
++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 62
ผมไหว้ลาแม่กับป๋ากลับกรุงเทพฯ แม่โอบกอดผมลูบหลังผมเบาๆ ผมรู้ได้เลยว่าแม่รักผมเหมือนลูกจริงๆ แต่แม่ก็คงไม่อยากให้โอมลูกชายแม่มารักกับผู้ชายอยู่ดี
ผมพยายามมองโลกในแง่ดีว่า แยกกันชั่วคราวแบบนี้ก็ยังนับว่าครอบครัวโอมให้โอกาสกับความรักของเราแล้ว ดีกว่าบังคับให้เลิกกันทันที สายตาของแม่ที่มองผมคลอไปด้วยน้ำตา แม่ก็คงไม่ได้อยากทำแบบนี้ผมเข้าใจ

“ต่ายรู้ไว้นะลูก...ว่าแม่ยังรักต่ายเหมือนเดิม...แล้วก็ติดต่อมาบ้างอยากรู้เรื่องอะไรก็ถามผ่านมาทางอิงแล้วกัน”
ผมกอดตอบแม่อีกครั้งก่อนที่จะขับรถจากมา มือผมกำพวงมาลัยแน่นแต่ผมก็ยังรู้สึกได้ว่ามือเย็นเฉียบ ผมขับรถกลับไปบ้านด้วยความปวดใจ ปวดหัวตุ๊บๆ ระยะทางร้อยกว่ากิโลเหมือนกับสั้นแค่สิบกิโล ผมก็ไม่รู้ว่าผมขับกลับมาอย่างปลอดภัยได้ยังไงมันเบลอไปหมด มันเหมือนหุ่นยนต์ที่ไร้ชีวิตจิตใจ
สักพักนึงผมก็มาถึงบ้านมันเงียบมากๆเพราะโอมไม่อยู่ เหมือนกับในใจผมตอนนี้ที่มันส่งเสียงไม่ออก พอเข้าไปในห้องนอนโอมผมทรุดตัวลงนั่งบนเตียง เอาหมอนที่โอมนอนมากอด ยังได้กลิ่นกรุ่นๆของโอมที่ยังมีอยู่ที่หมอน
ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงหลับตาซึมซับความรู้สึกอบอุ่นที่เคยมีกันและกันให้ได้มากที่สุด น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวเลย มันโหดร้ายที่ต้องจากกันทั้งที่ยังรักกันมาก เมื่อวานนี้ผมยังได้นอนกอดเจ้าของหมอน แต่ตอนนี้ทำได้เพียงกอดหมอนเท่านั้นเองมันช่างน่าเศร้า
ผมไม่เคยร้องไห้มานานแล้วหลังจากที่พ่อผมเสียไปเมื่อหลายปีก่อน โอมเป็นผู้ชายอีกคนที่ผมต้องเสียน้ำตาให้ ผมนอนร้องไห้ไปพักนึงแล้วก็ต้องหยุดต้องเอามือปาดน้ำตา ไม่มีเวลาที่จะร้องไห้ได้นานนัก ผมยังมีเรื่องอีกมากที่ต้องทำ
ผมเริ่มเก็บของที่ไม่ได้มีมากใส่รถ แต่ไม่ลืมที่จะทิ้งของขวัญวันเกิดไว้ให้หลาน ผมลังเลใจอยู่นานว่าจะเขียนจดหมายทิ้งไว้ให้โอมดีไม๊ ผมหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นนึง แล้วจรดปากกาเขียนด้วยความยากลำบาก เขียนรายงานการตรวจสอบมาก็หลายหน เขียนจดหมายแนะนำการปฏิบัติงานให้ลูกค้าก็หลายครั้ง ยังไม่ยากเท่ากับเขียนจดหมายลาคนที่เรารัก
ถึงโอมที่รัก
พี่มีความจำเป็นต้องจากโอมไป โอมไม่ต้องเสียใจเพราะยังไงเราก็ยังรักกันเหมือนเดิม โอมสัญญาว่าจะรอพี่ได้ไม๊ พี่จะกลับมาให้เร็วที่สุด
ผมลองอ่านจดหมายที่เขียนไม่จบแล้วก็ไม่ชอบเลย อ่านแล้วดูน้ำเน่า แล้วผมก็ไม่อยากผูกมัดให้โอมมารอผมด้วย ถึงแม้ว่าใจจะอยากให้รอแค่ไหนก็ตาม ผมเองก็อยากเปิดโอกาสให้โอมเหมือนกัน ผมเลยต้องขยำทิ้งไป แล้วผมก็เขียนใหม่
ถึงโอมที่รัก
พี่ไม่อยากจากโอมไป แต่ต้องไปทำงานต่างประเทศ ยังไม่มีกำหนดกลับไม่ต้องเป็นห่วง รักษาตัวด้วย
ผมอ่านแล้วยังรู้สึกเหมือนเดิม ผมรู้ว่าถ้าโอมอ่านจดหมายนี้โอมต้องรอผมแน่ๆ ผมก็เลยไม่ใช้จดหมายฉบับนี้อีก เขียนไปอีกหลายฉบับก็ยังไม่ถูกใจ
ในที่สุดมันก็เลยจบลงแค่ว่า “พี่ต่ายรักโอม”
ผมคิดว่าคำๆนี้สื่อความหมายจากใจของผมให้กับโอมมากที่สุดแล้ว ส่วนเรื่องอนาคตจากนี้ ก็ต้องแล้วแต่บุญวาสนาของเราสองคนเท่านั้นเอง
พอออกมาจากบ้านผมก็แวะเข้าบริษัท ลางานสองอาทิตย์ทั้งที่ยังคิดไม่ออกว่าจะลาไปทำอะไร แล้วก็เข้าไปคุยกะนายขอย้ายตัวเองไปต่างประเทศ นายค่อนข้างงงว่ามีสาเหตุอะไรรึเปล่าแต่ผมก็บอกไปแค่ว่าเป็นปัญหาส่วนตัว นายก็เลยรับปากจะช่วย
แล้วพอออกจากบริษัทผมก็เคว้ง ไม่รู้จะไปไหนดีจะกลับไปบ้านตัวเองก็กลัวโอมตามไป ถ้าผมมีโอกาสเจอกับโอมผมคงทิ้งโอมไปไม่ได้แน่ๆ ผมเลยปิดมือถือไม่กล้าเปิดกลัวโอมจะโทรมาหา ตกลงผมตัดสินใจหาโรงแรมนอนไปก่อนชั่วคราว แต่ผมก็อยู่เฉยๆที่โรงแรมไม่ได้ มันร้อนใจเหมือนคนโดนเล่นคุณไสย
ในที่สุดผมต้องขับรถมาแอบซุ่มอยู่ไม่ห่างจากบ้านโอมเท่าไหร่ ถ้าใครมาเห็นผมตอนนี้อาจจะนึกว่าผมเป็นพวกโรคจิตชอบแอบติดตามชาวบ้าน ผมดูนาฬิกาสี่ทุ่มกว่ายังเห็นโอมเดินไปเดินมาในบ้านคุยโทรศัพท์กับใครอยู่ก็ไม่รู้ท่าทางเคร่งเครียด ผมเลยพลอยเครียดไปด้วย อยากจะให้โอมไปนอนไวๆจะได้หยุดฟุ้งซ่าน
ผมเห็นแสงไฟในห้องผมสว่างขึ้นมา โอมคงเข้าไปดูที่ห้องแล้วและคงรู้แล้วว่าผมย้ายของออกไปหมดแล้ว ผมว่าโอมคงช็อคเพราะเรายังคุยกันดีๆอยู่เมื่อคืน มันไม่มีแม้กระทั่งแมวดำกระโดดผ่าน หรือลางร้ายใดๆเลย
สักพักนึงผมเห็นโอมออกมาจากบ้านกระโดดขี่จักรยานแล้วขี่ออกไปอย่างรวดเร็ว ผมกำลังงงว่าโอมจะไปไหนแล้วก็ต้องสะดุ้งกับเสียงโอมที่ตะโกนออกมา
“กรูไม่เข้าใจโว้ย!!!!!!!!”
ผมอดอมยิ้มไม่ได้โอมก็ยังคงเป็นโอมอยู่ดีในทุกสถานการณ์ ผมเริ่มขับตามโอมไปอย่างช้าๆ บรรยากาศตอนตี 1 กว่าๆช่างเงียบจนน่ากลัว ได้ยินแต่เสียงหมาหอนกันเกรียวสงสัยจะซ้อมร้องประสานเสียงกันอยู่
ผมขับรถไปก็งงตัวเอง อยู่ดีๆผมกลายเป็นstalkerไปตั้งแต่เมือไหร่กันเนี่ย ผมค่อยๆตามโอมไปถึงจุดหมายที่ไม่ไกลนัก โอมขี่จักรยานไปที่บ้านผมนั่นเอง พอไปถึงก็สวมวิญญาณนักย่องเบาปีนข้ามรั้วไปเลย ใช้เวลาไม่นานสักพักนึงก็ปีนออกมานั่งอยู่ริมฟุตบาทหน้าบ้านผม แล้วก็ตะโกนออกมาอีก
“งงโว้ย!!!!!!!!!”
โอมนั่งกุมหน้าผากเงียบๆอยู่ตรงนั้น แต่ผมรู้ว่าโอมกำลังร้องไห้ด้วยความเสียใจ ผมไม่หัวเราะโอมแล้วครับ ผมได้แต่นั่งมองโอมแล้วน้ำตาผมก็ค่อยๆไหล ตอนนี้ผมสงสารทั้งโอมทั้งตัวเอง ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาผมรู้สึกว่าผมโชคดีที่ได้มารักกับโอม ถ้าไม่นับเรื่องที่เราเข้าใจผิดกันนิดๆหน่อยๆ ก็เรียกได้เลยว่าเราทะเลาะกันน้อยมาก ราวกับว่าชีวิตรักเราไม่มีอุปสรรคอะไรเลย
แต่สุดท้ายเรากลับต้องมาแยกกันเพื่อพิสูจน์ว่าเรารักกันจริง ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาคิดแล้วก็น่าขำแต่มันขำไม่ออก ผมอยากจะขับรถกลับออกไปแต่ก็เป็นห่วงโอม ก็เลยจอดรถมองโอมที่นั่งอยู่อย่างเงียบๆเพียงลำพัง ผมนั่งมองโอมอยู่ห่างๆแต่ผมรู้สึกว่าความเศร้าของเรามันอยู่ร่วมกัน เราไม่เคยแยกจากกันแม้กระทั่งความเสียใจ
จนใกล้สว่างโอมถึงลุกขึ้นแล้วขี่จักรยานกลับบ้านไปอย่างอ่อนแรง
ผมกลับไปที่โรงแรมหลังจากมั่นใจว่าโอมกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย แต่ก่อนที่ผมจะหลับพักหลังจากที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืน ผมตัดสินใจโทรหาอิง
“อิงเหรอ....กรูเองต่าย...กรูว่าวันนี้มรึงขึ้นมาดูโอมหน่อยซิกรูไม่ค่อยวางใจ”ผมรู้ว่าโอมเป็นคนคิดมากพอสมควร เลยไม่อยากจะปล่อยไว้คนเดียว
“กรูไปได้ตอนบ่ายว่ะ ตอนเช้าเคลียร์งาน บ่ายๆก็ต้องไปรับกุ้งกะลูกกลับจากโรงพยาบาล เอาไงดีว่ะ.......โอมดูแย่มากเหรอกรูชักเป็นห่วงแล้วซิ”
อิงเองไหนจะลูกอ่อนไหนจะงานอีกผมก็พอเข้าใจน่ะครับ
“เอางี้แล้วกันกรูจะคอยดูอยู่ห่างๆแล้วกัน ตอนนี้โอมคงหลับอยู่กรูก็กะว่าจะงีบพักนึงแล้วจะแอบไปดูโอม แต่มรึงรีบมาแล้วกัน ถ้าเจอกันจะๆกรูก็ชักไม่แน่ใจตัวเองแล้วว่าจะยอมแยกจากน้องมรึงได้ไม๊” แค่นี้ผมก็แทบทนไม่ไหวแล้วครับ มันจะตายเอา
“เออๆ..กรูรู้ยังไงกรูก็ต้องขอโทษมรึงอยู่ดี” อิงพูดเสียงอ่อยๆ
“มรึงไม่โกรธกรูใช่ไม๊ที่ทำแบบนี้” ผมได้ยินเสียงอิงถอนหายใจ ทุกคนลำบากใจกับเรื่องนี้กันหมด
“กรูจะไปโกรธได้ไง...กรูเข้าใจว่าที่บ้านมรึงคิดยังไง ยังไงๆทุกคนก็รักและหวังดีกับโอมกันทั้งนั้น”
ถ้าเป็นเรื่องอื่นๆมาขัดขวางเรื่องของผมกับโอม ผมคงไม่มีวันถอยออกมาง่ายๆแบบนี้หรอก แต่ป๋ากับแม่ของโอมเป็นคนที่ผมต้องเชื่อฟังอย่างที่สุด มันดูราวกับว่าผมคิดอะไรง่ายๆ อยากจะทิ้งก็ทิ้งกันไป แต่ผมกลับคิดว่า ถึงแม้ผมจะดื้อดึงไปไม่ยอมทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่บอก ก็จะยิ่งทำให้ทุกคนเสียใจรวมถึงตัวโอมเองด้วย เพราะสำหรับโอมครอบครัวคือสิ่งที่สำคัญที่สุด สำคัญมากกว่าตัวผมเสียด้วยซ้ำ
ผมรู้ว่าโอมต้องกลับไปทำงานที่บ้านเมื่อเรียนจบ เราก็ต้องแยกกันอยู่ดี และปัญหาการยอมรับจากครอบครัวไม่เจอวันนี้วันหน้าก็ต้องเจอ สู้อดทนรอคอยเพื่อที่จะได้อยู่ด้วยกันอย่างยั่งยืนจะไม่ดีกว่าหรือ ผมรู้ว่าช่วงเวลาที่ผมไม่อยู่โอมจะต้องกลับไปอยู่บ้าน โอมจะมีคนในครอบครัวเป็นกำลังใจให้อยู่แล้ว ผมต่างหากล่ะที่ไม่มีใคร..... ผมต่างหากที่ไม่เหลือใครเลย........
อิงวางสายไปแล้วแต่กำชับให้ผมไปดูโอมให้อีกที ผมง่วงมากเลยหลับไปครู่ใหญ่ ตื่นขึ้นมาอีกทีเกือบเที่ยง ผมตกใจนี่ผมนอนไปนานขนาดนี้เลย ออกจะอดเป็นห่วงโอมไม่ได้
ผมเลยรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วไปจอดรถซุ่มอยู่หน้าบ้าน บ้านดูเงียบมากๆเหมือนไม่มีใครอยู่ ผมเลยตัดสินใจใช้โทรศัพท์ที่ตู้สาธารณะโทรเข้าไปที่บ้าน ก็ไม่มีคนรับสาย ผมโทรเข้ามือถือโอมก็ไม่มีคนรับผมเลยไม่แน่ใจว่าตกลงโอมอยู่ในบ้านหรือเปล่า
ผมลองเสี่ยงเปิดประตูบ้านเข้าไป บ้านเงียบมากๆราวกับไม่มีคนอยู่ ผมค่อยๆย่องไปดูที่ห้องโอม พอเปิดประตูเข้าไปเห็นโอมยังนอนอยู่หน้าแดงระเรื่อเหมือนคนเป็นไข้

ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องยังเหมือนเดิม มีแต่ใจของเราสองคนที่มันทรมานจริงๆมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ผมเข้าไปนั่งข้างๆเตียงเอามือลูบหัวโอม สงสารน้องอย่างบอกไม่ถูก ยังเห็นร่องรอยคราบน้ำตาที่แก้มของโอม โอมคว้าเอามือของผมที่ลูบหัวไปจับไว้แน่นแต่ยังหลับตาอยู่ แล้วโอมก็สะอื้นร้องไห้ออกมา ผมแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ อยากจะรั้งตัวโอมขึ้นมากอดปลอบให้หายร้องไห้ ผมใช้มืออีกข้างลูบหัวปลอบใจโอม
“พี่ต่ายอยู่นี่นะโอม”ผมพูดเบาๆเหมือนกับจะบอกโอมว่า ผมยังอยู่ตรงนี้ในใจของโอมเสมอ ผมพยายามจะดึงมือออก แต่โอมก็จับไว้แน่นผมเลยต้องปล่อยให้จับไว้อยู่อย่างนั้น ใช้เวลาไม่นานโอมก็หยุดสะอื้นแล้วหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
ผมรอจนอิงกลับเข้าบ้านจึงได้จากโอมมา
“แล้วกรูจะติดต่อมาแล้วกันนะ........อิง....ฝากโอมด้วยนะ” ผมจับมืออิงพร้อมกับตบไหล่ อิงจับมือผมแน่น ผมมองอิงที่ตาแดงๆ แล้วอิงก็บอกผมว่า
“ไว้เจอกันใหม่นะต่าย....ไม่ต้องห่วงโอมยังไงมันก็น้องกรู”ฟังแค่นี้ผมก็สบายใจขึ้นแล้วครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
