จบพิธีการก็ปาไปบ่ายโมงกว่า ลำพังมอบใบประกาศน่ะใช้เวลาไม่เท่าไหร่แต่ที่นานเพราะอาจารย์พูดนั่นแหละ
ใครหิวก็ไปที่โรงอาหารกันได้ แต่พวกเขาไม่จำเป็น จากนั้นทุกคน ทุกแผนกต่างรวมกลุ่มกันถ่ายรูปตามแต่ละมุมของสถานศึกษา แก้วและเพื่อนร่วมสาขา เพื่อนร่วมแผนก เพื่อนร่วมสาย ต่างเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกเช่นกัน
หลายชั่วโมงผ่านไป
“ไอ้พงษ์” เขาถอดชุดครุยวางไว้ที่นั่งตรงหน้าห้องเรียนรวมกับของคนอื่นแล้วเสียงห้วนใส่ไอ้พงษ์ซึ่งนั่งทำหน้ากวนเบื้องล่างอยู่
“คุยกันดี ๆ คนบ้านเดียวกัน กูไปช่วยพี่ภูก่อนนะ” ไอ้แสนถอดครุยถอดเนคไทวางเสร็จแล้วชิ่งอย่างเร็ว
“ไม่ดีใจรึไง ที่ทำเนี่ยก็ให้มึงทั้งนั้น” พงษ์ลุกขึ้นยืนเสมอเขาและถอดเนคไทออกจากคอให้ แล้วเอาไปรวมกับของมัน ของไอ้แสน ก่อนรวบชุดครุยสามชุดเข้าด้วยกันพร้อมหอบเข้าไปกองไว้กลางห้องของอาจารย์ที่ปรึกษารวมกับหลาย ๆ ชุดที่กองอยู่ก่อนแล้ว
รอจนมันออกมา
“เขาให้มึงจบจริงเหรอ ได้ยังไง?” แก้วเปิดดูใบประกาศของพงษ์ หรือเขาจะพิมพ์ชื่อให้เฉย ๆ เคยมีอย่างนี้รึเปล่า หรือว่า “มึงเอาเงินจ้างจบมาใช่ไหม?”
“มึงนี่” ไอ้พงษ์ยิ้มอย่างหมั่นเขี้ยวยื่นมือมาจับหัวเขาโยกแล้วกอดไหล่พาเดิน “จบจริง ๆ จบด้วยความรู้ความสามารถล้วน ๆ ตอนไปอเมริกากูไม่ได้ทำเรื่องดร็อป ชื่อกูก็ยังฝึกงาน เสร็จจากฝึกงานเรียนไม่เรียนก็ไม่ต่างกันแค่สอบผ่านก็พอแล้วนี่”
จริงของมันที่ว่าไม่ได้ดร็อปเรียน
“มึงสอบตอนไหนวะ?” เขาซักให้หายข้องใจ แผนกเดียวกัน สาขาเดียวกัน มันสอบจริงก็ต้องเจอสิ
“อันนี้กูขอสอบนอกตาราง” มันตอบ เหล่ตามองเขาอีกต่างหาก
“มึงปิดกูเหรอ? ทั้งที่” เขาหยุดเดิน กัดปากตัวเองพลางก้มหน้า กำมือตัวเองแน่น “ทั้งที่กูต้องดีใจอยู่แล้วที่มึงไม่ทิ้งเรียน” อ้าว กรรม ต้องต่อว่ามันเยอะ ๆ สิ แต่ความตื้นตันที่มันไม่เคยทิ้งเขาเลยท่วมโทษของมันที่เขาคาดไว้ทุกกรณี
“กูอยากให้มึงดีใจสุด ๆ” มันเปลี่ยนจับไหล่เขาสองข้าง เขาเงยหน้ามองไอ้พงษ์ตาพร่าแล้วจับแขนเสื้อเช็ดตาตัวเองทันที “กูไม่ให้มึงผิดหวังตลอดหรอกน่า เพื่อมึงน้อยกว่านี้ได้ที่ไหน มึงดีใจที่เห็นกูเมื่อเช้านี้ใช่ไหมล่ะ"
“ตกใจเถอะ” ค้านเสียงสั่นทั้งที่ไอ้พงษ์มองข้ามอาการของเขา
พงษ์เอามือออกจากบ่าเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือเขาดัง
“เสร็จแล้วเหรอ?” ปลายสายเอ่ยถาม
หลังเสร็จพิธีเขาก็เปิดเครื่องแล้วโทรไปหาแต่มันไม่รับสายและเพิ่งจะโทรกลับมา
“เสร็จสักพักแล้ว” ตอบฝิ่นพลางเดินตามพงษ์ที่นำหน้าไปทางโต๊ะจีนซึ่งตั้งอยู่กลางสนามฟุตบอลของโรงเรียน
หกโมงเย็นแต่ยังมีแดดอยู่เลย
“ซ่อมเด็กที่หาดไม่ได้เอามือถือติดตัวกลัวเปียกน่ะ” อืม เหตุผลของมัน
เมื่อเช้าตอนออกจากบ้านมันบอกไปเลี้ยงฉลองให้รุ่นน้องที่เรียนจบแต่มีซ่อมรุ่นยันวันจบเลยเหรอสายนั้น
“กินเลี้ยงเสร็จกี่ทุ่มแล้วมีเลี้ยงสายต่อรึเปล่า” ฝิ่นถามต่อ
“พงษ์สายเรามีเลี้ยงต่อรึเปล่า?” เขาจึงถามพงษ์ให้แน่ใจเพราะพี่แชมป์ไม่ได้บอกอะไร
“ยัง” มันตอบมาสั้น ๆ
แก้วเลื่อนเก้าอี้พลาสติกสีขาวมานั่งข้างพงษ์ร่วมโต๊ะกับเพื่อนคนอื่น ๆ
“พี่แชมป์ยังไม่ได้นัด งั้นคงกลับไม่ดึกสองสามทุ่มน่าจะเลิกงานแล้วล่ะ”
“อืม กลับบ้านดี ๆ ระวังตัวด้วย”
“เดี๋ยว ๆ เอ่อ...” แอบมองพงษ์ที่ดูไม่ได้สนใจอะไรเขาหรอก “พี่จะกลับเมื่อไหร่?”
“ดึก ๆ ทำไม?”
หันข้างออกนอกโต๊ะแล้วเอามือป้องปากก่อนพูดใส่โทรศัพท์มือถือเบา ๆ
“พี่ฝิ่น...ผมรอนะ”
“หึ ฮึ่ม อืม ๆ แล้วเจอกัน” แล้วไอ้พี่ฝิ่นก็วางสายไป
ในเมื่อวันนี้มันมีความพิเศษ ...เขาย่อมอยากอยู่กับคนพิเศษไม่แปลกนี่นา
.
.
.
บนเวที...พี่ภูนักร้องนำของวงโรงเรียนร้องเพลงที่ล้วนแต่ความหมายดี ๆ เพื่อแสดงความยินดีกับรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมสถาบันที่กำลังจะจบออกไป ต้องยอมรับว่าเวลาพี่ภูร้องเพลงช่างดึงดูดผู้ชมให้มีอารมณ์ร่วมด้วยได้ทุกเพลงจริง ๆ ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน จนวันนี้ มาตรฐานพี่ภูไม่เคยเปลี่ยน นับวันมีแต่เพิ่มขึ้นทั้งนั้น อาจเพราะประสบการณ์ที่พี่แกจดจำมาเป็นอย่างดี
เพลงช้า พวกข้างล่างก็กอดคอกันร้องตาม เพลงเร็ว พวกข้างล่างก็กระโดดโลดเต้นกันลืมตายทั้งผู้ชายทั้งผู้หญิง บรรดาอาจารย์ที่ห้ามนักศึกษาเอาเครื่องดื่มมึนเมาเข้ามาในงานคงคิดว่าพวกนี้เมาดิบกันแน่
“พงษ์...”
เสียงยาน ๆ ตาหวานเยิ้มพร้อมใบหน้าที่โน้มมาวางกับไหล่ไอ้พงษ์จนมันสะบัดออกแทบจะตกเก้าอี้
“ฮื่อ หก เสียของ” ไอ้แสนยกแก้วเหล้าผสมเป๊บซี่ออกห่างจากตัวเมื่อไอ้พงษ์ดันไอ้แสนออกแต่เหล้าในแก้วดันหกใส่ตัวจนเปียกมันทั้งคู่
“เสือกเล่นเหี้ยอะไรของมึง” ไอ้พงษ์บ่นพลางแกะกระดุมเสื้อนักศึกษาแล้วถอดมาเช็ดเสื้อยืดสีขาวที่มันใส่อยู่เพราะมีรอยเปียก
“พงษ์...” ไอ้แสนหันไปเติมใหม่จนเต็มแก้วจากโต๊ะข้าง ๆ แล้วยืนเงียบมองไอ้พงษ์เช็ดเสื้อก่อนโพล่งปากออกมา “มึงคิดอะไรกับกูรึเปล่าเนี่ย”
เท่านั้นล่ะเสียงกร๊ากเฮลั่นลามไปยังโต๊ะข้าง ๆ มีแต่แก้วที่นั่งจิบเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์นิ่ง ๆ คนเดียว
...น่าขำตรงไหน
“หึ” ไอ้พงษ์แสยะยิ้มเจ้าเล่ห์มองเขาแว๊บเดียวก่อนลุกขึ้นแล้วทิ้งเสื้อลงกับเก้าอี้ “ตอนแรกไม่คิด แต่ตอนนี้คิดละ”
พงษ์เดินอาดแต่สายตากรุ้มกริ่มเหมือนเวลามันมองสาว ๆ เดินเข้าไปหาไอ้แสนที่ถอยหลังจนชนเก้าอี้เพื่อนอีกโต๊ะ
“ว๊าก ไอ้ห่า กูไม่ผสมพันธ์กับควาย” ไอ้แสนโวยวายเอนตัวเอนแขนไปเท้าเก้าอี้ที่เพื่อนนั่งอยู่แล้วยกตีนข้างหนึ่งดันท้องไอ้พงษ์ทั้งที่มันยังไม่ได้ทำอะไร
“เหี้ยเป็นรอยตีนเลย” พงษ์จับขามันออกพลางเบ้หน้าใส่เสื้อตัวเอง
“เล่นกับใครไม่เล่น” ไอ้แสนกระดกเครื่องดื่มในมือเข้าปาก “ขออีกกรึ๊บเพื่อน” แล้วยื่นแก้วไปขอเติมอีก
“ถุย ทำคุย ไม่แน่จริงนี่หว่า โธ่” ไอ้พงษ์พูดปรามาสก่อนหันกลับมานั่งที่เดิมแถมยักคิ้วให้เขา
“บ๊ะ บ๊ะ ไอ้นี่ กูใคร? กูนี่ แสน๙T ไม่ใช่ไม่แน่แต่แค่ไม่อยากเล่น ๆ ถ้ากูจะเหนือชายกูไม่เอาควายอย่างมึง มึง และก็มึงหรอก” ไอ้แสนเดินมานั่งตักเพื่อนเขาอีกคนซึ่งนั่งคนละข้างกับพงษ์แล้วชี้หน้าเรียงตัว “กูน่ะมีรักเดียว แต่ถ้าเศษเสี้ยวกูให้ไอ้แก้วละกัน”
“ไร้สาระ” โอ๊ตเจ้าของตักส่ายหน้าพร้อมตบหัวไอ้แสนแล้วคุยกันในโต๊ะเสียงดังต่อ
แสนเอื้อมแขนข้ามเก้าอี้มาโน้มคอเขาเข้าไปใกล้จนหัวชนกันแล้วมันก็เอาเหล้าป้อนใส่ปากเขา
“แดกตีนกูนี่” ไอ้พงษ์
“ตีนพี่ฝิ่นอีกคู่” เขายิ้มพลางตบแก้มมันสองข้างเบา ๆ ไอ้บั๊ดดี้แสนก็เอาแต่ยิ้มจนตาหยี ก่อนโดนมือไอ้พงษ์จับแยกทั้งสองหัว
.
.
.
พงษ์ขับรถเข้าจอดถึงหน้าบ้าน แก้วมองเวลาหน้ารถเป็นเวลาสี่ทุ่มเกือบห้าทุ่ม บ้านไม่มีไฟเปิดสักดวง สงสัยว่าพี่ฝิ่นจะยังไม่กลับ
“เมารึเปล่า” พงษ์ถาม
“ไม่ แค่โล่ง ๆ หัวนิดหน่อย” เขาตอบ โดนไอ้แสนส่งให้สาม-สี่ แก้วเหมือนกัน แต่ไอ้พงษ์ไม่ดื่มสักแก้วและไม่ห้ามเขาด้วยจนเขาต้องบอกพอเอง
ปลดเข็มขัดนิรภัยได้ไอ้พงษ์ก็พูดขึ้น
“คุยกันหน่อยสิ”
“หืม?” เขามองหน้ามัน
“ตรงนี้แหละ” อย่างกับรู้ว่าเขาจะชวนเข้าไปคุยในบ้าน “อยู่บ้านเคยได้คุยกันจริง ๆ จัง ๆ ด้วยเหรอ?” มันถาม
อืม ความคิดเห็นขัดแย้งกับฝิ่นเสมอนี่
“พี่ฝิ่นยังไม่กลับนะ ว่าแต่เป็นอะไร?” เขาเดาตามสภาพบ้านและถามกลับ มันปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วหันมาคุย
“เหนื่อยไหม?”
“มะ ไม่” เขาตอบ
“แล้วมือมึง เจ็บรึเปล่า?” มันดึงมือเขาไปแล้วพลิกหลังมือขึ้นมอง
“แรก ๆ ก็เหนื่อยมาก” เขาวิ่งวันละยี่สิบนาที “เจ็บมือ เจ็บหน้าแข้ง เจ็บกระดูกกระเดี้ยว” ชกและเตะกระสอบทราย “แต่ตอนนี้เริ่มชินแล้ว” เขาบอกพงษ์ วางมือแตะมือมันเชิงบอกว่าไม่ต้องห่วง แล้วมันก็ปล่อย
“ถ้าอย่างนั้น ...ต่อไปก็ไม่จำเป็นต้องมีกู”
“ไอ้พงษ์!”
“หึ” มันเหล่ตามองเขาแล้วยักไหล่หันไปมองหน้ารถเหมือนไม่สนใจสิ่งที่มันพูดเลย
“มึงไม่อยากไปคนเดียวเหรอ?” แก้วเอ่ยเสียงเบา
เขา ฝิ่น พงษ์ คุยกันแล้วว่าเขาจะอยู่ที่นี่ แต่พงษ์ยังยืนยันจะไปเรียนที่อเมริกาตามความต้องการของพ่อกับแม่ของมันโดยไม่สนว่าเขาจะรู้สึกยังไง
“มึงรักกูไหม?”
“ห๊ะ?!”
ไอ้พงษ์หันขวับมาจ้องหน้าเขาจริงจัง ทั้งที่เขากำลังวิตกกังวลกับชีวิตมันอยู่
“กูทำอะไรผิดมึงมักจะยกโทษให้กูเสมอ ทั้งที่หลายเรื่องมันไม่น่าให้อภัย” มันว่า อย่างกับเปลี่ยนเรื่องคุย
“มึงเองก็เหมือนกัน” สิ่งที่ผิดของเขา พงษ์เองก็ไม่เคยคิดโทษเลย
“ถึงกูจะทำผิดอีกมึงก็ไม่โกรธกูใช่ไหม?”
“อ่า...” ไอ้นี่
“แล้วตกลงมึงรักกูไหม?” เวรกรรม มันถามซ้ำ
“มึงไม่ให้กูบอกมึงเอง แล้ววันนี้เป็นอะไรมาถามอย่างนี้วะ?”
...ผู้ชายไม่ต้องบอกรักกันหรอก มันตลกว่ะ ทางที่ดีมึงเก็บไว้ในใจนั่นแหละ
ไอ้พงษ์บอกเมื่อหลายปีก่อน เป็นวันสุดท้ายที่เขาบอกว่ารักมัน
แต่ถ้ามันอยากรู้เขาก็ยินดีบอกเสมอ
“รักสิวะ พอใจรึยัง?” เขาบอกขำ ๆ
“รักกูเหมือนที่มึงรักมันรึเปล่า?” ไอ้พงษ์ถามต่อดูท่าทางจริงจังจนเขาขำต่อไม่ไหว
ฉึก!
“...พี่ถามอะไร จะเหมือนไม่เหมือน...” เขาเปลี่ยนสรรพนามเรียกมัน แต่ยังพูดไม่จบ
“มึงต้องเด็ดขาดแก้ว!” ไอ้พงษ์ตะคอกจนเขาสะดุ้ง ความรู้สึกบอกให้เขาอยู่นิ่ง ๆ ห้ามพูดห้ามเอ่ยอะไรออกไป
เขากับพงษ์มองหน้ากันเงียบ เขาเห็นมันเม้มปากตัวเองพร้อมสีหน้าลังเลก่อนเอื้อมมือมาลูบศีรษะเขาแล้วโน้มใบหน้ามันเข้ามาใกล้จนหยุดเมื่อริมฝีปากมันแตะกับริมฝีปากเขา
“พงษ์!” เขาผลักมันออกทันที
“กลัวเหรอ กลัวอะไร กลัวทำไม?” มันยังมีหน้ามายักคิ้วถาม
“ถ้า...ถ้ามึงเป็นคนอื่นกูจะต่อยมึงให้ฟันร่วง” เขาชูกำปั้นใส่มันแล้วเปิดประตูออกไป
ปึ๊ก!
ไอ้พงษ์เปิดประตูรถตามออกมาทันทีเหมือนกัน
“เป็นกูก็ต่อยได้ ยิ่งวิชาที่ไอ้ฝิ่นสอนมึงยิ่งต้องใช้ในงานนี้ไม่ใช่เหรอ?” ไอ้พงษ์ตะโกนตามหลัง
เขารุดเดินเข้าบ้าน แต่เมื่อไขกุญแจเปิดประตูบ้านและเปิดสวิทช์ไฟซึ่งอยู่ข้างประตูจนบ้านสว่างกลับผงะจนต้องก้าวถอยหลัง
“กูไม่อยากให้มึงรอ...เลยกลับไวกว่ากำหนด” พี่ฝิ่นยืนล้วงกระเป๋าเสื้อช็อปสีกรมท่ารออยู่ในบ้าน มันเอ่ยบอกทันทีเมื่อเห็นหน้าเขา “เมาเหรอ? หน้าแดงมาเชียว” มันมีท่าทีข้องใจแล้วเดินเข้ามาหา ฝิ่นเอามือออกจากกระเป๋าเสื้อข้างหนึ่งแล้วยกขึ้นจะมาจับหน้าเขา
“เอ่อ ขอผมอยู่คนเดียวสักพัก” แก้วเบี่ยงตัวหลบแล้วก้าวเท้าวิ่งขึ้นบันไดเข้าห้องล็อคประตู
แน่นอนมันต้องตามมาด้วยเสียงเหล่านี้
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“แก้ว แก้ว” ฝิ่นเรียก
ปัง ปัง ปัง
“แก้ว ไอ้แก้ว เป็นอะไรเปิดประตูให้กูเดี๋ยวนี้นะ!” ระดับอารมณ์มันคงครุขึ้นมาแล้ว ในขณะที่เขายืนพิงผนังห้องข้างประตู
“เวลาอย่างนี้มึงเรียกมันก็ไม่เปิดหรอก” เสียงพงษ์
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ลูกแก้วเปิดประตูให้พี่หน่อย” ไอ้พงษ์
เหอะ
เสียงอ่อนโยนแค่ไหนก็อย่าฝันเลย
“ถ้าคิดจะเอากุญแจสำรองมาเปิดกูจะกระโดดออกทางหน้าต่าง” เขาตะโกนบอกสองคนที่อยู่หน้าห้อง เพราะนิสัยไอ้พงษ์มันไม่ให้เขาอยู่คนเดียวนานแน่ ...ตอนนี้คงรวมพี่ฝิ่นอีกคน แต่เขาเอาจริงแน่
ไอ้พี่พงษ์มันเล่นอะไรของมัน ทั้งคำถามที่พี่ฝิ่นเคยถาม ทั้ง...เออ แค่ปากแตะปากแต่มันไม่ใช่เรื่องที่เพื่อน พี่น้องจะทำกันปกตินี่หว่าเขาไม่ได้โง่นะ
เวลานี้เขาต้องการอยู่คนเดียว อยากอยู่เงียบ ๆ เพื่อที่จะคิดทบทวนความรู้สึกของตัวเองตามลำพัง
แม้เสียงข้างนอกจะดังขึ้นเรื่อย ๆ จนเกรงว่าสองคนนั่นจะลงไม้ลงมือกันรึเปล่า
แต่...เขาต้องหาคำตอบให้ตัวเองให้ได้ก่อน ว่าทำไม...ใจเขาโหวง ๆ สมองเขาตื้อ ๆ อย่างนี้
..................................................
ถ้าอ่านแล้วหมั่นไส้คนเขียน ก็อย่าเพิ่งเม้นท์นะคะ ตั้งใจให้ค้างจริง ๆ กร๊ากกก (บอกอย่างไม่กลัวรองเท้าเขวี้ยงเลย) …เอาไว้เม้นท์ทีเดียวก็ได้ เค้าเกรงใจอยู่นะเห็นอย่างนี้ก็เถอะ
ตอนไม่ค่อยพิเศษเหลืออีกสองตอนค่ะ (ยังไม่ได้แต่งต่อสักตัวอักษร -*- บอกเพื่อ?)
คนอ่านคาใจตรงไหนบ้างก็ไม่รู้ เอาที่คนเขียนค้างเติ่งไว้เท่าที่ตัวเองจำได้กำลังตามมาค่ะ
นึกได้พอดี...
เฮียโซ่+พี่ภู หมดงบแล้วจ้า ไว้เจอกันยาว ๆ ทีเดียวเน้อ
พี่ไม้(ที่รัก) ไอ้พงษ์ ไอ้โจ้ ไอ้ขวัญ คงได้มีเรื่องยาว เพราะคนเขียนสนุกมากเกินเหตุ ฮา
ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่มีกำหนดแน่ชัดค่ะ ตอนนี้ทำงานคนเดียวที่บริษัทอื่นคงแบ่งกันทำสัก 5 ตำแหน่ง
แต่เพื่ออนาคตที่ใกล้ได้เป็นไทละ สู้โว้ยยย
ขอบคุณทุกคนอ่าน ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ กอด ๆ จุ๊บ ๆ^^ ฮือออ เหนื่อย