อ้อมกอดเด็กช่าง ตอนที่ ๑๘
เขาลงรถประจำทาง เดินมาหยุดยืนหน้าตึกสูงตระหง่าน
ป้ายชื่อโรงแรมเป็นสิ่งที่ทำเอาเขาใจหวิว
เพราะความใหญ่โตโอ่อ่าของมันหรือเพราะ...
มันเป็นชื่อเดียวกันกับรีสอร์ทที่ตั้งอยู่ในจังหวัดสระบุรี …ชื่อซึ่งคุ้นเคยมาตั้งแต่เกิด
ถึงตอนนี้ตัวเขาจะอยู่ไกลจากตรงนั้นมาก ไกล...ที่ไม่ใช่จำนวนของระยะทาง
แต่มันก็ยังคงห้อยท้ายชื่อจริงของเขาอยู่เสมอ
แก้วก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านใน ตรงดิ่งไปยังโต๊ะประชาสัมพันธ์ของโรงแรม
“สวัสดีค่ะ” พนักงานสาวสวยยกมือไหว้เขาซึ่งมาในชุดนักศึกษาและดูท่ามองยังไงแก้วก็อายุน้อยกว่าอยู่ดี เขายกมือไหว้ตอบ “ท่านประธานให้คุณไปพบที่ห้องก่อนค่ะ” แก้วพยักหน้ารับแล้วเดินตามพนักงานเข้าลิฟท์เพื่อจะไปพบใครคนนั้น
ขอแค่เพียงสักครั้ง ขอแค่ได้อยู่ในสายตา
...หึ ไม่จำเป็นหรอกน่า
เมื่ออาจารย์แจกกระดาษให้หาที่ฝึกงาน ไอ้พงษ์ไม่รีรอที่จะกรอกชื่อโรงแรมของพ่อเขาลงไป เพียงเพื่อต้องการให้เขากับพ่อได้ใกล้ชิดกันบ้าง มันจึงไม่ฟังคำคัดค้านจากเขา
...ไม่เป็นไร ไม่ว่ามาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ยังมีไอ้พงษ์อยู่ข้างๆ
คำปลอบใจตัวเองในวันนั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลย เมื่อในวันนี้ วันที่เขาก้าวเท้ามาที่นี่...เพียงคนเดียว
เขาชักไม่แน่ใจว่าจะอดทนต่อความเฉยชาได้สักเท่าไหร่แล้วสิ
“ลูกแก้ว มาถึงแล้วเหรอ” เขายกมือไหว้ประธานผู้บริหารโรงแรม ด้วยความรู้สึกข้างในมันโปร่งๆ คงเพราะมีใครอีกคนนั่งทำตาขวางใส่เขาอยู่ในห้องนี้ด้วย “นั่งสิลูก” แก้วเลื่อนเก้าอี้นั่งฝั่งตรงกันข้ามตามที่พ่อบอก
“คุณพ่อจะให้ผมทำอะไรก่อนครับ” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ พร้อมเริ่มงาน
“ไม่ต้องทำอะไรหรอก แค่ลูกมาให้พ่อเห็นหน้า มาอยู่ใกล้ๆพ่อ...”
“เอ่อ ลูกแก้ว!” ใครอีกคนที่อยู่ในห้องพูดแทรกทั้งที่ผู้เป็นพ่อยังพูดไม่ทันจบประโยค พี่ขวัญยิ้มเดินปรี่เข้ามาดึงตัวเขาลุกจากเก้าอี้ “คิดถึงจังเลย ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี” ทั้งยังกอดเขาอย่างไม่ให้ตั้งหลักทัน แก้วยืนตัวเกร็ง
“ฮ่าๆ พี่ลูกขวัญกับคุณแม่เขาคิดถึงลูกมากนะ บ่นเป็นห่วงน้องอยู่ทุกวัน” พ่อบอกด้วยความพึงพอใจ ย้ำในสิ่งที่พี่ขวัญทำตอนนี้
“...ครับ” แก้วรับคำ แต่ในใจก็รู้ว่ามันไม่ใช่
“ตามสบายนะลูก ที่นี่มีช่างทุกแผนกอยู่แล้ว ลูกจะไปเรียนรู้งานกับเขาก็ได้ แต่ไม่ต้องลงมือทำอะไรเองหรอก โรงแรมของเราเองยังไงพ่อก็เซ็นต์ผ่านให้อยู่แล้ว อ้อ เดี๋ยวพ่อมีประชุมนะ ลูกขวัญถ้ายังไม่มีเรียนก็อยู่คุยกับน้องนะ” พ่อเดินมาตบบ่าเขาเบาๆ พี่ขวัญถึงปล่อยเขาออกจากอ้อมกอด แต่ยังกอดไหล่ไว้อยู่
“ผมยินดีที่สุดครับคุณพ่อ” พี่ขวัญในชุดนักศึกษายิ้ม มองหน้าเขา ซึ่งเขารู้สึกได้ถึงความเสแสร้ง
“อ้อ อีกอย่างเวลาว่าง ลูกมาพักที่ห้องทำงานพ่อนะ”
“ครับ” เขารับคำอีกครั้งผู้เป็นพ่อจึงเดินออกไป
“มึงมาที่นี่ทำไม!” พี่ขวัญหันมาบีบไหล่เขาทั้งสองข้าง “ไหนทำเป็นแน่ เดินออกจากบ้านมาแล้ว แล้วตอนนี้มึงกลับมาทำไมอีก ไม่มีมึงพ่อเขาก็สบายดีอยู่แล้ว!” พี่ต่อว่าหนำซ้าเหวี่ยงเขาใส่เก้าอี้
“...ทำไมผมจะมาไม่ได้ ที่นี่โรงแรมพ่อผม เมื่อกี้พี่ก็เห็นว่าพ่อดีใจแค่ไหนที่เห็นหน้าผม” เขาฝืนเถียงในสิ่งที่มันไม่ใช่ พ่อยังคงไม่ได้สนใจเขาเหมือนทุกครั้ง แต่เขาต้องพูดเพื่อหลอกตัวเอง
“นั่นเพราะเขาพูดไปตามหน้าที่ต่างหากล่ะ ตลอดเวลาที่ไม่มีมึง กูไม่เคยเห็นพ่อพูดชื่อมึงเลยสักครั้ง”
...สักครั้ง...ก็ไม่เคยเลยเหรอ แก้วเม้มปาก เสหน้ามองไปทางอื่นเพื่อกลั้นความรู้สึก
“ไม่จริง!” มันไม่ใช่ อย่าไปเชื่อ อย่าไปฟัง พี่โกหก
แค่เพียงอย่าไปฟังคำพูดของคนอื่น ถึงความเป็นจริงจะไม่ใช่แต่ถ้าเรารับรู้แต่เพียงสิ่งที่ตัวเองอยากจะเข้าใจใจก็จะไม่ต้องเจ็บ
“มึงกล้าขึ้นเสียงใส่กูเหรอ!” พี่ขวัญดึงผมเขาอย่างแรงจนต้องแหงนหน้ามองพี่ แก้วกำหมัดเกร็ง “ไอ้พงษ์มันเสี้ยมมึงให้อวดดีใส่กูใช่ไหม?!” เสี้ยมเหรอ...ถ้าเป็นการเสี้ยมสอนปกป้องดูแลเขาทั้งที่ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันล่ะก็ ใช่
“ผมจะไม่ยอมพี่อีกแล้ว!” แก้วตวาดเสียงดัง ทั้งยกเท้ายันขวัญออกไปจากตัวจนได้ …เขาทำได้
“นี่มึง ไอ้แก้ว มึงกล้าทำกูเหรอ” พี่ขวัญตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อแล้วเหวี่ยงเขาจนถลาล้ม
แก้วก้มหน้าลังเล นึกกลัว แต่ก็ต้องรีบลุกยืนมองหน้าพี่คล้ายว่าไม่ได้สะทกสะท้านอะไรกับท่าทีแบบนี้
อยากทำก็ทำ...
“ไม่ว่าพี่จะทำ จะพูดอะไร ผมจะไม่ยอม และไม่สนใจพี่อีก!” เขาพูดชัดๆใส่หน้าพี่ชาย
เพราะจริงๆแล้วพี่ ... ไม่ได้ให้ความสำคัญกับผมเหมือนกัน
“เฮอะ อะไรนะ มึงพูดใหม่ซิ” พี่ทำท่าไม่เชื่อ หรืออีกอย่างคือ ไม่ยอมรับในสิ่งที่เขาพูด
“ผมบอกว่า...”
“ไม่มีทาง! “ พี่ขวัญเสียงแข็งพูดแทรก “กูไม่ยอม กูไม่ยอม! ยังไงมึงต้องเป็นที่รองมือรองตีนให้กูอย่างนี้ทั้งชีวิต มึงกลับมาเพื่อสิ่งนี้ไม่ใช่เหรอ กูรู้ดี กูรู้จักมึงดี กูไม่เชื่อที่มึงพูดหรอก มึงหลอกกูไม่ได้หรอก ไอ้ลูกเมียน้อย!” พี่ขวัญพูดรัว เดินรอบห้องทำงานเหมือนหนูติดจั่น เพราะอะไร เพราะไม่เชื่อเขาจริงๆใช่ไหม
“พี่….” เขาร้องเรียกพี่ชายเสียงละห้อย “ผมเคยดีใจที่แม่ เอ่อ คุณแพรวพรรณกับพี่ทุบตีผม เพราะนั่นมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกว่าพี่มองเห็นผม ผมมีตัวตนในสายตาพวกพี่ แต่วันนี้ผมจะไม่ยอมพี่อีกแล้ว ชีวิตนี้ผมไม่ต้องมีครอบครัวผมก็อยู่ได้” พี่หยุดนิ่ง มองเขาตาขวาง “เรื่องมาที่นี่ ผมผิดเองที่ห้ามพี่พงษ์ไม่ได้ แต่พี่ไม่ต้องห่วงหรอก ทุกวันนี้ไม่ต้องมีใครสนใจผม...ผมก็อยู่ได้” รวมถึงคุณพ่อด้วย แก้วพูดแล้วยิ้มอย่างเฝื่อนๆ
ถึงเขาจะพยายามหลอกตัวเองว่าพ่อรักเขา แต่ความห่างเหินเมื่อครู่นี้ ก็ไม่ได้ทำให้เขาเจ็บปวดมากไปกว่าเดิมเลยสักนิด
แค่ไม่กี่เดือนที่ต้องเจอหน้ากัน แค่เพียงเขามองข้ามความจริงไป เขาต้องทนได้แน่
“มึง...” พี่ขวัญอึกอัก “มึงหมายความว่าจะทำเหมือนกูไม่มีตัวตนอย่างที่ไอ้พงษ์ทำใช่ไหม?” พี่กำหมัดแน่น
“...................................” เขาไม่ตอบ แต่เลือกเดินออกจากห้องทำงานของพ่อแทน ปล่อยพี่ชายให้หาคำตอบเอาเองจากการกระทำของเขา
ไม่จำเป็นแล้ว พี่กับแม่ของพี่ ไม่มีความสำคัญอะไรกับเขาแล้ว ไม่ต้องมองเห็น ไม่ต้องให้ความสนใจ เขาก็อยู่ได้ ...อยู่อย่างสบายด้วยสิ
แก้วยิ้มให้ตัวเอง ต่อไปนี้อย่าหวังว่าพี่จะทำร้ายเขาได้อีกเลย
แก้วเข้าห้องน้ำกวักน้ำล้างหน้า เช็ดหน้าเช็ดตาก่อนจะเดินเข้าลิฟท์เพื่อลงไปยังชั้นล่าง วันนี้ไม่ทำมันแล้วงาน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่
“เดี๋ยว” เสียงพี่ขวัญร้องเรียกพร้อมมือจับเข้าที่ข้อศอกเขา แก้วหันกลับไปมอง “กูจะไปส่ง”
“ไม่ต้องครับ”
“มึงจะทำอย่างนี้กับกูไม่ได้นะ!” พี่ตะคอกใส่หน้า แก้วสะดุ้ง แต่รีบทำตัวให้เป็นปกติ ก่อนจะจับมือพี่ออกจากแขน แล้ววิ่งข้ามถนนเพื่อไปขึ้นรถเมล์ฝั่งตรงข้ามโดยไม่หันกลับไปมอง
พี่กับแม่ของพี่ ไม่ใช่คนพิเศษที่ผมควรจะให้ค่า
แม่พี่เป็นเพียงภรรยาอีกคนของพ่อ พี่ขวัญเองก็เป็นเพียงลูกอีกคนของพวกเขา
ผมจะไม่น้อยใจ ไม่เสียใจอะไรอีก
เพราะผม...ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกับพวกคุณอีกแล้ว
.
.
.
เขาอยากรู้ว่าไอ้ฝิ่นมันจะเป็นยังไงบ้าง
ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง
แก้วกดกริ่งหน้าบ้าน แต่ไร้เงาคนมาเปิดประตู พ่อกับแม่มันคงไปทำงาน แก้วมองนาฬิกาข้อมือ นี่ก็เพิ่งจะสิบโมง กว่าแม่ของมันจะกลับมาก็ตั้งเที่ยง
ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง
เขากดกริ่งอีกครั้ง
ถ้าไอ้ฝิ่นเจ็บมันก็น่าจะอยู่บ้านและคงได้ยินเสียงแล้ว
หรือว่าจะไม่มีใครอยู่ แต่ก็ได้ยินกับหูว่ามันโดนฟันนี่นา ถ้าเจ็บก็น่าจะอยู่บ้าน
หรือว่า...เขาคิดไปถึงคนในสายที่พี่แชมป์บอกว่าต้องนอนโรงพยาบาล
ไม่น่า...มันคงไม่ได้เจ็บอะไรมากหรอกน่า ความรู้สึกหลากหลายกำลังเถียงกันเอง
เอาวะ ไหนๆก็มาแล้ว...
แก้วตัดสินใจนั่งรถเมล์ต่ออีกสองป้ายเพื่อไปยังอู่ซ่อมรถของพ่อฝิ่น
เขาไม่ได้เป็นห่วงอะไรก็แค่อยากรู้ว่าไอ้ฝิ่นมันเป็นอะไรมากรึเปล่าเท่านั้นเอง
“มาทำไม?” พี่ไม้ในชุดเสื้อยืดสีดำกางเกงยีนส์ขาดๆเลอะน้ำมันเครื่องในมือถือประแจเลื่อนอยู่ เดินตรงมาหาเขา
“คือ ...ผมได้ยินมาว่า...”
“แล้วยังไง?” พี่ไม้พูดขัด ทั้งที่เขายังไม่ได้พูดอะไรเลย
“อ้าว ไอ้โนT” พ่อของฝิ่นเดินออกมาจากในร้าน เรียกทัก แก้วยกมือไหว้ “หวัดดีๆ โดดเรียนมาเหรอมึงน่ะ”
“เปล่าครับ วันนี้ผมมีฝึกงาน” แก้วตอบ
“อ้าว ฝึกงานไหงมาเดินอยู่นี่วะ”
“คือผม...”
“ไปคุยทางโน้น ขอเวลานอกนะพ่อ” พี่ไม้ส่งประแจเลื่อนให้พ่อไอ้ฝิ่นแล้วกอดคอลากเขาให้เดินไปด้วย
“อะไรวะมีความลับเหรอ เออๆตามสบาย”
“เอาเปล่า” พี่ไม้ที่นั่งข้างกันจุดบุหรี่ยื่นให้เขาเมื่อพามาถึงโต๊ะหินอ่อนหลังร้าน
“ไม่ครับ” เขาปฏิเสธเพราะปกติก็สูบบุหรี่แค่เวลามีเรื่องให้คิดเท่านั้น เขาไม่อยากว่างก็ดูด เดี๋ยวจะติดอะไรที่ไร้สาระเปล่าๆ พี่ไม้จึงชักมือกลับเอาไปดูดเอง
“กูบอกมึงแล้วใช่ไหม ไม่ว่าจะทำยังไงไอ้ฝิ่นก็ไม่ลบคดีเพื่อนมึงออกจากหัวหรอก” รวมทั้งพี่ด้วย เขาเถียงในใจ
“ยังไงพวกพี่ก็จะไม่มีวันได้ตัวไอ้พงษ์เหมือนกัน” เขาตอบไม่ได้มองหน้าคู่สนทนาหรอกแต่ก็รู้ว่าพี่ไม้มองเขาอยู่ แค่ไม่รู้ว่ามองด้วยความหมายยังไงเท่านั้นเอง คงจะสงสาร เห็นใจ ไม่ก็สมเพช
“หึ เลยยอมเป็นคนรับผิดแทน”
“ก็ถ้า ... การชดใช้ของผม ทำให้พวกพี่เลิกโกรธ เลิกแค้นเพื่อนผม ผมก็ยินดี” เขาตอบตามที่คิด
“มึงมันโง่ โง่ งี่เง่าทั้งคู่” พี่ไม้พูดกลั้วขำ “จะจบเรื่องว่างั้น แต่คงลืมว่าพวกมึงกำลังสร้างเรื่องกันอยู่ต่างหาก” เขาย่นคิ้วหันไปหาพี่ไม้ เรื่องอะไรอีก? “มึงมาที่นี่ทำไม?”
“อ้อ อ๋อ” เขาสะดุ้งเมื่อโดนถามคำนี้ หันหน้าหนีกลัวโดนจับได้ เขารู้แล้ว สายตาพี่คนนี้คอยจะจับผิดอยู่นี่เอง แก้วนั่งตัวตรงมองไปข้างหน้า
“อย่าบอกว่ามาหาไอ้ฝิ่นนะ”
“เปล่าๆ” เขาส่ายหน้าปฏิเสธพัลวัล “... ครับ” แต่ประโยคลงท้ายกลับยอมรับซะอย่างนั้นเมื่อบังเอิญหันไปมองหน้าคนข้างๆอีกครั้ง
ไม่ได้ดุ ไม่ได้มีท่าทีคาดคั้นสักหน่อย ทำไมรู้สึกกลัวนะ
“มึงพลาดแล้วล่ะ”
“หมายความว่าไง” เขาไม่เข้าใจ “หรือมันโดนไปเยอะเหรอพี่” เขารีบถามกลับ เรื่องอย่างนี้ไม่เข้าใครออกใครหรอก คนที่เหนือกว่าคือคนลงมือนั่นล่ะ
พี่ไม้ลุกยืนเดินมาหยุดตรงหน้าเขา แก้วเงยหน้ามอง พี่ไม้เองก็มองอยู่เหมือนกัน คล้ายกำลังต้องการอะไรสักอย่าง จนแก้วต้องเลี่ยงด้วยการก้มหน้าหลุบต่ำ
“ความใกล้ชิดมันอันตรายจริงๆ ยิ่งในเวลาที่ไม่รู้ตัวด้วย ยิ่งอันตรายสุดๆ” พี่ไม้ตอบ...รึเปล่า? “มีโอกาสก็ออกห่างไปจากพวกกูซะ เรื่องไม่จบง่ายๆอย่างที่ใจมึงคิดหรอก ความจริงกับฝันเฟื่องของมึง มันไม่มีวันจูนกันติดได้”
ใช่ นั่นไม่ใช่คำตอบแต่พี่ไม้กำลังหาทางขัดขวางเขาอยู่ต่างหาก
“ก็เพราะพวกพี่มีแต่ทิฐิต่างหากล่ะ พี่ก็รู้ว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เมื่อมันเกิดกับคนใกล้ตัวพี่ พวกพี่ก็รับกันไม่ได้” เขาลุกยืนต่อปากต่อคำ ...ไม่รู้สิ เขารู้สึกกลัวพี่ไม้มาก แต่อีกความรู้สึกมันบอกว่าพี่คนนี้จะไม่ทำร้ายเขา
“ใช่ มึงพูดถูก ถ้าคนที่ตายไม่ใช่คนของกู กูก็สามารถเอาลูกปืนกรอกปากมึงง่ายๆตอนนี้ได้เลยล่ะ” เขาคง...ไปกระตุกต่อมความรู้สึกของพี่ไม้เข้า และคงคิดผิดที่หลงมองว่าคนนี้จะใจดี สายตาแข็งกร้าวจึงถูกส่งมาให้เขาได้รู้สึกตัว
“ผม...” อยากจะพูดว่าขอโทษที่พลั้งปาก แต่... “ผมไม่ได้ตั้งใจ” เขารู้สึกผิดที่พูดออกไปแบบนั้น ไม่น่ามารื้อฟื้นอะไรเลย
“กูไม่มีวันให้อภัยคนที่ฆ่าไอ้เป้ง ไอ้ฝิ่นก็เหมือนกัน ไม่มีใครรับผิดแทนใครได้ ตัวมึงเองก็ไม่มีวันชดใช้ให้กับสิ่งที่พวกกูเสียไปได้ ไปให้พ้น ก่อนที่มันจะสายไปมากกว่านี้”
“ไม่ ผมไม่มีความจำเป็นต้องทำตามที่พี่บอก” เขาฮึดเถียง “ผมเชื่อว่าผมทำได้ ผมจะทำให้พี่ ให้ไอ้ฝิ่นได้เห็นความตั้งใจของผม เมื่อวันที่ผมชนะทิฐิในใจพวกพี่ได้ ผมถึงจะไป” แก้วเถียงยืดคอเป็นเอ็นมองเข้าไปยังนัยน์ตาคนตรงหน้า ให้พี่ไม้ได้เห็นว่าเขามีความตั้งใจจริงอย่างที่พูดออกไป
“หึ อวดเก่งเหมือนน้องกูว่าไม่มีผิด กูเตือนแล้วแต่มึงไม่ฟังเองนะ”
พี่กลัวต่างหาก
...แก้วมองตามหลังคนที่ชิ่งหนีความจริง
เพราะพี่กลัวว่าเขาจะทำสำเร็จ พี่กลัวว่าจะใจอ่อน แล้วยกโทษให้พวกเราใช่ไหม นั่นแหละทิฐิของพวกพี่
ก็บอกแล้วว่าเขายอมทุกอย่างเพื่อไอ้พงษ์ไม่ต้องเดือดร้อน
ไม่มีใครห้ามสิ่งที่เขาตั้งใจทำได้หรอก เขาจะเป็นคนทำลายกำแพงของพวกพี่เอง
.............................
จริงๆต้องอัพตั้งแต่เมื่อคืนแล้วค่ะ แต่ออกจากที่ทำงานก็ไปเดินอนุสาวรีย์ รถก็ติดแสนติด กว่าจะไปถึงก็ใช้เวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมงแหนะทั้งที่ปกติไม่ถึงสามสิบนาทีเลย (บ่น -*-) ทีแรกว่ากลับมาแล้วค่อยโพสก็ได้เอ้ออ แต่กว่าจะถึงบ้านปาไปสี่ทุ่มครึ่ง แอร่กกก คนเขียนไม่มีแรงเปิดคอม เลยเอามาอัพที่ทำงานแทน ที่จริงเค้าเข้ามาแต่เช้าแล้วรอบนึงแต่เจ้านายแย่งสัญญาณใช้เน็ตอีก ชีวิตรันทดY^Y
...เสียใจ อดทำสถิติสามวันติด โฮฮฮฮ
จากตอนที่แล้วพอแปะแล้วสั้นจนน่าใจหาย(คนเขียนใจหล่นวูบ) ซีซั่นก็ได้รู้ตัวว่าต่อไปตอนไหนที่สั้นๆไม่ควรจะลงเป็นตอน น่าจะกลายเป็นครึ่งหลังมากกว่า มองเห็นข้อผิดพลาดของตัวเองอีกหนึ่งอย่าง ฮ่าๆ
คุณratnalin ขอบคุณมากค่ะที่ยังอุตส่าห์กลับไปเริ่มต้นมึนอีกรอบ ทั้งพยายามเข้าใจคนเขียนและตัวละครได้อีก //ปรบมือ แปะ แปะ แปะ
ทั้งหมดทั้งมวลมาจากตัวเองอยากอ่านนิยายแบบไหนก็เลยเขียนแบบนั้นอะค่ะ ถึงภาษาจะใช้ไม่ได้ แต่อาศัยความทนทานของใบหน้าล้วนๆเลย กร๊ากกก
คุณLifeTime ดีใจ นิยายมึนน้อยลงแล้ว เย่เย่
ส่วนคำว่า”เขา” รู้ตัวตั้งแต่ตอนพิมพ์แล้วค่ะ แต่ก็เลือกที่จะเขียนอย่างนี้ (กวนละ-*-) อิอิ เพราะอยากให้คนอ่านเห็นอะไรมากกว่าสิ่งที่บอกอะค่ะ “เขา”ในแต่ละประโยคจะคิดว่าเป็นตัวละครตัวไหนก็ได้ แต่เมื่อเจอประโยคพูดหรือบทคร่ำครวญของมัน คนอ่านก็จะรู้ได้เลยว่าเป็นใคร ใช่ไหมล่ะ (ถ้าคนอ่านบอก ใช่ที่ไหนล่ะคนเขียนซวยเลย) ...ฟังดูดีไหม? โอ้ย อายตัวเองนะบางที ฮ่าๆ
ขอบคุณทุกคนอ่าน ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ค่ะ^^ กอดๆจุ๊บ