]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)  (อ่าน 163963 ครั้ง)

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
ก้อชอบเมฆอ่ะ

จะทำมัยยยยย  :m3: :m3:

ก้อคิดดูนะคับ (ได้เวลาแฉ)

ตาต้นให้ผมมาดัน เพราะว่า

ขี้เกียจเอามาลงตอนต่อไป คิดดู๊ๆๆๆ :m26: :m26:

tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป
ก้อชอบเมฆอ่ะ

จะทำมัยยยยย  :m3: :m3:

ก้อคิดดูนะคับ (ได้เวลาแฉ)

ตาต้นให้ผมมาดัน เพราะว่า

ขี้เกียจเอามาลงตอนต่อไป คิดดู๊ๆๆๆ :m26: :m26:




อูยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


ได้ดันตูดคนข้างบนแร่ะ  สบายใจจังเลย


ปล.  ไม่ค่อยอยากรับ  SMS  ตอนตีสองเล้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย  แบบกำลังหลับสบายอ่ะ



ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
^
^

ไม่ขึ้นมาโกด
ปล. ได้ตอนตีสองเหมือนกัน แม่มม กำลังเคลิ้มๆ เซ็งห่าน


..................................................


ตอนที่ 7


ผมลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเพราะถูกปลุกโดยไอ้เมฆ มันเขย่าตัวผมเบาๆและกระซิบที่หูของผม

“ซัน ตื่นเหอะ ไปกับกูหน่อย”

“ไปไหนวะ กี่โมงแล้วเนี่ย” ผมหยีตาแล้วมองไปรอบๆห้อง ทั่วทั้งห้องยังคงมืดอยู่เลย

ไคล์ยังคงนอนอยู่ข้างๆผม ผมพยายามนึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนตอนหลังจากงานจบลง เราแบ่งบ้านกันเป็นสองหลัง และในห้องนอนใหญ่นี้ก็มีผม เมฆ กับไคล์นอนด้วยกันสามคน ส่วนตอนนี้หน้าบ้านบริเวณห้องรับแขกกับห้องนอนอีกห้อง ผมคิดว่าคงจะมีคนนอนระเกะระกะกันอยู่อีกหลายคนแน่ๆ

“ตีห้าจะครึ่งแล้ว เบาๆหน่อย เดี๋ยวไคล์ตื่น” เมฆจุ๊ปาก

“เพิ่งตีห้าแล้วมึงปลุกกูทำมายอ่า เมื่อคืนกว่าเราจะได้นอนก็เกือบตีสองแล้วนะ” ผมงัวเงีย

“ไปเดินเล่นกัน กูอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นกับมึงนะ”

คำว่า “กับมึง” ที่มันเพิ่งพูดทำให้ผมตื่นขึ้นเต็มตาเกือบจะในทันที

“อืมๆ ไปก็ไป มึงไม่สบายใจอะไรรึเปล่าเนี่ย” ผมลุกขึ้นนั่งที่ขอบเตียง ไคล์ขยับตัวเล็กน้อย ทำให้ผมกับไอ้เมฆต้องหยุดเคลื่อนไหวลงทันที

“ไปล้างหน้าเถอะ เดี๋ยวกูรออยู่หน้าบ้านนะ” ไอ้เมฆพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากเงียบไปราวๆสิบวิ พร้อมกับเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ ผมสังเกตเห็นว่ามันเองก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน ไม่รู้ว่ามันตื่นขึ้นมาตั้งแต่กี่โมงกันแน่

ผมรีบล้างหน้าแปรงฟันอย่างรวดเร็วจากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินผ่านเหล่าทหารที่นอนตายกันเกลื่อนในสงครามเซียงกงราวๆห้าศพในห้องนั่งเล่นออกไปหาไอ้เมฆที่หน้าบ้าน เมื่อผมเดินออกไปก็เห็นไอ้เมฆที่ใส่กางเกงขาสั้นสีขาวกับเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนไม่ได้กลัดกระดุมยืนรออยู่แล้ว

“ป่ะ ไปเดินเล่นดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน” ไอ้เมฆหันมาพูดกับผมพร้อมรอยยิ้ม

“ไอ้เดินน่ะเดินได้ แต่ไม่เอาเดินแล้วเจอเรื่องแบบครั้งก่อนๆแล้วนะครับ ศิลา”

ไอ้เมฆหัวเราะชอบใจ “ถ้าครั้งนี้ยังเจอเรื่องอีก กูว่าเราต้องไปทำบุญเจ็ดวัดล้างซวยซะแล้วว่ะ”

ตั้งแต่มาถึงที่นี่เราสองคนยังไม่เคยเดินชายหาดด้วยกันตามลำพังในตอนเช้ามืดแบบนี้เลย ผมนั้นเป็นคนไม่ชอบความวุ่นวาย ส่วนไอ้เมฆก็เป็นคนที่ชอบความเงียบสงบ ถึงหลายๆสิ่งหลายๆอย่างในตัวเรามันจะแตกต่างกัน แต่ความเหมือนในจุดเล็กๆนี้ก็ช่วยหล่อหลอมให้เราสองคนให้เข้ากันได้อย่างดี และทะเลในยามเช้าตรู่ของที่นี่ก็แทบจะไม่ต่างไปจากเมื่อคืนหรือเมื่อคืนก่อนมากนัก มันช่วยมอบความสบายใจและความสดชื่นให้แก่เราทั้งคู่ได้อย่างดีทีเดียว ความมืดที่ยังคงปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นดินและผืนน้ำ กับแสงสว่างรำไรที่กำลังโผล่พ้นผืนน้ำราวกับลมหายใจแรกของพระอาทิตย์ ความอบอุ่นจากแสงแดดน้อยๆที่ค่อยๆคืบคลานสาดส่องไปทั่วเพื่อสร้างวันใหม่ให้ชีวิตของเรานั้น มันช่วยปลอบประโลมความกังวลและความเครียดจากเรื่องราวต่างๆที่เราเพิ่งจะเจอและต้องเผชิญหน้าต่อไปได้เป็นอย่างดี พระอาทิตย์นี้ก็ช่างยิ่งใหญ่และรู้ใจมนุษย์ตัวเล็กๆอย่างเราเหลือเกินที่ไม่พรากความหนาวเย็นไปจากเราในคราเดียว แต่กลับค่อยๆมอบความอบอุ่นให้แก่พวกเราทีละน้อยๆจนกว่ามันจะขึ้นสู่จุดสูงสุดบนท้องฟ้า

“คิดถึงพีเหมือนกันเนอะ” เมฆพูดขึ้นขณะที่เราสองคนยังคงเดินทอดน่องกันอยู่อย่างช้าๆ

“อืมม ถ้ามันรู้ว่าเราเจออะไรมาในช่วงสองสามวันนี้มันต้องเป็นห่วงมากแน่ๆเลยว่ะ ว่าแต่มึงเจ็บแผลรึเปล่า”

“ก็นิดหน่อยนะ คือ....... จริงๆแล้วเมื่อคืนกูก็นอนไม่ค่อยหลับด้วยแหละ มันปวดๆแผลน่ะ”

“แล้วทำไมมึงไม่ปลุกกูวะ แบบนี้มึงก็อดนอนน่ะสิ เมฆ”

“ก็กูไม่อยากกวนมึง ปลุกมึงขึ้นมากูก็ไม่ได้หายเจ็บแผลนี่หว่า แถมมันไม่ได้เป็นมากขนาดนั้นหรอก กูก็แค่รำคาญๆเท่านั้นเอง ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้ากูทนไม่ไหวกูต้องบอกมึงแน่ๆ”

“ให้มันได้อย่างนั้นก็แล้วกัน........... แต่ถ้าไม่ไหวก็บอกก็แล้วกัน ไม่ใช่แค่เรื่องแผลนะ แต่หมายถึงถ้าง่วงด้วย มึงจะนอนจะงีบหลับอะไรเมื่อไหร่ก็บอกก็แล้วกัน เข้าใจรึเปล่า”

“ครับผม รับทราบครับ” ไอ้เมฆรับคำพร้อมรอยยิ้ม

เราสองคนต่างคนต่างเงียบกันไปอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ไอ้เมฆจะเป็นฝ่ายเริ่มพูดออกมาอีกครั้งเบาๆ

“นี่ ซัน มึงชอบพระอาทิตย์ขึ้นหรือพระอาทิตย์ตกมากกว่ากันวะ”

“กูเหรอ....... อืมมมม....... ก็คงเป็นพระอาทิตย์ตกมั๊ง อากาศที่ค่อยๆเย็นลง แสงแดดเศร้าๆสุดท้ายของพระอาทิตย์ กับบรรยากาศที่เหมือนกับกำลังจะกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้งน่ะนะ”

“แต่กูชอบพระอาทิตย์ขึ้นนะ แสงสีส้มที่ค่อยๆทอดผ่านพ้นน้ำออกมาช้าๆ ความหนาวเย็นค่อยๆจางหายไปเป็นความอบอุ่น และความเงียบสงบสุดท้ายที่เราจะสามารถซึมซาบได้ก่อนที่ความวุ่นวายของชีวิตจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง มันเหมือนกับว่าเป็นช่วงเวลาอันมีค่าที่สุดที่ธรรมชาติมอบให้แก่เราในช่วงเวลาเพียงอึดใจแค่ไม่กี่วินาทีที่เราต้องรีบตักตวงไว้น่ะ”

“อืม กูเข้าใจที่มึงพูด มึงรู้มั๊ยว่ามึงตอบสมกับเป็นมึงจริงๆเลยนะ” ผมโอบมันเข้ามาไว้ในเอวเบาๆ กลัวว่ามือจะไปโดนแผลเข้า “ว่าแต่นี่มึงยังไม่ได้ทำแผลเลยใช่มั๊ย”

ไอ้เมฆส่ายหน้า “นี่ แล้วมึงเคยคิดถึงขอบฟ้าบ้างมั๊ยวะ”

“ขอบฟ้าเหรอ” ผมนิ่วหน้า

“ช่าย ขอบฟ้าน่ะ เส้นต่อระหว่างผืนน้ำกับท้องฟ้า เส้นต่อระหว่างพื้นดินกับผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ มึงว่ามันเป็นยังไง”

“ไม่รู้ว่ะ อันนี้กูตามมึงไม่ทันแล้ว” ผมส่ายหัวเบาๆ

“ก็ไม่มีอะไรต้องตามหรอก ก็แค่ มึงคิดดูดิ่ มึงเป็นท้องฟ้า หรือแม้แต่ตัวพระอาทิตย์เองก็ตามน่ะนะ ไคล์เป็นผืนน้ำ สมมติว่าเป็นน้ำทะเลนี่ก็ได้ พีเป็นผืนดิน ส่วนกูก็เป็นก้อนเมฆ หรือเป็นแค่ก้อนหินที่ได้แต่มองพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกอยู่ทุกวัน เราทุกคนได้เห็นและได้ดื่มด่ำกับช่วงเวลาทุกช่วงเวลาของวัน ทั้งช่วงเวลาที่เศร้าที่สุดของพระอาทิตย์ตก และช่วงเวลาที่ยินดีที่สุดยามพระอาทิตย์ขึ้น....... แต่เส้นขอบฟ้าล่ะ เป็นยังไง”

“แล้วมึงว่ามันเป็นยังไง”

“กูว่ามันก็คงจะเหนื่อยน่าดูล่ะมั๊งนะ” เมฆค่อยๆทิ้งตัวนั่งลงลนพื้นทราย สายตาจับจ้องไปยังพระอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นน้ำขึ้นมาช้าๆเบื้องหน้า

“เหนื่อยเหรอ ทำไมวะ” ผมนั่งลงข้างๆมัน

“ก็มึงดูสิ มันต้องรับภาระเป็นคนที่คอยแบ่งกั้นระหว่างความสุขและความเศร้าของวันเอาไว้นะ นี่ถ้าลองนึกง่ายๆ ถ้ามันเขยิบขึ้นไปสูงกว่านี้อีกสักหน่อย พระอาทิตย์ก็คงตกเร็วขึ้นและกว่าจะขึ้นก็คงช้าลงอีก ใช่มั๊ยล่ะ แถมถ้ามันไม่สามารถทอดยาวเคียงคู่ไปกับท้องฟ้าและพื้นน้ำได้แบบไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้ล่ะก็ ความงดงามทั้งหมดนั้นมันก็คงจะไม่มี”

“กูพอจะเข้าใจแล้ว มึงหมายความว่าขอบฟ้านั้นก็มีความสำคัญในตัวของมันเองมากไม่แพ้ทุกๆสิ่ง แต่คนเรากลับไม่ค่อยได้คิดถึงมันกันใช่มั๊ย”

“ใช่ แต่ถึงจะสำคัญมากขนาดไหนนะ มันก็ยังไม่มากไปกว่าความสวยงามของช่วงเวลาสั้นๆยามพระอาทิตย์ขึ้นและตกอยู่ดีนั่นล่ะ......... นี่ และมึงลองคิดดูสิว่าทำไมมันถึงได้ถูกเรียกว่าขอบฟ้า ทำไมไม่เรียกว่าขอบดินหรือขอบน้ำ”

“เออ อันนี้น่าคิด แล้วมึงคิดไว้รึยังว่าทำไม กูว่ามึงต้องมีคิดเอาไว้แล้วด้วยแน่ๆใช่มั๊ย”

“ม่ายรู้สิ” ไอ้เมฆยักไหล่ “กูว่าอาจจะเป็นเพราะมันกั้นท้องฟ้ากับเบื้องล่างล่ะมั๊ง ไม่ได้สำคัญว่ามันกั้นท้องฟ้ากับน้ำหรือดินหรืออะไร แต่เป็นกั้นท้องฟ้ากับเบื้องล่างทั้งหมด”

“สรุปแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นท้องฟ้าอยู่ดี”

“ก็คงใช่แหละ คนเราน่ะทำลายทั้งพื้นดิน พื้นน้ำ และท้องฟ้า ทั้งน้ำเน่า ป่าไม้หมด แผ่นดินทรุด และยังขยะอีก แต่มีแค่มลภาวะทางอากาศเพียงอย่างเดียวนี่แหละที่แทบไม่สามารถทำลายความสวยงามของท้องฟ้าไปได้เลย แบบว่า ถ้าโอโซนโหว่ทีมึงก็ตายกันแบบไม่ต้องคิดกันเลยล่ะนะ เพราะตาเรามันมองไม่เห็นนี่”

“แล้วทำไมจู่ๆวันนี้เมฆถึงได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะครับ ซันไม่ได้จะขัดคอนะ แต่แปลกใจตั้งแต่เห็นเมฆตื่นแต่เช้าขนาดนั้นแล้ว ทั้งๆที่เมฆน่ะน่าจะเป็นคนที่เหนื่อยที่สุด” ผมโอบบ่ามันแล้วใช้มือลูบหัวมันช้าๆ

ไอ้เมฆนั่งเงียบไปพักหนึ่ง ตอนนี้พระอาทิตย์ก็กำลังทอแสงโผล่ขึ้นจากเส้นขอบฟ้าจนเกือบจะเต็มดวงแล้ว ความมืดมิดที่ปกคลุมเราอยู่ทั้งคู่เมื่อครู่ก็ค่อยๆจางหายไป กลายเป็นความสว่างสดใสและความอบอุ่นที่ค่อยๆแผ่ซ่านเข้ามาภายในใจของเราอีกครั้งหนึ่ง

“มึงรักกูมากมั๊ย ซัน” ไอ้เมฆถามขึ้น

“มาก มากเท่าๆกับที่มึงรักกูนั่นแหละ เมฆ”

“แล้วมึงมั่นใจมั๊ยว่ามึงจะไม่ทำอะไรให้กูต้องเสียใจ ไม่ทำอะไรให้กูต้องเจ็บช้ำอีก”

“ไม่มั่นใจเลยสักนิด ตอนอยู่ที่อังกฤษมันก็เรื่องนึงนะ แต่พอกลับมาไทยแบบนี้กูก็ยิ่งรับปากมึงไม่ได้เข้าไปใหญ่ กูเคยบอกแล้วนี่ว่ากูรักมึงมากก็จริง แต่ว่ากูก็สัญญาอะไรกับอนาคตมากไม่ได้ แต่กูจะทำให้ดีที่สุดเพื่อเราทั้งสองคน”

“อืม กูก็เหมือนกัน........ ถ้ามึงถามคำถามเดียวกันกับกูน่ะนะ กูก็คงตอบแบบเดียวกันนั่นแหละ กูรักมึงมากจริงๆ กูไม่อยากทำให้มึงต้องเสียใจรึอะไรหรอกนะ แต่ว่ากูก็ไม่มั่นใจในตัวเองเลยว่าถ้ามันเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาล่ะ เราสองคนจะต้องเสียใจกันมากขนาดไหน กูอยากจะดีที่สุดสำหรับมึง ไม่อยากจะทะเลาะกับมึง แต่ในเมื่อตอนนี้เรากลับมาอยู่ในสังคมเดิมของเราแล้ว เราอยู่ในที่ๆพูดภาษาไทย ความคิดมุมมองแบบคนไทย และที่สำคัญเรามีกันและกันอยู่แค่นี้แล้ว ไม่มีพ่อแม่มึง ไม่มีพี และเผลอๆก็ไม่มีไคล์ด้วย เพราะเขาก็ต้องเรียนและใช้ชีวิตของเขาไป ส่วนพ่อกูก็แทบไม่เคยชินกับการเห็นเราอยู่ด้วยกันแบบนั้นเลย กูว่าจากนี้ไปเราคงต้องพึ่งพาตัวเองแบบสุดๆว่ะ ทั้งเรื่องชีวิตคู่ ชีวิตส่วนตัว เรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องเงิน และเรื่องอื่นๆอีกร้อยแปด”

“แต่กูรู้ว่ามึงทำได้ เมฆ กูมั่นใจ แล้วมึงน่ะก็ชอบทำพูดนั่นพูดนี่ แต่จริงๆแล้วมึงก็ผ่านอะไรต่ออะไรมามากตั้งเท่าไหร่แล้วไม่รู้ และไอ้เรื่องที่มึงพูดมาทั้งหมดมันก็เป็นเรื่องธรรมดาจะตาย ใครๆเขาก็ทำกันทั้งนั้น เอาล่ะ กูรู้ว่าจริงๆแล้วมึงไม่ได้กังวลเรื่องพวกนั้นมากขนาดนั้นหรอกใช่มั๊ย” ผมหันไปมองหน้ามันตรงๆ

“ก็......... ไม่เชิงหรอก” ไอ้เมฆตอบแล้วเงียบไปอีกครั้งหนึ่ง

ผมถอนหายใจเบาๆ “นี่ มึงฟังกูนะ ตั้งแต่ที่เราคบกันมาเนี่ยเราสองคนเคยทะเลาะกันกี่หน”

“มึงพูดจริงหรือพูดเล่นวะที่ถามคำถามนี้” มันหัวเราะออกเบาๆ “เป็นร้อยได้มั๊ง ใครจะมานั่งนับ มึงจะบ้าเหรอ”

“ไม่ดิ่ เอาแบบทะเลาะกันจริงๆจังๆสิ แบบที่งอนกันโคตรๆ เครียดกันสุดๆ แบบแทบแตกหักกันไปเลยน่ะ”

คราวนี้ไอ้เมฆทำท่าคิดบ้างแล้ว “ถ้าถึงกับแตกหักนี่หายากนะ แต่ถ้าดูรวมๆก็คง........ ราวๆห้าหกครั้งได้มั๊ง”

“นั่นแหละคือเรื่องสำคัญ มึงคิดดู คบกันมาสามปีทะเลาะกันจริงๆจังๆห้าครั้งน่ะนะ เมฆ แล้วอะไรมันจะทำให้เราเปลี่ยนแปลงไปได้อีก เรารักกัน มึงรักกูมาก กูใจร้อน แต่มึงใจเย็น บางครั้งกูยอมมึง บางครั้งมึงยอมกู เท่านี้เองที่ทำให้เรายังคงมีทุกวันนี้ เพราะงั้นมึงก็ไม่ต้องคิดมากอีกแล้ว เข้าใจรึเปล่า”

“กูเข้าใจ....... แล้วกูถามหน่อยว่าเมื่อคืนมึงโกรธกูจริงๆมั๊ยที่กูเจ็บตัวน่ะ”

“โกรธสิ โกรธมากด้วย แต่ถึงยังไงกูก็เป็นห่วงมึงมากกว่า แล้วก็รู้สึกขอบคุณมึงด้วยที่มึงไม่ขึ้นอารมณ์ใส่กูตอบน่ะ ไม่งั้นเราคงได้ทะเลาะกันจริงๆจังๆอีกครั้งแน่”

“ถ้าเป็นปกติกูก็คงเถียงมึงแหละนะ แต่ตอนนั้นมันเจ็บ แถมยังพอเห็นสีหน้ามึงทั้งสองคืนติดๆกันแบบนั้นแล้วกูก็เถียงมึงไม่ลง กูเองถึงจะเป็นคนใจเย็นกว่ามึง แต่เวลาปะทุแล้วกูก็แรงใช่มั๊ยล่ะ แต่ว่านะ ซัน กูกลัวจริงๆ กูกลัวว่าถ้าเมื่อวานกูต้องเจ็บหนักไปแล้วมันจะเป็นยังไง....... ไม่ใช่นะ กูไม่ได้กลัวเจ็บกลัวตายหรอก แต่กูกลัวว่าถ้ากูเป็นอะไรไปมึงจะทำยังไง มึงคงจะต้องโทษตัวเอง ทำร้ายตัวเอง และที่แย่ที่สุดก็คือเราสองคนอาจจะต้องเลิกกันไปเลยก็ได้ ใช่มั๊ย”

“ไม่เมฆ กูไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอก ถึงกูจะโกรธตัวเองยังไงกูก็ไม่คิดจะเลิกกับมึง”

“ไม่จริงหรอกซัน” เมฆส่ายหน้า “มึงก็รู้ว่ามึงต้องเป็นแบบนั้น เริ่มแรกมึงจะพาลกูก่อน แต่เพราะว่ากูเจ็บมาก ได้รับบาดเจ็บโดยที่มึงช่วยอะไรไม่ได้ มึงก็จะกลับมาพาลตัวเอง โทษตัวเอง ทำร้ายตัวเองด้วยความคิด แล้วมึงก็จะเริ่มไม่คุยกับกู เพราะมึงรู้สึกแย่ จากนั้นอะไรๆมันก็จะยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ และสุดท้าย.........”

ผมนั่งนิ่ง เพราะรู้ว่าไอ้เมฆพูดถูกทุกอย่าง มันเป็นคนที่เข้าใจผมได้ดีที่สุดจริงๆไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย

“กูกลัว ซัน กูกลัวว่ามันจะเป็นแบบนั้น กูขอให้มึงสัญญากับกูสักข้อใหญ่ๆจะได้มั๊ย กูรู้ว่ามึงไม่ชอบสัญญา กูเองก็ไม่ชอบ แต่เรื่องนี้มันสำคัญกับกูมากจริงๆ”

“ก็ได้..... มึงลองพูดมาสิ ถ้ากูคิดว่ากูทำให้ได้และอยากพยายามที่จะทำ กูก็จะสัญญา”

“แต่ก่อนที่จะพูดเรื่องสัญญา มึงต้องเชื่อกูก่อนนะว่ากูจะดูแลตัวเอง กูพยายามแล้วที่จะไม่ทำให้มึงต้องเป็นห่วงอีก กูจะพยายามไม่เข้าไปยุ่งกับปัญหา แต่ถ้ามันมีปัญหาเกิดขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะเรื่องอะไรน่ะนะ กูก็จะไม่ทำให้มึงต้องเป็นห่วงแน่นอน”

“ได้ กูเชื่อมึงเรื่องนั้น คือจะว่าไปปกติกูก็เชื่อมึงอยู่แล้วล่ะนะ แต่พอเจอเข้าจริงๆมันก็อดรู้สึกไม่ดีไม่ได้”

“กูเข้าใจ” เมฆพยักหน้า “และนั่นแหละที่กูอยากถามมึงก่อนสักข้อ มึงว่าถ้ามึงกับกูกลับสถานการณ์กัน กลายเป็นมึงได้รับอันตราย มึงคิดว่ากูจะเป็นห่วงมึงมากขนาดไหน”

ผมถึงกับอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนี้ของมัน ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้หรือไม่เคยได้คาดคิดคำตอบมาก่อน แต่เป็นเพราะคำถามๆนั้นผมก็เคยถามตัวเองและเดาคำตอบไปเองหลายต่อหลายครั้งแล้วด้วยเหมือนกัน

“ใช่แล้ว ซัน กูก็คงจะไม่วิตกจริตมากเหมือนกับที่มึงเป็นหรอก และนั่นก็เป็นคำสุภาพของประโยคที่ว่า ‘กูไม่ได้เป็นห่วงมึงมากเท่าที่มึงเป็นห่วงกูนะ’ ด้วย...... คือ กูคิดว่ามึงคงรู้ดีว่ากูน่ะรักและเป็นห่วงมึงมากๆๆๆอยู่แล้ว เพียงแต่มันไม่มากขนาดนั้นเท่านั้นเอง ดูอย่างเวลาที่มึงไม่สบายสิ กูก็เป็นห่วงมึงมาก คอยดูแลมึงตลอดเวลา แต่มึงเองต่างหากที่จะไม่ค่อยสนใจกับเรื่องพวกนั้นมากนัก ใช่มั๊ยล่ะ เพียงแต่ว่าถ้าเป็นเรื่องที่มันไม่ใช่แค่อาการเจ็บป่วย แต่เป็นอะไรเหมือนที่กูโดนเมื่อคืน มึงน่ะจะบ้าไปเลย ส่วนกูกลับจะรับมือได้ดีกว่ามาก มึงรู้มั๊ยว่าเป็นเพราะอะไร”

“คงเป็นเพราะ......... ไม่สิ ไม่รู้ว่ะ กูไม่แน่ใจ” ผมส่ายหน้า

“เวลามึงป่วยน่ะ กูจะคอยดูแลมึง แต่พอกูป่วย มึงจะรู้สึกเฉยๆเพราะมันก็แค่อาการป่วย เดี๋ยวกูก็หาย มึงจะเป็นแนวๆนั้น แต่พอเป็นเรื่องแบบเมื่อคืนและเมื่อคืนก่อน กูกลับจะรู้สึกเฉยๆส่วนมึงจะกลายเป็นตรงกันข้าม นั่นก็เป็นเพราะ กูน่ะ ไว้ใจมึง กูเชื่อว่ามึงดูแลตัวเองได้ และถ้ามึงได้รับบาดเจ็บขึ้นมา กูก็จะดูแลมึงไม่ต่างกับตอนที่มึงเป็นหวัดหรืออะไรเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ว่ากูจะไม่พูดว่าทำไมมึงถึงได้รับบาดเจ็บมา มันไม่สำคัญสำหรับกูเท่าไหร่หรอก แต่มึงน่ะจะกลัวผลลัพธ์ของมันมากกว่า พอผลมันออกมาว่ากูได้รับบาดเจ็บแบบนี้ มึงก็จะโล่งใจขึ้นนิดหน่อยที่กูไม่ตาย แต่ก็จะบ่นเรื่องที่ผ่านไปแล้วแบบสุดๆ นั่นเป็นเพราะมึงยังคงไม่เชื่อใจกูว่ากูเอาตัวรอดได้มากเท่าที่กูเชื่อใจมึงเท่านั้นเอง กูพูดถูกมั๊ย”

ผมเงียบไปพักหนึ่ง พยายามกลั่นกรองสิ่งที่มันพูด “ก็อาจจะจริงของมึง...... กูขอโทษก็แล้วกัน ก็อย่างที่กูบอกนั่นแหละ กูไว้ใจมึงนะ ทุกครั้งเลย อย่างเมื่อตอนคืนแรกตอนก่อนเกิดเรื่องกูก็รู้อยู่แล้วว่ามึงจะต้องปลอดภัย ส่วนไอ้พวกเหี้ยนั่นนั่นแหละที่ต้องเป็นฝ่ายเจ็บตัว และสุดท้ายมันก็ออกมาเป็นแบบนั้นจริงๆ ถึงมึงจะเจ็บตัวนิดหน่อยก็เถอะ แต่กูก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา และมึงก็ชอบกับการได้ตกอยู่ในสถานการ์อันตรายและกดดันแบบนั้นด้วยนี่นะ แต่ไม่ว่ากูจะพยายามสักเท่าไหร่ ลึกๆแล้วกูก็ยังกลัวอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ เมฆ แต่ต่อไปกูจะพยายามไม่คิดมากอีกก็แล้วกัน”

“กูเข้าใจมึงนะ เพราะกูก็กลัวเหมือนกันนั่นแหละ ไม่ใช่ไม่กลัวเลย เรื่องแบบนั้นพลาดไปนิดเดียวมันก็ถึงตายได้ง่ายๆเลย กูเองก็เป็นห่วงมึงเท่าๆกับที่มึงห่วงกูนั่นแหละ ซัน และกูก็เป็นห่วงตัวเองด้วย เพียงแต่ว่าการแสดงออกของเรามันต่างกันเท่านั้นเอง......” ไอ้เมฆถอนหายใจออกเบาๆ “แต่คราวนี้เรามาพูดถึงคำสัญญากัน ซัน กูอยากให้มึงสัญญา สัญญาว่าจะรักตัวเองไม่น้อยไปกว่ารักกู สัญญาว่าจะรักขอบฟ้าที่คอยกั้นระหว่างความสุขและความเศร้านั้นให้ไม่น้อยไปกว่าที่มึงรักความเศร้าในยามพระอาทิตย์ตกดิน สัญญาที่จะเก็บรักษาขอบฟ้านั้นไว้เป็นขอบฟ้าเส้นเดียวกับกูตลอดไป และสัญญาว่าเวลาของเราสองคนจะเดินไปพร้อมๆกัน ไม่มีวันที่ขอบฟ้าจะยาวเกินไปกว่าเข็มวินาทีเด็ดขาด”

ผมเงียบไปอีกครู่หนึ่ง พยายามทำความเข้าใจกับคำสัญญาที่มันต้องการ และถึงแม้ผมจะไม่รู้ความหมายของคำทุกๆคำที่มันพูดออกมาอย่างแน่ชัดว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่อย่างน้อยๆผมก็คิดว่าผมเข้าใจเป็นอย่างดีว่ามันต้องการจะสื่ออะไรกับผม

เวลา ความผูกพัน ความรัก และเส้นขอบฟ้า..........

“ได้ กูสัญญา และกูขอเดิมพันด้วยขอบฟ้าของกูเลย”

ไอ้เมฆยิ้มกว้างแล้วชะโงกหน้าเข้ามาหอมแก้มผมเบาๆ แต่เมื่อมันผงะออกผมก็กลับประคองใบหน้าของมันให้เข้ามาใกล้แล้วประทับจูบลงบนริมฝีปากของมันอีกครั้ง

เราสองคนลุกขึ้นยืนแล้วจับมือเดินทอดน่องกันต่อออกไปได้อีกสักหน่อย พลันสายตาของเราก็ไปสะดุดอยู่ที่ก้อนหินสองก้อนบนพื้นทรายตรงหน้า

“เมฆ เมฆดูนั่นดิ่” ผมชี้ให้มันดูก้อนหินสีขาวและสีดำผิวกลมเกลี้ยงขนาดเล็กที่วางอยู่เคียงคู่กันเบื้องหน้า

“มีคนจงใจวางไว้หรือมันบังเอิญมาหล่นอยู่คู่กันวะเนี่ย สวยดี” เมฆพูดพร้อมกับก้มลงไปหยิบมันมาถือเอาไว้ในมือ

“ก้มๆเงยๆเนี่ย ไม่เจ็บแผลเหรอ ไอ้ตัวดี จริงๆแสบเก็บให้ก็ได้นี่” ผมพูดแบบไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักแล้วก็เดินเข้าไปโอบเอวมันเอาไว้

“ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก เอาเป็นว่า เมฆจะเอาอันก้อนสีดำเนี่ยให้ซันเก็บไว้ ส่วนเมฆจะเก็บก้อนสีขาวเอาไว้เอง ดีมะ” ไอ้เมฆยื่นก้อนสีดำให้แก่ผม “เมฆรู้ว่าซันชอบสีดำ และซันก็เหมาะกับสีดำมากกว่าจริงๆด้วยว่ะ”

“ม่ายอาว กูจะเอาสีขาว” ผมพูด

“ทำไมอ่ะ มึงชอบสีขาวเหรอ เอ้า งั้นก็ได้” ไอ้เมฆสลับมือเป็นยื่นก้อนสีขาวให้ผมแทน

“เปล่า กูชอบสีดำอย่างที่มึงพูดนั่นแหละ มันเป็นตัวแทนของกูได้ดีกว่าสีขาวจริงๆ มึงนั่นแหละคือสีขาว เมฆ แต่เพราะงั้นไงกูถึงอยากได้มึงมาเก็บเอาไว้ แล้วกูก็อยากให้มึงเก็บกูเอาไว้กับตัวด้วย แบบนั้นดีมั๊ย”

ไอ้เมฆยิ้มกว้างอย่างพอใจ “มันจะเป็นของสำคัญชิ้นแรกที่เรามีคู่กันนอกเหนือจากแหวนของพ่อและแม่ของกูนะ รักษาเอาไว้ดีๆอย่าให้หายไปจากตัวล่ะ”

“กูมีไอเดียที่จะเก็บมันเอาไว้กับตัวตลอดด้วย แต่เอาไว้เราค่อยไปทำมันพร้อมๆกันทีหลังก็แล้วกัน” ผมหยิบหินสีขาวก้อนนั้นขึ้นมาหมุนมองดูช้า จากนั้นก็หันกลับไปมองไอ้เมฆที่กำลังพินิจมองดูก้อนหินในมือของมันอยู่เช่นกัน “นี่ เมฆ กูสัญญากับมึงไปแล้วนะ แล้วมึงจะไม่สัญญาอะไรกับกูบ้างเลยเหรอวะ”

ไอ้เมฆหันกลับมายิ้มให้ผมอีกครั้ง แล้วก็คว้ามือข้างที่ผมถือก้อนหินก้อนนั้นอยู่ขึ้นไปถือไว้ในมือ จากนั้นมันก็ก้มลงมาจูบที่ก้อนหินสีขาวในมือของผมเบาๆ

“ซันครับ เมฆขอสัญญาด้วยก้อนหินก้อนนี้เลย ว่าเมฆจะรู้สึกทุกอย่างกับซันแบบเดียวกันกับที่ซันเพิ่งให้คำมั่นสัญญาเอาไว้กับเมฆ และเมฆก็จะขอเดิมพันด้วยเข็มวินาทีที่ไม่เคยมีวันหยุดเดินของเมฆเพิ่มไปอีกเลยด้วย”


ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
^
^
^
^
^
จิ้มพี่ชายซักรอบ

หึหึหึ :oo1: :oo1: :oo1:

เหนว่า อยากลองนักหนิ :m14:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
กลัวทำไมวันข้างหน้า วันนี้ได้เดินดูพระอาทิตย์ขึ้นมีความสุขเป็นไหนๆ
ซึมซับไว้ดีกว่า คิดมากปวดหัว
 :a3: :a3: :a3:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
อืมม ลืมแวะมาบอกว่า

ตอนแรกสุดนั้นไม่ใช่ตอนจบนะคับ

แต่เป็นตอนเริ่มแรกหลังจากที่ซันเล่าจบ เมฆจะกลับมาเล่าต่อเอง

ส่วนจะจบยังไงเกิดอะไรขึ้นกันแน่และจะแก้ไขยังไงได้มั๊ย

ก้อรออ่านต่อไปนะคับผม ^^


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เหอ เหอ ถึงไม่ใช่ตอนจบ แต่ก็อ่านแล้วลุ้นทุกตอนอยู่ดี  :amen:   :amen:  :amen:

eyukiz

  • บุคคลทั่วไป
ลุ้นจนตัวโป่ง

เอ้ย


ตัวโก่ง

 :a6:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ใช่ ๆ อ่านแล้วต้องลุ้น ยังกะจะชิงรางวัลแน่ะ

แล้วต้นมีรางวัลหรือป่าวเนี่ย :m21:

รางวัลคนอ่านดีเด่

นิลวัฒน์

  • บุคคลทั่วไป
ทำร้ายจิตใจจัง  :m15:
เกิดอะไรขึ้นนะ ทำไมต้องเลิกกัน
 :serius2: :serius2: :serius2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






13th Devil

  • บุคคลทั่วไป
อ่านภาค 3 จบแล้วเฟ้ย !!!  :m11:
ทีนี้จะได้ลุยอ่านภาคนี้ซักที....


ที่จริงรู้สึกว่าตัวเองล้าหลังชะมัด คุณต้นลงมาตั้ง7ตอนแล้วเพิ่งเริ่มอ่าน  :m29:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
คนแต่งเรื่องนี้  ช่างเป็นคนที่มีความคิดลึกซึ้งดี
เข้าใจคิด เข้าใจผูกเรื่อง เข้าใจหาคำ  ซึ้งดี

รักกัน  ดูที่ปัจจุบัน  ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดดีกว่า
กลัวอนาคต ก็ไม่มีความสุขพอดี  มันจะเจ็บทีหลังก็คือ เจ็บ

แต่เรื่องนี้ไม่เจ็บหรอกม้างง  ตอนแรกไม่ใช่ตอนจบนิ  อิอิ

รออ่านต่อค้าบบ  หนุกๆๆๆ  :m3:  :m3:  :m3:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 8


ตอนสายๆหลังจากที่พวกเราอันได้แก่ผม เมฆ พี่แอมป์ นัท และพี่จ๊อบกลับมาจากโรงพักอีกครั้ง นัทกับพี่จ๊อบก็เป็นกลุ่มแรกที่ขอตัวกลับกรุงเทพก่อน หลังจากมื้อเช้า นัทก็เดินเข้ามาหาเมฆแล้วบอกว่าขอคุยอะไรเป็นการส่วนตัวด้วยสักพักหนึ่ง และถึงผมจะไม่รู้แน่ชัดว่านัทนั้นอยากจะคุยอะไร แต่ผมก็ค่อนข้างแน่ใจว่าผมพอเดามันได้

และขณะที่ผมกำลังนั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขกในบ้านของไอ้วิทนั้น แบ๊งค์ก็เดินเข้ามาหาผม

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอวะ แล้วคนอื่นๆล่ะ” ผมทัก

“ยังตายกันเกลื่อนอยู่เลย เพิ่งจะสิบโมงเช้าเองนี่ เมื่อคืนหลังจากพวกมึงไปนอนกันก่อน พวกแม่งยังอยู่กันถึงตีสามกว่าแน่ะ” แบ๊งค์พูดพร้อมกับนั่งลงบนโซฟาข้างๆผม “เมฆไปไหนล่ะ”

“ไปคุยกับนัทน่ะ พวกผู้หญิงแม่งตื่นกันเร็วชิบหาย แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้กูหนีมานั่งดูทีวีที่นี่ได้ล่ะนะ”

“นั่นดิ่ แต่พวกไอ้ปองก็ตื่นแล้วนะ กำลังอาบน้ำกันอยู่ เห็นบ่นแฮ้งค์ๆกันใหญ่”

“แล้วมึงไม่เป็นอะไรกับเขามั่งเลยรึไง”

“นิดหน่อยว่ะ แต่กูไม่ค่อยแฮ้งค์หลังกินเหล้าอยู่แล้ว เมื่อคืนก็แค่เมากำลังดี”

“มึงเนี่ยนะเมากำลังดี” ผมหัวเราะหึๆในลำคอ “กูเห็นมึงเมาชิบหายตั้งแต่เที่ยงคืนแล้วนะ”

“นิดหน่อยว่ะ สงสัยเมาบรรยากาศ กูไม่ค่อยได้มากินกับเพื่อนๆเราแบบนี้นานแล้วด้วย” ไอ้แบ๊งค์หัวเราะเบาๆ

“อืม ก็ดีแล้ว กูยังแปลกใจเลยนะที่เพื่อนเรามากันได้ตั้งยี่สิบกว่าคนแบบนี้น่ะ มันทำให้พวกกูรู้สึกดีนะที่ยังเห็นทุกคนยังติดต่อแล้วก็เหนียวแน่นกันอยู่เหมือนเดิมแบบนี้น่ะ โดยเฉพาะไอ้เมฆมันยิ่งดีใจใหญ่ เพราะมันเป็นคนรักเพื่อนอยู่แล้ว มันน่ะพอไปอยู่ที่นั่นก็เอาแต่บ่นคิดถึงเพื่อนบ่อยจะตายห่าไป”

“พูดถึงเรื่องนี้แล้ว........ กูอยากรู้ว่ะว่ามึงคบกันตั้งแต่ตอนไหนเหรอ”

“ประมาณช่วงเดือนนึงหลังจากที่ไอ้เมฆมันไปอยู่ที่บ้านกูได้นะ”

“งั้นกูขอถามอีกคำถามนึงได้ป่าววะ..........”

“ได้ ก็กูบอกแล้วไงว่าถ้าใครมีอะไรสงสัยก็มาถามพวกกูได้ ถ้าตอบได้ก็จะตอบ” ผมพูดพลางกดรีโมทเปลี่ยนช่องทีวี

“มึงชอบกันมาตั้งแต่ตอนไหนวะ ตอนมอปลายน่ะเหรอ หรือไปรู้สึกชอบกันเอาตอนที่ต้องอยู่ด้วยกันที่นู่น”

“ตั้งแต่มอปลายแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีใครเริ่มทำอะไรจริงๆจังๆหรือแสดงอะไรออกมาก่อน” ผมตอบสั้นๆ ในใจก็นึกหวั่นๆความคิดของไอ้แบ๊งค์อยู่เหมือนกัน

“บางทีถ้ากูชอบใครแล้วคิดจะทำอะไรลงไปบ้างมันก็น่าจะดีว่ะเนอะ.........”

“นี่ไอ้แบ๊งค์” ผมหันหน้ากลับมามองหน้ามันตรงๆ แบ๊งค์มีสีหน้าตกใจนิดหน่อยทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงและเห็นสีหน้าของผมแบบนี้ “กูไม่รู้หรอกนะว่ามึงหมายถึงใคร แต่มึงเป็นเพื่อนกู ตอนนั้นเราสนิทกันมาก แต่ว่าหลังจากที่กูไปอังกฤษเราก็แทบไม่ได้ติดต่อกันเลย ซึ่งก็นับว่าโชคดีของมึงที่กูยังคงรู้สึกดีๆกับมึงอยู่ ส่วนกูก็ยิ่งโชคดีที่ได้เป็นเพื่อนของมึง ไม่ใช่แค่มึงด้วย แต่เป็นพวกมึงทุกคนเลย เพราะงั้นกูถึงได้วางใจที่จะบอกเรื่องของกูกับเมฆให้พวกมึงรู้กันไง เพราะงั้นนะ เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไปว่ะ ตราบเท่าที่มึงไม่อยากจะสูญเสียกูไป เราก็จะยังคงเป็นเพื่อนกันตลอดไป แบบนั้นโอเคมั๊ย”

แบ๊งค์ดูมีท่าทางไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะพูดคำๆนั้นออกไปตรงๆกับมันหรอก เนื่องจากมันไม่ได้เป็นคนพูดออกมาก่อนเอง และไม่ว่ายังไงจริงๆแล้วผมก็ไม่อยากจะได้ยินมันพูดออกมาก่อนด้วยซ้ำอยู่ดี ผมไม่อยากจะได้ยินหรือรับรู้คำๆนั้นออกมาจากปากของมัน

“กูคิดว่ามึงคงเข้าใจกูแล้วนะ หวังว่ากูคงไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มันชัดเจนไปมากกว่านี้” ผมย้ำอีกครั้ง

ไอ้แบ๊งค์เงียบไปพักหนึ่งเป็นคำตอบว่ารับรู้แล้ว ก่อนที่จะส่ายหัวพร้อมรอยยิ้มน้อยๆและหัวเราะออกมาเบาๆ “มึงนี่ไม่เปลี่ยนเลยจริงๆว่ะ ไอ้ซัน ทั้งสีหน้า น้ำเสียง และที่สำคัญ แววตาของมึงที่ยังคงสยบใครหลายๆคนได้”

ผมหันหน้ากลับไปมองยังจอทีวีอีกครั้ง

“เมื่อคืนพวกไอ้กอล์ฟมันพูดกันนะว่าไอ้เมฆมันกำราบเสือซะกลายเป็นแมวไปแล้ว แต่ดูท่าทางคงจะยังไม่จริงไปทั้งหมดว่ะ”

“ก็อาจจะถูกอย่างที่พวกมันพูดนะ แต่ถ้ากูจะเป็นแมว กูก็คงเป็นแมวสำหรับไอ้เมฆคนเดียวเท่านั้นล่ะว่ะ”

“บอกตามตรงนะซัน กูอิจฉาไอ้เมฆว่ะ....... มึง....... คงจะเข้าใจกูดีแล้วสินะ” ไอ้แบ๊งค์พูดแบบไม่ค่อยเต็มคำเท่าใดนัก

ผมพยักหน้า “ก็คงอย่างนั้นแหละ แต่กูคงให้มึงอย่างที่มึงต้องการไม่ได้ว่ะ เรื่องมันก็เท่านั้น”

“กูก็ไม่ได้คิดจะอยากได้อะไรของมึงในตอนที่มึงไม่อยากให้เหมือนกัน” คราวนี้ไอ้แบ๊งค์ตอบกลับมาอย่างเด็ดเดี่ยว

ผมหันกลับไปมองหน้าของมันอีกครั้ง และคราวนี้ไอ้แบ๊งค์ก็กำลังจ้องมองเผชิญหน้ารอรับสายตาของผมอยู่แล้ว และก่อนที่ผมจะได้อ้าปากพูดอะไรออกมาอีก เมฆ นัท และพี่แอมป์ก็เดินเข้ามาในบ้านพอดี พร้อมๆกับเพื่อนผู้หญิงคนอื่นๆที่เดินออกมาจากในห้องนอนใหญ่ทางด้านในอีกสามสี่คน

“ทุกคน นัทกับพี่จ๊อบจะกลับแล้วนะ ส่วนพี่แอมป์บอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับเราสองคนหน่อยน่ะซัน” เมฆหันมาพูดประโยคหลังกับผม และผมสังเกตเห็นว่าสายตาของมันยังไปหยุดอยู่ที่ไอ้แบ๊งค์แวบหนึ่งด้วย แต่ก็ไม่แน่ใจว่าผมคิดไปเองรึเปล่า

“นัทจะกลับแล้วเหรอ ทำไมรีบกลับจัง” เดียร์พูดขึ้นจากหน้าห้องนอน

“พี่จ๊อบต้องรีบกลับไปทำงานน่ะ ถ้างั้นนัทขอไปเก็บของก่อนก็แล้วกันนะ เมฆ” นัทหันไปพูดกับเมฆ จากนั้นก็เดินเข้าห้องนอนไป

“แล้วพี่แอมป์มีอะไรเหรอครับ” ผมหันไปถามพี่แอมป์

“กูว่าเราไปคุยกับพี่แอมป์กันข้างนอกเถอะ ซัน ในนี้สาวๆมันเริ่มออกมาหากินกันแล้ว เสียงดังว่ะ” เมฆพูดขึ้น

“แกว่าใครออกมาหากินยะ ไอ้เมฆ คนนะเว้ย ไม่ใช่ชะนี!” เสียงของเพื่อนเราดังขึ้นจากทางในห้องครัว

“อย่าเผลอหยิบกล้วยเข้าปากไปก็แล้วกัน ไม่งั้นเดี๋ยวกูจะยิ่งสับสน” ไอ้เมฆสวนกลับไป ทำให้เรียกเสียงกรี๊ดและเสียงหัวเราะขึ้นได้อีกครั้ง

“งั้นก็ไปกันเถอะ” ผมพูดพร้อมลุกขึ้นยืน แล้วก็เดินผ่านหน้าแบ๊งค์ออกไปหาเมฆกับพี่แอมป์ที่กำลังยืนรออยู่หน้าประตู

เราสามคนเดินออกจากหน้าบ้านไปนั่งที่ม้านั่งใต้ต้นสนตรงริมหาด เนื่องจากเมื่อคืนนี้ก่อนที่พวกมันทุกคนจะแยกย้ายกันไปนอน พวกมันก็ช่วยกันเก็บกวาดกันไปจนเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเช้าวันนี้จึงไม่มีขยะเหลือให้เห็นเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เหลือก็เพียงแต่ร่องรอยของการจัดงานและผู้คนจำนวนมากที่มาดื่มกินกันอยู่แถวนี้เท่านั้น

“แล้วอาร์มล่ะครับ ยังไม่ตื่นเหรอ”

“ยังเลยซัน คือจริงๆก็ตื่นมาแล้วรอบนึงล่ะนะ แต่ก็กลับไปนอนต่อ เห็นว่าปวดหัวน่ะ”

“สงสัยเมื่อคืนจะยาวเหมือนกันแฮะคนนั้น” ผมหัวเราะเบาๆ

“ท่าทางจะอยู่กับไคล์ตลอดนะ กลับมาก็ราวๆตีสองกว่าได้มั๊ง พี่ก็ไม่แน่ใจนะเพราะว่าตอนนั้นพี่หลับไปแล้ว”

“ว่าแต่ขอบคุณมากเลยนะครับพี่แอมป์ สำหรับเมื่อวานที่อุตส่าห์มา แถมยังมีของขวัญถูกใจติดไม้ติดมือมาให้พวกเราอีกด้วย”

“ไม่เป็นไรค่ะ เมฆ พี่เองอยากจะให้อะไรมากกว่านั้นด้วยซ้ำ เอาไว้กลับไปกรุงเทพแล้วไปทานข้าวกับพี่หน่อยก็แล้วกันนะคะ และคราวนี้ก็ห้ามเบี้ยวแล้วด้วยนะ”

“นี่พี่เรียกเราสองคนออกมาเพราะแค่จะชวนไปทานข้าวเนี่ยเหรอครับ” ผมถาม

“เปล่าๆ พี่แค่อยากจะคุยอะไรกับซันกับเมฆนิดหน่อยน่ะค่ะ คือ พี่เนี่ยอยากจะขอบคุณเมฆจริงๆ เมฆรู้มั๊ยเมฆนี่เป็นเหมือนพระเอกขี่ม้าขาวของสาวๆเลยนะ คืนก่อนก็ช่วยพี่ไว้ แล้วเมื่อคืนก็ยังช่วยนัทอีก แถมตัวเองยังต้องพลอยมาเจ็บตัวแบบนี้อีกด้วย”

“พี่ว่าพระเอกขี่ม้าขาว แต่ผมว่ามันเป็นตัวซวยครับ อยู่ใกล้ใครคนนั้นเป็นต้องเจอเรื่อง” ผมหัวเราะ แต่ไอ้เมฆกลับหันมามองผมตาเขียว “เออออ กูล้อเล่นๆ ถ้ามึงเป็นตัวซวยจริงก็ต้องมีคนบาดเจ็บไปแล้วสิ แต่นี่มึงช่วยคนอื่นไว้ได้หมดทุกครั้ง นี่แหละที่เค้าเรียกว่าพระเอกของจริง” ผมยิ้มกว้างแล้วดึงตัวมันเข้ามาโอบ

“เอาล่ะ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่าเนอะ คือพี่น่ะทำงานเกี่ยวกับพวกหนังสือน่ะค่ะ พี่เป็นนักเขียนแล้วก็ช่างภาพอิสระด้วย ที่มาเที่ยวที่นี่ก็มาเพื่อช๊าร์จแบตตัวเอง ทำหัวให้ปลอดโปร่ง แล้วก็เพื่อหาข้อมูลใหม่ๆด้วย จะพูดตรงๆเลยก็แล้วกัน คือพี่สนใจในตัวซันกับเมฆมากเลยค่ะ ทั้งสองคนทั้งหน้าตาดี ทั้งเก่ง แถมยังดูรักกันดีมากอีกด้วย ถ้าเป็นไปได้พี่ก็อยากจะถามทั้งสองคนว่าสนใจที่จะเป็นนายแบบให้พี่รึเปล่า”

“นายแบบเหรอครับ” ผมกับเมฆพูดออกมาพร้อมๆกันด้วยความตกใจ

“ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ แต่พี่เองก็ยังไม่ได้อยากคอนเฟิร์มอะไรนะคะ เพราะว่าพี่อยากฟังความเห็นของทั้งสองคนก่อนที่จะเจาะลงรายละเอียด คือ ตัวพี่เองน่ะเป็นนักเขียนอิสระกับช่างภาพอิสระ พี่ก็เขียนหนังสือมั่งถ่ายภาพมั่ง แล้วก็อย่างที่บอกว่าพี่น่ะชอบทั้งสองคนมากจริงๆ แถมเราก็ไม่ใช่แค่คนแปลกหน้าที่บังเอิญเดินสวนกันแล้วพี่มาชวนน้องให้เข้าวงการด้วย คือพี่จะไม่ได้ทำอะไรแบบนั้นเลย แต่ยกเว้นว่าถ้าทั้งสองคนอยากจะเป็นนายแบบหรือเข้าวงการจริงๆ พี่ก็ช่วยได้เหมือนกันนะ เพราะพี่ก็มีเพื่อนทำงานอยู่ด้านนั้นเยอะเหมือนกัน”

“เดี๋ยวๆๆนะครับพี่แอมป์ สรุปนี่คือพี่จะชวนผมกับไอ้เมฆไปเข้าวงการอะไรแบบนั้นเหรอครับ”

“เปล่าค่ะ ไม่ใช่ๆ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดไป พี่ก็แค่อยากจะถ่ายรูปซันกับเมฆเท่านั้นเอง พี่อยากให้ทั้งสองคนมาเป็นนายแบบให้พี่ถ่ายภาพน่ะ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะคุยถึงเบื้องหลังของทั้งสองคนนิดหน่อยด้วย เผื่อเป็นไอเดียให้พี่เขียนหนังสือหรืออะไรแบบนั้นน่ะค่ะ อ้อจริงสิ นี่ค่ะ นามบัตรพี่” พี่แอมป์ล้วงลงไปในกระเป๋าสตางค์แล้วยื่นนามบัตรมาให้พวกเรา “แต่พี่แค่บอกว่า ยกเว้นถ้าทั้งสองคนอยากจะออกทีวีหรือลงหนังสือจริงๆล่ะก็ พี่ว่าทั้งคู่ทำได้สบายมากๆเลยล่ะนะ”

เราสองคนยืนอ่านนามบัตรของพี่แอมป์นิ่งไปราวๆห้าวินาที ข้อมูลใหม่ที่พวกเราเพิ่งรู้และได้รับการเสนอมานี่มันทำให้เราทั้งคู่ตกใจ ประหลาดใจ และคาดไม่ถึงมากจริงๆ ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะสนใจในเรื่องพวกนั้น และไม่เคยคิดเลยด้วยว่ามันจะเกิดขึ้นกับเราสองคนได้จริงๆ

“อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจเลยค่ะ พี่ไม่ได้เร่งรัดหรืออะไร ขอย้ำอีกครั้งนะคะว่า ถ้าซันกับเมฆไม่สนใจก็แค่ปฏิเสธมา พี่ไม่ว่าเลยแม้แต่นิดเดียวจริงๆ แต่พี่ก็แค่อยากจะถ่ายรูปของทั้งสองคนเก็บไว้เท่านั้น มันมีอะไรบางอย่างในตัวของทั้งสองคนนะที่พี่ว่ามันน่าดึงดูดมากๆ คนหนึ่งนั้นจะดูแข็งแกร่งและเป็นผู้นำ ส่วนอีกคนก็ดูอ่อนโยนมากกว่า แต่พอดูดีๆแล้วจะเห็นว่าข้างในของทั้งคู่นั้นมันมีอะไรบางอย่างที่กลับกันอย่างสิ้นเชิง หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เมฆกับซันน่ะ ถ้านอกเหนือจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วล่ะก็ พี่ว่าทั้งคู่ดูราวกับเป็นแฝดต่างฝากันเลยทีเดียวนะ นอกจากหน้าตาที่ไม่เหมือนกันแล้ว พี่ว่าร่างกายของเมฆกับซันนั้นมันคล้ายกันมากๆเลย ทั้งโครงร่าง รูปร่าง และสีผิว เพียงแต่ซันจะสูงกว่ากับขาวกว่านิดหน่อยก็เท่านั้นเอง พี่ก็เลยอยากจะลองเก็บเอาความรู้สึก ความเหมือนความต่าง และก็ความน่าสนใจในตัวของทั้งสองคนที่พี่เจอมากับตัวเหล่านั้นบันทึกลงไปในภาพถ่ายดูน่ะค่ะ”

“ก็หมายความว่า ถึงเรื่องอื่นเราจะยังไม่ชัวร์ แต่พี่ก็อยากจะแค่ถ่ายรูปเราสองคนแน่ๆอย่างนั้นเหรอครับ” ไอ้เมฆถามขึ้นบ้าง

“และที่ว่าเป็นแบบถ่ายรูปนี่คือถ่ายแบบในสตูดิโอ โพสท่าเป็นเรื่องเป็นราวอะไรแบบนั้นเลยใช่มั๊ยครับ”

“ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ แบบนั้นก็ส่วนนึง แต่ไหนๆตอนนี้เราก็อยู่ที่ทะเลแล้ว พี่ก็เลยอยากได้รูปแบบอื่นด้วยมากกว่า” พี่แอมป์ยิ้ม “และจากที่พี่เห็นมาสองคืนเนี่ย เมฆน่ะเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวมาก ส่วนซันก็สามารถอ่อนโยนและเป็นห่วงเป็นใยมากได้มากเช่นกัน พี่ว่านั่นมันเป็นเสน่ห์ของทั้งสองคนที่สุดยอดไปเลย ถ้าเป็นไปได้พี่ก็อยากจะเขียนเรื่องราวอะไรประมาณนี้บ้างเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อทั้งคู่หรอกนะ เอาแค่เรื่องราวมาเป็นพล็อตเท่านั้น แต่ว่าถ้านั่นมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเมฆกับซันมากเกินไป พี่ก็ไม่ว่าอะไรค่ะ แต่ถ้าได้ถ่ายรูปของทั้งสองคนเก็บไว้นี่พี่จะดีใจมากๆเลย”

“อืมมมมม.......... ซันคิดว่าไงครับ” เมฆหันมามองหน้าผมหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง

พูดตามตรงแล้วการได้เป็นแบบถ่ายรูปให้พี่แอมป์มันก็ฟังดูน่าสนใจดีอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะถ้าได้ถ่ายคู่กับเมฆด้วยมันก็ยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่ เพราะเราสองคนยังไม่เคยได้ถ่ายรูปคู่แบบเป็นเรื่องเป็นราวแบบนั้นกันมาก่อนเลย แถมหลังๆมานี่ไอ้เมฆมันก็สนใจเรื่องการถ่ายภาพอยู่แล้วด้วย การได้ไปเป็นนายแบบให้คนอื่นแทนที่จะคอยเป็นคนกดชัตเตอร์อยู่ด้านหลังก็คงจะทำให้มันรู้สึกตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน แต่ถ้าอะไรที่มันมากไปกว่าการถ่ายรูปแบบนั้น ผมก็คงต้องขอคิดดูก่อน เพราะผมไม่ค่อยชอบให้ใครมาวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัวผมมากนัก และไอ้เมฆเองก็คงรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่ถึงยังไงก็ตาม เราสองคนก็ชอบพี่แอมป์มาก เธอคนนี้ไม่ใช่แค่คนแปลกหน้าสำหรับเราสองคนอีกต่อไปแล้ว ผมจึงค่อนข้างที่จะไว้ใจและวางใจพี่แอมป์มากอยู่พอสมควร

เพราะฉะนั้นแล้วผมจึงทำแบบที่ผมมักทำเป็นประจำเวลาที่ต้องออกความเห็น.......

ผมเลิกคิ้วหนึ่งข้างแล้วก็ยักไหล่

หลังจากที่เราคุยกับพี่แอมป์ต่ออีกนิดหน่อยจนเสร็จเรื่อง นัทก็กำลังเตรียมขนของเพื่อที่จะกลับกรุงเทพพอดี พวกเราบางคนที่ตื่นอยู่จึงเดินไปส่งนัทกับพี่จ๊อบที่รถ นัทบอกลาเพื่อนๆคนอื่นๆสั้นๆและทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับไปทำธุระของตัวเองต่อ เหลือเพียงเมฆที่ยังคงยืนรออยู่กับผมเท่านั้น และเมื่อนัทขึ้นไปนั่งรอพี่จ๊อบในรถแล้ว พี่จ๊อบที่เพิ่งวางกระเป๋าใส่หลังรถเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้ามาหาเราสองคนพร้อมกับรอยยิ้มแบบเดิมๆ รอยยิ้มแบบที่ผมไม่เคยชอบนั่นเลยจริงๆ

“แล้วเราคงได้เจอกันอีกเร็วๆนี้นะ เมฆ ซัน” เมื่อพูดจบ เขาก็ขึ้นไปนั่งด้านคนขับ จากนั้นก็ขับรถออกไป ทิ้งให้ผมกับเมฆยืนมองหน้ากันด้วยความรู้สึกแปลกๆอยู่อย่างนั้น

“มันเอาอะไรส่วนไหนคิดว่าเราจะต้องได้เจอกันอีกวะ กูไม่ได้อยากจะเจอมันอีกเลยจริงๆนะเนี่ย” ผมพูด

“กูก็ไม่รู้ แต่ก็ช่างเหอะ กูว่าเราเองก็ไปเตรียมเก็บของกลับกันมั่งดีมั๊ย วันนี้ก็ต้องกลับแล้วนี่ หรือมึงอยากจะอยู่ต่ออีกสักคืน”

“ไม่อ่ะ กูกลัวว่าพ่อมึงจะเป็นห่วงว่ะ กูว่าบ่ายๆเรากลับเลยก็ดีเหมือนกัน”

“อือ กูก็คิดงั้นเหมือนกัน งั้นเราไปเก็บของกันเหอะ จะได้ดูด้วยว่าพวกผู้ชายมันตื่นรึยัง และจะได้บอกไคล์ให้เตรียมตัวเลยด้วย”

เราสองคนเดินกลับไปที่บ้านของตัวเองอีกครั้ง และเนื่องจากตอนนี้ก็เป็นเวลาจะสิบโมงแล้ว ดังนั้นเพื่อนๆเราจึงตื่นกันครบหมดแล้วทุกคน และก็กำลังจัดสรรห้องน้ำเพื่อทำธุระกันอยู่ยกใหญ่เลยด้วย ผมบอกให้ไอ้เมฆมันเข้าไปคุยกับไอ้วิทเรื่องที่เราจะกลับกันตอนบ่ายๆนี้ ส่วนผมก็เข้ามาในห้องนอนเพื่อเก็บของทุกอย่างให้เรียบร้อย และที่นั่นไคล์เองก็กำลังจะแพ๊คของๆเขาลงกระเป๋าอยู่ด้วยเหมือนกัน

“เออดีๆ พี่กำลังจะมาบอกพอดีว่าเรากลับกันวันนี้นะ บ่ายๆเย็นๆก็กลับแล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวพ่อไอ้เมฆจะเป็นห่วงเอา” ผมเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วโยนเสื้อผ้าทั้งหมดลงบนเตียง

“ครับ ผมก็คิดอยู่เหมือนกัน ก็เลยจัดของเตรียมเอาไว้ก่อน”

“ว่าแต่เมื่อคืนเป็นไง อยู่กับอาร์มตลอดเลยรึเปล่า เออ จริงสิ ที่ไอ้เมฆมันลากเราไปคุยด้วยตอนแรกที่อาร์มมาถึงน่ะ คือเรื่องพี่กับมันใช่มั๊ย” ผมถามขณะที่กำลังยัดเสื้อผ้าลงกระเป๋า

“ใช่ครับ ศิลาเค้าให้ผมมาบอกอาร์มล่วงหน้าน่ะ เค้าจะได้ไม่ตกใจทีหลัง”

“แล้วเป็นไง ปฏิกิริยาเขาเป็นไงมั่ง”

“ก็ดีนะผมว่า ดูงงๆหน่อย แต่ก็ไม่ได้อะไร เพียงแต่ว่า....... ผมสงสัยว่าเขาเองก็เป็นเกย์เหมือนกันนะ ซัน”

“ว่าไงนะ” ผมหันมามองหน้าไคล์ทันที “ทำไมถึงคิดงั้นล่ะ หรือเค้าพูดอะไรมา” ใจของผมก็นึกย้อนไปถึงตอนที่ผมคุยกับเขาสองคนที่ชายหาดเมื่อวานตอนบ่ายๆนั่น

“เปล่าครับ เขาไม่ได้พูดอะไร แต่จริงๆแล้วที่คณะผมก็เคยได้ยินคนบางคนสงสัยอยู่เหมือนกัน ว่าอาร์มน่ะเป็นเกย์รึเปล่า เพราะไม่ค่อยสุงสิงกับเพื่อนผู้ชายเท่าไหร่ ดูเงียบๆ แล้วก็ไม่สนใจผู้หญิงเลยด้วย มีผู้หญิงมาจีบก็ไม่สนใจ”

“เฮ้ย แค่นั้นมันก็ไม่เกี่ยวนี่นา เราเองก็มีคนมาจีบเยอะแต่ก็ไม่ได้สนใจใครไม่ใช่เหรอ” ผมหันกลับไปเก็บของต่อ

“ช่าย เพราะผมบอกคนอื่นไปแล้วว่าผมมีแฟนน่ะ แถมหลายครั้งยังทำเป็นพูดไทยฟังไทยไม่ค่อยรู้เรื่องอีกต่างหาก ก็เลยรอดตัว” ไคล์หัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เริ่มพูดต่อ “และสำหรับอาร์มแค่นั้นมันก็ยังไม่เกี่ยวหรอกครับ ถ้าเมื่อคืนเขาไม่ได้มีท่าทางเหม่อๆ เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่สักอย่างบ่อยๆ และเขาก็ถามผมบ่อยมากๆด้วยว่าซันกับศิลาคบกันตอนไหน เริ่มยังไง พ่อแม่ว่าไงบ้าง ทุกอย่างเลยล่ะครับ ทุกอย่างจริงๆ ดูเขาสนใจเรื่องนี้มากจนน่าผิดสังเกต”

ผมพยักหน้าและคิดตามสิ่งที่ไคล์เพิ่งเล่าให้ฟัง ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็มันก็อาจจะน่าคิดอยู่เหมือนกันนะว่าทำไมเขาถึงต้องสนใจมากขนาดนี้ และเมื่อรวมกับความรู้สึกแปลกๆที่ผมรู้สึกเมื่อตอนนั้นแล้วมันก็พอจะเสริมให้สิ่งที่ไคล์สงสัยอยู่มันมีเค้ามากขึ้นจริงๆ

“และนอกเหนือไปจากนั้น เขายังหลุดพูดออกมาตอนที่เขาเมาด้วยว่า ถ้าเขาคิดจะมีแฟนล่ะก็ เขาก็อยากมีแฟนแบบศิลานะ”

“ว่ายังไงนะ” ผมหันกลับไปหาไคล์ทันที

“ก็ประมาณนั้นแหละ” ไคล์ยักไหล่ “แต่เขาพูดตอนเมานะ ไม่ได้พูดแบบนี้เป๊ะๆหรอก แต่ใจความก็ประมาณนี้แหละครับ”

ผมนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง กำลังคิดว่าไอ้เมฆกับอาร์มมันไปคุยกันแบบส่วนตัวสองต่อสองกันเอาตอนไหน และไอ้เมฆมันไปเผลอทำตัวน่ารักเข้าตอนไหนถึงได้ทำให้อาร์มมันมาหลงเสน่ห์เอาได้อีกคน แต่คำตอบที่ได้ก็คือไม่มีเลย เท่าที่ผมจำได้อาร์มก็ไม่เคยเข้ามาคุยหรือทำความรู้จักกันแบบจริงๆจังๆกับเมฆเลยสักครั้งเดียว เพราะฉะนั้นอาร์มก็อาจจะแค่พูดเปรยๆว่าอยากจะมีแฟน “แบบ” เมฆ ไม่ใช่ว่าอยากจะได้เมฆ “เป็น” แฟนก็เท่านั้นเอง

“เก็บของเสร็จกันรึยังคร้าบ หนุ่มๆ คนอื่นมันจะทยอยออกไปกินข้าวที่บ้านไอ้วิทกันหมดแล้วนะ และเดี๋ยวเราไปถ่ายรูปเล่นน้ำกันเหอะ จะกลับแล้วต้องเอาให้คุ้ม” ไอ้เมฆโผล่หัวเข้ามาในห้องพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า

“เออๆ จะเสร็จแล้ว” ผมรีบๆยัดของลงในกระเป๋าอย่างรวดเร็ว “แล้วจะเข้ามามั๊ยเนี่ย จะช่วยกูเก็บของรึเปล่า”

“คร้าบๆ เข้าครับ ดุจังเว้ย” ไอ้เมฆยิ้มกว้างแล้วเดินเข้าห้องมานั่งลงบนเตียง “ว่าแต่แสบเล่าให้ไคล์ฟังรึยัง เรื่องที่พี่แอมป์คุยกับเราน่ะ”

“เออ ยังเลย กูก็ลืมไปเลยนะเนี่ย”

“มีอะไรเหรอครับ หรือว่าเรื่องของอาร์ม” ไคล์ถามด้วยความแปลกใจ

“เปล่าๆ ไม่เกี่ยวกับอาร์มหรอก” ผมบอก จากนั้นเราสองคนก็เล่าถึงสิ่งที่พี่แอมป์คุยกับเราเมื่อครู่นี้ให้ไคล์ฟัง และไคล์เองก็ดูมีท่าทางตื่นเต้นและสนใจกับสิ่งที่เขาเพิ่งได้ยินไปมากทีเดียว

“ก็ดีนี่ ไม่ได้ให้ไปออกทีวีหรืออะไรอย่างนั้นสักหน่อย แค่ถ่ายรูปเอง อาร์ทดีออก” ไคล์หัวเราะเบาๆ

“ก็นี่แหละ เดี๋ยวตอนบ่ายนี้พี่แอมป์จะมาหาอีกรอบ แล้วก็จะคอยเก็บภาพเราสองคนไปเรื่อยๆน่ะนะ”

“หมายความว่ายังไงครับ เก็บภาพไปเรื่อยๆ” ไคล์ถามด้วยสีหน้าสงสัย

“ไอ้ซันมันหมายความว่า วันนี้ตอนก่อนเรากลับน่ะ พี่แอมป์เขาจะมาถ่ายรูปพวกเราตอนกำลังทำไอ้นั่นไอ้นี่ของเราไปน่ะ เราจะว่ายน้ำ กินข้าว เล่นกับเพื่อนหรือทำอะไรก็ทำไป ส่วนพี่เขาอยากกดชัตเตอร์เมื่อไหร่ก็กด อะไรประมาณนั้นน่ะไคล์ เข้าใจยัง พี่แอมป์เค้าบอกว่าอยากได้ภาพแบบเป็นธรรมชาติๆของเราสองคน และพี่ว่ามันก็น่าสนุกดีออก คงเขินๆกันน่าดู แต่ก็ฟังดูแล้วน่าสนุกดี” ไอ้เมฆพูดอย่างอารมณ์ดี

“อ้อ โอเคครับ เข้าใจล่ะ ก็ฟังดูน่าสนุกดีจริงๆนะ” ไคล์พยักหน้า

“มิน่าล่ะ คุณเมฆถึงได้ดูอารมณ์ดีเหลือเกินนะครับ ตื่นเต้นล่ะสิมึง” ผมหัวเราะเบาๆ ขณะรูดซิปปิดกระเป๋า

“ใครบอกมึง กูไม่ได้ตื่นเต้นสักหน่อย ก็แค่รู้สึกว่ามันคงแปลกดีเฉยๆเท่านั้นเอง”

“มึงนี่มันเก็บอาการไม่เคยได้เลยจริงๆนะ แล้วชอบทำเป็นปากดี” ผมทำเป็นส่ายหน้าพร้อมกับจุ๊ปาก

“หยุดเลยทั้งสองคน ก่อนที่จะมาเถียงกันอีกยกในตอนนี้” ไคล์รีบขัดขึ้น “แล้วเพื่อนๆของทั้งสองคนล่ะ รู้รึยัง ไม่งั้นเขาจะไม่แปลกใจเอาเหรอที่อยู่ๆก็มีคนอื่นมาคอยถ่ายรูปทั้งคู่อยู่แบบนี้น่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวพวกมันก็รู้กันเองแหละ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่นะ แถมคนมันหน้าตาดีทั้งคู่อยู่แล้วด้วย เลยไม่รู้จะกลัวไปทำไม” ผมดึงตัวไอ้เมฆเข้ามาโอบ “จริงมั๊ยจ๊ะ ที่รัก”

“กูจะอ้วก ไอ้ซัน หลงตัวเองไม่มีที่สิ้นสุด” ไอ้เมฆหัวเราะเบาๆ

“กูไม่ได้หลงตัวเอง แต่กูพูดความจริงและยอมรับความจริงเว้ย เพราะว่ากูจะหน้าตาดีก็เฉพาะสำหรับมึงคนเดียว กับคนอื่นกูไม่แคร์ มึงก็เหมือนกัน หล่อให้กูคนเดียวพอ ไม่ต้องไปหล่อใส่คนอื่น เข้าใจป่ะ และที่สำคัญ เวลากูอยู่กับมึงมันก็เหมือนกับกูกำลังได้ใช้เวลาอยู่กับคนที่งดงามที่สุดในโลกเลยด้วย เพราะงั้นเราสองคนจึงหน้าตาดีที่สุดเวลาที่อยู่ด้วยกันเท่านั้นไง แบบนี้โอเคมะคับ”

เมื่อผมพูดจบ ไอ้เมฆก็หน้าแดงขึ้นมาทันที ผมล่ะชอบเวลามันเขินแบบนี้จริงๆ

หลังจากมื้อเที่ยง ตอนบ่ายๆพวกเราทุกคนก็วิ่งลงทะเลกันอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย แต่คราวนี้เราทั้งเล่นฟุตบอล วอลเลย์บอล และยังหากิจกรรม เกมส์ และหาเรื่องแกล้งเพื่อนเล่นสนุกๆกันอีกด้วย เพื่อเป็นการส่งท้ายช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเราทุกคนที่มีมาตลอดสองวันนี้ ยกเว้นแต่เพียงไอ้เมฆคนเดียวที่ไม่สามารถลงน้ำและเล่นอะไรแรงๆได้เนื่องจากยังคงเจ็บแผลอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าพี่แอมป์กับอาร์มก็มาร่วมวงกับพวกเราด้วยเช่นกัน โดยพี่แอมป์นั้นจะคอยถ่ายรูปเก็บภาพของพวกเราอยู่ตลอดเวลาแทบจะทุกอิริยาบถเลยทีเดียว โดยเฉพาะดูเหมือนว่าเวลาที่ผมกับไอ้เมฆอยู่ด้วยกัน กอดกัน หัวเราะ หรือหยอกล้อเล่นกันนั้นพี่แอมป์ดูจะไม่เคยพลาดจังหวะเหล่านั้นไปเลยสักครั้งจริงๆ ตอนแรกๆนั้นเราก็รู้สึกเขินและทำตัวไม่ค่อยถูกอยู่เหมือนกัน แต่พอช่วงหลังๆ เราทั้งสองคนก็เริ่มชินและกล้าเล่นกล้องและเล่นกันเองมากขึ้นจนดูกลายเป็นเรื่องตลกและเรื่องสนุกกันไปเลย และพี่แอมป์เองก็ดูจะชอบใจมากด้วยเช่นกัน

จนกระทั่งถึงเวลาสี่โมงกว่า พวกเราทุกคนต่างก็เตรียมพร้อมที่จะกลับกันเต็มที่ ส่วนพี่แอมป์กับอาร์มนั้นจะยังคงอยู่ต่ออีกหนึ่งคืน และก่อนที่พวกเราทั้งสามคนขึ้นรถและเป็นกลุ่มแรกที่จะกลับกรุงเทพก่อน เราก็ไม่ลืมคุยกับพี่แอมป์เรื่องรูปที่ถ่ายวันนี้อีกครั้ง และนัดแนะวันที่จะเจอกันอีกครั้งเร็วๆนี้ด้วย และหลังจากนั้นก็เป็นช่วงเวลาของการบอกลาเพื่อนๆทุกคน

“แล้วเจอกันที่กรุงเทพเว้ย ทุกคน” ผมหันไปโบกมือให้ทุกคนอีกครั้งก่อนจะเดินไปยังประตูฝั่งคนขับ ซึ่งทั้งเมฆและไคล์ต่างก็เข้าไปนั่งรอในรถกันหมดแล้ว และตอนนั้นเองที่แบ๊งค์กับไอ้แป๊ะเดินตรงเข้ามาหาผม

“บอกไอ้เมฆด้วยนะ ซัน ว่ามันไม่ต้องคิดมากเรื่องทำให้พวกเราหมดสนุกเลย แบบนี้แหละ สนุกสุดยอดแล้วว่ะ” ไอ้แป๊ะพูดพร้อมยิ้มกว้าง จากนั้นมันก็หันไปมองหน้าไอ้แบ๊งค์ก่อนที่จะหันกลับมาหาผมอีกครั้ง มันส่ายหน้าเบาๆก่อนที่จะบอกลาผมอีกครั้งแล้วก็เดินกลับไป ทิ้งไว้แค่ไอ้แบ๊งค์คนเดียว

“กูขอบใจมึงมากนะ ซัน สำหรับทุกๆอย่าง.........”

ผมพยักหน้ารับ และกำลังจะเปิดประตูรถ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินสิ่งที่มันพูดต่อมา

“กูยังไม่เคยเลิกรักมึงได้เลยนะ และก็ไม่รู้ด้วยว่าจะเลิกได้รึเปล่า.......... กูขอโทษทีแต่กูแค่ต้องพูดมันออกไปว่ะ”

ผมหันกลับไปมองหน้ามันอีกครั้ง ไอ้แบ๊งค์เองก็กำลังมองหน้าผมรออยู่แล้ว ผมกับมันสบตากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ผมจะหันกลับมาเปิดประตูรถออก และสอดตัวเข้าไปบนที่นั่งคนขับพร้อมกับปิดประตูลงในจังหวะเดียวกับที่ไอ้แบ๊งค์เดินกลับเข้าไปในบ้านพอดี

“มีอะไรวะ ซัน ไอ้แบ๊งค์กับไอ้แป๊ะมันว่าไงวะ” ไอ้เมฆถามขึ้น

“เปล่า........” ผมส่ายหน้าช้าๆ “ไม่มีอะไรหรอก” ผมตอบ จากนั้นก็เข้าเกียร์และเหยียบคันเร่งเพื่อมุ่งหน้ากลับเข้าสู่กรุงเทพ


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
มีแต่รางวัลดีโด่อ่ะคับ พี่น้ำค้าง  :m30:

ขอบคุณมากนะคับทุกคน

สุขสันต์วันลอยกระทงนะคับ ขอให้มีความสุขกันถ้วนหน้า
อวยพรขอพรอะไรจากพระแม่คงคาก้อขอให้สมหวังหนา
ลอยสิ่งไม่ดีๆออกไปกันทุกคนเน้ออ

ปล. อย่าไปเผลอกลายร่างในที่สาธารณะกันซะล่ะคับ

 o13


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
อืม รู้สึกว่าคงมีปัญหามากกว่าที่เดาไว้นะเนี่ย  :a6:  :a6:  :a6:  :a6:  :a6:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ต้น..  นักสร้างปัญหาให้กับเมฆกะซัน

หาทางแก้ปัญหาให้ได้และให้ดีด้วยนะ

 :m20:

ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
ดันห้ายพี่ชายยย

กระดึ๊บๆๆๆ :oo1: :oo1:

tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป



ดันตูดคนข้างบนอีกรอบ




ส่วน  อันนี้  ผมโดนบังคับบบบบบบบบบบบบบ


ปล. ไม่ขึ้นมาจะโกดจิงๆด้วยแหละคราวนี้

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
มาดันด้วยโคนนน  หน้าเขียวไปยังอ่า  มีแต่คนมาดัน  o17

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 9


ตั้งแต่กลับมาจากอังกฤษผมก็อาศัยอยู่กับไอ้เมฆที่บ้านของมันมาตลอด ซึ่งจริงๆแล้วผมจะกลับไปอยู่ที่บ้านของตัวเองก็ได้ แต่ว่าถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็จะต้องไปอาศัยอยู่กับลุงของผมและครอบครัวของเขาในฐานะของผู้อาศัยแทน เพราะว่าบ้านหลังนั้นมันก็ไม่ใช่ของครอบครัวของผมอีกต่อไปแล้ว พ่อของผมขายมันต่อให้แก่ลุงไปแล้วเรียบร้อยเพราะว่าเขาเพิ่งย้ายลงมาจากเชียงใหม่เพื่อมาทำงานในกรุงเทพนี่ ลุงคนนี้เป็นพี่ชายของพ่อของผมที่ผมไม่ค่อยจะสนิทด้วยเท่าไหร่นัก เนื่องจากเราไม่ค่อยได้เจอกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงเขาจะดีกับผมมากและยังบอกผมว่าผมสามารถกลับไปนอนที่บ้านหลังเดิมได้อยู่ตลอดเวลา แต่ว่าเมียของเขาต่างหากที่เป็นปัญหา ผมรู้สึกว่าเธอคนนั้นค่อนข้างที่จะเป็นโรคจิตอ่อนๆ และที่สำคัญเมื่อเธอรู้ว่าผมกับไอ้เมฆคบกันในฐานะที่มากกว่าเพื่อนแล้ว เธอก็กลัวว่าถ้าผมไปนอนที่บ้านหลังเดียวกับลูกๆของเธอ ผมอาจจะกลายเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้แก่เด็กๆได้

ไร้สาระที่สุด

ดังนั้นช่วงนี้ผมจึงยังอาศัยนอนกับเมฆที่บ้านของมันไปก่อน แต่ถึงจะพูดแบบนั้นก็ตาม ยังไงๆที่บ้านหลังนี้ก็ยังให้ความรู้สึกเป็นบ้านไปไม่น้อยกว่าบ้านหลังเก่าของผมเลย ถ้าไอ้เมฆเรียกพ่อและแม่ของผมว่าพ่อเล็กกับแม่กุ้ง ผมก็สามารถเรียกลุงเอกพ่อของมันว่าพ่อเอก หรือพ่อเล็ก เพื่อแทนความหมายของคำว่าพ่อคนที่สองได้อย่างเต็มปากด้วยเช่นกัน เมฆนั้นไม่มีแม่ แม่ของมันเสียไปตั้งแต่มันเพิ่งเกิดได้ไม่นาน เพราะฉะนั้นตลอดเวลาที่มันไปเรียนอยู่ที่อังกฤษ พ่อเล็กจึงต้องอยู่คนเดียวตามลำพังมาตลอดเวลากว่าสามปีทั้งๆที่เขาเป็นครอบครัวสองพ่อลูกกันมาตลอด ดังนั้นเมื่อเรากลับมาที่ไทยอีกครั้ง พ่อเล็กจึงดีใจและดูมีความสุขมาก แต่ถึงยังไงผมก็ยังคงคิดถึงการออกไปใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังกับไอ้เมฆสองคนอยู่ดี และมันก็เข้าใจผมในเรื่องนี้ดีด้วย

“รอให้อะไรๆมันลงตัวอีกสักหน่อยก่อนแล้วกันนะ ซัน กูสงสารพ่อน่ะ ไม่ค่อยอยากทิ้งพ่อเอกไว้คนเดียวอีกแล้ว กูรู้สึกว่าช่วงนี้พ่อเค้าดูสุขภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่” เมฆพูดขึ้นเมื่อผมถามถึงเรื่องย้ายไปอยู่ที่คอนโดของพ่อผมที่เคยซื้อทิ้งเอาไว้

“กูก็รู้แหละ กูก็รู้สึกไม่ดีนะที่คิดแบบนั้น แต่จะให้อยู่กับพ่อมึงไปตลอดกูก็ไม่ไหวเหมือนกัน กูเกรงใจว่ะ เพราะเดี๋ยวกูก็ต้องซื้อรถอีก แถมไคล์มันก็รบกวนพ่อมึงมาตั้งนานแล้ว และมันก็ยังต้องซื้อรถของมันอีกด้วยเหมือนกัน แบบนี้บ้านมึงอย่างเดียวก็คงจะมีเนื้อที่ไม่พอหรอก ใช่มั๊ยล่ะ นอกจากนั้นพ่อแม่กูก็อนุมัติมาแล้วด้วย ที่เหลือก็แค่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราเท่านั้นเอง”

“มันก็จริง แต่มึงไม่ต้องมาคิดมากเรื่องครอบครัวมึงมารบกวนครอบครัวกูเลยนะ กูไปรบกวนพวกมึงมาตั้งสามปี ลืมไปแล้วรึเปล่า อืมมม แล้วก็อีกอย่างนึง...... คือ มึงจะว่ากูติดพ่อก็ได้ว่ะ กูยอมรับว่ามันฟังดูไร้สาระนะ ทั้งๆที่เราก็แค่ซื้อคอนโดและทำให้มีช่องทางที่ได้อยู่กันแบบเป็นส่วนตัว ซึ่งเราก็ยังคงสามารถกลับมาเยี่ยมหรือมานอนบ้านได้ตลอดเวลาอยู่ดี แต่กูก็ยังตัดใจทิ้งพ่อกูไปตอนนี้ไม่ลงน่ะ ซัน กูอยากชดเชยเวลาสามปีที่กูหายไปซะก่อนว่ะ”

“กูไม่ว่ามึงหรอก กูเข้าใจ” ผมปิดหน้าเวบเพจที่เพิ่งดูอยู่ลง จากนั้นก็หันเก้าอี้คอมกลับมามองมันที่กำลังนอนอยู่บนเตียง ห้องนี้เป็นห้องเก่าของมันที่มันเคยใช้นอนมาตลอดยี่สิบปีในบ้านของมันเองนั่นเอง “แต่ก็ไม่รู้สิ กูคิดเผื่อไปว่าหลังจากนี้ไคล์กับพีมันอาจจะได้มาอาศัยอยู่กับพวกเรามั่งก็ได้นะ อะไรแบบนี้น่ะว่ะ”

“อืมมม มันก็ใช่ แต่ว่าเอาไว้อีกหน่อยค่อยคิดอีกทีก็แล้วกัน ตอนนี้กูว่าเอาเรื่องงานของเราสองคนก่อน สรุปแล้ว........ เราจะเอายังไงกันดี”

ผมกับเมฆนั้นคุยกันมานานมากแล้ว และสุดท้ายเราก็ยังหาข้อสรุปกันไม่ได้สักทีว่าเราจะตกลงเรื่องงานของเรากันยังไง พ่อของไอ้เมฆนั้นเป็นผู้บริหารระดับสูงอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่ง และแน่นอนว่าถ้าเมฆคิดจะเข้าทำงานที่นี่มันก็ไม่ยากเย็นเลยแน่นอน แต่ไอ้เมฆมันก็ไม่อยากที่จะเข้าไปทำงานในฐานะของ “เด็กเส้น” มันไม่อยากจะเริ่มทำงานโดยมีฐานะที่ต่างจากคนอื่นๆในบริษัท ทั้งๆที่ผมก็เห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือเรื่องแปลกประหลาดเลยแม้แต่น้อย แต่ไอ้เมฆมันก็ยังคงยืนกรานกับความไม่มั่นใจของมันในเรื่องนี้อยู่ดี

ส่วนผมนั้นก็สามารถเข้าไปทำงานในบริษัทเก่าของพ่อผมได้ไม่ยากเลยด้วยเช่นกัน ซึ่งตอนแรกผมก็ชวนให้มันไปทำที่เดียวกับผมแล้ว แต่ไอ้เมฆก็คิดว่าถ้าเราสองคนเข้าไปทำงานด้วยกัน พร้อมกัน ในฐานะของคนที่เป็นแฟนกันแบบนี้มันคงจะไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นัก ซึ่งต่อให้เราพยายามปกปิดยังไง มันก็คงจะไม่เนียนเท่าไหร่อยู่ดี แถมพ่อของผมก็ลาออกไปแล้ว และสายตาของผู้ใหญ่และพนักงานคนอื่นๆมันก็คงจะมองเราไม่ค่อยดีด้วย แถมมันยังยกทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งส่วนมากจะเป็นข้อเสียของการทำงานด้วยกันที่เดียวกันมาให้ผมฟังอีกหลายข้อ จนผมชักจะเริ่มคล้อยตามกับมันไปด้วยแล้ว

แน่นอนว่าเราทั้งคู่ต่างก็อยากทำงานด้วยกัน อยากอยู่ด้วยกัน ไม่ค่อยอยากจะอยู่ห่างสายตากันเท่าไหร่นัก แต่ในขณะเดียวกันคำว่าช่องว่างมันก็เป็นส่วนสำคัญในความสัมพันธ์ด้วยเหมือนกัน ถึงเราจะอยู่ตัวติดกันแทบจะตลอดเวลามานานกว่าสามปีแล้ว แต่ตลอดเวลาสามปีนั้นเราก็ต้องผิดใจและทะเลาะกันเพราะไอ้เรื่องของความใกล้ชิดแบบที่แทบไม่มีช่องว่างส่วนตัวกันเลยนี่ด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้แยกกันทำงาน ผมก็ไม่ค่อยจะไว้ใจมันเท่าไหร่นัก ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจในตัวมันหรอก แต่ผมไม่ไว้ใจไอ้คนที่เข้ามาหามันต่างหาก จะว่าผมขี้หึงก็ได้ ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่ตัวไอ้เมฆเองยังไม่เคยรู้เลยว่าจริงๆแล้วผมแอบหึงมันอยู่ฝ่ายเดียวมากขนาดไหน และนั่นก็นับเป็นปัญหาใหญ่ของผมเลยด้วย

“กูว่านะ มึงไปทำงานที่เดียวกับพ่อมึงเถอะ แบบนั้นถ้าเวลาเราย้ายไปอยู่คอนโดแล้ว มึงจะได้ไม่ต้องห่างพ่อมึงมากด้วย ไม่ต้องสนใจไอ้เรื่องเด็กเส้นเหี้ยไรนั่นหรอก พ่อมึงเค้าก็ไม่ทำให้มึงดูเป็นอย่างนั้นแน่ๆอยู่แล้วล่ะ แถมกูว่าดีซะอีกที่ได้เริ่มงานแล้วได้รับการปฏิบัติดีๆมีตำแหน่งสูงๆหน่อยน่ะนะ”

“จะไปสูงได้ไงวะ จบแค่ปอตรี แถมมึงล่ะ จะไม่ทำที่เดียวกับกูแล้วใช่มั๊ย”

“อืม กูคงไปทำที่เก่าของพ่อกูแหละ พ่อกูก็ฝากให้ได้ เพื่อนพ่อกูที่รอให้กูไปทำด้วยก็มีอยู่ ว่าแต่มึงยังอยากจะเรียนต่ออยู่รึเปล่า เมฆ หรืออยากจะทำงานก่อน”

“กูอยากเรียนนะ มึงเองก็อยากใช่มั๊ยล่ะ เพราะว่าถ้าปล่อยไปนานๆเดี๋ยวมันจะขี้เกียจเอาซะก่อน แต่กูว่าถ้าเราเรียนพร้อมๆกันคงไม่เวิร์คว่ะ น่าจะสลับกัน หรือไม่ก็ให้ใครคนนึงเริ่มก่อน แล้วอีกคนค่อยเริ่มตาม ไม่รู้สิ ลองปรึกษาพ่อกูก่อนน่าจะดี”

“แบบนั้นก็ดีแล้ว ถ้างั้นตอนนี้เราพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อนดีกว่า ไปอาบน้ำแต่งตัวออกไปหาพี่แอมป์กันเถอะ กูอยากเห็นรูปเราสองคนไวๆแล้วว่ะ” ผมยิ้มกว้างแล้วลุกขึ้นเดินตรงเข้าไปหามัน

วันนี้เป็นวันที่เรานัดพี่แอมป์ไปทานข้าวด้วยกันจริงๆอีกครั้ง และเป็นวันที่เราจะได้คุยเรื่องรายละเอียดอื่นๆ และได้เห็นรูปที่พี่แอมป์ถ่ายเมื่อวันสุดท้ายของเราที่ระยองด้วย หลังจากกลับมากรุงเทพแล้วเราสองคนก็ได้คุยหารือกันถึงข้อเสนอที่พี่แอมป์บอกเราอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเย็นนี้จึงถึงเวลาที่เราจะให้คำตอบกับพี่เขาสักที

โชคดีที่พ่อเล็กมีรถอยู่สองคัน ตอนนี้เราจึงสามารถขอยืมรถคันหนึ่งไปใช้เป็นการชั่วคราวได้ แต่จะว่าไปรถคันนี้ก็เป็นรถของไอ้เมฆมันเองนั่นแหละนะ ดังนั้นเราสองคนจึงสามารถนำออกมาใช้ได้ทุกเมื่อที่เราต้องการ

หลังจากเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง เราสองคนก็มาถึงห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งที่เรานัดพบกับพี่แอมป์เอาไว้ เราสองคนเดินไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นที่นัดหมายกันเอาไว้ทันที และที่นั่น พี่แอมป์ก็กำลังนั่งรอเราอยู่แล้วพร้อมกับซองสีน้ำตาลซองใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ หลังจากการทักทายพูดคุยถามไถ่เรื่องแผลของไอ้เมฆที่ดีขึ้นมากแล้ว เรื่องทั่วๆไป และพร้อมๆกับอาหารที่เริ่มจะถูกจัดการจนเกือบหมดโต๊ะแล้ว ผมก็เป็นฝ่ายเริ่มเข้าเรื่องก่อน

“ตกลงรูปเป็นไงมั่งครับพี่ ผมอยากเห็นแล้วนะ”

“มันก็ต้องสวยมากอยู่แล้วล่ะค่ะ ขนาดอาร์มเห็นมันยังชอบเลย และพอเพื่อนๆพี่เห็นพวกเขาก็ชอบกันใหญ่เหมือนกัน”

“เพื่อนๆพี่เห็นด้วยเหรอครับ” ไอ้เมฆถาม

“ค่ะ ก็ไม่หลายคนหรอกนะคะ เพราะพี่เห็นว่ามันออกมาดูดีน่ะ แล้วก็เลยอดเอาบางรูปไปให้เพื่อนพี่ช่วยออกความเห็นด้วยไม่ได้” พี่แอมป์พยักหน้าตอบพร้อมกับล้วงมือลงไปในซองสีน้ำตาลนั่น “นี่ไง รูปของทั้งสองคน...... แล้วก็คนอื่นๆด้วย”

ภาพแรกเป็นภาพที่เราสองคนกำลังนั่งกันอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นสน ผมจำมันได้ทันทีว่าตอนนั้นเป็นตอนที่ผมกำลังเปลี่ยนผ้าพันแผลให้กับไอ้เมฆอีกครั้ง และเมื่อพี่แอมป์เห็นแบบนั้นก็รีบวิ่งเข้ามากดชัตเตอร์รัวชนิดที่เรียกได้ว่าบ้าคลั่งเลยทีเดียว ตอนแรกนั้นเราสองคนก็รู้สึกเขินอยู่เหมือนกัน แต่เราก็พยายามไม่ใส่ใจกับมันมากนักตามที่พี่แอมป์แนะนำ และในรูปนี่ก็เป็นตอนที่ผมเพิ่งจะเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ไอ้ตัวดีเสร็จและกำลังเงยหน้าขึ้นไปสบตากับมันพอดี น่าแปลกที่นี่มันก็น่าจะเป็นแค่เพียงภาพถ่ายธรรมดาๆเหมือนกับที่เราถ่ายรูปเล่นกันอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าทั้งแสง ทั้งบรรยากาศ และความรู้สึกอบอุ่นแบบเดียวกับในช่วงเวลาจริงที่ผมสบตากับมันนั้นกลับถูกสื่อออกมาได้อย่างชัดเจน

ชัดเจนมากจนผมถึงกับนั่งอึ้งไปเลยทีเดียว

“เป็นไงคะ รูปแรก นั่นน่ะเป็นหนึ่งในรูปโปรดของพี่เลยนะ พี่ชอบสายตาและรอยยิ้มของทั้งสองคนในรูปมากๆเลย แถมได้คนหน้าตาดีอย่างเมฆกับซันเป็นแบบให้แบบนี้นี่ อะไรๆมันก็ยิ่งดูสมบูรณ์แบบมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมฆน่ะยิ้มสวยมากๆเลยนะ”

ผมหันไปเห็นไอ้เมฆหน้าแดงขึ้นอีกแล้ว

“พี่ครับ ผมไม่อยากจะพูดแบบนี้เลยนะพี่ แต่ว่านี่มันสวยสุดยอดไปเลย เหมือนไม่ใช่ผมกับไอ้ซันเลยอ่ะ” ไอ้เมฆพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มเขินๆ

“หมายความว่าไงคะ ที่ว่าเหมือนไม่ใช่เมฆกับซัน”

“ก็...... ไม่รู้สิครับพี่ ดูดีเกินความเป็นจริงมั๊ง แถมยังความรู้สึกที่รู้สึกได้เวลามองรูปนี่อีกน่ะ คือ มันแปลกๆมั๊งครับ เพราะเราไม่เคยเห็นตัวเองในอารมณ์แบบนี้มาก่อนเลย” ไอ้เมฆตอบและผมก็พยักหน้าเห็นด้วยด้วยเช่นกัน

“อ๋อ เรื่องนั้นก็คงไม่แปลกหรอกค่ะ ถึงพี่จะแปลกใจนิดๆก็เถอะนะ” พี่แอมป์ตอบพร้อมหัวเราะเบาๆอย่างอารมณ์ดี ผมกับไอ้เมฆจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับพี่เขาพร้อมๆกัน “พี่น่ะเห็นด้วยเลยว่ารูปนี้ถ่ายทอดอารมณ์อบอุ่นๆออกมาได้ดีมาก ถ้าคนที่ไม่รู้จักทั้งสองคนเห็นรูปนี้นะ พวกเขาก็คงรู้สึกถึงความรักแบบเพื่อนและความอบอุ่นของมิตรภาพนี่ได้อย่างดีเลย แต่ว่าถ้าคิดและมองดูดีๆก็คงจะรู้สึกสงสัยได้เหมือนกันว่าระหว่างสองคนนี้มันอาจจะมีอะไรมากไปกว่านั้นรึเปล่า เพราะเพื่อนพี่ยังพูดเลยว่า ‘อย่าบอกนะว่าสองคนนี้เป็นแฟนกัน ไม่งั้นชั้นอกหักแน่ๆ’” พี่แอมป์หัวเราะ “เพียงแต่ว่าความรู้สึกพวกนั้นน่ะ เป็นอะไรที่ทั้งพี่และคนอื่นๆเห็นกันบ่อยมากแล้วตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกันน่ะ ทั้งสองคนแสดงออกมันมาชัดเจนมาก ยกเว้นแต่เจ้าตัวเองเท่านั้นแหละที่ไม่รู้สึก”

เมื่อได้ยินดังนั้นผมก็คิดย้อนไปถึงสิ่งที่ทั้งไอ้วิท ไอ้กอล์ฟ ไคล์ และคนอื่นๆเคยพูดเคยแซวเราเอาไว้ในทันที นี่แปลว่าเราสองคนไม่เคยรู้ตัวเลยจริงๆด้วยว่าเวลาเราอยู่ด้วยกันนั้นเราแสดงความรู้สึกเหล่านั้นออกมามากและบ่อยแค่ไหน

“พี่ดีใจนะที่สามารถเก็บเอาความรู้สึกของทั้งคู่ลงภาพถ่ายได้แบบนี้น่ะ นี่ขนาดไม่ได้จัดฉากจัดแสงนะ แต่มันก็ยังออกมาดูเป็นธรรมชาติมากๆ ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเพราะแบบนี้แหละ มันถึงยิ่งดูเป็นธรรมชาติมากๆเลย”

รูปต่อไปอีกเกือบสิบรูปที่เราดูก็มีทั้งรูปของพวกเราตอนพูดคุยกัน รูปตอนเล่นบอลและเล่นวอลเลย์บอล ตอนว่ายน้ำ และแม้แต่ภาพเปลือยอกก็ยังมีด้วย พี่แอมป์บอกว่ารูปพวกนี้เป็นรูปที่พี่เขาคัดมาแล้วเท่านั้น เพราะว่าจริงๆพี่เขากดชัตเตอร์ไปเยอะมากๆ ทำให้รูปทุกรูปที่เราดูผ่านไปนั้นมันสวยมากจริงๆ ทั้งบรรยากาศความสนุก และความสนิทสนมของพวกเรานั้นถูกถ่ายทอดลงไปในแต่ละภาพได้อย่างชัดเจนเลย และนอกเหนือไปจากรูปของพวกเราสองคนแล้วก็ยังมีรูปของเราพร้อมกับเพื่อนๆคนอื่นๆ และรูปของไคล์อีกหลายใบด้วย

“ไคล์หล่อมากเลยค่ะ ซัน พี่อดใจไม่ไหวเลยต้องขอเก็บภาพไว้สักหน่อยน่ะ คงไม่ว่าพี่นะ” พี่แอมป์พูดอายๆ “เพื่อนพี่ชอบไคล์มากเลย ถ้าน้องชายซันอยากเป็นนายแบบนะ พี่ช่วยได้สบายๆเลย และไม่ใช่แค่ไคล์ด้วยนะ ทั้งสองคนเลยก็ด้วยเหมือนกัน”

ผมกับเมฆหัวเราะเบาๆ ไอ้เรื่องผมกับเมฆไปเป็นนายแบบน่ะ ตัดทิ้งไปได้เลย เรายังไม่คิดถึงเรื่องนั้นในตอนนี้หรอก แต่สำหรับไคล์นี่ผมว่ามันก็น่ามีลุ้นเหมือนกันนะ เพราะเท่าที่รู้มาไคล์เองก็ถูกคนมารุมสนใจอยู่หลายหนด้วยแล้วเหมือนกัน ด้วยโครงหน้ารูปไข่แบบฝรั่ง ผิวสีแทนอ่อนๆที่เป็นเอกลักษณ์ของลูกครึ่งทั้งสี่ชาติ ได้แก่ ไทยจีนจากแม่ และอเมริกันเม็กซิกันจากพ่อ มันมีตาสีเขียวเข้มเป็นประกายและผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบจะดำสนิท นอกจากนั้นยังสูงถึงเกือบร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตร แถมยังร่างกายกำยำสมส่วนแบบนักกีฬาของมันนั่นด้วยอีก จึงทำให้ไม่แปลกเลยที่ไคล์มักจะตกเป็นเป้าสายตาและความสนใจของคนอื่นทั่วๆไปอยู่ตลอดเวลา

“เห็นไอ้วิทเล่าว่าไคล์เองก็เคยถูกแมวมองมาชวนอยู่เหมือนกันนี่”

“ไม่รู้พีมันจะว่ายังไงนะ ถ้าไอ้ไคล์มันเกิดดังระเบิดขึ้นมาจริงๆน่ะ” ผมหันไปยิ้มกับเมฆ

“เค้าคงไม่ว่าอะไรหรอกมั๊ง แต่ก็คงจะแอบหึงน่าดูเหมือนกัน แค่เค้ารู้ว่าไคล์มีคนมาจีบเยอะแยะนี่เค้าก็อยากจะรีบกลับไทยจะแย่แล้ว” ไอ้เมฆหัวเราะเบาๆ

พี่แอมป์มีท่าทางงงๆกับเรื่องที่เราพูด ผมกับเมฆจึงเล่าให้เขาฟังสั้นๆว่าไคล์มีแฟนอยู่แล้วที่อังกฤษและกำลังจะกลับมาไทยปีหน้านี้แล้ว ซึ่งก็ทำให้เขาต้องตกใจไปเลยเหมือนกันเมื่อรู้ว่าไคล์นั้นก็มีแฟนเป็นผู้ชาย แต่พี่แอมป์ก็สัญญาว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครแม้แต่กับอาร์มเองก็ตาม

“งั้นถ้าพี่ถามว่าแฟนไคล์หน้าตาดีเหมือนกันมั๊ยเนี่ย จะเสียมารยาทรึเปล่าคะ”

“เอาเป็นว่า...... ถ้าพี่จับผมสี่คนมาถ่ายรูปด้วยกันล่ะก็ พี่สามารถเอาไปขึ้นปกนิตยสารกระชากหัวใจสาวๆได้สบายๆเลยล่ะครับ” ผมหัวเราะพร้อมกับหยิบรูปต่อไปขึ้นมาดู และมันก็ทำให้ผมต้องยิ้มกว้างออกมา

รูปใบนี้นั้นเป็นรูปของตอนที่ผมให้ไอ้เมฆขี่หลังและกำลังวิ่งขึ้นมาจากทะเลหนีพวกเพื่อนๆของเราที่เป็นฉากแบ็คกราวนด์เบลอๆอยู่ทางด้านหลัง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ผมรู้สึกชอบรูปนี้มากๆ มากพอๆกับรูปแรกเลย ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้ดูมีความหมายลึกซึ้งอะไรเท่าไหร่นัก แต่ผมรู้สึกว่าอาจจะเป็นเพราะมันแสดงออกถึงความแข็งแรง ความห่วงใย และความรักที่ผมมีให้แก่ไอ้เมฆในรูปแบบของความมีชีวิตชีวา ความสนุกสนานในแบบเด็กๆ และความแนบแน่นในมิตรภาพของเราสองคนได้เป็นอย่างดีทีเดียวก็ได้

เราสองคนดูรูปไปเรื่อยๆช้าพร้อมกับคำอธิบายของพี่แอมป์เป็นระยะๆ และพวกมันก็สวยมากจริงๆ พี่แอมป์สามารถถ่ายภาพเก็บบรรยากาศดีๆมาได้เกือบทั้งหมดเลยทีเดียว จนกระทั่งมาถึงรูปใบสุดท้าย มันก็ทำให้ผมต้องถึงกับอึ้งไปเลย รวมทั้งไอ้เมฆเองก็ด้วย

“รูปใบสุดท้ายนี่เป็นรูปที่พี่ชอบที่สุดเลยค่ะ พี่คิดว่ามันบ่งบอกถึงทุกสิ่งทุกอย่างของทั้งสองคน ทุกสิ่งทุกอย่างของที่ทั้งคู่มีให้แก่กันได้อย่างดีที่สุดเลย”

ไม่น่าแปลกใจเลยที่พี่แอมป์จะเห็นและคิดเป็นแบบนั้น เพราะว่าแม้แต่ผมเองยังต้องรู้สึกเลยรูปนี้มันถ่ายทอดความรักและความผูกพันของเราสองคนออกมาได้ชัดเจนยิ่งกว่ารูปใบแรกเสียอีก เพราะมันเป็นรูปของผมที่กำลังนอนอยู่บนตักของไอ้เมฆบนพื้นทราย มือของผมทั้งสองข้างนั้นกำลังกุมมือของมันอยู่ โดยที่ไอ้เมฆนั้นกำลังก้มมองดูผมอยู่ด้วยสายตาและรอยยิ้มที่อ่อนโยนพร้อมกับมือข้างซ้ายที่กำลังลูบอยู่บนหัวของผม ส่วนผมนั้นแม้จะกำลังหลับตาอยู่ แต่บนใบหน้าก็กำลังมีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากที่แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผมกำลังมีความสุขอยู่มากขนาดไหน

“พี่ถ่ายรูปนี้ออกมาได้ยังไงครับเนี่ย” ผมถาม “ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่อยู่แถวนั้นน่ะ”

“โธ่ ซัน ทำไมพี่จะไม่อยู่ เราสองคนนั่นแหละที่หลงเข้าไปในโลกส่วนตัวกันเรียบร้อยแล้วจนไม่รู้เลยว่ามีใครอยู่ใกล้ๆมั่งต่างหาก”

นี่เป็นหนึ่งในน้อยครั้งเลยที่ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังอายอยู่ และไอ้เมฆก็ดูเหมือนจะรู้สึกถึงมันด้วยเช่นกัน

“พี่แอมป์ทำไอ้ซันอายนะครับเนี่ย พี่เชื่อมั๊ยขนาดผมเองยังไม่ค่อยได้เห็นเลยนะ” ไอ้เมฆหัวเราะเบาๆ “นี่ แสบ เมฆชอบรูปนี้ว่ะ ชอบมากเลยด้วย”

“เออ กูก็ชอบ” ผมพยักหน้า “มึงยิ้มสวยมากเลยรูปนี้อ่ะ จะกี่ปีผ่านไปรอยยิ้มของมึงก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆนะเนี่ย”

“แล้วยังไงต่อครับพี่ คือ ผมสองคนคุยกันแล้วครับว่าเราจะตกลงเป็นแบบถ่ายรูปให้พี่ครับ ยิ่งมาเห็นภาพพวกนี้แล้วยิ่งตัดสินใจง่ายเลย เราสองคนไม่เคยถ่ายรูปออกมาดูดีได้ขนาดนี้จริงๆเลยนะครับเนี่ย”

“โดยเฉพาะถ้าพูดกันตรงๆแล้ว เราแทบไม่เคยถ่ายรูปคู่กันเลยมากกว่าครับ มีแต่ถ่ายกันเล่นๆขำๆเท่านั้นเอง”

“และแบบนี้เราต้องจ่ายเงินซื้อรูปจากพี่มั๊ยครับ รวมทั้งรูปพวกนี้ด้วย”

“โอ๊ย ไม่ต้องเลยค่ะเมฆ เพราะว่าพี่เป็นคนอยากถ่ายเมฆกับซันเอง พี่สิที่ต้องจ่ายค่าตัวให้เราสองคนน่ะ รูปพวกนี้ถ้าเมฆอยากได้ก็เอาไปได้เลยค่ะ เพราะว่าพี่มีของพี่อีกเซ็ทอยู่ที่บ้านแล้ว ส่วนเรื่องถ่ายในสตูเนี่ย พี่ดีใจมากเลยที่ทั้งสองคนตอบตกลง แล้ว....... เรื่องอื่นๆล่ะคะ ว่าไง” พี่แอมป์ถามประโยคหลังอย่างไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นัก

“ก็........ เราสองคนคิดว่าคงไม่มีปัญหามั๊งครับ ถ้าแค่เล่าให้พี่ฟังว่าเราคบกันยังไงผ่านอะไรมาบ้างใช่มั๊ยล่ะครับ แต่ผมก็แค่อยากจะเห็นว่าพี่จะเขียนอะไรออกมาในแนวไหนแบไหนก่อนที่พี่จะทำอย่างอื่นต่อน่ะครับ แบบนั้นพี่โอเคมั๊ยครับ”

“ยิ่งกว่าโอเคอีกค่ะ เมฆ ถ้าพี่อยากจะใช้เรื่องราวของทั้งสองคนเป็นพื้นล่ะก็ พี่ก็ต้องได้รับความยินยอมเห็นชอบจากทั้งคู่ก่อนอยูแล้วล่ะค่ะ ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก” พี่แอมป์ยิ้มกว้าง

“ถ้างั้น....... ผมเก็บรูปพวกนี้ไปได้เลยใช่มั๊ยครับ”

“ได้เลยค่ะ ตามสบายเลย ส่วนมื้อนี้ให้พี่จ่ายแทนคำขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างเลยก็แล้วกันนะ ติดค้างมาตั้งแต่ตอนที่ระยองแล้วนี่”

หลังจากนั้นเราสามคนก็คุยกันถึงเรื่องการถ่ายภาพและเรื่องของไคล์อีกนิดหน่อย เพราะผมคิดว่าผมอยากจะลองยุให้ไคล์มันหันเหมาสนใจเส้นทางสายนี้ดูจริงๆก็อาจจะดีเหมือนกัน ผมรู้สึกว่ามันน่าสนุกดีออก แต่ถึงยังไงก็ต้องรอฟังความเห็นของเจ้าตัวกับของพีดูก่อนล่ะนะ

หลังจากกลับถึงบ้าน พ่อเล็กก็กำลังนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นพอดี และเมื่อเขาเห็นรูปถ่ายของเราสองคน เขาก็ชอบใจมาก ถึงขนาดจะขออัดภาพที่ผมเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เมฆเพิ่มเพื่อใส่กรอบเก็บไว้ในห้องนอนของตัวเองเลยด้วยซ้ำ และพอเราบอกว่าเราตัดสินใจตกลงจะเป็นนายแบบให้กับพี่แอมป์ เขาก็ยิ่งสนับสนุนความคิดของเราเข้าไปอีก

“พ่อชอบสร้อยคอของทั้งสองคนนะ ไปทำกันมาเมื่อไหร่ล่ะน่ะ” พ่อเล็กชี้ไปที่ก้อนหินก้อนเล็กสีดำที่ห้อยอยู่ที่คอของไอ้เมฆ

“เพิ่งทำเสร็จเมื่อวานนี้เองครับ ไอ้เดียของไอ้ตัวแสบมัน”

“เออดี เข้าใจคิดดี” พ่อเล็กพยักหน้า ผมรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ช่างเป็นคนที่อบอุ่นมากจริงๆ และถึงแม้ผมจะไม่ค่อยได้สนิทสนมกับพ่อของไอ้เมฆมันมาก่อนตั้งแต่สมัยที่เราเรียนอยู่มัธยมปลายเท่าไหร่นัก แต่พอช่วงที่ไอ้เมฆเข้าโรงพยาบาลนั้น ผมก็เกิดความรู้สึกนับถือคนๆนี้ขึ้นมามากเลยทีเดียว และยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ความรักอันยิ่งใหญ่ของเขาคนนี้ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งพ่อและแม่ให้แก่ไอ้เมฆมาตลอดเวลา และแถมยังเผื่อแผ่ความรักนั้นมาให้แก่ผมด้วย ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกรักและเคารพเขามากยิ่งขึ้นไปอีก

เราสองคนนั่งปรึกษากับพ่อเล็กถึงเรื่องงานและเรื่องแผนอยากจะเรียนต่ออีกพักใหญ่ๆก่อนที่พ่อเล็กจะขอตัวขึ้นห้องไปเตรียมตัวนอนก่อน ซึ่งหลังจากที่เขาเดินขึ้นชั้นสองไปแล้ว ผมก็สังเกตเห็นสีหน้าของไอ้เมฆที่ดูเศร้าสร้อยลงอย่างเห็นได้ชัดขึ้นมาทันที

“เป็นอะไรไป เมฆ”

“นี่มันเพิ่งสามทุ่มครึ่งเองนะ ซัน พ่อกูไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ถึงพ่อจะไม่พูด แต่กูก็รู้เลยว่าเค้ากำลังอ่อนแอลงเรื่อยๆจริงๆ” ไอ้เมฆถอนหายใจเบาๆ

“กูเข้าใจมึงนะ แต่พ่อมึงก็ยังดูแข็งแรงดีอยู่นี่นา คนแก่ก็เป็นแบบนี้แหละ นอนเร็ว ตื่นเช้า นอนน้อย อะไรพวกนั้นน่ะ มึงอย่าเพิ่งคิดมากสิ” ขณะที่ผมปลอบมันผมก็อดคิดไปถึงพ่อและแม่ของผมที่อังกฤษเหมือนกันไม่ได้

“กูก็รู้นะ แต่กูก็อดกังวลไม่ได้ว่ะ บางทีกูก็รู้สึกเสียดายเวลาสามปีที่ไม่ได้ดูแลเค้าไปเหมือนกัน เพราะพ่อกูน่ะแทบจะไม่เคยบอกอะไรกูที่จะทำให้กูไม่สบายใจสักเท่าไหร่หรอก พ่อเค้าก็ชอบพูดอยู่เพียงอย่างเดียวก็คือ ‘ความสุขของเมฆก็คือความสุขของพ่อ ไม่สำคัญหรอกว่าความสุขของพ่อจะเป็นยังไง’ อะไรพวกนั้นน่ะ และมันก็ทำให้กูไม่ค่อยสบายใจเลย กูอยากให้พ่อมีความสุขจริงๆโดยที่มันไม่ต้องเกิดมาจากกูก่อนมากกว่าน่ะ”

“อืมม กูรู้ กูเข้าใจ แต่มึงไม่ต้องกังวลนะ พ่อของมึงน่ะรักมึงมาก และเค้าก็รู้ด้วยว่าถ้าเค้ามีอะไรหรือเป็นอะไรแล้วไม่บอกมึง มึงนั่นแหละที่จะไม่สบายใจ และเค้าก็ไม่อยากเห็นมึงไม่สบายใจใช่มั๊ยล่ะ เพราะงั้นมึงเชื่อใจพ่อเถอะ อย่าคิดมากไปเองเลย พ่อมึงก็แค่เหนื่อยแหละ เมฆ คนแก่แล้วส่วนมากก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น พ่อกูก็เป็น” ผมดึงตัวมันเข้ามาโอบแล้วลูบหัวมันเบาๆ ไอ้เมฆจึงขยับตัวเป็นนอนหนุนลงบนตักของผมแทน

“อืมมม กูขี้บ่นว่ะเนอะ มึงเบื่อมั๊ย”

“ไม่อ่ะ มึงไม่ได้ขี้บ่นหรอก แบบนี้เค้าเรียกว่ามึงเป็นคนที่เป็นห่วงเป็นใยคนอื่น และรู้จักแชร์ความรู้สึกของมึงให้แก่คนที่มึงรักและไว้ใจต่างหาก ถ้ามึงไม่ได้เป็นแบบนี้กูก็คงไม่รักมึงหรอก” ผมยิ้มกว้าง

เราสองคนยังคงนั่งและนอนอยู่ในท่านั้นเงียบๆต่อไปอีกพักหนึ่ง ก่อนที่โทรศัพท์มือถือของไอ้เมฆจะดังขึ้น มันลุกขึ้นนั่งแล้วก็มองชื่อคนโทรเข้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันมามองผม มันกดปุ่มรับและหลังจากคุยอยู่สองสามคำถามว่าอีกฝ่ายเป็นใคร มันก็ลุกขึ้นเดินออกไปคุยนอกบ้าน ซึ่งทำให้ผมแปลกใจมากว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ อีกฝ่ายนั้นเป็นใครมันถึงต้องทำตัวผิดปกติแบบนี้ เพราะปกติแล้วมันจะไม่เคยมีท่าทีแบบนี้มาก่อนเลย จนหลังจากเวลาผ่านไปราวๆห้านาทีมันก็เดินกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้ง

“ใครโทรมาวะ” ผมถาม

“พี่จ๊อบ”


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ex'ecuzě

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1016
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-1
^
^
^
^
^
ดันพี่ชายอีกซักรอบ  :m19:

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ตัวละครแยะดีนะ มาใหม่อีกตัวแระ พี่จ๊อบ

อือ สองคนจะไปถ่ายแบบเหรอเนี่ย เด๋วคนก็รู้จักกันทั้งประเทศหรอก

13th Devil

  • บุคคลทั่วไป
เย้!!! ตอนใหม่ๆๆๆ
เหอๆๆ บ้าไปงั้นแหละครับ ยังอ่านไม่ถึงเลย  :m29:

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
พี่จ๊อบก็แฟนนัทมะใช่เหรอ น้ำค้าง

ชอบตอนบรรยายรูปภาพจัง
อ่านๆ ไปแล้วรู้สึกได้เลยรูปนั้นมันสวย มันสื่ออารมณ์จริงๆ

รออ่านต่อน้า  :m3:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
ฤาพี่จ๊อบจะติดใจเมฆ  :a5:  :a5:

nartch

  • บุคคลทั่วไป
สงสัยยยยยย พี่จ๊อบโทรมาไม....เป็นแฟนนัท อย่าบอกว่าจะมาชอบเมฆนะ  :m28:

หนึ่งในปัญหาที่ทำให้สองคนนี้เลิกกันสงสัย แบงค์กะจ๊อบนี่ละมั้งงงงงง ....เดา....

สงสัยมากมายยยยยย ..... o1

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ขอเวลาผมสักนิดนะครับ
ขอให้ได้ทบทวนเรื่องราวของผมกับมันสักหน่อย
ถ้าโชคดี ก็อาจจะมาต่อเรื่องให้ได้ไว
แต่ถ้าไม่ ผมกับมันก็คงต้องเลิกกัน..........

และคงใช้เวลานิดหน่อยกับการจัดระเบียบตัวเองอีกครั้ง

ขอโทษจริงๆนะครับ
จะพยายามทำใจและพาเมฆกับซันกลับมาให้อ่านอีกครั้งไวๆนะ

บ๊ายบายคับ



tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป
ขอเวลาผมสักนิดนะครับ
ขอให้ได้ทบทวนเรื่องราวของผมกับมันสักหน่อย
ถ้าโชคดี ก็อาจจะมาต่อเรื่องให้ได้ไว
แต่ถ้าไม่ ผมกับมันก็คงต้องเลิกกัน..........

และคงใช้เวลานิดหน่อยกับการจัดระเบียบตัวเองอีกครั้ง

ขอโทษจริงๆนะครับ
จะพยายามทำใจและพาเมฆกับซันกลับมาให้อ่านอีกครั้งไวๆนะ

บ๊ายบายคับ






ไม่ช่วงนี้มีแต่พวกจัดระเบียบว่ะ

กำลังจัดระเบียบตัวเองเหมือนกัน

ปล. รออีกสองสามชั่วโมงเหอะ  เรื่องสั้น ๆ  ใหม่ก็จะโพสต์แร่ะ  ทีของกรูมั่งล่ะ  อิอิอิอิ

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เข้ามาให้กำลังใจน้องต้น    :impress:

ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด