:m23:เพิ่งคิดได้ว่าควรเอามาลงกลางคืน กลางวันจะได้ทำงานบ้างอิอิ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 61(ต่อ)
ระหว่างทางขับรถกลับผมก็รู้สึกสบายใจอย่างประหลาด ผมกลับมาเมืองไทยอยู่สักพักแล้ว แต่ถ้าไม่มีสัญญาณส่งให้ผมมาหาโอมได้ ผมก็ต้องอดทนรอต่อไป ผมเองก็อดทึ่งในความอดทนของตัวเองไม่ได้
แล้วเหตุการณ์ในวันนั้นก็ย้อนกลับมาหาผมเหมือนกับหนังที่ผมดูแล้วดูอีกจนจำได้ติดใจ วันนั้น.....วันที่ผมนัดกับโอมจะไปเจอที่โรงพยาบาลเยี่ยมลูกคนแรกของอิง
“โอมเหรอ.........อีกไม่เกินชั่วโมงพี่ไปถึงโรงพยาบาลล่ะ” ผมรับสายโอมแล้วก็พูดขึ้นมาเลยเพราะคิดว่าโอมโทรมาตาม แต่เสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่ครับ
“ต่ายนี่อิงพูดนะไม่ใช่โอม.......ขอคุยด้วยหน่อยซิที่โรงพยาบาลนี่แหล่ะ”เสียงของอิงเครียดมากเลยครับ ผมไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้จากอิงเลย ปรกติมันจะทะเล้นทะลึ่งตลอดเวลาคุยกับผม
“ได้ๆบอกโอมด้วยว่ากรูจะไปถึงแล้วนะ..เดี๋ยวเค้าจะบ่นว่ารอนาน”ผมยังไม่รู้หรอกครับว่าวันนั้นผมจะไม่ได้เจอโอมที่โรงพยาบาล จนไปถึงนั่นแหล่ะที่อิงถึงบอกว่าโอมกลับไปแล้ว
“โอมกลับไปแล้ว แต่กรูมีเรื่องต้องคุยกับมรึงเรื่องโอมน่ะแหล่ะ”
เราเดินอย่างช้าๆไปหาที่นั่งคุยในบริเวณโรงพยาบาล มีเก้าอี้ให้คนนั่งข้างๆสวนหย่อม ขณะนั้นเวลาค่อนข้างดึกแล้ว แต่ยังพอมีแสงไฟจากโคมถนนให้พอมองเห็นหน้ากันได้ อิงมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะที่บอกให้ผมนั่งลง
อิงนิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจถามผมว่า
“กรูถามมรึงตรงๆเลยไม่ต้องอ้อมค้อมแล้ว.....มรึงเป็นอะไรกับน้องกรู”
+
+
+
ขนาดว่าผมเตรียมใจไว้นานแล้วว่าเรื่องนี้จะต้องถูกครอบครัวโอมรู้เข้าสักวัน แต่ผมก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดี ความจริงผมอยากจะเป็นคนบอกเรื่องนี้ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง แล้วในเมื่อผมกับโอมก็มีความสุขกันดี ผมก็ยังไม่อยากจะเป็นผู้เริ่มให้มามีปัญหาขึ้น แต่เมื่ออิงถามขึ้นมาผมก็ต้องตอบคงจะเลี่ยงไปไม่ได้อีกแล้ว
“เราเป็นแฟนกัน....นานแล้ว”
เมื่ออิงได้ฟังคำตอบผม อิงนั่งพิงกับพนักเก้าอี้อย่างอ่อนแรง สีหน้าที่ดูเคร่งเครียดในคราวแรกคราวนี้ขมวดคิ้วหน้านิ่วอย่างชัดเจน
“มรึงเป็นเกย์เหรอ......แล้วน้องกรูด้วย”
ผมไม่รู้ว่าอิงพูดกับตัวเองหรือถามผม แต่ถ้าถามผมๆก็ไม่เคยถามตัวเอง ผมรู้แค่ว่า....ผมรักโอม ซึ่งบังเอิญ......เป็นผู้ชาย
ผมนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรอีกเพราะไม่แน่ใจว่าควรจะพูดอะไรต่อไป ผมซึ่งไม่เคยกลัวเรื่องอะไรแต่กับเรื่องนี้แล้วผมเพิ่งรู้ว่าผมก็อ่อนแอเหมือนกัน เราสองคนนิ่งเงียบต่างคนต่างใช้ความคิดกันไป อิงมองหน้าผมแล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างสงสัย
“ต่ายกรูถามมรึงคำเดียว.......มรึงรักโอมจริงๆหรือแค่ความใกล้ชิด.....หรือแค่เหงา”
ถ้าเป็นเกมที่แข่งความเร็ว 20 วินาทีต้องตอบคำถาม ผมก็คงไม่พลาด ผมตอบไปได้ทันที ไม่ต้องใช้เวลาในการลังเลเลย
“กรูมั่นใจมานานแล้วว่ากรูรักโอม......เป็นเรื่องที่กรูแน่ใจที่สุดในชีวิต”ผมมองตาของอิงแสดงความมั่นใจออกมาทางสีหน้า
อิงถอนหายใจแรงแล้วก็นั่งเอาข้อศอกยันเข่าไว้กุมขมับ “กรูจะทำยังไงดี”
คราวนี้ผมก็อึ้งซิครับ แต่ก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับกันได้ง่ายๆในช่วงเวลาไม่กี่นาที อิงคงยังทำใจไม่ได้ที่น้องชายรักกับผู้ชาย ผมชั่งใจอยู่นานว่าควรพูดดีไม๊
+
+
+
“มรึงก็ให้เรารักกันต่อไปซิ”
พอผมพูดแบบนี้แล้วอิงเงยหน้ามามองผม ด้วยแววตาเสียใจ
“กรูรักน้องนะต่าย.....กรูไม่อยากให้โอมมาเสียใจทีหลัง กรูไม่รู้ว่าทั้งมรึงทั้งโอมต่างกำลังสับสนกันรึเปล่า มันจะยั่งยืนแค่ไหนความรักที่มรึงว่า”
“อิง......แล้วมรึงจะให้กรูทำยังไง...มรึงถึงจะเชื่อใจกรู”
ผมมั่นใจเรื่องที่ผมรักโอม แต่พออิงพูดมาแบบนี้ผมชักเริ่มรู้สึกสั่นคลอน ไม่แน่ใจแล้วว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันอีกไหม
“กรูไม่รู้....กรูตัดสินใจไม่ได้” :เศร้า1:
อิงส่ายหน้า แล้วผมก็เห็นว่าอิงเริ่มตาแดงๆ พี่น้องกันขี้แยเหมือนกันไม่มีผิด แต่มันเป็นน้ำตาของพี่ที่รักน้องจริงๆ อิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแต่ดูเหมือนจะแบ็ตหมด
“ต่ายกรูยืมโทรศัพท์หน่อยดิ ของกรูแบ็ตหมด”
ผมส่งโทรศัพท์ไปให้อิง อิงรับมาแล้วมองหน้าผม แล้วยกโทรศัพท์ผมให้ผมดูมันเป็นรูปผมถ่ายคู่กับโอมครั้งนั้น
“นี่ไงทำให้กรูรู้เรื่องพวกมรึง.....ไม่ระวังกันเลยนะมรึง”อิงส่ายหัวแล้วต่อโทรศัพท์ต่อไป
“โหล....แม่เหรอครับ”
แล้วอิงก็ลุกเดินออกไปพูดที่อื่นครับ เดินไปพูดไปกุมขมับไป แล้วก็หันหน้ามามองผมเป็นระยะ ผมรู้สึกเหมือนคนที่กำลังรอผลคำพิพากษา ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองว่าโทษจะหนักขนาดไหนที่บังอาจมาหลงรักลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเค้า แล้วอิงก็ส่งโทรศัพท์ให้ผม
“แม่จะพูดด้วย”
ผมชะงักไปพักนึงสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มๆ ตั้งสติก่อนที่จะพูดกับแม่
“สวัสดีครับแม่.....ผมต่ายครับ”
“ต่าย.....แม่..งง” คำแรกที่แม่พูดกับผมทำให้ผมพูดไม่ออกเอาเหมือนกัน
“ผมขอโทษครับ......ทีทำให้แม่เสียใจ” อิงนั่งฟังอยู่ข้างๆผมตบไหล่ผมเบาๆ
แม่เงียบไปพักหนึ่งแล้วก็พูดออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ
“พรุ่งนี้เช้าเข้ามาคุยกับแม่กับป๋าหน่อยนะต่าย....ที่บ้านน่ะ”
เสียงของแม่ทำให้ผมรู้สึกแย่กว่าเดิมอีก นี่ผมทำให้คนที่ผมเคารพรักต้องเสียใจหรือเนี่ย
“ครับผมจะเข้าไปแต่เช้า”
แม่วางหูไปแล้วแต่เสียงของแม่ที่พูดก่อนวางหูยังติดในใจผมอยู่เลย
“แม่รักต่ายนะลูก”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คืนนั้นผมนอนกอดโอมก็จริงแต่ก็ไม่หลับเลย ผมรู้ว่ามันมีความไม่แน่นอนในอนาคตของเรา นับจากวันพรุ่งนี้มันจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่ผมคาดเดาไม่ถูก
ตอนนี้ถ้าย้อนกลับไปได้ผมก็อยากจะหยุดเวลาไว้แค่วันนั้น วันที่ผมได้กอดโอมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะต้องจากกันไปอีกนาน
ผมมาถึงบ้านโอมยังไม่แปดโมงเช้า ผมยกมือไหว้พวกท่าน แม่ป๋าเหมือนกับจะรอผมอยู่แล้ว ลุกขึ้นรับไหว้แล้วส่งยิ้มเศร้าๆมาให้ผม
“ต่ายทานข้าวก่อนนะ มาถึงแต่เช้าคงยังไม่ทันได้ทานอะไร”
ผมน้ำตาซึมกับความเอื้ออาทรของท่าน ถ้าผมจะต้องเลิกรากับโอมไปจริงๆผมก็คงไม่ลืมความอบอุ่นที่พวกท่านมีให้ผม เราเดินตามกันเข้าไปในบ้าน เราใช้เวลาในการทานข้าวไม่นานนัก เพราะมีเรื่องที่สำคัญรออยู่ พอทานข้าวเสร็จป๋าก็เป็นคนเริ่มพูดก่อน
“เรารู้เรื่องต่ายกับโอมจากอิงแล้ว......แต่ป๋าอยากรู้จากต่ายอีกทีเล่าให้เราฟังก่อนว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ผมพยักหน้าให้ป๋าแล้วเริ่มเล่าให้ฟังตั้งแต่แรกๆที่เราทำงานด้วยกัน ผมประทับใจกับความสดใสของโอม ความมีน้ำใจและมองโลกในแง่ดีของเค้า จนมารักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ผมก็ไม่รู้ ความรักของเรามันเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆแล้วก็ไม่มีท่าทีที่จะหยุด
ป๋ากับแม่จับมือกันตลอดเวลาที่ผมเล่าให้ท่าฟัง ท่านไม่ได้ขัดอะไรผมเลย จนผมพูดจบด้วยคำพูดที่ว่า
“ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ผู้ชายจะมารักกัน แต่ผมไม่เคยคิดว่ามันเป็นปัญหาในเมื่อผมรักโอม ผมไม่สนใจคนอื่นจะมองยังไง ที่ผมแคร์ที่สุดคือความรู้สึกโอมกับครอบครัวเท่านั้น”
ป๋ากับแม่เงียบไปนานจนผมเริ่มเครียด เดาไม่ถูกว่าท่านจะพูดว่าอย่างไร
+
+
+
ป๋าถอนหายใจก่อนที่จะเอ่ยออกมา
“ป๋ากับแม่รู้จักต่ายมานาน...รักต่ายเหมือนลูก ไม่ใช่ไม่เชื่อใจต่ายนะลูก แต่เราไม่แน่ใจในความรักแบบนี้ว่ามันจะยั่งยืน”ผมใจหายกับคำพูดของป๋า ป๋าจะให้ผมเลิกกับโอมเหรอ
“ผมรักโอมจริงๆนะครับ..ผมมั่นใจ” แต่แม่ก็พูดขึ้นมาว่า
“แล้วต่ายแน่ใจเหรอว่าโอมเค้ารักต่ายจริงไม่ใช่แค่เผลอ”
ผมไม่เคยคิดเรื่องนี้เลยต่างหาก โอมเป็นคนที่ดูง่ายมาก เก็บความรู้สึกไม่ค่อยเป็น คิดยังไงก็แสดงออกมา ถึงแม้บางครั้งจะไม่พูดออกมาอย่างชัดแจ้งแต่ผมก็รู้
“ผมเชื่อว่าโอมรักผมครับ...ผมคิดว่าผมเข้าใจโอมที่สุด”
ป๋ากับแม่มองหน้ากัน ผมคิดว่าพวกท่านมีคำตอบอยู่ในใจให้กับเรื่องนี้แล้ว ที่เรียกผมมาวันนี้ก็เพื่อมาบอกผลต่างหาก
“ถ้าต่ายมั่นใจขนาดนั้น ป๋ากับแม่ขอหน่อยได้ไม๊......ขอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์” ผมไม่เข้าใจที่แม่พูดว่าจะให้ผมทำอะไร ผมเริ่มขมวดคิ้ว
“ยังไงครับแม่...จะให้ผมทำยังไง”ผมเริ่มกังวลใจแล้วซิ
“ต่ายไปจากโอมได้ไม๊.................”แม่ทำให้ผมช็อคไปแล้ว แต่ผมก็ฝืนใจถามต่อ
“นานแค่ไหนครับแม่.....ผมต้องห่างจากโอมนานแค่ไหน”แค่คิดว่าจะต้องจากกันผมก็แทบทนไม่ไหว
“แม่ขอแค่ปีเดียวเท่านั้นนะต่าย.....แค่ปีเดียว”มันตั้งปีนึงนะครับแม่ไม่ใช่แค่ปีเดียว แม่ยังคงบอกเหตุผลที่ต้องการให้โอมแยกกันกับผม
“แม่อยากให้มั่นใจว่าต่อๆไปทั้งโอมและต่ายจะไม่มาเสียใจกันทีหลัง แล้วก็พลาดโอกาสที่จะรักผู้หญิงซักคน”
ผมได้แต่นิ่งเงียบ
.....
+
+
+
ผมคงต้องยอมรับกับเรื่องนี้เพราะมันเป็นคำขอจากพ่อแม่ของคนที่ผมรัก ผมคิดมาตลอดว่าถ้าเราจะต้องแยกกันมันต้องมาจากเราสองคนเองไม่ได้มาจากมือที่สาม แต่ครอบครัวของโอมเป็นส่วนที่ผมไม่ได้นึกมาก่อน แต่กลับเป็นคนที่ผมปฏิเสธไม่ได้ด้วย
แม่คงห่วงโอมมาก“ต่ายจะบอกกับโอมยังไงก็ได้แต่อย่าให้น้องเสียใจมากนะลูก เค้ายังเด็กแม่กลัวเค้าจะรับไม่ไหว” แต่ผมซิห่วงไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย
“ถ้าผมเจอหน้าโอมผมก็ทนบอกลาเค้าไม่ได้เหมือนกันครับ ผมไม่รู้จะอธิบายเค้ายังไงด้วย”
ตอนนั้นผมเลยตัดสินใจจากมาทันทีเลยดีกว่า คิดในแง่ดีว่าก็ดีเหมือนกันให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ให้เราได้ใช้เวลาตรวจสอบใจของเราอีกครั้งว่าเราจะรักกันยั่งยืนแค่ไหน ผมกับโอมคงต้องอดทนรอคอย
ผมยังโชคดีกว่าโอมตรงที่ผมรู้เหตุผลของการจากลา แต่โอมคงต้องจ่อมจมกับความไม่รู้ไปอีกนาน ลึกๆแล้วผมก็อดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ผมไม่มีทางเลือกจริงๆครับ จากกันปีนึงก็ยังดีกว่าต้องจากกันไปตลอดชีวิตนี่ครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไปแระนะ
ปล.ขอบคุณ คุณ Sodasaa ที่ช่วยบอกจุดที่ผิดให้ค่ะ แก้แล้วนะ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ