไปที่บ้านของมอเรสซาเรใช้เวลาไม่นานมากนัก อาจจะเพราะถนนในเวนิสไม่ค่อยมีรถรามากนักก็เป็นได้ เพราะส่วนต่าง ๆ ของเมืองถูกล้อมรอบและเชื่อมต่อกันด้วยคลองสายต่าง ๆ และยิ่งวัน มันก็ยิ่งทรุดลงไปในน้ำมากขึ้นและมากขึ้น เท่าที่เขาอ่านข่าวและสารคดี มีแต่คนคาดการณ์ว่าในไม่ช้า ดินแดนแห่งสายน้ำแห่งนี้จะหายไปจากแผนที่โลก

   บ้านของมอเรสซาเรไม่ได้อยู่ใกล้คลองแต่อยู่ในสถานที่ซึ่งมีหมู่ตึกอยู่มากมายและถนนหนทางให้รถเดินทางสะดวก อีกทั้งยังเป็นที่อยู่อาศัยของหมู่ผู้มีอันจะกินในเวนิส

   เซินหมิงเฟิ่งมองดูสถานที่ซึ่งชิงหลงเรียกว่า ‘บ้าน’ แต่สำหรับเขา เรียกว่าคฤหาสน์น่าจะเหมาะสมมากกว่า ถึงแม้จะไม่ได้ประกอบด้วยอาคารหลายชั้น มีเพียงบ้านสองชั้นอยู่ตรงกลาง และสร้างเป็นส่วนโอบล้อมไปด้านหลังที่มีสวนอยู่ด้านใน แต่ก็กินบริเวณกว้างขวาง มีแต่สีเขียวร่มรื่น บางที สำหรับมาเฟียแบบพวกเขา บ้านคงจะเป็นสถานที่ที่สวยงามและสงบที่สุด เพราะเหตุนั้นต่างคนจึงอยากให้บ้านของตนเองน่าอยู่ร่มรื่น เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจคลายจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน

   ที่บ้านของเขาเอง ถึงจะใช้เป็นที่ประชุมระดับหัวหน้าอยู่บ่อย ๆ แต่เมื่ออยู่นอกเหนือการประชุม ส่วนต่าง ๆ ของบ้านก็จะถูกจักแต่งอย่างสวยงามระรื่นตา

   สวนดอกไม้ที่แม่เลี้ยงของเขาชอบ ยังคงอยู่ที่นั่นเหมือนที่มันเคยเป็น....

   เซินหมิงเฟิ่งอดจะคิดถึงบ้านของตัวเองขึ้นมาไม่ได้

   เมื่อพวกเขาลงจากรถ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหา ผู้ชายที่เดินนำหน้าอายุมากพอสมควรแล้ว อาจจะน้อยกว่าหวางซือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ท่าทางของเขาในชุดเครื่องแบบพ่อบ้านยังดูสง่างามด้วยแผ่นหลังเหยียดตรงและดวงตาเป็นประกายคมกริบ หนวดสีขาวโพลนที่ประดับเหนือริมฝีปากคล้ายจะทำให้ใบหน้านั้นดูเคร่งขรึมน่าเคารพมากขึ้น แม้แต่พ่อบ้านก็ทำให้เขารู้สึกเกร็งได้แล้ว สมกับเป็นบ้านของมาเฟียใหญ่จริง ๆ

   “ท่านอเล็กซานโดรและท่านโจเซรออยู่แล้วครับ” พ่อบ้านคนนั้นค้อมหลังลงด้วยท่าทางเสมือนถูกจับให้ทำอยู่หลายครั้งจนกลายเป็นแบบแผนของชีวิต ก่อนจะยืดหลังขึ้นตรงแล้วหมุนตัวเดินนำพวกเขาทั้งหมดเข้าในไปบ้าน โดยให้การ์ดทั้งหมดตามเข้าไปได้ แต่เมื่อไปถึงหน้าห้องที่ถูกจัดไว้รับรอง การ์ดทั้งหมดกลับถูกกันไว้ด้านนอกและอนุญาตให้เซินหมิงเฟิ่งและชิงหลงเจ้าไปเพียงสองคน

   พ่อบ้านกล่าวว่าเจ้านายของตนต้องการให้การรับประทานอาหารเป็นบรรยากาศของครอบครัว จึงไม่ต้องการให้มีการ์ดชุดดำยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ข้างหลังให้เสียอารมณ์

   เซินหมิงเฟิ่งคิดว่าตนเองพอจะเข้าใจภาวะอารมณ์แบบนั้นดี เพราะที่บ้านของเขาก็ไม่ให้การ์ดมายืนคุมเชิงในห้องอาหารเหมือนกัน แต่ชิงหลงคงจะทำกระมัง เขาคิดขณะเหลือบมองคนข้างตัว เพราะชิงหลงเป็นคนที่แทบจะมีการ์ดอยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลา อาจจะยกเว้นแค่เวลานอน

   พ่อบ้านสูงวัยเปิดประตูบานใหญ่ออก และหลีกทางให้พวกเขาเข้าไป

   หลังประตูบ้านนั้นเป็นห้องรับประทานอาหารที่ค่อนข้างกว้างขวาง มีโต๊ะยาววางอยู่ตัวหนึ่งซึ่งคะเนแล้วสามารถนั่งรวมกันได้ประมาณ 10 คนแบบไม่เบียดเสียด ชายสูงอายุคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ ด้านขวามือ โจเซก็นั่งยิ้มให้เขาอยู่เงียบ ๆ ส่วนบนโต๊ะ มีอาหารจัดเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว ทั้งจาน ช้อน ส้อม และแก้วไวน์กับน้ำเปล่า มองไปแล้วคล้ายการจัดโต๊ะของภัตตาคารอยู่ไม่น้อย เซินหมิงเฟิ่งไม่รู้ว่าโดยปกติแล้ว ที่นี่จัดสำรับอาหารแบบนี้เป็นปกติหรือจัดเฉพาะเวลาที่มีแขก เขาจึงทำตัวไม่ถูก

   “เชิญตามสบาย” ชายที่นั่งหัวโต๊ะยืนขึ้นผายมือเชิญทั้งสองคนให้เข้ามา

   ชิงหลงรุนหลังเซินหมิงเฟิ่งให้เดินอ้อมฝั่งตรงข้ามของโจเซไปหาชายคนนั้น

   “คุณตา นี่คือเซินหมิงเฟิ่ง เป็นคนรู้จักของผมที่ฮ่องกง” ชิงหลงกล่าวกับอเล็กซานโดรเป็นภาษาอิตาลีแล้วหันมาพูดกับเซินหมิงเฟิ่งเป็นภาษาจีน “นี่ตาของผม อเล็กซานโดร มอเรสซาเร”

   “ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ถึงแม้เซินหมิงเฟิ่งจะประหม่า แต่เขาก็สามารถกลั้นใจเปลี่ยนลักษณะการแสดงออกเป็นปกติได้ในทันที ซึ่งคงต้องขอบคุณพ่อของเขาที่บังคับให้เขาพบปะพวกผู้ใหญ่ตอนเด็ก ๆ เขายื่นมือไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มและอเล็กซานโดรก็ตอบรับการทักทายนั้นอย่างเป็นมิตร

   เซินหมิงเฟิ่งมองพิจารณาอีกฝ่าย

   อเล็กซานโดรเป็นชายสูงอายุที่ดูสุขภาพแข็งแรงและรูปร่างดีสำหรับคนวัยเดียวกัน ไม่มีท่าทางของการเสื่อมสภาพอย่างหลังหง่อมหรือเดินขโยกเขยกแสดงว่าขยันออกกำลังกายพอสมควรถึงจะอายุมากแล้วก็ตาม ดวงตาของเขาคล้ายจะมีประกายคมอยู่ลึก ๆ แต่ปิดบังไว้ด้วยสายตาเอ็นดู เซินหมิงเฟิ่งจึงสามารถรู้ได้ทันทีว่าตนเองก็กำลังถูกลอบสังเกตอยู่เช่นกัน

   หากมองดี ๆ แล้ว เซินหมิงเฟิ่งก็พบว่าอเล็กซานโดรมีบรรยากาศน่าเกรงขามอบอวลอยู่รอบตัวตลอดเวลาแม้ว่าจะสวมเสื้อผ้าสบาย ๆ และทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ใจดี บนใบหน้าของชายสูงวัยคนนี้มีรอยแผลเป็นจาง ๆ อยู่ไม่กี่รอยแต่บนร่างกายคงมีมากกว่านี้ ไม่น่าสงสัยเลยว่าคงจะเป็นเสมือนเครื่องประดับเกียรติยศจากสมัยวัยหนุ่มที่คึกคะนองก่อนจะกลายมาเป็นมาเฟียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเวเนโตเรโจนี ผิดกับโจเซที่เกิดมาในฐานะเดียวกับเขาคือถูกเลี้ยงดูเพื่อเป็นผู้สืบทอด ไม่ต้องออกไปดิ้นรนข้างถนนเพื่อประกาศศักดา ใบหน้าของโจเซจึงสะอาดเกลี้ยงเกลาไม่มีร่องรอยของประสบการณ์อันโชกโชน

   แต่นั่นคงเป็นข้อแตกต่างระหว่างพวกเขาและอเล็กซานโดร

   บอสที่เคยไต่ขึ้นมาจากระดับล่าง สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ใต้บัญชา ย่อมได้รับการเคารพยกย่องมากกว่าบอสที่เกิดมาบนบัลลังก์ทอง

   ซึ่งนั่นคงเป็นเหตุผลที่อเล็กซานโดรมีบรรยากาศน่าเกรงขามอบอวลจนทุกคนรู้สึกได้ ในขณะที่ชิงหลงและโจเซนั้นแม้จะน่าเกรงกลัวในระดับหนึ่งแต่ก็เทียบบารมีของอเล็กซานโดรไม่ได้แม้กระผีกริ้น

   เซินหมิงเฟิ่งสามารถสรุปได้ในเสี้ยววินาทีว่า ผู้ชายคนนี้ภายนอกไม่ได้ดูน่ากลัวอย่างที่คิดเลย แต่สิ่งที่อยู่ข้างในนั้นกลับลึกล้ำไร้ก้นบึ้ง และเพียงชั่วนาทีที่ได้สัมผัสมือกัน เซินหมิงเฟิ่งก็รู้สึกเคารพผู้ชายคนนี้จากใจจริงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

   หากเขาต้องเป็นจูเชว่...ไม่สิ เมื่อเขากลายเป็นจูเชว่ เขาเองก็อยากจะเป็นเช่นนี้....

   “เอาล่ะ นั่งลงเถอะ นี่ก็ถึงเวลาพอดี” อเล็กซานโดรพูดพลางมองนาฬิกาโบราณที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง มันทำจากไม้ชั้นดีขัดเงาและเลี่ยมทองบนขอบหน้าปัด บ่งบอกฐานะผู้ครองครอบได้ดียิ่งกว่าเครื่องเรือนชิ้นใด ๆ

   ชิงหลงพาเซินหมิงเฟิ่งมานั่งข้างตัว ก่อนที่คนรับใช้จะเข้ามารินไวน์ให้

   อเล็กซานโดรลอบมองเซินหมิงเฟิ่งอยู่เงียบ ๆ เขารู้ได้ทันทีว่าคน ๆ นี้ไม่ใช่แค่คนรู้จักของหลานชายอย่างปากว่า กลิ่นอายแบบเดียวกันกับพวกเขาอวลอยู่รอบกายอย่างเบาบาง เพียงแต่เหมือนนกที่ยังไม่ผลัดขน แล้วหลานชายของเขาคิดจะสอนให้โผบิน หรือผลักตกจากรังทั้งอย่างนี้กันแน่...

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
«ตอบ #165 เมื่อ21-06-2012 14:58:53 »

ลุ้นนนนน
เริ่มลุ้นขึ้นเรื่อยๆคราวนี้ หึหึ

ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
«ตอบ #166 เมื่อ21-06-2012 18:19:34 »

ชิงหลงจะทำอะไรกันแน่

ออฟไลน์ BBSS

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
«ตอบ #167 เมื่อ21-06-2012 22:48:39 »

ชักจะ เข้มข้น ขึ้นเรื่อยๆๆ แล้วสิ

ออฟไลน์ wikichan

  • ชื่อ:Wi! วิ! วิกิ! วิเวียน//วันๆ ไม่ทำอะไรชอบอ่านมังงะและนิยายเป็นชีวิตจิตใจ ชอบผลงานของพี่แพร์ Nigiri_Sushiที่สุดอ่านทุกเรื่องแต่ไม่ได้ซื้อทุกเรื่อง อยากเจอตัวจริงสักครั้งนึงแบบว่านักเขียนในดวงใจ #เพ้อ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
«ตอบ #168 เมื่อ21-06-2012 23:48:57 »

ชิงหลง นี่ล้ำลึกอ่ะ เริ่มจากลักพาตัว มาทำไมกัน? เย็นชางี้?  เล่นหมากรุก? 

สงสารเซินอ่ะ แต่ชิงหลงคงเปลี่ยนนายได้แน่นอนแหละ

แล้วมันจะมีเรื่องราวของความรัก เข้ามาบ้างมั๊ยน๊า ^^

รอตอนต่อไปคร๊าบบบ

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
«ตอบ #169 เมื่อ22-06-2012 09:56:24 »

เซินหมิงเฟิ่งก็วางตัวออกสังคมได้ดีนะ แต่ต่างคนก็ยังใส่หน้ากากเข้าหากันอยู่
อยาหอ่านต่แล้วอ่าาาาาาาา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
« ตอบ #169 เมื่อ: 22-06-2012 09:56:24 »





ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
«ตอบ #170 เมื่อ25-06-2012 17:09:45 »

รอตอนต่อไป  :call:  :call:  :call:

nuttinee_k

  • บุคคลทั่วไป
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
«ตอบ #171 เมื่อ26-06-2012 00:34:44 »

 :pig4:
ยิ่งอ่าน ก็ยิ่งอยากอ่านต่อไปเรื่อยๆเลยค่ะ เนื้อเรื่องเริ่มจะเข้มข้น ไปอย่างช้าๆ พ่อชิงหลงของเราก็ยังคงไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่
อยากอ่านฉากหวานๆของคู่นี้บ้าง ไรบ้างง


ออฟไลน์ naja

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 708
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
«ตอบ #172 เมื่อ27-06-2012 02:52:02 »

ติดใจแล้วน๊าา สนุกมากๆๆๆ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 20 (28/06/12)
«ตอบ #173 เมื่อ28-06-2012 20:32:42 »

-20-


   ไวน์สีแดงคล้ำถูกรินลงแก้วใสทรงสวยอย่างช้า ๆ เมื่อยกขึ้นมาแตะปลายจมูก กลิ่นหอมของมันก็อวลเข้าสู่ต่อมรับกลิ่น กระดกแก้วเพียงเล็กน้อย ปล่อยให้ของเหลวสีแดงคล้ำไหลเข้าไปในปากและเก็บไว้ใต้ลิ้น ลิ้มรสหวานอมเปรี้ยวอันเป็นเอกลักษณ์แสนละมุนละไมก่อนจะค่อย ๆ กลืนลงคอไป

   ท่วงท่าการดื่มไวน์ของผู้ร่วมโต๊ะแต่ละคนบ่งบอกว่าเจนจัดด้านสังคมเพียงใด นอกจากบุคคลผู้หนึ่งที่ไม่พึงพอใจกับรสชาติของเครื่องดื่มแห่งอารยธรรมนี้สักเท่าไหร่

   เซินหมิงเฟิ่งเลือกจะจิบไวน์แต่น้อยแล้วหนักอาหารมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นอาหารของอิตาเลียนก็เต็มไปด้วยชีส เนย และนมผสมไขมันแปรรูปสารพัดแบบพาให้รู้สึกเลี่ยนแค่ไม่กี่คำ ทำให้เขาต้องยอมกระดกไวน์เป็นช่วง ๆ เพื่อขับไล่ความเลี่ยนออกไปจากลิ้นและลำคอ ซึ่งสำหรับเขาแล้ว นี่เป็นประโยชน์หนึ่งเดียวของไวน์ที่ทำให้เขายอมให้มันผ่านคอลงไป

   “บรรยากาศเป็นทางการแบบนี้ทำให้รู้สึกเกร็งหรือเปล่า ทำตัวตามสบายเถอะ ผมไม่มากพิธีหรอก” อเล็กซานโดรพูดกับเซินหมิงเฟิ่งเป็นภาษาอังกฤษ

   “เอ่อ ครับ...ผมไม่ค่อยชินกับเรื่องแบบนี้เท่าไหร่” เซินหมิงเฟิ่งตอบ แต่พอคิดอีกที เขาไม่ควรเปิดเผยข้อด้อยของตัวเองให้คนอื่นรู้มิใช่หรือโดยเฉพาะมาเฟีย “พอดีห่างหายไปนานตอนเรียนน่ะครับ” เขาพูดเสริมเพื่อให้ตนเองดูไม่ประหม่ามากเกินไป

   “แบบนี้เอง ตอนที่โจเซกับเวย์เรียนอยู่ก็เพลา ๆ เรื่องพวกนี้ไปเหมือนกัน ทำให้โจเซทโมนขึ้นเยอะเลย” อเล็กซานโดรเล่าด้วยสีหน้าผ่อนคลายและร่วมหัวเราะไปกับคนที่กลายเป็นหัวข้อเรื่องโดยไม่ได้ตั้งใจ

   “ผมไม่ได้ทโมนเสียหน่อย เรียกว่าเรียนรู้การทำอาชีพตั้งแต่อายุน้อยดีกว่า” โจเซแย้งแล้วหัวเราะร่า

   เซินหมิงเฟิ่งแค่ฟังไม่กี่ประโยคก็จับใจความได้ทันทีว่าโจเซทำอะไรในโรงเรียน ซึ่งท่าทางเจ้าตัวจะภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองทำเสียด้วย แต่เรื่องนั้นเป็นธรรมดาของเด็กผู้ชายที่อยากจะเป็นผู้ควบคุมแม้กระทั่งในสถาบันซึ่งนับเป็นสังคมแรกเริ่ม การได้เป็นหัวหน้าแก๊งค์เด็ก ๆ แล้วออกไปก่อความวุ่นวายบนถนนนับเป็นประสบการณ์ที่เด็กผู้ชายทุกคนอยากจะลิ้มลอง

   “ใครจะเหมือนเวย์ล่ะ เรียบร้อยอย่างกับผ้าพับไว้” โจเซแอบโยนลูกไปให้ญาติผู้น้องที่กำลังนั่งอย่างเงียบ ๆ เหมือนตัวเองเป็นอากาศธาตุ

   “ถึงไม่ต้องโดนตำรวจกาหัวตั้งแต่อายุไม่ถึง 20 แบบนายไง” ชิงหลงตบลูกกลับไปแบบนิ่ม ๆ แต่แรงเอาเรื่อง เล่นเอาโจเซจุกไปพักใหญ่

   “เจ้าสองคนนี้นี่นะ กัดกันเป็นเด็ก ๆ ไปได้” อเล็กซานโดรส่ายศีรษะ “ว่าแต่ คุณเซินพูดภาษาอังกฤษสำเนียงบริเทนชัดเจนขนาดนี้ เคยไปอยู่ที่นั่นมาก่อนหรือ? ผมเองก็มีเพื่อนที่อยู่ที่นั่นหลายคนเหมือนกัน เลยจำสำเนียงวิธีใช้คำได้แม่นอยู่”

   “ครับ ผมเรียนที่อังกฤษ ก็เลยติดสำเนียงมา ผมพูดแบบอเมริกันไม่ได้เลยล่ะครับ” เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะ “คุณอเล็กซานโดรเองก็ออกเสียงนามสกุลผมใกล้เคียงกับสำเนียงจริงมากเลยนะครับ”

   “ก็ตอนเด็ก ๆ น่ะสิ เจ้าเวย์น่ะไม่ยอมพูดอิตาเลียนกับใคร มาที่นี่ก็พูดแต่ภาษาจีน ฉันก็เลยต้องเรียนรู้ไว้พูดกันให้รู้เรื่อง” อเล็กซานโดรเล่าพลางทำหน้าเหนื่อยอกเหนื่อยใจ ชิงหลงตอนเด็ก ๆ เห็นก็รู้ว่าหัวแข็งไม่ยอมใคร ทำให้คนอื่นต้องยอมทำตามอยู่ตลอด โตขึ้นมาก็ยิ่งติดนิสัยแบบนั้นมากกว่าเดิมเพราะเป็นลูกชายตระกูลใหญ่ซ้ำยังมีพ่อเป็นผู้มีอิทธิพล แม่ก็มีเส้นสายกับทางอิตาลี ใครเล่าจะกล้าขัดใจ

   ได้ยินที่อเล็กซานโดรเล่า เซินหมิงเฟิ่งก็อดจะเหลือบมองไปทางชิงหลงไม่ได้ มองไปแล้ว เขาก็ไม่นึกแปลกใจที่ได้ยินเกี่ยวกับวีรกรรมวัยเด็กแบบนั้น เพราะผู้ชายคนนี้มีลักษณะของคนที่ชอบการควบคุมผู้อื่นโดยไม่ยอมให้ใครมาควบคุมตนเองได้

   “นั่นสินะ กว่าจะพูดกันรู้เรื่องก็แทบแย่” โจเซเสริมขึ้นมา เขานี่แหละที่ลำบากเรื่องภาษาที่สุดเพราะพอชิงหลงมาที่บ้านทีไร เขาก็จะถูกจับวางให้เป็นคนดูแลทุกที ผู้ใหญ่คงมองว่าเด็กอายุไล่เลี่ยกันคงเล่นกันได้ แต่ชิงหลงมีความคิดเหมือนผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุน้อย ในขณะที่เขายังชอบเล่นซนหมือนเด็กทั่วไป สำหรับโจเซในตอนนั้น ชิงหลงเสมือนสิ่งมีชีวิตที่เขาไม่รู้จัก กว่าจะทำความเข้าใจได้ก็ใช้เวลาพอสมควร

   “จนถึงตอนนี้นายก็พูดภาษาจีนได้งู ๆ ปลา ๆ อยู่ดี” ชิงหลงกล่าวสั้น ๆ

   “ใครว่าล่ะ ฉันเจรจาธุรกิจกับคนจีนบ่อยจนพูดได้คล่องปรื๋อแล้ว แต่ฉันไม่เรียกชื่อนายเป็นภาษาจีนเพราะมันสะดวกลิ้นมากกว่าต่างหาก แบบเอสตาเตไง” โจเซพูดพลางยกไวน์ขึ้นจิบ สำหรับเขาแล้วภาษาอะไรก็พูดไม่สะดวกปากเท่าอิตาเลียนหรอก

   “เอสตาเต คิมหันต์สินะครับ จะว่าไปวันนี้เขาไม่ได้มาด้วยหรือครับ?” พอได้ยินคำที่คุ้นหู เซินหมิงเฟิ่งก็นึกถึงคิมหันต์ขึ้นมาทันที

   โจเซรู้สึกเหมือนเห็นสายตาตำหนิของชิงหลงอยู่แวบ ๆ ...

   “น่าเสียดายนะ แต่เขาต้องไปทำงานอื่น” เขาตอบโดยไม่ต้องใช้เวลาคิดมาก เรื่องการหลีกเลี่ยงแบบนี้เป็นเรื่องถนัดของเขาอยู่แล้ว เหตุผลพื้น ๆ นี้สามารถใช้ได้เกือบทุกสถานการณ์ และคิมหันต์เองก็อยู่กับเขาจึงต้องมีหน้าที่อื่นเป็นธรรมดา ซึ่งเมื่อพูดออกไป เซินหมิงเฟิ่งก็คล้ายจะทำหน้ายอมรับอยู่กลาย ๆ แฝงด้วยแววตาผิดหวัง เจ้าตัวคงคาดหวังว่าจะได้พบคิมหันต์เมื่อพบเขากระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ชิงหลงก็กำชับมาไว้ก่อนแล้วว่าอย่าเพิ่งให้ทั้งสองคนได้พบกันในเร็ว ๆ นี้จนกว่าจะถึงเวลาที่สมควร

   ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าชิงหลงต้องการกุมสภาวะเหนือจิตใจของเซินหมิงเฟิ่งให้อยู่มือ

   ดังนั้นคนที่มีผลต่อความมั่นคงของสภาพจิตจึงต้องถูกกันตัวออกไป

   อเล็กซานโดรรู้สึกได้ถึงความผิดปกติระหว่างบทสนทนา เขายังสรุปความไม่ได้แน่ชัด แต่ก็ได้คำตอบแบบเดียวกับโจเซเมื่อดูจากอารมณ์ที่เซินหมิงเฟิ่งแสดงออกและพยายามจะปิดบังเอาไว้ แต่เพราะอีกฝ่ายยังไม่มีประสบการณ์ที่จะต้องปิดบังความรู้สึกมากนักจึงมองออกอย่างง่ายดาย

   ดูเหมือนชิงหลงจะไม่ได้ต้องการผลักให้ตกจากรังหรือสอนบิน ทว่าตั้งใจจะสอนให้รู้ว่ากรงที่ตนสร้างขึ้นเป็นสถานที่เดียวซึ่งเซินหมิงเฟิ่งจะมีชีวิตอยู่พึ่งพิงได้

   เจ้าหลานชายคนนี้มันร้ายนัก...

--------------------->

   เมื่ออาหารคาวพร่องไปจนเกือบหมด และผู้ร่วมโต๊ะทำท่าว่าจะอิ่มกันแต่พอดีแล้ว อาหารหวานก็มาเสิร์ฟถึงโต๊ะพร้อมกับจานอาหารคาวถูกจัดเก็บไปอย่างรวดเร็ว

   แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็ย้ายไปคุยกันในห้องรับแขก โจเซ ชิงหลง และอเล็กซานโดรก็พูดคุยกันในสิ่งที่เซินหมิงเฟิ่งไม่เข้าใจ เพราะการสนทนาล้วนแต่ถูกถ่ายทอดด้วยภาษาอิตาเลียน และจนกระทั่งเริ่มตกดึก ชิงหลงจึงขอตัวกลับเพราะเห็นว่ารบกวนเวลามากเกินไปแล้ว

   เมื่อขึ้นมาบนรถ เซินหมิงเฟิ่งก็สังเกตว่าบรรยากาศของชิงหลงดูผ่อนคลายกว่าปกติ

   เพราะได้พูดคุยสบาย ๆ กับคนในครอบครัวกระมัง...

   ส่วนเขาน่ะหรือ...

   เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจหนักหน่วง

   “เป็นอะไรไปหรือ?” ชิงหลงได้ยินเสียงถอนหายใจเต็มสองหูจึงหันไปถาม

   “ไม่มีอะไรครับ” ในตอนแรกเซินหมิงเฟิ่งคิดจะพูดว่าตนเองกำลังคิดถึงครอบครัว แต่เมื่อนึกอีกที ชิงหลงคงจะไม่สนใจจริง ๆ หรอกว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไรและคิดถึงอะไร เพราะที่เขาต้องห่างไกลบ้านมาโดดเดี่ยวแบบนี้ก็เป็นเพราะอีกฝ่ายทั้งสิ้น

   “อเล็กซานโดรน่ากลัวอย่างที่คุณคิดหรือเปล่า?” อยู่ ๆ ชิงหลงก็ถามขึ้น เซินหมิงเฟิ่งหันไปมองหน้าผู้ถามก่อนจะได้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ บนมุมปาก จึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังล้อตนเองเล่นเรื่องที่คิดอยู่ในใจว่าอเล็กซานโดรจะดูน่ากลัวยังไงบ้าง

   เขาปั้นสีหน้าไม่พอใจทันที

   “คุณปล่อยให้ผมกลัวไปก่อนโดยไม่คิดจะบอกผมเลยสินะ”

   “ผมคิดว่าคุณชอบความตื่นเต้นเสียอีก”

   เซินหมิงเฟิ่งมุ่นคิ้วแล้วถอนหายใจพรืด

   “ผมเพิ่งรู้ว่าคุณขี้แกล้ง”

   “จะว่าแบบนั้นก็ไม่เชิง ผมชอบให้คนรอบข้างได้คำตอบด้วยตัวเองมากกว่ายบอกด้วยปาก คำตอบที่ได้รับจากคนอื่นไม่นานก็ลืม แต่คำตอบที่ได้รับด้วยประสบการณ์จะทำให้คุณจดจำได้อีกนาน” ชิงหลงว่าทางเสมือนครูอาจารย์กำลังสั่งสอนเด็ก ทั้งที่จริง ๆ แล้วตนเองก็อายุห่างจากเซินหมิงเฟิ่งไม่กี่ปี กระนั้นมาดของชิงหลงกลับให้บรรยากาศเหมือนอายุห่างจากเซินหมิงเฟิ่งมากพอสมควร ทั้งนี้ทั้งนั้น คงต้องขอบคุณการสั่งสมประสบการณ์ที่ทำให้เจ้าตัวสามารถวางท่าให้สมฐานะได้ในทุกสถานการณ์

   เห็นแบบนั้นแล้ว เซินหมิงเฟิ่งก็อดจะหมั่นไส้ระคนอิจฉาไม่ได้ เพราะเขาเองโตมาแบบคนปกติธรรมดา ไม่เคยต้องอยู่ในสภาวการณ์ที่บังคับให้เปลี่ยนหน้ากากไปเรื่อย ๆ จึงไม่ถนัดการแสดงละครต่อหน้าคนเอาเสียเลย กระนั้นเซินหมิงเฟิ่งก็ไม่รู้เลยว่า การได้อยู่แบบคนธรรมดานั้น ก็เป็นที่น่าอิจฉาของชิงหลงเช่นกัน

   รูปแบบการใช้ชีวิตของเซินหมิงเฟิ่ง ไม่ว่าใครได้ยินก็นึกอิจฉาทั้งนั้น เพราะพวกเขาต่างก็ต้องดิ้นรนในฐานะคนที่จะต้องสืบตำแหน่งต่อจากรุ่นพ่อ ตั้งแต่สมัยเด็กที่ไม่รู้เลยว่าการละเล่นกับเพื่อนหมู่มากที่มีช่วงวัยเดียวกันนั้นเป็นอย่างไร รู้แต่เพียงว่าจะทำอย่างไรให้ตนเองอยู่เหนือคนอื่น แม้กระทั่งเพื่อนที่เรียนในห้องเดียวกันก็ถือเป็นศัตรูหรือลิ่วล้อที่จะต้องก้าวข้ามไป คนที่วางตัวอยู่ระดับเดียวกันมีแต่จะต้องถูกทำให้รู้ซึ้งถึงความแตกต่าง ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงมีเพื่อนอยู่น้อยแสนน้อยเต็มที ที่เรียกได้ว่าเพื่อนจริง ๆ มีแต่เพียงคนที่สามารถให้ผลประโยชน์ได้จนเป็นที่ยอมรับและอยู่ในฐานะที่ทัดเทียมกัน

   ชีวิตเช่นนี้เป็นสิ่งที่ห่างไกลจากคำว่า ธรรมดา ไปไกลโข

   ทั้งตัวชิงหลงและคนอื่น ๆ ที่เกิดมาในสถานะเดียวกันล้วนแต่ไม่สามารถนึกภาพตนเองที่เป็นคนทั่ว ๆ ไปอย่างคนอื่นที่ดาษดื่นได้ เช่นเดียวกับที่คนอื่น ๆ ไม่สามารถนึกภาพชีวิตของพวกเขาได้

   ชีวิตอันเรียบง่าย สงบสุข คือสิ่งที่แสนห่างไกลเหมือนภาพจิตนาการอันเลือนราง

   เซินหมิงเฟิ่งอาจจะนับว่าเป็นคนโชคดีที่สุดในหมู่พวกเขา...

   แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความโชคร้ายแฝงอยู่ เพราะแบบนั้นตอนนี้เซินหมิงเฟิ่งจึงได้มาตกอยู่ในเงื้อมมือเขา และความโชคร้ายนั้นคือสาเหตุที่ทำให้เซินหมิงเฟิ่งได้รับโอกาสที่พวกเขาทุกคนไม่ได้รับ จะเรียกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าหรือเปล่า หากสุดท้ายแล้วเซินหมิงเฟิ่งรู้ว่าตนเองจะต้องสูญเสียอะไรไป

   ชิงหลงที่กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างและคิดเพลิน ๆ นั้นกลับรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดลงบนบ่าจึงหันกลับเข้ามามอง และเห็นเรือนผมเคลียอยู่บนลาดไหล่ตนเองพร้อมกับแพขนตาที่ทาบปิดสนิทบนใบหน้าละมุนของชายหนุ่มอายุน้อย

   เขารู้สึกแปลกที่ถูกนอนซบไหล่แบบนี้ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครมีโอกาสกระทำ

   ตอนแรกชิงหลงคิดจะผลักเซินหมิงเฟิ่งออกไปให้พิงพนักด้านหลังแทน แต่เมื่อคิดดูอีกทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายหลับสบายแล้วเขาก็รู้สึกไม่ค่อยอยากจะรบกวนนัก สักพักหนึ่งพอเมื่อยไหล่แล้วค่อยปลุกก็แล้วกัน

   ถึงจะคิดเช่นนั้น แต่เขาก็ปล่อยให้นอนซบไหล่มาจนถึงโรงแรม

   “คุณเซิน ตื่นได้แล้ว” ชิงหลงเอ่ยเรียกครั้งหนึ่งก็เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ขยับตัวจึงเอื้อมมือไปเขย่าพร้อมเรียกไปด้วย ไม่นานนักจึงได้เห็นการเคลื่อนไหวของเปลือกตาก่อนที่เซินหมิงเฟิ่งจะตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย และตาสว่างในวินาทีต่อมาเมื่อพบว่าศีรษะของตนเองอยู่ที่ใด

   “ผ...ผมขอโทษ คือว่าผมเพลียไปหน่อย ไม่ได้ตั้งใจจะ....” เซินหมิงเฟิ่งละล่ำละลักแก้ตัวเป็นพัลวัน แต่พูดไม่ทันจนประโยค ชิงหลงก็ลงจากรถไปเสียแล้ว เขาตีความการกระทำเช่นนั้นว่าอีกฝ่ายคงจะโกรธที่เขาทำตัวสนิทสนมเกินไปทั้งที่ความจริงเป็นแค่เชลยที่ถูกจับตัวมาเท่านั้น

   เขาเดินลงจากรถด้วยท่าทางหงอย ๆ ไม่รู้ว่าชิงหลงจะถือตัวถึงขนาดนั้น

   “ถ้าคุณง่วง อย่างน้อยก็เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนอนด้วยก็แล้วกัน” ชิงหลงเดินมาพูดข้าง ๆ ก่อนจะขึ้นลิฟท์ ทำให้เซินหมิงเฟิ่งหันไปมองอย่างงงงวย

   “ไม่ได้โกรธผมหรอกหรือ?”

   “โกรธเรื่องอะไร?” ชิงหลงเหลือบตามองกลับด้วยความสงสัย

   “....เปล่าครับ ช่างมันเถอะ” พอรู้ว่าตัวเองคิดมากไปเองเป็นตุเป็นตะ เซินหมิงเฟิ่งก็ไม่กล้าจะพูดความคิดตัวเองออกไปให้อีกฝ่ายรู้ บางที อาจจะเพราะชิงหลงทำดีกับเขามากขึ้นกระมัง ตัวเขาเองจึงเริ่มเปิดใจให้อีกฝ่ายและยอมเข้าไปใกล้ชิดโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ และอีกส่วนหนึ่ง เขาเริ่มจะอยากเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากชิงหลงซึ่งรู้จักโลกนี้ดีกว่าเขา เพื่อที่เวลาเหล่านี้จะผ่านไปโดยไม่สูญเปล่า

   ทั้งสองเดินออกจากลิฟท์พร้อมการ์ดกลุ่มหนึ่งและต่างก็แยกย้ายเข้าห้องของตนเอง

   “ชิงหลง” เซินหมิงเฟิ่งตัดสินใจเอ่ยเรียกก่อนที่จะเดินเข้าประตู ชิงหลงจึงชะงักเท้าและหันกลับมา “คุณไม่ต้องตอบเหตุผลอะไรก็ได้ แค่บอกว่าใช่ และ ไม่ใช่ก็พอ ได้หรือเปล่า?”

   ชิงหลงชั่งใจอยู่เล็กน้อยก่อนโบกมือให้การ์ดทุกคนออกไปจากบริเวณนั้น

   ท่าทางของชิงหลงบ่งบอกได้แทนคำตกลง เมื่อรอบข้างไม่เหลือใครนอกจากพวกเขาทั้งสองแล้ว เซินหมิงเฟิ่งจึงเอ่ยถาม

   “คุณไม่เคยคิดจะฆ่าผมเลยใช่ไหม?”

   “ใช่” ชิงหลงตอบโดยไม่คิดมาก เรื่องการฆ่าเซินหมิงเฟิ่งเป็นเรื่องต้องห้ามอยู่แล้ว เพราะตำแหน่งจูเชว่มีผู้สืบทอดเพียงคนเดียว การทำให้จูเชว่หมดสิ้นทายาทคือการกระทำที่เสี่ยงต่อการทำให้เกิดสงครามระหว่างแก๊งค์ในฮ่องกงโดยเฉพาะในส่วนที่จูเชว่ปกครองอยู่ เรื่องนี้เซินหมิงเฟิ่งเองก็คงรู้ดี ตลอดมาจึงไม่คิดเกรงกลัวเขาเท่าที่ควร แค่เพียงแสดงการต่อต้านเท่านั้นและเพิ่งลดการ์ดลงในช่วงหลังจากถูกลักพาตัวไปครั้งหนึ่ง

   “สิ่งที่คุณทำ เพื่อผลประโยชน์ขององค์กรหรือเปล่า?” สิ่งที่เซินหมิงเฟิ่งต้องการจะสื่อก็คือ ที่ชิงหลงทำมาทั้งหมดนี้เพื่อข่มขู่จูเชว่ให้ทำอะไรบางอย่าง หรือเพื่อแทรกแซงเข้ามา หรืออาจจะเพื่อเหตุผลใด ๆ ก็สุดจะคาดเดา เซินหมิงเฟิ่งจึงพยายามจะใช้คำที่ให้ความหมายครอบคลุมมากที่สุดเท่าที่ทำได้

   “ทั้งใช่และไม่ใช่” คำตอบที่ได้ค่อนข้างคลุมเครือ เพราะตัวชิงหลงเองก็ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเรื่ององค์กรหรือเรื่องส่วนตัวมากกว่า จริงอยู่ที่กฎตาต่อตา ฟันต่อฟันของพวกเขาถือเป็นกฎเหล็กที่ค้ำตำแหน่งทั้งสี่เอาไว้ ถือได้ว่าเป็นเรื่องขององค์กร ทว่าเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นการแก้แค้นแล้ว อย่างไรก็ต้องนับว่าเป็นเรื่องส่วนตัวด้วยส่วนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่อาจนับได้ว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ขององค์กรทั้งหมด เพราะหากว่ากันจริง ๆ แล้ว องค์กรแทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการกระทำเหล่านี้เลย เพียงแต่มันเป็นการทำให้กฎข้อนั้นยังคงความศักดิ์สิทธิ์

   พูดตรง ๆ แล้ว ก็เหมือนการที่พวกผู้นำทั้งสี่ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในการปกครองมีสิทธิที่จะตัดสินโทษให้กันและกันนั่นเอง เพื่อให้พวกเขายังคงดำรงความสมดุลระหว่างกันได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงทำสงครามแย่งชิงเพื่อไต่ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดเพียงหนึ่งเดียวไปนานแล้ว เพราะในจำนวนผู้นำรุ่นก่อน ๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนกระหายอำนาจ  แต่เพราะกฎข้อนี้พวกเขาจึงยังรักษาขอบเขตของกันและกันได้เสมอมา

   แต่สุดท้ายมันก็มีแค่คนที่ทำผิดเป็นจำเลย และผู้เสียหายกลายเป็นผู้กำหนดบทลงโทษ โดยอีกสองคนที่เหลือเป็นผู้จับตามองให้บทลงโทษนั้นไม่รุนแรงเกินความผิดที่กระทำลงไป

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 20 (28/06/12)
«ตอบ #174 เมื่อ28-06-2012 20:33:13 »

   เซินหมิงเฟิ่งได้คำตอบที่คลุมเครือนั้นก็ต้องหยุดคิดไปเล็กน้อย เขาไม่ได้อยู่ในวงการมาหลายปี จึงไม่เข้าใจถึงกฎเหล่านั้นชัดเจนนักว่าลึกเพียงใด

   “คุณจะปล่อยผมกลับไปใช่หรือเปล่า”

   “ใช่”

   “แต่ไม่ใช่ในเร็ว ๆ นี้?”

   ชิงหลงโคลงหัวเล็กน้อยกับคำถามนั้น

   “มีความเป็นไปได้ทั้งใช่และไม่ใช่”

   อีกแล้วหรือ?

   เซินหมิงเฟิ่งฟังคำตอบแล้วถอนหายใจ แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่านอกจากการตัดสินใจของชิงหลงแล้วยังมีปัจจัยอื่นอยู่อีก เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าเท่านั้นว่าเป็นปัจจัยด้านไหน

   อีกคำถามคงเป็นคำถามสุดท้ายแล้วกระมัง เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะถามคำถามอะไรอีกเพื่อคำตอบว่าใช่หรือไม่ใช่

   “คุณจะไม่ปล่อยให้ผมตายหรือตกอยู่ในอันตราย...ใช่หรือเปล่า”

   จบคำถามนั้น ทั้งสองมองหน้ากันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง มีเพียงความเงียบที่คั่นกลางระหว่างพวกเขา แต่เซินหมิงเฟิ่งกลับไม่รู้สึกว่าชิงหลงกำลังลังเล แต่เหมือนอีกฝ่ายจงใจเว้นจังหวะให้ความเงียบปกคลุมเสียมากกว่า ถึงอย่างนั้นเซินหมิงเฟิ่งก็กลัวคำตอบอยู่นิดหน่อย หากว่าชิงหลงตอบอย่างคลุมเครือหรือเป็นคำตอบที่เขาไม่อยากจะฟังขึ้นมาจะเป็นอย่างไร เขาคงจะไม่รู้ว่าที่ใดที่ปลอดภัยสำหรับตัวเองอีกแล้ว

   เขาเผลอสูดหายใจลึกในจังหวะที่รู้ว่าชิงหลงกำลังจะเปิดปากตอบ

   “ใช่”

   เสมือนช่วงเวลาหยุดนิ่งชั่วครู่เพราะเซินหมินเฟิ่งกำลังประมวลคำตอบอยู่ในหัว ก่อนจะวางท่านิ่งสงบแล้วกล่าวกับชิงหลงกลับไป

   “ราตรีสวัสดิ์ครับ”

   “ราตรีสวัสดิ์” ชิงหลงเองก็ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น เขาเดินเข้าห้องไปก่อนที่การ์ดจะเดินกลับเข้ามาเมื่อเห็นว่าการสนทนาจบลงแล้ว

   เซินหมิงเฟิ่งก้าวเข้าประตูแล้วหับปิดลง ก่อนจะเผลอยิ้มออกมา

   คำตอบของชิงหลงช่วยทำให้จิตใจของเขารู้สึกสงบลงมาก ราวกับว่าความหวาดหวั่นทั้งหลายปลาสนาการไปในพริบตา

   เซินหมิงเฟิ่งเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าพลางนึกถึงบทสนทนาเมื่อครู่ จริงอยู่ว่าบางคำถามชิงหลงไม่อาจตอบได้แน่ชัด แต่อย่างน้อยเขาก็มั่นใจได้ว่าตนเองจะปลอดภัยจนกว่าจะได้กลับบ้าน ต่อจากนี้คงจะได้แต่คิดว่าเงื่อนไขใดที่ทำให้เขาถูกปล่อยตัวได้เสียที บางที การร่วมมือกับชิงหลงเพื่อบรรลุจุดประสงค์อาจจะดีกว่าการหนีไปดื้อ ๆ เพราะการหนีไปเองรังแต่จะทำให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อของคนอื่น แต่หากร่วมมือกับชิงหลง เขาก็มั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

   เพราะเท่าที่เขาเรียนรู้จากการอยู่ที่นี่ เขาพบว่าชิงหลงไม่ใช่คนโกหก เพียงแต่พูดไม่หมด ดังนั้นสิ่งใดที่ชิงหลงรับรองจากปากย่อมเชื่อถือได้

   แต่จะว่าไปแล้ว ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าบางส่วนบนใบหน้าชิงหลงดูคุ้นตาอยู่นะ

   ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งจะสังเกต แต่เพราะว่าช่วงก่อนไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นหน้ากันตรง ๆ บ่อยนัก แต่พอเห็นบ่อยเข้าเขาก็รู้สึกเหมือนคุ้นอยู่ในใจ

   แต่เขาแน่ใจว่าตัวเองไม่เคยรู้จักชิงหลงแน่นอน ไม่อย่างนั้นชิงหลงคงทักทายเขาอย่างคนรู้จักไปแล้วเพราะอีกฝ่ายไม่ลืมเขาแน่หากเคยพบกัน

   เฮ้อ...

   เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เมื่อคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก เหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้คิดถึงมานานแล้ว แล้วบังเอิญว่าชิงหลงทำให้เขาเกิดนึกถึงขึ้นมาอีก จึงต้องคุ้ยสมองตัวเองลงไปให้ลึก ๆ จึงจะพบ แต่ว่าเขาไม่ได้มีอารมณ์ที่จะทำได้ถึงขนาดนั้น นี่มันก็เวลาดึกโขแล้ว เขาเองก็ง่วงเต็มที เมื่อหันไปมองนาฬิกาหนังตาก็พลันปรือลงอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเห็นเวลาเข้า

   ตอนนี้ที่ฮ่องกงคงจะเป็นเวลากลางวัน...

   เซินหมิงเฟิ่งคิดขณะพาตัวเองปีนขึ้นเตียงแล้วล้มลงนอน เครื่องปรับอากาศทำงานอยู่ตามปกติทั้งที่ตอนเขาออกไปเขาแน่ใจว่าปิดแล้วแสดงว่าการ์ดที่ดูแลคงเข้ามาเปิดเมื่อเห็นว่าถึงเวลากลับกระมัง

   อยู่ที่นี่มีคนดูแลรอบตัว เขาแทบจะไม่ต้องทำอะไรเองเลย แต่ว่าพ่อของเขาล่ะ? ตอนนี้คงจะกำลังว้าวุ่นใจที่เขาหายตัวไป คุณหนูซากุระอีก จะถูกครหาหรือเปล่าว่าถูกทิ้งขว้าง

   ตอนนี้ที่ฮ่องกง จะเป็นยังไงกันบ้างนะ...

------------------------->

   ในเช้าวันนี้บ้านดูวุ่นวายกว่าวันปกติ ซากุระมองดูการจัดเก็บของของผู้คนที่กำลังจะเดินทางจากไปด้วยแววตาว่างเปล่า

   พ่อของเธอนั่งอยู่ที่โซฟา มีพาสปอร์ตและตั๋วเครื่องบินวางอยู่ข้างหน้า ข้าง ๆ มีแก้วกาแฟที่พร่องไปเล็กน้อยกับอาหารเช้าแบบง่าย ๆ ซากุระมองไม่เห็นใบหน้าของพ่อตนเอง เนื่องจากอีกฝ่ายยกหนังสือพิมพ์ขึ้นมาสูงเสียจนปิดบังถึงศีรษะ ด้านข้างโซหามีกระเป๋าเดินทางใหม่ใหญ่ กระเป๋าใส่เอกสาร และกล่องใส่ของวางเรียงราย ทุกอย่างถูกจัดเก็บตั้งแต่เมื่อวานแล้ว วันนี้เพียงตรวจดูความเรียบร้อยและของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ยังเก็บไม่หมด ทำให้บ้านหลังนี้ดูเต็มไปด้วยกระเป๋าและกล่อง ให้ความรู้สึกวิเวกวังเวงอย่างประหลาดแม้ว่าจะมีเสียงดังสั่งการคนรับใช้อยู่แทบตลอดเวลาจากคนที่มีหน้าที่ดูแลการเก็บของ

   มิเอะจับมือของซากุระแผ่วเบา เธอจึงหันไปมอง

   “อาหารเช้าเรียบร้อยแล้วค่ะ” เสียงของหญิงสูงวัยอ่อนโยนกว่าปกติเหมือนกำลังต้องการปลอบประโลมผู้ฟังที่กำลังมองดูภาพเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย

   มิเอะดึงมือซากุระเข้าไปในห้องอาหาร ที่ซึ่งมีโต๊ะตัวขนาดนั่งได้ 6 คน แต่ทุก ๆ ครั้ง เธอจะได้นั่งที่โต๊ะนี้เพียงลำพัง รวมถึงครั้งนี้ก็เช่นกัน หญิงสาวเดินจากประตูไปที่โต๊ะ เลื่อนเก้าอี้และค่อย ๆ หย่อนตัวลงนั่งหน้าจานอาหารที่กรุ่นไอร้อนออกมาเป็นพวย

   “วันนี้หยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้านสักวันเถอะนะคะ ไหน ๆ คุณมินาโมโตะก็จะออกเดินทางแล้ว” มิเอะเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี เพราะนับแต่รู้กำหนดการณ์เดินทางแล้ว ซากุระก็เหมือนไม่ค่อยอยากอยู่บ้าน อีกทั้งงานของพ่อก็โอนมาให้ทำแทนหลายส่วน ซากุระจึงไปกลับบริษัทแทบทุกวันเพื่อจัดการเรื่องเอกสารการงานให้เรียบร้อยก่อนที่พ่อของตนเองจะต้องเดินทางกลับไป และคงต้องเป็นเช่นนี้ไปจนกว่าจะมีคนเดินทางมาแทน ซึ่งก็ต้องใช้เวลาอีกราว ๆ อาทิตย์หรือสองอาทิตย์เป็นอย่างต่ำ

   “ต้องหยุดแน่นอนสิคะ” ซากุระหัวเราะเสียงไม่สดใสอย่างเคย “เพราะฉันต้องไปส่งคุณพ่อกับคุณมิเอะที่สนามบินนี่นา”

   มิเอะรู้สึกเหมือนหัวข้อสนทนานี้มีแต่จะทำให้หม่นหมอง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องอื่นอย่างไร

   ความจริงแล้วในใจของเธออดจะกล่าวโทษเซินหมิงเฟิ่งไม่ได้ เพราะหากฝ่ายนั้นไม่หายตัวไป ตอนนี้คุณหนูของเธอคงกำลังเตรียมตัวเพื่อเข้าพิธีแต่งงาน อย่างน้อยเมื่อพ่อกลับไปแล้ว ซากุระก็ยังสามารถพึ่งพิงบ้านตระกูลเซินได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะฝ่ายนั้นหายตัวไปกะทันหันโดยไม่มีข่าวคราวใด ๆ อีก ทำให้ซากุระอยู่ในฐานะที่วางตัวลำบาก เพราะไม่รู้ว่าตำแหน่งว่าที่สะใภ้นั้นจะยังมั่นคงอยู่หรือไม่ ครั้นจะพึ่งพิงบ้านตระกูลเซิน ก็ตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อยเพราะผูกพันสัญญากันด้วยแหวนเพียงวงเดียว และทางนั้นก็ไม่ได้เหลียวแลซากุระเท่าที่ควร ดูกระทั่งป่านนี้ยังไม่เคยติดต่อมาเองอีกเลย

   หากอยู่ ๆ ทางตระกูลเซินประกาศถอนหมั้นขึ้นมา ซากุระต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากกว่านี้แน่ มิเอะขอแต่เพียงว่าเซินจงจะเมตตาคุณหนูของเธอบ้างเท่านั้น

   ผู้หญิงตัวคนเดียว...จะปกป้องตัวเองได้ยังไงกัน...

   มิเอะมองดูซากุระที่กำลังกินอาหารที่เธอลงมือทำให้เป็นครั้งสุดท้ายอย่างไม่รีบร้อน คุณหนูตัวเล็ก ๆ ที่เธอเลี้ยงดูอุ้มชูมาแต่เล็กแต่น้อย มีเพียงเธอเท่านั้นที่ให้ความรักราวกับลูกในไส้ ในขณะที่พ่อกลับไม่เคยสนใจเด็กหญิงที่ไม่รู้ประสีประสาคนนี้เลย

   ตั้งแต่วันแรกที่มิเอะได้เห็นเด็กหญิงคนนี้ คือตอนที่เจ้านายของเธอพาเข้ามาในบ้าน เขาส่งทารกหญิงในห่อผ้าสีชมพูให้เธอเหมือนส่งสิ่งของ แต่ในตอนนั้นมิเอะรู้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งเธอจะมีโอกาสได้เลี้ยงเด็กคนนี้ เพราะเธอรู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างในบ้านมาตลอด ตั้งแต่เรื่องที่มินาโมโตะ โชโกแต่งงานกับหญิงสาวสวยคนหนึ่งจากตระกูลใหญ่เพื่อเหตุผลทางธุรกิจ แต่เขากลับไม่มีเวลาหรือกระทั่งความรักให้กับภรรยาและมุแต่เพียงเรื่องงานอย่างเดียว ทำให้หญิงสาวผู้นั้นจมอยู่ในความเปล่าเปลี่ยวเริ่มหาทางออกด้วยการหาตัวแทนสามีที่สามารถให้ความรักกับเธอได้ เป็นทางออกที่แสนโง่เขลาอย่างไม่น่าให้อภัย

   มีอยู่วันหนึ่งที่มิเอะได้ไปเห็นภาพอันไม่สมควรของคุณนายและชู้รักเข้าโดยบังเอิญ เธอถูกขอร้องให้ปิดปากเงียบ รวมถึงคนรับใช้ในบ้านคนอื่น ๆ ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้นั่นคือ มินาโมโตะ โชโก ระแคะระคายเรื่องนี้อยู่แล้วโดยไม่ต้องฟังจากปากของใครทั้งสิ้น และทุกสิ่งก็มาถึงจุดสิ้นสุดเมื่อหญิงสาวคนนั้นเกิดท้องขึ้นมาและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

   สิ่งที่ มินาโมโตะ โชโก พูดกับภรรยาตนเองเมื่อรู้เรื่องเข้าก็คือ

   “ยกเด็กที่อยู่ในท้องนั่นให้ฉัน แล้วฉันจะเซ็นใบหย่าให้”

   ในตอนแรกหญิงสาวไม่คิดจะยินยอม แม้ว่าเธอจะนอกใจสามีแต่ก็เป็นเพราะฝ่ายสามีไม่ได้ให้เวลาหรือความรักกับเธอเลย แต่เธอก็รักลูกคนนี้ถึงจะเกิดมาอย่างผิดครรลองก็ตาม หญิงสาวคุกเข่าอ้อนวอนให้สามียกโทษให้ แต่ทุกคนรู้ดีว่าคนอย่างมินาโมโตะ โชโกไม่มีหัวใจ สิ่งที่เขาตอบแทนการสำนึกผิดของภรรยาคือรูปถ่ายมากมายที่เป็นหลักฐานมัดตัวเธอกับชู้รักต่างชาติ

   “ไม่อย่างนั้นก็เจอกันในศาล”

   หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป หญิงสาวจะต้องถูกประณามหยามเหยียดจากสังคม รวมถึงครอบครัวก็จะต้องจกเป็นข่าวให้สังคมเหยียบย่ำ หลังจากนั้นโชโกจะเรียกร้องสิทธิการเป็นผู้เลี้ยงดูและต้องชนะอย่างแน่นอน ไม่ว่าเลือกทางใด หญิงสาวก็จะไม่มีวันได้เป็นเจ้าของลูกตัวเอง สิ่งที่เธอต้องเลือกคือ จะปกป้องศักดิ์ศรีของครอบครัวด้วยการจากไปโดยดี หรือจะยินยอมมีตราบาปทางสังคมไปจนวันตาย

   ในวันคลอดของภรรยา ของขวัญอวยพรจากคนมากหน้าหลายตาถูกส่งมาที่ห้อง ทุก ๆ สิ่งล้วนบ่งบอกถึงห้วงเวลาแห่งความสุข เว้นแต่ของสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นของขวัญจากสามี นั่นคือใบหย่าพร้อมลายเซ็นและเอกสารยินยอมยกบุตรให้บิดาดูแลเพียงฝ่ายเดียวหลังจากอายุ 3 เดือน

   ความโหดร้ายในครั้งนั้นยังคงติดตรึงในความทรงจำของมิเอะ ซึ่งรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างแต่กลับไม่สามารถพูดออกไปได้ และคงเพราะเหตุผลเหล่านั้นรวมถึงชาติกำเนิด ทำให้ซากุระไม่เคยได้รับความรักจากพ่อของตนเองเลย และไม่เคยได้พบแม่แท้ ๆ แม้สักครั้ง เพราะหลังจากนั้นครอบครัวฝ่ายหญิงก็ส่งลูกสาวตัวเองไปอยู่ต่างประเทศ บางทีอาจจะได้แต่งงานกับผู้ชายดี ๆ สักคนไปแล้วก็เป็นได้

   มาถึงตอนนี้ ซากุระก็โตพอจะเป็นประโยชน์ให้กับพ่อได้แล้ว เขาจึงขายเธอให้กับตระกูลเซินไปเพื่อแลกกับช่องทางการทำธุรกิจในฮ่องกง

   แล้วตอนนี้ตระกูลเซินยังจะตัดหางเธออย่างเงียบ ๆ อีกหรือ

   โอ้....สวรรค์ ได้โปรดเมตตาคุณหนูของเธอด้วยเถอะ....

----------------------->

   “ดูแลตัวเองด้วยนะคะคุณมิเอะ อะไรที่ทำไม่ไหวก็ยกให้คนอื่นทำแทนบ้างเถอะนะคะ” ซากุระเอ่ยร่ำลาผู้ที่เปรียบเสมือนแม่คนที่สองของเธอ

   “คุณหนูนั่นแหละค่ะที่ต้องดูแลตัวเอง อยู่ห่างไกลแบบนี้มิเอะเป็นห่วงเหลือเกิน ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็โทรมาปรึกษามิเอะได้ทุกเมื่อเลยนะคะ” มิเอะพูดไปก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา ทำให้หยดน้ำใสเอ่อคลอแต่ในดวงตาที่แดงก่ำ เพราะหากเธอร้องไห้ ซากุระคงไม่แคล้วร้องออกมาด้วยแน่ ๆ

   “ฉันไม่เป็นไรหรอก ดูสิคะ คุณเซินส่งการ์ดจากที่บ้านมาให้ดูแลฉันเป็นพิเศษ แล้วยังส่งคนดูแลบ้านมาให้ด้วย” ซากุระพูดให้มิเอะคลายใจ เพราะเมื่อทางเซินจงรู้ว่ามินาโมโตะคนพ่อกำลังจะกลับและให้ลูกสาวดูแลทางนี้ต่อ เขาก็ส่งแม่บ้านคนใหม่มาให้พร้อมกับคนรับใช้ที่ส่วนมากจะเป็นผู้หญิงมาให้ดูแลในบ้าน และส่งทีมการ์ดจากที่บ้านมาส่วนหนึ่งให้สลับผลัดเวรกันดูแล เนื่องจากในตอนนี้เซินจงยังไม่สามารถรับซากุระเข้าไปอยู่ในบ้านได้ เพราะอาจเกิดข้อครหาเรื่องการอยู่ก่อนแต่งขึ้นมาได้

   มิเอะเองเมื่อเห็นว่าเซินจงยังใส่ใจซากุระอยู่ก็รู้สึกสบายใจกว่าเดิม อย่างน้อยคุณหนูของเธอก็ยังไม่ถูกทอดทิ้งเสียทีเดียว

   ซากุระล่ำลามิเอะเสร็จก็เดินไปทางพ่อ

   “รักษาสุขภาพด้วยนะคะ”

   “แกก็ดูแลตัวเองดี ๆ แล้วกัน แล้วหมั่นไปเยี่ยมคุณเซินเขาบ่อย ๆ ด้วย” โชโกตอบกลับเสียงห้วน ซากุระจึงยิ้มตอบกลับไปแฝงรอยเศร้าอยู่นิด ๆ ก่อนจะโค้งลาเมื่อได้ยินเสียงประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่อง

   ซากุระยืนรออยู่ที่นั่น จนกระทั่งเห็นเครื่องบินยกตัวลอยขึ้นไปบนฟากฟ้าสีคราม

   ทำไมกันนะ...ในวันที่หม่นหมองอย่างนี้ ท้องฟ้าจึงได้สดใสเหลือเกิน

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 20 (28/06/12)
«ตอบ #175 เมื่อ28-06-2012 22:18:55 »

สองคนนั้น
เริ่มคืบหน้ากันบ้างแล้ว... หรือเปล่านะ ฮ่าๆ

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 20 (28/06/12)
«ตอบ #176 เมื่อ29-06-2012 00:08:55 »

ชิงหลงรู้จักกับเซินหมิงล่ะ น่าจะเป็นรักแรก อ่าฮ่า คิดได้ไงเนอะ เพ้อเจ้อ ซากุระมีชีวิตที่โศกแท้แล้

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 20 (28/06/12)
«ตอบ #177 เมื่อ29-06-2012 00:12:59 »

โฮฮฮฮฮอฮ ซากุระชีวิตเศร้ามากอ่ะ คุณแม่ด้วย T^T สู้ๆนะซากุระ แกร่งขนาดนี้ไม่มีไรที่ทำไม่ได้หรอก!
ส่วนคู่หลักน่ะเหรอ เหมือนจะหวานนิดๆ แต่ชักไม่รู้ว่าจริงไม่จริง บางทีชิงหลงอาจจะเคยชินกับการมีตัวตนอยู่ของหมิงเฟิ่งแล้วก็ได้ ถ้าปล่อยกลับไปจะเป็นไงนะ

รอตอนหน้า มาด่วนๆน้า จบไม่ค้างหรอก แต่จะลงแดง ><

ออฟไลน์ ployspy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 20 (28/06/12)
«ตอบ #178 เมื่อ29-06-2012 00:38:36 »

ซากุระน่าสงสาร   :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:

แต่ น่าเสียดายที่เซินเซินดังเป็นของชินหลงถึงไม่อยากให้เป็นก็เถอะ :m16: :m16: :m16:

แต่ชักหวานๆๆนะคู่นี้  :impress2: :impress2: :impress2:

รอมาต่อนะคร๊า   :bye2: :bye2: :bye2: :t3: :t3: :t3:

ออฟไลน์ BBSS

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 20 (28/06/12)
«ตอบ #179 เมื่อ29-06-2012 02:34:24 »

รอตอนต่อไปว่าระหว่างชิงหลงกับคุณเซินจะมีอะไรคืบหน้ามากกว่านี้หรือเปล่า o18

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด