]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)  (อ่าน 163780 ครั้ง)

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ








ตอนแรกว่าจะลงปีหน้าคับ แต่รู้สึกถ้าไม่มีไฟลนตูดมันเขียนไม่ออก  :m29:
เลยลงซะเลย เพื่อกระตุ้นตัวเอง

ต่อจากนี้อาจจะมีอะไรพลิกผัน และเนื้อหาคงจะต่างออกไปนะครับ
คงจะไม่เรียบง่ายสบายๆเหมือนเคย
แต่เมฆกับซันต้องเจอปัญหาและมีอะไรให้ขบคิดกันไม่น้อย
อยากให้ลองอ่านกันดูนะครับ ว่าทั้งสองคนจะทำยังไงต่อไป

 o14

ปล. ข้างล่างนี่ interlude คับ ตอนที่หนึ่งรออีกแป๊บ


Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-10-2008 09:50:11 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ก่อนที่นาฬิกาจะหยุดเดิน.......



มันต้องเป็นแบบนี้จริงๆน่ะหรือ........

ผมเฝ้าถามตัวเองมาตลอดเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ถ้าความรักอย่างเดียวมันทำให้คนอยู่ด้วยกันไม่ได้ แล้วทำไมผมกับมันที่อยู่ด้วยกันมาตลอดสามสี่ปีถึงกลับต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ด้วย ความรักเราก็มีให้กัน ความผูกพันเราก็มีไม่แพ้คู่ไหนๆ ถ้าอย่างนั้นแล้วเรายังขาดอะไรอยู่กันอีก........

หรือบางทีผมอาจจะรู้ตัวแต่ไม่อยากยอมรับมันก็เป็นได้

“มึงจะเอาอย่างนี้จริงๆใช่มั๊ย เมฆ” ผมถามออกไปอีกครั้ง

“กูคิดว่ามันอาจจะดีที่สุดสำหรับเราสองคนแล้ว”

มันเป็นแบบนี้จริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเมฆเป็นคนที่เข้มแข็งกว่าที่ผมและคนอื่นๆคิดอยู่เสมอ และในวันนี้ก็ด้วยเช่นกัน สิ่งที่ผมทำได้ก็มีเพียงแค่ทำในสิ่งที่สถานการณ์และอารมณ์มันพาไป ส่วนเหตุผลคืออะไรน่ะหรือ ผมไม่รู้หรอก ผมมันโง่ ผมมันดิบ และหยาบกระด้าง ผมอาจจะทำพลาด ไม่สิ ผมมันทำพลาดไปเอง ผมจะโทษใครได้ ถ้าความรักและความสัมพันธ์ของเรามันจะจบลง ผมก็คงต้องทนยอมรับมันแต่เพียงเท่านั้น

เมฆค่อยๆดึงแหวนออกจากนิ้วนางข้างซ้ายช้าๆแล้ววางมันลงบนโต๊ะ ส่วนผมเองก็ทำเช่นเดียวกัน แหวนสองวงนี้เป็นแหวนของครอบครัวของมัน และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่มันจะกลับคืนสู่เจ้าของที่แท้จริง มันไม่สมควรจะมาอยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของผมอีกต่อไป

ผมรู้สึกว่าน้ำตาของผมมันกำลังก่อตัวอยู่ภายในอกจนผมต้องพยายามกล้ำกลืนมันลงไป ผมไม่อยากแสดงความอ่อนแอออกมาให้ใครเห็น ผมไม่อยากจะให้เมฆเห็นความอ่อนแอของผม ผมเป็นท้องฟ้าที่ยิ่งใหญ่ ผมเป็นพระอาทิตย์ที่สาดแสง เพราะฉะนั้นผมก็ควรจะเป็นคนที่มั่นคงที่สุดสิ จนเมื่อแหวนหลุดออกมาจากนิ้วนางของผมแล้ว ผมก็วางมันลงบนโต๊ะข้างๆกับแหวนของมัน และเมื่อผมเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของคนที่ผมรัก ผมก็เห็นน้ำตาหยดใสๆกำลังไหลรินลงมาบนแก้มของเขา

ถึงเราจะกำลังนั่งกันอยู่ในร้านอาหารในห้างชื่อดังแห่งหนึ่ง ถึงรอบข้างของเราสองคนจะมีผู้คนเดินผ่านวนเวียนกันอยู่ไปมามากมาย ถึงเสียงรอบข้างจะจอแจและอื้ออึง แต่เมื่อผมเห็นน้ำตาของมันแล้ว ทุกๆสิ่งรอบตัวของผมเหล่านั้นมันก็ไม่ต่างจากอากาศธาตุที่อยู่ห่างไกลราวกับอยู่คนละมิติกับช่วงเวลาของเราสองคนในตอนนี้เลย

ผมค่อยๆเอื้อมมือออกไปช้าๆหมายจะจับมือของมันมากุมเอาไว้......... อาจจะเป็นการกุมมือครั้งสุดท้าย ผมไม่รู้หรอก และผมก็ภาวนาไม่ให้มันเป็นแบบนั้นด้วย แต่ทว่าเมฆก็ชักมือกลับไปเสียก่อน มันยกมือทั้งสองข้างขึ้นจับสร้อยคอที่ห้อยอยู่รอบคอ ผมรู้ทันทีว่ามันกำลังจะทำอะไร และหัวใจของผมก็กำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไม่ต่างจากเมื่อคราวที่ผมต้องเห็นใบหน้ายามหลับของมันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ผมจะต้องขึ้นเครื่องบินจากคนที่ผมรักไปไกลเมื่อหลายปีก่อนนั้น

“เมฆ กูขอร้อง กูขอแค่เพียงอย่างเดียว อย่างสุดท้ายก็ได้ มึงอย่าเพิ่งถอดสร้อยเส้นนั้นออกมาจะได้มั๊ย” ผมรีบร้องห้าม

สร้อยคอเส้นนั้นเป็นสร้อยทำเองของเราสองคน จี้ของมันคือก้อนหินสีดำเนียนก้อนเล็กพอดีๆก้อนหนึ่งที่เราเก็บได้มาจากชายหาดเมื่อครั้งที่เราไปเที่ยวทะเลครั้งแรกหลังจากที่เรากลับมาถึงประเทศไทย ส่วนผมก็มีสร้อยคอแบบเดียวกันนั้นเช่นกัน เพียงแต่ของผมเป็นก้อนหินสีขาว แสดงให้เห็นถึงว่าผมมีมันที่เปรียบเป็นความขาวบริสุทธิ์อยู่ข้างกายตลอดเวลา ส่วนมันก็จะมีผมที่เป็นสีดำอันมั่นคงและอบอุ่นอยู่กับตัวเองตลอดเวลาด้วยเช่นกัน และไม่ว่ายังไงก็ตาม ถึงเรื่องของเรามันอาจจะจบ ถึงผมจะยอมถอดแหวนออก แต่ผมก็ยอมที่จะเห็นส่วนหนึ่งของผมที่อยู่เคียงข้างมันมาตลอดต้องพรากจากคนอันเป็นที่รักของผมไปตลอดกาลไม่ได้จริงๆ

“อย่างน้อยๆก็จนกว่าทุกอย่างมันจะชัดเจนนะ เมฆ ถือว่าเป็นคำขอร้องครั้งสุดท้ายจากกูแล้วกัน” ผมอ้อนวอนอีกครั้ง

“ก็ได้.......” เมฆลดมือลง ดวงตาของมันมีแววเจ็บปวด ซึ่งผมคิดว่าตอนนี้ จากเรื่องทุกอย่างทั้งหมดนี่ มันเองก็คงเจ็บปวดไปไม่น้อยกว่าผมสักเท่าไหร่หรอก ไม่สิ มันเองต่างหากที่เจ็บปวดมากยิ่งไปกว่าผมเสียอีก “กูรักมึงนะซัน มึงก็รู้ใช่มั๊ย.........”

“อืม กูรู้”

“กูไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย ให้ตายสิ ซัน กูรักมึงจริงๆ.......” เสียงของเมฆเริ่มสั่นเครือ และน้ำตาก็เริ่มปริ่มอยู่ที่ขอบตาของมันอีกครั้ง

“กูก็รักมึง เมฆ.......” ผมพูดออกไป แต่เมฆกลับส่ายหัว “มึงไม่เชื่อกูงั้นเหรอ”

“กูไม่รู้...... กูไม่รู้จริงๆ กูไม่รู้ว่าเรามาเป็นแบบนี้กันได้ยังไง ทำไมระหว่างเรามันถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย”

“กูก็เหมือนกัน...... แต่กูรักมึงจริงๆนะ ถึงยังไงๆกูก็รักมึง มันอาจจะฟังดูยากที่ให้เชื่อแบบนั้น แต่มันก็เป็นความจริง”

“พอเหอะ ซัน ตอนนี้เราสองคนอาจจะต้องการระยะห่างกันบ้างแล้ว เราคงอยู่ด้วยกันมามากเกินไป ถ้าหากว่าในแก้วมันมีน้ำใส่อยู่จนเต็มแล้ว ต่อให้มึงพยายามที่จะรินน้ำเพิ่มลงไปอีกสักเท่าไหร่มันก็คงมีแต่ล้นออกมาเท่านั้นเอง บางทีเราสองคนคงจะไม่ใช่เข็มนาฬิกาที่เดินอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาเรือนเดียวกันอีกต่อไปแล้วก็ได้ ถึงเวลาแล้วที่เวลาของเราคงจะต้องไหลไปแบบไม่เท่ากันอีกครั้ง”

ผมก้มหน้าลงแล้วกำหมัดแน่น รู้สึกอยากจะร้องตะโกนแล้วกระโดดตึกลงไปตายซะตรงนี้ตอนนี้เลย แต่ผมก็รู้ว่าคนที่เจ็บปวดที่สุดนั้นไม่ใช่ผม แต่เป็นไอ้เมฆคนนี้ต่างหาก

เมฆหยิบแหวนใส่กระเป๋าเสื้อแล้วลุกขึ้นยืน ผมรีบเงยหน้ามองใบหน้าของมันอีกครั้งทันที และหวังว่านี่คงจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้มองหน้ามันแบบนี้ด้วย

“เราจะได้เจอกันอีกครั้งใช่มั๊ย” ผมถามอย่างมีความหวัง

เมฆยิ้มน้อยๆให้แก่ผม เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นมานานแล้วเหลือเกิน และเป็นรอยยิ้มที่กรีดลึกเข้าไปจนถึงขั้วหัวใจของผมด้วยเช่นกัน

“เมื่อไหร่ที่ขอบฟ้าของเราคือขอบฟ้าเดียวกันอีกครั้ง เมื่อนั้นกูกับมึงก็คงจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก ซัน”

เมื่อพูดจบ เมฆก็หันหลังกลับแล้วทำท่าจะเดินออกไป จนผมต้องรีบเรียกให้มันหยุดอีกครั้ง

“เดี๋ยวเมฆ........ กูขอถามอีกแค่คำถามเดียว”

เมฆหยุดอยู่กับที่ แต่ก็ไม่ได้หันกลับมามองผมเลย

“มึงเชื่อมั๊ย ว่ากูรักมึง ไม่สิ กูรู้ว่ามึงก็เชื่อ กูมั่นใจว่ามึงรู้ว่ากูรักมึงมากแค่ไหน และไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปนับแต่วันแรกที่เราพบกัน กูก็ยังคงรักมึงอยู่ตลอดเวลา และจะยังรักแบบนี้ตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนด้วย........ แต่ว่ามึงจะยังคงเก็บรักษาความรักนั้นไว้ให้กูต่อไปได้มั๊ย เก็บมันไว้จนกว่าท้องฟ้ากับก้อนเมฆจะได้ลอยอยู่เคียงคู่กันอีกครั้ง”

เมฆยืนนิ่งอยู่ราวๆหนึ่งนาที แต่ก็ดูยาวนานราวกับหนึ่งชั่วโมง จากนั้นเขาก็หันกลับมามองผมด้วยดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น

“ตราบจนขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที ซัน ตราบจนกว่าขอบฟ้าจะสั้นกว่าเข็มวินาที...........”

เมื่อพูดจบ เมฆก็หันหลังเดินจากไป...... จากไปพร้อมกับลมหายใจและสายใยสุดท้ายของท้องฟ้าที่พยายามจะเหนี่ยวรั้งก้อนเมฆของมันเอาไว้

ผมนั่งซบหน้าของตัวเองลงบนฝ่ามือแล้วปล่อยให้น้ำตามันไหลรินออกมาช้าๆ ผู้คนเดินผ่านไปมาแต่ผมไม่สนใจ ผู้คนที่นั่งอยู่โต๊ะอื่นๆอาจจะสงสัย แต่ผมก็ไม่แคร์ ผมมันเลวเอง ผมมันเป็นท้องฟ้าที่เอาแต่ใจและไร้ความคิด กับไอ้แค่การเหนี่ยวรั้งความรักของผมเอาไว้ ผมก็ยังทำไม่ได้

และนับต่อจากนี้ ท้องฟ้าที่ไร้เมฆผืนนี้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไรกัน...............



ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
 :a5:  :a5:
เปิดเรื่องมาก็  o22 แล้ว เกิดอะไรขึ้นกับศิลาและฟ้าคราม  :serius2: ทำไมดูเหมือนจะจากกันทั้งที่ยังรักกันอยู่  :sad2:  :sad2:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด
น้องต้นนนนนนนน ทำกับพี่อย่างนี้ได้งัย
มันเป็นเรื่องที่ซันฝันใช่มะ
ไม่ใช่เรื่องจริงใช่มั้ย
 :m15: :m15: :m15: :m15:

beer_comein

  • บุคคลทั่วไป
ขนลุก ภาษาสวยมากครับ เนื้อเรื่องน่าจะสนุก จะติดตามครับ

Givesza

  • บุคคลทั่วไป
อ๊ากกกกก  พี่ต้นนนนน   


       อยากฆ่าตัวตาย   พี่ซันทำอะไรลงไปปปป  ฮือ~.............. :dont2:


ไม่นะ  :m15:   

My name M

  • บุคคลทั่วไป
Re: |[ nEw ]| :: ขอบฟ้าสั้นกว
«ตอบ #6 เมื่อ10-11-2007 00:20:51 »


บ้างครั้งจากในวันนี้ เพื่อสิ่งที่ดีกว่าในวันหน้า ....เขียนซะซึ่งเลยครับบบบ   มาต่ออีกนะครับบบ  ชอบบบบมากครับบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-11-2007 00:23:13 โดย My name M »

Givesza

  • บุคคลทั่วไป
พี่ต้นนน  :o12:

              มาต่อให้หนูหน่อย  หนูคิดถึงพี่ซันกับพี่เมฆ  มานเกิดอารายขึ้น ฮือ~........ :dont2:


 :o7:    :o7:    :o7:    :o7:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
มารออ่านต่อ   :m1:

ซึ้งจริงๆ อะไรทำให้ต้องจากทั้งที่ยังรักกันนะ  :m15:

eyukiz

  • บุคคลทั่วไป

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






Pztor

  • บุคคลทั่วไป

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
มาเป็นกำลังใจให้ครับ

niph

  • บุคคลทั่วไป
ความหมายดีนะ ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที

แต่ว่า ... มันแปลว่าไรเหรอ  :m26:

บทนี้จะว่าด้วยเรื่องของระยะห่างที่หายไปมันทำให้ใครบางคนอึดอัดเหรอ  :m28:

Givesza

  • บุคคลทั่วไป
ไม่ไหวแล้ว แง่ๆๆๆ  o9


พี่ต้นมาทำให้หวั่นไหวกับพี่เมฆกะพี่ซันอีกแล้ว :m15:



มาให้อยากแล้วจากไป  เคือง อิอิ :laugh:


มาลงต่อเร็วๆน่า พี่ก๊าบบ!!! :impress:

tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป


ชอบโดนลนตูดว่างั้น



Givesza

  • บุคคลทั่วไป


ชอบโดนลนตูดว่างั้น




โห.... เล่นงี้เลยหร๋อก๊าบๆๆ  :laugh:


มารอพี่เมฆกับพี่ซันต่อ  เห้อ  คิดถึง  :m17:

No_ProMises

  • บุคคลทั่วไป
เห้นชื่อเรื่องแล้วเกิดอาการสงสัย

เลยต้องเข้ามาอ่าน   ฮืออออ  เศร้าจิต !
!

เป็นกำลังใจให้นะคับ



ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 1


“เมฆ มึงว่าความรักของคนเรา มันจะสิ้นสุดอยู่ที่ตรงไหนวะ” ผมถามคนที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ

“กูก็ไม่รู้ว่ะ...... แต่กูว่านะ”

“ว่าอะไรวะ”

“กูว่า....... มันไม่มีที่สิ้นสุดหรอก ถ้ามันจะสิ้นสุด มันก็คงสิ้นสุดในจุดเดียวกับที่มันเริ่มต้นนั่นแหละ”

คำตอบนั้นของมันไม่ได้ช่วยแก้ข้อสงสัยของผมเลยแม้แต่นิดเดียว แต่จะว่าไป ผมเองก็อาจจะไม่ได้ต้องการคำตอบอะไรออกมาจากปากมันนักก็ได้

ทะเลในยามค่ำคืนที่ผมสองคนกำลังนั่งมองอยู่นี่ก็สวยงามไปอีกแบบที่ต่างกับในยามกลางวัน ทั้งลมที่พัดให้ความสดชื่น อากาศที่เย็นสบายกว่าตอนกลางวัน เสียงคลื่นที่ซัดชายฝั่งกับเสียงของลมที่พัดลู่ใบไม้ริมหาด ปราศจากเสียงผู้คนจอแจ ปราศจากกิจกรรมที่วุ่นวาย มีเพียงแสงไฟของเรือหาปลาที่กระพริบอยู่ลิบๆ ณ ริมขอบฟ้า จุดต่อของผืนน้ำอันกว้างใหญ่และผืนฟ้าที่ไม่สิ้นสุด และกระพริบแสงเล็กๆของดวงดาวที่พร่างพราวอยู่เต็มท้องฟ้า ทุกๆสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจของทุกคนให้รู้สึกสงบลงได้เป็นอย่างดี และนี่คือเหตุผลที่คนหลายๆคนชอบออกมาเดินเล่นเงียบๆที่ชายหาดยามกลางคืน รวมถึงผมและคนข้างๆนี่ก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นด้วยเช่นกัน

“ไปเดินเล่นกันมั๊ย” ผมถามขึ้น พร้อมๆลุกขึ้นยืนทันทีโดยไม่รอคำตอบ

ไอ้เมฆเงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วส่งยิ้มให้ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือออกมาให้ผมช่วยดึงตัวมันขึ้น ผมดึงตัวมันขึ้นมาแล้วก็ใช้มือปัดทรายที่ติดอยู่ที่ก้นให้มันด้วย ไอ้เมฆยิ้มกว้างแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

“ช่างกล้านะ ถ้าคนอื่นๆเห็นมันจะว่ายังไงกันวะเนี่ย”

“ก็ว่าไปสิ ไม่ดีรึไง เราจะได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปซะเลย” ผมยิ้มที่มุมปาก

“นี่มันงานเลี้ยงฉลองที่เรากลับมานะครับ ไม่ใช่งานฉลองเปิดตัวคู่รักสะท้านโลก”

“ก็ช่างมันสิ” ผมยักไหล่ “ไหนๆก็ฉลองแล้ว ก็ฉลองควบกันไปเลยทีเดียวไง”

เมื่อสี่ปีที่แล้ว ผมเป็นคนแรกที่ต้องบอกลาเพื่อนๆทุกคนและย้ายตามพ่อกับแม่ไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ และอีกหนึ่งปีถัดมา เมฆก็เป็นคนถัดมาที่บินมาเรียนต่อที่เดียวกับผม เราสองคนเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนรัก เป็นเพื่อนแท้ เป็นเพื่อนตาย และต่อมาเราก็เพิ่มสถานะของการเป็นคนรัก เป็นชีวิต เป็นลมหายใจ และเป็นจิตวิญญาณของกันและกันเพิ่มขึ้นมาด้วย กว่าสามปีตลอดเวลาในชั้นมัธยมปลาย เราสองคนต่างก็มีกำแพงบางๆกั้นระหว่างความเป็นเพื่อนกับความเป็นคนรักเอาไว้อยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อครั้งหนึ่งที่เราต้องสูญเสียและจากลากันและกันไปแล้ว กำแพงบางๆนั้นก็พังทลายลง เราสองคนต่างเดินตรงเข้ามาหากัน เปิดหัวใจที่เคยถูกลงกลอนเอาไว้แล้วคุยกัน เราสองคนจับมือกัน เดินเคียงคู่กัน และฟันฝ่าอุปสรรคหลายๆสิ่งที่เราจำต้องเผชิญร่วมกันมา จนมาถึงตอนนี้ ณ เวลานี้ เมื่อเราทั้งคู่ต่างก็เรียนจบและสามารถที่จะออกเดินไปสู่โลกกว้างกันตามลำพังได้แล้ว เราจึงตัดสินใจที่จะกลับมาสู่บ้านเกิดเมืองนอนของพวกเราอีกครั้ง และคราวนี้เราก็กลับมาพร้อมกับความรู้สึกและความสัมพันธ์ครั้งใหม่ที่ต่างไปจากเมื่อสี่ปีก่อนตอนที่เราต้องขึ้นเครื่องจากผืนดินแห่งนี้ไปอย่างสิ้นเชิง

“ซันว่าพรุ่งนี้จะมีใครมามั่งอ่ะคับ” เมฆถามขึ้นขณะที่เรากำลังเดินเลียบหาดกันอยู่เงียบๆ

นานๆทีผมสองคนก็จะมีหวานๆกันด้วยเหมือนกันนะ ตอนแรกมันก็เริ่มมาจากการพูดหยอกเล่นกันสนุกๆเท่านั้น แต่พอนานๆไป เราก็เริ่มจะติดปากกันมากขึ้นเรื่อยๆจนเราต่างก็เริ่มจะชินกับมันมากขึ้นแล้ว ถึงบางทีมันจะยังคงฟังดูจั๊กจี้หูอยู่บ้างก็ตามที

“ไม่รู้สิ ก็คงหลายคนแหละมั๊ง เห็นไอ้ป๋อมกับไอ้กอล์ฟมันบอกมันเตรียมการไว้ตั้งนานแล้วนี่นะ” ผมยักไหล่

“แล้วคุณซันคิดว่าเพื่อนๆเราจะเป็นยังไงกันมั่งวะ มีคนแต่งงานมีลูกมีเมียมีผัวกันไปมั่งรึยังไม่รู้”

“ไม่รู้สิ คงยังหรอกมั๊ง เพิ่งจะแค่สี่ปีเองนะ ส่วนมากก็คงเพิ่งจะเรียนจบนั่นแหละ บางคนคงยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ ซึ่งก็นับว่าคุณเมฆเก่งและโชคดีนะคับเนี่ย ที่คณะของคุณเมฆมันเรียนแค่สามปี ส่วนของคุณซันเรียนสี่ปี คุณเมฆเริ่มเรียนช้ากว่าคุณซันปีนึง เราก็เลยจบพร้อมๆกันได้พอดีแบบนี้น่ะ ไม่งั้นไอ้คุณซันคงต้องนั่งเฉารอคุณเมฆที่อังกฤษไปอีกหนึ่งปีแน่ๆเลยนะคับ” พอผมพูดจบ ไอ้คุณเมฆตัวดีก็หัวเราะคิกคักๆทันที จนแม้ผมแต่ผมเองก็ยังอดรู้สึกเขินตัวเองไปด้วยไม่ได้

“ก็คงงั้นมั๊ง แต่กูก็รู้สึกไม่ดีค่อยนะ ที่ทิ้งแม่กุ้งกับพ่อเล็กมาแบบนี้น่ะ กูไปรบกวนบ้านพวกท่าน ไปอยู่ที่นั่นมาตั้งสามปี แต่พอเรียนจบปุ๊บก็กลับไทยปั๊บเลยแบบนี้มันจะดีเหรอวะ”

“นี่มึงยังจะมาคิดมากอะไรอีก จนกลับมาได้สามวันแล้ว แถมเราไม่ได้จบปุ๊บกลับปั๊บอย่างที่มึงพูดสักหน่อย แล้วก็ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อกับแม่ของกูหรอกน่า ยังไงๆสักวันหนึ่งมันก็ต้องเป็นแบบนี้อยู่แล้วล่ะ กูเองก็ไม่คิดจะใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นไปตลอดอยู่แล้ว แถมที่นี่ก็ยังมีพ่อมึงกับไคล์อยู่อีกด้วย มึงน่ะนะ ชอบเป็นห่วงชอบคิดมากไม่เข้าเรื่องอยู่เรื่อย”

“เออๆ กูขอโทษ” ไอ้เมฆพึมพำออกมาแล้วถอนหายใจเบาๆ

เมื่อเห็นดังนั้นผมก็รู้สึกผิดขึ้นมาอีกครั้งทันทีที่เผลอใช้น้ำเสียงเหมือนกับตำหนิมันเข้าอีกแล้ว ผมถอนหายใจออกยาวๆช้าๆให้กับตัวเอง แล้วเอื้อมมือไปคว้ามือของมันมากุมเอาไว้

“ซันขอโทษ ซันไม่ได้ตั้งใจจะว่าอะไรเมฆ เมฆก็รู้นี่”

“อืมมม เมฆรู้ เมฆไม่ได้คิดมากเรื่องนั้นหรอก แต่ก็....... ไม่รู้สิ สงสัยมันยังไม่ชินเวลา ไม่ชินสถานที่อะไรแบบนี้มั๊ง เมฆเลยคิดมาก คิดทั้งเรื่องครอบครัวที่นั่น คิดถึงพีที่ต้องอยู่คนเดียว คิดถึงพ่อเอก คิดถึงเรื่องอนาคตของเรา....... ไม่รู้ว่ะ แม่งคิดมากเรื่อยเปื่อยเลย”

“พีน่ะ มันอยู่คนเดียวแค่ปีเดียวเอง เดี๋ยวปีหน้ามันเรียนจบมันก็บินกลับมาแล้ว ไม่ต้องกังวลหรอก ซันบอกแล้วไง ซันอยู่กับเมฆตรงนี้แล้ว เมฆไม่ได้อยู่คนเดียวและจำเป็นต้องตัดสินใจอะไรคนเดียวอีกแล้วนะ.......” ผมเลื่อนมือขึ้นมาโอบบ่ามัน แล้วดึงตัวมันให้เข้ามาชิดกับผม

“เมฆรู้....... เมฆก็แค่........” ไอ้เมฆแหงนหน้าขึ้นไปมองบนฟ้า “เมฆก็แค่ไม่ชอบการจากลาล่ะมั๊ง”

“อืม ซันเข้าใจ ซันรู้นิสัยเมฆดี”

“แต่นี่ก็เป็นการเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่งของชีวิตของเราสองคนล่ะนะ”

“ใช่ เอ๊า มึงเองก็รู้อยู่แล้วนี่ แล้วยังจะคิดมากอีกทำไมวะ” พอกันทีกับอารมณ์หวานๆ

“อืม รู้อยู่ตลอดแหละ เพียงแต่บางทีกูก็รู้สึกกลัวนิดๆเท่านั้นเอง กูแค่ไม่ค่อยชอบการเปลี่ยนแปลงน่ะ”

ถ้าเรื่องนั้นล่ะก็ผมรู้ดีเลยทีเดียว ถ้ามองเผินๆแล้ว คู่ของเราสองคนนั้นผมจะดูเป็นคนที่เข้มแข็งกว่า ดูเป็นผู้นำและดูเป็นคนที่ไม่หวาดกลัวกับเรื่องต่างๆง่ายๆมากกว่า ส่วนเมฆจะเป็นคนที่ดูเรียบร้อยและเป็นคนที่หวั่นไหวง่าย แต่จริงๆแล้วเราสองคนนั้นแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย หรือถ้าพูดให้ชัดๆในแบบที่ผมไม่ค่อยจะอยากยอมรับนักล่ะก็ นั่นก็คือ ในความสัมพันธ์ของเราสองคนนี้ เมฆต่างหากที่เป็นคนเข้มแข็งและแข็งแกร่งกว่าผมเยอะ ถึงภายนอกมันจะดูเปราะบาง แต่ภายในนั้น มันต่างหากที่เป็นผู้นำและคอยชี้ทิศทางในความสัมพันธ์ของเราสองคนมาตลอด หลายๆครั้งที่ถ้าไม่มีมัน ผมก็คงจะหลงทางไปแล้ว ส่วนความแข็งแรงของผมนั้นจริงๆแล้วมันก็เป็นแค่เปลือกนอกเท่านั้น ถึงภายในผมจะไม่ได้อ่อนแอ แต่ยังไงๆไอ้เมฆก็ยังคงเข้มแข็งกว่าผมอยู่ดี เพียงแต่ว่าหลายๆครั้งผมจะต้องเป็นฝ่ายช่วยกระตุ้นและดึงส่วนนั้นของมันออกมาบ้างเท่านั้นเอง

และเพราะเหตุนี้เอง ที่ทำให้ไอ้เมฆคนนี้เป็นคนที่มีคนรักคนชอบมากมายเหลือเกิน เพราะความเป็นคนซับซ้อนแต่ก็เปิดเผย เป็นคนอบอุ่นแต่ก็เข้มแข็ง และความที่มันเป็นคนที่ดูเปราะบางแต่จริงๆแล้วก็พึ่งพาได้มากๆแบบนี้ และยิ่งบวกกับการที่มันไม่เคยรู้ตัวเลยว่ามันนั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นชม และเป็นต้นแบบของคนอื่นๆมากขนาดไหนนี่แหละ ที่ทำให้มันยิ่งน่ารักและน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้นไปอีก

มันนั้นก็แข็งแกร่งและมั่นคงดั่ง ศิลา ตามชื่อจริงของมัน แต่ในขณะเดียวกันก็อ่อนโยน และหวั่นไหวง่าย ตามชื่อเล่นที่ใครๆก็เรียกมันว่า เมฆ..........

“หนาวมั๊ย” ผมถามพลางดึงตัวของมันเข้ามาให้เบียดชิดกับผมมากขึ้น

“ไม่อ่ะ เฉยๆ ว่าแต่แถวนี้นี่เงียบดีเนอะ”

ผมพยักหน้าเห็นด้วย

เราสองคนกำลังเดินเลียบชายหาดไกลออกจากบริเวณหาดส่วนตัวไปมากขึ้นเรื่อยๆ เราเพิ่งกลับมาถึงที่ประเทศไทยเมื่อสามวันก่อนนี่เอง และยังไม่ทัน และไม่มีทาง ที่เราจะบอกปัดหรือปฏิเสธได้ เราทั้งคู่ก็ถูกเชิญให้มาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของศิลากับฟ้าครามที่ชายหาดแห่งนี้ซะแล้ว ที่นี่คือชายหาดส่วนตัวที่เป็นพื้นที่ของหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง แต่ผมก็ไม่แน่ใจนักว่ามันเรียกว่าหมู่บ้านแน่หรือเปล่า โดยหัวเรี่ยวหัวแรงของงานครั้งนี้นั้นก็คือไอ้วิท เพื่อนของพวกเราสองคนนี่เอง ส่วนหมู่บ้านแห่งนี้ ที่จริงจะเรียกว่าเป็นรีสอร์ทก็คงไม่ผิดนัก เพราะบ้านบางหลังนั้นก็ถูกซื้อไว้เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล แต่อีกหลายหลังนั้นเขาก็เปิดให้เช่าเป็นคืนหรือเป็นเดือนก็แล้วแต่อีกมากมาย ซึ่งก่อนที่เราจะมาที่นี่ ไอ้วิทก็เป็นคนจองบ้านไว้อีกหลังหนึ่งเป็นเวลาสามวันสองคืนสำหรับเราสองคนเอาไว้ก่อนแล้ว และวันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่เพื่อนๆของเราจะมารวมตัวกันที่บ้านของมัน เพื่อเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของพวกเรา

“ไม่รู้คนจะมากี่คนว่ะ ไอ้เหี้ยวิทก็ไม่เห็นบอกอะไรกูเลย” ผมพูดขึ้น

“ก็นั่นน่ะสิ กูเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่กูว่าน่าจะเยอะนะ เพราะบางคนน่าจะพาแฟนๆของพวกเค้ามากันด้วย”

“อืมมม ตกลงมึงไม่สนใจเรื่องเปิดตัวเราสองคนจริงๆเหรอ” ผมหัวเราะเบาๆ

“ไม่ดีกว่ามั๊ง แค่พวกไอ้วิทรู้สี่ห้าคนนั่นก็พอแล้ว เอาไว้อีกหน่อยเหอะ กูไม่อยากทำคนเค้าตกใจกันทั้งๆที่เพิ่งได้เจอหน้าพวกเราอีกครั้งกันหรอกนะ และที่สำคัญ กูขี้เกียจตอบคำถามด้วยว่ะ”

“กูรู้ กูก็แค่พูดเล่นน่า” ผมพยักหน้าเบาๆ

ถึงปกติผมจะไม่แคร์กับสายตาและความคิดของคนอื่นๆเท่าใดนัก และผมก็รู้ว่าไอ้เมฆเองก็ไม่แคร์ด้วยเหมือนกัน แต่อย่างน้อยๆผมก็คิดว่าตอนนี้มันพูดถูก สักวันหนึ่งคนอื่นๆก็คงรู้เรื่องของพวกเรากันแน่ๆอยู่แล้ว แต่อย่างน้อยๆก็ไม่จำเป็นต้องเป็นพรุ่งนี้ และที่สำคัญ เราเคยคุยกันเอาไว้แล้วว่าถ้าใครจะรู้ก็ให้เขารู้ไป แต่ไม่ใช่ว่าเราจำเป็นต้องเปิดตัวป่าวประกาศเพื่อให้คนทั้งโลกมาสนใจในเรื่องส่วนตัวของเรา

เราสองคนเดินทอดน่องรับลมเย็นๆกันต่อไปอีกพักหนึ่งจึงตัดสินใจหันหลังกลับเพราะเราเริ่มเดินออกมาไกลมากแล้ว และมันก็มืดมากด้วย ผมเดินโอบบ่าของไอ้เมฆไปเรื่อยๆในขณะที่มันก็กำลังโอบเอวของผมอยู่เช่นกัน เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้วและไม่มีคนอีกด้วย เราจึงสามารถที่จะโอบกอดกันได้อย่างที่เราอยากทำ แต่จู่ๆทันใดนั้นเราสองคนก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องเบาๆสั้นๆดังขึ้นมาจากความมืดเบื้องหน้า ผมกับไอ้เมฆสะดุ้งและผละออกจากกันทันที เราสองคนมองหน้ากันและกัน ไม่แน่ใจว่าเสียงๆนั้นมันคืออะไร และก่อนที่เราจะตัดสินใจทำหรือพูดอะไรออกมานั้น เสียงของผู้หญิงคนเดิมก็ร้องดังขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ยาวกว่าและดังขึ้นมากกว่าเดิม

ผมกับไอ้เมฆออกวิ่งไปเบื้องหน้าเกือบจะพร้อมๆกัน ไม่ถึงหนึ่งนาทีถัดมา เราสองคนก็เห็นเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าชัดเจนมากขึ้น

“เฮ้ย หยุดนะ!” ผมตะโกนออกไปก่อนที่จะวิ่งไปถึงกลุ่มคนตรงหน้าราวๆยี่สิบเมตร

เบื้องหน้าของพวกเรามีผู้ชายสามคนกำลังฉุดและดึงผู้หญิงสาวคนหนึ่งอยู่ ไอ้ผู้ชายสามคนนั้นก็ดูท่าทางจะเป็นคนในพื้นที่นี่แหละ แต่ผู้หญิงคนที่กำลังนั่งอยู่กับพื้นและพยายามดึงแขนของตัวเองออกมาจากมือของผู้ชายคนที่ตัวใหญ่ที่สุดนั่นดูเหมือนจะเป็นนักท่องเที่ยวที่บังเอิญมาอยู่ผิดสถานที่และผิดเวลาไปนิดหน่อยจริงๆ

“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย!!” ผู้หญิงคนนั้นร้องขอความช่วยเหลือเมื่อเห็นเราสองคนวิ่งตรงเข้าไป

ผมกับเมฆวิ่งเข้าไปใกล้ชายสามคนนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ผมรีบประเมินสถานการณ์ทั้งหมดอย่างรวดเร็วตามที่ไอ้เมฆเคยสอนผมเอาไว้ ผมกวาดตามองคาดคะเนอายุของพวกนั้น น่าจะราวๆยี่สิบปลายๆหรือสามสิบกว่าๆ ดูร่างกายท่าทางจะแข็งแรงดี ผมมองจดจำหน้าตา สังเกตกล้ามเนื้อ และส่วนสูงของทุกคนคร่าวๆ ดูสภาพภายนอกว่าพวกมันกำลังเมาเหล้าหรือเมายาอยู่รึเปล่า พยายามคาดคะเนความอันตรายของสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นต่อไปภายในไม่กี่นาทีนี้ ผมพยายามจะทำและวิเคราะห์ทุกอย่างให้ได้แบบที่ไอ้เมฆเคยสอน แต่พูดจริงๆแล้วผมก็ไม่ค่อยจะประสบความสำเร็จเท่าไหร่นักหรอก เพราะผมรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรง เลือดที่สูบฉีด และความโกรธพร้อมๆกับอะดรีนาลีนที่กำลังพลุ่งพล่านออกมามากขึ้นเรื่อยๆ

กลับกันกับไอ้เมฆที่ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าในหัวของมันนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ผมรู้แน่ๆว่าตอนนี้มันมองเห็นวิธีจัดการกับปัญหาทุกอย่างตรงหน้าไว้เรียบร้อยแล้ว มันดูนิ่งและสงบมาก ไอ้เมฆเดินตรงเข้าไปหาชายกลุ่มนั้นช้าๆ ในขณะที่อีกสองคนเดินออกมาขวางระหว่างผู้หญิงที่กำลังถูกจับข้อมือกับพวกเราสองคนเอาไว้

“เฮ้ย แล้วมึงมาเสือกอะไรวะ” คนแรกที่อยู่หน้าสุดพูดขึ้นใส่หน้าของไอ้เมฆ

“มึงอยากเจ็บตัวรึไงวะ หรือว่าอยากจะได้นังนี่เหมือนๆกัน ถ้างั้นก็ตามคิวสิเว้ย” อีกคนพูดขึ้นพร้อมๆกับเดินเข้ามาสมทบเพื่อนของมัน และดูจากท่าทางการพูดแล้วก็แปลว่าพวกมันเมาอยู่แน่นอน

ผมก้าวเดินออกไปหยุดอยู่ข้างๆไอ้เมฆ แต่มันก็ยื่นมือออกมาขวางผมเอาไว้

“มึงไปดูผู้หญิงซิ ซัน” ไอ้เมฆบอกผมด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย และสายตาของมันก็ไม่ได้ละไปจากสองคนตรงหน้านี่เลย

ผมพยักหน้าช้าๆ เพราะรู้แล้วว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป การได้อยู่กับมันมาสามปีทำให้ผมเรียนรู้ตัวของมัน และเรียนรู้การรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันแบบนี้ได้เยอะขึ้นมาก อย่างน้อยๆผมก็รู้จักจะใจเย็นและวางใจในตัวของไอ้เมฆได้มากขึ้นล่ะนะ

“เฮ้ย มึงจะไปไหนวะ” ผู้ชายคนแรกเดินเข้ามาขวางผมเอาไว้ ผมรู้สึกถึงกลิ่นแอลกอฮอล์โชยออกมาจากตัวของมันชัดเจนทีเดียว

“อย่าน่า มึงไม่อยากจะเจ็บตัวหรือมีปัญหาหรอก ใช่มั๊ย”

“โอโห ปากดีนะมึง มึงคิดว่าจะทำอะไรพวกกูได้รึไง” มันเขยิบเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นอีกเล็กน้อย

“ไม่ใช่กูหรอกที่จะทำ.........” ผมตอบพร้อมกับขยับตัวจะเดินเบี่ยงออกไป

ไอ้เมฆเดินเข้ามาขวางระหว่างผมกับไอ้หมอนั่นเอาไว้เพื่อให้ผมสามารถเดินผ่านไปได้ จากนั้นก็กระทุ้งเข่าเข้าที่ท้องของมันอย่างแรง แล้วจับแขนมันบิดพลิกกลับไขว้ไปทางด้านหลังแล้วกดมันให้นั่งลงบนพื้น ทำให้มันต้องร้องออกมาเสียงดังเพราะความเจ็บปวด

“ไอ้เหี้ย!! มึงหักแขนกู!!”

“ยังหรอก ถ้ามึงไม่ดิ้นไปมากกว่านี้” ไอ้เมฆพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

ผมวิ่งเหยาะๆผ่านเหตุการณ์เล็กๆตรงหน้านั้นไปเพื่อตรงเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้น ผู้ชายผมยาวคนที่ตัวใหญ่ที่สุดที่เคยจับแขนของเธอเอาไว้ก็ปล่อยมือออกพร้อมๆกับวิ่งตรงเข้าไปหาไอ้เมฆเพื่อช่วยเพื่อนของมัน ดังนั้นตอนนี้ทางด้านหลังของผมนั้นจึงกลายเป็นสามต่อหนึ่งไปโดยปริยายแล้ว ถึงจะรู้สึกหวั่นใจอยู่บ้าง แต่ผมก็รู้ดีกว่าใครในที่นั้นว่าสุดท้ายแล้วคนที่จะต้องเจ็บตัวคือใคร และสุดท้ายเหตุการณ์มันจะจบลงเช่นไร

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ” ผมรีบถามผู้หญิงคนนั้นแล้วพยุงเธอให้ยืนขึ้น

“ไม่ ไม่เป็นไรค่ะ” เธอตอบออกมาด้วยเสียงอันสั่นเครือเพราะความตกใจ จากนั้นก็ร้องอุทานออกมาเบาๆพร้อมกับชี้ไปทางด้านหลังของผมด้วยสายตาเบิกโพลง

ผมรีบหันหลังกลับไปดูไอ้เมฆทันทีด้วยความตกใจและเป็นห่วงทันที

ไอ้เมฆเพิ่งจะกันหมัดของไอ้ผมยาวเอาไว้ได้พร้อมๆกับต่อยเข้าที่ท้องของมัน จากนั้นก็จับแขนของไอ้หมอนั่นที่ถูกบล็อกเอาไว้ได้เมื่อครู่บิดจนผิดรูป ทำให้มันต้องร้องออกมาเสียงดัง ส่วนผู้ชายสองคนแรกนั้นก็กำลังนอนกองและคืบคลานอยู่บนพื้นทรายท่าทางเจ็บปวด ผมรู้ว่าเวลาไอ้เมฆมันทำอะไร มันไม่เคยตอดเล็กตอดน้อยหรอก แต่มันมักจะเคลื่อนไหวน้อยๆ แต่กลับเล่นงานไปยังจุดที่ทำให้เจ็บหนักหรือเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวทั้งนั้น โดยเฉพาะที่บริเวณข้อต่อ ทั้งสองคนทำท่าพยายามกำลังจะลุกขึ้น แต่ผมเห็นคนหนึ่งในนั้นที่กำลังจะลุกขึ้นยืนและมีท่าทางจะพุ่งเข้าไปทำร้ายไอ้เมฆ ผมจึงรีบวิ่งเข้าไปเตะเข้าที่กลางลำตัวของมัน แล้วกดมันลงไว้กับพื้นทันที

“ให้ช่วยมั๊ย เมฆ” ผมหันไปถามแฟนของผมทั้งๆที่ในใจลึกๆก็รู้คำตอบอยู่แล้ว

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องหรอก” เมฆตอบกลับมาพร้อมกับบิดแขนของผู้ชายคนนั้นอย่างแรงจนผมสาบานได้ว่าผมได้ยินเสียงดังกร๊อบ จากนั้นมันก็เตะลงไปที่ข้อพับขา ทำให้ไอ้หมอนั่นล้มลงไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้น ขณะเดียวกับที่อีกคนหนึ่งกระโดดลุกขึ้นยืนแล้วพุ่งเข้าไปหาไอ้เมฆ แต่เมฆก็ยังหลบได้และเตะเข้าไปที่กลางตัวของมันอย่างแรงพร้อมๆกับคว้าคอเสื้อแล้วจับทุ่มข้ามสะโพกลงไปหลังกระแทกบนพื้น


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page

ผมลุกขึ้นยืนและปล่อยให้คนที่ผมล็อคไว้อยู่เป็นอิสระ ทั้งสามคนรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนแล้วก็รีบวิ่งหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงโอดครวญและเสียงสบถด่าอีกหลายคำ

“เมื่อกี๊มึงหักแขนมันไปแล้วเหรอ” ผมเดินตรงเข้าไปหาไอ้เมฆแล้วถามออกไปด้วยความรู้สึกตกใจเล็กน้อย

“แค่ไหล่หลุดน่ะ ไม่ได้หักหรอก”

“แล้วมึงเจ็บรึเปล่า โดนมันทำอะไรไปมั๊ย แม่งเอ๊ย กูไม่น่าปล่อยให้มึงโดนสามรุมหนึ่งเลย”

“ไม่เป็นไร แค่โดนต่อยชายโครงไปทีนึง ไม่ได้เจ็บอะไรมาก” ไอ้เมฆตอบแล้วก็เอามือลูบบริเวณที่โดนต่อยเบาๆ “และมันก็ชดใช้ด้วยแขนของมันไปแล้วด้วย เสียดายอย่างเดียวที่ไม่ใช่ข้างที่มันต่อยกู” ไอ้เมฆพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราวกับมันเพิ่งจะตอบว่าเมื่อเช้ากินอะไรเป็นอาหารเช้ายังไงอย่างนั้น

“เดี๋ยวกลับบ้านไปมึงต้องให้กูดูด้วยนะว่าเป็นยังไงบ้างน่ะ เชี่ยเอ๊ย ไอ้พวกระยำ!” ผมสบถออกมาด้วยความโกรธ

“กูบอกว่ากูไม่เป็นไรไง........ แต่ว่าตอนนี้น่ะ........” เมฆมองเลยข้ามไหล่ผมไปยังผู้หญิงคนนั้น

เราสองคนเดินตรงเข้าไปหาผู้เธอที่กำลังมองพวกเราด้วยสายตาและท่าทางตื่นตระหนก ดูท่าทางเธอจะยังคงตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้าไม่หาย

“ปลอดภัยดีใช่มั๊ยครับ” ไอ้เมฆถาม

“ค่ะ...... ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” เธอตอบออกมา

“พวกมันทำอะไรคุณรึเปล่าครับ มีอะไรถูกขโมยไปรึเปล่า แล้วอยากไปโรงพักหรือโรงพยาบาลมั๊ย”

“ไม่ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ” เธอตอบพร้อมกับปัดทรายตามร่างกายออกเบาๆ

ผมสังเกตหน้าตาของเธอแล้วก็ดูท่าทางจะอายุมากกว่าพวกเรานิดหน่อย น่าจะราวๆยี่สิบห้าหรือยี่สิบหกได้ และเมื่อดูจากการแต่งตัวที่ค่อนข้างจะดูดีแล้ว ก็ยิ่งทำให้มั่นใจได้ว่าเธอคงเป็นแขกที่มาท่องเที่ยวที่นี่ด้วยเช่นกันแน่นอน

“แล้วนี่พักอยู่ที่ไหนเหรอครับ มาคนเดียวรึเปล่า” ไอ้เมฆยังคงยิงคำถามต่อ

“พักอยู่ที่ตรงนี้เองค่ะ” เธอชี้ไปทางทิศเดียวกับบ้านพักของพวกเรา “เมื่อกี๊ตัดสินใจออกมาเดินเล่น แต่พอเดินไกลออกมาจากหาดหน้าหมู่บ้านได้หน่อย จู่ๆผู้ชายสามคนนั้นก็เริ่มเดินตามมา แล้วก็..........” เธอไม่สามารถพูดจนจบประโยคได้ และผมก็สัมผัสได้ถึงความกลัวในน้ำเสียงและสีหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวแล้วนะครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพวกเราสองคนเดินไปส่งก็แล้วกันนะครับ เพราะเราเองก็พักอยู่ที่นั่นเหมือนกัน” ผมพูดขึ้นบ้าง

“นั่นสินะครับ แต่ยังไงพวกนั้นคงไม่กล้ากลับมาแล้วล่ะ ไม่ต้องกังวลนะครับ อย่างน้อยๆเพื่อนมันคนนึงก็คงต้องไปหาหมอสักหน่อยแล้วล่ะ” ไอ้เมฆพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมรอยยิ้ม

จริงๆแล้วถ้าผมไม่ได้เคยชินกับการที่เราต้องบังเอิญเข้ามาพัวพันกับเหตุการณ์อันตรายและไม่ได้คาดฝันแบบนี้ล่ะก็ ผมคงจะตกใจและแปลกใจทั้งกับตัวเหตุการณ์และหลังจากเรื่องราวทุกอย่างมันจบลงแบบนี้ไปแล้วก็ได้ แต่ว่านับตั้งแต่ที่ผมกับเมฆคบกันมาที่อังกฤษ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราบังเอิญต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอันตราย และไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเห็นไอ้เมฆเป็นแบบนี้ ครั้งแรกที่เราสองคนเผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้ด้วยกันนั้นเป็นตอนที่เราไปเที่ยวกันที่แกรนด์แคนยอน แล้วโดนฝรั่งตัวใหญ่สามคนเข้ามาหาเรื่องด้วย ซึ่งไอ้เมฆก็เป็นคนจัดการเจ้าพวกนั้นทุกคนไปซะอยู่หมัด แต่เรื่องครั้งนี้คู่กรณีของพวกเราเป็นคนไทยที่ตัวเล็กกว่าฝรั่งที่เราเคยชินกันอยู่เยอะ ดังนั้นผมจึงไม่แปลกใจเลยที่สุดท้ายแล้วตอนจบมันก็ออกมาเป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้

ถึงแม้ผมจะรู้สึกไม่ดี หงุดหงิด และผิดหวังในตัวเองที่ไอ้เมฆต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ก็เถอะ

เราสามคนเดินกับไปยังที่พักของพวกเรากันเงียบๆ สำหรับผู้หญิงคนนี้นั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ความคิดของไอ้เมฆมันผมก็ไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าผมรู้สึกโกรธและโมโหตัวเองมากที่ปล่อยให้เมฆมันต้องได้รับบาดเจ็บ ถึงเราจะเคยเจอเหตุการณ์อันตรายคล้ายๆกันนี้มาบ้างแล้วสามสี่ครั้ง และทุกๆครั้งเราทั้งคู่ต่างก็ปลอดภัยดีไม่เคยได้รับบาดเจ็บอะไรร้ายแรงเลยสักหน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อดเป็นห่วงมันไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ โดยเฉพาะที่ไอ้เมฆมันชอบเห็นเรื่องแบบนี้เป็นเหมือนเรื่องสนุกด้วยแล้ว  ถ้าเกิดว่าอีกฝ่ายมันมีมีดหรือมีปืนล่ะ ถ้าไอ้หมัดเมื่อกี๊มันไม่ใช่แค่หมัด แต่เป็นคมมีด ท่อนเหล็ก หรือลูกกระสุนล่ะ ผมจะทำยังไงดี

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ที่เข้ามาช่วยแอมป์ไว้”

ผมกับเมฆมองหน้ากันครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะเป็นฝ่ายเริ่มแนะนำตัว

“ไม่เป็นไรหรอกครับ เอ่ออ ผมเมฆครับ ส่วนนี่ซัน เราเองก็มาเที่ยวที่นี่เหมือนกัน ว่าแต่...... แอมป์...... พี่แอมป์......”

“แอมป์อายุยี่สิบห้าค่ะ ถ้าเมฆกับซันอายุน้อยกว่า จะเรียกว่าพี่ก็ได้”

“ครับ พี่แอมป์แน่ใจนะครับ ว่าไม่ได้รับอันตราย ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร”

“ค่ะ ไม่เป็นอะไรค่ะ ว่าแต่เมฆนั่นแหละที่โดนต่อยเข้าไปด้วยไม่ใช่เหรอคะ” พี่แอมป์ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

“ไม่หนักเท่าไหร่ครับ แค่นี้สบายมาก” ไอ้เมฆตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มละลายหัวใจคนอื่นอีกแล้ว นี่แหละคือความมีเสน่ห์ของมันที่ประทับใจใครไปแล้วหลายๆคน และเสน่ห์ตรงนี้ของมันก็ยังไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยด้วยแม้แต่นิดเดียว ผมชักจะกังวลแล้วสิว่ามันจะเผลอทำให้สาวน้อยผู้เคราะห์ร้ายคนนี้ต้องหวั่นไหวไปกับรอยยิ้มและความอ่อนโยนของมันโดยไม่ได้ตั้งใจเอาอีกรึเปล่า

“ว่าแต่บ้านหลังไหนเหรอครับ ที่เป็นบ้านของพี่แอมป์” ผมถามขึ้นเมื่อเราเดินเข้ามาถึงตัวหมู่บ้านแล้ว

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวพี่เดินกลับไปเองก็ได้ แค่นี้เอง”

“ก็เพราะแค่นี้เองไงครับ พวกผมถึงเดินไปส่งให้ได้ ถึงมันจะไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วก็เถอะ แต่ว่ามันก็ปลอดภัยกว่านะครับ”

“อยู่คนเดียวรึเปล่าครับเนี่ย” ผมถาม

“เอ่ออ มากับน้องชายน่ะค่ะ แต่ป่านนี้ไม่รู้หลับไปแล้วรึยัง” เธอตอบแล้วเดินนำทางพวกเราไปยังบ้านพักของเธอ ผมเห็นแสงไฟยังคงส่องสว่างอยู่ในห้องนั่งเล่น และเมื่อเราทั้งสามคนเดินเข้าไปใกล้หน้าประตูบ้าน เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อายุน่าจะราวๆเดียวกับพวกผมหรือเด็กกว่านิดหน่อยก็เลื่อนประตูกระจกออก

“ไปไหนมาเนี่ย พี่ ผมเกือบจะนอนไปแล้วนะเนี่ย........ อ้าว” เขาชะงักไปเมื่อเห็นว่าพี่สาวของเขาไม่ได้กลับมาแค่คนเดียว

“อาร์ม พี่เกือบแย่ไปแล้วนะเนี่ย ดีนะที่ได้น้องสองคนนี้เค้ามาช่วยเอาไว้” แอมป์โผเข้าไปกอดน้องชายของตัวเองทันที จากนั้นก็หันมาหาพวกเราสองคนอีกครั้ง “เข้าไปนั่งในบ้านก่อนมั๊ยคะ ไปดื่มน้ำสักหน่อยก่อนก็ได้”

“อืมมม ไม่เป็นไรดีกว่าครับ ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว น้องชายพี่แอมป์ก็ท่าทางจะง่วงมากแล้วด้วย แถมบ้านของพวกเราก็อยู่แค่ตรงนี้เอง ผมว่าพี่ไปพักผ่อนเถอะครับ” ไอ้เมฆตอบหลังจากที่หันมาสบตากับผมเล็กน้อย

“แต่ว่า...... แต่ว่าน้องสองคนอุตส่าห์มาช่วยชีวิตพี่เอาไว้นะคะ อยากตอบแทนอะไรให้จังเลย รู้สึกไม่ดีเลยที่จู่ๆก็ทำให้ต้องเข้ามาเจอเรื่องเจ็บตัวกันแล้วพี่ก็แค่พูดว่าขอบคุณแล้วหายไปเฉยๆแบบนี้” พี่แอมป์มีท่าทางลำบากใจเล็กน้อย ส่วนอาร์มน้องชายของเธอก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำว่า “ช่วยชีวิต” และคำว่า “เจ็บตัว”

“เอางี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยเจอกันใหม่ก็ได้ครับ พวกเรายังไม่รีบกลับกรุงเทพหรอก แถมอยู่ใกล้ๆกันแค่นี้เอง ไม่ได้เรียกว่าหนีไปไหนสักหน่อย พรุ่งนี้เช้าสักเวลาประมาณสิบโมง พวกเราจะมากดกริ่งเรียกเพื่อให้พี่ได้เจอหน้าแล้วค่อยมาคุยกันอีกที แบบนี้ดีมั๊ยครับ” ผมเสนอความคิดออกไป

“นั่นสิครับ ตอนนี้พี่แอมป์ไปพักผ่อนก่อนก็แล้วกันนะครับ เจอเรื่องมามากแล้ว และน้องชายพี่ก็คงจะกังวลใจเต็มแก่แล้ว ยังไงพวกผมสองคนขอตัวก่อนก็แล้วกันนะครับ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะมาหาใหม่ตอนสิบโมงก็แล้วกัน”

“แบบนั้นก็ดีค่ะ งั้นถ้ายังไงก็ขอบคุณจริงๆอีกครั้งนะคะสำหรับคืนนี้ ขอบคุณจริงๆ”

เราทั้งสองคนบอกลาเจ้าของบ้านแล้วเดินออกมาเพื่อกลับไปยังบ้านพักของตัวเอง ตลอดทางที่เราเดินกลับกันจนกระทั่งเดินเข้าไปในบ้านที่มืดสนิทนั้น ผมกับไอ้เมฆก็ไม่ได้พูดจาอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียว จนเมื่อผมเดินเข้าห้องนอนและเริ่มถอดเสื้อผ้าให้เหลือแค่บ็อกเซ่อร์ตัวเดียว กำลังคิดอยู่ว่าจะอาบน้ำอีกรอบหรือจะนอนเลยดี ไอ้เมฆก็เดินตรงเข้ามากอดผมจากทางด้านหลัง

“โกรธเมฆเหรอครับ ที่รัก”

เมื่อได้ยินน้ำเสียงของมันแบบนั้น ผมก็รู้สึกราวกับถูกกระแสไฟอ่อนๆช็อตไปทั่วทั้งตัวเลยทีเดียว

“เปล่า แต่โกรธตัวเอง”

“โกรธทำมาย ก็เมฆบอกแล้วไงว่าเมฆไม่เป็นอะไรสักหน่อย”

“แล้วถ้าไอ้ที่โดนเข้าตรงชายโครงมึงนั่นมันไม่ใช่แค่หมัดแต่เป็นอย่างอื่นล่ะ จะทำยังไง” ผมหันกลับไปเผชิญหน้ากับมัน จากนั้นก็กดลงบริเวณที่มันโดนต่อยแรงๆ ไอ้เมฆถึงกับสะดุ้งทันที “เห็นมั๊ย แล้วบอกไม่เป็นอะไรมาก ไหนเอามาดูหน่อยซิ”

ผมนั่งลงบนขอบเตียงแล้วดึงตัวมันเข้ามายืนอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ดึงกางเกงของมันลง พร้อมกับเลิกชายเสื้อขึ้น ผมค่อยๆไล่นิ้วไปตามสีข้างของมันช้าๆและแผ่วเบา บริเวณที่โดนต่อยนั้นมีรอยช้ำเล็กๆแต่ก็ไม่ได้ดูหนักหนามากนัก ซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกโล่งอกมากขึ้นเยอะ นี่ถ้ามันเกิดเป็นอะไรรุนแรงมากขึ้นล่ะก็ ผมคงไม่มีวันให้อภัยตัวเองแน่ๆ

“ก็บอกแล้วไง ว่าไม่เป็นอะไรหรอก กูหลบทันน่ะ” ไอ้เมฆพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มหลังจากที่มันเห็นสีหน้าคลายกังวลของผมแล้ว และจริงๆผมก็รู้นั่นแหละว่ามันคงไม่เป็นอะไรมาก เพราะนอกจากไอ้เมฆมันจะรู้วิธีต่อสู้แล้ว มันยังรู้วิธีการรับหมัดและการลดความเสียหายจากการถูกทำร้ายลงได้อีกด้วย

“แน่ใจรึไง แล้วตรงอื่นล่ะ มีอีกรึเปล่า” ผมลูบมือขึ้นลงช้าๆไปตามส่วนอื่นๆบนตัวของมัน

“ไม่มีแล้ว กูบอกแล้วไงว่าถ้าเกิดกูเป็นอะไรกูจะบอกมึงตรงๆทุกครั้ง........ แต่ว่า”

“แต่ว่าอะไร”

“แต่ว่าตอนนี้ก็เริ่มจะรู้สึกเป็นขึ้นมานิดๆแล้วว่ะ..........”

“อะไร เจ็บตรงไหนอีก ตกลงนี่โดนไอ้พวกเหี้ยนั่นทำอะไรตรงส่วนอื่นอีกใช่มั๊ย”

“เปล่า แต่เริ่มรู้สึกปวดหนึบๆตรงนี้ขึ้นมาแล้ว........” มันชี้นิ้วลงไปที่เป้ากางเกงในของตัวเองที่ถูกดุนนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด “ขืนลูบแบบนั้นมากๆ ระวังเลือดเหนียวมันจะไหลเอานะครับ คุณซัน”

ผมหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปสบตากับมัน “ไอ้ตัวขี้เงี่ยน”

“ใครกันแน่ ที่ขี้เงี่ยน พูดให้มันดีๆนะครับ ไอ้คุณซัน” สายตาของมันมองลงมายังกางเกงบ็อกเซ่อร์ของผม ทำให้เราสองคนหัวเราะเบาๆออกมาพร้อมๆกัน

“มึงก็รู้นี่ เวลากูเห็นมึงสวมบทโหดแบบนั้นหรือเจอเรื่องตื่นเต้นๆทีไร กูมักจะมีอารมณ์ขึ้นมาทุกทีเลย” ผมตอบพลางใช้มือลูบไล้ไปยังแก้มก้นของมัน

“ทีครั้งแรกล่ะกลัวจนขี้หด”

“แต่ถ้าตอนนี้คุณศิลาไม่หุบปาก แก้ผ้า แล้วกระโดดขึ้นมาบนเตียงกับผม ระวังอะไรบางอย่างมันจะหดไปซะก่อนนะครับ”

“หดแน่ แต่อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่ภายในสิบห้านาทีนี้นะ.......... เอ๊ะ หรือว่าไม่ถึงวะ”

“ปากดีนะมึงงงง” ผมหัวเราะแล้วฉุดมันให้ลงมากลิ้งอยู่บนเตียง เราสองคนปล้ำเล่นกัน หัวเราะเสียงดังกันอยู่อีกสักพัก จากนั้นไอ้เมฆถึงนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“เดี๋ยวๆ กูว่าเบาเสียงหน่อยดีกว่า เดี๋ยวไคล์เขาจะได้ยินเอา”

“ก็เรื่องของมันสิ อยู่ตั้งห้องฝั่งตรงข้ามยังอุตส่าห์ได้ยินอีกก็ช่วยไม่ได้แล้ว แถมอีกอย่าง ไอ้พีแฟนมันก็ได้ยินเรามาตั้งหลายหนแล้ว คราวนี้ถึงตามันได้ยินมั่งก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่” ผมยิ้มกว้าง จากนั้นบนเตียงของเราก็เกิดการต่อสู้รัดฟัดเล็กๆขึ้นเป็นครั้งแรกนับจากที่เรากลับมาถึงประเทศไทย

“อา ครั้งแรกของเราที่ประเทศไทย...........”


ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
มาเป็นกำลังใจให้ครับ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
สงสัยเมฆจะเสน่ห์แรงเกินไปรึเปล่าหว่า  :m28:  :m28:

ออฟไลน์ ~prince™~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1116
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +161/-2


            ในที่สุดก็เอาภาคต่อมาลงแล้ว

            จะติดตามเรื่องนี้ไปเรื่อยๆนะคับ

             ชอบมากเลยคับเรื่องนี้

             แต่ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างศิลากับฟ้าครามหรอคับพี่ต้น

            ทำไมต้องเลิกกัน.....แล้วเลิกกันเพราะอะไร

            ช่วยมาต่อเร็วๆด้วยนะคับอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่



             ปล. หวังว่าภาคนี้คงไม่จบแบบเศร้าหรอกใช่มั้ยคับ           



น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
เอาแค่สั้นๆ นะต้น ขอปัดมดก่อน มดขึ้นเต็มเลย

สองคนเนี่ย น่ารักมากเลย น่ารักจนคนอ่านใจละลายเป็นน้ำแล้ว
น้ำก็กลายเป็นน้ำหวาน

 :m3: :m18:


No_ProMises

  • บุคคลทั่วไป
เก่งๆ   จัดการคนร้ายซะอยุ่ :m4: :m4:

น่าร๊ากกกก



ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
จึ้กพี่ชายครั้งนึง :oo1:

Givesza

  • บุคคลทั่วไป
เข้ามาปัดมดด้วยคน  พี่เมฆเก่ง พี่ซันหื่น เอิ๊กๆ  :m10:     :laugh:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 2


เช้าวันต่อมา ผมตื่นขึ้นมาหลังจากที่ไอ้เมฆมันขยับลุกขึ้นออกจากเตียงไปแล้ว เมื่อผมลืมตาขึ้นมากวาดสายตาไปรอบห้องพร้อมทั้งเงี่ยหูฟังและไม่ได้ยินเสียงใครอยู่ในห้องน้ำ ผมจึงสะบัดตัวออกจากผ้าห่ม เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟัน แล้วเดินออกจากห้องนอนตรงไปยังห้องครัวที่โต๊ะกินข้าว ที่นั่น เมฆกับไคล์กำลังนั่งคุยกันรอผมอยู่แล้ว ผมจึงเดินเข้าไปหาทั้งคู่ทันที

“ตื่นแล้วเหรอครับ” เมฆทักผมหลังจากที่ผมเดินเข้าไปหอมแก้มเขา

“อรุณสวัสดิ์ ซัน เห็นว่าเมื่อคืนเจอเรื่องหนักมานี่” ไคล์ทักผมบ้าง

“อืมม นิดหน่อยน่ะ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่เหมือนเคย เมฆเล่าให้ฟังแล้วเหรอ” ผมนั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆเมฆ

“เอากาแฟมั๊ยครับ จะได้รู้สึกดีขึ้น”

“อืมม สักแก้วก็ดีเหมือนกัน” ผมพยักหน้า จากนั้นไคล์จึงลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะไป แล้วหันหน้าเข้าหาเคาน์เตอร์เพื่อชงกาแฟให้ผม

“แต่ทั้งสองคนนี่ก็ขยันมีปัญหาเหมือนกันนะ ขนาดเพิ่งกลับไทยมาได้แค่สามวันก็เจอเรื่องเข้าซะแล้ว” ไคล์พูดพร้อมกับเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ และส่งแก้วกาแฟของผมมาให้

“เฮ้ย เมื่อคืนนี้เราอยู่ของเรากันดีๆนะ ผู้หญิงคนนั้นต่างหากที่เจอเรื่องน่ะ พวกเราแค่เข้าไปช่วยเอง” ผมยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบช้าๆ “เออ จะว่าไปนี่มันกี่โมงแล้ววะเมฆ”

“เพิ่งจะแปดโมงเอง ยังเหลือเวลาอีกเยอะแยะ”

“เวลาทำอะไรครับ” ไคล์ถาม

“เราสองคนนัดจะไปที่บ้านของพี่แอมป์..... ผู้หญิงคนเมื่อคืนนี้อีกครั้งน่ะ เขาอยากเจอพวกเราอีก พี่สองคนก็เลยนัดเค้าไว้ว่าเดี๋ยวสิบโมงจะไปหา”

“แต่กูก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องสำคัญอะไรเท่าไหร่เลยนะ จริงๆกูก็ไม่ค่อยอยากจะไปอีกเท่าไหร่หรอก ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกนะ แต่แค่ไม่อยากให้เขาเห็นมันเป็นเรื่องใหญ่โตเท่านั้นเอง” ผมพูด

“กูรู้ กูเห็นท่าทางมึงตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่พี่เขาก็คงแค่อยากจะขอบใจเราจริงๆนั่นแหละ ท่าทางเขาจะเป็นคนดีอยู่นะ แถมมึงลองคิดดูสิว่าถ้าเราไม่ไปช่วยเขาเอาไว้ ตอนนี้เขาจะเป็นยังไง แบบนั้นน่ะ สำหรับผู้หญิงบางคนแล้วมันแทบจะไม่ต่างไปจากความตายเลยนะ”

“ก็จริงของมึง” ผมพยักหน้า

“ว่าแต่หลังจากนั้นล่ะครับ ทั้งสองคนจะทำอะไรกันต่อ เพื่อนๆพี่จะมากันกี่โมงล่ะเนี่ย”

“จริงด้วย กูว่ากูจะโทรหาไอ้วิทมันอยู่พอดีเลย รึว่ามึงจะเป็นคนคุย แสบ”

“มึงคุยไปเหอะ กูยังไม่ตื่นดีเลย”

“ถ้างั้นกูไปโทรหามันเลยก็แล้วกันนะ” เมฆพูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในห้องนอนของเราสองคน

เมื่อเมฆลุกไปจึงเหลือแค่ผมกับไคล์นั่งคุยกันอยู่เท่านั้น ไคล์เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมเอง เขาเป็นลูกครึ่งไทย – ฮิสแปนนิคที่มาเรียนต่อมหาวิทยาลัยในสาขาวิศวะอินเตอร์ที่ประเทศไทยนี่ เขามีแฟนเป็นคนไทยอยู่แล้วที่ตอนนี้กำลังเรียนต่ออยู่ที่อังกฤษชื่อว่าพี หรือที่ไคล์เรียกเขาว่า พีท พีเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนเก่าของพวกเราหนึ่งปี เราทั้งสี่คนถูกชักพาให้มาเจอกันด้วยโชคชะตา แต่เราก็สานต่อความสัมพันธ์นั้นด้วยเจตนาของเราเอง ความสัมพันธ์ของท้องฟ้า ก้อนเมฆ สายน้ำ และปฐพี ส่วนไคล์ที่อายุน้อยกว่าพวกเราที่สุดถึงสามปีจึงตัดสินใจว่าเมื่อจบไฮสคูลจากที่อังกฤษแล้ว เขาจะมาเรียนต่อที่ประเทศไทยนี่เพื่อรอแฟนของเขากลับมา เพราะถ้าทำแบบนี้แล้ว เขาก็จะต้องอยู่ห่างกันแค่เพียงปีกว่าๆเท่านั้น และเมื่อพีเรียนจบปีหน้าแล้วกลับมาไทย เขาก็จะได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง โดยในช่วงที่ไคล์มาเรียนต่อนี้เขาก็พักอาศัยออยู่ที่หอพักนักศึกษาของมหาวิทยาลัย แต่ว่าก็ยังมีพ่อของเมฆคอยเป็นผู้ปกครองดูแลให้อยู่ตลอด เรียกได้ว่าครอบครัวของทางฝั่งผมกับเมฆนั้นแทบจะเป็นปึกแผ่นเดียวกันไปแล้วจริงๆ

เราสองคนนั่งคุยกันเรื่องต่างๆสักพัก เมฆก็เดินออกมาจากห้องพร้อมกับโทรศัพท์มือถือที่ยังคงแนบอยู่ที่หู

“เออๆ กูไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้ามึงรีบมาหน่อยก็ดี กูมีเรื่องจะเล่าให้ฟังด้วย เอาเป็นว่ามึงมาถึงเมื่อไหร่แล้วก็โทรหากูก็แล้วกัน โอเค บายครับ แล้วเดี๋ยวเจอกัน” เมฆกดปุ่มวางสาย จากนั้นก็เดินกลับมานั่งที่เดิม

“ตกลงว่าไง มันจะมาถึงกี่โมงกัน และมันบอกมั๊ยว่าจะมากันกี่คนมั่ง”

“มันบอกมันคงมาถึงราวๆสิบโมงนี่แหละ มากับไอ้กอล์ฟแล้วก็ไอ้แป๊ะน่ะ แล้วก็บอกว่าเพื่อนๆเราก็คงทยอยมากันเรื่อยๆหลังเที่ยงเป็นต้นไปมั๊ง มันก็ไม่แน่ใจ แต่มันบอกอย่างเดียวว่าท่าทางจะมากันเยอะ เผลอๆเราอาจจะต้องอยู่ต่ออีกหนึ่งคืนก็ได้ ยังไม่คอนเฟิร์ม”

“แต่ถ้ามันมาตอนสิบโมง ตอนนั้นเราก็คงกำลังอยู่ที่บ้านพี่แอมป์น่ะสิวะ”

“ก็นั่นน่ะสิ แต่ก็คงต้องรอให้มันโทรมาหาอีกทีล่ะมั๊ง ค่อยรอดูว่าตอนนั้นจะเอายังไง” เมฆยักไหล่

“เดี๋ยวผมอยู่รอพี่วิทให้ก็ได้ครับ ผมเองก็ไม่ได้มีโปรแกรมจะทำอะไรอยู่แล้วด้วย” ไคล์เสนอ

“เออ จริง ถ้าไอ้วิทมาถึงตอนที่เรายังไม่กลับ ก็ให้ไคล์อยู่เจอมันไปก่อนก็ได้นี่เนอะ” ผมพยักหน้าเห็นด้วย

ไคล์มาอยู่ที่ประเทศไทยนี่ได้ปีกว่าๆแล้ว และระหว่างนั้นเขาก็ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนๆของเราอยู่หลายคนเหมือนกัน และวิทก็เป็นหนึ่งนั้นด้วย แต่ถ้าพูดจริงๆต้องบอกว่า ไคล์มันสนิทกับวิทมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆของพวกเราเลยด้วยซ้ำ เพราะว่าเขาสองคนเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน ถึงจะคนละคณะก็เถอะ

หลังจากมื้อเช้าง่ายๆและนั่งคุยกันต่ออีกสักพัก เราสามคนก็แยกย้ายกันไปทำธุระส่วนตัว โดยเฉพาะผมกับเมฆที่ต้องเตรียมพร้อมที่จะไปหาพี่แอมป์ที่บ้านอีกครั้ง จนเมื่อถึงเวลาอีกห้านาทีสิบโมง เราสองคนก็ฝากบ้านไว้กับไคล์ แล้วจึงเดินไปยังบ้านของพี่แอมป์ ถึงตอนกลางวันเราน่าจะหาบ้านของเขาได้ง่ายกว่า แต่เมื่อคืนมันก็มืดมากจนเราจำหลังที่แน่นอนไม่ได้ ผมกับเมฆเดินลังเลกันอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งสักพัก ไม่นานนักประตูบ้านหลังนั้นก็ถูกเปิดออก

“ซัน เมฆ เข้ามาเลยค่ะ กำลังรออยู่พอดีเลย” พี่แอมป์เดินออกมาต้อนรับเรา จากนั้นก็พาเราเดินเข้าไปนั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก “ทานอะไรกันมารึยังคะ เอากาแฟรึอะไรหน่อยมั๊ย”

“ไม่เป็นไรครับ ตามสบายเลยครับพี่ พวกผมสองคนเรียบร้อยกันมาแล้ว” เมฆตอบ

“ว่าแต่เมื่อคืนหลับสบายดีมั๊ยครับ ยังรู้สึกกลัวหรือกังวลอยู่รึเปล่า”

“ไม่แล้วล่ะค่ะ ตอนแรกก็คุยกับน้องชายเหมือนกันว่าอาจจะไม่ค่อยกล้าออกไปเดินข้างนอกเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ก็รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว เพราะเวลากลางวันมันก็คงไม่กล้าทำอะไรเราหรอก และพี่ก็คงไม่ไปเดินที่ไหนไกลๆห่างตาคนคนเดียวแล้วล่ะ”

“ก็ดีแล้วครับ จริงๆก็ไม่ต้องกังวลมากหรอกครับ จะทำให้มาเที่ยวไม่สนุกซะเปล่าๆ และอีกอย่าง ผมว่าวันนี้ คืนนี้ ที่นี่มันคงจะไม่เงียบมากเหมือนเมื่อคืนแล้วล่ะครับ” ไอ้เมฆพูดพร้อมหันมายิ้มกับผม

“ว่าแต่น้องชายพี่ไปไหนล่ะครับ”

“อาบน้ำอยู่น่ะค่ะ เพิ่งตื่นมาเมื่อสิบห้านาทีก่อนนี้เอง”

“มาเที่ยวกันแค่สองคนเหรอครับ มาจากไหนกันครับเนี่ย”

“มาจากกรุงเทพเหมือนกันค่ะ เพิ่งมาถึงเมื่อวานกันนี่เอง ว่าจะอยู่สักสองสามคืนแล้วค่อยกลับ แล้วเมฆกับซันล่ะคะ มาเที่ยวกันแค่สองคนเหรอ”

“อ๋อ เปล่าหรอกครับ เรามากันสามคนน่ะ มีน้องชายของไอ้ซันมันอีกคนนึง ตอนนี้อยู่ที่บ้าน แล้วเดี๋ยวเพื่อนๆของเราก็จะตามมาอีกน่ะครับ”

“เหรอคะ มิน่า เมื่อกี๊ถึงบอกว่าวันนี้แถวนี้คงจะไม่เงียบเหมือนเมื่อวาน เพื่อนๆจะมากันหลายคนเหรอคะ”

“บอกตามตรงผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ เพราะไอ้เพื่อนผมมันก็ไม่ยอมบอกอะไรเราเลย ไม่รู้จะปิดบังอะไรนักหนาทำไม” เมฆยักไหล่

“พวกนั้นตั้งใจจัดงานเลี้ยงต้อนรับเรากลับมาน่ะครับ” ผมตอบออกไปเมื่อเห็นพี่แอมป์ทำหน้างงๆ “เราสองคนไปเรียนต่อที่อังกฤษมาน่ะครับ เพิ่งกลับมาเมื่อสามสี่วันก่อนนี่เอง เพื่อนๆเรามันก็เลยลากเรามาเลี้ยงฉลองที่นี่”

“อ๋ออ เข้าใจแล้วค่ะ ดีจังเลย”

สิ้นเสียงของพี่แอมป์ ประตูบานหนึ่งที่เป็นประตูห้องนอนทางด้านหลังของพวกเราก็ถูกเปิดออก เราสองคนหันไปมองที่มาของเสียงเกือบจะพร้อมๆกัน และคนที่เดินออกมาก็คืออาร์ม น้องชายของพี่แอมป์นั่นเอง เขาใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียวพร้อมกับผ้าขนหนูผืนเล็กที่พาดอยู่รอบคอ

“สวัสดีครับ” เขาพูดพร้อมกับผงกหัวให้เราสองคน

“นี่น้องชายพี่เองค่ะ ชื่ออาร์ม อาร์ม นี่พี่เมฆกับพี่ซัน ที่ช่วยพี่เอาไว้เมื่อคืนไง ที่เล่าให้ฟัง”

“รู้แล้วๆ ผมจำได้น่า แต่ว่าอายุมากกว่าพี่แอมป์อีกเหรอครับ” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย

“เปล่า พี่อายุมากกว่า แต่เขาสองคนเพิ่งเรียนจบจากอังกฤษ นั่นก็คืออายุมากกว่าแกไง”

“อืมมๆ ถ้าไงพี่ๆคุยกันไปก่อนก็แล้วกันนะ ผมขอไปหาอะไรกินรองท้องก่อน” อาร์มพูด จากนั้นก็เดินเข้าไปเปิดตู้เย็นในห้องครัว

“ว่าแต่เมฆเป็นยังไงมั่งคะ ยังเจ็บตรงที่โดนต่อยเมื่อคืนรึเปล่า ต้องไปหาหมอมั๊ย เพราะพี่จะเป็นธุระให้เอง” พี่แอมป์หันกลับมาพูดกับเรา ส่วนอาร์มก็นั่งลงที่โต๊ะกินข้าวไม่ไกลจากเราเท่าไหร่ ผมสังเกตเห็นเขาก็ยังคอยมองพวกเราอยู่เหมือนกัน

“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ จริงๆ แค่ช้ำนิดเดียวเอง อีกไม่กี่วันก็คงหาย ว่าแต่พี่แน่ใจนะครับ ว่าพี่เองไม่ได้เจ็บตรงไหน”

“ค่ะ ไม่เป็นไรจริงๆ โชคดีที่ทั้งคู่มาช่วยพี่ไว้ได้ทัน แต่พี่ก็ยังรู้สึกแย่มากๆเลยที่ทำให้ทั้งสองคนต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ วันนี้ก็เลยตั้งใจเอาไว้ว่าจะชวนทั้งคู่ไปทานข้าวเย็นด้วยกันน่ะค่ะ เพราะว่าพี่รู้จักร้านอร่อยๆ อย่างน้อยๆก็ขอให้ได้ตอบแทนบ้าง”

“อืมมม สงสัยจะไม่ได้แล้วล่ะครับ เพราะว่าเพื่อนๆเราก็จะมากันเย็นนี้อย่างที่บอกไป”

“นั่นสินะคะ งั้นถ้าเป็นมื้อกลางวันล่ะ”

“นั่นก็เหมือนกันครับ เพราะว่าเพื่อนของผมกำลังจะมาถึงที่นี่คนนึงแล้ว และคนอื่นๆก็กำลังตามๆกันมา แถมผมยังทิ้งน้องชายของผมไว้ที่บ้านอีกด้วย” ผมตอบ

“แต่ว่าพี่ไปหาพวกเราที่บ้านได้นะครับ เย็นนี้ไปกินข้าวกับพวกเราก็ได้ ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็”

“อืมมม ไอ้รังเกียจน่ะ ไม่ได้รังเกียจอยู่แล้วล่ะค่ะ แต่ว่ามันจะเป็นการไปรบกวนเมฆกับเพื่อนๆซะเปล่าๆน่ะสิ”

“ไม่หรอกครับ มันก็แค่งานเลี้ยงต้อนรับเรากลับมา แค่กินข้าวกันเฉยๆเอง ไม่ใช่งานใหญ่โตอะไร แค่เพื่อนๆมาเจอกัน คุยกัน กินข้าวกัน ไปเถอะนะครับ พาอาร์มไปด้วย เพราะว่าน้องชายของซันก็น่าจะอายุพอๆกับอาร์มนี่แหละ เขาเพิ่งมาจากอังกฤษได้ปีเดียว ไม่ค่อยรู้จักใครมาก และจะได้มีเพื่อนรุ่นเดียวกันคุยด้วย”

“ว่าไง อาร์ม” พี่แอมป์หันกลับไปถามน้องของเขา

“แล้วแต่พี่แอมป์ก็แล้วกันครับ ผมยังไงก็ได้อยู่แล้ว” อาร์มตอบกลับมา

เราสามคนนั่งคุยกันต่ออีกนิดหน่อย ผมก็สะกิดไอ้เมฆเพราะว่ามันน่าจะถึงเวลากลับได้แล้ว และรู้สึกแปลกใจด้วยว่าทำไมไอ้วิทถึงยังไม่ติดต่อมาอีก เราสองคนจึงขอตัวกลับก่อน และหลังจากเดินออกมาจากบ้านของพี่แอมป์ได้แค่สามก้าว โทรศัพท์ของเราก็ดังขึ้น ไคล์โทรมาบอกพวกเราว่าวิทกำลังรอเราอยู่ที่บ้านแล้วตอนนี้

“ไง พวกมึงสองตัวววววววว” ไอ้วิทเดินตรงเข้ามากอดพวกเราสองคนทีละคนอย่างแรงทันทีที่เราเดินเข้าไปในบ้าน “โทษทีนะเว้ยที่กูไม่ได้ไปรับพวกมึงที่สนามบิน มีใครไปมั่งวะ มึงสองคนนี่ดูไม่เปลี่ยนเลยเว้ย หล่อยังไงก็ยังเหมือนเดิม พ่อแม่มึงเป็นไงมั่งวะไอ้ซัน สบายดีรึเปล่า แม่กูเค้าฝากความคิดถึงไปให้พวกท่านด้วยนะ แถมกูว่ามึงไปเป็นนายแบบเหอะ หล่อเหลือเกิ๊นนน ไอ้สาดดด แล้วมึงล่ะไอ้เมฆ สบายดีป่าววะ พ่อเป็นไงมั่ง เรียนสามปีก็จบแล้วเหรอวะ เร็วชิบหาย แล้วที่ว่ามีเรื่องจะเล่าให้กูฟังน่ะ เรื่องอะไร”

“เดี๋ยวๆ มึงใจเย็นๆก่อน ไอ้วิท ทำยังกะไม่เคยได้คุยได้เจอกันเลยนะมึง” ผมหัวเราะ

“กูก็ว่างั้น เมื่อไม่กี่เดือนก่อนยังเพิ่งได้เจอกันอยู่เลย” ไอ้เมฆเสริม

“เชี่ย ครึ่งปีแล้วนะมึง ก็กูคิดถึงพวกมึงนี่หว่า ตกลงนี่จะกลับมาอยู่ไทยถาวรแล้วใช่มั๊ย มึงตกลงลงหลักปักฐานด้วยกันชัวร์แล้วสินะ”

“เออ ก็คงงั้นแหละ ว่าแต่ที่มึงถามๆมาเนี่ย มึงจำคำถามตัวเองได้หมดรึเปล่าวะ เพราะกูเองยังจำไม่ได้เลยว่ามึงถามอะไรมามั่งและกูควรจะตอบอันไหนก่อน”

“นั่นดิ่ ว่าแต่กูสองคนต่างหากที่อยากรู้ว่าเพื่อนเราคนอื่นๆเป็นไงมั่ง บางคนก็แทบไม่ได้เจอไม่ได้คุยเลย แล้ววันนี้จะมากันเยอะมั๊ยวะ ใครจะมามั่งก็ไม่รู้” ไอ้เมฆพูดแล้วนั่งลงบนโซฟา “ว่าแต่นี่มึงมาคนเดียวเหรอวะ ไหนว่าอีกสองตัวนั่นมาด้วยกัน”

“เออ ไอ้กอล์ฟกับไอ้แป๊ะคงใกล้จะถึงแล้วล่ะ ขับรถตามกันมาน่ะ แต่ว่ารถพวกมันดันมันมีปัญหานิดหน่อย กูก็เลยล่วงหน้ามาก่อน”

“เออ ก็ดี สงสัยเราต้องคุยกันยาวเลยว่ะเนี่ย แค่ตอบคำถามมึงก็คงกินเวลาชั่วโมงนึงแล้วมั๊ง ว่าแต่มึงกินอะไรมารึยัง” ผมถามพลางเดินไปรินน้ำเปล่าใส่แก้วมาให้มัน

“เรียบร้อยแล้ว งั้น เรามาเริ่มกันที่เรื่องของพวกมึงก่อน ไอ้เมฆ ที่มึงบอกกูว่ามึงมีเรื่องจะเล่าให้ฟังนั้นมันเรื่องอะไรวะ อย่าบอกนะว่ามึงท้อง”

“ทะลึ่งแล้วมึง” ไอ้เมฆหัวเราะ “ไคล์ก็มานั่งด้วยกันสิ พี่จะได้เล่าเรื่องที่คุยกับพวกพี่แอมป์เมื่อกี๊นี้ให้ฟัง แล้วก็จะได้คุยกันว่าเราจะทำอะไรยังไงกันมั่งดีไปเลยทีเดียว”

“ถ้างั้นตัวดีเล่าไปแล้วกันนะคับ แสบขอนั่งฟังเฉยๆพอ” ผมยื่นแก้วน้ำให้ไอ้วิท แล้วนั่งลงข้างๆเมฆพร้อมกับหอมแก้มมันด้วย ไอ้วิทมีหน้าสีตกใจพร้อมกับรอยยิ้มตลกๆทันที “ไม่เคยเห็นใช่มะ ไม่เคยเห็นพวกกูแบบนี้ล่ะสิ งั้นก็ดูอีกเยอะๆ แล้วทำตัวให้ชินเอาไว้ เพราะจากนี้ไปมึงจะต้องได้เห็นได้ยินอะไรอีกหลายอย่างเลยด้วย” ผมหันไปหอมแก้มเมฆอีกครั้งแล้วหัวเราะ

“ไอ้เหี้ยเอ๊ยยย คบกับพวกมึงมาก็นาน รู้ทั้งรู้นะว่ามึงน่ะรักกัน แต่กูก็ไม่เคยเห็นพวกมึงเป็นแบบนี้เวลาอยู่ด้วยกันเลยจริงๆว่ะ สงสัยเรามีเรื่องต้องคุยกันเยอะจริงๆด้วยซะแล้ว เพื่อนฝูง” ไอ้วิทยิ้มกว้าง



ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ยังไม่เห็นแววว่าจะเลิกกันเลยแฮะ  :m17:  :m17:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ 3


เมฆกับผมนั่งคุยกับวิทหลายๆเรื่อง ทั้งเรื่องของเราสองคน เรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องอดีตและอนาคต และเรื่องของเพื่อนๆ เราต่างก็ผลัดกันเล่า แลกเปลี่ยน และอัพเดตข้อมูลเรื่องราวต่างๆของกันและกันอย่างสนุกปาก จนเมื่อเมฆเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ไอ้วิทก็มีสีหน้าตกใจแกมกังวลขึ้นมาทันที พวกเราจึงต้องรีบออกตัวว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเจออะไรแบบนี้ แต่เราก็ไม่ได้พูดถึงความสามารถของไอ้เมฆมันมากนักว่ามันทำอะไรได้บ้าง เพราะผมรู้ว่าไอ้เมฆเองก็คงไม่ค่อยสะดวกใจที่จะให้ใครรู้และพูดถึงเรื่องนั้นเท่าไหร่นัก

“งั้นแปลว่าวันนี้เดี๋ยวเราจะมีแขกพิเศษของมึงมาอีกสองคนใช่มั๊ย” ไอ้วิทถาม

“กูว่า ‘อาจจะ’ มีมากกว่าว่ะ กูบอกบ้านของเราไปแล้วว่าหลังไหน แต่กูก็ไม่รู้ว่าเขาจะมากันรึเปล่า แถมกูไม่รู้ด้วยว่ามึงจะจัดงานกันที่นี่หรือที่บ้านของมึงน่ะ บ้านมึงหลังไหนพวกกูก็ยังไม่รู้ แต่เขาบอกไว้ว่าถ้าเขาตัดสินใจจะมา เขาจะมาหาพวกเราที่บ้านนี้ตอนเย็นๆน่ะ”

“เออ เมฆ ว่าแต่เมื่อกี๊พี่เขาได้บอกรึเปล่านะ ว่าน้องชายของพี่เค้าอายุเท่าไหร่ กูไม่ค่อยมั่นใจว่าเค้าได้พูดถึงรึเปล่าน่ะ” ผมหันไปถามไอ้เมฆ

“เปล่านะ กูก็ลืมถามว่ะ แต่ก็น่าจะพอๆกับไคล์มั๊ง ถ้าเค้ามาจริงไคล์ก็คุยเป็นเค้าหน่อยแล้วกันนะครับ จะได้เป็นเพื่อนคุยกันและกันไปเลย อายุน่าจะใกล้ๆกัน” เมฆหันไปหาไคล์

“ผมน่ะ ไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ” ไคล์ยิ้มตอบ “ถึงผมจะรู้จักเพื่อนๆพี่บางคนแล้วก็จริง แต่ถ้ามากันเยอะๆผมก็คงทำตัวไม่ค่อยถูกเหมือนกัน มีคนวัยใกล้ๆกันมันก็เบาใจขึ้นอีกหน่อย”

“กูล่ะไม่อยากจะเชื่อมึงสองคนเลยจริงๆ ไอ้เมฆ ไอ้ซัน เชี่ยแม่ง เรียกกัน ‘เมฆว่าอย่างนั้น’ ‘ซันว่าอย่างนี้’ หวานกันซะไม่มีนะมึง ถึงจะรู้นะว่าพอคนเราคบๆกันไปเดี๋ยวมันก็จะต้องกลายเป็นแบบนี้จนได้ แต่........ กูอยากจะอ้วกรดหัวพวกมึงสองคนจริงๆเลยว่ะ บอกตรงๆ” ไอ้วิททำเสียงล้อเลียน “วันนี้จะเปิดตัวไปเลยมั๊ยวะเนี่ย หือ”

“ไม่อ่ะคับ วิท เมฆเกรงใจ” ไอ้เมฆหัวเราะ

“ว่าแต่พวกมึงเหอะ ได้บอกใครไปมั่งรึเปล่า”

“เปล่า ก็ยังรู้กันอยู่แค่พวกกลุ่มเราๆสี่ห้าคนนี่แหละ แต่ถ้ามึงไม่อยากให้ใครรู้ คืนนี้ก็ระวังมือระวังไม้ ระวังน้ำเสียงสายตาของพวกมึงเองกันหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวเพื่อนเรามันจะตกใจว่าหนีตามกันไปอังกฤษแค่สามสี่ปี กลับมาได้เสียกันไปแล้วซะอย่างนั้น........” ไอ้วิทพูด จากนั้นก็หยุดไปครู่หนึ่ง ผมเห็นคิ้วของมันขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

“กูก็ไม่ได้ปิดบังหรอก ใครจะรู้ก็รู้ ใครถามก็ตอบตามความจริง แต่แค่ไม่อยากไปป่าวประกาศให้รู้กันทั่วเหมือนถูกหวยเท่านั้นเอง และอีกอย่างถ้าเป็นเพื่อนๆเราล่ะก็ พวกกูไว้ใจว่ะ” ผมพูด

“เฮ้ย ไม่สิ กูว่า มึงสองคนยังไงๆก็คงปิดไม่มิดแล้วว่ะ............” ไอ้วิทมองผมสองคนด้วยแววตาประหลาดใจ แต่ทว่าสายตาของมันนั้นไม่ได้กำลังจับจ้องอยู่บนใบหน้าของเราทั้งคู่อยู่ แต่ว่าเป็นที่มือของเราสองคนต่างหาก “ไอ้เหี้ยเอ๊ยยย กูเพิ่งสังเกต แหวนที่นิ้วนางมึงสองคนนั่น.........” เมื่อมันพูดจบ มันก็คว้ามือของผมกับไอ้เมฆขึ้นไปถือไว้ทันที

“เออว่ะ กูก็เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย” ผมหันไปมองหน้าไอ้เมฆ “ใส่จนชินไปแล้ว”

“นี่มึงสองคนไปถึงขั้นนี้กันแล้วเหรอวะ หมั้นหรือแต่งงานวะเนี่ย แล้วที่สำคัญ มึงซื้อมาเมื่อไหร่วะ ไอ้เมฆ ไอ้ซัน แพงมั๊ยวะเนี่ย” ไอ้วิทถามด้วยน้ำเสียงและสายตาทึ่งๆ

“เอ่ออ คืออ กูไม่ได้ซื้อเองว่ะ แต่เป็นแหวนของพ่อกับแม่กับกูเอง”

“ส่วนถ้าถามว่าหมั้นหรือแต่งงาน สงสัยจะเป็นแต่งงานว่ะ แต่เอาไว้อีกหน่อยจะจัดพิธีที่ดีๆกว่านี้”

ไอ้วิทเงยหน้าขึ้นมามองเราสองคนด้วยสีหน้าประหลาดใจ มันคงไม่รู้ว่าเราพูดเรื่องจริงหรือแค่ล้อเล่นกันแน่ โดยเฉพาะที่ผมพูดว่าเราแต่งงานกันแล้วและจะมีพิธีจริงๆอีกครั้ง แต่ว่าผมก็หมายความว่าแบบนั้นจริงๆ เพราะผมตั้งใจเอาไว้นานแล้วว่าหลังจากที่เราทำงานและย้ายมาอยู่ด้วยกันสองคนได้สักพักแล้ว ผมกับเมฆจะทำแบบเมื่อครั้งที่มันมอบแหวนให้ผมในคืนที่เราฉลองครบรอบหนึ่งปีอีกครั้ง แต่ว่าคราวนี้ผมอยากจะทำต่อหน้าพ่อกับแม่ของเราด้วย ไม่ใช่แค่พิธีที่เป็นความลับเล็กๆของเราอีกต่อไป แต่จะต้องมีสักขีพยานว่าผมจะรักมันไปตราบชั่วลมหายใจของผมจริงๆ......... แต่ว่าผมก็ยังไม่เคยได้พูดเรื่องนี้กับไอ้เมฆมันหรอก ก็แค่คิดเอาไว้คนเดียวเฉยๆเท่านั้นเอง

“เออ ช่างเหอะ แม่งน่าอิจฉาเว้ย..... ว่าแต่ไคล์ล่ะ เป็นยังไงบ้าง คิดถึงแฟนรึเปล่า” ไอ้วิทวางมือของเราสองคนลงแล้วหันไปยิ้มกับไคล์ จากนั้นก็หันกลับมาสบตากับผมสองคนอีกครั้ง “มึงสองคนรู้มั๊ย ตั้งแต่มันได้เป็นเดือนคณะนะ คนจีบเพียบ แต่คนแอบปลื้มยังตรึมยิ่งกว่า ทั้งผู้หญิงผู้ชายกะเทย ทั้งนอกคณะในคณะ แถมชื่อมันน่ะยังดังมาถึงคณะกูเลยอีกต่างหาก ไม่ดิ่ ถ้าพูดให้ถูกก็คือมันน่ะชื่อดังไปจะทั้งมหาลัยแล้ว นี่ถ้าสาวๆรู้ว่ามันมีแฟนเป็นผู้ชายนะ สงสัยได้อกฉีกกันเป็นแถบๆ แต่เกย์กะเทยหลายคนคงจะตีปีกกันอีกนับร้อย”

ผมกับไอ้เมฆหัวเราะชอบใจ แต่ไคล์กลับยิ้มอายๆ วิทนั้นเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องของไคล์กับพี เพราะว่าผมเป็นคนกำชับมันไว้เองว่าให้คอยดูแลมันในเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากพีนั้นค่อนข้างจะเป็นคนขี้กังวลอยู่แล้ว แถมตัวเขานั้นไม่ว่าจะเพื่อนหรือครอบครัวก็ยังไม่มีใครรู้เรื่องพวกนี้เลย ดังนั้นจึงไม่มีใครช่วยเขาติดต่อดูแลไคล์ให้ได้เลยสักคนเดียว ดังนั้นพวกเราจึงเลือกวิทให้เป็นตัวแทนช่วยดูแลไคล์ในทุกๆเรื่อง ไม่ใช่แค่เรื่องหัวใจหรือระแวงว่าจะมีใครมาเกาะแกะมันหรอก แต่ให้มันเป็นเหมือนผู้ปกครองคนนึงแทนพวกเราที่คอยดูแลช่วยเหลือทุกๆอย่างเลยต่างหาก

“ไม่ต้องบอกกูก็พอรู้ ก็น้องชายมันก็ย่อมต้องได้เชื้อพี่มันมาอยู่แล้วนี่”

“ปากดีนะคร้าบบบ ไอ้คุณซัน เออ ว่าแต่พูดถึงเรื่องมหาลัย นี่เพื่อนๆเราก็ทำงานกันหมดแล้วป่าววะ แล้วพวกมันจะมากันยังไง”

“บางคนก็ขับรถมากันเอง บางคนก็พาแฟนมาด้วย ส่วนบางคนก็นั่งรถตู้มาด้วยกันว่ะ บ่ายๆก็คงมาถึงแล้ว เนี่ยเดี๋ยวกูรอไอ้สองตัวนั้นมากูก็จะออกไปซื้อกับข้าวของสดไว้เหมือนกัน มึงจะไปกับพวกกูกันมั๊ย ส่วนบ้านกูมันอยู่หลังสุดท้ายติดทะเลพอดี เพราะงั้นคืนนี้ปาร์ตี้อาหารทะเลริมหาดว่ะ อาจจะทำบาร์บีคิวด้วย แต่ว่าบางคนก็ต้องมานอนที่บ้านมึงด้วยนะ แบบนั้นพวกมึงโอเคป่าววะ”

“ไม่มีปัญหาหรอก พวกเรายังไงก็ได้อยู่แล้ว ว่าแต่มึงจะขนของลงจากรถเลยมั๊ย มีขนสัมภาระอะไรมาจากกรุงเทพรึเปล่า”

“ซัน กูว่า เราไปนั่งเล่นที่บ้านของไอ้วิทกันดีมะ ไหนๆก็อยู่ว่างๆ แล้วพอไอ้สองคนนั้นมาเราก็ไปซื้อของด้วยกันเนอะ กูรู้ว่ามึงอยากกินกุ้งเผา เดี๋ยวเอาไว้กูจะทำน้ำจิ้มสูตรเด็ดให้กิน”

“น้ำจิ้มของมึงเหรอ....... อืมมม...... งั้นกูกินตอนนี้เลยได้ป่าว แค่ฟังก็ชักจะเปรี้ยวปากซะแล้ว” ผมหันไปงับหูไอ้เมฆเบาๆ แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงของไอ้วิทกระแอมออกมาดังๆ

“หยุดเลยพวกมึง กูจะอ้วก กูไม่ชินกับเรื่องพวกนี้นะเว้ย โดยเฉพาะยิ่งเห็นเป็นมึงสองคนทำด้วยแล้ว ขนมันลุก” ไอ้วิทนิ่วหน้า พลางยื่นแขนออกมาให้พวกเราดูขนที่ลุกชันของมัน “แถมไคล์ก็ยังนั่งอยู่ตรงนี้ เกรงใจน้องมันหน่อย ไอ้หื่น ตะวันยังไม่ตกก็จะล่อกันซะแล้ว”

“ผมชินแล้วล่ะครับ พี่วิท ตอนอยู่อังกฤษนี่ยิ่งกว่านี้อีก แถมเมื่อคืนเขาก็ล่อกันไปแล้วด้วย เสียงดังข้ามห้องมาซะขนาดนั้น” ไคล์หัวเราะ “แต่เห็นแบบนี้แล้วก็นึกถึงตอนที่เราอยู่ด้วยกันครบสี่คนเหมือนกันนะครับ ซัน ศิลา”

“อะไร หมายความว่าไงวะ หมายความว่ามึงสี่คนเคย....... ด้วยกันเหรอ” ไอ้วิทถามด้วยสีหน้าตกใจ

“ทะลึ่งๆ ไอ้วิท เกินไปมึง เกินไป มันก็แค่ตอนเราอยู่ด้วยกันสี่คน เราไม่ต้องอายไม่ต้องฝืนอะไรแบบนี้ไง อยู่กันเป็นคู่ๆ จะจู๋จี๋จะกอดจูบจะจับอะไรก็ทำได้” ไอ้เมฆรีบอธิบาย

“รอดไปมึง กูก็นึกว่าพวกมึงจะไปถึงขั้นนั้นกันซะแล้ว....... อ้าว ไอ้กอล์ฟโทรศัพท์มาพอดี มึงเอาไปคุยหน่อยดิ๊ เมฆ บอกมันว่าบ้านมึงอยู่หลังไหน พวกมันจะได้แปลกใจเล่นที่ได้ยินเสียงมึง” ไอ้วิทยื่นโทรศัพท์มือถือที่ยังคงดังอยู่ให้กับเมฆ มันจึงรับมาและเริ่มต้นคุยกับคนในสายทันที ผมจึงหันกลับไปหาไอ้วิทอีกครั้ง

“นัทมาป่าววะ” ผมถามเบาๆ ไม่ได้ตั้งใจจะแอบหรือปิดบังไอ้เมฆ แต่ก็ไม่อยากจะพูดเสียงดังจนดูเหมือนผมสนใจมากนักจนเกินไป

“มา.....” ไอ้วิทตอบสั้นๆพร้อมกับมองไปทางไอ้เมฆ ผมคิดว่าเมฆเองก็คงได้ยินแหละ แต่มันก็ไม่ได้ว่าอะไร ไอ้วิทจึงหันมาสบตากับผมต่อ “มากับแฟนเค้าน่ะ แต่ว่ามันก็มีปัญหาอยู่นิดหน่อยว่ะ”

“ปัญหาเหรอ ปัญหาอะไรวะ” ผมถามด้วยความสงสัยในน้ำเสียงของมัน

“คือ......” ไอ้วิทมีท่าทางลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดต่อ “ไอ้เหี้ยนั่นมันนิสัยไม่ค่อยดีว่ะ ไม่รู้สิ พวกกูไม่มีใครชอบแม่งเลยสักคน รู้สึกเหมือนมันกำลังหลอกนัทอยู่ว่ะ แถมยังกวนตีนๆ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร”

ผมหันไปมองไอ้เมฆที่กำลังคุยอยู่กับไอ้กอล์ฟหรือไม่ก็ไอ้แป๊ะสักคนอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก ผมรู้ว่ามันได้ยินทุกอย่างที่เราพูดกัน และผมว่ามันเองก็ต้องไม่สบายใจมากด้วยที่รู้เรื่องนี้

“คบกันมานานเท่าไหร่แล้ว” ผมหันกลับไปถามไอ้วิท “เออ ว่าแต่มันชื่ออะไรและเป็นใครวะ”

“คบกันมาได้ปีกว่าๆแล้วมั๊ง แต่ไอ้เรื่องที่ว่ามันเป็นใครมาจากไหนน่ะ รอจนพวกมึงเจอกันเองก็แล้วกัน เดี๋ยวนัทก็แนะนำให้รู้จักเองนั่นแหละ พวกกูก็ไม่ได้รู้อะไรมากหรอก”

“เออๆ รอแป๊บนึง.......” ไอ้เมฆพูดใส่โทรศัพท์มือถือของไอ้วิทเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนที่จะยื่นส่งคืนให้กับเจ้าของของมัน “อ่ะ ไอ้วิท ไอ้แป๊ะจะคุยด้วย”

เมื่อไอ้วิทรับโทรศัพท์ไป ผมก็หันกลับมาคุยกับไอ้เมฆทันที

“มึงได้ยินที่พวกกูคุยกันเมื่อกี๊แล้วใช่มั๊ย”

“อืม ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แต่ก็คิดว่าพอจับใจความได้”

“แล้ว........” ผมเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง

“แล้ว........ ก็ไม่อะไรทั้งนั้นล่ะ เอาไว้เมื่อถึงเวลาค่อยว่ากัน ชีวิตเค้าก็เป็นของเค้า ชีวิตกูก็เป็นของกู แต่ถ้าเค้าคบกันแล้วนัทมีความสุข ต่อให้ไอ้ผู้ชายคนนั้นมันจะเหี้ยขนาดไหนและกำลังหลอกนัทอยู่ก็เถอะ แค่มันไม่ได้ทำให้นัทต้องถึงกับร้องไห้และเจ็บปวดทุกๆวัน ก็ยังถือว่าดีล่ะวะ แต่ถ้ามันมากจนเกินไปนัก....... เราก็คงต้องรอดูเฉยๆอย่างทำอะไรไม่ได้เท่าไหร่หรอก นอกจากเค้าจะขอความช่วยเหลือจริงๆ ซึ่งกูก็หวังว่ามันจะไม่ต้องถึงกับมีวันนั้นหรอกนะ”

“ก็ดีแล้ว มึงคิดได้อย่างนี้ก็ดี เพราะกูรู้ว่ามึงเป็นคนห่วงใยคนอื่น โดยเฉพาะคนที่มึงแคร์และรักมากๆน่ะ แต่พอได้ยินมึงพูดแบบนั้นกูก็สบายใจหน่อย อย่างน้อยๆอยู่ด้วยกันมามึงก็ยังติดความใจแข็งมาจากกูมั่งล่ะวะ.......”

“ไอ้สองคนนั้นอยู่ปากทางเข้าแล้ว มันบอกอีกสิบวินาทีเจอกันหน้าประตู” ไอ้วิทกดปุ่มวางสายแล้วบอกพวกเรา

“ประตูบ้านมึงหรือประตูบ้านกู”

“มึงหันไปมองหน้าบ้านมึงก็รู้แล้วว่าประตูบ้านใคร ไอ้ซัน” ไอ้วิทหัวเราะเบาๆก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไปหน้าระเบียง เราสามคนจึงลุกตามไปติดๆ รถเก๋งคนหนึ่งกำลังจะจอดที่หน้าบ้านของเราพอดี

ปฏิกิริยาที่สองคนนั้นได้เจอกับพวกเราก็ไม่ค่อยต่างจากไอ้วิทเมื่อครู่ใหญ่ๆนี้เท่าไหร่นัก เราสี่คนผลัดกันกอด ชกแขน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ และหยอกล้อเล่นหัวกันครู่หนึ่ง และอีกครั้งที่ทั้งสองคนนี้ก็สังเกตเห็นแหวนของเราเช่นกัน ซึ่งถ้านึกดูดีๆก็คงไม่แปลก เพราะแหวนของเรานั้นเป็นแหวนทองที่มีเพชรประดับอยู่ด้านบนเหมือนๆกันทั้งสองวง แถมยังถูกสวมอยู่ในนิ้วนางข้างซ้ายเหมือนกันทั้งคู่ด้วย ผมกับไอ้เมฆอธิบายที่มาของมันให้ทั้งสองคนฟังสั้นๆ ก่อนที่ไอ้วิทจะเป็นคนเข้ามาตัดบทสนทนาแล้วเดินนำพวกเราไปยังบ้านของมัน

บ้านของไอ้วิทอยู่ห่างออกจากบ้านของเราไปแค่หกหลังเท่านั้นเอง เพียงแต่อยู่คนละซอย แถมยังเป็นบ้านหลังสุดท้ายที่อยู่ติดกับทะเลอีกด้วย

“นี่บ้านกู เราจะทำอาหารอะไรที่ชายหาดกันก็ได้ แต่ต้องไม่ล้ำออกไปมากเกินไปนัก ห้ามส่งเสียงดัง ซึ่งกูว่าคงจะยาก แล้วก็ต้องเก็บกวาดให้เรียบร้อยหลังกินเสร็จ นอกนั้นก็ไม่มีปัญหา แถมช่วงนี้คนมาพักก็ไม่เยอะเท่าไหร่ด้วย คิดว่าคงเต็มที่กันได้ในระดับหนึ่งล่ะวะ” ไอ้วิทอธิบายก่อนจะไขประตูบ้านนำเราเข้าไปยังด้านใน “เนี่ย บ้านกู ก็คล้ายๆบ้านมึงนั่นแหละ ไอ้เมฆไอ้ซัน แต่ว่าเฟอร์นิเจอร์เยอะกว่า แล้วกูก็มีพวกเครื่องนอนสำรองเอาไว้เยอะ เพราะงั้นก็ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องที่นอนกัน”

ผมมองไปรอบๆบ้านชั้นเดียวหลังนั้นก็เห็นว่ามันมีโครงสร้างภายในไม่ต่างจากบ้านที่พวกเราเช่าเอาไว้เท่าใดนักจริงๆด้วย ไม่เหมือนกับบ้านของพี่แอมป์ที่ดูต่างออกไปนิดหน่อย แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นแบบนั้นอยู่แล้วหรือว่าเขาต่อเติมเพิ่มเอาเอง


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
“งั้นคืนนี้จะแบ่งกันนอนยังไงดีวะ” ไอ้แป๊ะถาม

“กูกำลังคิดว่า พวกผู้ชายไปนอนที่บ้านไอ้เมฆมัน ส่วนผู้หญิงนอนที่บ้านกูก็คงโอเค ไม่ต้องมาแนวว่าใครจะนอนกับแฟนอะไรทั้งนั้นล่ะ เพราะห้องมันไม่มี ต้องนอนรวมๆกัน แต่ถ้าเกิดใครจะเอายังไงมันก็อีกเรื่องนึง ไว้ค่อยดูอีกที ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว พวกมึงคิดว่าไง”

“ได้ ไม่มีปัญหา เดี๋ยวไคล์ก็กลับไปย้ายของของเรามาไว้ที่ห้องพวกพี่ก็แล้วกัน งั้นตอนนี้เราเดินกลับบ้านกูกันก่อนดีกว่า มึงสามคนรถสองคันก็ไปตัดสินใจเอาว่าจะเอากระเป๋าเพื่อนๆเราไปเก็บไว้ที่บ้านหลังไหนก่อน แล้วพอเสร็จแล้วเดี๋ยวเราออกไปซื้อของกันได้แล้ว เพราะว่ากูอยากกินน้ำจิ้มกุ้งเผาแซ่บๆไวๆ”

ไอ้กอล์ฟกับไอ้แป๊ะมองหน้ากันงงๆ แต่พวกเราสี่คนที่เหลือกลับหัวเราะชอบใจ และพอสองคนนั้นถามว่าที่ผมพูดมันหมายความว่ายังไง ไอ้วิทก็บอกแค่ว่า “มึงไม่อยากรู้หรอก” เท่านั้น

หลังจากเราใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงในการขนของและจัดเตรียมบ้านพักทั้งสองหลังเสร็จเรียบร้อย วิท แป๊ะ กับไคล์ก็ขับรถออกไปเพื่อซื้อของสด เครื่องดื่ม ขนม และของแห้งทั้งหลายกลับมาตุนเอาไว้ มันบอกให้ผมกับเมฆอยู่รอที่นี่เพื่อเจอและต้อนรับเพื่อนๆ เผื่อจะมีใครมาถึงไว ส่วนไอ้กอล์ฟก็คอยอยู่โยงแทนไอ้วิทมัน

ในบรรดาคนที่รู้ว่าผมกับเมฆเป็นแฟนกันนั้นก็มี วิท กอล์ฟ แป๊ะ ป๋อม แล้วก็เพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่งชื่อ อีฟ เท่านั้น ดังนั้นเราสองคนจึงยังไม่ต้องคอยระวังตัวอะไรเท่าไหร่นักเมื่ออยู่กับไอ้กอล์ฟตามลำพังแบบนี้

“ว่าแต่ไอ้ป๋อมล่ะ มายังไงวะ มาถึงกี่โมง” ผมถามไอ้กอล์ฟขณะที่เรากำลังนั่งคุยและดูทีวีกันอยู่ที่บ้านของไอ้วิท

“มาบนรถตู้พร้อมคนอื่นๆน่ะ อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็มาถึงแล้ว เมื่อกี๊มันเพิ่งโทรมาเอง”

“กูสงสัยมาตั้งแต่แรกและว่ะ ไอ้รถตู้ที่ว่าเนี่ย รถใครวะ เช่าเหมามาเหรอ แล้วจะมากันเต็มคันรถเลยมั๊ยน่ะ” ไอ้เมฆถามขึ้นบ้าง

“รถของบ้านไอ้แบ๊งค์น่ะ ส่วนมากันเต็มรถมั๊ย มึงก็คิดดูแล้วกันว่ากูกับไอ้แป๊ะต้องขับรถมากันเองอ่ะมึง แถมยังมีคนอื่นๆที่จะขับรถมาเองอีก ไม่อย่างงั้นกูก็ไม่ต้องมาเหนื่อยขับรถกันเองหรอก”

“โห มากันเยอะขนาดนั้นเลยเหรอวะ เกือบจะครึ่งห้องเลยดิ่เนี่ย เหมือนงานรวมนัดเจอกันสมัยก่อนเลยว่ะ”

“ช่ายยย ก็ประมาณนั้นแหละ พวกกูเตรียมงานกันนานนะมึง ก็เป็นการเลี้ยงต้อนรับมึงสองคนด้วย แล้วก็นัดเจอเพื่อนๆทุกคนด้วย คนส่วนมากก็เลยมากันน่ะ มาเยอะเท่าที่มาได้เลยล่ะ เพราะช่วงหลังๆมานี้ห้องเราไม่ค่อยได้นัดเจอกันแบบเยอะๆแบบนี้มานานแล้วไง ก็ประมาณสองปีกว่าเกือบสามปีได้แล้วมั๊งที่ไม่ได้นัดกันเต็มที่แบบนี้”

“ซัน เมฆชักหวั่นๆว่ะ ไอ้ได้เจอเพื่อนเมฆก็ดีใจนะ แต่ว่าไม่ได้เจอมานานอ่ะ กลัวเขินทำตัวไม่ถูกว่ะคับ”

ผมหันไปยิ้มให้มัน แล้วก็เหยียดแขนออกไปโอบมันเข้ามากอด “หน้าบางจังนะครับ คุณเมฆ คุณน่ะแค่สามปี แต่คุณซันอ่ะ สี่ปีนะครับ เพื่อนๆกันทั้งนั้น จะเขินทำมายยยย ฮึ”

“เฮ้ย มึงสองคน........” ไอ้กอล์ฟพูดขึ้น ทำให้เราสองคนหันไปหามันเกือบจะพร้อมๆกันทันที “จะให้กูเหมาเป็นงานวิวาห์ด้วยเลยมั๊ยวะ ไอ้สัตว์ หวานมากอ่ะมึง หวานจนกูจะอ้วก ขนลุก ไม่ชินเว้ย แม่งงง เห็นผู้ชายสองคนมาทำแบบนี้กันกูก็รู้สึกแปลกๆแล้ว ยิ่งเห็นเป็นมึงสองคนกูยิ่งไม่อยากจะเชื่อเข้าไปใหญ่เลย เหี้ยเอ๊ย มึงคิดดู กูเห็นพวกมึงทุกวันๆมาตลอดสามปีนะเว้ย ไม่เคยคิดเลยว่าพวกมึงจะมาทำอะไรแบบนี้กันได้ โดยเฉพาะมึง ไอ้ซัน ไม่สิ มึงก็ด้วย ไอ้เมฆ โอ๊ยยยย บอกไม่ถูกเว้ย สับสนๆๆ มึงรักกันดีอย่างนี้มันก็ดีน่ะนะ แต่เกรงใจแขกอย่างกูนิดนึง กูทำใจลำบาก” ไอ้กอล์ฟพูด แต่ผมสองคนก็รู้ว่ามันไม่ได้ซีเรียสอะไรเท่าไหร่หรอก เพราะรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของมันนั้นแสดงความรู้สึกแท้จริงของมันออกมาได้อย่างชัดเจน

“ทำไมวะ เมื่อเช้าไอ้วิทก็คนนึงและ แล้วนี่มึงอีกคน แค่กอดแค่หอมแก้มแค่นี้พวกมึงทำเป็นรับกันไม่ได้ แล้วถ้ากูดูดลิ้นเลียตูดกันตรงนี้ มึงจะทำยังไงกันวะ”

“ไอ้ซันๆ เกินไปมึง พูดระวังๆหน่อย แต่กูว่าที่พวกมันพูดมาก็ถูกนะ เพราะขืนเราทำตัวเคยชินกันแบบนี้เกินไป ขืนยังเกาะๆแกะๆกันตลอดเวลาแบบนี้ ไม่รีบๆปรับตัวล่ะก็ เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นหรืออยู่ในที่สาธารณะเราจะลำบากเอานะ ที่นี่มันประเทศไทย ไม่ใช่อังกฤษ ปัญหามันเยอะกว่าตอนเราอยู่ที่นั่นแน่ๆอ่ะ”

“อะไรวะ แค่นี้ต้องดุกันด้วยเหรอวะ แม่ง” ผมคลายวงแขนที่โอบบ่ามันอยู่ออก

“กูไม่ได้ดุ กูแค่พูดความจริง ตอนที่เราเดินโอบกันที่อังกฤษนั่นก็ยังเคยโดนพวกฝรั่งมันมาหาเรื่องแล้ว มึงจำไม่ได้เหรอ แต่นี่ที่ประเทศไทย มันอาจจะไม่รุนแรงขนาดนั้น แต่ว่าเรื่องวัฒนธรรมกับสายตาคนอื่นน่ะ....... คือ เรื่องนี้มันก็ลำบากนะ และที่สำคัญกูไม่ได้ว่ามึงคนเดียวหรอก กูหมายถึงตัวกูเองด้วย มึงก็รู้นี่”

ผมถอนหายใจเบาๆ “เออๆ กูรู้ กูก็คิดมาตั้งนานแล้ว ก่อนที่เราจะกลับมาที่ไทยนี่ซะอีก เพียงแต่ตอนนี้เราอยู่กับเพื่อน กูก็เลยไม่คิดว่าเราจะต้องฝืนอะไรมากมายนี่หว่า แถมที่สำคัญกูไม่อยากจะคบกับมึงแบบหลบๆซ่อนๆด้วย”

“กูเข้าใจ กูเองก็เหมือนมึงนั่นแหละ แต่เราก็ไม่ได้หลบๆซ่อนๆนี่ เพียงแต่เราต้องปรับตัวเรื่องการวางตัวเวลาอยู่ด้วยกันในสังคมนิดหน่อยเท่านั้นเอง แถมยังเวลาทำงานอีก กูรู้ว่ามึงเข้าใจว่ากูหมายความว่ายังไง ซัน ใจเย็นๆนะครับ อย่าคิดมากสิ” เมฆกุมมือผมแล้วยกขึ้นไปจูบเบาๆ

“อือๆ กูขอโทษ กูก็แค่ไม่ชินจริงๆอย่างที่มึงพูดนั่นแหละ” ผมหันกลับไปยิ้มให้มัน

ผมเข้าใจเรื่องที่มันพูดทุกอย่าง แต่ในใจผมมันก็ยังคงมีความรู้สึกขัดแย้งอยู่บ้างอยู่ดี ผมไม่ค่อยชอบการเปลี่ยนแปลงอะไรเพื่อใครที่ผมไม่รู้จักและไม่ได้มีส่วนอะไรในชีวิตของผมเท่าไหร่นัก แต่ถึงยังไงสิ่งที่ไอ้เมฆพูดมาก็ถูกหมดทุกอย่าง สภาพสังคมของที่นี่กับที่นั่นมันไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะที่ตอนนี้พวกเราต่างก็เป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว จะทำอะไรตามใจแบบเด็กๆก็คงไม่ได้ และที่สำคัญ ตอนนั้นเราเคยชินกับการใช้ชีวิตอยู่กับกลุ่มคนที่ยอมรับและเข้าใจเรา นั่นก็คือครอบครัวของผมเอง แต่ตอนนี้ นับจากนี้ไปมันไม่ใช่อีกแล้ว เราต้องพึ่งพาคนแปลกหน้าคนอื่นๆอีกมาก และก็ถึงเวลาที่ต้องรู้จักวางตัวให้เหมาะสมในฐานะผู้ใหญ่แล้วสักที

ดูท่าผมคงต้องหัดเรียนรู้และรู้จักการปรับตัว การทำตัวให้อ่อนลง และรู้จักยอมคนอีกมากขึ้นเยอะๆเลยซะแล้ว

“เอ้าๆ มึงอย่าเพิ่งเครียดกัน อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิวะ กูไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้นสักหน่อย อย่าลืมว่าตรงนี้ก็เพื่อนๆกันทั้งนั้น แถมทุกคนมันก็รู้กันอยู่แล้ว่ามึงสองคนสนิทกันขนาดไหน มึงจะจับจะต้องกันมั่งก็ไม่มีใครสงสัยหรอกน่า”

“เออๆ กูผิดเองแหละ กูชอบใจร้อนขี้หงุดหงิดแบบนี้อยู่เรื่องไปเอง ขอโทษทีว่ะ กอล์ฟ”

“ไม่ต้องๆ เลิกๆๆ เลิกซีเรียสได้แล้ว แต่จะว่าไปกูเองก็แปลกใจนะ ไอ้ซัน.....” ไอ้กอล์ฟมองหน้าผมแล้วยิ้มแปลกๆ จากนั้นก็หันไปมองหน้าไอ้เมฆ “กูต้องนับถือมึงเลยไอ้เมฆ ที่ทำให้ไอ้ซันมันเชื่องลงได้ขนาดนี้น่ะ แต่ก่อนนี้จะได้เห็นมันมีสีหน้าหรืออยู่ในสภาพแบบนี้ได้นี่แทบจะต้องฝันเอาอย่างเดียวเลยนะเว้ย สี่ปี ไม่สิ มึงไปอยู่กับมันแค่สามปี จากเสือเลยกลายเป็นแมวไปเลย” ไอ้กอล์ฟหัวเราะชอบใจ

“ไม่ใช่แมวธรรมดาๆนะมึง แต่เป็นลูกแมวในกำมือเลยด้วย” ไอ้ตัวดีหัวเราะเพราะเข้าทางมันเลยนี่

“ปากดีอีกแล้วนะค้าบบ คุณเมฆ ไอ้สัตว์” พอพูดจบผมก็บีบตรงชายโครงของมันที่ถูกต่อยมาเมื่อคืนแรงๆ ทำเอาไอ้เมฆร้องออกมาเสียงดังพร้อมกับสะดุ้งจนสุดตัว “แล้วดูซิว่าตอนนี้ใครอยู่ในกำมือใคร”

เราสองคนเห็นไอ้กอล์ฟมีสีหน้าประหลาดใจกับอาการของไอ้เมฆ แต่เราก็ขี้เกียจจะอธิบายกันแล้ว เลยบอกมันไปว่าให้รอคนมาเยอะๆแล้วค่อยไปถามไอ้วิทเอาเองทีเดียว

“ว่าแต่ไอ้เรื่องงานวิวาห์เนี่ย คิดไปคิดมากูว่ามันก็เป็นความคิดที่ดีเหมือนกันนะ.......” เมื่อสิ้นประโยคไอ้กอล์ฟ พวกเราสองคนก็มองหน้ามันด้วยความแปลกใจระคนตกใจทันที “เฮ้ย ไม่ถึงขนาดนั้น มึงสองคนอย่าเพิ่งทำหน้าแบบนั้นดิ่ แต่หมายถึงมึงก็เปิดตัวหรืออะไรแบบนั้นไปเลยน่ะ ก็อย่างที่พวกมึงบอกไง เพื่อนๆกันทั้งนั้น แถมทุกคนก็รักพวกมึงกันมากด้วย นอกจากนั้นพวกเราก็รู้ๆกันอยู่แล้วว่ามึงอ่ะรักกันสนิทกันมากแค่ไหนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และนี่ก็ไปเรียนที่อังกฤษด้วยกัน ถ้าเกิดกลับมาแล้วมึงจะกลายมาเป็นแฟนกันแบบนี้ กูว่าพวกมันก็คงไม่ช็อคเท่าไหร่หรอกมั๊ง”

“นี่มึงพูดจริงเหรอวะ ไอ้วิท” ผมพูดขึ้นหลังจากมองหน้ากับไอ้เมฆเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง

“พูดน่ะจริง กูหมายความทุกอย่างแบบที่กูพูด แต่ทุกอย่างมันก็อยู่ที่มึงสองคนตัดสินใจเอาเอง นี่ไอ้ซันไอ้เมฆ มึงคิดดู ต่อให้มึงสองคนใส่แหวนนิ้วอื่นเพื่อปกปิดเอาไว้ด้วยแบบที่มึงกำลังทำอยู่นี่น่ะ แต่แหวนหมั้นหรือแหวนแต่งงานเหี้ยอะไรของพวกมึงนี่มันเป็นแหวนทองนะเว้ย แถมมีเพชรอีกต่างหาก เด่นออกมาเลย และที่สำคัญ หน้าตาเหมือนกัน อยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายทั้งคู่ และมึงก็อยู่กันเป็นคู่ตลอด เพื่อนๆเราหลายคนน่ะไม่ได้เจอมึงมานานแล้ว บางคนไม่ได้เจอพวกมึงเลยด้วยซ้ำ พวกมันต้องสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของพวกมึงทุกอย่างอยู่แล้วว่ะ นอกเสียจากมึงไม่อยากให้ใครรู้จริงๆ มึงก็ต้องถอดแหวนออกตลอดเวลาที่เหลืออยู่นี่จนกว่าจะกลับกรุงเทพ”

ผมกับไอ้เมฆหันมามองหน้ากันอีกครั้ง ถึงจะไม่มีคำพูดใดๆออกมาระหว่างเรา แต่ผมก็รู้ได้เลยว่ามันเองก็กำลังคิดหนักเหมือนกับผมอยู่เช่นกัน ตอนที่เราอยู่ที่อังกฤษนั้นเราแทบไม่เคยถอดแหวนออกจากนิ้วของพวกเราเลย เพราะเราไม่ได้เรียนคณะเดียวกัน เพื่อนก็คนละกลุ่มกัน และถึงจะในกลุ่มๆเพื่อนสนิทที่เราสองคนใช้เวลาอยู่ด้วยบ่อยๆ พวกนั้นก็รู้เรื่องของเราสองคนดีอยู่แล้ว เพราะว่าเราไม่ได้ปิดบังอะไร เราแทบไม่เคยต้องฝืนหรือปกปิดตัวเองเลย เนื่องจากที่นั่นมันไม่ใช่สังคมของเราถาวร เราไม่ได้สนใจคำนินทาภาษาอังกฤษลับหลังพวกเราอยู่แล้ว และที่สำคัญคือคนส่วนมากที่นั่นไม่ใช่กลุ่มคนที่เราจำเป็นต้องแคร์ และพวกเขาก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวและผูกพันกับพวกเรามากเท่ากับเพื่อนๆของเราพวกนี้ด้วย

“มึงว่าพวกมันจะรับเรื่องของเราสองคนได้กันมั๊ยวะ” ไอ้เมฆถามผมหลังจากที่เราเงียบกันไปพักหนึ่ง

“ไม่รู้ว่ะ........ แต่กูว่าก็คงได้แหละ โตๆกันแล้วทั้งนั้น ที่สำคัญเราไม่ได้เจอพวกมันมาตั้งนานนะ เว้นแต่ว่าจะมีใครที่มันเป็นพวกแอนตี้เกย์หรือโฮโมโฟเบียแบบสุดๆและเราไม่เคยรู้มาก่อนน่ะนะ” ผมยักไหล่ แล้วหันไปมองหน้าไอ้กอล์ฟ “มีมั๊ยวะ คนแบบนั้นน่ะ”

“ไม่มีๆ” ไอ้กอล์ฟส่ายหน้า “เท่าที่รู้ไม่มี และที่สำคัญก็เป็นอย่างที่พวกมึงรู้ๆกันอยู่แล้วว่าพวกเราน่ะรักกันมากนะเว้ย และพวกมันก็รักมึงสองคนมากด้วย ทีพวกกูที่เป็นผู้ชาย แถมยังสนิทกับพวกมึงที่สุดรู้เรื่องเมื่อตอนมอหก กูว่าพวกกูน่ะน่าจะเป็นกลุ่มที่รับพวกมึงไม่ได้มากกว่าใครๆ และเป็นคนที่มึงน่าจะกังวลว่าพอเรารู้ความจริงแล้วกลัวจะเสียเพื่อนไปมากที่สุดด้วยซ้ำยังรับได้เลย แล้วนี่นับประสาอะไรกับคนอื่นวะ”

“กูไม่ค่อยอยากถอดแหวนออกอ่ะ ซัน กูงี่เง่าเปล่าวะ แบบว่าถ้าถอดแบบจำเป็นต้องถอดน่ะมันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ถ้าจะให้ถอดเพราะว่ากลัวคนอื่นรู้ความสัมพันธ์ของเราสองคนน่ะ กูยังทำใจไม่ค่อยได้ว่ะ เพราะว่าพ่อของกูก็ไม่เคยถอดแหวนออกจากนิ้วของท่านเลย กูโตมากับพ่อพร้อมๆกับสายตาที่เห็นแหวนวงนี้อยู่ที่นิ้วนางข้างซ้ายนิ้วนั้นมาตลอดนะ มันเป็นเหมือนตัวแทนความรักที่พ่อของกูมีให้แม่มาตลอดและตลอดไปจริงๆ ทั้งๆที่คนอย่างพ่อกูจะไปมีผู้หญิงคนอื่นหรือถอดมันออกเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนตอนไหนหรือเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ท่านก็ไม่เคยทำแบบนั้นเลย และตอนนี้ยี่สิบปีผ่านไปท่านก็ถอดมันออกมาให้กูเป็นครั้งแรก และคงจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วด้วย คือ เพราะงั้นกูก็เลย.........” ไอ้เมฆก้มหน้าลงแล้วหมุนแหวนในนิ้วเล่นพร้อมกับสายตาที่เหม่อลอย

จริงๆแล้วผมเองก็ไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องถอดหรือใส่แหวนเอาไว้เท่าไหร่หรอก ผมเองก็ไม่ได้อยากจะถอดมันออกหรอกนะ แต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผมเช่นกัน เพราะว่าสำหรับผมแล้ว ผมคิดว่ามันสำคัญที่จิตใจมากกว่าสิ่งของ และที่สำคัญการถอดแหวนด้วยเหตุผลแบบนี้มันก็ยังดีกว่าถอดเพราะต้องการจะปิดบังตัวเองว่ามีเจ้าของแล้วเพื่อจะเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองหรือเปิดโอกาสให้คนอื่นได้เข้ามามากกว่า เพียงแต่ผมเองก็เข้าใจเหตุผลและความรู้สึกของไอ้เมฆได้ดีทีเดียว แหวนสองวงนี้มันไม่ใช่แค่วัตถุ แต่เป็น “สัญลักษณ์” ที่แสดงถึงความผูกพันและความรักที่มั่นคงและยืนยาวอันไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา..........

“ไม่เป็นไรเมฆ ซันเข้าใจ งั้นเราก็ไม่ต้องถอดก็แล้วกันนะ ก็ให้มันรู้ๆกันไปเลยว่าเรารักกัน ไม่ต้องถึงกับขั้นป่าวประกาศให้ทุกคนฟังหรอก แต่ถ้ามีใครถามก็บอกไปตามตรง และเดี๋ยวมันก็แพร่ไปเองนั่นแหละเนอะ ถ้าเมฆลำบากใจ เดี๋ยวซันเป็นคนพูดให้เอง เมฆอยู่เงียบๆเฉยๆก็ได้ ไม่ต้องกังวลนะครับ”


..................................


เด๋วได้ปั่นต้นฉบับไม่ทันแหงๆ เอิ๊กกกก  o9


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-11-2007 19:34:54 โดย ExecutioneR »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด