คนที่replyก่อนหน้าเนี่ยfc_uk ช่วยซ้ำเติมตลอด ขอบคุณนะคะ

คุณ ken_krubขอบคุณค่ะ ที่ยังเป็นกำลังใจให้ อิอิ เขียนยาวขึ้นดีใจจัง

แล้วก็คุณผู้อ่านทุกท่านที่ช่วยกันลุ้นอยู่ขอบคุณนะค่ะ
พยายามอยู่ค่ะแต่ช่วงนี้ยุ่งๆนิดหน่อย อาจจะทิ้งช่วงไปอีกนะ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 59
พอพี่อิงมารับ ผมก็เดินออกมาเลยครับมึนจนจำไม่ได้ด้วยว่าบอกลาคุณก้อย กับบุ้งหรือเปล่า แล้วก็ไม่ได้สนใจว่าสองคนนั้นจะสานสัมพันธ์กันต่อหรือจะพากันไปทะเลาะกันรึเปล่า หรือเค้าจะรักกันไปแล้วก็ได้ใครจะรู้ หึหึ พอพยุงผมขึ้นนั่งรถเสร็จเรียบร้อยพี่อิงก็เริ่มถามผม
“ทำไมโอมต้องกินเหล้าเยอะขนาดนี้ด้วย”

เริ่มอีกละพี่ผม.....เหมือนเปิดเทปพระเทศน์เลย อยากจะบอกว่ากินแต่เบียร์เหล้าไม่ได้กินก็กลัวโดนตบ อิอิ หันไปจะรูดซิบปิดปากพี่อิงให้หยุดพูด พอเอื้อมมือไปเท่านั้นแหล่ะครับ เหมือนรู้ทันเลยสมเป็นพี่น้องกัน พี่อิงปัดมือผม ดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้
“นั่งเฉยๆ...โตแล้วยังต้องให้พี่มาดูแลอีกแย่จริงๆเรานี่”พี่อิงบ่นอย่างนี้ทุกทีครับ ขนาดผมไม่ได้เมาบ่อยๆนะ
“ก็ไม่มีแฟนดูแลก็ต้องให้พี่ดูแลซิ”พอพูดออกไปแล้ว ผมก็งงตัวเองว่าพูดอะไรออกไป สงสัยผมจะเปล่าเปลี่ยวหัวใจมากไปหน่อย หึหึ ผมก็ว่าผมเลิกคิดเรื่องนี้ไปนานแล้วนะ
“เงียบไปเลยโอม”พี่อิงเป็นอะไรว่ะ อารมณ์ไม่ดีแหงเลย พูดก็ไม่ได้ ก็เกิดมาไม่ได้เป็นใบ้แล้วทำไมไม่ให้พูดหือ....งั้นไม่พูดแล้วงอน

พอมาถึงบ้านผมก็ลุกเองเดินเข้าบ้านเองครับแต่เซนิดหน่อยพอให้รู้ว่ากินเบียร์ไปแล้ว เมาไปแล้ว ไม่เสียของ กินแล้วไม่เมากินไปทำไมเปลืองเงินเปล่าๆ แต่ถ้าเมาแล้วอ๊วกซิเปลืองมากกว่า ค่อยๆเดินไปพี่อิงก็ยืนเท้าสะเอวมองตาม แต่ไม่ช่วยครับกวนจริงๆพี่ผม ผมพยายามเดินให้ตรงทางแต่ทำไมทางมันคด ผมไม่เข้าใจใครเป็นคนออกแบบทางเดินในบ้านทำไมเลื้อยเป็นงูเลย
ผมก็เดินขึ้นบ้านไปได้แล้วก็เข้าห้องนอนได้เอง เก่งพอใช้ได้ครับ แล้วก็ล้มตัวลงนอนเลยอย่างสบายใจกำลังขยับท่าทางให้ดีกำลังจะหลับล่ะ พี่อิงก็ดึงจิกตัวผมขึ้นมานั่ง
“ไปอาบน้ำก่อน เหม็นสาบนอนได้ไง”ผมสะบัดตัวออกจากพี่อิงเหมือนโฆษณาแชมพูสระผมที่ต้องสะบัดๆ แล้วก็ล้มตัวลงนอนต่อ ปากก็พูดไป แต่ไม่ลืมตา
“อาบแล้ววว.....ก่อนไปกินข้าวไง....คุณก้อยยังบอกว่าตัวหอมเลย หุหุหุ”ผมก็พูดเล่นๆไปไม่ได้จริงจัง พี่อิงเงียบไปเลยครับ แล้วบอกผมเสียงเครียดๆว่า
“โอมอย่าทำตัวแบบนี้อีกนะพี่ไม่ชอบ” :angry2:ไม่ชอบ...แล้วชอบอะไรล่ะ อิอิ
“ทำแบบไหน...พูดมาดีๆนะพี่อิง เค้าไปทำอะไร๊....แค่ไปกินข้าวกับลูกค้าเอง”
เมาแต่ยังพอรู้เรื่องครับ ไอ้เรื่องต่อล้อต่อเถียงไม่ยอมแพ้ใคร คงจมลึกอยู่ในกมลสันดานของผมยากที่จะเลิกได้ เป็นกรรมของคนที่บ้านจริงๆ
“ก็ไปให้คนอื่นเค้าดมตัวเองทำไม” อ๋ออออ.....พี่ผมหวงน้องนี่เอง ฮ่าๆๆ
“ไม่ได้ให้ดม....เค้าได้กลิ่นเอง”

ผมเลยพูดยิ้มๆกวนๆต่อไป แต่คราวนี้หรี่ตามาดูหน้าพี่ผมซะหน่อยกะว่าให้เซ็กซี่ แต่พี่อิงคงไม่คิดอย่างนั้น เลยทำให้หน้าผมไปกวนเบื้องล่างของพี่ผมโดยไม่ได้ตั้งใจ พี่อิงเลยดึงผมขึ้นมานั่งอีกครั้ง
“เค้าเป็นหมาเหรอ...เค้าถึงจมูกดีขนาดได้กลิ่นน่ะ”พี่ผมเองครับ หึหึหึ ภูมิใจจริงๆ เปรียบเทียบซะเห็นภาพ เหมือนเห็นคุณก้อยยืนเห่า ฮ่งๆ อยู่ข้างๆ หุหุหุ

“หมาที่ไหน จบวิศวะ มาซื้อของที่บ้านเราได้ จ่ายตังค์ดีด้วยนะ ถ้าหมาเป็นแบบนี้รักตายเลย ฮ่าๆๆๆ”
พี่อิงแกคงเบื่อผมแล้วครับ พูดเท่าไหร่ก็แถไปได้ตลอด จนสีข้างแดงเถือกไปหมดแล้ว พี่อิงยืนกอดอกมองผมอยู่พักนึง ผมก็นั่งมองตาเยิ้มใส่พี่ผม แกคงทนดูสภาพของผมไม่ไหวเลยจับตัวผมลุก แล้วกึ่งประคองกึ่งลากให้ผมไปล้างหน้า แล้วพี่ผมก็บ่นตลอด
“นี่ตกลงกรูมีลูกกี่คนกันแน่ว่ะเนี่ยจะบร้าตาย.....เฮ้อ” หึหึหึ บ่นเข้าไป บ่นเข้าไป ง่วงนอนเว้ย
“มีน้องชายเหมือนมีน้องสาว ต้องดูแลมันตลอด” บ่นๆๆๆ ผมว่าผู้ชายนี่ก็ขี้บ่นพอๆกับผู้หญิงเลยครับ เรื่องขี้บ่นเนี่ยไม่ต้องแย่งกันเลยว่าใครชนะเลยผมว่าพอกัน
“โอมอย่าไปยุ่งกับคุณก้อยเลยนะ เค้าไม่ไว้ใจ”
แต่พอพี่อิงพูดคำนี้ขึ้นมาเท่านั้นแหล่ะครับ ผมเป็นอะไรไม่รู้ มันหงุดหงิดขึ้นมาทันที ทั้งที่ทีแรกก็เงียบๆอยู่ พูดกับพี่อิงไปด้วยความปวดใจว่า
“ทำไมกลัวเค้าจะไปรักกับผู้ชายอีกเหรอ...”

แต่พอพูดไปแล้วก็นึกเสียใจ เพราะเห็นสีหน้าพี่อิงที่มองกลับมา
พี่อิงก็เลิกบ่นไปเลยเป็นปลิดทิ้ง เงียบสนิทก้มหน้าก้มตาพาผมกลับมานอนที่ห้อง เหมือนผมไปพูดอะไรที่เค้าไม่อยากจะรับรู้ แต่พี่อิงก็พูดประโยคที่ทำให้ผมอึ้งไปมากกว่า
“โอมไม่รักต่ายแล้วเหรอ”
ผมไม่รู้จะตอบยังไงเลยครับ พูดไม่ออกจริงๆ ไม่รู้จะถามให้ได้อะไรขึ้นมา ผมนั่งมองหน้าพี่อิงที่มองผมกลับอยู่เหมือนกัน แล้วผมก็ตอบไปจากใจจริงของผมว่า
“รักซิ........ก็มีคนนั้นคนเดียวแหล่ะที่ผมรัก”

พูดเสร็จผมก็ล้มตัวลงนอน พี่อิงหยิบผ้าห่มมาห่มให้ผม แต่ผมรู้ว่าพี่อิงยังยืนอยู่ตรงนั้น ผมพลิกตัวนอนหันหลังให้พี่อิงแล้วก็พูดว่า
“พี่อิงไม่ต้องห่วงเรื่องคุณก้อยหรอก ผมคิดกับเค้าแค่เพื่อนเท่านั้นเอง”
ผมได้ยินเสียงฝีเท้าพี่อิงเดินออกไปจากห้อง พร้อมคำพูดแค่ว่า “ก็ดีแล้ว”
+
+
+
ทีแรกผมง่วงมากๆเลยแต่ตอนนี้เหมือนจะตาค้างเอาดื้อๆ คิดถึงแต่สิ่งที่ตัวเองพูดออกไป และคำพูดที่พี่อิงพูด ผมนอนคิดวนเวียนอยู่อย่างนั้นแล้วผมก็เผลอหลับไปด้วยความสงสัยว่ามันยังไงกันแน่
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันต่อๆมาของผมก็มีแต่ทำงานครับ พี่อิงกับผมไม่พูดเรื่องที่คุยกันวันนั้นอีก ผมก็ลืมไปเลยด้วย ช่วงนี้ผมต้องให้ความสนใจกับงานหลายอย่างก็เลยไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่นๆมากนัก ที่ยุ่งๆที่สุดก็ไอ้เรื่องบ้านริมเขานั่นน่ะครับ ก็เจ้าของไม่มาสนใจอะไรเลย ติดต่อผ่านคุณป่านก็กว่าจะรู้เรื่อง จนผมแทบจะอยากเลิกทำไปเลย
“พี่อิงตกลงบ้านนี่เค้าจะเอายังไง แบบก็ไม่ชัดเจน...จะถามอะไรก็บอกแต่ตามใจคุณโอม”
“นี่มันบ้านเค้าเองนะพี่อิง....ไม่ใช่บ้านผม” เบื่อๆๆๆยิ่งไม่ค่อยมีเวลา กลับต้องมาเสียเวลากับไอ้บ้านนี่
“เอาไปทำเองเหอะพี่อิง...เบื่ออ่ะ” หุหุหุ เริ่มขี้เกียจแล้วครับ มันวุ่นๆวายๆยังไงไม่รู้ไม่คุ้มตามเรื่องเลย
“เอาน่าทำไปแล้วก็ทำต่อ เค้าเองก็ไม่ไหวแล้วงานล้นมือ คนนู้นก็เร่งคนนั้นก็เร่งหัวหงอกแล้วเนี่ย”
หงอกก่อนวัยอันสมควรจริงๆพี่ผม ผมแอบชะโงกไปดูที่ศรีษะของพี่อิง หึหึ อายุยี่สิบกว่าๆก็หงอกซะแล้ว สงสัยเพราะมีน้องอย่างผมด้วยมั๊ง
“ทำก็ได้.....แล้วตกลงเจ้าของบ้านเค้าชื่ออะไรกันแน่ล่ะเนี่ยพี่อิง ติดต่อไม่ได้ซักที”ปลูกบ้านมาให้เค้าเป็นเดือนยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยผม
“ชื่อคุณวรา เพิ่งกลับมาจากเอเมริกาน่ะเค้าเลยยุ่งเรื่องงานอยู่”
“ผู้หญิงหรือผู้ชายพี่”
“ผู้หญิง”
พอพี่อิงตอบผมเซ็งเลย....ผู้หญิงปลูกบ้าน

ไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วก็จู้จี้ที่สุด เฮ้อ ยังไม่รู้ว่าทำๆไปไม่ใช่พี่แกไม่ชอบมาบอกให้รื้อหรือทุบทิ้งนะ เจอประจำเลยแบบเนี้ย
แล้วพี่อิงก็ทิ้งผมไว้ให้ดูงานอยู่ที่นั่นจนเย็น ผมก็เดินดูคนงานทำงานไปเรื่อยๆ แล้วก็พบมุมถูกใจใต้ต้นไม้ใหญ่ ลมพัดอากาศเย็นๆเข้ามาเบาๆ ทำให้ผมรู้สึกสงบใจอย่างประหลาด แล้วก็มีเวลานั่งคิดอะไรไปเงียบๆเพียงลำพัง
ผมนั่งมองภูเขาเขียวๆที่ตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ แสงอาทิตย์เริ่มอ่อนแรงลงไปเรื่อยๆ อากาศเริ่มเย็นขึ้นทีละนิด หมู่นกเริ่มทยอยบินกลับบ้านของมัน คนงานเริ่มเก็บของเตรียมเลิกงาน ผมมองพวกเค้าทำงานกันแล้วผมก็คิดได้อย่างนึงว่า ชีวิตของพวกเค้าช่างเรียบง่ายจริงๆมีแต่เรื่องชีวิตประจำวัน คิดแค่ว่าวันนี้จะทำงานไปเพื่อเลี้ยงชีพ หรือมีแค่เงินกินเหล้าไปวันๆ ในขณะที่ชีวิตของผมที่ดูเสมือนไม่มีอะไร แต่ในใจของผมซิมันช่างปั่นป่วนเหลือเกิน
ผมจับมือของตัวเองขึ้นมาแล้วก็หมุนแหวนในมือเล่นๆ คิดถึงวันที่ได้มันมาแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ผมพยายามบอกกับตัวเองว่าผมไม่อยากเจอพี่ต่ายแล้ว แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆทำไมผมถึงไม่เคยถอดแหวนวงนี้ออกล่ะ
มันปวดใจเมื่อนึกถึงเรื่องพี่ต่ายขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็อดคิดไม่ได้อีกว่าช่วงที่เราไม่ได้เจอกัน พี่เค้าจะรู้บ้างไม๊ว่าผมเสียใจแค่ไหน แล้วพี่ต่ายรู้สึกยังไงบ้างที่ทิ้งผมไปทันทีแบบนั้น แล้วที่สำคัญตอนนี้เค้าจะยังรักผมอยู่อีกหรือเปล่าผมชักไม่มั่นใจ
เสียงของคนงานที่ตะโกนบอกผมทำให้ผมต้องหยุดความคิดฟุ้งซ่านลง“คุณโอมครับ....มืดแล้วกลับเถอะครับ”
ผมลุกขึ้นยืนปัดเศษหญ้าที่ติดตามกางเกงแล้วก็ถอนหายใจ มองพระอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ปีกว่าที่ผ่านมาทำให้ผมกลายเป็นคนคิดมากขึ้นอีกเยอะ ไม่น่าเลย ผมชอบตอนที่ตัวเองไร้สติมากกว่า อย่างน้อยผมว่าผมหัวเราะมากกว่านี้ ขำได้โดยไร้เหตุผลมากกว่า
ตอนนี้ผมคิดมากเกินไปจนเกือบจะไร้สุข ขนาดว่าทำใจได้แล้วแต่ก็ยังรู้สึกว่าปลงไม่ได้อยู่ดี สงสัยต้องไปหาหนังสือธรรมะมาอ่านอีกซักหลายๆโหล ท่าจะดี หึหึหึ ตอนที่ผมเริ่มขับรถออกมาก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา...แม่นั่นเอง
“โอมอยู่ไหน...ทำไมยังไม่กลับมาอีกลูก”
“กำลังจะกลับแล้วแม่ เพิ่งออกจากไซท์งานครับเดี๋ยวก็ถึง”
ผมวางสายแล้วยิ้มให้กับตัวเองอย่างน้อยผมก็มีครอบครัวที่รักผมที่สุด ยังโชคดีกว่าคนจำนวนมากในโลกใบนี้ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นบุ้งครับมันบ่นมาก่อนเลย
“โอมมึงไม่มาก็ไม่บอกกรู ปล่อยให้กรูมาขี่รอจนน่ิองเหี่ยวแล้ว”

หึหึ ผมลืมไปเลยครับ ปรกติผมออกไปขี่จักรยานกับมันทุกวัน วันนี้นั่งเพลิดเพลินกับธรรมชาติมากไปหน่อยจนลืมไปเลย
“ขี่อะไรว่ะจนน่องเหี่ยว......แล้วอย่างอื่นมรึงเหี่ยวไปด้วยรึเปล่า...อย่ามาโทษกันนะเว้ยไม่เกี่ยวกะกรู หุหุหุ”

“มึงไม่ต้องนอกเรื่องเลย ไรว่ะไม่มาก็ไม่บอก แล้วนี่มรึงอยู่ไหนทำไมเสียงไม่ค่อยชัดเลย”
มันก็ยังไม่เลิกโวยอยู่ดี ผมว่ามันติดเชื้อพี่อิงมาแน่ๆ แอบไปกัดกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“กรูอยู่ไซท์งานในเขาใหญ่เนี่ยกำลังกลับอยู่ มรึงอย่าถามมากไม่ต้องมาเป็นแม่กรูอีกคนเลยยย...กำลังขับรถอยู่”

“เออๆ...ขับรถดีๆล่ะมืดแล้วอันตราย ถึงบ้านแล้วโทรหากรูด้วยนะ”
บุ้งเนี่ยนอกจากมันจะเป็นเพื่อนแล้วผมขอมอบตำแหน่งแม่บุญธรรมให้มันไปเลยครับ บางทีมานห่วงผมยิ่งกว่าแม่ผมอีก ผมกำลังคิดว่าต้องไปอำเภอจดทะเบียนรับแม่บุญธรรมอย่างมันไม๊ แต่ผมก็รับปากมันไปก่อนที่จะวางหู
“เออๆๆๆๆ”
ผมก็รับๆปากมันไปแหล่ะครับ แล้วก็ขับรถต่อไปอีกพักนึงมานโทรมาอีกล่ะ ไม่รู้อะไรกันนักหนา นี่ผมอายุจะ25 แล้วนะห่วงอะไรกันจริ๊ง ผมรับสายอย่างทุลักทุเล
“กรูรู้แล้ว!!!จะขับระวังๆ พอใจยังมรึงนี่พูดไม่รู้เรื่อง กรูกำลังเข้าโค้งอยู่ จะตายก็เพราะรับสายมรึงนี่แหล่ะ”

ผมก็โวยไปเลยครับคนกำลังขับเข้าโค้งอยู่มันหวาดเสียว โทรมาอยู่ได้ แต่เสียงที่ตอบกลับมาบอกว่า
“งั้นเดี๋ยวพี่โทรมาใหม่แล้วกันโอม”

+
+
+
แล้วเค้าก็วางหูไปเลยครับ แต่ว่าที่สำคัญมันไม่ใช่บุ้งนะซิ แล้วเสียงนี้ทำไมผมจะจำไม่ได้ก็มันเป็นเสียงของคนเดียวที่ผมรัก...พี่ต่าย
ผมตกใจจนขับรถแฉลบไปนิดนึงจนรถที่ขับสวนมาต้องบีบแตรดังลั่น

ผมมือสั่นใจสั่นจนต้องจอดรถเข้าข้างทางก่อนชั่วคราว มือผมยังกำพวงมาลัยแน่นเหงื่อออกเต็มมือไปหมด นั่งนิ่งงงอยู่ครู่ใหญ่จนแสงไฟจากรถฝั่งตรงข้ามที่แล่นสวนมาสาดส่องเข้ามาที่รถจนผมแสบตาผมถึงรู้สึกตัว
ผมรีบโทรกลับเบอร์ที่โทรเข้ามา แต่โทรศัพท์กลับไม่มีสัญญาณ อารมณ์เสียจนแทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้งแต่ติดที่ยังเสียดายอยู่เพิ่งซื้อมาใหม่ๆ

ผมเพียรพยายามโทรหาพี่ต่ายหลายครั้งก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ผมเลยตัดสินใจขับรถกลับบ้านทั้งที่หัวใจที่เต้นแรง ตาคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ความรู้สึกมันอัดอั้นสับสนไปหมด
ผมถามคำถามเดิมซ้ำๆอยู่ในหัวตลอดเวลา พี่ต่ายโทรหาผมเรื่องอะไร พี่ต่ายกลับมาตั้งนานแล้วทำไมถึงเพิ่งจะโทรมา พี่ต่ายยังรักผมอยู่ไม๊และอีกหลายร้อยคำถามที่ผมอยากจะถามแต่ทำไมมันซวยอย่างนี้นะ ดันไม่มีคลื่นเอาซะเลย แล้วก็ชอบโฆษณากันจริงๆว่าทุกทิศทั่วไทย
ผมรีบขับรถให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะมาถึงบ้านให้เร็ว จนเกือบจะชนหมาโชคร้ายที่วิ่งเล่นอยู่ริมถนนหลายตัว จนในที่สุดผมก็กลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย นับเป็นโชคดีของรถหลายๆคันที่ไม่ต้องโหดร้ายเหยียบศพหมาบนถนน เฮ้อ
ผมรีบต่อโทรศัพท์หาพี่ต่ายแต่ก็สายไม่ว่างตลอด จนผมหงุดหงิดอีกครั้ง กำลังจะต่ออีกเป็นครั้งที่ร้อยแล้วมั๊ง คุณพี่อิงของผมก็มาเคาะกระจกรถ ก๊อกๆๆๆๆๆ ผมหันไปมองหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่สนใจแล้วขอปฏิบัติภารกิจสำคัญก่อน
ผมยังต่อโทรศัพท์อย่างมัวเมา พี่อิงเริ่มดึงประตูจะเปิดออก แล้วเคาะอีก ผมเริ่มหงุดหงิดเลยเปิดกระจกถามพี่อิง
“เดี๋ยวออกไป๊......ขอต่อโทรศัพท์หน่อยดิ.....มีอะไรป่าว”

พี่อิงพูดออกมาคำเดียวเท่านั้นแหล่ะครับ “ต่ายมา”
ผมตกใจรีบเปิดประตูรถจนลืมคิดไปว่าพี่อิงยืนอยู่ข้างๆ ประตูกระแทกพี่อิงล้มไปข้างๆรถดังโครม

“เฮ้ย...พี่อิง........ขอโทษ”ผมรีบปิดประตูกำลังจะก้มไปพยุงพี่อิงลุกขึ้น แต่มีคนมาช่วยพยุงแล้วครับ
“อิงเป็นยังไงบ้าง”
เสียงนุ่มนวลของพี่ต่าย ทำให้ผมรู้สึกว่าเลือดในร่างกายมันเหือดหายไปหมดครับ มันเย็นเยือกไปทั้งตัว :freeze:ผมกลายเป็นใบ้พูดไม่ได้ไปเลย ตาก็จ้องมองที่พี่ต่ายไม่วางตา พี่ต่ายพยุงพี่อิงให้ยืนขึ้นเรียบร้อยแล้ว ก็หันมาทางผม
พี่ต่ายมองสบตาผมแล้วเงียบไปชั่วขณะ ผมดูสีหน้าพี่ต่ายไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร พี่ต่ายเอามือมาจับที่ข้อศอกผมเบาๆเพื่อที่จะพาผมเดินไปด้วยกัน แต่ผมกลับเบี่ยงแขนออกจากมือพี่ต่ายทันทีจนดูเหมือนสะบัด ทั้งที่ผมเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
“ไปโอม......ไปกินข้าวได้แล้วทุกคนรออยู่”
พี่อิงที่ลุกขึ้นมาทำหน้ายู่ๆยี่ๆเรียกสติผมกลับคืนมา ผมเลยเดินไปหาพี่อิงแล้วยกมือไหว้ขอโทษ เพราะท่าทางจะกระแทกแรงเหมือนกัน น่าจะเจ็บ
“ผมขอโทษพี่อิง....เจ็บมากไม๊”
ผมพยายามบังคับเสียงพูดของตัวเองให้เป็นปรกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วผมก็ประคองพี่อิงเดินเข้าบ้านไป ผมไม่ได้ทักหรือยกมือไหว้พี่ต่ายแม้แต่นิดเดียว ลึกๆในใจแล้วผมรู้สึกเหมือนผมป่วย ผมรู้สึกตะครั่นตะครอ หนาวๆร้อนๆเหมือนคนเป็นไข้ แต่ผมก็ดีใจที่ผมควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีพอสมควร ทั้งที่เมื่อกี้นี้ต่อโทรศัพท์หาพี่ต่ายเหมือนคนบ้า
แต่มือผมคงจะเย็นมากจนพี่อิงหันมามองหน้าผม แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก ทีนี้ทำไมไม่บ่นซักคำล่ะแปลกไปอีกคนล่ะ ถ้าเป็นสถานการณ์ปรกติผมโดนเม้งเละไปเรียบร้อยแล้ว
พี่ต่ายก็เดินตามหลังผมมาเงียบๆไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน พอเข้ามาในบ้านแม่ก็เรียกให้ไปทานข้าว ป๋าแม่ทุกคนมีสีหน้ายินดี เหมือนได้ลูกรักกลับมาอีกละ เซ็งจริงๆไม่เข้าใจชีวิตเลย
“ต่าย โอม อิงมาทานข้าวลูก เร็วๆทำไมมาช้านักละโอม ต่ายเค้ามาตั้งนานแล้ว”
ผมขับรถเกือบจะชนหมาตายไปตั้งหลายตัว ตั้งกะแม่โทรตามเนี่ยไม่ถึง 20 นาทีเลย ยังบอกว่าช้า ทำไมต้องมาโอ๋คนที่ทำให้ลูกแม่เจ็บเจียนตายด้วยนะ อยากจะบร้าอีกรอบ
แต่ผมก็ยังงงอยู่ดีๆพี่ต่ายมาทำไม ผมแอบมองหน้าพี่ต่ายตาก็ไปจะเอ๋กันพอดี

ผมน่ะสะดุ้งรีบหลบแทบไม่ทัน แต่พี่ต่ายน่ะผมไม่รู้เพราะไม่กล้าแอบมองอีก แล้วแม่ก็ดันให้ไปนั่งคู่กันด้วย ฮือๆหัวใจมันเต้นแรงเหมือนตอนจะต้องออกไปพรีเซนท์รายงานหน้าห้องเลย ตุ๊บๆๆๆๆ หน้าต้องแดงแน่ๆผมรู้สึกว่าหน้ามันร้อนๆ
แล้วแม่ก็นะ......พอลูกรักมาก็เริ่มหาเรื่องให้ผมอีกล่ะ
“ต่ายกินข้าวเสร็จแล้วค้างซิลูก มืดแล้้วไม่อยากให้ขับรถกลับดึกๆดื่นๆอันตราย”
พี่ตายเอามือมาจับที่ต้นขาผม....หมับ.... ผมเงยหน้าไปมอง แต่พี่ต่ายทำหน้าเฉยมากครับ พูดกับแม่แบบเนียนๆดูเคารพนบนอบผู้ใหญ่ แต่มือน่ะจับขาผมแล้วก็บีบเบาๆเป็นจังหวะ1-2-123 อย่างเนี้ยทำอย่างกะให้จังหวะปรบมือ ผมอยากจะบอกว่า....พี่ส่งสัญญาณอะไรมาผมแปลไม่ออกหรอก ผมเป็น....คน....ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวนะพี่
“แล้วแต่โอมเค้าจะให้ผมอยู่รึเปล่าครับ ถ้าผมอยู่ก็คงต้องนอนห้องเค้า”

พี่ต่ายตอบแม่ผมแบบเนี้ย คิดเหรอว่าผมจะตอบว่าให้ค้างเพราะเกรงใจพี่ต่าย ฝันไปเหอะ
“พี่กลับเถอะ.....ห้องผมมันเล็กผมชอบนอนคนเดียว”

หึหึหึ อยากทิ้งให้เรานอนคนเดียวมาตั้งนาน อย่ามาหวังจะกลับมาง่ายๆนะ แต่ป๋าผมน่ะซิ
“โอมอย่าเสียมารยาทกับพี่เค้า....ต่ายเค้าเพิ่งกลับมาเมืองไทยอุตส่าห์มาไหว้ป๋ากับแม่...ทำไมพูดไม่เพราะเลย”
เซ็งสุดๆผมหน้างอหงิกไปเลย....ผมโดนดุเพราะพี่ต่ายคนเดียว พ่อตัวดีซิครับยังสวมบทพระเอกช่องเจ็ดอยู่ ทำเป็นพูดเพราะกับพ่อแม่ผม
“ไม่เป็นไรครับป๋า....ผมมีงานตอนเช้าคงค้างไม่ได้อยู่ดี ไม่กวนน้องโอมดีกว่า”
พอพี่ต่ายตอบออกมาแบบนี้ ผมอ่ะงงไปเลย!!!!!.......นึกว่าจะยื้อซักหน่อย แบบว่าพี่อยากค้างด้วยจริงๆ แต่นี่พี่ต่ายไม่มีเลยจะกลับบบบง่ะ..... อยากจะถามว่าแล้วมาทำไมกันนนนนนน โกรธแล้วนะโว้ย

ผมอยากคุยอยากถามหลายๆเรื่องกับพี่ต่ายมากมาย หายไปตั้งเป็นปีๆ ทิ้งให้ชีวิตผมหดหู่มาตลอด ผมไม่อยากจะกินข้าวต่อล่ะมันกินไม่ลง อยากจะร้องไห้มากกว่า แต่มือผมน่ะหยิกมือพี่ต่ายที่ยังวางอยู่บนขาผมไปแล้ว เอาซะให้สะใจ พี่ต่ายทำหน้าเบี้ยวไปเล็กน้อย แต่ยังพยายามเก็กหน้าเฉยๆอยู่ แต่ปากผมน่ะบอกกับทุกคนว่า
“ผมเหนื่อย...ยังไม่อยากกินข้าวขอตัวก่อนน่ะครับ” ผมจะลุกขึ้นแต่มือพี่ต่ายกดขาผมไว้ทำให้ผมลุกไม่ได้ พี่ต่ายหันมามองหน้าผมแล้วก็ยิ้มๆ

“ทานข้าวก่อนดีกว่าโอม ยิ่งเหนื่อยยิ่งน่าจะหิวนะ”
ผมควรจะทำอย่างไรดีครับในกรณีเช่นนี้ มีหลายทางเลือกจริงๆ ทุกคนก็มองหน้าผมหมดทั้งบ้าน ทำอย่างกับกำลังดูละครแห่งชีวิต หรือรายการคนค้นคน มองจนผมประหม่าน่ะ แล้วไอ้มือข้างล่างก็ส่งสัญญาณจั๊ง บีบๆๆๆอยู่ได้ มันหมายความว่าไงกัน
ผมไม่รู้จะเอาไงดี แต่ไม่อยากนั่งอยู่ตรงนี้แล้ว แต่มือพี่ต่ายก็ไม่ปล่อยจับแน่นจนผมรู้สึกว่าไอร้อนจากมือพี่ต่ายมันลามไปทั้งขาแล้ว
ผมหันไปมองหน้าพี่ต่าย
พี่ต่ายส่งรอยยิ้มแบบเหมือนจะบอกว่า.......พี่เป็นคนชนะ หึหึหึ.....ส่งมาให้ผม
ผมก็เลยส่งรอยยิ้มบอกว่า....พี่ก็คอยดูซิ....ส่งให้พี่ต่ายบ้าง

แล้วผมก็เอาเล็บที่ยังไม่ได้ตัดทั้ง 5 นิ้ว จิกลงไปบนมือพี่ต่ายแบบแมวตะปปแล้วขยุ้มบิด แล้วก็เอาส้นเท้ากระแทกไปที่เท้าพี่ต่ายอย่างแรง พี่ต่ายสะดุ้งโหยงชักมือออกทันที ผมลุกขึ้นยืนส่งยิ้มให้ทุกคนรวมทั้งพี่ต่ายที่ทำหน้าเหยเกอยู่ แล้วบอกว่า
“ขอตัวนะครับทุกคน” แล้วผมก็เดินออกไปเลย ให้มันรู้ซะบ้างว่าไผเป็นไผ หึหึหึ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไปก่อนเนอะ ง่วงนอนแล่ว
