กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10  (อ่าน 131759 ครั้ง)

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 21 (4/07/12)
«ตอบ #180 เมื่อ04-07-2012 16:29:58 »

-21-


   ว่ากันว่า ความฝันคือการเรียบเรียบความทรงจำในยามนิทรา หลาย ๆ ครั้งที่เราฝันถึงภาพในอดีตหรือสัญลักษณ์ที่เกี่ยวพันกับบางสิ่งที่เราหลงลืมไป บางคนกล่าวถึงขั้นว่า เราสามารถพบคนที่เคยพบเจอในชาติก่อนได้ในความฝันเสียด้วยซ้ำ กระนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ความฝันมักจะมีนัยสำคัญบางประการที่บ่งบอกได้ถึงสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจหรือสิ่งที่ฝังอยู่ในความทรงจำ

   ภาพสวนสวยสีเขียวที่ปรากฏเบื้องหน้าเป็นภาพที่แสนคุ้นตา แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมากระทบใบไม้สีสดและน้ำค้างเป็นประกายสวยงาม

   กลางสวนแห่งนั้น หญิงสาวคนหนึ่งในชุดกระโปรงเรียบ ๆ กำลังก้มอยู่เหนือพุ่มกุหลาบ แขนข้างหนึ่งคล้องตะกร้าสานเล็ก ๆ ไว้ ภายในบรรจุกุหลาบแดงอยู่ 2-3 ดอก

   แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาจนแสบตาทำให้เขามองเห็นภาพนั้นไม่ชัดเจนนัก แต่เขารู้ว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นใคร

   ถึงอย่างนั้นก็น่าแปลก...ทำไมเขาถึงนึกชื่อเต็มของเธอไม่ออกนะ

   อาจจะเป็นเพราะในช่วงชีวิตที่เขาได้อยู่ร่วมกับเธอ เขาไม่เคยมีเหตุจำเป็นต้องเรียกชื่อเต็มของเธอเลย และไม่เคยคิดจะอยากรู้ว่าเธอมีพื้นเพมาอย่างไรจากตระกูลไหน แต่เพียงมีเธออยู่ใกล้ ๆ คอยอุ้มชู โอบกอด และให้ความรัก นั่นก็มากมายเพียงพอแล้วสำหรับตัวเขาในเวลานั้น

   มือเล็กเอื้อมออกไปเบื้องหน้า สัมผัสไออุ่นของแสงจากบนฟ้าที่ส่องผ่านเมฆลงมา

   เขาก้าวออกไปจากชานบ้าน เท้าเปลือยเปล่านุ่มนิ่มสัมผัสพื้นดินที่ถูกปูด้วยหินกรวดเป็นทางทอดยาวเข้าไปที่กลางสวน ทีละก้าวอย่างช้า ๆ เขาเข้าไปถึงตัวหญิงสาวด้วยเวลาอันสั้น ภาพที่อยู่ห่างไกลถูกย่นระยะเข้ามาจนกระชิด เขาจึงคว้าจับกระโปรงสีขาวเบื้องหน้าแล้วดึงเบา ๆ ทำให้หญิงสาวที่กำลังให้ความสนใจกับการตัดดอกกุหลาบหันกลับมาหาเขาและแย้มยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เรือนผมสีดำยาวสลวยเลื่อนไหลลงมาจากลาดไหล่เล็กบางและท่อนแขนที่ห่มด้วยผ้าคลุมพื้นกว้างขณะที่เธอก้มลงมา กรรไกรที่ถืออยู่ในมือถูกเก็บเข้าไปในตะกร้าเพื่อป้องกันอันตราย ก่อนที่เธอจะโน้มตัวเข้าจูบบนหน้าผากของเขาแล้วลูบหัว

   ดวงตาของเธอช่างอบอุ่นราวกับแสงตะวันที่สาดส่องอยู่เหนือพวกเขา มือของเธอขาวและบอบบาง ข้อมือเล็กเรียว แต่สำหรับเขาแล้ว อ้อมแขนของเธออบอุ่นและอ่อนโยนเหลือประมาณ

   เขาสนใจสิ่งที่เธอกำลังทำ จึงเอื้อมมือไปที่พุ่มกุหลาบอย่างไร้เดียงสา หนามแหลมเกี่ยวเข้าที่ปลายนิ้วเล็ก เขาชักมือกลับจึงได้เห็นหยดเลือดสีแดงตัดกับผิวขาว

   เขาเจ็บ...และรู้สึกว่าถูกทำร้าย

   น้ำตาอุ่นคลอหน่วงอยู่ในเบ้า เขาหันไปมองหญิงสาวคล้ายฟ้องร้องสิ่งที่ดอกกุหลาบกระทำ ในลำคอจุกด้วยเสียงสะอื้นที่พร้อมจะถูกเปล่งออกมาในทุกเมื่อ

   เธอยิ้มให้เขา ประคองมือเล็ก ๆ ขึ้นไปและประทับริมฝีปากสีสวยสดลงบนหยดเลือด เพียงไม่นาน หยดเลือดสีแดงก็ถูกกลืนหายไป เหลือเพียงรอยแผลสีช้ำเล็ก ๆ บนปลายนิ้ว และความเจ็บเจือจางบนบาดแผลนั้น ลมหายใจอุ่นของเธอเป่ารดลงมาบนบาดแผล คล้ายจะปัดเป่าความเจ็บปวดให้ปลิวหายไป

   หยดน้ำตาค่อย ๆ เหือดแห้ง เธอปาดส่วนที่เหลือออกไปจากใบหน้าของเขาแล้วจูบหน้าผากอีกครั้ง

   มือเล็กแสนบอบบางของเธอกุมมือของเขาเอาไว้แน่น บ่งบอกว่าเธออยู่ที่นี่และจะไม่มีใครทำร้ายเขาได้เมื่อเธออยู่ใกล้ ๆ

   ทีละก้าว เธอประคองเขาเข้าไปในบ้าน เท้าเปลือยเปล่าของเขาสัมผัสความอุ่นชื้นของพื้นดินและเปลี่ยนเป็นพื้นหินปูนก่อนจะเข้าสู่ตัวบ้าน หูของเขาได้ยินเสียงเอะอะเมื่อมีคนมองมาที่พวกเขาและพบว่าเท้าของเขาไม่มีสิ่งใดห่อหุ้มอยู่เลยจึงเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน

   หญิงสาวหัวเราะเสียงสดใสก่อนจะใช้แขนเล็กทั้งสองข้างอุ้มเขาขึ้น และมีคนอีกคนหนึ่งกุลีกุจอนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดฝ่าเท้าทั้งสองจนกระทั่งสะอาดดี

   เท้าของเขาสัมผัสพื้นอีกครั้งเมื่อเข้ามาถึงพื้นไม้ขัดเงาภายในตัวบ้าน และตอนนี้เท้าของหญิงสาวก็เปลือยเปล่าเช่นกัน เธอยังคงจับมือเขาและพาเดินเข้าไปข้างใน มือเล็กของเขาฝังอยู่ในความอบอุ่นและอ่อนนุ่มของมืออีกข้างหนึ่ง แต่เขากลับไม่คิดอยากจะปล่อยมือเลย

   หญิงสาวคนนั้นพาเขาเข้าไปในห้องหนึ่งซึ่งมีตู้หนังสือ เก้าอี้ และชั้นวางรูปภาพ

   ในอกของเขาเหมือนจะรู้ดีว่าตนเองเข้าห้องนี้ไม่ได้โดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะเป็นห้องประจำของใครอีกคนหนึ่งซึ่งชื่นชอบความสงบเงียบขณะพักผ่อน และคน ๆ นั้นซึ่งเป็นเจ้าของห้องก็มองเขาด้วยสายตาตำหนิเมื่อถูกรบกวน แต่ในวินาทีต่อมา มันแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนที่แฝงอยู่ลึก ๆ ภายใต้สีหน้าเข้มงวดดุดัน

   หญิงสาวบอกผู้ชายคนนั้นว่าเธอเก็บดอกกุหลาบมาประดับแจกันให้เขา ชายคนนั้นยิ้มออกมานิด ๆ ราวกับว่าการยิ้มอย่างเปิดเผยเป็นเรื่องยากลำบากแต่เขากลับไม่สามารถอดกลั้นมันไว้ต่อหน้าเธอได้

   แจกันว่างเปล่าถูกวางไว้ข้างหน้าต่างโดยไม่ได้รับความใส่ใจ มันถูกเติมเต็มด้วยน้ำใสและดอกไม้สีสวยสดซึ่งทำให้มันมีชีวิตชีวาขึ้นมา

   เขามองเสี้ยวหน้าของผู้ชายคนนั้นที่กำลังทอดมองแจกันด้วยสายตาหลายหลากอารมณ์

   หญิงสาวย้อนกลับมาจับมือเขาอีกครั้ง บอกขอตัวกับเจ้าของห้องและพาเขาเดินออกมา ก่อนที่ประตูจะปิดลง เขารู้สึกเหมือนว่าเห็นทั้งสองส่งสายตาลึกซึ้งต่อกันโดยไม่ต้องอาศัยคำพูดใด ๆ

   เธอพาเขาไปยังห้องนั่งเล่น อุ้มเขานั่งบนเก้าอี้ และเรียกหากล่องปฐมพยาบาล แต่ในความเป็นจริงแล้ว เธอต้องการเพียงพลาสเตอร์แผ่นเดียวเพื่อปิดรอยแผล กระนั้นชายวัยกลางคนที่นำกล่องมาให้กลับยืนยันว่าต้องใส่ยาฆ่าเชื้อก่อนจึงปิดแผลได้

   บาดแผลเล็ก ๆ ที่ไม่ได้เจ็บปวดอีกแล้วถูกดูแลอย่างทะนุถนอมเอาใจใส่

   หญิงสาวยิ้มให้เขาเมื่อบาดแผลถูกพยาบาลอย่างเรียบร้อย

   เขาก็ยิ้มตอบให้เธอ...

   ‘แม่ก็ทำแผลด้วยสิ’

   เขาพูดกับเธอ แต่เธอกลับหัวเราะแล้วบอกว่าตนเองไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร น่าแปลกที่ใจเขากลับนึกสงสัยขึ้นมาว่า ในขณะที่เขาสัมผัสก้านเขาได้รับบาดแผล แต่หญิงสาวที่ทำบางอย่างกับพุ่มของมันอยู่นานสองนานกลับไม่มีบาดแผลใด ๆ

   ‘ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนแต่ต้องการความรักและการสัมผัสอย่างอ่อนโยน หากสัมผัสอย่างถูกวิธี มันก็ไม่ทำร้ายเราหรอกจ้ะ’

   เธอพูดกับเขาด้วยกระแสเสียงที่แสนเสนาะหู เขาได้แต่พยักหน้ารับโดยที่ยังไม่เข้าใจนัก

   ดูเหมือนเธอจะพูดอะไรบางอย่างกับเขาอีก แต่น่าแปลกที่เขาไม่ได้ยินอะไรเลย และเหมือนว่าภาพที่ปรากฏเบื้องหน้ากลับค่อย ๆ ห่างไกลและเลือนรางออกไป มันถูกแทนที่ด้วยความมืดและไม่นานก็มีแสงส่องผ่านเข้ามาก่อนที่ภาพเบื้องหน้าจะเปลี่ยนไป กลายเป็นภาพเบลอ ๆ ของเพดานห้องห้องหนึ่งในแสงสลัว รอบข้างไม่มีเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงทำงานเบา ๆ ของเครื่องปรับอากาศ

   เขาขยับพลิกตัว และพยายามเรียบเรียงความทรงจำก่อนจะลุกขึ้นนั่ง

   เช้าแล้วหรือ?

   เขาหันมองนาฬิกาที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กข้างเตียง มันบอกเวลา 8 โมงเช้ากับอีกราว ๆ  13 นาที

   สองแขนชึ้นสูง ดึงกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นต่าง ๆ ในร่างกายให้คลายจากการขดในท่าเดิมเป็นเวลานานหลายชั่วโมง

   เมื่อคืนนี้เขาฝันถึงตัวเองตอนเด็ก ๆ สินะ น่าแปลกที่เขาไม่ได้นึกถึงมันมานานแล้วปีแล้ว ทั้งที่ตอนแรก ๆ ที่ต้องไปเรียนที่อังกฤษเขายังคิดถึงมันอยู่ทุกคืน มาถึงตอนนี้ ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาคิดถึงมันขึ้นมาได้อีก จนถึงกับเก็บมาฝันได้แสดงว่ามันต้องสะกิดใจเขามากทีเดียว

   เซินหมิงเฟิ่งพาตัวเองลงจากเตียงแล้วคว้าผ้าขนหนูเดินดิ่งไปยังห้องน้ำ

   แล้วภาพในความฝันก็ค่อย ๆ จางหายไปจากความทรงจำ

-------------------------------->

   หลังจากพ่อจากไป ซากุระก็เข้ามาบริหารงานในบริษัททำให้เธอไม่อาจหาเวลาส่วนตัวได้ง่ายนัก ถึงอย่างนั้นทางญี่ปุ่นก็มีข่าวคราวมาแล้วว่าจะมีคนมาแทนเธอในอาทิตย์หน้า ซึ่งจะทำให้เธอได้เวลาส่วนตัวกลับมาอีกครั้งและไม่ต้องข้องเกี่ยวกับงานของพ่ออีก กระนั้นในหัวของซากุระก็ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องของสองพี่น้องตระกูลหลางซึ่งมีหลายอย่างสะกิดใจเธออยู่

   โดยปกติแล้วในบ้านที่มีผู้ชาย ผู้หญิงจะไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำงานในฐานะที่เท่ากันหรือสูงกว่าสักเท่าไหร่ และบ้านตระกูลหลางก็ดูแล้วน่าจะหัวโบราณอยู่ไม่น้อย แต่หลางเมี่ยวอินซึ่งเป็นหลานสาวคนเล็กที่น่าจะได้รับการโอบอุ้มไว้ประดุจไข่ในหิน กลับได้ทำงานทัดเทียมกับผู้ชาย ตอนนี้หลางเมี่ยวอินอายุเพียง 18 ปียังได้รับมอบหมายให้ดูแลกิจการเล็ก ๆ แล้ว นอกจากนี้เธอยังสืบทราบมาว่ามีกิจการอีกหลายแห่งที่เตรียมจะโอนให้เป็นกรรมสิทธิ์ของหญิงสาวคนนี้เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์

   แล้วฝ่ายชายล่ะ?

   หลางเมี่ยวเจินคือคนที่เป็นทายาทของเสวียนอู่ โดยปกติแล้วกิจการทุกอย่างจะตกเป็นของทายาทมิใช่หรือ? เพราะมีแต่ผู้รั้งตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเท่านั้นจึงมีสิทธิครอบครองทุกอย่างซึ่งอยู่ในชื่อเสวียนอู่และตระกูลหลาง นอกจากนั้นก็เป็นได้แค่ตัวแทน หรือเป็นผู้บริหารเท่านั้น

   นอกจากนี้ยังมีเรื่องของหลางเมี่ยวเจินกับไป๋หู่อีก

   ทำไมทั้งสองคนจึงถูกพบอยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนมได้ จริงอยู่ว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกหากจะนัดพบกัน แต่ด้วยสัญชาตญาณหญิงของเธอ มันร้องบอกว่ามีอะไรมากกว่านั้นระหว่างคนทั้งสอง ทายาทเสวียนอู่กับไป๋หู่น่ะหรือ มันแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากที่สุด

   ซากุระถอนหายใจ

   เธอรู้ตัวว่าไม่ใช่คนฉลาดสักเท่าไหร่ ถึงแม้คนรอบข้างจะพูดกันว่าเธอเป็นคนฉลาด แต่เมื่อเทียบกับคนเจนโลกแล้ว เธออาจจะเหมือนเด็กน้อยโง่เขลา

   แต่เวลาก็ไม่คอยท่าเธอนัก...

   มันเดินผ่านไปเรื่อย ๆ โดยไม่เคยหยุด

   ป่านนี้เซินหมิงเฟิ่งจะเป็นเช่นไรบ้างก็ไม่มีใครรู้ และจะเป็นอันตรายหรือเปล่าก็ไม่มีใครกล้าคาดเดา

   เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นอย่างกะทันทำให้ซากุระสะดุ้งจากภวังค์ความคิด สิ่งที่อยู่ในสมองจนถึงเมื่อครู่กระจัดกระจายออกเป็นชิ้น ๆ หญิงสาวรีบหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองด้วยความว่องไวและกดรับโดยไม่ได้ดูเบอร์โทรที่ปรากฏบนจอ

   “คุณมินาโมโตะ”

   “คุณเองหรือคะ” ซากุระจดจำเสียงนั้นได้ทันที นักสืบที่เธอว่าจ้างให้สืบสาวเรื่องให้นั่นเอง ความจริงซากุระคิดว่าอาจจะไม่ได้รับการติดต่อกลับมาอีก เพราะงานที่เธอมอบหมายไปนั้นเป็นเรื่องยากและเป้าหมายก็อันตรายเกินกว่านักสืบเอกชนคนหนึ่งจะกล้าเสี่ยงชีวิต กระนั้นเขาก็รับปากว่าจะสืบหาเรื่องราวเท่าที่เขาสามารถยื่นมือเข้าไปได้โดยไม่เป็นอันตรายกับชีวิตของตนเองและคนรอบข้าง

   หรือว่าจะมีข่าวคืบหน้าแล้ว?

   ซากุระพยายามคิดเช่นนั้น แต่ว่าเสียงของฝ่ายตรงข้ามฟังดูแย่มาก

   ปกติเขาจะเรียกเธอว่า คุณหนูมินาโมโตะ ไม่ใช่หรือ?

   “เอ่อ....คุณมีอะไรจะบอกฉันหรือคะ?”

   “....ช่วยออกมาพบผมจะได้ไหมครับ”

   “ตอนนี้เลยหรือคะ?” ลางสังหรณ์ของซากุระกำลังร้องเตือนว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่หากเกิดเรื่องไม่ดีจริง ๆ เธอจะทำใจดำปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นรับกรรมได้หรือ? ทั้งที่เขาทำงานให้เธอเท่าที่กำลังของตัวเองทำได้ ถึงมันจะเป็นอาชีพแต่เขาก็มีความสัตย์ซื่อ หากในตอนนี้เขากำลังลำบาก เธอก็คงรีบถลันไปหาอย่างทันทีเป็นแน่ ถึงจะรู้ว่าเป็นกับดักของใครก็ตาม...

   “ครับ...ผมจะบอกสถานที่ให้ ช่วยมาตามลำพังจะได้ไหมครับ” เสียงของฝ่ายนั้นสั่นเทาอยู่เล็กน้อย และถ้อยคำก็เป็นรูปแบบคลาสสิกของประโยคลักพาตัวและล่อหลอกใครอีกคนออกไปหา

   แต่คนที่ได้รับสารจะมีทางเลือกหรือ?

   ถึงจะเป็นรูปแบบคลาสสิกที่รู้กันทั่วโลก แต่คนที่ได้รับการติดต่อก็ย่อมต้องไปตามเงื่อนไข ไม่ใช่เพราะหลงกล แต่เพราะไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

   “ได้ค่ะ” ซากุระตอบหนักแน่นเหมือนต้องการจะบอกคนที่อยู่ข้างหลังผู้ที่กำลังพูดอยู่ด้วยว่าเธอจะไม่หลบหนีเด็ดขาด “บอกที่อยู่มาได้เลยค่ะ” เธอว่าก่อนจะหันไปดึงกระดาษเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งในกล่องใส่พร้อมปากกา แล้วค่อย ๆ จดที่อยู่ซึ่งบอกผ่านโทรศัพท์อย่างระมัดระวัง เมื่อจดเสร็จ เธอก็ทวนซ้ำอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองจะไม่ไปผิดที่ เพราะตัวเธอยังไม่ชินกับชื่อสถานที่มากนัก

   “แล้วพบกันนะครับ”

   “ค่ะ”

   ซากุระละโทรศัพท์ออกจากหูเมื่อได้ยินเสียงสายตัดไป เบอร์ที่ปรากฏอยู่ก่อนที่แสงไฟจะดับลงไม่คุ้นตาเธอเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่เบอร์ของนักสืบคนนั้นด้วยซ้ำ

   อย่างไรก็ต้องไป...

   ลมหายใจพรูออกมาในขณะที่ตัดสินใจ

   ไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ อาจเป็นได้ทั้งไป๋หู่ เสวียนอู่ หลางเมี่ยวอิน และหลางเมี่ยวเจิน  หรือกระทั่งผู้บริหารในองค์กรใต้ดินของคนเหล่านั้น ซึ่งแต่ละคนที่เธอสามารถคิดถึงได้ล้วนแต่สามารถทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นเพื่อเค้นเอาสิ่งที่ตัวประกันรู้ออกมา ไม่รู้ว่าเขาถูกทำร้ายหรือไม่เพื่อให้โทรมาหาเธอ บางทีตอนนี้คงจะกำลังถูกทรมานอยู่ก็เป็นได้ เมื่อยิ่งคิด ซากุระก็ยิ่งร้อนใจ

   “ฉันจะออกไปข้างนอก เย็นนี้คงจะได้กลับมาที่นี่ ถ้ามีอะไรก็ฝากเรื่องไว้ที่โต๊ะนะคะ” เธอบอกกับเลขาหน้าห้องแล้วผลุนผลันออกไป

   “เดี๋ยวค่ะ! แล้วถ้ามีคนติดต่อมาหาคุณมินาโมโตะ...”

   “บอกเขาว่าฝากเบอร์ไว้ฉันจะโทรกลับภายในวันพรุ่งนี้ค่ะ”

   ความรีบร้อนของซากุระพาให้เลขาสาวรู้สึกแปลกใจ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีกระทั่งเวลาจะอธิบายให้เธอฟังว่าจะไปไหน เธอจึงไม่อาจเก็บมาสงสัยในใจได้นานนัก เพราะงานของเธอเองก็มีอยู่ล้นมือ นั่นยังไม่รวมที่ซากุระบอกว่าจะไม่กลับมาภายในวันนี้ แปลว่างานของวันนี้ต้องยกยอดไปวันอื่นทั้งหมด หรือไม่ก็ต้องโอนไปให้คนที่มีหน้าที่ทำแทน หญิงสาวเดินกลับไปที่โทรศัพท์และเริ่มทำงานของตัวเอง

------------------------->

   “เธอจะมาสินะ?” เสียงหนึ่งเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตัดสายไปแล้ว

   “ครับ...คุณมินาโมโตะจะมาทันที” ชายหนุ่มตอบเสียงเบา เขารู้สึกผิดกับหญิงสาวที่ต้องเดือดร้อนไปด้วย ทั้งที่เป็นเรื่องที่เขาทำพลาดเองแท้ ๆ และเขาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร ทำไมจึงแค่จับเขามาและขู่ให้โทรไปเรียกตัวซากุระเท่านั้น แต่กลับไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย

   หรือว่าสิ่งที่ต้องการคือตัวซากุระ?

   “พวกคุณคิดจะทำอะไร...”

   ฝ่ายนั้นแย้มยิ้ม

   “คุณไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อคุณมินาโมโตะมาถึง เราจะปล่อยคุณไป”

   “คุณมินาโมโตะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผมทำ”

   ฝ่ายนั้นโคลงหัวเมื่อได้ยินนักสืบคนหนึ่งกำลังพยายามปกป้องลูกค้าตัวเอง ผู้ชายคนนี้ช่างมีจรรยาบรรณในวิชาชีพสูงส่งจริง ๆ นิสัยแบบนี้อยู่ในวงการมาได้ยังไงกันนะ ในเวลาแบบนี้สมควรจะพยายามเอาตัวรอดมากกว่า แต่เจ้าตัวเอาแต่เป็นห่วงลูกค้าตัวเองและไม่ยอมเปิดเผยอะไรเลย

   แต่เอาเถอะ ทางนี้ก็ไม่ได้ต้องการให้เปิดเผยอะไรอยู่แล้ว เพราะรู้มาแต่แรกว่าซากุระเป็นผู้จ้างวาน
   ก็หากไม่ใช่เธอ จะเป็นใครไปได้อีกล่ะ?

   “ความจริงก็อยากจะขอเตือนอะไรไว้อย่างนะคุณนักสืบเฉิน” ในขณะที่พูดเล่นเช่นนั้น เสียงรองเท้ากระทบพื้นก็ค่อย ๆ เข้าใกล้เก้าอี้ “อาชีพของคุณมันเสี่ยง ดังนั้น คุณควรจะคิดหาทางรอดให้ตัวเองดีกว่าไปคิดให้คนอื่น เพราะคุณคงไม่โชคดีแบบคราวนี้อีก”

   แบบนี้เรียกว่าโชคดีหรือ?

   นักสืบหนุ่มคิดในใจแต่ไม่กล้าพูดออกไป เขาขยับแขนที่ถูกล็อคติดกับเก้าอี้ด้วยกุญแจมือ

   ความโชคดีอย่างเดียวคงจะเป็นเรื่องที่ว่าเขาไม่โดนซ้อมหนักหน่วงอะไรกระมัง แต่โดนชกไปทีหนึ่งเพื่อให้เขารู้ว่ากำลังเล่นกับอะไรอยู่เท่านั้น ส่วนเหตุผลที่เขาโทรไปเรียกซากุระ ก็เพราะอีกฝ่ายรับปากว่าจะไม่ทำอันตรายใด ๆ กับหญิงสาว แต่ถ้าไม่ทำ เจ้าตัวก็ไม่รับรองความปลอดภัยของพวกเขาทั้งคู่ อาจจะดูเป็นเรื่องขี้ขลาดที่เขายอมทำตาม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

   ซากุระก็ช่างใจดี...ทั้งที่รู้แก่ใจก็ยังยืนยันมาหาเขา ทั้งที่ตัวเขาก็แค่ทำงานให้ด้วยค่าจ้าง ถึงเวลาลำบากจะตัดหางปล่อยวัดก็ย่อมได้

   สำหรับคนทำวิชาชีพนักสืบแล้ว เขาคงเป็นนักสืบที่แย่จริง ๆ

   จบเรื่องนี้แล้วเขายังสมควรทำอาชีพนี้ต่อไหมนะ...

------------------------------>

   เพราะถูกกำชับมาว่าให้ไปเพียงลำพัง ซากุระจึงไม่สามารถเอารถของตัวเองไปได้ เรื่องจากเซินจงสั่งมาให้การ์ดเป็นคนขับให้เสมอ แม้ซากุระจะซาบซึ้งกับความเอาใจใส่ของว่าที่พ่อสามี แต่เรื่องบางเรื่องเธอก็ไม่สามารถให้อีกฝ่ายรับรู้ด้วยได้

   ซากุระเดินออกไปจากบริษัทโดยไม่ได้บอกการ์ดและแอบออกไปทางประตูหลังที่ไม่มีคนเฝ้า

   เมื่อออกมาถึงถนนใหญ่ ซากุระก็โบกรถแท็กซี่แล้วยื่นกระดาษจดสถานที่ให้คนขับ เป็นเรื่องง่ายกว่าในการสื่อสารด้วยตัวอักษร เพราะการออกเสียงของเธอทำให้คนสับสนอยู่บ่อย ๆ

   สถานที่ที่เป็นที่นัดหมายอยู่ไกลออกไปทางชานเมือง ค่อนข้างสงบและความเจริญน้อย กระนั้นก็มีโรงแรมและสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ประปราย

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 21 (04/07/12)
«ตอบ #181 เมื่อ04-07-2012 16:31:00 »

   โรงแรมแห่งหนึ่งในจำนวนนั้นคือที่นัดพบ...

   รถแท็กซี่ขับพามาจนถึงสถานที่นั้น โรงแรมระดับ 3 ดาวที่บริเวณไม่กว้างมาก มีอาคารเพียงหลังเดียวที่บรรจุห้องพักมากมายเอาไว้ สีด้านนอกยังสดแสดงว่าเพิ่งทาใหม่ไปเมื่อไม่นานนี้ มองขึ้นไปแล้วตัวอาคารก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไร คล้ายจะเป็นที่พักชั่วคราวสำหรับคนที่เดินทางมาเท่านั้น

   ด้านหน้าของโรงแรมเป็นกันสาดสีเข้ากับกับอาคาร มีพนักงานต้อนรับคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าคอยเปิดประตูและช่วยขนของให้กับผู้มาเยือนก่อนที่คนด้านในจะรับหน้าที่ต่อ

   ซากุระลงจากแท็กซี่ เดินผ่านประตูกระจกเข้าไปด้านใน

   ฟร้อนท์อยู่มุมหนึ่งของล็อบบี้ใกล้ประตูทางเข้า เธอมองไปที่นั่นอย่างลังเลเพราะไม่รู้จะบอกอย่างไรว่าตนเองมาขอพบใคร แต่เมื่อคิดอีกที ในเมื่อได้เลขห้องมาแล้ว เธอก็ไม่มีความจำเป็นต้องติดต่อฟร้อนท์ก่อน ฝ่ายนั้นก็คงไม่คาดหวังว่าเธอจะโทรบอกล่วงหน้าว่ามาถึงแล้ว

   หญิงสาวพาตัวเองไปที่ลิฟต์สำหรับผู้พักอาศัย กดชั้นตามเลขตัวหน้าของหมายเลขห้อง ก่อนที่ประตูจะปิด มีชายหญิงคู่หนึ่งกับหญิงชราคนหนึ่งขอโดยสารลิฟต์ไปด้วย แต่ทั้งสามคนก็ลงไปก่อนเธอทั้งหมด มีเพียงเธอคนเดียวที่มาถึงชั้นที่ต้องการถึงแม้จะไม่ใช่ชั้นบนสุดของโรงแรมก็ตามที

   ประตูลิฟต์ปิดลงด้านหลัง ซากุระมองทางทอดยาวที่ไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไปจากโรงแรมอื่น ๆ มีเพียงเธอคนเดียวที่รู้สึกกดดันเมื่อเห็นเลขห้องที่เรียงลำดับจากน้อยไปมากตามทางที่เดินไป

   ส้นรองเท้าเคาะกับพื้นเป็นจังหวะ มีพนักงานโรงแรมเดินสวนมาแล้วยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร

   บรรยากาศรอบตัวไม่ได้บ่งบอกถึงภยันตรายใด ๆ เลย

   คงมีแต่เพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่ามีใครบางคนกำลังรอความช่วยเหลือ...

   ซากุระมองเลขห้องที่ประดับบนบานประตูไม้สีเข้ม ข้างประตูเป็นช่องสำหรับรูดการ์ด แต่เธอไม่มีการ์ดสำหรับปลดล็อคแม้สักใบ จึงตัดสินใจเคาะประตูเพื่อบอกคนด้านในว่าเธอมาถึงแล้ว รอแค่เพียงอึดใจเดียว ประตูก็มีเสียงปลดล็อคจากด้านในและค่อย ๆ เปิดออก ซากุระเห็นใบหน้าของผู้ชายร่างล่ำสันแต่ไม่สูงมากนักผ่านทางช่องประตูที่แง้มออกเล็กน้อย เขาเปิดประตูออกกว้างก่อนจะหลีกทางและผายมือให้เธอเดินเข้าไป และเมื่อเธอพ้นธรณีประตู มันก็หับปิดลงอย่างรวดเร็ว

   ภายในห้องเงียบสงัด มีเตียงอยู่ในห้องหลังหนึ่ง เป็นเตียงที่นอนได้สองคน ข้างเตียงเป็นเก้าอี้ที่มีชายอีกคนถูกล็อคติดอยู่ด้วยกุญแจมือแบบที่ตำรวจใช้

   “คุณเฉิน” ซากุระเรียกอีกฝ่ายแล้วรีบก้าวไว ๆ เข้าไปหา เธอสำรวจบาดแผลของอีกฝ่ายเป็นสิ่งแรก และพบเพียงรอยช้ำบนโหนกแก้มที่ไม่ร้ายแรงมาก

   “คุณหนูมินาโมโตะ?” นักสืบหนุ่มแปลกใจไม่น้อยที่พบอีกฝ่าย เขารู้ว่าอีกฝ่ายจะมาแน่ ๆ แต่ไม่ได้นึกว่าจะไวขนาดนี้

   “ฉันมาที่นี่แล้ว ปล่อยคุณเฉินด้วยค่ะ” ซากุระหันไปกล่าวกับคนที่มาต้อนรับเธอด้วยท่าทางนิ่งสงบ ไม่ได้แสดงความกลัวออกมาเลยแม้แต่น้อย

   ชายคนนั้นเดินเข้ามาหาโดยไม่ได้พูดอะไรก่อนจะส่งกุญแจให้ดอกหนึ่ง ซากุระแบมือรับกุญแจแล้วหันมาไขให้กับชายหนุ่ม กุญแจมือถูกปลดออกอย่างง่ายดาย มันห้อยตกโดยมีออีกด้านติดอยู่กับพนักเท้าแขน นักสืบเฉินจับข้อมือตัวเองอย่างดีใจเมื่อได้อิสรภาพกลับคืนมา

   “คุณทำแบบนี้เพื่ออะไรคะ?” ซากุระหันไปถามผู้ชายที่เหมือนจะอยู่ในฐานะเจ้าของห้องอีกครั้ง

   เจ้าตัวยังคงเงียบ ไม่ตอบอะไร แล้วหันไปทางประตูเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่ด้านนอก

   ประตูถูกเปิดออกโดยที่คนในห้องไม่ได้แตะต้องลูกบิด

   “เพราะอยากสนทนากับคุณซากุระในรูปแบบนี้เสียทียังไงล่ะคะ” ผู้ที่เดินเข้ามาแย้มรอยยิ้มด้วยริมฝีปากที่เคลือบลิปสติกสีสด

   “คุณเมี....คุณหลาง” ซากุระเรียกชื่ออีกฝ่ายก่อนจะชะงักแล้วเปลี่ยนเป็นนามสกุล

   หลางเมี่ยวอินหัวเราะ

   “เรียกฉันอย่างเดิมเถอะค่ะ ฉันไม่ได้โกรธคุณหรอกในสิ่งที่คุณทำ ความจริงฉันเองก็รู้มานานแล้วว่าคุณคิดอะไร เพียงแต่ว่าครั้งนี้นักสืบของคุณพลาดท่าและฉันก็คิดว่าถึงเวลาจะต้องพูดกันตรง ๆ เสียที สวมหน้ากากนานไปมันก็อึดอัดเปล่า ๆ ไม่คิดอย่างนั้นหรือคะ?”

   ซากุระหลุบตาลงอย่างรู้สึกผิด ที่ผ่านมาเธอใช้ความรู้สึกของอีกฝ่ายและตนเองเป็นเครื่องมือ เมื่ออีกฝ่ายรู้ความจริงทั้งหมด เธอจึงไม่อาจมองหน้าตรง ๆ ได้อีก

   “ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของฉัน ปล่อยคุณเฉินไปเถอะค่ะ”

   “ฉันไม่ขัดข้องอยู่แล้ว” หลางเมี่ยวอินพยักหน้าให้ผู้ติดตามเปิดประตู “เชิญคุณเฉิน”

   นักสืบเฉินลังเลอยู่ไม่น้อยที่จะต้องออกจากที่นี่ไปคนเดียว เขาหันมองซากุระด้วยสายตาแสดงความเสียใจในสิ่งที่ตัวเองทำ

   “กลับไปก่อนเถอะค่ะ คุณหลางไม่ทำอะไรฉันหรอก”

   เมื่อซากุระยืนยันหนักแน่นเช่นนั้น นักสืบเฉินจึงยอมเดินออกไปพร้อมผู้ติดตามของหลางเมี่ยวอิน และเมื่อประตูปิดลง หญิงสาวก็ถอนหายใจออกมา

   “ฉันไม่ค่อยชอบอยู่กับผู้ติดตามผู้ชายเท่าไหร่ แต่คุณเฉินแรงไม่ใช่น้อยฉันก็เลยต้องให้ผู้ชายด้วยกันจัดการ” หลางเมี่ยวอินกล่าวแล้วเดินไปนั่งที่เตียง เพราะเธอใช้ห้องพักขนาดแค่สองคนนอนได้ ห้องจึงไม่มีเฟอร์นิเจอร์ให้เลือกใช้มากนัก

   ซากุระยังยืนนิ่งอยู่กลางห้อง และทอดสายตามองคนที่อาจจะเรียกได้ว่าเพื่อนสนิทหากไม่นับที่พวกเธอต่างโกหกกันและกันมาตลอดตั้งแต่พบกันครั้งแรก

   แต่สำหรับซากุระแล้ว...นั่นไม่ใช่คำโกหกเสียทั้งหมด

   เธอว้าเหว่ ไร้ญาติสนิทมิตรสหาย การได้พบหลางเมี่ยวอินทำให้เธอรู้สึกได้ว่าโลกของเธอกับคนรอบข้างไม่ได้ห่างไกลกันมากนัก หลางเมี่ยวอินคือเพื่อนที่หาได้ยากในชีวิตของเธอ และเธอรู้สึกขอบคุณเซินจงที่มอยหมายงานนี้ให้และทำให้ได้พบกับอีกฝ่าย เพียงแต่ว่า...ความรู้สึกเหล่านี้คงจะไม่มีความหมายอะไร เมื่อความจริงเปิดเผยออกมาและทุก ๆ อย่างที่กระทำลงไปเพื่อเซินหมิงเฟิ่งเท่านั้น

   “นั่งก่อนสิคะ” หลางเมี่ยวอินผายมือไปยังเก้าอี้ตัวเดียวกับที่นักสืบเฉินนั่งเมื่อครู่

   ซากุระเดินไปและนั่งลง

   “คุณเมี่ยวอินทราบทุกอย่างแล้ว ยังต้องการอะไรอีกหรือคะ” สิ่งที่เธอไม่เข้าใจคือ หลางเมี่ยวอินยังคงวางตัวสบาย ๆ ไม่ได้แสดงความโกรธออกมาเลยที่ถูกเธอหักหลัง

   “ก็ไม่เชิง...” หลางเมี่ยวอินโคลงหัว “คุณซากุระ ฉันทราบมาว่าคุณต้องการช่วยเหลือเซินหมิงเฟิ่ง แต่ฉันก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคุณถึงเลือกเข้าทางฉัน จริงอยู่ว่าเหตุผลง่าย ๆ คือฉันกับคุณเป็นผู้หญิงเหมือนกัน การที่คุณเข้ามาหาฉันจะไม่มีพิรุธมากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นเสวียนอู่ ไป๋หู่ และชิงหลงก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน คุณน่าจะเข้าทางคนของชิงหลงมากกว่า หรืออย่างน้อยก็ไป๋หู่ที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของชิงหลงสมัยเรียน”

   “คุณอยากทราบจริง ๆ หรือคะ...” เหตุผลที่เธอทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่พูดได้ยาก อาจบอกได้ว่าเป็นสัญชาตญาณของเธอล้วน ๆ ที่ผลักดัน

   “หากคุณไม่พูด ฉันคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแจ้งเรื่องนี้ให้คุณตาทราบ หลังจากนั้นทั้งจูเชว่และธุรกิจของมินาโมโตะต้องลำบากแน่” เมื่อถึงเวลาเอาจริง หลางเมี่ยวอินก็ละทิ้งคราบคุณหนูจากตระกูลใหญ่ไปจนสิ้น เหลือเพียงเนื้อหนังของหญิงสาวผู้มีเลือดเนื้อเชื้อไขของมาเฟียฮ่องกง

   ซากุระกลั้นหายใจเมื่อได้ยินคำขู่ แม้จะไม่ได้ใช้สุ้มเสียงกรรโชก แต่คำพูดเรียบ ๆ จากปากของหลางเมี่ยวอินก็ไม่ได้บ่งบอกถึงการล้อเล่นเลย

   หญิงสาวบีบมือตัวเองที่ประสานอยู่บนตักพลางกัดริมฝีปาก

   “ถ้าฉันพูดไปแล้ว ช่วยรับรองได้ไหมคะว่าเรื่องที่ฉันทำจะไม่ถึงหูไป๋หู่หรือเสวียนอู่”

   “ฉันพิจารณาแล้วว่าทุกอย่างที่คุณทำเพื่อช่วยเหลือคู่หมั้น ดังนั้นจึงนับเป็นเรื่องส่วนตัว แน่นอนว่าฉันจะช่วยชี้ทางให้คุณด้วย”

   คำพูดของหลางเมี่ยวอินทำให้ซากุระเงยหน้าขึ้นและจ้องมองด้วยความฉงน

   “ทำไมถึงคิดจะช่วยฉันล่ะคะ?”

   “ถามแปลก” หลางเมี่ยวอินหัวเราะออกมาอีกครั้ง “ก็คุณเป็นเพื่อนของฉันไม่ใช่หรือ?”

   “คุณทำให้ฉันรู้สึกละอายใจนะคะ...” ซากุระรู้สึกอึดอัดข้างในอกอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอต้องหลอกลวงคนคนหนึ่ง เหมือนกับว่ากำแพงที่เธอปิดกั้นความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเองไว้ตั้งแต่เริ่มทำงานนี้กำลังกร่อนออกไปทีละน้อย

   “คิดมากไปแล้วคุณซากุระ” หญิงสาวอายุน้อยกว่ากลอกตาเหมือนกำลังคิดคำอธิบายที่อีกฝ่ายจะเข้าใจง่ายที่สุด “ในวงการนี้เพื่อนมีไว้ใช้ประโยชน์อยู่แล้ว หากเป็นฉัน ฉันก็จะใช้คุณอย่างไม่ลังเลและไม่รู้สึกผิด ถ้าคุณต้องการเดินทางสายนี้จริง ๆ คุณก็ต้องตัดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีออกไป”

   มันไม่ใช่ความต้องการของเธอเลย...

   ซากุระปิดเปลือกตาลง

   เธอไม่ได้เป็นคนเลือก แต่เพราะถูกผลักเข้ามาและไม่สามารถเดินออกไปได้ เธอถึงต้องพยายามดิ้นรนอยู่ในวังวนอันไร้จุดสิ้นสุดนี้

   “ทราบแล้วค่ะ...ขอบคุณที่ให้คำแนะนำกับฉันเสมอมา” ซากุระโค้งให้กับหลางเมี่ยวอินครั้งหนึ่ง “ที่ฉันตัดสินใจพุ่งเป้ามาที่คุณ ความจริงแล้วฉันพยายามจะเข้าใกล้คุณหลาง....พี่ชายของคุณค่ะ”

   หลางเมี่ยวอินเลิกคิ้ว แต่เธอไม่มีท่าทางแปลกใจ

   “อาจจะเป็นฉันที่คิดมากไปเอง แต่มันเป็นทางเดียวที่ฉันจะพิสูจน์ได้ และหากฉันคิดถูก ฉันก็มีหนทางที่สามารถเข้าใกล้ไป๋หู่ได้โดยไม่ถูกสงสัย” ซากุระเงยหน้าขึ้น “ฉันทราบมาว่าคุณเมี่ยวอินได้รับการวางตัวเป็นผู้บริหารกิจการหลายอย่างในเครือตระกูลหลาง ในขณะที่คุณหลางเมี่ยวเจินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย และเขายังมีข่าวลือว่าสนิทชิดเชื้อกับไป๋หู่อีกด้วย ถึงแม้คนอื่น ๆ จะมองว่าเป็นเรื่องของการผูกสัมพันธ์ทางธุรกิจ แต่ฉันคิดว่าไม่ใช่ ถ้าเป็นเรื่องความต้องการผูกสัมพันธ์ ส่งคุณที่เป็นผู้หญิงไปยังง่ายเสียกว่า ดังนั้นฉันจึงได้ข้อสรุปว่า บางที...พี่ชายของคุณกับไป๋หู่อาจจะมีความสัมพันธ์บางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น”

   “คงมีแต่ผู้หญิงจริง ๆ ที่คิดเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วผูกมันเป็นปมได้ถึงขนาดนี้” หลางเมี่ยวอินหลุดขำออกมา “แต่ก็ไม่ได้ผิดไปเสียทั้งหมดหรอกนะคะ”

   “หมายความว่า...” ซากุระมุ่นคิ้ว แต่หญิงสาวกลับยกมือปราม

   “มันไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะพูดได้ แต่ก็เป็นสิ่งที่ฉันกับพี่ชายร่วมกันตัดสินใจโดยไม่ฟังคำคัดค้านของฝ่ายใดทั้งสิ้น และในอีกแง่ มันเป็นการตัดสินใจที่น่าอับอายจึงไม่มีใครอยากจะพูดถึงหรือแพร่งพรายออกไป” หลางเมี่ยวอินถอนหายใจก่อนจะดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา “คุณไปตามที่นี่และวันเวลานี้ แล้วคุณซากุระก็ถามกับเจ้าตัวเอาเองเถอะค่ะ ฉันคงจะช่วยได้แค่นี้”

   ซากุระรับกระดาษมาก่อนจะลุกขึ้น

   “ขอบคุณมากนะคะ....”

   “ความจริงฉันคงไม่คิดช่วยคุณหรอกถ้าคุณไม่เลือกเข้ามาหาฉัน ฉันเป็นคนใจอ่อนเสียด้วยสิคะ” หลางเมี่ยวอินพูดทีเล่นทีจริง ซากุระยิ้มเฝื่อนรับก่อนจะเดินไปที่ประตู แต่แล้วเธอก็คิดอยากจะพูดอะไรอีกสักนิดจึงชะงักกอยู่แค่นั้นแล้วหันกลับมา

   “แต่ว่า...ตอนที่ฉันได้พบคุณ ฉันดีใจจริง ๆ ที่ได้รู้จักคุณและมีคุณเป็นเพื่อน” กล่าวจบแล้วซากุระก็เดินออกประตูไป

   หลางเมี่ยวอินยิ้มกับตัวเองเมื่อความเงียบกลับมาเยือนอีกครั้ง...

TBC

ออฟไลน์ BBSS

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 21 (04/07/12)
«ตอบ #182 เมื่อ04-07-2012 16:52:46 »

รอให้ปมต่างๆๆคลายต่อไป :L2:

ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 21 (04/07/12)
«ตอบ #183 เมื่อ04-07-2012 17:52:37 »

หมิงกับเชินหลงปมเหมือนจะเริ่มคลาย สงสารซากุระ คู่ขิงซากุระอาจจะเป็นหลางเมี่ยวอินก็ได้  :laugh:

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 21 (04/07/12)
«ตอบ #184 เมื่อ04-07-2012 17:58:46 »

รอลุ้นกันต่อออปายยย

ออฟไลน์ wikichan

  • ชื่อ:Wi! วิ! วิกิ! วิเวียน//วันๆ ไม่ทำอะไรชอบอ่านมังงะและนิยายเป็นชีวิตจิตใจ ชอบผลงานของพี่แพร์ Nigiri_Sushiที่สุดอ่านทุกเรื่องแต่ไม่ได้ซื้อทุกเรื่อง อยากเจอตัวจริงสักครั้งนึงแบบว่านักเขียนในดวงใจ #เพ้อ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 21 (04/07/12)
«ตอบ #185 เมื่อ04-07-2012 23:25:34 »

รอ,,ลุ้น กันยาวปายยย

ติดตาม ๆ ครับบ

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 21 (04/07/12)
«ตอบ #186 เมื่อ05-07-2012 10:35:01 »

เป็นผู้หญิงในนิยายวายที่ไม่สร้างความน่ารำคาญเลยค่ะ ที่สำคัญคือทั้งสองเป็นคนที่น่าประทับใจมากๆเลย ^^
ให้กำลังใจซากุระ แต่ตอนนี้พระเอกของเราไม่โผล่ออกมาเลยแฮะ
อยากรู้เรื่องเงื่อนไขด้วยอ่ะ ไป๋หู่กับเมี่ยวเจิน ทำไมถึงตัดสินใจกันแบบนั้นนะ - -

รอตอนหน้าค่า

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 22 (07/07/12)
«ตอบ #187 เมื่อ07-07-2012 19:00:45 »

-22-


   นับแต่วันที่เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกว่าชิงหลงมีอะไรบางอย่างที่คุ้นตา เขาก็มักจะใช้เวลาในบางจังหวะแอบมองเสี้ยวหน้าของชายหนุ่มอยู่เสมอ ทั้งในเวลาอ่านหนังสือ เวลาทำงาน เวลาที่สนทนากัน แต่เพราะเขาเกรงว่าตัวเองจะดูเหมือนคนโรคจิตจึงต้องคอยหลบสายตาอีกฝ่ายไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังนึกไม่ค่อยออกว่าอีกฝ่ายมีใบหน้าคล้ายกับใครที่เขารู้จัก ซึ่งหากพูดจริง ๆ เขารู้สึกคุ้นแค่บางมุมเท่านั้น

   แต่เมื่อมองบ่อยเข้า มีหรือที่ชิงหลงจะไม่รู้ตัว

   “มีอะไรบนหน้าผมหรือเปล่า?” เขาเอ่ยถามเมื่อรู้สึกว่าถูกจ้องมองขณะกำลังก้มหน้าจัดการชิ้นเบคอนบนจานอาหารเช้า

   “....เปล่าครับ ไม่มีอะไร” เซินหมิงเฟิ่งกระแอมเบา ๆ แล้วเลื่อนสายตาไปทางอื่น

   “ดูเหมือนคุณมีเรื่องอยากจะพูดนะ” ชิงหลงเลิกคิ้ว

   “ก็ไม่เชิง ว่าแต่ระยะนี้คุณมาอยู่กับผมบ่อย ๆ แบบนี้ งานของคุณเสร็จแล้วหรือครับ? ถ้าอย่างนั้นเราจะกลับฮ่องกงกันได้ในเร็ว ๆ นี้หรือเปล่า” เซินหมิงเฟิ่งเลือกจะเปลี่ยนหัวข้อ เพราะหากเขาบอกว่ารู้สึกชิงหลงคุ้นหน้า คงไม่แคล้วถูกตอบกลับมาว่า ‘มีคนหน้าเหมือนกันไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลก’ ซึ่งถึงแม้เขาจะรู้สึกอย่างชัดเจนว่าคล้ายใครบางคนที่เคยใกล้ชิดเขา เขาก็ไม่มีหลักฐานอะไรจะไปบอกให้ชิงหลงเชื่อตาม ดังนั้น ทำเป็นว่าเขาไม่ได้คิดเรื่องนี้เสียเลยจะดีกว่า วันหนึ่งเขาคงจะคิดออกเอง

   “งานของผมถ้าจะให้ทำก็มีให้ทำเรื่อย ๆ ถ้าการมาของผมทำให้คุณลำบากใจ ผมจะไม่มารบกวนอีกก็แล้วกัน” ไม่รู้ว่าชิงหลงตีความยังไงจึงแปลได้อย่างนั้น

   “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” เซินหมิงเฟิ่งรีบแก้ความเข้าใจผิด ความจริงเขาไม่ได้นึกเดือดร้อนเลยที่ชิงหลงมาอยู่ด้วยแบบนี้ ถึงนัยหนึ่งจะเป็นการจับตาดูไม่ให้เขาหนีไปไหน แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีคนพูดคุยด้วยทำให้ไม่น่าเบื่อจนเกินไป เพราะระยะนี้โจเซไม่ได้มาเยี่ยมเลย เขาจึงไม่มีโอกาสจะได้พบคิมหันต์ และนอกจากชิงหลงแล้ว ก็ไม่มีใครต้องการคุยกับเขา

   แต่ชิงหลงก็พูดน้อยเกินไปจนทำให้เขาอึดอัดอยู่เหมือนกัน

   “แล้วหมายความยังไงหรือ?” ชิงหลงเลิกคิ้วพลางจิบกาแฟ

   เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจ

   “ผมหมายถึงว่า คุณมาที่นี่เพื่อทำงาน ในเมื่องานคุณเสร็จแล้ว คุณจะกลับฮ่องกงในเร็ว ๆ นี้หรือเปล่า” เขาพยายามพูดช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำ

   “ผมยังไม่มีโปรแกรมจะกลับฮ่องกงหรอก” ชิงหลงตอบโดยไม่เสียเวลาคิด “ที่อิตาลีก็ไม่ได้เลวร้าย อีกอย่างที่ฮ่องกงถึงขาดผมไปสักคนก็ไม่ได้ลำบากมาก อีกสักเดือนค่อยกลับก็ยังได้” ท่าทางการพูดของชิงหลงบ่งบอกถึงความไม่เดือดเนื้อร้อนใจพ้องกับคำพูดอย่างไม่มีพิรุธ

   เซินหมิงเฟิ่งมุ่นคิ้ว เหลือบสายตามองอีกฝ่ายอย่างมีความหมาย

   “ชิงหลง คุณไม่นึกถึงครอบครัวบ้างหรือ?”

   คำถามนั้นเรียกให้ชิงหลงเลิกคิ้ว

   “ถึงพ่อของคุณจะเสียไปแล้ว แต่แม่ของคุณก็ยังอยู่ที่ฮ่องกงนะครับ การที่คุณเดินทางมาไกลเป็นเวลานาน คุณไม่คิดหรือว่าท่านจะเป็นห่วงแค่ไหน” เซินหมิงเฟิ่งพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แล้วผมเอง...ก็มีครอบครัวนะครับ ไม่ว่าคุณจะต้องการอะไรจากผม ตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่นี่ คนอย่างคุณก็คงจะได้สิ่งที่ต้องการไปหมดแล้ว พ่อของผมท่านก็เป็นห่วงผมอยู่ แล้วผมยังต้องกลับไปดูแลคุณมินาโมโตะที่เป็นคู่หมั้นอีก ภาระหน้าที่ของผม คุณไม่คิดจะให้ผมกลับไปรับผิดชอบหรือครับ?”

   ชิงหลงนิ่งคิดไปชั่วครู่ สีหน้าของเจ้าตัวดูเคร่งขรึมเป็นปกติ มีแต่ความเงียบที่โรยตัวลงมาปกคลุม

   “ที่คุณพูดก็มีเหตุผล แต่ผมคงทำตามที่คุณต้องการไม่ได้”

   “ทำไมล่ะครับ?” เซินหมิงเฟิ่งมุ่นคิ้ว แต่แล้วเขาก็เหมือนจะนึกอะไรออก “กฎนั่น...บอกว่าให้กระทำต่ออีกฝ่ายแบบเดียวกับที่ตนเองได้รับความเสียหาย หรือว่าพ่อของผมเคยพรากคนสำคัญของคุณไป?” เมื่อเซินหมิงเฟิ่งพูดจบเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองพูดอะไรโง่ ๆ ออกมา อายุชิงหลงกับพ่อของเขาห่างไกลกันมาก พ่อของเขาไม่มีทางพรากลูกหรือคนรักของชิงหลงไปได้แน่ ๆ

   “คุณมาถูกทางแล้ว คาดเดาต่อไปก็แล้วกัน” แต่อยู่ ๆ ชิงหลงก็ตัดบทเอาดื้อ ๆ

   “เดี๋ยวสิ!” เซินหมิงเฟิ่งไม่ยอมให้จบง่าย ๆ เขาถลาเข้าไปหา “จำได้ไหมว่าคุณจะตอบผมว่าใช่หรือไม่ใช่ ผมมีคำถาม คุณต้องตอบ”

   เรียวคิ้วของชิงหลงขมวดเข้าหากันอย่างรำคาญใจ เขาเกลียดการถูกตื้อหรือกระตุ้นให้นึกถึงสิ่งที่เคยรับปากในอดีต

   “พ่อของผมเคยพรากคนสำคัญของคุณไปใช่ไหม?” เซินหมิงเฟิ่งถามย้ำอีกครั้ง

   ชิงหลงกลอกตาพลางถอนหายใจ

   “ใช่”

   เซินหมิงเฟิ่งเม้มปาก รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องนัก เขาไม่สามารถถามได้ว่าฝ่ายนั้นเป็นใคร มีความสัมพันธ์กับชิงหลงแบบไหน แต่เรื่องสำคัญที่สุดคงจะเป็นเรื่องที่ว่า....

   “คุณได้เขาคืนหรือเปล่า...”

   ชิงหลงหลุบตาลง เป็นครั้งแรกที่เซินหมิงเฟิ่งได้เห็นสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย ถึงแม้ว่ามันจะถูกซุกซ่อนเอาไว้อย่างล้ำลึก ทว่าในเวลานี้มันกลับปรากฏออกมาผ่านดวงตาสีเข้มที่มักระมัดระวังในการแสดงอารมณ์เสมอ มันสั่นระริกเล็กน้อยก่อนที่ชิงหลงจะปิดเปลือกตาลงเพื่อซ่อนมันเอาไว้เช่นเดิม

   “...ไม่เคยอีกเลย”

   เสียงของชิงหลงคล้ายจะปะปนอาการสั่นเครืออยู่เล็กน้อย

   เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่หนักหน่วงกดทับในอก เพราะการที่ชิงหลงไม่ได้คนสำคัญของตัวเองคืน นั่นหมายความว่า...พ่อของเขาจะไม่มีวันได้เขาคืนไปเช่นกัน นับแต่วันที่ชิงหลงเลือกให้เขาเป็นเหยื่อในเรื่องนี้ เขาก็ถูกกำหนดแล้วว่าจะไม่มีวันได้พบกับพ่อตัวเองอีกต่อไป

   แต่ว่า....เขาจะกล่างโทษชิงหลงได้หรือ...

   ชิงหลงก็แค่ทำตามกฎและบทบาทตัวเองเท่านั้นเอง เจ้าตัวก็เป็นหุ่นเชิดเหมือนกับเขาที่ไม่สามารถทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการได้

   ในตอนที่ชิงหลงตัดสินใจ...เจ้าตัวเจ็บปวดหรือเปล่า...

   คงจะมากกว่าเขาที่ไม่ได้รู้อะไรเลยแต่แรก และที่อีกฝ่ายไม่พูดอะไรมาตลอดไม่ได้เพราะต้องการปิดบัง แต่เพราะไม่อยากให้เขาต้องรู้สึกแย่มากไปกว่านี้เสียมากกว่า...

   ชิงหลงไม่ได้พูดอะไรต่อ เจ้าตัวเพียงแค่นั่งเงียบ ๆ คล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว และเซินหมิงเฟิ่งก็เพียงแค่ยืนมองอยู่เฉย ๆ ด้วยใจสับสน เขาไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร จะเคียดแค้นดีหรือไม่ที่ชิงหลงทำกับเขาเช่นนี้ แต่ในขณะที่กำลังคิดคับแค้นใจ ความเห็นอกเห็นใจก็แวบเข้าในมโนสำนึก เพราะสถานะของเขาและชิงหลงสุดท้ายแล้วก็ไม่ต่างกัน พวกเขาต่างถูกผูกมัดไว้ด้วยกฏเกณฑ์ที่ไม่อาจเลือกทางเองได้ อยู่ภายในกรงขังอันแสนโดดเดี่ยวและเย็นเยียบไร้หัวใจ

   เซินหมิงเฟิ่งกำมือแน่นก่อนจะค่อย ๆ คลายออก

   ไร้ประโยชน์ที่จะเอาโทษกับชิงหลง...

   แล้วอีกประการหนึ่ง...คงเป็นเพราะเขาใจอ่อนกับอีกฝ่ายมากเหลือเกิน ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาทำใจโทษชิงหลงทั้งหมดไม่ได้ สิ่งที่ชิงหลงทำกับเขา บางครั้งก็ดูโหดร้าย บางครั้งก็เหมือนกำลังเอาใจใส่ดูแล แต่ทั้งหมดทั้งมวลทำให้เขารู้สึกผูกพันและไม่อาจตัดอีกฝ่ายออกไปได้

   ทำไม...เขาถึงรู้สึกแบบนั้น....

   เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง เซินหมิงเฟิ่งก็พบว่าตัวเองโน้มตัวลงไปกอดชิงหลงแล้ว

   ไม่ใช่แต่เพียงเขาที่รู้สึกแปลกใจ เขารู้สึกได้ว่าชิงหลงก็รู้สึกแปลกใจ ซึ่งก็ไม่ผิด ชิงหลงรู้สึกแปลกใจจริง ๆ ที่เซินหมิงเฟิ่งโอนอ่อนให้เขาถึงขนาดนี้ ถึงแม้ที่เขาวางแผนไว้ทั้งหมดจะเพื่อให้เซินหมิงเฟิ่งไม่อาจต่อต้านขัดขืนเขาได้ แต่การแสดงออกของอีกฝ่ายนั้นบ่งบอกผลที่มากกว่าที่วางแผนไว้แต่แรก

   ทั้งสองต่างนิ่งอยู่ในท่าทางเช่นนั้นนานหลายนาที ก่อนที่จะถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตู

   “เฮ้! วันนี้ไปเที่ยว...กัน......” โจเซเปิดประตูเข้ามาหลังเคาะโดยไม่รอคำอนุญาต ทำให้เขาได้เห็นภาพที่รู้สึกเหมือนไม่สมควรจะได้เห็นเข้า

   “....สวัสดีครับคุณโจเซ” เซินหมิงเฟิ่งผละจากชิงหลงด้วยท่าทีขัดเขินอยู่ไม่น้อย

   “ดูเหมือนผมจะเข้ามาขัดจังหวะอะไรบางอย่างเข้านะ” ชายหนุ่มหัวเราะ “เห็นการ์ดบอกว่าเวย์อยู่ที่นี่ผมก็เลยมาตามตัว ที่ไหนได้ กำลังมีช่วงเวลาส่วนตัวนี่เอง”

   “เลิกพูดอะไรไร้สาระเสียทีเถอะ” ชิงหลงเหนื่อยใจกับอาการหยอกล้อของลูกพี่ลูกน้องตนเองจึงเอ่ยปรามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแล้วลุกขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่แสดงความติดขัดจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่แม้แต่น้อย ทำให้เซินหมิงเฟิ่งนึกสงสัยว่าตัวเขาคิดมากไปคนเดียวหรือเปล่า “ที่มาที่นี่หวังว่าคงจะมีธุระอื่นนอกจากเข้ามารบกวนความสงบของฉันนะ โจเซ”

   “อย่าทำบึ้งตึงไปสิ วันนี้อากาศดี และฉันก็ไม่มีงาน ไม่คิดจะออกไปข้างนอกบ้างหรือ? อยู่ในห้องเฉย ๆ แบบนี้หดหู่หมดพอดีกัน” โจเซแสดงความร่าเริงแจ่มใสออกมาอย่างเต็มที่โดยไม่สนมาดของตัวเองในฐานะบอสใหญ่ของแฟมิลีดังในแถบนี้เลย

   ชิงหลงถอนหายใจ เขากำชับโจเซเอาไว้ว่าไม่ควรปรากฏตัวให้เซินหมิงเฟิ่งเจอบ่อยนักเพราะอาจจะถูกถามหาคิมหันต์เอาได้ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สนใจฟังคำเตือนของเขาสักเท่าไหร่ แต่เมื่อคิดดูอีกที ก็นับเป็นการดีเหมือนกันที่เซินหมิงเฟิ่งจะได้ออกไปข้างนอกห้องบ้าง ในตอนนี้เขาไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วว่าอีกฝ่ายจะกล้าหนีเขาไปไหนไกลตา ดังนั้นปล่อยให้อิสระบ้างถือเป็นการทดลองผลก็ไม่เสียหาย

   เมื่อคิดดังนั้น ชิงหลงจึงหันไปหาเซินหมิงเฟิ่ง

   “อยากไปหรือเปล่า?”

   เซินหมิงเฟิ่งทำสีหน้าแปลกใจในคราวแรก

   “คุณให้ผมออกไปได้หรือ?” ถึงแม้คำถามจะฟังดูเหมือนเขาเป็นเด็กที่ถูกกักขังไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน แต่เขาก็ต้องถามเช่นนั้นจริง ๆ เพราะนอกจากครั้งที่ถูกลักพาตัว กับไปบ้านอเล็กซานโดรแล้ว ชิงหลงไม่เคยยอมให้เขาออกไปไหนอีก ยิ่งโจเซพูดออกมาจะ ๆ ว่าจะไปเที่ยวแบบนี้แล้ว โอกาสที่ชิงหลงจะยินยอมเป็นไปได้ยิ่งกว่าน้อย เพราะเจ้าตัวไม่เหมือนคนที่ผ่อนคลายขนาดสนใจการเที่ยวเล่นเลย

   “ถ้าผมไม่ยอม ผมคงจะถูกใครบางคนค่อนแคะว่าเป็นคนใจร้ายเลือดเย็น” ชิงหลงว่าพลางเหลือบตาไปมองโจเซที่ทำลอยหน้าลอยตาไม่รู้ว่าเขาพูดถึงใคร

   “ถ้าอย่างนั้นผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ” เซินหมิงเฟิ่งรีบรุดเข้าห้องไปอย่างดีใจ

   โจเซมองตามหลังไปแล้วย้อนกลับมาหาเจ้าของห้อง

   “น่าแปลกนะที่อยู่ ๆ นายก็เกิดใจดีขึ้นมา” เขาอดจะแซวไม่ได้ เพราะหากเป็นปกติ ชิงหลงคงจะไม่มีทางตอบรับคำชวน ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักอยู่แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะรับปากง่ายผิดปกติ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในใจกำลังคิดอะไรอยู่

   “ปกติฉันเป็นคนใจร้ายนักหรือ?”

   โจเซไหวไหล่กับคำถามนั้น

   “วันนี้ฉันให้คิมหันต์ไปทำงานอื่น นายจะได้ไม่มีข้ออ้างไล่ฉันกลับ” เขาเลือกจะเปลี่ยนหัวข้อ เพราะเถียงกับชิงหลงไปก็เปล่าประโยชน์ เจ้าตัวมีทักษะการโต้แย้งในขั้นสูง หากไม่ยืนยันในสิ่งที่พูดอย่างหนักแน่นแล้วล่ะก็ มีหวังถูกสารพัดตรรกะถล่มเอาแน่ “แล้วนายไม่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้างหรือยังไงกัน? เดี๋ยวหล่อสู้ฉันไม่ได้แล้วสาว ๆ จะไม่แลเอานะ” เขาพูดหยอกเย้าพลางหัวเราะ

   “ฉันสวมเสื้อนอกอีกตัวก็พอแล้ว” ชิงหลงไม่ใช่คนพิถีพิถันในการแต่งกายนัก หากไม่ใช่งานสังคมเขาก็จะสวมแค่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีอ่อนกับกางเกงสแลคสีเข้มเท่านั้น แต่เจ้าตัวกลับไม่เคยสวมเสื้อยืดเว้นแต่เสื้อยืดคอปกแขนสั้นสำหรับเล่นกีฬา

   เมื่อเซินหมิงเฟิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ชิงหลงก็เรียกให้คนของตัวเองเอาเสื้อนอกมาให้ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับโจเซ

   รถของโจเซจอดพักไว้ด้านนอกเพราะเจ้าตัวคิดว่าจะมาเพียงครู่เดียวจึงไม่ได้นำเข้าไปจอดในลานที่จัดเอาไว้สำหรับคนในโรงแรม พวกเขาเดินออกมาจากอาคารแล้วเดินต่อไปอีกสักหน่อย พอพ้นจากรั้วประตูโรงแรมแล้วก็จะเห็นรถของโจเซที่พักอยู่ริมฟุตบาท การ์ดที่เดินนำอยู่รีบเดินเร็ว ๆ ไปที่รถเพื่อจะไปสตาร์ทเครื่องรอ ส่วนพวกเขาก็ค่อย ๆ เดินตามไป

   เมื่อพวกเขาจะไปถึงรถ ก็ได้ยินเสียงคุยกันของพวกการ์ดที่เสียงเคร่งเครียดแปลก ๆ

   “มีอะไรกัน?” โจเซเอ่ยถาม

   “โรเบอโตน่ะสิครับ ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน” การ์ดรีบหันมาตอบ “พวกผมเลยว่าจะไปดูว่ามันแอบไปเข้าห้องน้ำหรือเปล่า ทั้งที่บอกให้เฝ้ารถไว้แท้ ๆ”

   “ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปรีบมา พวกนายไปที่รถกันก่อนแล้วกัน” โจเซหันมาบอกชิงหลงกับเซินหมิงเฟิ่ง “เดี๋ยวฉันค่อยตามไป”

   “มีอะไรกันหรือครับ?” เซินหมิงเฟิ่งนึกสงสัยเพราะฟังภาษาอิตาลีไม่ออก

   “ดูเหมือนคนเฝ้ารถจะแอบไปทำธุระส่วนตัว โจเซเลยให้พวกเรไปรอที่รถก่อน” ชิงหลงตอบไปตามเนื้อผ้า เพราะเขาเองก็ได้ยินมาแค่นั้นเช่นกัน แต่จะว่าไปก็น่าแปลก เพราะให้เฝ้ารถเพียงครู่เดียว จะไปเข้าห้องน้ำก็น่าจะรอสักหน่อยหรือเข้าให้เรียบร้อยก่อนออกมา แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องแบบนี้อาจมีกรณีฉุกเฉินเกิดขึ้นได้เสมอ จะกล่าวโทษเจ้าตัวไปก็คงต่อว่าได้แค่เรื่องทิ้งรถไปโดยไม่บอกกล่าวใครเท่านั้น

----------------------------->

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 22 (07/07/12)
«ตอบ #188 เมื่อ07-07-2012 19:01:07 »

   “ให้ตายสิ หายไปไหนนะ ในห้องน้ำก็ไม่เจอ” คนที่เข้าไปหาในห้องน้ำล็อบบี้ของโรงแรมเดินออกมาพลางบ่นอุบ “มันมีมือถือนี่ ลองโทรดูสิ”

   เมื่อได้ยินคำสั่ง การ์ดอีกคนก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาแล้วโทรออกหาคนที่ทุกคนตามตัวทันที

   “คงไม่ใช่ว่ากลัวบอสดุเลยหนีไปซ่อนหรอกนะ” เขาพูดพลางหัวเราะเพื่อคลายบรรยากาศตึงเครียด แต่สีหน้าของเจ้าตัวก็ค่อย ๆ เครียดขึ้นมาเองเมื่อปลายสายไม่มีการตอบรับ แต่หูของเขากลับได้ยินเสียงเรียกเข้าของมือถือที่ค่อนข้างคุ้นดังมาจากอีกที่หนึ่งที่ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขายืนนัก

   “สงสัยจะซ่อนตัวจริง ๆ เสียล่ะมั้ง” อีกคนหนึ่งว่าขึ้นแล้วเดินตามเสียงไป “เฮ้ย บอสไม่ทำโทษรุนแรงนักหรอกน่า ไม่เห็นต้องซ่อนขนาดน......” เขาพูดไม่ทันจบประโยคดี เสียงของเจ้าตัวก็เงียบลงพร้อมกับอาการชะงักของร่างกายเมื่อเห็นภาพตรงหน้า

   โทรศัพท์มือถือสั่นจนไหลจากกระเป๋าลงมาอยู่บนพื้น มันยังคงสั่นและส่งเสียงตามที่ถูกตั้งโปรแกรม

   แต่เจ้าของมือถือกลับไม่มีการไหวติง โรเบอโตนอนหงายอยู่บนพื้น ดวงตาเบิกโพลงแสดงถึงความตกใจก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะหมดสิ้นความรู้สึกไป บนเสื้อสูทไม่เห็นอะไรชัดเจนนัก แต่ใต้เสื้อสูทที่เป็นเชิ้ตสีขาวปรากฏรอยเลือดเลอะออกมาจนชุ่ม ร่างกายของโรเบอโตยังดูเหมือนคนที่เพิ่งมีชีวิตอยู่หมาด ๆ จนถึงเมื่อครู่ แสดงว่าเจ้าตัวเพิ่งจะถูกลอบฆ่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้

   แต่มันเกิดขึ้นได้ยังไง?

   ใครเป็นคนทำ

   ไม่...นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาควรจะคิดในตอนนี้

   “รีบไปบอกบอสก่อนเร็ว!” นั่นคือสิ่งที่พวกเขาควรทำ ไม่ว่าคนที่ทำสิ่งนี้จะเป็นใคร ย่อมมีเป้าหมายที่บอสของพวกเขาอย่างแน่นอน

   คนหนึ่งรีบรุดเข้าไปหาเพื่อนร่วมงานที่เป็นร่างไร้วิญญาณ ส่วนอีกสองคนวิ่งกลับไปหาเจ้านายที่ตอนนี้ยืนรออยู่ที่บริเวณหน้าโรงแรม

   โจเซเห็นการ์ดของตัวเองวิ่งมาด้วยสีหน้าซีดเผือดก็รู้สึกถึงสัญญาณที่ไม่ดีนัก ใจของเขาเตือนในวินาทีนั้นว่าจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

   “มีอะไร?” เขาถามเร่งเพื่อให้ทั้งสองคนพูดออกมาโดยเร็ว

   “โรเบอโตครับ! เจ้าโรเบอโตมันถูกฆ่าตายไปแล้ว!” การ์ดคนหนึ่งรีบรายงานด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดปะปนกับความตกใจเหมือนยังตั้งสติไม่ได้ เขาเคยผ่านคนตายมามาก เพื่อนร่วมงานของเขาล้วนแต่มีชีวิตแขวนบนเส้นด้ายเมื่อรับใช้มาเฟีย แต่ในวันปกติแบบนี้ที่ไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้น มันก็ยังเกิดขึ้นได้ในเวลาที่พวกเขาไม่มีใครรู้ตัว เพื่อนร่วมงานของเขาถูกฆ่าตายอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีโอกาสสู้กลับด้วยซ้ำ!

   โจเซได้ฟังเหตุการณ์ก็ชะงักไปชั่วอึดใจ

   อยู่ ๆ จะมีคนมาฆ่าการ์ดของเขาอย่างไม่ได้หวังผลอย่างอื่นนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะโรเบอโตไม่เคยบาดหมางกับใครเป็นการส่วนตัว

   มันจะต้องมีอะไรอย่างอื่นสิ....

   เขาพยายามคิดอย่างสุขุม และในวินาทีนั้นที่หางตาของเขาเหลือบไปเห็นรถของตัวเองที่จอดรอด้านนอก จะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง? โรเบอโตเป็นคนเฝ้ารถ ถึงต้องถูกกำจัด!

   แต่ว่า...ตอนนี้คนที่กำลังจะเข้าไปในรถไม่ใช่เขา แต่เป็น....

   “เวย์!” โจเซคิดได้ก็รีบหันไปตะโกนเตือนด้วยความเร็วเท่าที่สมองของเขาจะสั่งการร่างกายได้ทัน ทว่าเมื่อเสียงตะโกนของเขาหลุดพ้นลำคอ มันก็ถูกกลบจนมิดด้วยเสียงกัมปนาทดังสนั่นพร้อมไฟที่แตกกระจายเหมือนถูกอัดในที่คับแคบมานานแสนนาน ดันหลังคารถและประตูกระเด็นผัวะออก หว่านเศษกระจกที่ออกแบบมาเพื่อกันกระสุนกระจัดกระจายไปทั่วทุกแห่ง ร่างของคนที่อยู่ในรัศมีถูกผลักปลิวออกมากองบนพื้นรอบ ๆ ฝุ่นควันฟุ้งจางอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนโรยตัวลงบนพื้น

   เมื่อทุกอย่างสงบลง เสียงของความโกลาหลวุ่นวายก็ดังขึ้นแทนที่ มีเสียงคนตะโกนบอกให้เรียกรถพยาบาล บางคนก็พยายามจะเข้ามาดูว่ามีคนเจ็บมากหรือไม่

   โจเซก้าวฉับ ๆ ผ่านเศษกระจกแตกกระจายเข้าไปด้วยใจร้อนรน แต่แล้วก็รู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นเซินหมิงเฟิ่งและชิงหลงนอนกองอยู่บนพื้น และร่างกายยังอยู่ครบ 32 ส่วน

   เซินหมิงเฟิ่งขยับตัวลุกขึ้นมาอย่างช้า ๆ หัวของเขาหมุนติ้ว และหูของเขาก็เหมือนจะอื้อไปจึงมีแต่เสียงวิ้ง ๆ ตลอดเวลาและแทบจะไม่ได้ยินเสียงใครเลยทั้งที่รอบข้างดูวุ่นวายจนน่าเวียนหัว โจเซเข้ามาพยุงเขาขึ้นทำให้เขาพอจะรู้ได้ว่าตรงไหนคือพื้นตรงไหนคือฟ้า

   “คุณมิน! ได้ยินผมหรือเปล่า?” โจเซตะโกน เซินหมิงเฟิ่งจึงพยักหน้า

   “ชิงหลงล่ะครับ...”

   เขาจำได้ว่าพวกเขาแค่เดินมาที่รถตามที่โจเซบอก แต่ว่าตอนที่เขาเดินไปที่ประตู และเห็นคนที่มีหน้าที่ขับรถอ้อมไปที่นั่งคนขับ ชิงหลงก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก แล้วรีบดึงเขาออกมาจากประตู ทันใดนั้นเสียงดังสนั่นก็ทิ่มแทงเข้ามาในรูหูพร้อมกับแรงผลักอันมหาศาลที่พาให้เขาและชิงหลงกระเด็นออกมาทั้งคู่ พอรู้ตัวอีกที เขาก็มานอนหงายอยู่บนพื้นพร้อมกับศีรษะที่กระแทกพื้นปูนเข้าเต็มรักจึงมึนไปครู่ใหญ่ไม่สามารถลุกขึ้นได้ทันที กระนั้นเขาก็รู้ว่าชิงหลงซ้อนอยู่บนตัวของเขา

   “เขาหมดสติ ดูเหมือนจะโดนระเบิดเข้าไปแรงกว่าคุณ” โจเซว่าแล้วพยายามขยับร่างกายของชิงหลงให้น้อยที่สุดแล้วดึงเซินหมิงเฟิ่งออกมา

   เสียงรถพยาบาลขยับเข้ามาใกล้ เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกว่าเสียงพวกนั้นทรมานสมองของเขาอย่างยิ่งยวดจึงยกมือขึ้นกุมศีรษะ แต่ก็รู้สึกได้ถึงของเหลวสีแดงที่ไหลลงมาอาบใบหน้า

   “นี่มันเกิดอะไรขึ้น...” เขายังเรียบเรียงเรื่องราวได้ไม่ชัดเจนนัก

   “เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน” โจเซตัดบทเพราะรถพยาบาลมาถึงแล้ว และหน่วยช่วยชีวิตกรูกันลงมาเพื่อนำพาคนบาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาล เขามองไปรอบ ๆ และเห็นคนขับรถของตัวเองที่โดนระเบิดเข้าไปเต็ม ๆ เนื่องจากอยู่ในรถ ร่างกายของเจ้าตัวไม่ได้กระเด็นไปไหนไกล แต่ติดอยู่ในรถนั่นเอง ศีรษะอาบเลือดห้อยพาดอยู่บนขอบกระจก แต่ส่วนที่อยู่ต่ำลงมากว่านั้นเขามองไม่เห็น กระนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่

   ชิงหลงถูกหามขึ้นรถไป และมีคนเข้ามาพยุงเซินหมิงเฟิ่งขึ้นเตียง การ์ดคนอื่น ๆ ที่ได้รับบาดเจ็บก็เช่นกัน

   เซินหมิงเฟิ่งนอนบนเตียงด้วยสติที่ไม่เต็มที่นัก เขามองเพดานรถพยาบาลพลางพยายามนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมเอ่ยถามคนที่มาพยาบาลว่าชิงหลงจะปลอดภัยหรือไม่ แต่ไม่มีใครสักคนตอบคำถามของเขา คนเหล่านั้นง่วนอยู่กับความพยายามดูแลบาดแผลของเขาและรักษาระดับความดันให้เป็นปกติ รถเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วจนเขารู้สึกได้ถึงการโคลงเคลง แต่ในขณะเดียวกัน มันทำให้เขารู้สึกเหมือนสติใกล้จะหลุดลอย คงเพราะศีรษะกระแทกแรงกระมังเขาถึงได้รู้สึกเหมือนสมองของเขาไม่อยู่ในที่ที่ควรอยู่แบบนี้

--------------------------->

   ซากุระนั่งมองกระดาษที่ได้รับมาจากหลางเมี่ยวอินเมื่อวันก่อน เธอถอนหายใจเบาเมื่อเห็นว่าวันนี้ถึงวันนัดแล้ว และบางที...เธออาจจะยังไม่พร้อมก็ได้

   หลังจากวันนั้น เธอก็โทรไปหานักสืบเฉินที่ดูสุขสบายดีแต่บอกเธอว่าจะละเว้นงานอันตรายอีกสักพักเพราะใจหายพอสมควร และเธอเองก็เห็นด้วย เพราะงานแบบนี้มีความเสี่ยงสูงยิ่งกว่าตามข่าวคาวของนักการเมืองหรือเจ้าของธุรกิจเล็ก ๆ เสียอีก

   คนที่หนักใจยิ่งกว่ากลับเป็นตัวเธอเอง ที่กำลังจะต้องเผชิญหน้ากับหลางเมี่ยวเจินในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

   โดยปกติเธอไม่ใช่คนชอบซอกแซกเรื่องของคนอื่นมากเป็นทุนเดิม ดังนั้นเธอจึงไม่คุ้นเคยกับการนั่งต่อหน้าใครสักคนแล้วออกปากสืบสวนเหมือนตำรวจกำลังสอบผู้ต้องสงสัย แต่ตอนนี้เธอกลับต้องทำเรื่องแบบนี้ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะค่อย ๆ สืบหาความจริงด้วยตัวเอง และนำความจริงนั้นมาเป็นข้อต่อรองกับไป๋หู่เพื่อนำไปสู่การค้นพบตัวเซินหมิงเฟิ่งที่หายไปพร้อมกับชิงหลง

   การนั่งหนักใจแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย...

   ซากุระรู้ดี แต่เธอก็จำเป็นต้องนึกเอาไว้ก่อนว่าเมื่อพบหน้าอีกฝ่ายเธอจะพูดอะไรได้บ้าง

   หลางเมี่ยวเจินอาจจะไม่ยินดีที่ได้พบเธอนัก เพราะเมื่อพบกันครั้งแรก เธอก็แสดงออกไปเสียมากว่าเธอมีความสนใจเรื่องในวงการของพวกเขาเพื่อเตรียมตัวในการเป็นสะใภ้ตระกูลเซิน ตอนนั้นเจ้าตัวคงมองว่าเธอเป็นเสมือนคนที่ไว้ใจไม่ได้ จนกระทั่งพบกันครั้งต่อมา เธอปรากฏตัวในฐานะเพื่อนของน้องสาว หลางเมี่ยวเจินต้องแปลกใจอยู่ไม่น้อยสำหรับเรื่องนี้แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการต่อต้านอะไร กลับกัน ยังปฏิบัติกับเธออย่างเป็นกันเอง

   การพบกันครั้งที่สาม ซึ่งเป็นครั้งนี้ คงไม่น่าอภิรมย์เช่นครั้งก่อน ๆ เพราะครั้งนี้พวกเขาต่างก็ต้องถอดหน้ากากของตัวเองออกวางไว้อย่างไม่มีทางเลือก

   ภายใต้หน้ากากของหลางเมี่ยวเจินจะยินดีต้อนรับเธอเหมือนเช่นครั้งก่อนหรือไม่

   หญิงสาวสอดกระดาษเข้าไปในกระเป๋าแล้วลุกเดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง มองดูตัวเองที่ไม่เหมือนตัวเองคนเดิม ความจริงแล้ว เธอคงจะเปลี่ยนไปทุก ๆ วัน แล้วตัวตนของเธอจริง ๆ เป็นยังไงกันนะ หลางเมี่ยวเจินกับหลางเมี่ยวอินเคยถามตนเองแบบนี้บ้างหรือไม่

   คนเราเมื่อสวมหน้ากากแล้ว จะค่อย ๆ ลืมเลือนตัวตนของตนเองไปอย่างช้า ๆ ยิ่งสวมมันมากเท่าไหร่ หน้ากากก็เปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของร่างกายมากเท่านั้น

   การมองดูตัวเองในกระจกทำให้จิตใจของซากุระหดหู่

   ความรู้สึกตอนที่พ่อตัดสินใจทิ้งเธอไว้ที่นี่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ารุมเร้า เป็นครั้งแรกในชีวิตกระมังที่เธอต้องตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเอง ตัดสินใจว่าจะดำเนินต่อหรือไม่ จะไปพบหลางเมี่ยวเจินเพื่อสอบถามให้รู้ความจริงตรง ๆ หรือไม่ หรือว่าจะยอมแพ้เพียงแค่นี้เพราะความกลัวที่มีต่ออนาคต

   แต่ไหนแต่ไรมา เธอเปรียบเสมือนนกที่อยู่ในกรงสวย ๆ พ่อของเธอคือคนที่กำกับเส้นทางให้จนเธอไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร

   แม้แต่ตอนรับปากจะช่วยเซินหมิงเฟิ่ง นั่นก็เป็นเพราะพ่อส่วนหนึ่ง เพราะหากเซินหมิงเฟิ่งไม่กลับมาพ่อของเธอจะไม่มีที่พึ่งพิงทางธุรกิจและตัวเธอเองก็จะถูกขายให้คนอื่นต่อไป เพื่อให้ธุรกิจของพ่อเจริญก้าวหน้า กระนั้นส่วนหนึ่งก็เป็นการตัดสินใจของเธอเอง เพราะเธอไม่ต้องการให้ตัวเองกลายเป็นสินค้าไปจริง ๆ อย่างน้อยเซินหมิงเฟิ่งก็ปฏิบัติกับเธอเฉกเช่นมนุษย์คนหนึ่ง นั่นทำให้เธอมีกำลังใจเดินมาจนถึงตรงนี้ แต่ว่าหลังจากนี้คงจะเป็นก้าวเดินที่สำคัญที่ต้องตริตรองเป็นอย่างดี

   จะก้าวต่อไปหรือไม่?

   ซากุระกล่าวถามตัวเองอีกครั้ง

   จากนี้ไปจะเป็นการตัดสินใจของเธอเพียงคนเดียวโดยไม่มีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง

   เธอจะยอมแพ้ดีหรือเปล่า?

   หากเธอหยุดแค่ตรงนี้ อนาคตก็คงจะเจอเหตุการณ์เดิม ๆ อีก ได้พบผู้ชายที่พ่อแนะนำ แต่งงาน และอยู่ภายใต้เงาของสามี

   ยังไม่สายที่จะถอย...

   ใช่ เธอรู้ดี แต่หากถอยตรงนี้จะต้องใช้ความกล้าอีกมากเท่าไหร่จึงจะสามารถก้าวเดินได้อีกครั้ง ความล้มเหลวจะตอกย้ำในทุก ๆ ก้าวและทำให้โซ่ตรวนยิ่งหนักมากขึ้น

   มีแต่จะต้องก้าวต่อไปเท่านั้น...

   ไม่ใช่แค่เพื่อเซินหมิงเฟิ่ง แต่เพื่อตัวเธอเอง จากนี้ไปจิตใจของเธอจะเป็นอิสระ...

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 22 (07/07/12)
«ตอบ #189 เมื่อ07-07-2012 19:36:56 »

อ๊ากกกก นี่มันเกิดอะไรขึ้น
หวังว่าทั้งสองคนจะไม่เป็นอะไรมาก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 22 (07/07/12)
« ตอบ #189 เมื่อ: 07-07-2012 19:36:56 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ wikichan

  • ชื่อ:Wi! วิ! วิกิ! วิเวียน//วันๆ ไม่ทำอะไรชอบอ่านมังงะและนิยายเป็นชีวิตจิตใจ ชอบผลงานของพี่แพร์ Nigiri_Sushiที่สุดอ่านทุกเรื่องแต่ไม่ได้ซื้อทุกเรื่อง อยากเจอตัวจริงสักครั้งนึงแบบว่านักเขียนในดวงใจ #เพ้อ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 22 (07/07/12)
«ตอบ #190 เมื่อ07-07-2012 20:49:34 »

โอ๊ย ๆๆ ดราม่าใหญ่แล้ว

ชิงหลง กะ หมิงเฟิ่ง ดีขึ้นเรื่อย ๆ เลยย (ชอบมากกก)

ทางฝั่งฮ่องกงก้ไม่แพ้กันเลย ซากุระ สู้ ๆ

ออฟไลน์ jasmin

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +174/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 22 (07/07/12)
«ตอบ #191 เมื่อ07-07-2012 22:49:34 »

อุตสาห์แอบมีช่วงหวานๆกับเค้า
ดันเจอระเบิดซะได้
กลับมาอึมครึมเหมือนเดิม
รออ่านต่อไปจ๊ะ ^_^

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 22 (07/07/12)
«ตอบ #192 เมื่อ08-07-2012 00:12:23 »

มันจะหวานมากเลยถ้าไม่ได้เห็นความคิดชิงหลงเนี่ย -*-
แล้วใครมันวางระเบิดฟร้าาาาาาาา กำลัง(หสเหมือนจะ)ไปได้สวยเลยนะ ><
ซากุระสู้ๆ

รอตอนหน้าค่ะ ^^

ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 22 (07/07/12)
«ตอบ #193 เมื่อ10-07-2012 18:28:33 »

หมิงกับชิงหลงไม่เป็นไรใช่ไหม  :o12: อัพเร็วๆนะ

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 23 (10/07/12)
«ตอบ #194 เมื่อ10-07-2012 21:08:18 »

-23-


   “โชคดีที่คุณไม่บาดเจ็บอะไรมาก แต่เพราะอยู่ใกล้จุดระเบิดมากเกินไปแก้วหูคุณอาจจะมีปัญหา ดังนั้นหลีกเลี่ยงเสียงดัง ๆ หรือการขึ้นที่สูงสักพักนะครับ” นายแพทย์กล่าวกับเซินหมิงเฟิ่งหลังจากที่บาดแผลทั้งหมดได้รับการพยาบาลและผ่านการตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้ว “ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้คุณมาตรวจร่างกายเป็นระยะ โดยเฉพาะแก้วหูของคุณที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ”

   “ขึ้นที่สูงหรือครับ?” เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้ว

   “ก็อย่างปีนภูเขาหรือขึ้นเครื่องบิน ความกดอากาศที่ต่างกันมีผลต่อแก้วหูคุณได้เหมือนกัน” คำแนะนำของแพทย์ ชายหนุ่มทำได้เพียงพยักหน้ารับ ความจริงแล้วเขาฟังไม่ออกทั้งหมดถึงแม้อีกฝ่ายจะพูดภาษาอังกฤษอยู่ก็ตาม อาจจะเพราะสมองของเขายังตื่นตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กอปรกับสำเนียงอิตาเลียนที่จนบัดนี้ยังไม่คุ้นเคย กระนั้นในประเด็นสำคัญเขาก็แน่ใจว่าตัวเองเก็บได้หมด

   เซินหมิงเฟิ่งขยับมือจับขมับตัวเองที่มีผ้าพันแผลผืนสีขาวพันไว้แน่นหนา เท่าที่จำได้ ดูเหมือนหัวเขาจะโขกพื้นแรงพอสมควร เลือดไหลออกมาเสียเยอะในตอนแรก ทำเอาพยาบาลและหน่วยกู้ชีพตื่นตกใจกันหมด โชคดีที่เอ็กซเรย์แล้วไม่มีอะไรร้ายแรง

   นอกจากร่างกายท่อนล่างบริเวณลำตัวที่ชิงหลงบังเอาไว้แล้ว ส่วนอื่น ๆ ของเขาแทบจะมีแต่ผ้าพันแผลและสำลีปิดแผลกระจายเป็นจุด ๆ

   เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ไม่เสียอวัยวะอะไรไป กระดูกสันหลังก็ยังอยู่ดีเพราะล้มลงบนพื้นราบ  และในขณะเดียวกัน ก็โชคดีที่หัวโขกพื้นจนลุกไม่ขึ้นจึงไม่เห็นภาพอันน่าสยดสยองหลังการระเบิด

   ถึงอย่างนั้นคนที่น่าเป็นห่วงกว่าคือชิงหลง เพราะโดนระเบิดใกล้กว่าเขาถึงแม้จะหลีกออกจากรัศมีอันตรายได้ทันเวลาก็ตาม

   ตอนนั้นอีกฝ่ายหมดสติไปเลยนี่นา...

   เมื่อคิดแล้วก็อดกระสับกระส่ายไม่ได้ นึกอยากจะไปเยี่ยมชิงหลงแต่ดูเหมือนทั้งหมอและพยาบาลจะไม่ยอมให้เขาเดินเองในช่วงนี้ คงเพราะหัวกระแทกกับพื้นแรงไปหน่อยนั่นแหละ เขาถึงยังเดินเซ ๆ อยู่ จะไปไหนก็ต้องมีคนพยุงหรือไม่ก็ให้พยาบาลเข็นรถเข็นให้ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนทุพพลภาพทั้งที่เขายังแน่ใจว่าตัวเองสบายดี ไม่บุบสลาย

   “เป็นยังไงบ้าง?” โจเซเดินเข้ามาในห้องตรวจหลังจากหมออนุญาต

   “ก็ยังตกใจอยู่นิดหน่อยครับ” เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจ “ผมนี่ไม่ไหวเลยนะ โตขนาดนี้แล้วแท้ ๆ แต่พอนึกถึงเรื่องนั้นผมก็ยังกลัวไม่หาย...” มือของเขาสั่นอยู่เล็กน้อยขณะที่พูด

   “ของแบบนี้จะเด็กจะแก่ก็กลัวเหมือนกันทั้งนั้นแหละครับ ก็เรียกว่าเฉียดความตายได้เลย” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่โจเซก็ตกใจแค่ตอนแรก ๆ เพราะเขาผ่านเรื่องเฉียดตายมาเกือบตลอดชีวิต กระทั่งตอนเด็ก ๆ ก็ยังเกือบถูกลักพาตัว โชคดีแต่ยังไม่มีใครทำสำเร็จจนเขาโตขึ้นเกินกว่าจะอุ้มขึ้นรถได้แล้ว เรื่องระเบิดถึงจะไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่มันก็ไม่ได้ใหญ่โตนักสำหรับเจ้าตัว

   “แล้วชิงหลงเป็นยังไงบ้างครับ?”

   “ตอนนี้นอนอยู่ในห้องพักฟื้น เห็นว่ายังไม่ได้สติเลย” โจเซพ่นลมหายใจออกมา “นี่ก็ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ไม่แปลกนักหรอกครับ”

   “ขอโทษด้วยนะครับ ทั้งที่คุณโจเซได้มีเวลาว่างแท้ ๆ แต่กลับเกิดเรื่องแบบนี้” เซินหมิงเฟิ่งกล่าวขอโทษทำให้โจเซเลิกคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะหัวเราะออกมา

   “คุณพูดเหมือนตัวเองเป็นคนวางระเบิดเลยนะครับ”

   “แล้วผมจะวางไปทำไมกันล่ะครับ” เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายแค่ล้อเล่น เซินหมิงเฟิ่งจึงส่ายศีรษะแล้วถามกลับด้วยท่าทางเหนื่อยใจ

   ทำไมคนพวกนี้ถึงรู้สึกกับเรื่องร้ายแรงได้น้อยนักนะ

   เซินหมิงเฟิ่งนึกสงสัย

   “ไปเยี่ยมเวย์กันเถอะ ตอนนี้คงใกล้ตื่นแล้ว” โจเซเห็นหน้าอีกฝ่ายชักปุเลี่ยนจึงเปลี่ยนเรื่องพูดเสีย

   “อา...ครับ” เซินหมิงเฟิ่งขยับลุกขึ้น โดยมีโจเซเข้ามาช่วยพยุง แต่เจ้าตัวรู้สึกว่าตอนนี้เดินได้เป็นปกติแล้วจึงบิกปฏิเสธและขอเดินด้วยตัวเอง

   ห้องพักฟื้นของชิงหลงต้องเดินข้ามตึกไปด้วยทางเชื่อมอาคาร เป็นห้องพิเศษแบบเดี่ยวจึงสามารถทิ้งการ์ดไว้เฝ้าประตูได้โดยไม่ทำให้ใครแตกตื่น

   ตอนที่ทั้งสองไปถึง นางพยาบาลเพิ่งเข้ามาดูอาการและกำลังกลับออกไป

   “ตอนนี้คนไข้ยังไม่ได้สติ กรุณาอย่าส่งเสียงดังรบกวนนะคะ” พยาบาลสาวว่าจบก็เดินสวนออกไปจากห้อง

   เซินหมิงเฟิ่งเดินเข้าไปที่เตียง มองชิงหลงที่มีผ้าพันแผลมากกว่าเขาด้วยสายตาของคนรู้สึกผิด ถึงเขาจะไม่ได้เป็นคนวางระเบิดอย่างที่โจเซว่า แต่ถ้าเขาสามารถคิดได้รวดเร็วเหมือนอีกฝ่ายก็คงจะดี หากแค่เขาฉลาดกว่านี้อีกสักนิดก็คงไม่บาดเจ็บถึงขนาดนี้

   “เท่าที่หมอบอก เวย์ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ ที่เห็นร้ายแรงก็แค่บาดแผลภายนอกเท่านั้นเอง” โจเซบอกเผื่อว่าจะทำให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้น ความจริงแล้วคงต้องขอบคุณเซินหมิงเฟิ่งที่ลำตัวรองรับศีรษะของชิงหลงไว้ ไม่อย่างนั้นคงกระแทกอีกจุด อันนั้นก็ต้องเสี่ยงดวงกันว่าจะแรงแค่ไหน

   “ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าไม่เป็นอันตรายสินะครับ?” เซินหมิงเฟิ่งโล่งใจขึ้นมาก

   “แต่ที่ยังไม่ตื่นนี่คงเพราะขี้เกียจเท่านั้นแหละ” โจเซไหวไหล่ แต่ทันใดนั้น เสียงแหบแห้งก็ขัดขึ้น

   “ใครขี้เกียจกัน...”

   “นั่นไง ตื่นทันทีเชียว” โจเซหัวเราะเมื่อเห็นชิงหลงค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นแล้วขมวดคิ้วเข้าหากันเหมือนเห็นสิ่งที่น่ารำคาญทันทีที่ได้สติ จะว่าไป เขาเองก็เคยสงสัยว่าภาพแบบไหนที่ทำให้ชิงหลงตื่นมาได้โดยไม่ขมวดคิ้ว เพราะเขาไม่เคยเห็นว่าสิ่งใดจะน่าอภิรมย์สำหรับอีกฝ่าย “น่าเสียดายนะ นางพยาบาลที่เข้ามาดูนายเมื่อกี้สวยเสียด้วย นายดันตื่นไม่ทันเสียนี่”

   “งั้นเดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมงฉันก็เห็นเธออยู่ดี” ชิงหลงกลอกตาแล้วมองไปทางเซินหมิงเฟิ่งที่ดูเหมือนกำลังดีใจด้วยสีหน้าแปลก ๆ

   “ผมคิดว่าคุณจะไม่ตื่นเสียอีก” เซินหมิงเฟิ่งยิ้มออกมาในที่สุดแล้วฟุบหน้าลงบนเตียง “ถ้ารู้ว่าคุณไม่เป็นอะไรมากแต่แรก ผมคงไม่รู้สึกผิดขนาดนี้หรอก”

   “รู้สึกผิด?” ชิงหลงเลิกคิ้ว

   “ก็ผมไม่ฉลาดเท่าคุณ ถ้าผมไหวตัวเร็วกว่านั้น....”

   “คุณไม่ใช่ไม่ฉลาดเท่านั้นหรอก คุณไม่ทันคิดถึงมันเสียด้วยซ้ำ” เซินหมิงเฟิ่งยังพูดไม่จบ ชิงหลงก็แทรกขึ้นมาด้วยคำพูดที่ห่างจากคำปลอบใจไปไกลโข จริง ๆ แล้วมันใกล้เคียงกับคำตำหนิต่อว่า เซินหมิงเฟิ่งจึงยิ่งหน้าเสียเข้าไปอีกเพราะไม่คิดว่าชิงหลงจะโกรธ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ที่ชิงหลงพูดออกมาเช่นนั้นไม่ใช่ด้วยอารมณ์แบบไหนเป็นพิเศษ เจ้าตัวแค่เพียงพูดข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาตามนิสัย ซึ่งน้อยคนนักจะเข้าใจลักษณะนิสัยเช่นนั้น แม้แต่เซินหมิงเฟิ่งเองก็ยังไม่เรียนรู้ข้อนี้สักเท่าไหร่

   “ขอโทษครับ....”

   โจเซเห็นเซินหมิงเฟิ่งหงอยลงแบบนั้นก็นึกอยากจะเข้าไปช่วยแก้ต่างให้ แต่ชิงหลงกลับพูดต่อเสียก่อน

   “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ขนาดโจเซยังคิดไม่ถึง ก็ไม่น่าแปลกอะไรที่คุณจะไม่ทันนึกเช่นกัน” ว่าไป ชิงหลงก็เหลือบมองเซินหมิงเฟิ่งอีกครั้ง “ดังนั้นไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องคิดมากไปหรอก”

   โจเซได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจที่บรรยากาศตึงเครียดเบาบางลง แต่แล้ว เสียงริงโทนของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นท่ามกลางความสงบนั้น ชายหนุ่มยกขึ้นมาคุยไม่กี่คำก่อนจะตัดสายไป

   “น่าเสียดายนะที่ฉันอยู่ต่อไม่ได้ เซซิลิโอโทรมาบอกว่าสืบเรื่องระเบิดได้แล้ว ฉันคงต้องกลับไปจัดการเสียหน่อย” เขากล่าวก่อนเดินเข้ามาวางมือลงบนบ่าเซินหมิงเฟิ่ง “เรื่องเที่ยวเอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะครับ ตอนนี้เวลาว่างของผมโดยเจ้ามือระเบิกขโมยไปเสียแล้ว” เจ้าตัวหัวเราะก่อนเดินออกไปแล้วโบกมือลาทั้งสองคน แต่บอกให้การ์ดทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าชิงหลงจะออกจากโรงพยาบาลได้

   เซินหมิงเฟิ่งละสายตาจากประตูกลับมาที่เตียงอีกครั้ง

   “ดูเหมือนเราสองคนต้องติดอยู่ที่อิตาลีอีกสักพัก”

   “ติดอยู่ที่อิตาลี?” ชิงหลงแปลกใจกับสำนวนนั้นนิดหน่อย เพราะสำหรับเขาแล้ว เขาไม่ไดอยู่ในสภาวะที่ต้องใข้คำนั้นเลย

   “ก็หมอบอกว่าแก้วหูผมทนแรงดันที่เปลี่ยนไปไม่ได้ ก็เลยขึ้นเครื่องบินไม่ได้ คุณก็น่าจะเหมือนกันไม่ใช่หรือ?” เซินหมิงเฟิ่งเท้าคางอย่างเบื่อหน่าย ความจริงเขากำลังคิดว่าถ้าชิงหลงดีขึ้นแล้วแต่ไม่ถึงกับออกจากโรงพยาบาลได้ เขาอาจจะสามารถหาเที่ยวบินแอบกลับฮ่องกงได้ก่อนอีกฝ่ายจะรู้ตัว แต่เมื่อหมอแจ้งผลตรวจร่างกาย เขาก็หมดสิ้นหนทางอีกครั้งหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกแปลกใจตัวเอง ที่รู้สึกเป็นห่วงชิงหลงมากกว่าเรื่องที่อยากจะกลับบ้านไปเสียแล้ว นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้คิดหาทางหนีเลยสักครั้ง

   “ก็เป็นเรื่องปกติ ผมไม่เห็นว่าน่าแปลกใจตรงไหน” ชิงหลงพอจะรู้เรื่องแบบนี้มาบ้างแม้ว่าเขาจะเพิ่งเคยโดนระเบิดจะ ๆ เอาครั้งนี้ครั้งแรกก็ตาม

   “ให้ตายสิ คุณนี่ไม่มีอารมณ์เหมือนมนุษย์ปุถุชนบ้างหรือยังไงนะ” เซินหมิงเฟิ่งบ่นอุบแล้ววางคางลงบนเตียง เขาเองก็อยากจะนอนพักเหมือนกัน แต่หมอบอกให้เขากลับบ้านนี่สิ

   “คุณอยากให้ผมแสดงอารมณ์แบบไหนกันล่ะ?”

   “อย่างน้อยคุณก็น่าจะแสดงความตกใจหน่อย คุณเพิ่งโดนระเบิดมานะครับไม่ใช่เดินตกบันได” ยิ่งพูดเซินหมิงเฟิ่งก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกมาเฟียรู้สึกช้ากับสิ่งอันตรายจริง ๆ ทั้งที่เขายังกลัวไม่หาย คนที่โดนหนักกว่ากับเจ้าของรถกลับสีหน้าสบายใจเฉิบ ไม่รู้ร้อนหนาวสักนิด นี่ตอนที่เขาต้องรับตำแหน่งต่อจากพ่อ เขาจะต้องเป็นคนหน้าตายไร้ความรู้สึกแบบนี้ด้วยหรือเปล่า?

   คิดถึงพ่อ...อารมณ์ของเขาก็หดหู่ขึ้นมาทันที

   ทั้งที่เขาพยายามจะไม่คิดเรื่องนี้ และคิดว่าอีกไม่นานชิงหลงคงจะใจอ่อนเลิกเอาความกับพ่อของเขา แต่เขาก็อดจะรู้สึกอึดอัดในอกไม่ได้

   ในขณะที่เขากำลังพยายามกลืนความรู้สึกในด้านลบเหล่านั้น ฝ่ามือข้างหนึ่งก็วางลงเหนือศีรษะอย่างแผ่วเบา ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ และได้เห็นชิงหลงกำลังทอดสายตามองไปยังหน้าต่างด้วยสีหน้านิ่งสนิท แต่มือของฝ่ายนั้นยังลูบอยู่บนเรือนผม

   รอยยิ้มค่อย ๆ แย้มออกบนริมฝีปากของเซินหมิงเฟิ่ง

   เขาเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้ก็เป็นด้วย จะว่าไป ตอนอยู่กับลูกของการ์ดคนนั้น ชิงหลงก็ค่อนข้างจะอ่อนโยนมากทีเดียว ทั้งที่เป็นคนเข้ากับเด็กได้ดี แต่กลับยังไม่เคยมีลูกหรือแต่งงาน เพราะบุคลิกชิงหลงบ่งบอกว่าเจ้าตัวสนใจงานมากกว่าความรักกระมัง

   เซินหมิงเฟิ่งค่อย ๆ หลับตาลง และโดยไม่รู้ตัว เขาก็ดิ่งลงสู่ห้วงนิทรา

--------------------->

   รถคันหรูจอดลงหน้าภัตตาคารแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่เดียวกับที่เธอเคยมาคราวที่แล้ว ซากุระเดินลงจากรถก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอด ครั้งนี้เพราะเธอมาคนเดียวหรือยังไงนะ จึงรู้สึกเหมือนกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่ตนเองไม่รู้จัก ทั้งที่คน ๆ นั้น เธอก็รู้จักดี และเคยสนทนาด้วยมาแล้ว บางที...คงจะเพราะครั้งนี้ เขาจะไม่ได้มาเพื่อเจอเธอในฐานะมิตรเสียกระมัง ถึงแม้ตัวซากุระจะเคยเจอสถานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้าผู้อื่นหลายครั้ง แต่ไม่เคยต้องเจอกับคนอื่นในรูปแบบนี้มาก่อน

   ซากุระสลัดความหวั่นใจทิ้งไป ก่อนก้าวเท้าเข้าประตูบานสูง

   บริกรนำเธอมาที่โต๊ะเดิม ซึ่งเห็นบรรยากาศเดิม ๆ แบบเดียวกับที่เคยเห็นเมื่อไม่นานมานี้

   หลางเมี่ยวเจินนั่งรออยู่ด้วยท่าทีสบาย ๆ ไม่ได้แสดงความกดดันอะไรอย่างที่เธอกลัวในตอนแรก กลับกัน เหมือนเขาจะวางตัวให้ดูเป็นมิตรเสียด้วยซ้ำ

   “เชิญนั่งสิครับ” หลางเมี่ยวเจินผายมือไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

   “ขอบคุณนะคะ ที่สละเวลา” ซากุระกล่าวขณะนั่งลง

   “ไม่เป็นไร เสี่ยวอินเล่าให้ผมฟังแล้ว คุณมินาโมโตะเองก็ลำบากมาไม่ใช่น้อยเลยนะครับ” รอยยิ้มและคำพูดของชายหนุ่มดูไม่ถือสาหาความ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ซากุระจึงรู้สึกเหมือนตนเองถูกเหน็บแนมอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่น่าแปลกนักหรอก หากมีคนมาหลอกลวงน้องสาวตัวเอง เป็นใครก็ต้องรู้สึกอคติกับคน ๆ นั้นอยู่แล้ว ตอนนี้เธอคงเหมือนคนตลบแตลงในสายตาอีกฝ่ายไปเรียบร้อย

   “ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่ได้ลำบากอะไรเลย คุณเมี่ยวอินเองก็ดีกับฉันมาก”

   หลางเมี่ยวเจินฟังแล้วยิ้มบาง

   “ผมน่ะไม่ถือสาเรื่องแบบนั้นหรอก”

   “เอ๋?” ซากุระกระพริบตางง ๆ หลางเมี่ยวเจินจึงว่าต่อ

   “คุณกำลังกังวลว่าผมจะมองว่าคุณเป็นพวกสองหน้าอยู่ไม่ใช่หรือ? ถึงคุณจะไม่พูดออกมาแต่สีหน้าคุณก็บ่งบอกอยู่ เวลาปกติคุณก็ดูยากอยู่หรอก แต่ตอนที่รู้สึกผิดแบบนี้คุณกลับมองออกง่ายมาก ผมคงประเมินคุณสูงเกินไปเพราะผมคิดว่าคุณจะมาหาผมด้วยตัวตนในแบบที่ผมเคยได้พบตอนงานหมั้นครั้งนั้นเสียอีก” ชายหนุ่มทำเสียงผิดหวังอย่างไม่ปิดบัง “อย่าหาว่าผมปากเสียเลยนะ แต่คุณในเวลานี้น่ะ ผมไม่รู้ว่าควรจะให้ข้อมูลเพื่อร่วมมือกับคุณอย่างที่เสี่ยวอินว่าหรือเปล่า”

   “ถ้าแม้แต่คุณยังให้ความร่วมมือกับฉัน มันคงไม่ใช่เรื่องความเป็นเพื่อนอย่างที่คุณเมี่ยวอินเคยบอกแล้วใช่ไหมคะ”

   หลางเมี่ยวเจินฟังคำพูดนั้นก่อนจะยิ้มออกมา

   “คุณในแบบนี้สิที่ผมต้องการ”

   ซากุระชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะคิดทบทวนตัวเอง

   จริงสินะ ตั้งแต่ถูกหลางเมี่ยวอินเรียกไปพบ เธอก็นึกหวาดกลัวอยู่ตลอด ทั้งที่ตั้งใจแล้วว่าจะไม่ถอยอีกแล้วแต่เอาเข้าจริง ใจของเธอกลับไม่ยอมเดินหน้าไปด้วย หากเป็นตัวเธอก่อนหน้านี้ คงจะเดินเข้ามาหาหลางเมี่ยวเจินด้วยท่าทางมั่นใจและไม่ยอมถูกต่อว่าเอาแบบนี้แน่

   “ขอโทษด้วยนะคะที่ฉันเสียหลักไปชั่วครู่ และต้องขอบคุณที่ช่วยเตือนด้วย” หญิงสาวยิ้มบาง “ถ้าอย่างนั้นช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมคะ ว่าคุณจะได้ประโยชน์อะไรจากการร่วมมือกับฉัน”

   หลางเมี่ยวเจินยกมือขึ้นมาประสานบนโต๊ะแล้วกลอกตาเหมือนกำลังเรียบเรียงคำพูดอยู่

   “คุณกำลังพยายามช่วยเซินหมิงเฟิ่งถูกไหม?”

   ซากุระพนักหน้ารับ

   “ในตอนแรก พวกเราทุกคนต่างคิดว่าบางทีจูเชว่อาจจะเจอปัญหาใหญ่ และเซินหมิงเฟิ่งอาจจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะอธิบาย” หลางเมี่ยวเจินเหมือนจะไม่อยากพูดคำที่เหมือนแช่งสักเท่าไหร่จึงเลี่ยงเสีย “เอาเป็นว่า ไม่มีใครคิดอยากจะยุ่งเกี่ยว เพราะพวกเราไม่คิดจะข้องเกี่ยวกันมากเกินไปอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นจูเชว่กลับใช้คุณซึ่งเป็นไพ่ใบที่ไม่มีใครคาดถึง นั่นแปลว่าทั้งเขาและคุณ หรืออย่างน้อยก็ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องมั่นใจว่าตอนนี้เซินหมิงเฟิ่งอยู่ที่ไหนและยังมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน”

   “จะว่าแบบนั้นก็ไม่ผิดค่ะ” ซากุระเลือกที่จะตอบให้สั้นเข้าไว้ อีกฝ่ายจะได้เดาความคิดเธอไม่ออก เพราะในความเป็นจริงแล้วเธอไม่รู้เลยว่าตอนนี้เซินหมิงเฟิ่งอยู่ที่ไหนหรือเป็นอย่างไร และเซินจงก็ไม่เคยปริปากบอก ในตอนแรกเธอจึงคิดว่าทุกอย่างที่ทำนี้เพื่อสืบหาตัวเซินหมิงเฟิ่ง แต่เมื่อหลางเมี่ยวเจินพูดออกมาเช่นนี้ เธอคงต้องคิดทบทวนใหม่ว่าทุกก้าวเดินของเธอทำไปเพื่ออะไร หากเซินจงรู้ทุกอย่างอยู่แก่ใจ

   น่าแปลก...เธอกลับไม่รู้สึกโกรธเซินจงทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายเล่าความไม่หมด

   “ถ้าเซินหมิงเฟิ่งยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่สามารถปรากฏตัวกลับมาที่บ้านได้ แปลว่าต้องการความช่วยเหลือ”

   ซากุระเหมือนจะคาดเดาได้เลา ๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-07-2012 23:19:27 โดย ZIar »

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 23 (10/07/12)
«ตอบ #195 เมื่อ10-07-2012 21:09:13 »

   “คุณคิดว่าการมีส่วนช่วยเหลือจูเชว่ในอนาคต จะให้ผลประโยชน์กับเสวียนอู่ได้แค่ไหน” หลางเมี่ยวเจินทิ้งท้ายไว้แค่นั้น และเฝ้ารอคำตอบจากคู่สนทนา

   “น่าแปลกนะคะที่คุณคิดเรื่องนี้ ทั้งที่ตัวคุณเองไม่ใช่คนที่จะสืบทอดตำแหน่งนั้น” สายตาของซากุระมองตรงไปยังฝั่งตรงข้าม ก่อนจะเปลี่ยนไปมองบริกรที่ยกไวน์เข้ามา และเธอก็วางท่าเหมือนกำลังพูดคุยเรื่องผ่อนคลายสบาย ๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติต่อหน้าคนนอก

   จนกระทั่งบริกรจากไปแล้ว หลางเมี่ยวเจินจึงถามต่อ

   “ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น” เขาหัวเราะ “ผมเป็นทายาทในนามอยู่นะครับ”

   “เรื่องนั้นฉันคงเถียงคุณไม่ได้ แต่ว่าก็น่าแปลกนะคะ ที่ตอนนี้คนที่มีส่วนร่วมกับกิจการของตระกูลหลางกลับเป็นคุณเมี่ยวอินมากกว่าคุณหลางเสียอีก ล่าสุดนี้มีการประชุมบอร์ดบริหาร ก็เป็นคุณเมี่ยวอินที่ไปแทนเสวียนอู่ไม่ใช่คุณที่เป็นทายาทในนาม แม้แต่เวลานี้ หลาย ๆ คนก็เริ่มพูดกันออกมาแล้วว่าคนที่เป็นทายาทตัวจริงคือหลางเมี่ยวอิน ถึงจะยังเป็นเรื่องลับ ๆ ที่พูดกันข้างหลังก็ตามทีเถอะค่ะ” ถึงจะเป็นเรื่องน่าแปลกที่ซากุระรู้ลึกถึงขนาดนั้น แต่หลางเมี่ยวเจินกลับไม่นึกแปลกใจ เพราะบางทีหลางเมี่ยวอินอาจจะบ่นให้หญิงสาวฟังเรื่องงาน หรือไม่อย่างนั้น มินาโมโตะ โชโก ก็มีความคุ้นเคยกับคนในวงการธุรกิจอยู่ไม่น้อย ไม่น่าแปลกหากซากุระจะใช้เส้นสายของพ่อเพื่อทำประโยชน์ให้ตัวเองบ้าง ยิ่งตอนนี้เธอเข้ามาบริหารแทนพ่อชั่วคราวด้วยแล้ว

   “คุณเองก็รู้มามากเหมือนกันนะครับ แต่ถึงอย่างนั้นเสี่ยวอินก็เป็นผู้หญิง แม่ของผมยังไม่เคยได้ตำแหน่งทายาทเลยจนกระทั่งจากไป ตำแหน่งนั้นสืบจากคุณตามาหาผมโดยตรง ไม่ได้ผ่านตามขั้นตอนปกติและมาหาผมเมื่อแม่ของผมเสีย” หลางเมี่ยวเจินกล่าวพลางยิ้ม เสมือนกำลังท้าทายซากุระไปในตัว เพราะอย่างที่รู้กันว่าถึงฮ่องกงจะมีความเป็นสากลมากกว่าแผ่นดินใหญ่ แต่วัฒนธรรมประเพณีบางอย่างก็ยังฝังรากลึกเกินกว่าจะถอนออกไปได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งการให้ผู้ชายเป็นผู้นำก็เป็นหนึ่งในรากที่หยั่งลึกเหล่านั้น

   “ฉันอาจจะไม่รู้เรื่องในวงการแบบนี้เหมือนคุณหรือคุณเมี่ยวอิน แต่ว่าโลกในสมัยนี้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว และพวกคุณทั้งสองคนก็แสดงออกค่อนข้างชัดเจนว่าไม่ได้สนใจประเพณีแต่โบราณเลยแม้แต่น้อย เห็นได้จากที่คุณเมี่ยวอินสามารถทำงานได้ในตำแหน่งที่ทัดเทียมกับผู้ชาย” ซากุระเว้นจังหวะเล็กน้อยเพื่อจิบไวน์กลั้วคอหลังจากพูดไปเสียยาว “จริงอยู่ว่าตั้งแต่เริ่มแรกมา พวกคุณอาจไม่เคยสืบตำแหน่งโดยผู้หญิงเลย แต่นั่นก็เป็นเพราะคนจีนนิยมมีลูกจำนวนมากมาตั้งแต่สมัยก่อน ดังนั้นจึงมีโอกาสน้อยที่จะไม่มีผู้ชายเกิดในบ้านแม้แต่คนเดียว แต่ว่าในตอนนี้มีแค่พวกคุณสองคน ถ้าไม่ใช่คุณก็ต้องเป็นคุณเมี่ยวอิน”

   “ก็จริง...คุณเองก็คงเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่เหมือนกันถึงพูดเรื่องแบบนี้ได้โดยไม่มีอคติ” เสียงของหลางเมี่ยวอินเหมือนจะเป็นคำชมมากกว่าแค่เปรยขึ้นมาเฉย ๆ

   “ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ...ฉันไม่อาจทราบได้เลยว่าทำไมคุณถึงเลือกจะละทิ้งตำแหน่งนี้ไป ถึงจะเป็นความต้องการของคุณเอง แต่คนรอบข้างก็คงไม่ยอมง่าย ๆ คุณใช้วิธีไหนกันคะ?” คำถามของซากุระค่อนข้างจะตอบยากสำหรับหลางเมี่ยวเจิน กระนั้นเขาก็รู้อยู่แล้วว่าตนเองจะต้องถูกถามจึงไม่ตกใจอะไร

   “ผมจะเริ่มจากตรงไหนดีนะ” หลางเมี่ยวเจินขยับปลายนิ้วเคาะบนฝ่ามือตนเอง “คุณเป็นผู้หญิงคงจะเข้าใจสินะครับ การแลกตัวผู้หญิงกับผลประโยชน์น่ะ เสี่ยวอินเองก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน เพราะเป็นหลานสาวคนเดียวของเสวียนอู่ และพ่อของผมก็เป็นคนธรรมดาที่ไม่เกี่ยวข้องกับโลกทางนี้เลย กระทั่งนักธุรกิจก็ยังไม่ใช่ เสี่ยวอินจึงถูกจับจ้องในฐานะสินค้ามาโดยตลอด”

   ซากุระทำความเข้าใจกับเรื่องนั้นได้ไม่ยากนัก เพราะเธอเองก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน เป็นผู้หญิงที่ถูกขายแลกกับผลประโยชน์ของพ่อ

   “แต่ว่าทั้งผมทั้งเสี่ยวอินไม่ได้ยินยอมไปตามแผนของคนรอบข้าง เสี่ยวอินต้องการพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นได้มากกว่าสินค้า ส่วนผมต้องการมีชีวิตของตัวเอง” ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ “ในตอนนั้นทุกคนต่างคิดว่าหลางเมี่ยวอินโชคดีที่มีคนในตำแหน่งผู้นำอายุใกล้เคียงกันให้เลือกหลายคน ชิงหลงกับไป๋หู่ต่างก็อยู่ในวัยที่เหมาะสม แล้วยังมีเซินหมิงเฟิ่งที่เป็นทายาทสายตรงคนเดียวของจูเชว่อีก แน่นอนว่าพวกเขาหมายมั่นปั้นมือจะยกหลางเมี่ยวอินให้เป็นภรรยาของหนึ่งในสามคนนี้ ลองเสวียนอู่ยกหลานสาวให้ ใครล่ะจะไม่กล้ารับ ถึงจะเป็นสามคนนั้นก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ แต่ต่อมาก็มีข่าวว่าจูเชว่ต้องการดองกับนักธุรกิจต่างชาติ ทำให้ตัวเลือกหายไปหนึ่งคน เมื่อเหลือแค่สองก็เป็นตัวเลือกที่ง่ายขึ้น เพราะไป๋หู่คงจะยอมเล่นกับเกมของเราง่ายกว่า”

   เกม?

   ซากุระเลิกคิ้ว

   “ยังไงก็ตาม เสวียนอู่จะต้องมีทายาทสายตรง ดังนั้นผมจึงลงมือก่อนเพื่อไม่ให้พวกเขามีทางเลือกอื่นนอกจากเสี่ยวอิน อีกอย่าง ผมก็ไม่ได้มีปัญหากับรสนิยมเรื่องเพศอยู่แล้วด้วย ถ้าเพื่อเป็นอิสระจากคนบ้าอำนาจพวกนั้นผมทำได้ทุกอย่าง แล้วไป๋หู่ก็ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกเบื่อหน่าย ถึงตอนนี้คุณคงจะเดาได้นะครับ”

   ซากุระหน้าแดงน้อย ๆ เมื่อหลางเมี่ยวเจินเล่าจบ จริงอยู่ว่าเธอไม่ได้นึกรังเกียจความรักต่อเพศเดียวกัน แต่มาพูดตรง ๆ อย่างนี้เธอก็อดจะอายแทนไม่ได้ และตอนนึ้ความสงสัยทั้งหมดก็คลายออกแล้วว่าทำไมจึงมีคนพบเห็นไป๋หู่กับหลางเมี่ยวเจินในท่าทางที่ใกล้ชิดกันเกินจำเป็น

   “ทั้งหมดนั่นคือคำอธิบายสินะคะ”

   “จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิด” หลางเมี่ยวเจินยิ้มขณะที่บริกรยกอาหารมาเสิร์ฟ เขาสะบัดผ้าคลุมครั้งหนึ่งก่อนวางลงบนหน้าตัก

   ซากุระประมวลทุกอย่างในสมองพลางก้มลงมองอาหารที่มาวางตรงหน้า

   “คุณหลางคะ”

   “ครับ?” หลางเมี่ยวเจินเงยหน้าขึ้นแล้วขานรับ

   “ที่คุณเล่ามา จริงอยู่ว่าอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณเซินเลย แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากคุณอยู่ดี แต่ฉันจำเป็นต้องเล่าบางอย่างให้คุณฟัง คุณช่วยรับปากได้ไหมคะว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปไม่ว่ากับใคร” ซากุระกล่าวพลางก้มศีรษะเหมือนกำลังขอร้อง

   หลางเมี่ยวเจินอดขำไม่ได้

   “ผมเล่าเรื่องของผมให้คุณฟังหมดแล้ว นั่นยังไม่ใช่หลักประกันที่ดีพอหรือ?”

   “ยิ่งกว่าพออีกค่ะ” ซากุระยิ้มจาง ถึงจะไม่มั่นใจนัก แต่เธอก็ไม่อาจหาทางไปต่อที่ดีกว่านี้ได้ มีแต่คนตรงหน้านี้เท่านั้นที่นำเธอไปหาไป๋หู่ได้ไวที่สุด “ในตอนนี้คุณเซินอยู่ที่ไหนฉันเองก็ไม่ทราบ แต่จูเชว่มั่นใจมากว่าไป๋หู่จะต้องรู้และเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้ใครก็ตามที่มีคุณเซินอยู่ในมือ ยอมปล่อยคุณเซินให้เป็นอิสระได้ ดังนั้นฉันจึงจำเป็นที่จะต้องไปให้ถึงตัวไป๋หู่มากพอที่จะพูดเรื่องนี้กับเขาได้ค่ะ”

   “แปลว่าคุณต้องการให้ผมพูดกับไป๋หู่ให้หรือครับ?”

   ซากุระชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า

   “ไม่ถึงกับต้องคุยให้ก็ได้ แค่พาฉันไปหาเขาก็พอ”

   หลางเมี่ยวเจินเคาะปลายช้อนกับจาน แม้จะเป็นกริยาที่ไม่ดีนักแต่เขาก็ติดที่จะทำมันตอนที่กำลังใช้สมองและมีอะไรบางอย่างอยู่ในมือ

   “คุณรู้ใช่หรือเปล่าว่าไป๋หู่เป็นคนยังไง ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังยืนยันจะเผชิญหน้ากับเขาตามลำพังหรือ?” เขาถามเพื่อยืนยันความตั้งใจของซากุระ

   “หากว่านั่นเป็นทางเดียวที่ฉันทำได้ ฉันก็จะทำค่ะ”

   หลางเมี่ยวเจินเลิกคิ้วน้อย ๆ ซากุระเป็นคนเข้มแข็งกว่าที่เขาคิดไว้ จะว่าไป หากไม่ใช่คนเข้มแข็งอย่างนี้ จูเชว่คงใช้คนเสียเปล่า ต้องบอกว่าโชคดีสินะ ที่จูเชว่ได้มินาโมโตะ ซากุระเป็นลูกสะใภ้ แต่คงจะเป็นโชคร้ายของซากุระที่ต้องหลงเข้ามาในวังวนนี้ที่หาความจริงใจไม่ได้

   “ช่วยไม่ได้ ถ้าคุณยืนยันแบบนั้น” ชายหนุ่มตอบ “แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ผมคงรับผิดชอบให้คุณไม่ได้หรอกนะ คุณซากุระ” แต่ก็จงใจขู่สำทับเผื่อว่าจะเปลี่ยนใจ

   “ขอบคุณสำหรับความกรุณา แต่ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ซากุระยิ้มรับ

   “ถ้าอย่างนั้นผมจะโทรติดต่อคุณอีกทีก็แล้วกัน” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตั้งใจแน่วแน่ขนาดนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าจะขัดความตั้งใจไปทำไม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้แล้วว่าทำไมหลางเมี่ยวอินจึงได้ถูกใจผู้หญิงคนนี้ ทั้งที่มีผู้หญิงหลายคนอยากจะเข้ามาเป็นเพื่อนใกล้ชิดสนิทสนม แต่คนเหล่านั้นต้องการแต่สิ่งที่หลางเมี่ยวอินมีจึงตีหน้าซื่อเข้าหา ส่วนซากุระกลับเป็นคนซื่อตรงเสียจนน่าสงสาร แต่กระนั้นก็ยังมีความเข้มแข็งและเฉลียวฉลาดอย่างน่านับถือ คนแบบนี้หากไม่ยึดเอาไว้ข้างกายก็โง่เต็มที จูเชว่ตาถึงจริง ๆ ...

------------------------>

   หลังจากพบกับหลางเมี่ยวเจินแล้ว ซากุระก็กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย แต่บ้านของเธอนั้นว่างเปล่าไม่มีใครแม้สักคนรอต้อนรับอยู่ มีก็แต่การ์ดกับคนดูแลบ้านที่เธอไม่ค่อยได้สนทนาด้วยนักเพราะพวกเขาพูดได้แต่ภาษาจีน ส่วนเธอก็พูดยังไม่ชัดนักทำให้อีกฝ่ายฟังไม่ค่อยออกเนื่องจากไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับคนต่างชาติจนชินสำเนียงที่แปร่งแปลกไปจากที่พูดคุยปกติ

   ซากุระตรงดิ่งขึ้นไปที่ห้องนอนซึ่งถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อยเหมือนเคย และพบว่าเครื่องปรับอากาศในห้องถูกเปิดรอเอาไว้แล้ว

   กระเป๋าถูกโยนไปบนเตียงขณะที่หญิงสาวพยายามสลัดถุงน่องออกจากขาและถอดเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำเตรียมนอน

   สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้สร้างความหนักใจและโล่งใจไปพร้อม ๆ กัน

   โล่งใจที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น และหลางเมี่ยวเจินไม่ได้ต่อต้านเธออย่างที่คิด

   หนักใจที่ก้าวต่อไปของเธอจะยากยิ่งกว่าเก่า เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงไป๋หู่ เป็นหัวหน้าองค์กรที่ครอบครองแนวตะวันตกของเกาะฮ่องกงทั้งหมด จนถึงตอนนี้ซากุระยังไม่รู้เลยว่าเมื่อถึงเวลานั้นตัวเองจะมีอะไรไปต่อรองกับอีกฝ่ายได้บ้าง

   ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องของอนาคต...

   ซากุระเริ่มเรียนรู้ได้บ้างว่าการกังวลถึงอนาคตมากเกินไปมีแต่จะก่อให้เกิดผลเสียต่อตนเอง จริงอยู่ว่าการวางแผนเป็นเรื่องสำคัญ แต่การปล่อยให้มันมากดดันการใช้ชีวิตในทุกวินาทีกลับยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง อย่างเช่นในวันนี้ หากเธอไม่ตั้งสติแล้ว คงจะไม่ได้อะไรจากปากของหลางเมี่ยวเจินเป็นแน่ และฝ่ายนั้นก็ดูจะจงใจทดสอบเธอเสียด้วย ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าไป๋หู่จะต้องยิ่งกว่านี้

   หญิงสาวปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านลำตัวลงไปรวมกันบนพื้น ชะล้างเอาความเหนื่อยล้าและความกังวลทั้งหมดออกไปจากจิตใจ

   เสียงเอี๊ยดดังขึ้นหลังจากบิดฝักบัวปิดจนสุด

   ซากุระดึงผ้าขนหนูมาซับน้ำจนแห้งดีแล้วจึงพันตัวออกมา ชุดนอนสบาย ๆ กรุ่นกลิ่นน้ำยาอบผ้าช่วยให้ปรอดโปร่งขึ้นมาก

   เมื่อแต่งตัวเรียบร้อย ซากุระจึงยกกระเป๋าถือไปเก็บในตู้ โยนเสื้อผ้าชุดเก่าลงในตะกร้ามุมห้อง และทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มที่ทำให้รู้สึกสบายแผ่นหลัง

   สายตาซากุระกลอกขึ้นมองเพดาน และปล่อยให้สติเลื่อนลอยไป

   ในหัวของเธอมีภาพหลายอย่างปรากฏอยู่ ทั้งคนมากมายที่เธอได้พบตลอดช่วงที่ผ่านมานี้ การปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านั้นช่างดูไม่เหมือนกับตัวเองคนเก่าเลย บางทีที่คนเขาว่าสภาพแวดล้อมมีผลต่อจิตใจคงเป็นเรื่องจริง เพราะเมื่อวันเวลาผ่านไปและเธอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มากเท่าไหร่ ก็เหมือนว่าบางสิ่งในตัวเธอกำลังเปลี่ยนไปมากเท่านั้น ทั้งความเยือกเย็นที่มากขึ้น การคิดล่วงหน้าและวางบทบาทตัวเองไว้มากมาย การเริ่มใช้ประโยชน์จากสิ่งรอบตัว ทั้งอำนาจของพ่อและความเป็นผู้หญิงของตัวเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้เลยแท้ ๆ

   ซากุระเลื่อนสายตาลงมาเรื่อย ๆ จนถึงโต๊ะที่วางข้างเตียง บนนั้นมีรูปถ่ายในงานหมั้นอยู่ซึ่งพ่อของเธอสั่งให้ใส่กรอบมาวางไว้ เพื่อตอกย้ำเธออยู่เสมอแม้ในยามหลับหรือยามตื่นว่าตัวเธอถูกขายให้เป็นสมบัติของจูเชว่แล้ว ในตอนแรกเธอไม่ชอบมันเลยสักนิด...แต่ตอนนี้มันกลายเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนถึงก้าวเดินของเธอเอง การที่เธอช่วยเซินหมิงเฟิ่งได้ ก็คือการที่เธอได้ช่วยตัวเองด้วย

   ดังนั้นไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ คุณเซิน....เพราะฉันจะพาคุณกลับมาให้ได้

TBC

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 23 (10/07/12)
«ตอบ #196 เมื่อ10-07-2012 21:24:29 »

ตอนนี้ยังกลับจากอิตาลี่กันไม่ได้ หุหุ
อยู่กัยต่อไปนะทั้งสองคน ฮ่าๆ

ออฟไลน์ ตัวเลข

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 23 (10/07/12)
«ตอบ #197 เมื่อ10-07-2012 22:54:27 »

คุณเซิงซากุระกำลังหาทางช่วยอยู่นะ อยาลืมนะว่ายังมีคู้หมั้นที่แสนรออยู่นะ 

ออฟไลน์ sosi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 23 (10/07/12)
«ตอบ #198 เมื่อ10-07-2012 23:00:25 »

 :เฮ้อ:
ดีจังที่ชินหลงไม่เป็นไรมาก

ออฟไลน์ wikichan

  • ชื่อ:Wi! วิ! วิกิ! วิเวียน//วันๆ ไม่ทำอะไรชอบอ่านมังงะและนิยายเป็นชีวิตจิตใจ ชอบผลงานของพี่แพร์ Nigiri_Sushiที่สุดอ่านทุกเรื่องแต่ไม่ได้ซื้อทุกเรื่อง อยากเจอตัวจริงสักครั้งนึงแบบว่านักเขียนในดวงใจ #เพ้อ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 23 (10/07/12)
«ตอบ #199 เมื่อ10-07-2012 23:54:12 »

โอเค ซึ้ง อยู่กันยาว ๆ นะ อิตาลี่

ชอบจริงอะไรจริง บรรยากาศของทั้งคู่เริ่มมีลางให้จิ้นหนัก ๆ ซะแล้ววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 23 (10/07/12)
« ตอบ #199 เมื่อ: 10-07-2012 23:54:12 »





ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 23 (10/07/12)
«ตอบ #200 เมื่อ11-07-2012 17:36:39 »


โชคดีที่ทั้ง 2 คนไม่ได้เป็นไรมาก  ซากุระนี่เข้มแข็งจัง

ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 23 (10/07/12)
«ตอบ #201 เมื่อ22-07-2012 10:51:43 »

รอตอนต่อไปนะ  :mc4:

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 24 (23/07/12)
«ตอบ #202 เมื่อ23-07-2012 20:42:07 »

-24-


   ช่อดอกไม้เรียงรายอยู่หน้าร้านค้า ณ จัตุรัสซานมาร์โค บางช่อก็มีหลากหลายสีสัน บางช่อก็เป็นดอกไม้ชนิดเดียวและประดับด้วยใบสีเขียวสดสวย หญิงสาวเจ้าของร้านกำลังจัดช่อใหม่ที่เหมือนจะมีคนโทรมาสั่งพลางฮัมเพลงอย่างมีความสุข เธอหยิบดอกไม้ชนิดินั้นดอกหนึ่ง ชนิดนี้สองดอก มาจัดรวมกันเสมือนแค่หยิบนั่นหยิบนี่มั่วไปเรื่อย แต่น่าแปลกที่มันผสมผสานได้อย่างลงตัวจนออกมาเป็นช่อดอกไม้ขนาดพอดีมือในห่อกระดาษแก้วและริบบิ้นสีสดใส เธอประพรมน้ำลงบนช่อดอกและใบก่อนจะวางลงบนโต๊ะ

   เซินหมิงเฟิ่งยืนละล้าละลังอยู่หน้าร้านโดยไม่ได้เรียกหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของให้หันมาสนใจ เพราะเขาเกรงว่าเธออาจจะไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ แต่คิดอีกที นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของเวนิส คนที่ขายของแถวนี้คงพูดภาษาสากลได้หมด

   “อ๊ะ สวัสดีค่ะ” แต่แล้วเธอกลับหันมาเห็นเขาเสียก่อน หญิงสาวยิ้มกว้างจนเขารู้สึกเหมือนเห็นกลีบดอกไม้บานออกตรงหน้า “จะรับดอกอะไรดีคะ? งานแต่งงานหรือเปล่า?”

   “ไม่ใช่หรอกครับ” เซินหมิงเฟิ่งโบกไม้โบกมือ เจ้าของร้านพูดภาษาอังกฤษได้เก่งกว่าที่เขาคิด ตอนแรกเขาเกือบจะหันไปสะกิดการ์ดที่มาด้วยกันให้ตอบแทนแล้ว

   “อุ๊ย แหม....” อยู่ ๆ เธอก็อุทานออกมาเหมือนคิดอะไรได้แล้วหัวเราะคิกคักอย่างไม่มีเหตุผล “สีชมพูกับขาวก็ดีนะคะ ผู้หญิงส่วนใหญ่จะชอบน่ะค่ะ”

   เซินหมิงเฟิ่งเกือบสำลักน้ำลายตัวเองเมื่อได้ยินประโยคท้าย

   “คือ....ผมจะไปเยี่ยมคนป่วยน่ะครับ” เขากระแอมก่อนจะบอกเป้าหมายที่แท้จริงก่อนอีกฝ่ายจะไพล่คิดเป็นอื่นไปอีก และนั่นทำให้หญิงสาวเจ้าของร้านทำหน้าตกใจนิดหน่อยกอนจะหัวเราะเขิน ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังดูสดใสเหมือนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานอยู่ในทุ่งอยู่ดี ยิ่งมีแต่ดอกไม้รายล้อมอย่างนี้ด้วยแล้ว ถึงแม้เธอจะไม่ใช่คนสวยแต่รอยยิ้มของเธอคงเรียกลูกค้าได้มากกว่าหน้าตาเสียอีก

   “คนป่วยเป็นญาติหรือคะ?” เธอเอ่ยถามพลางมองดอกไม้ช่อต่าง ๆ ที่ยืนหยัดประชัดสีสันกันอยู่หน้าร้าน

   “เปล่าครับ......เพื่อนน่ะครับ” เซินหมิงเฟิ่งไม่แน่ใจว่าตนเองจะเรียกชิงหลงแบบนี้ได้หรือไม่ แต่หากบอกว่า ‘คนที่ลักพาตัวผมมา’ เกรงอีกฝ่ายจะคิดว่ากำลังถ่ายทำละครมากกว่า หรือไม่เจ้าตัวก็อาจจะมองหากล้องจากรายการตลกแอบถ่ายสักรายการหนึ่ง

   “เพื่อนชายหรือหญิงคะ?” หญิงสาวเริ่มมองดูดอกไม้ในถังที่จัดดอกไม้แยกกันเป็นกลุ่ม ๆ

   “ชายครับ”

   เจ้าของร้านพึมพำกับตัวเองอยู่สักพักพลางมองดอกไม้รอบตัวแล้วพยักหน้ากับตนเอง

   “ถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วคงต้องเป็นแบบเคร่งขรึมหน่อย เอาเป็นกระเช้าไหมคะ? ถ้าจัดเป็นดอกปักษาสวรรค์สองสามดอก กับใบไม้ปักบนโอเอซิสจะดูสวยแบบเป็นทางการเหมาะกับผู้ป่วยชายที่เป็นผู้ใหญ่แล้วน่ะค่ะ” เธอว่าพลางยกดอกปักษาสวรรค์สีส้มขึ้นมาให้ดู ซึ่งความจริงเซินหมิงเฟิ่งรู้สึกว่าชื่อของมันออกจะไม่เข้ากับชิงหลงนิดหน่อย มันคงเข้ากับพ่อของเขาเสียมากกว่า เสียดายที่ในโลกนี้ไม่มีดอกไม้ชื่อมังกรสวรรค์ เพราะเขาคงเลือกมันอย่างไม่ลังเล หรือเขาควรจะซื้อแก้วมังกรไปให้ดีนะ....

   จะว่าไป เขาก็คลับคล้ายคลับคราว่าจะเคยได้ยินชื่อดอกไม้เกี่ยวกับมังกรอยู่....

   เอ....มังกร....อะไรนะ...

   เซินหมิงเฟิ่งนึกแล้วมองไปรอบ ๆ พยายามเค้นสิ่งที่อยู่ในสมองออกมา

   “เอ่อ....ผมขอเวลาคิดสักครู่นะครับ” เขาเกรงว่าเจ้าของร้านจะรอนานจึงหันกลับไปบอกแล้วเดินออกมาห่างจากร้านเล็กน้อยเพื่อหลีกให้คนอื่นเข้าไปติดต่อซื้อดอกไม้

   จะว่าไปแล้วดอกไม้ชนิดนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นต้นจริง ๆ เลยสักครั้ง แค่เคยได้ยินผ่านหูบ้างเท่านั้น แต่ชื่อของมันก็สะดุดหูอยู่พอควรเพราะเกี่ยวกับมังกร เขาลืมชื่อมันไปเพราะไม่ได้คิดถึงมาเป็นเวลานานแล้วและไม่คิดว่าอยู่ ๆ จะคิดถึงมันขึ้นมาอีก จะว่าไปแล้วเขาจะต้องเก็บมาคิดมากทำไมนะ แค่ดอกไม้เยี่ยมผู้ป่วยเท่านั้นเอง ความจริงจะใช้ดอกอะไรก็ได้ขอแค่ไม่ใช่ดอกที่มีความหมายในแง่ลบก็พอ

   เขาไม่เห็นจำเป็นต้องจริงจังกับเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้เลย...

   เซินหมิงเฟิ่งตัดสินใจเดินย้อนกลับไปที่ร้านเดิมซึ่งเจ้าของร้านกำลังยิ้มแฉ่งรอคำตอบอยู่แล้ว

   “เอ่อ....ขอเป็นดอกไม้ปักแจกันธรรมดาแล้วกันครับ” เขาว่าด้วยท่าทางขัดเขินไม่เคยชิน “ดอกกุหลาบหรือทานตะวันก็ได้”

   “ทานตะวันก็ดีนะคะ ดูสดใสตลอดเวลา” หญิงสาวหัวเราะและไม่ได้ว่าอะไรก่อนเดินไปจัดดอกทานตะวันใส่ห่อกระดาษแล้วนำมายื่นให้ บอดี้การ์ดที่มากับเซินหมิงเฟิ่งหยิบเงินจ่ายอย่างว่าง่ายแล้วกล่าวขอบคุณก่อนจะพาเซินหมิงเฟิ่งเดินกลับไปที่รถแล้วขับต่อไปยังโรงพยาบาล

   เซินหมิงเฟิ่งมองห่อดอกไม้สิ้นคิดในอ้อมกอดของตัวเองพลางถอนหายใจ

   หวังว่าคนเจ้าระเบียบอย่างชิงหลงจะไม่บ่นขึ้นมาเรื่องนี้นะ เพราะหากเป็นชิงหลง คงจะเลือกดอกไม้อย่างพิถีพิถันตามกาลเทศะ ไม่คิดง่าย ๆ สักดอกแล้วเอามาปักแจกันแบบนี้แน่ ส่วนเขามันก็แค่ผู้ชายธรรมดาที่ไม่ได้มีความละเอียดอะไรกับชีวิตขนาดนั้น แค่ซื้อดอกไม้ไปเยี่ยมไข้คนที่ลักพาตัวตัวเองมาก็ดีถมเถไปแล้ว แต่พูดในอีกแง่...ชิงหลงก็ช่วยชีวิตเขาไว้เหมือนกัน ซึ่งแปลว่าความเอาใจใส่ของเขาที่มีต่ออีกฝ่ายอาจจะน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับบุญคุณที่ทำเอาไว้และหักลบกับสิ่งไม่ดีไปแล้ว

   รถยนต์ส่วนตัวมาจอดส่งเอาไว้ที่หน้าโรงพยาบาล จากนั้นการ์ดอีกกลุ่มก็เดินลงมารับตัวเซินหมิงเฟิ่งขึ้นห้องพักไป

   ช่างทำงานกันเป็นระบบระเบียบดีจริง ๆ ...

   บรรยากาศในโรงพยาบาลยังฉุนกลิ่นยาฆ่าเชื้อเป็นกิจวัตร เรื่องนี้ไม่ว่าโรงพยาบาลใดก็คงจะเหมือน ๆ กัน

   เซินหมิงเฟิ่งเดินผ่านกรอบประตูเข้าไปในห้องพักพิเศษซึ่งชิงหลงพักอยู่ก่อนส่งดอกไม้ให้การ์ดนำไปใส่แจกันและมองผ่านม่านกั้นเตียงเข้าไปเห็นเงาคนเอนหลังอ่านหนังสือเงียบ ๆ เขารู้สึกทั้งโล่งใจและอึดอัดใจที่เห็นอีกฝ่ายตื่นอยู่ ไม่ได้กำลังหลับอย่างที่คาดไว้

   “ทานตะวัน?” ชิงหลงเห็นดอกไม้ที่การ์ดใส่แจกันมาวางข้างเตียงก็เลิกคิ้วพลางมองคนที่เดินเข้ามาหา

   “ไม่ชอบหรือครับ?” เซินหมิงเฟิ่งว่าแล้วมองไปยังดอกทานตะวันที่เพิ่งโดนประพรมน้ำมาใหม่อีกรอบ ตอนนี้บนกลีบดอกจึงมีหยดน้ำใสส่องประกายสะท้อนกับแสงแดดจากภายนอกหน้าต่าง

   “ก็เปล่า ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับดอกไม้หรอก” ชายหนุ่มโคลงศีรษะเล็กน้อยแล้วขยับขึ้นนั่งตัวตรง “แต่ถ้าผมเป็นผู้หญิงคงจะดีใจกับมันไม่น้อย”

   หา?

   เซินหมิงเฟิ่งมุ่นคิ้ว

   “ปกติผู้ชายซื้อดอกไม้ให้ผู้หญิง พวกเธอก็ต้องดีใจอยู่แล้ว”

   “สำหรับบางชนิดจะดีใจเป็นพิเศษ” ชิงหลงเหน็บรอยยิ้มที่มุมปากคล้ายจะสนุกนิด ๆ ที่ทำให้อีกฝ่ายสงสัยกระวนกระวายใจได้

   ช่างเป็นผู้ชายที่อ่อนเดียงสาเหลือเกิน...

   “ผมว่าคุณบอกมาตรง ๆ เลยดีกว่า อมพะนำแบบนี้เดี๋ยวผมจะหัวแตกตายเสียก่อน” เซินหมิงเฟิ่งหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วกอดอก

   “ก็ได้....” บางครั้งความอดทนอันน้อยนิดของเซินหมิงเฟิ่งก็ทำให้เขารู้สึกหมดสนุกไปเล็กน้อยเหมือนกัน “ดอกทานตะวันหมายถึงความรักที่มั่นคง”

   ความรัก...ที่มั่นคง....

   เซินหมิงเฟิ่งกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้

   แบบนี้ไม่เท่ากับว่าเขาบอกรักชิงหลงหรอกหรือ!?

   “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นนะครับ!” เซินหมิงเฟิ่งลุกพรวดขึ้นมาตะโกนจนการ์ดสะดุ้งกันเป็นแถว และเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองทำเสียงดังเกินไปจึงค่อยลดเสียงลง “ผมก็แค่เห็นว่ามันสดใสดีเท่านั้นเอง”

   “ใช่ ผมรู้” ชิงหลงตอบรับเสียงเรียบแล้วกางหนังสืออ่านต่อเหมือนว่าปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นสิ่งที่เขาคาดคิดอยู่แล้วถึงได้พูดออกมา ซึ่งความจริงแล้วมันก็เป็นแบบนั้น เซินหมิงเฟิ่งที่รู้ตัวว่าโดนแกล้งเข้าให้จึงพ่นลมหายใจออกมาโดยแรงด้วยความหงุดหงิด ทำไมบางทีผู้ชายหน้าตายคนนี้ถึงได้กวนประสาทนักนะ ทั้งที่ปกติก็ทำตัวเย็นชาไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นแท้ ๆ

   “ความจริงผมคิดจะเอาอีกดอกมาฝาก แต่ผมดันคิดชื่อไม่ออกเสียนี่”

   ชิงหลงเลิกคิ้วเป็นเชิงถามอยู่เงียบ ๆ

   “ก็...เป็นดอกไม้ที่มีชื่อเกี่ยวกับมังกร แต่ว่าผมไม่เคยเห็นต้นจริง ๆ เคยเห็นแต่รูปถ่ายของตัวดอกเท่านั้นเอง” เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจกับความจำตัวเองที่มีพื้นที่เก็บแสนจะเล็ก “เป็นดอกไม้ที่มีกลีบงุ้ม ๆ แล้วก็มีลูกกลม ๆ อยู่ข้างในที่สามารถบานออกมาเป็นเกสรได้”

   “ดอกมังกรคาบแก้ว?”

   เซินหมิงเฟิ่งได้ยินชื่อก็นึกออกทันที

   “ใช่แล้ว! ดอกมังกรคาบแก้วนี่เอง ถึงว่าชื่อสะดุดหูอยู่”

   “ความจริงที่บ้านผมก็มีปลูก มันไม่น่าจะเอามาทำเป็นช่อดอกไม้ได้หรอกเพราะเป็นไม้รอเลื้อยแล้วดอกก็ขนาดเล็ก ไม่มีกลิ่นหอม มีดีก็ที่ดอกสวยแล้วก็อดทนดีเท่านั้นเอง” ชิงหลงอธิบายไปก็เปิดพลิกหน้าหนังสือไป เขายังจำได้ว่ามันเป็นไม้ที่รกขนาดไหน คนสวนที่บ้านต้องคอยตัดแต่งทรงอยู่เสมอ แต่เพราะดอกสวยและชื่อมีความหมายดีพ่อของเขาถึงได้ชอบและไม่ยอมให้ทิ้งตายอย่างเด็ดขาด

   “ไม้รอเลื้อย?” เซินหมิงเฟิ่งได้ยินคำแปลกหูก็เลิกคิ้ว ทำไมมันต้องรอเลื้อย จะเลื้อยก็ไม่เลื้อย...

   “ก็ประเภทไม้พุ่มกึ่งไม้เถา ถ้าไม่มีอะไรให้ยึดก็โตแตกกิ่งก้านแนวตั้งขึ้นมาเป็นพุ่มได้ แต่ถ้ามีอะไรให้เลื้อยก็เลื้อยไปได้”

   เรื่องของต้นไม้ดอกไม้ยังรู้ดีขนาดนี้เชียว....

   เซินหมิงเฟิ่งมองชิงหลงด้วยสายตาแปลกใจระคนนับถือ เพราะโดยปกติเขาไม่ค่อยจะได้เจอผู้ชายที่รู้เรื่องต้นไม้ดอกไม้สักเท่าไหร่ เว้นแต่ว่าคน ๆ นั้นจะมีงานอดิเกรเกี่ยวกับของเหล่านี้ หรือที่บ้านทำการค้าพืชพรรณไม้ประดับจึงจะรู้ดีเพื่อให้คำแนะนำได้

   “บางทีคุณก็ทำผมอึ้งนะ”

   “อะไรหรือ?”

   “คุณรู้เยอะเกินไปล่ะมั้ง” เซินหมิงเฟิ่งว่าตามตรง “กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ”

   “ผมก็คิดแบบนั้น” ชิงหลงไม่ปฏิเสธ เพราะเขาเองก็คิดว่าตัวเองรู้เยอะเกินไปเหมือนกัน แต่ทำอย่างไรได้ เขามีงานอดิเกรคือการอ่านหนังสือ แถมอ่านได้เกือบทุกประเภทเสียด้วย ทำให้ข้อมูลที่บรรจุอยู่ในสมองมีมากมายแม้มันจะไม่ได้จำเป็นต่อการดำรงชีวิตก็ตาม

   เซินหมิงเฟิ่งทอดสายตามองดอกทานตะวันที่เหมือนจะพร้อมใจกันเบ่งบานทักทายแสงสว่าง อย่างน้อยมันก็ทำให้ห้องนี้ดูสว่างไสวขึ้น และชิงหลงก็ไม่ได้รังเกียจที่มีมันอยู่ในห้อง เขาคิดว่าดีแล้วที่ไม่เอาดอกกุหลาบมา เพราะดอกกุหลาบถึงจะสวยและมีกลิ่นหอม แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกสดชื่นสว่างไสวแบบนี้ กลับกัน มันให้ความรู้สึกนุ่มละมุนเสียมากกว่า ซึ่งคงจะโดนความเยือกเย็นของชิงหลงกลบเสียหมด บางทีที่วันนี้ชิงหลงพูดกับเขามากผิดปกติอาจจะเป้นเรพาะเจ้าดอกไม้แห่งดวงอาทิตย์ดอกนี้ก็ได้

   “คุณจะออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่”

   ชิงหลงเลิกคิ้วกับคำถามของผม ที่เหมือนจะถามลอย ๆ ไปทางดอกทานตะวันมากกว่า

   “ความจริงหมอบอกผมว่าอีก 2-3 วันก็ออกได้ แค่ให้อยู่ดูอาการนิดหน่อย” เขาว่าแล้วทำหน้าเบื่อออกมาเล็กน้อย “ไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณโจเซดีหรือเปล่า”

   ฟังจากคำพูดชิงหลงแล้ว เซินหมิงเฟิ่งก็พอจะเดาออกว่าโจเซคงสั่งให้หมอดูแลชิงหลงอย่างดีที่สุดและกักตัวไว้ในโรงพยาบาลให้แน่ใจก่อน แต่สำหรับชิงหลงที่พึงพอใจกับสถานที่ส่วนตัวคงไม่ชื่นชอบห้องที่เดี๋ยวก็มีพยาบาลเดินเข้าเดินออกแบบนี้แน่

   “ความจริงแล้ววันนี้หมอก็นัดผมมาตรวจร่างกายเหมือนกัน แต่อีกสักพักถึงจะถึงเวลา” เซินหมิงเฟิ่งยกนาฬิกาข้อมือดู ซึ่งทำให้ชิงหลงแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสวมนาฬิกาข้อมือทั้งที่เขาไม่เคยซื้อให้และไม่ใช่สิ่งที่ได้ติดตัวมาในตอนแรก ซ้ำยังเป็นของมีราคาเสียด้วย

   “โจเซให้มาหรือ?” ชิงหลงไม่ได้เสียเวลาเดาเลยสักนิด

   “คุณรู้ด้วยหรือครับ? เขาเอามาให้เมื่อวานแล้วก็รีบร้อนกลับไป” บางครั้งเซินหมิงเฟิ่งก็พยายามจะทำตัวให้ชินกับความช่างสังเกตและการวิเคราะห์อย่างรวดเร็วจนนำไปสู่ข้อสันนิษฐานที่ถูกต้องของชิงหลง ซึ่งระยะหลัง ๆ นี้เขาเริ่มจะสับสนว่าควรแปลกใจหรือเฉย ๆ กับมันดี

   “คงจะเป็นของแทนทำขอโทษ สำหรับโจเซก็ไม่ได้เรื่องแปลก” ซึ่งท่าทีของชิงหลงเวลาที่ทายถูกมันดูน่าหมั่นไส้ชอบกล เหมือนกับว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เจ้าตัวไม่รู้ แต่เมื่อคิดอีกที เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างจะมีอคติกับบุคลิกของชิงหลงมากเกินไป เป็นปกติที่ไม่ว่าใครที่พบเจอคนที่ฉลาดหรือรู้ดีกว่าตัวเองมักจะรู้สึกกับคน ๆ นั้นในแง่ลบเพราะความรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่า ซึ่งหากคิดให้ดีแล้ว ชิงหลงก็แค่พูดสิ่งที่ตัวเองรู้หรือคาดเดาออกมา แล้วมันบังเอิญถูกต้องเท่านั้นเอง

   “ความจริงตอนแรกผมก็ไม่ได้อยากรับหรอกครับ แต่ว่าคุณโจเซเล่นยัดใส่มือแล้วกลับไปทันทีแบบนั้น” เซินหมิงเฟิ่งมองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นโจเซไม่ได้เป็นคนผิดเสียทีเดียว เรียกว่าเป็นผู้เสียหายด้วยซ้ำ แต่เมื่อเขาจำต้องรับไว้แล้วและคิดว่าไม่ใช่ของไร้ประโยชน์จึงสวมใส่เพื่อรักษาน้ำใจ

   “ก็สมกับโจเซดีแล้ว” ชิงหลงพูดด้วยเสียงเรียบแต่เหมือนจะแฝงแววแดกดันอยู่นิดหน่อย คงเพราะสมัยก่อนโดยโจเซบังคับยัดนั่นยัดนี่ให้มาเยอะกระมัง

   เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะเบา ๆ

   สองคนนี้ก็สนิทกันดีแท้ ๆ เขารู้สึกอิจฉาคนที่มีพี่น้องอยู่ใกล้ตัวขึ้นมานิดหน่อย แต่ถึงจะพูดแบบนั้นชิงหลงเองก็เป็นลูกโทนเหมือนกัน จะได้เจอโจเซก็เมื่อมาอิตาลีเท่านั้น ไม่รู้ว่าชิงหลงจะสนทกับญาติ ๆ ที่ฮ่องกงแบบนี้หรือเปล่า หรือว่าจะมีแต่คนเกรงกลัวอำนาจของเจ้าตัวกันนะ

   บ้านของเขาเอง สมัยเด็ก ๆ ก็จำได้ว่ามีญาติมาหาบ้างเป็นบางโอกาสอย่างในวันสำคัญ แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครอยากจะเข้ามาเล่นกับเขาเลยแม้แต่คนเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อของเขา ทุกคนจะทำราวกับว่าเป็นกระต่ายที่อยู่ต่อหน้าราชสีห์ ต่างก็ก้มหน้า ฝืนยิ้ม พูดจาไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ และแสดงความเกรงอกเกรงใจออกมามากจนผิดปกติ

   บรรยากาศแบบนั้นไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเป็นครอบครัวกันเลย

   “อ๊ะ ผมจะหาหมอก่อนล่ะ เดี๋ยวเขาจะหาว่าผมเบี้ยวนัดแล้วบ่นเอา” เซินหมิงเฟิ่งมองนาฬิกาอีกครั้งแล้วลุกขึ้น “ว่าแต่คุณอยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?”

   “ไม่เป็นไร อาหารโรงพยาบาลรสชาติก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่”

   เซินหมิงเฟิ่งกลอกตา ท่าทางชิงหลงจะเป็นคนจำพวกที่เรียกว่าลิ้นจระเข้ ถึงบอกว่าอาหารโรงพยาบาลรสชาติไม่ได้แย่ได้

----------------------->

   ชิงหลงที่ถูกทิ้งไว้ในห้องอีกครั้งมองดอกทานตะวันที่ประดับอยู่บนโต๊ะพลางผลิยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะถึงขนาดซื้อดอกไม้มาประดับให้ด้วย ตอนแรกเขาคิดว่าจะเป็นกระเช้าผลไม้หรืออะไรที่ง่ายกว่านั้นเสียอีก ถึงแม้ดอกทานตะวันจะไม่ได้เหนือความคาดหมายมากมาย แต่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับปฏิกิริยาในช่วงหลัง ๆ ที่เซินหมิงเฟิ่งดูจะยอมญาติดีกับเขาโดยไม่แสดงท่าทีเหมือนกำลังระแวดระวังตลอดเวลาเหมือนลูกแมวเปลี่ยนที่อยู่อีก

   มันคงจะง่ายขึ้นสำหรับเขาหลังจากนี้ หากว่าไป๋หู่ไม่สามารถกระทำตามแผนการของตัวเองได้สำเร็จ และเขาเองก็ไม่ได้ข่าวการเคลื่อนไหวของไป๋หู่เลยไม่ว่าจากสายข่าวส่วนตัวที่อยู่ฮ่องกงหรือกระทั่งข่าวทั่ว ๆ ไปที่เขาให้คนทางบ้านช่วยติดตามแทนเป็นระยะ ๆ

   จะว่าน่าเป็นห่วงก็คงได้กระมัง...

   ไป๋หู่เป็นคนที่ทำอะไรดูไม่จริงจังก็จริง แต่แท้จริงแล้วก็เหมือนเสือซ่อนเล็บ แค่ซุ่มรอในพงหญ้าและเฝ้ารอเหยื่อไม่รู้ความเดินผ่านมา

   ตอนนี้ซากุระก็คงไม่ต่างกับเหยื่อที่กำลังเดินไปสู่เส้นทางที่เสือตัวนั้นอยู่ ตัวเขาเองไม่รู้จักซากุระดีนัก จึงไม่อาจประเมินความสามารถของหญิงสาวได้ แต่เท่าที่ได้ยินคำร่ำลือก็มีแต่บอกว่าเป็นผู้หญิงที่ฉลาดเฉลียว กระนั้นการเล่นเกมกับพวกเขา เพียงแค่ความฉลาดไม่เพียงพอ เรียกได้ว่าน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ เพราะในหมู่พวกเขาแค่เพียงความฉลาดก็ไม่อาจเอาตัวรอดได้เหมือนกัน

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 24 (23/07/12)
«ตอบ #203 เมื่อ23-07-2012 20:43:18 »

   “ท่านชิงหลง โทรศัพท์จากฮ่องกงครับ”

   ถึงแม้โรงพยาบาลจะไม่อนุญาตให้ผู้ป่วยพกพาโทรศัพท์มือถือไว้กับตัว แต่ชิงหลงก็เป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะที่ไม่อาจห่างจากเครื่องมือสื่อสารได้ จึงต้องให้การ์ดที่ทำหน้าที่เฝ้าอยู่เป็นคนคอยจัดการให้แทน แต่ระยะนี้ไม่มีใครติดต่อมาหาเขาสักเท่าไหร่เพราะงานอื่น ๆ เขาจัดการส่วนของตัวเองไปหมดแล้วทั้งทางนี้และทางฮ่องกง และเขาก็บอกกับคนของทางฮ่องกงแล้วว่าหากไม่มีธุระสำคัญให้เป็นการตัดสินใจของเลขาของเขาที่ทิ้งตัวไว้ดูแลทางนั้น ดังนั้นที่โทรเข้ามานี้คงจะมีเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน

   ชิงหลงยื่นมือไปรับแล้วยกแนบหู

   “ท่านชิงหลงครับ ดูเหมือนเรื่องที่ท่านฝากไว้จะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่” เลขาของเขากรอกเสียงมาตามสาย น้ำเสียงของฝ่ายนั้นบ่งบอกว่ากำลังรู้สึกกังวลใจด้วยหลาย ๆ สาเหตุ

   โดยปกติแล้วเลขาของเขาจะตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ดีเพราะรับใช้มาตั้งแต่รุ่นพ่อของเขาเพิ่งดำรงตำแหน่งใหม่ ๆ จึงมีประสบการณ์ต่าง ๆ มากและแทบจะไม่เคยแสดงน้ำเสียงวิตกแบบนี้ออกมาบ่อยนัก ดูเหมือนจะมีบางอย่างรบกวนจิตใจชายวัยกลางคนคนนี้อยู่

   “ว่ามาสิ” ชิงหลงวางหนังสือลงแล้วเอนหลังพิงหมอน

   ทางปลายสายอ้ำอึ้งอยู่ไม่นานก็เริ่มพูด

   “ดูเหมือนคุณมินาโมโตะจะหาทางเข้าหาไป๋หู่ได้แล้วครับ”

   ชิงหลงเลิกคิ้วแปลกใจ ซากุระเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนหรือ? ถึงเขาจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าจูเช่วจะใช้ประโยชน์จากว่าที่สะใภ้ตัวเองแบบนี้ แต่เขาไม่คิดเลยว่าซากุระจะเคลื่อนไหวถึงตัวไป๋หู่ก่อน นั่นแปลว่าไป๋หู่ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลยอย่างนั้นหรือ?

   “แล้วทางไป๋หู่ล่ะ?”

   “น่าแปลกมากครับ...” เลขากล่าว “ทางไป๋หู่ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเป็นพิเศษเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนกับว่าไม่ได้สนใจเรื่องนี้สักนิด”

   เป็นไปไม่ได้หรอก...

   ชิงหลงรู้ดีว่าไป๋หู่กล่าวโทษจูเชว่เรื่องที่พ่อของตัวเองเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุมาโดยตลอด แม้ว่าจูเชว่จะไม่ได้มีผลต่อเรื่องนั้นโดยตรงก็ตาม และเรื่องนี้ไป๋หู่ก็เสนอตัวโดดเข้ามาในเกมของเขาเอง ดังนั้นเจ้าตัวไม่มีทางอยู่เฉยเป็นแน่ เขารู้สึกได้ว่าไป๋หู่กำลังเฝ้ารออยู่

   “แปลว่ามีคนเคลื่อนไหวแทน” เขาพูดกับตัวเองเบา ๆ

   “อะไรนะครับ?”

   “เปล่า ไม่มีอะไร” ชิงหลงคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้กับใคร อย่างไรก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปแทรกแซงสิ่งทีไป๋หู่ต้องการจะทำได้อยู่แล้ว และไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่จะต้องไปช่วยดูแลความปลอดภัยให้ซากุระ “จับตาดูต่อไป ถ้ามีอะไรคืบหน้าก็ติดต่อมา”

   “ครับ แล้วเอ่อ....”

   “มีอะไรอีกหรือเปล่า?” ชิงหลงแปลกใจที่เลขาของเขายังไม่ตัดสายไป และทำเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุระที่โทรมาตอนแรก

   “ผมได้ข่าวว่าท่านชิงหลงโดนลอบวางระเบิด” เสียงของฝ่ายนั้นดูไม่ค่อยแน่ใจกับข่าวที่ได้รับนัก แต่ก็บ่งบอกว่าร้อนใจพอดูทีเดียว แต่ที่เพิ่งโทรมานี้คงเพราะข่าวเพิ่งไปถึงกระมัง

   “คนที่โดนลอบวางไม่ใช่ผมแต่เป็นโจเซ”

   “ดอนมอเรสซาเรน่ะหรือครับ?”

   “ใช่ แต่คงเป็นโชคของผมเองที่ไปโดนเจ้าจังเบอร์ แต่ผมก็ยังปลอดภัยดี แผลก็เริ่มจะหายแล้ว” ชิงหลงบอกเล่าให้ปลายสายสบายใจ ซึ่งเรื่องนี้หากเลขาของเขารู้แม่ของเขาก็คงรู้แล้วด้วย เขาเองก็ไม่อยากให้ทางนั้นไม่สบายใจจนถึงขั้นบินมาที่อิตาลีทั้งที่ตัวเขาได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยจากเศษกระจก เศษเหล็ก และแรงระเบิดแบบไม่ได้สร้างอันตรายถึงชีวิต

   “ปลอดภัยดีก็ดีแล้วล่ะครับ ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอตัวก่อน เมื่อมีอะไรคืบหน้าผมจะโทรมารายงานอีกครั้ง” หลังจากว่าจบ เลขาของเขาก็ตัดสายไป

   ชิงหลงโยนโทรศัพท์มือถือคืนให้แก่การ์ดที่เฝ้ารออยู่ แล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน กระนั้นสมาธิของเขาก็ไม่ได้จดจ่อที่หนังสืออย่างที่ควรจะเป็น

   ไป๋หู่กำลังคิดอะไรอยู่กันนะ?

   “ชิงหลง ผมซื้อของมาฝากน่ะ” เซินหมิงเฟิ่งกลับมาพอดี “ผมถามหมอแล้ว เขาบอกว่าคุณไม่ได้ถูกสั่งงดอาหารอะไร ดังนั้นผมก็เลยไปซื้อพาสต้ามาให้”

   ชิงหลงกลอกตา ทั้งที่เขาบอกแล้วว่าไม่ได้อยากจะกินอะไรแท้ ๆ แล้วที่ว่าซื้อมาฝากน่ะ...มันก็เงินเขาอยู่ดี

   “รีบทานก่อนมันจะเย็นดีกว่า ความจริงถ้าแถวนี้มีอาหารจีนก็คงดี แต่มีแต่อาหารอิตาเลียนน่ะสิ” ฟังจากที่พูดแล้วดูเหมือนเซินหมิงเฟิ่งจะซื้อมาเพราะตัวเองหิวมากกว่าจะคิดถึงว่าเขากำลังหิวอยู่หรือไม่ แต่ก็ไม่น่าแปลกที่จะไม่เจออาหารจีน ก็แถวโรงพยาบาลนี้ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวแล้วก็ไม่ใช่ไชน่าทาวน์ แค่มีร้านพาสต้าอยู่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลยแล้วต้องไปกินอาหารจืดชืดของโรงอาหารโรงพยาบาล

   “แล้วอาการของคุณยังต้องพบหมออยู่หรือเปล่า?” ชิงหลงเอ่ยถามแล้วรับกล่องกระดาษใส่พาสต้ามาถือไว้ในมือพร้อมช้อนส้อมพลาสติก

   “หมอบอกว่าผมปกติดีแล้ว ถ้ามีอาการอะไรค่อยมาอีกที” เซินหมิงเฟิ่งลองโคลงหัวไปมาและพบว่าไม่ได้รู้สึกปวดอะไร และอาการมึนก็หายไปแล้วด้วย

   ชิงหลงพยักหน้าโดยไม่ว่าอะไรต่อแล้วลงมือกินอาหารส่วนของตัวเองเงียบ ๆ

------------------------->

   หลังจากเซินหมิงเฟิ่งอยู่เป็นเพื่อนชิงหลงจนถึงบ่าย โจเซก็แวะมาเยี่ยมเพราะไม่มีธุระสำคัญอะไรในวันนี้พร้อมของฝากติดไม้ติดมือมาเป็นพิธีเพราะเจ้าตัวรู้ว่าชิงหลงไม่ค่อยชอบของฝากที่ดูไร้ประโยชน์แบบตุ๊กตาหรือดอกไม้ช่อโต ๆ เขาเลยซื้อเป็นผลไม้มาเสียเลย

   “สวัสดีครับคุณโจเซ ผมคิดว่าคุณจะไม่ว่างเสียอีก” เซินหมิงเฟิ่งเดินเข้าไปรับถุงกระดาษใส่ผลไม้มาวางบนโต๊ะแล้วเชิญให้โจเซมานั่งข้างเตียงด้วยกัน

   “ไงเวย์ ได้ยินจากหมอว่าอาการดีวันดีคืน ท่าทางอยากจะออกจากโรงพยาบาลเต็มแก่แล้วล่ะสิ” โจเซพูดกลั้วหัวเราะ หยอกเย้าญาติผู้น้องไปตามประสาคนขี้เล่นก่อนจะนั่งลงแล้วมองดอกทานตะวันบนโต๊ะเล็กก่อนเลิกคิ้ว “ฉันไม่คิดว่านายจะชอบดอกไม้ มีสาวไหนมาเยี่ยมหรือยังไง?”

   “จะสาวไหนล่ะครับ ก็ผมนี่แหละซื้อมา” เซินหมิงเฟิ่งรีบบอกก่อนอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดว่าเป็นของแทนใจของใคร “มันแปลกมากหรือครับ?”

   “ก็ไม่ได้แปลกหรอกนะ” โจเซพูดแล้วขำนิด ๆ “แค่ไม่ได้คิดเอาไว้”

   “เลิกพูดเล่นเถอะ นายตั้งใจจะมารบกวนความสงบของฉันหรือยังไง โจเซ” ชิงหลงวางหนังสือในมือลงแล้วนั่งประสานมือบนตัก หนังสือเล่มเดิมที่อ่านวนมาหลายรอบเริ่มจะมีรอยช้ำบนปกเล็กน้อยตามจำนวนครั้งที่เปิดอ่าน และเขาเองก็อ่านจนจำได้ทั้งเล่มแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ชอบให้มีใครมาพูดคุยกันเสียงดังข้าง ๆ ตัวทั้งที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ดี

   “อย่าพูดจาตัดรอนแบบนั้นสิ นี่ ฉันเอาหนังสือมาให้ใหม่เผื่อนายจะเบื่อ” ชายหนุ่มผมทองยกถุงหนังสือขึ้นมาวางบนเตียง ข้างในบรรจุหนังสืออยู่หลายเล่ม แต่เมื่อเจ้าตัวหยิบออกมาแล้วก็ทำสีหน้าแปลกใจ “อ้าว ฉันจำได้ว่าเอามาอีกเล่มนี่นา สงสัยจะตกในรถตอนที่ฉันหยิบขึ้นมาอ่าน ขอโทษนะคุณมิน คุณจะช่วยผมหน่อยได้หรือเปล่า?” เขาหันไปถามเซินหมิงเฟิ่ง

   “อะไรหรือครับ?”

   “แบบว่าผมลืมของไว้ในรถน่ะ เป็นหนังสือที่มีปกสีฟ้าอมม่วง น่าจะวางที่เบาะหลัง แล้วก็มีของที่ปู่ฝากมาให้คุณกับเวย์ด้วย” โจเซหัวเราะแหะ ๆ “ผมจะให้การ์ดของผมนำทางคุณไป”

   เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้วสงสัยว่าทำไมโจเซจึงให้เขาไป แต่เมื่อคิดอีกที เจ้าตัวคงมีเรื่องอยากจะคุยกับชิงหลงโดยที่ไม่อยากให้เขาได้ยินกระมัง ส่วนใหญ่ก็จะใช้วิธีแบบนี้เพื่อบอกให้บุคคลที่สามออกห่างจากรัศมีของการได้ยินบทสนทนากันทั้งนั้น

   เขารับกุญแจรถจากโจเซแล้วเดินออกไปพร้อมการ์ดร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่เดินตามโจเซมาในตอนแรก
   เมื่อเซินหมิงเฟิ่งออกไปจากห้องแล้ว โจเซก็หันกลับมาที่เตียง

   “เรื่องคนวางระเบิดจัดการเรียบร้อยแล้วสิ” ชิงหลงเดาออกทันทีที่เห็นสีหน้าอีกฝ่าย

   “ไม่มีปัญหา” โจเซไหวไหล่ “ก็แค่คนที่ขัดผลประโยชน์กับฉันนิดหน่อย ตอนนี้ก็รู้จักทำตัวสงบเรียบร้อยลงแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรอีก” ถึงเจ้าตัวจะพูดไปยิ้มไป แต่ชิงหลงก็รู้ว่าจริง ๆ แล้วคนต้นคิดเรื่องระเบิดคงไม่ได้สงบเรียบร้อยลงอย่างปากว่าหรอก น่าจะถูกข่มขู่จนไม่กล้าเสนอหน้าให้เห็นอีกในเมืองนี้แล้วกระมัง
   “งั้นก็ดีแล้ว” ชิงหลงว่าเสียงเรียบ เพราะหากโจเซจัดการไม่ได้ เขาก็จะลงมือเองแน่นอน กระนั้นเขาก็ไม่คิดว่าโจเซจะจัดการไม่ได้หรอก กับแค่แมลงตัวเล็ก ๆ ที่น่ารำคาญแบบนั้น

   “แล้วนายจะกลับฮ่องกงเมื่อไหร่ นายมาอยู่ที่นี่นานผิดปกตินะ ท่าทางจะมีอะไรมากกว่ามาทำงานล่ะสิ เรื่องคุณมินน่ะหรือ?” โจเซลองเอ่ยปากถามไปอย่างนั้นโดยไม่ได้คิดว่าจะได้รับคำตอบที่เจาะจง

   “ก็ราว ๆ นั้น แต่ฉันสังหรณ์ว่าอีกไม่นานฉันก็จะได้กลับแล้ว”

   “สังหรณ์” โจเซเลิกคิ้วแล้วหัวเราะ “อย่างนายน่ะไม่ได้เชื่อเรื่องลางสังหรณ์หรอก”

   จริงอย่างที่โจเซว่า ตัวเขาไม่เคยเชื่อสิ่งที่เรียกว่าลางสังหรณ์หรือโชคชะตา และเขาก็ไม่ได้สังหรณ์ แต่เป็นการคาดการณ์อย่างเป็นเหตุเป็นผล

   จูเชว่ไม่มีทางยินยอมให้ลูกชายของตัวเองไปอยู่กับคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขา เพราะหากจูเชว่รุ่นต่อไปมีความสัมพันธ์กับผู้นำคนอื่นในฐานะผู้ตาม และถูกอิทธิพลครอบงำมากเกินไป อนาคตขององค์กรจะไม่มั่นคงและต้องพึ่งพิงผู้อื่นไปเรื่อย ๆ ที่จูเชว่เรียกตัวลูกชายกลับมาก็เพื่อสั่งสอนให้ยืนหยัดในองค์กรได้อย่างเต็มภาคภูมิเมื่อตนเองถึงคราวต้องจากไป แต่จนถึงเวลานี้ เซินหมิงเฟิ่งกลับต้องผูกติดอยู่กับเขา แม้จะเป็นเวลาไม่นานนักแต่ก็ส่งผลต่อจิตใจเซินหมิงเฟิ่งได้หลายส่วนแล้ว คนอย่างจูเชว่ไม่มีทางที่จะมองไม่ออกว่าเขาจะไม่พยายามครอบงำทายาทของตัวเอง ดังนั้นเจ้าตัวจะทำทุกวิถีทางเพื่อพาเซินหมิงเฟิ่งกลับไปในจุดที่ควรจะเป็น

   ส่วนไป๋หู่ ซึ่งเขาแน่ใจว่าต้องวางแผนอะไรบางอย่างอยู่แน่นอน และย่อมไม่ปฏิเสธจะเล่นเกมหากจูเชว่เดินหมากมาทางตนเพื่อนำไปสู่สิ่งที่ตนเองต้องการ

   ไม่ว่าเรื่องจะจบลงแบบใด เซินหมิงเฟิ่งก็จะได้กลับไปที่บ้านในเร็ว ๆ นี้ เพียงแต่มันจะเป็นการกลับไปที่ไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย

   ส่วนตัวเขาก็ได้แต่เฝ้าดูจากทางนี้ ว่าลมจะพัดไปทางใด และเขาสมควรจะเปิดกรงเมื่อใด

   “ยังไงก็เถอะ ฉันคงไม่ได้อยู่รบกวนนานหรอก” ชิงหลงตัดบทอย่างง่าย ๆ

   “ให้ตายสิ นายนี่มันเอาตัวรอดเก่งจริง” โจเซหัวเราะในคำอย่างลึกลับ เดาได้ว่าตัวโจเซเองก็จะเดาเรื่องราวได้นิดหน่อยเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ตรงเป๊ะเพราะขาดเหตุและผลที่จะเติมเต็มก็ตาม

   เซินหมิงเฟิ่งกลับเข้ามาในห้องพร้อมสิ่งของที่นำมาส่งอย่างครบถ้วน โจเซและชิงหลงจึงไม่ได้สนทนาเรื่องเดิมกันต่อ ชายหนุ่มชาวอิตาเลียนยกนาฬิกาขึ้นดูเหมือนเป็นพิธีก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้

   “จะไปแล้วหรือครับ?” เซินหมิงเฟิ่งเอ่ยถาม

   “ครับ ขอโทษด้วยนะที่มาได้ครู่เดียว” โจเซขยับเสื้อนอกสวม “แล้วพบกันใหม่คุณมิน เจอกันหลังนายออกจากโรงพยาบาลนะเวย์” หลังจากบอกลาแล้ว โจเซก็ออกจากห้องไป ตอนนี้จึงเหลือแค่ชิงหลงและเซินหมิงเฟิ่งเพียงสองคนอีกครั้ง กับการ์ดที่เฝ้าอยู่หลังผ้าม่านและหน้าประตูอีกอย่างละสองคน

   เซินหมิงเฟิ่งไม่คิดจะถามว่าทั้งสองคุยอะไรกัน เพราะรู้ดีว่าตนเองจะไม่ได้รับคำตอบ ถึงอย่างนั้น...เขาก็ไม่ชอบเอาเสียเลย บรรยากาศในแบบที่เขาไม่รู้อะไรแบบนี้

   มันเหมือนตอนที่เขาถูกพาตัวมาแรก ๆ ไม่มีผิด.....

TBC

(ขออภัยที่หายไปนาน เซียร์วุ่นวายกับงานรับปริญญาอยู่ค่ะ ต้องหางานแล้วสิ ;w;)

ออฟไลน์ Rafael

  • เพราะคนเราเกิดมาเพื่อแตกต่าง
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +685/-7
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 23 (10/07/12)
«ตอบ #204 เมื่อ23-07-2012 21:07:33 »

อ๊าาา ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
อยากอ่านมาก อยากรู้ว่าสองคนนี้เค้าจะไปกันได้ถึงไหนกัน

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 24 (23/07/12)
«ตอบ #205 เมื่อ23-07-2012 21:21:43 »

มาแล้ววววววว เย้ ดีใจ :impress2: :-[

ออฟไลน์ wikichan

  • ชื่อ:Wi! วิ! วิกิ! วิเวียน//วันๆ ไม่ทำอะไรชอบอ่านมังงะและนิยายเป็นชีวิตจิตใจ ชอบผลงานของพี่แพร์ Nigiri_Sushiที่สุดอ่านทุกเรื่องแต่ไม่ได้ซื้อทุกเรื่อง อยากเจอตัวจริงสักครั้งนึงแบบว่านักเขียนในดวงใจ #เพ้อ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 24 (23/07/12)
«ตอบ #206 เมื่อ24-07-2012 09:27:11 »

โอยยยยย ดีใจสวดยอดดด ทำงานมาเหนื่อย ๆ ได้พักแล้วยังได้อ่านอิก หายเหนื่อยแล้ววว

น่ารักอ่ะ ซื้อดอกไม้ให้ ไรเงี้ย บรรยากาศของทั้งคู่ดีขึ้น ๆ นะ

รอตอนต่อไปคร๊าบบบบบ

ออฟไลน์ ratnalin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 743
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 24 (23/07/12)
«ตอบ #207 เมื่อ24-07-2012 15:29:14 »

ขอให้ได้งานดีๆและก็มีเวลามาอัพนิยายนะคะ 555
เหมือนจะหวานนะ อ่านไปก็ยิ้มไป แต่มาขัดๆเพราะอิตาชิงหลงหวังผลเนี่ยแหละ -*-
ที่ชิงหลงทำมันก็ต้องมีผลต่อใจเซินหมิงเฟิ่งอยู่แล้ว แต่ไม่คิดเลยใช่ม่ะว่ามันอาจจะเข้าตัวได้
รอตอนหน้าค่ะ อ่านแล้วไม่อยากให้จบตอนซะที 555

ออฟไลน์ LSK

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 24 (23/07/12)
«ตอบ #208 เมื่อ24-07-2012 15:38:38 »

หมิงน่ารักซื้อดอกทานตะวันมาให้ด้วย   :3123:

ออฟไลน์ ZIar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +210/-1
Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 25 (25/07/12)
«ตอบ #209 เมื่อ25-07-2012 18:11:49 »

-25-


   เพดานห้องสีขาวลอยอยู่ตรงหน้าเมื่อลืมตาตื่นขึ้น หมอนนุ่มรองรับอยู่ใต้ศีรษะโดยมีเส้นผมแผ่สยายอยู่บนนั้น เสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่ง ๆ อยู่ไม่ไกลแต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกหนาวเกินไปเพราะผ้าห่มผืนหนาที่ห่มคลุมอยู่บนร่างกาย รวมทั้งหมอนข้างใบพอเหมาะกับตุ๊กตาที่วางอยู่ข้างตัว ขนสั้นของตุ๊กตาหมีตัวโตสัมผัสท่อนแขนอย่างแผ่วเบาเมื่อเธอเริ่มขยับ ลูกนัยน์ตากลอกไปมาก่อนแขนและขาและช่วยกันพยุงร่างกายให้ลุกขึ้นในท่านั่ง สมองยังคงมึนงงอยู่เล็กน้อยเพราะเพิ่งตื่นจากการหลับใหล แต่เพียงไม่นานทุกอย่างก็แจ่มชัด

   หญิงสาวหันตัวไปทางด้านข้าง ตวัดขาลงจากเตียงแล้วหยิบนาฬิกาขึ้นมาดู

   ร่างกายของเธอยังคงปลุกได้ตรงเวลาอย่างเคย...

   เท้าสองข้างสัมผัสพื้นพรมก่อนจะหยัดกายให้ลุกขึ้นยืน แขนสองข้างเหยียดขึ้นด้านบนเพื่อคลายความเมื่อยขบในร่างกาย

   กระจกเงาตั้งอยู่อีกฝั่งของห้อง เป็นกระจกเงาแบบมองเห็นได้ตลอดความสูง ทำให้เธอมองเห็นตัวเองอย่างชัดเจนเมื่อหันไปมอง

   ในวันนี้...เธอควรจะเป็นคนแบบไหน ควรจะมีบุคลิกเช่นไร กระจกบานนี้ช่วยสะท้อนมันออกมาอย่างซื่อตรงทำให้เธอรู้ว่าตนเองควรจะแสดงบทบาทเช่นไรในวันนั้น ๆ

   เสียงเคาะประตูดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

   “คุณหนูซากุระ อาหารเช้าพร้อมแล้วค่ะ”

   คนรับใช้จากบ้านตระกูลเซินทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างไร้ที่ติ หญิงสาวขานตอบกลับไปแล้วเดินไปที่หน้าต่างก่อนเปิดม่านออกเพื่อรับแสงยามเช้าที่ส่องเข้ามาในห้อง

   เช้าวันนี้อากาศช่างแจ่มใส ท้องฟ้าเปิดกว้าง เมฆขาวลอยอยู่เพียงประปรายไม่ได้รวมตัวกันหนาแน่นทำให้แสงอาทิตย์ส่องลงมาได้อย่างเต็มที่ และกระทบร่างกายทิ้งเงาสีเข้มทาบลงบนพื้น ซากุระก้มลงมองไปยังข้างล่างซึ่งมีสวนเล็ก ๆ ตั้งอยู่และเลยไปอีกเล็กน้อยก็เป็นรั้วของบ้าน ถัดไปเป็นถนนและรั้วของบ้านอีกหลังหนึ่ง หน้าต่างของบ้านหลังนั้นไม่ได้ปรากฏเงาของใครอยู่ เจ้าของห้องคงจะยังไม่ตื่นกระมัง

   จะว่าไปแล้ว คนที่อยู่ในบ้านหลังนั้นคือใคร เธอก็ยังไม่เคยรู้เลย ทั้งที่อยู่ตรงข้ามกันแค่นี้แท้ ๆ

   ซากุระผละจากหน้าต่าง คว้าผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าห้องน้ำ

   หลังจากอาบน้ำเรียบร้อย เธอก็สวมชั้นใน ชุดยาวตัวบาง และคลุมทับด้วยเสื้อคลุมอาบน้ำก่อนจะหวีผมสักเล็กน้อยแล้วจึงเดินลงไปข้างล่าง เมื่อลงไปถึงตีนบันไดก็หมุนตัวเดินเข้าห้องสำหรับรับประทานอาหาร ซึ่งในวันนี้ก็มีเธออยู่เพียงคนเดียวเหมือนทุก ๆ วัน

   อาหารเช้าแบบง่าย ๆ ถูกยกมาตั้งบนโต๊ะ ประกอบไปด้วยไข่ลวกในถ้วยกาแฟใบเล็ก ขนมปังปิ้ง 2 แผ่น เบคอน สลัดผัก นมสด และน้ำส้มคั้น

   อาหารเช้าถูกจัดการให้หมดไปอย่างรวดเร็ว

   การไม่มีเพื่อนร่วมโต๊ะ ทำให้เหตุผลที่จะให้เวลากับอาหารลดน้อยลงไป เพราะเหตุนั้นซากุระจึงไม่เคยใช้เวลากับอาหารที่บ้านเลย แค่กินให้อิ่มท้องไปเท่านั้นเอง

   เมื่อหมดธุระกับอาหารเช้า ซากุระก็กลับขึ้นห้องเพื่อไปแต่งตัว

   วันนี้เธอเลือกชุดสีสว่าง เป็นเสื้อสีชมพูอ่อนและเสื้อคลุมแขนยาวกับกระโปรงเข้าชุดสีขาว พร้อมแต่งหน้าโทนสว่างให้ดูสดใสและอ่อนวัย เรือนผมจัดทรงอย่างง่าย ๆ ด้วยการหวีและใช้เครื่องหนีบด้วยความร้อนม้วนให้เป็นโรลอย่างหลวม ๆ

   ใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็ดูเหมือนว่าเธอจะพร้อมสำหรับการพบบุคคลสำคัญคนนั้นแล้ว

   ซากุระเลือกรองเท้าหุ้มส้นสีขาวออกมาจากตู้เสื้อผ้า และเดินลงมาสวมข้างล่าง

   “วันนี้จะออกไปไหนหรือครับ?” บอดี้การ์ดเดินเข้ามาถามเพราะเมื่อวานนี้ซากุระไม่ได้บอกเลยว่าตนเองมีนัดและเมื่อเช้าก็ไม่ได้บอกให้เตรียมรถไว้

   “ฉันจะออกไปข้างนอกกับเพื่อนน่ะค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” ซากุระตอบแล้วยิ้มขอบคุณสำหรับความเอาใจใส่ของอีกฝ่าย

   “ให้จัดทีมการ์ดไหมครับ?”

   “ไม่ต้องหรอกค่ะ วันนี้ฉันไปไม่ไกล ไม่น่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นได้” ความจริงแล้ว ตัวเธอเองก็ยังไม่ได้เป็นคนในบ้านตระกูลเซินเต็มตัว ดังนั้นการที่จะมีใครมาปองร้ายเธอด้วยธุรกิจด้านมืดของตระกูลก็ไม่น่าเป็นไปได้ อีกทั้งทางบริษัทของพ่อก็ไม่ได้ใหญ่โตขนาดจะไปขัดแข้งขาใครได้ การมีบอดี้การ์ดตามติดไปไหนมาไหนตลอดเวลาจึงนับเป็นการกระทำที่ค่อนข้างเกินเหตุ ซากุระจึงไม่ค่อยนิยมจะทำแบบนั้นบ่อยนัก นอกจากเวลาจำเป็นจริง ๆ หรือในสถานที่ที่เธอไม่รู้จักมาก่อน

   “ถ้าอย่างนั้น....”

   ซากุระยกมือปรามเมื่อหัวหน้าทีมการ์ดจะพูดอะไรบางอย่างต่อ

   “ฉันจะออกไปกับหลางเมี่ยวอิน หากมีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน ทางตระกูลหลางต้องเป็นคนรับผิดชอบ ฉันเชื่อว่าเสวียนอู่คงไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นแน่นอน ดังนั้นฉันไม่มีอันตรายหรอกค่ะ”

   ได้ยินดังนั้น หัวหน้าการ์ดก็เงียบไป

   “ถ้าอย่างนั้น ดูแลตัวเองด้วยนะครับ” ถึงเขาจะไม่ค่อยมั่นใจนักว่าอีกฝ่ายจะปลอดภัยดังปากว่าหรือเปล่า แต่เมื่อเจ้านายยืนกราน เขาก็ทำอะไรไม่ได้ โดยปกติแล้วหน้าที่ของเขาคือคอยระแวดระวังแทนเจ้านายตลอดเวลา เมื่อเขาไม่ได้เป็นคนพิทักษ์เองจึงเกิดความรู้สึกไม่สบายใจเป็นธรรมดา

   เสียงแตรรถหน้าบ้านแสดงถึงการมาเยือนของแขก

   ซากุระพยักเพยิดให้หัวหน้าการ์ดออกไปเปิดประตูเล็ก เพื่อเธอจะได้เดินออกไปโดยไม่ต้องเปิดประตูใหญ่ให้ยุ่งยาก

   รถของหลางเมี่ยวอินจอดรออยู่ด้านหน้า และเมื่อเห็นคนเดินออกมาจากตัวบ้าน คนขับรถก็หยุดบีบแตรแล้วนั่งรอจนกระทั่งซากุระเดินออกมาถึงประตู จึงลงจากรถแล้วเปิดประตูหลังรอ

   ซากุระเดินออกจากประตู กล่าวฝากให้การ์ดดูแลบ้านตามปกติแล้วจึงเดินมาขึ้นรถ

   “เกือบไปแล้วล่ะค่ะ” เธอกล่าวกับเจ้าของรถเมื่อขึ้นมานั่งเรียบร้อย

   “มีอะไรเกิดขึ้นหรือครับ?” ผู้ที่อยู่บนรถกลับเป็นหลางเมี่ยวเจิน ไม่ใช่หลางเมี่ยวอินอย่างที่ซากุระบอกกับทีมการ์ดไว้

   “ก็การ์ดน่ะสิคะ จะจัดทีมออกมาให้ฉันท่าเดียว ต้องอ้างชื่อคุณเมี่ยวอินไปจนได้” ดูเหมือนซากุระจะรู้สึกไม่ดีนักที่จะต้องโกหกกระทั่งคนที่ทำหน้าที่ปกป้องตัวเอง แต่หากเธอไม่ทำเช่นนั้น สิ่งที่เธอทำมาทั้งหมดก็คงจะไม่ได้มีความหมายอะไรเลย

   หลางเมี่ยวเจินหัวเราะออกมาน้อย ๆ

   “ผมเข้าใจ เวลาผมจะออกไปหาคุณไป๋หู่ พวกการ์ดของผมก็ทำท่าจะเป็นจะตายอยู่เรื่อย ทั้งที่ผมต้องเก็บเป็นความลับให้พวกเขารู้ไม่ได้แท้ ๆ”

   “เพราะอย่างนั้นวันนี้เลยออกมากับคนขับรถสินะคะ แล้วเอารถคุณเมี่ยวอินออกมาแบบนี้จะเป็นอะไรหรือเปล่า?”

   หลางเมี่ยวเจินส่ายศีรษะ

   “ผมบอกเสี่ยวอินไว้ก่อนแล้ว เรื่องนี้เธอเองก็รู้ดี แล้วผมก็ให้เสี่ยวอินเอารถของผมไปทำงานแทน” แค่เรื่องสลับรถกับใช้ระหว่างพี่น้องไม่ใช่เรื่องแปลกใจสายตาใคร ๆ เพราะเหตุนั้นคนที่บ้านตระกูลหลางจึงไม่มีใครนึกสงสัยว่าหลางเมี่ยวเจินกำลังคิดจะเอารถของน้องสาวไปทำอะไรที่ไหน ความจริงคงเป็นเพราะตอนเด็ก ๆ พวกเขาเคยสลับของใช้กันอยู่บ่อย ๆ กระทั่งเสื้อผ้ายังเคยสลับกันสวมใส่แล้วไปหลอกตาคนอื่นในบ้านว่าเป็นอีกคนหนึ่ง ในตอนนั้นพวกเขาเหมือนกันอย่างกับโขกพิมพ์ แต่พอโตขึ้นก็มีความต่างระหว่างเพศเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้เล่นอะไรแบบนั้นไม่ได้อีก

   “ต้องขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยให้โอกาสกับฉัน” ซากุระกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะกล่าวมาหลายครั้งแล้วก็ตาม

   “ผมเคยบอกไปแล้วนะ ว่าที่ผมทำไม่ใช่เพื่อคุณหรือมิตรภาพ แต่เป็นผลประโยชน์กับตัวผมเอง ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าผมมีบุญคุณหรอก” หลางเมี่ยวเจินว่าพลางหัวเราะก่อนเบือนสายตาออกไปนอกหน้าต่างรถที่กำลังขับเคลื่อนตัวเองไปบนท้องถนน

   “ฉันแน่ใจว่าคุณเซินจะต้องรู้สึกขอบคุณคุณเช่นกัน”

   ชายหนุ่มหรี่ตาลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น

   “ผมไม่คิดอย่างนั้นหรอก....” เขากระซิบเบา ๆ

   “อะไรนะคะ?”

   “เปล่า” หลางเมี่ยวเจินหันกลับมายิ้ม “ผมแค่พึมพำไปตามเรื่อง”

----------------------->

   รถแล่นมาจอดที่หน้าคอนโดมิเนียมหรูหราแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในย่านคนมีอันจะกินในแถบนี้ รอบ ๆ มีอาคารสูงเสียดฟ้าห้อมล้อมมากมายจนรู้สึกเหมือนเป็นสถานที่ซึ่งแบกท้องฟ้าเอาไว้ แต่ในความเป็นจริง ท้องฟ้าก็ยังคงอยู่ไกลออกไปเกินกว่าจะเอื้อมถึง

   “ไป๋หู่ไม่ได้อยู่ที่บ้านหรือคะ?” ซากุระเอ่ยถามด้วยความสงสัย

   “ปกติแล้วเขาจะอยู่บ้าน แต่ถ้าเขานัดใครเขาจะออกมาพบที่นี่” หลางเมี่ยวเจินไหวไหล่ “ประมาณว่า ที่บ้านคนเยอะเกินไป ทำอะไรประเจิดประเจ้อไม่ได้ ราว ๆ นั้นน่ะครับ”

   ซากุระหน้าแดงน้อย ๆ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร

   “ที่ว่าเขาเป็นเพลย์บอยตัวเอ้คงไม่ใช่ข่าวลือลอย ๆ สินะคะ”

   “นั่นสินะ ผมเองก็ยังสงสัยอยู่” ชายหนุ่มหัวเราะในคอ “บางทีถ้าคุณโชคดีเจอเลขาของเขา คุณอาจจะรู้คำตอบของคำถามเมื่อครู่นี้ก็ได้”

   “ฉันไม่คิดจะซอกแซกถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ” เธอรีบโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน

   “เอาเถอะ ผมคงจะส่งคุณได้แค่นี้ ที่เหลือคุณจัดการเองก็แล้วกัน” หลางเมี่ยวเจินส่งกระดาษและคีย์การ์ดให้แก่ซากุระก่อนจะให้คนรถขับออกไป หญิงสาวรู้สึกแปลกใจที่อีกฝ่ายดูจะเร่งร้อนจากไปเสียเหลือเกิน กระนั้นเมื่อคิดไปแล้ว บางทีหลางเมี่ยวเจินอาจจะอยู่ในฐานะที่แสดงตัวได้ลำบาก ดังนั้นจึงไม่อยากให้ใครพบเห็นอยู่บริเวณนี้ ไม่อย่างนั้นเรื่องที่จงใจปกปิดไว้อาจจะแดงขึ้นมาได้

   ซากุระเดินเข้าไปแล้วขึ้นลิฟต์ไปตามชั้นที่กระดาษแผ่นนั้นชี้ทาง

   คอนโดมิเนียมที่นี่มีบริเวณกว้างขวางกระทั่งห้องโถงชั้นล่างที่สามารถจุคนจำนวนมากได้อย่างสบาย ลิฟต์แก้วหันหน้าออกไปทางด้านนอก ทำให้เห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างชัดเจน ทั้งสวนที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างร่มรื่น สระน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่ที่มีคนแหวกว่ายกันอย่างสนุกสนาน

   ประตูลิฟต์เปิดและปิดหลายครั้ง มีคนเดินเข้าออกเป็นบางช่วงก่อนที่จะมาถึงชั้นที่เธอต้องการ

   หญิงสาวหันซ้ายขวามองเลขห้องก่อนจะเดินไปทางปีกซ้ายและหยุดยืนที่หน้าประตูบานหนึ่ง มองเลขห้องจนแน่ใจแล้วจึงสแกนคีย์การ์ดกับเครื่องมือด้านหน้า ทันใดนั้น ล็อคของประตูก็เปิดออกเสียงแกร๊ก ซากุระสูดหายใจครั้งหนึ่งก่อนกดมือลงบนมือจับประตู และเปิดเข้าไป

   “เชิญครับ คุณผู้หญิง” เสียงต้อนรับทำให้หญิงสาวสะดุ้งเฮือก และเงยหน้าขึ้นเห็นชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ห่างจากเธอไปเพียงไม่กี่ก้าว

   ซากุระสับสนไปเล็กน้อยว่าตนเองควรเรียกอีกฝ่ายว่าอย่างไรด้วยปกติจะเรียกด้วยตำแหน่ง แต่เมื่อคิดดี ๆ แล้ว เธอเองไม่ใช่คนของอีกโลกหนึ่ง และไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับอีกฝ่านในฐานะมาเฟีย ดังนั้นสำหรับเธอแล้ว ผู้ชายตรงหน้ายังคงเป็นนักธุรกิจธรรมดาเท่านั้น

   “สวัสดีค่ะคุณจาง” เธอกล่าวพลางยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ

   ไป๋หู่ยิ้มบางแล้วหลีกทางให้หญิงสาวเดินเข้ามาในห้อง เขาปิดประตูตามหลังอย่างสุภาพแล้วผายมือเชิญให้แขกไปนั่งที่โซฟากลางห้องนั่งเล่น

   “รับน้ำอะไรไหมครับ?”

   “น้ำเปล่าแล้วกันค่ะ” ซากุระตอบแล้วหันมองรอบตัวในขณะที่ไป๋หู่ไปนำน้ำมาให้ เพียงไม่นานน้ำเปล่าในแก้วใสทรงเรียบ ๆ ก็ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้า ซากุระยกขึ้นมาจิบเล็กน้อยให้หายคอแห้งแล้วจึงวางลงไปบนจานรองเช่นเดิม สายตาก็จับจ้องชายหนุ่มที่หย่อนตัวลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม

   “หลางเมี่ยวเจินบอกผมว่าคุณมีธุระกับผม” ไป๋หู่เริ่มก่อนเพราะต้องการดูปฏิกิริยาของซากุระ

   หญิงสาวชะงักเล็กน้อยก่อนจะทำสีหน้าที่บอกไม่ถูกว่าอยู่ในอารมณ์แบบใด แต่เพียงไม่นานมันก็กลับไปเป็นสีหน้าที่สงบนิ่งคล้ายคนที่ตัดสินใจตั้งมั่นแล้ว

   “ใช่ค่ะ ค่อนข้างจะเป็นเรื่องสำคัญด้วย ฉันจึงรู้สึกดีใจที่คุณกรุณาให้ฉันเข้าพบได้ตามลำพัง”

   ไป๋หู่เลิกคิ้วน้อย ๆ

   “คู่หมั้นของว่าที่จูเชว่มีธุระสำคัญกับผม ผมจะปฏิเสธได้ยังไงกัน”

   ซากุระหัวเราะ เธอรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงคำพูดตามมารยาท

   “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะช่วยฉันได้”

   “ก็ขึ้นกับว่ามันเกินความสามารถของผมหรือเปล่า” ไป๋หู่จิบน้ำเล็กน้อยก่อนจะวางลงบนจานรองแก้วแล้วเอนหลังพิงพนักในท่าสบาย ด้วยท่าทางเช่นนี้บ่งบอกซากุระว่าเขาพร้อมจะฟังคำขอของเธอและจะพิจารณาว่าทำให้ได้หรือไม่อย่างทันที

   “ฉันเชื่อว่าไม่มีอะไรเกินความสามารถของคุณไปได้หรอกค่ะ” เธอว่าก่อนจะทิ้งช่วงคำพูดไปแล้วเริ่มอีกครั้งด้วยเสียงที่หนักแน่นขึ้น “ฉันต้องการคู่หมั้นของฉันคืน”

   ไป๋หู่ยังคงนิ่งเงียบหลังจากได้ยินความต้องการของอีกฝ่าย สายตาของเขากลอกไปมาเล็กน้อยเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว ก่อนที่ริมฝีปากจะปรากฏรอยยิ้มคล้ายเยาะหยันออกมาเพียงเสี้ยววินาทีและเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ไม่ปรากฏอารมณ์ชัดเจนในเวลาต่อมา ปลายนิ้วชายหนุ่มเคาะเบา ๆ บนหลังมือของตนเองราวกับว่าเป็นคำขอที่เข้าใจได้ยากและพิจารณาได้ยากพอกัน

   “คุณพูดเหมือนผมลักพาตัวคุณเซินหมิงเฟิ่งไป” ไป๋หู่หัวเราะออกมา “ความจริงผมก็แค่ได้ข่าวว่าเขาหายตัวไปอย่างลึกลับ แต่ไม่เคยมีใครบอกผมเลยว่าใครเอาตัวเขาไป”

   ถึงไป๋หู่จะพูดเช่นนั้น แต่ซากุระก็ไม่เชื่อเลยสักนิด

   “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องน่าแปลกนะคะที่คนระดับคุณจะไม่รู้เรื่องนี้เลย” เธอว่า “ทั้งที่หากคุณช่วยเหลือ ทางจูเชว่คงจะรู้สึกเป็นบุญคุณ แต่ว่าในเมื่อคุณยืนกรานว่าคุณไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฉันเองก็คงจะคะยั้นคะยอมากไปว่านี้ไม่ได้ แต่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใครแล้วเหมือนกัน” ซากุระทำเป็นถอนหายใจอย่างหมดสิ้นหนทาง

   “คุณยอมแลกทุกอย่างเพื่อเอาตัวคู่หมั้นคุณคืนมาหรือเปล่า?”

   คำถามของไป๋หู่คล้ายกำลังลองใจอยู่กลาย ๆ แต่นั่นก็มากพอที่ซากุระจะแน่ใจได้ว่าผู้ชายคนนี้รู้บางอย่างอยู่จริง ๆ

   แต่ว่า...คนอย่างไป๋หู่ไม่มีทางพูดเช่นนี้ลอย ๆ แน่

   เจ้าตัวจะต้องเรียกร้องอะไรบางอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่า เธอมั่นใจมากแค่ไหนว่าจะแลกได้

   เซินหมิงเฟิ่งมีความสำคัญมากขนาดนั้นจริง ๆ หรือเปล่า....ตอนนี้มาถึงจุดที่ซากุระต้องถามตัวเองให้แน่ใจอีกครั้ง เพราะเธอไม่เคยรู้จักคน ๆ นั้นดีพอเลย ถึงจะชื่อว่าเป็นคู่หมั้น แต่เหตุผลที่เธอพยายามช่วยคน ๆ นั้นก็เพราะอยากให้จูเชว่สบายใจและได้ลูกชายคืน อีกทั้งยังเป็นผู้ชายที่เธอพึงพอใจจะใช้ชีวิตด้วยมากกว่าคนอื่น ๆ ที่เคยพบเจอ แต่ความสำคัญที่เขามีต่อเธอนั้นมีมากขนาดนั้นจริงหรือ?

   ซากุระเงียบไป

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด