บ้านพักอลเวง
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บ้านพักอลเวง  (อ่าน 365588 ครั้ง)

ออฟไลน์ Pongkemon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เออ เตอิ้งคับ ประวัติของวันวาเลนไทน์มันแปลก ๆ อ่ะ เห็นบอกว่า เซนต์วาเลนไทน์เป็นนักบุญที่นับถือศาสนาคริสต์ แต่ไหงเรื่องราวที่เล่ามันตั้ง 260 กว่าปีก่อนคริสตกาลล่ะครับ ตามประวัติของคริสตศักราช เขาเริ่มนับตอนที่พระเยซูเกิดไม่ใช่เหรอ แล้วมีศาสนาคริสต์ก่อนพระเยซูเกิดได้ไงอ่ะ (พระเยซูถูกตรึงกางเขนตอนอายุไม่มากนักด้วย จะว่าอายุยืนถึง 260 กว่าปีก็ไม่ใช่)

ศาสนาคริสมีมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาลแล้วครับ พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แต่พระเยซูคริสเป็นผู้ลงมาไถ่บาปเพื่อมวลมนุษย์ครับ

อ๋อ พอเข้าใจครับ เท่าที่เคยศึกษามาก่อน ตอนแรกสุดมีศาสนาดั้งเดิมเลยคือศาสนายิว ซึ่งนับถือพระเจ้า(ถ้าจำไม่ผิด บางตำราจะใช้ชื่อว่า "พระยโฮวา") และปฏิบัติตามคำสอนที่เรียกกันว่า"บัญญัติ 10 ประการ" โดยมีโมเสสเป็นผู้นำสาส์นของพระเจ้า (ประวัติโมเสสมีปาฏิหาริย์แหวกทะเลด้วยล่ะ คงจำกันได้) จากนั้นพอศาสนาเริ่มเสื่อมก็มีพระเยซูมาปลดปล่อยปาบและเกิดเป็นศาสนาคริสต์ซึ่งยังนับถือพระเจ้าองค์เดิมแต่ปรับปรุงคำสอนและจริยวัตรใหม่ ซึ่งคำว่า"คริสต์"นั้นจะใช้กับศาสนาที่เริ่มจากพระเยซู ดังนั้นเซนต์วาเลนไทน์น่าจะเป็นนักบวชของศาสนายิวมากกว่ามั้งครับ วัตรปฏิบัติของนักบวชศาสนานี้ใกล้เคียงกับศาสนาคริสต์มาก และถ้าจำไม่ผิดต่อจากนั้น มีผู้ที่ถือสาสน์ของพระเจ้ามาปรับปรุงคัมภีร์ศาสนาอีกรอบโดยผู้ถือสาสน์คนดังกล่าวคือพระนบีมูฮัมหมัด ปรับปรุงจนเกิดเป็นคัมภีร์อัลกุรอาน และเกิดศาสนาอิสลามในภายหลัง โดยศาสนาอิสลามก็ยังนับถือพระเจ้าสูงสุดองค์เดียวกันกับศาสนายิวและศาสนาคริสต์เพียงแต่เรียกพระนามใหม่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-02-2008 21:32:51 โดย Pongkemon »

ออฟไลน์ Pongkemon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ปล.. ขอให้เตอิ้งหายป่วยไว ๆ หายทันมารับความรักจากเพื่อน ๆ ในเล้าทันวันวาเลนไทน์นะครับ

MagaM

  • บุคคลทั่วไป
อ้างถึง
อ๋อ พอเข้าใจครับ เท่าที่เคยศึกษามาก่อน ตอนแรกสุดมีศาสนาดั้งเดิมเลยคือศาสนายิว ซึ่งนับถือพระเจ้า(ถ้าจำไม่ผิด บางตำราจะใช้ชื่อว่า "พระยโฮวา") และปฏิบัติตามคำสอนที่เรียกกันว่า"บัญญัติ 10 ประการ" โดยมีโมเสสเป็นผู้นำสาส์นของพระเจ้า (ประวัติโมเสสมีปาฏิหาริย์แหวกทะเลด้วยล่ะ คงจำกันได้) จากนั้นพอศาสนาเริ่มเสื่อมก็มีพระเยซูมาปลดปล่อยปาบและเกิดเป็นศาสนาคริสต์ซึ่งยังนับถือพระเจ้าองค์เดิมแต่ปรับปรุงคำสอนและจริยวัตรใหม่ ซึ่งคำว่า"คริสต์"นั้นจะใช้กับศาสนาที่เริ่มจากพระเยซู ดังนั้นเซนต์วาเลนไทน์น่าจะเป็นนักบวชของศาสนายิวมากกว่ามั้งครับ วัตรปฏิบัติของนักบวชศาสนานี้ใกล้เคียงกับศาสนาคริสต์มาก และถ้าจำไม่ผิดต่อจากนั้น มีผู้ที่ถือสาสน์ของพระเจ้ามาปรับปรุงคัมภีร์ศาสนาอีกรอบโดยผู้ถือสาสน์คนดังกล่าวคือพระนบีมูฮัมหมัด ปรับปรุงจนเกิดเป็นคัมภีร์อัลกุรอาน และเกิดศาสนาอิสลามในภายหลัง โดยศาสนาอิสลามก็ยังนับถือพระเจ้าสูงสุดองค์เดียวกันกับศาสนายิวและศาสนาคริสต์เพียงแต่เรียกพระนามใหม่
 


อ๊าย ตัวเองอย่าสาระเกินไปดิ เค้ารับไม่ได้ o2 (ตัวเองโง่ว่างั้นเหอะ) :m29:


ที่รักเมื่อไหร่จะอัพนิยายคับ หึหึหึ :oni3:
ขอให้หายป่วยไวๆนะคับ รักษาสุขภาพด้วยนะคับ ผมก็ไม่สบายเหมือนกัน = ='

Bizcuit

  • บุคคลทั่วไป
อ่านแล้วซึ้งมากมายอ่ะคับ   :m1:  :m1:  :m1:

stayingpower

  • บุคคลทั่วไป


.

“ช่วงนี้ไม่ค่อยสบายเหรอเปล่าพี่ปริ้น ดูเซือยๆยังไงไม่รู้”  แบงค์เดินเข้ามาทักในห้องทำงานที่ผมกำลัง
จัดการฐานข้อมูลของเด็กในโรงเรียนอยู่


“เหรอ ?  ”


“อือ … เออ เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวม่ะพี่”  มันชวนตามปกติ


“แบงค์ไปกินก่อนเหอะ เดี๋ยวพี่ขอทำงานอีกแป้บนึง”  ผมหันไปบอกปัด แล้วก็กลับมาจ้องหน้าจอต่อ
จริงๆ งานก็ไม่ได้เยอะอะไรมากหรอก แค่ป้อนข้อมูลแล้วให้โปรแกรมมันจัดการเองก็ได้  แต่ผมแค่
รู้สึกอยากทำให้ตัวเองไม่ว่างก็เท่านั้น  … ไม่อยากคิดอะไรมาก ไม่อยากจมอยู่กับความเศร้า


“เอาน่า .. ถ้ามีอะไรไม่สบายใจก็เล่าให้ฟังได้นะครับ”   แบงค์เอามือเขย่าไหล่เบาๆ “ - - ไม่ก็ลอง
เปลี่ยนบรรยากาศไปเที่ยวดูมั่งดิพี่”


“อือ …”


“งั้นผมไปกินข้าวก่อนนะ ”


“อ่า .. ”


พอน้องมันออกจากห้องไป ผมค่อยๆเอนตัวพิงเก้าอี้หนังก่อนจะถอนหายใจเป็นรอบที่ล้านกว่า
แล้วก็เปิดเมล์เช็คไปเรื่อยๆ สายตาก็สะดุดเข้ากับอีเมล์ฉบับนึงที่ส่งมาเมื่อสองเดือนที่ผ่านมา ก่อนที่
ผมจะยกมือถือขึ้นมาไล่เบอร์อย่างเซื่องซึม


.

.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

.

.

“นี่ถ้าไอ้โค้กไม่ทิ้งไปเมืองนอก มึงก็คงไม่ติดต่อพวกกูเลยอะดิเนี่ย”   เสียงไอ้คนขับรถกัดแขวะผมอย่างเมามัน


ปั๊ก …


“อุ๊ก .. มึงทุบกูทำไมอะ”  ไอ้คิวหันไปทำหน้ามึนใส่แฟนที่นั่งเบาะคนขับข้างๆ


“หุบปากแล้วก็ขับรถต่อไป ไอ้นี่นิ รู้งี้ไม่น่าชวนมาด้วยเลยนะมึงหน่ะ”  ก่อนที่ซังจะหันมาทางผม
ที่นั่งยิ้มเจื่อนๆอยู่ข้างหลัง


“แล้วคิดไงอยู่ๆถึงชวนมาเกาะช้างเนี่ย”


“โค้กมันถ่ายรูปที่มันอยู่เมกามาให้ดูอ่ะ … รอบๆตัวมันดูวุ่นวาย มีแต่ตึก มีแต่อะไรก็ไม่รู้ - - เลยคิดว่า
มันคงอยากจะเห็นทะเลบ้างมั้ง  โค้กมันชอบทะเลจะตาย - - ยังเคยบอกไว้ว่า อยากจะมาเที่ยวเกาะช้าง
ด้วยกันเลย …”


ผมเห็นซังกะไอ้คิวเหลือบมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดแนะ


“ปริ้น … ฟังดีๆนะเว้ย - - โค้กอ่ะ มันไม่ได้จะไปอยู่ที่โน่นตลอดไปเลยซะหน่อย  อย่าทำตัวเองอมทุกข์
แบบนี้ดิวะ  ”


“ช่ายๆ …มึงทำเหมือนว่ามันจากมึงไปชั่วชีวิตแล้วงั้นล่ะ”  ไอ้คิวสำทับ


“พวกมึงไม่เข้าใจหรอก …”  ผมเบือนหน้าหนีไปมองบรรยากาศข้างทางแทน  ก็ใช่อะดิ .. พวกมันจะไป
เข้าใจอะไรล่ะ มันเคยอยู่ห่างกันที่ไหน แล้วยังจะมีหน้ามาพูดแบบเหมือนพยายามจะเข้าใจอะไรอีก


“เออ .. พวกกูไม่เข้าใจอะไรมึงหรอก ”ไอ้คิวว่าผมอย่างหงุดหงิด “- - แล้วตัวมึงเองอ่ะ เคยเข้าใจอะไรบ้างมั้ย..
มึงคิดเหรอว่า พวกกู - - -”


คิวมันเงียบไป ได้แต่ทำเสียงฟึดฟัดอยู่ในจมูก ส่วนผมก็ได้แต่นั่งนิ่งเงียบ


ผมก็คงเป็นอย่างที่มันว่าล่ะมั้ง … เป็นคนที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย … แม้กระทั่งตัวเอง … ทำไมไม่เชื่อใจ
คนที่อยู่ทางโน้นมั่งล่ะ … เพราะความจริงแล้ว ตลอดเวลาที่มันห่างไป มันก็ไม่เคยหายไปจากชีวิตผมเลย
ไม่ใช่เหรอ 

.

.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

.

.

เกือบเที่ยงได้ เรือเฟอรี่ก็แล่นจอดเทียบท่าเรือบนเกาะช้าง ไอ้คิวค่อยๆขับรถไปตามทางบนเกาะ
จนมาจอดที่หาดไก่แบ้ พอดีที่ซังมันมีเพื่อนที่เคยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันทำที่พักอยู่แถวนี้พอดี


ถ้าไม่นับเมฆที่ออกจะครึ้มฟ้าครึ้มฝนเพราะอยู่ในช่วงเปลี่ยนฤดูแล้ว ทุกอย่างก็ดูลงตัวทุกอย่าง
บ้านพักที่พวกผมได้ก็เป็นบ้านเล็กๆที่อยู่ติดกับทะเลดูดีทีเดียว


“จริงๆนอนห้องเดียวกันก็ได้”  ซังบอก ก่อนจะถือกุญแจบ้านอีกหลังที่อยู่ติดกันให้ผม


“ไม่เป็นไรอ่ะ ไม่อยากเป็น กขค.” ผมว่าพลางยักคิ้วให้ไอ้คิวที่เดินหอบกระเป๋าตามมา


“นอนคนเดียวหยั่งงี้ ตอนกลางคืนอย่าทำเป็นนอนร้องไห้นะมึง”  มันมีแซวก่อนจะยักคิ้วกลับ


ผมหยิบเป๋แล้วก็เดินเอาเข้าไปวางในบ้านที่มีห้องนอนเล็กๆ  ห้องน้ำในตัว พอจัดแจงอาบน้ำ
เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความเหนียวตัว ก็ล้มลงบนที่นอน เสียงคลื่นกระทบเข้าหาฝั่งเหมือนเป็น
ดนตรีบรรเลงอันเอื่อยเฉื่อยชวนให้เคลิ้มฝัน ก่อนที่ผมจะผลอยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย


ผมมาสะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อทำนองเพลง Cannon In D  ดังขึ้นจากมือถือของตัวเอง


“อือ ….”


“หวัดดีครับ ” เสียงทักทายที่ส่งมาตามสายจะดีเลย์ไปประมาณ 1 – 2 วินาทีดังขึ้น “- - ทำอะไรอยู่”


“อ่อ … งีบหลับไปอ่ะ” ผมบอกอย่างสลึมสลือ ก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง นาฬิกาบอกเวลาบ่ายสี่โมงเย็น


“เดี๋ยวนี้หัดเป็นคนหลับกลางวันนะ ตอนกลางคืนก็นอนไม่หลับอีกหรอก ” โค้กมันว่า


“ก็ … มันเพลียนี่หว่า - - แล้วทำไมป่านนี้ยังไม่นอนอีกอ่ะ นี่มันตี 1 กว่าแล้วนะ”


“ผมเคลียงานอยู่อ่ะครับ พึ่งเสร็จ … วันนี้ก็ไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลมาด้วย กว่าจะได้ทำงานก็…”


“อืม .. แล้วแม่เป็นไงบ้างอ่ะ ? ”


“ก็.. ดีขึ้นพอสมควรแล้วคับ แต่ก็อีกพักนึงกว่าจะออกจากโรงพยาบาลได้อ่ะ”  มันพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ


“เหนื่อยมากมั้ย  ? ”


“นิดหน่อยครับ … แล้วปริ้นล่ะ”


“ก็ไม่เท่าไหร่.. ”


“คิดถึงผมมั่งเปล่า ”


“หึหึ …”


“ทำมาเป็นหัวเราะ … ยังไม่ตอบเลย ว่าคิดถึงเปล่า ? ”


ผมไม่ได้ตอบอะไร แล้วก็เดินกึ่งวิ่งออกไปนอกห้อง ไปยืนอยู่หน้าชายหาด


“ฟังนะ …” พูดเสร็จ ผมก็ยื่นมือถือไปเบื้องหน้าซักพักก็พูดต่อ


“กลับบ้านเหรอ”  มันคงนึกว่าผมกลับบ้านที่ชะอำ


“เปล่า … มาเกาะช้าง”


“เกาะช้าง ? ”


“กะจะมาถ่ายรูปทะเล แล้วส่งไปให้ดู จะได้หายเหงา … เห็นวันๆเจอแต่ตึกกับตึก คงเบื่อใช่ป่ะ”


“…………”


“… ขอบคุณนะปริ้น”   มันพูดแค่นั้น แต่ผมรู้ว่ามันคงปลาบปลื้มไม่น้อย สังเกตจากเสียงที่พูด
ออกมาสั่นๆ


“ไว้… คราวหน้า เรามาเที่ยวกันสองคนนะ”   มันบอกมาตามสาย


“อือ …. สัญญาแล้วนะ”


“.. สัญญา”


“ป่ะ … คุยโทรศัพท์เสร็จแล้วก็ไปเล่นน้ำกัน”  ไอ้คิวพูดสวนขึ้นมา โดยที่ผมไม่รู้ว่ามันเดินเข้ามาตั้งกะม่ะไหร่วะ


“เฮ้ย … มึงอะ …แอบฟังกูคุยเหรอ”


“เป่าเว้ย … เดินมาแล้วได้ยินเอง เซ็งจริงๆ มันหวานกันข้ามโลกเลย - - เฮ้ย .. เด๋วนี้มึงกล้าเตะกูเหรอไอ้ปริ้น”
คิวมันด่าไป วิ่งหนีตีนผมไปอย่างรวดเร็ว  ซักพักซังก็วิ่งเข้ามาแจม ไล่ปล้ำกันอุตลุดในน้ำ


เล่นกันไปเกือบชั่วโมงก็เริ่มมืด ผมทั้ง 3 คนก็ขึ้นมานั่งพักเหยียดยาวกันที่บนพื้นทรายขาวสะอาด
ซังเริ่มคุยถึงวีรกรรมเมื่อครั้งตอนเรียนอยู่ ม.ปลาย เรื่องเก่าๆมากมายถูกยกเอามาเป็นหัวข้อกันสนุกสนาน
นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้รู้สึกผ่อนคลาย แล้วก็กลับมายืนอยู่ตรงจุดที่ไม่ต้องคาดหวังอะไร ไม่ต้อง
ห่วงหาสิ่งใด


คนเรา … ยิ่งโตขึ้น ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งผ่านประสบการณ์มากขึ้น ได้รู้เห็นอะไรมากมาย ทั้งความสุขและความทุกข์
ตอนเด็กๆ เรามักจะพูดอยู่บ่อยๆว่า เมื่อไหร่เราจะโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะคำว่าผู้ใหญ่ เป็นคำที่ทำให้เด็กๆอย่าง
พวกเรา(ในตอนนั้น)มีความสุขที่จะทำอะไรก็ได้ในสิ่งที่อยากทำ อยากทำอะไรก็ได้ในสิ่งที่อยากเป็น


แต่เราไม่รู้หรอก ว่าความสุขที่เราคาดหวังว่าจะเจอเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว … มันต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง
หน้าที่ที่ต้องแบกรับมากขึ้น ความรับผิดชอบแล้วก็ความคาดหวังที่มีมากขึ้น ทั้งจากตัวเองแล้วก็คนรอบข้าง
… รวมทั้ง .. เราพร้อมที่จะเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของโลกมากขึ้น


เมฆสีดำลอยล่องอยู่เหนือท้องฟ้าที่เริ่มเปิด พระจันทร์เสี้ยวอวดแสงสว่างท่ามกลางหมู่ดาวที่ค่อยๆทอแสง
ระยิบระยับเหนือคลื่นทะเลที่ซัดสาดเข้าหาฝั่ง  ลมเย็นๆพัดโชยมากระทบตัวของพวกเราทั้งสามคนที่นั่ง
เอ้อระเหยลอยชายคุยฟุ้งอย่างไม่รู้เหนื่อย จนชักจะรู้สึกตัวสั่นๆด้วยความหนาว


“หนาวเหรอ”  ซังหันมาถาม พร้อมกับยกแขนขึ้นมากอดคอแล้วก็กระเถิบตัวเข้ามานั่งชิด


“มึงหนาวตัวหรือว่าหนาวใจมากกว่ากันอ่ะ”  ไอ้คิวเสริม แล้วก็ถัดตัวมานั่งชิดกับผมอีกด้านนึง แล้วก็ยกมือ
ขึ้นมากอดด้วยเหมือนกัน คราวนี้กลายเป็นผมนั่งอยู่กลางเป็นแซนวิชให้มันสองผัวเมียนั่งกอดคออยู่
ซะงั้น


“ไม่หนาวหรอก …”


“ไม่หนาวห่าไร ตัวสั่นเป็นลูกนกเชีย”  ไอ้คิวว่าก่อนที่จะยกมืออีกข้างขึ้นมาตบหัวเบาๆ


“ไปตบหัวมัน เด๋วคืนนี้ก็เยี่ยวราดพอดี”


“โตป่านนี้ มึงยังเชื่ออีกเหรอซัง”


ผมฟังมันสองคนเถียงกันข้ามหัวไปมา แล้วก็ยิ้มในใจ


“ข..ขอบคุณพวกมึงนะ ” ผมเอ่ยปากขึ้นบอกพวกมัน รู้สึกว่าเสียงตัวเองสั่นเล็กน้อยถึงปานกลาง
- - รู้มั้ย เวลาที่กูอยู่คนเดียว … กูโคตรเหงาเลย … ม..ไม่รู้ซิ ..กูแค่รู้สึกว่า พอไอ้โค้กไม่อยู่
มันโคตรเหงาเลย … กูเคยสงสัยตัวเองนะ ว่าจะอยู่คนเดียวได้มั้ย … กูจะรอมันได้มั้ย …
กูจะทนความเหงาได้มั้ย ฮะ - - ฮึก”


ผมพยายามก้มหน้าลง ไม่อยากให้เพื่อนผมทั้งสองคนรู้สึกไม่ดีจึงหยุดพูด แต่ซังมันตบไหล่เบาๆ


“ต่อดิ .. ”


“-- บอกตรงๆนะ กูกลัว - - ”


ผมรู้สึกได้ว่ามือข้างที่ไอ้คิวกอดอยู่กระชับแน่นมากขึ้น


“- - กลัวว่ารักของกูกะโค้กมันจะหายไป เหมือนกับ ….”


“เหมือนกับตอนที่มึงคบกะไอ้โอ้ตเหรอ  คิวถาม 


ผมพยักหน้าตอบช้าๆ


ผมได้ยินเสียงซังถอนหายใจ แต่คนที่พูดขึ้นมากลับเป็นไอ้คิว


“ปริ้น … กูถามไรมึงตรงๆนะ …… มึงคิดว่ามึงอยู่ตัวคนเดียวจริงๆเหรอวะ - - แล้วที่มึงบอกว่า
กลัวอ่ะ มึงกลัวใจตัวเองใช่มั้ย ? ”


“- - มึงถามใจตัวเองดีๆนะ ว่าตอนที่มึงเลิกกับโอ้ต เป็นเพราะโอ้ตนอกใจมึงจริงๆ หรือว่า - - ”


ร่างผมนิ่งไม่ไหวติง


“- - หรือว่าเป็นเพราะตัวมึงเอง ที่ไม่เชื่อใจมัน”


“ฮึก … ฮึก …. ฮึก …..” รู้สึกเจ็บอย่างบอกไม่ถูกที่โดนคิวมันเทศนาว่าตรงจุดได้ขนาดนี้
จริงทุกอย่าง … มันอยู่ที่ใจของผมเอง ไม่มีอะไรหรอกที่จะมาทำลายความรักของคนสองคนได้
ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลา … หรือว่าความห่างไกล


แต่เป็นความไม่เชื่อมั่นต่างหาก ที่เป็นตัวสั่นคลอนทุกสิ่ง แล้วก็ความไม่เชื่อมั่นของผมเอง ที่ทำให้
ความรักครั้งแรกของผมต้องจบลง


“ซังรู้นะ ว่าถึงปริ้นไม่พูดอะไร แต่ปริ้นก็รักโค้กมันมาก … ปริ้นอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ แต่ปริ้นกะโค้กอ่ะ
ผ่านอะไรกันมามากแล้วนะ”


“เหมือนกูกะมึงใช่ป่ะ ” ไอ้คิวสอดขึ้นมา


“ควาย .! เพื่อนเล่นเหรอ ไม่ดูเวล่ำเวลานะมึงอ่ะ”  มันด่าแฟนเสร็จก็หันมาคุยกะผมต่อ


“โค้กอ่ะ มันรอปริ้นมาตั้งนาน … ทั้งตอนที่ปริ้นคบกับพี่โอ้ต ทั้งตอนที่ที่เลิกกันใหม่ๆ
ปริ้นก็ไม่ยอมเปิดใจให้มันซะที มันจะยังรอได้…--”


“พวกกูสองคนก็เลยอยากจะบอกว่า ถ้าแค่ไอ้โค้กมันจะหายหัวไปไหนซักปีสองปี มึงก็คง
รอมันได้เหมือนกัน ใช่มั้ย !?  ไอ้คิวมันพูดลอยๆให้ความเห็นหรือกะสั่งผมในตัวกันแน่วะ


“ได้… มั้ง”


“ห่าแล้วมั้ย… มีมั้งด้วย” ไอ้คิวด่าผม


“ซังกะไอ้คิวอ่ะ ยังไงก็เป็นเพื่อนปริ้นนะ … ไม่ต้องห่วงว่าปริ้นจะไม่มีใครหรอก”  ซังพูดพลาง
กระชับแขนให้แน่นแฟ้นมากขึ้น  ตอนนี้ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกที่ได้อยู่ท่ามกลางความรัก
ที่มีให้กันของเพื่อนทั้งสองคน


ความรัก … ที่ไม่จำเป็นต้องคบเป็นแฟนกัน แต่พวกมันก็มีให้ผมได้ 


ผมยังมีคนที่รักอีกมากมาย …


แล้วก็..ครอบครัวของผม

.

.

.

.

“ปริ้น … เป็นอะไรหรือเปล่าลูก”   เสียงยายทักเมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีของผมเอง จริงๆแล้ว
ตลอดเดือนสองเดือนที่ผ่านมา หน้าผมก็เศร้าลงจนใครๆก็สังเกตได้อยู่แล้ว


วันนี้ผมกลับมาเก็บข้าวของที่จะไปเที่ยวเกาะช้าง แล้วก็นัดซังกะไอ้คิวไว้ว่าจะมารับที่บ้านเลย
เพราะอาทิตย์นี้ มันสองคนก็กลับมาที่เพชรฯก่อนเหมือนกัน


“ก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่ยาย”  ผมปด


“โกหกคนแก่ ” ยายว่า แล้วก็นั่งลงคว้าหมากเข้าปาก


“ไม่ได้โกหกจริงจริ้งง …” ผมบอกแล้วก็เดินเข้าไปนั่งอ้อนยายที่ระเบียงบ้าน  ยายนั่งอยู่ข้างบนยกพื้น
ส่วนผมลงมานั่งด้านล่าง แล้วก็หยิบใบพลูขึ้นมาป้ายน้ำปูนใสแล้วก็ส่งให้


“เรื่องงาน หรือว่าเรื่องรักล่ะเรา”  ยายว่าพลางรับใบพลูที่ผมส่งให้อย่างไม่รีบร้อนเอาคำตอบ


“เรื่องงานมันก็เรื่อยๆแหละ”


“ถ้าอย่างงั้น แล้วใครมาทำให้หลานยายอกหักล่ะ ” โอ้ว มาย ก๊อด ยายกูพูดซะเจ็บเลย ไม่ใช่หยั่งงั้นซะหน่อย

“โห ไม่ได้อกหักซะหน่อย … แค่ … อืม … แค่เค้าไปที่ไกลแสนไกลก็แค่นั้นเอง”  ผมว่าพลางลงไป
โอบเอว


“เหรอ …” ยายทำเสียงเศร้า “… แล้วอยู่วัดไหนล่ะ”


ผมเงยหน้าไปมองอย่างเคืองๆ


“ยังไม่ตายยยยย … แค่ไปเมืองนอก ไม่รุ้เมื่อไหร่จะกลับตะหาก”


ผมเห็นยายเปลี่ยนสีหน้าเป็นเชิงขบขันในท่าทีของผมที่ไม่รู้จักโตซะที


“ยายก็นึกว่าเค้าเป็นอะไรไปแล้ว ก็ปริ้นบอกยายว่าไปที่ๆไกลแสนไกล”


“……. มันก็ไกลจริงๆนะยาย”  เสียงผมเศร้าลง


ยายหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัว เหมือนสมัยผมยังเด็กๆ สมัยที่ป๊าเคยพามาเยี่ยมที่ชะอำ
แล้วโดนเด็กแถวบ้านแกล้งทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน  ยายจะใช้ความรักสัมผัสมาถึงผมเสมอ


“ปริ้นรู้ไหม ? … ไม่มีอะไรจะห่างไกลไปกว่าคนที่ตายไปแล้วหรอกนะ รู้ไหม ? ”


ยายลูบหัวผมขึ้นลงเบาๆ


“- - เหมือนกับตา  แล้วก็พ่อของปริ้น ที่จากยายแล้วก็แม่ปริ้นไปแล้ว”


ได้ยินคำนี้จากปากของยายแล้วทำเอาผมเหมือนมีก้อนสะอึกก้อนใหญ่ผุดขึ้นมาในลำคอ


“ยายกับตา… อยู่ด้วยกันมาตั้งสี่สิบเกือบห้าสิบปี - - ตอนที่ตาเราเสียไปหน่ะ ยายยังคิดเลยว่า
ชีวิตยายจะเป็นยังไง…..”


ยายหยุดพูดชั่วขณะ เหมือนจะกล้ำกลืนความรู้สึกที่อยู่ในส่วนลึกไว้  ผมไม่กล้าหันไปมอง
เบื้องบน


“- - แต่ยาย….ก็รู้ ว่ายายอยู่ได้ ……….. ถึงตาของปริ้นจะจากยายไปในที่ที่ไปไม่ถึง แต่ความรัก
ความผูกพันธ์ที่ตามีให้มาตลอด มันยังคงอยู่ในใจยายเสมอ  ….. ”


รักที่ยังเหลืออยู่…เป็นแม่ แล้วก็มาเป็นปริ้นยังไงล่ะลูก … ที่ยายยังมีอยู่มาจนถึงทุกวันนี้


น้ำตาของผมไหลหยดแหมะลงบนผ้านุ่งที่ยายใช้ห่มตัวเสมอมาตั้งแต่ผมยังจำความได้ ไม่มีอะไรจะ
เจ็บปวดไปกว่าการที่ต้องสูญเสียคนที่รักไปตลอดกาลอีกแล้ว … ความตายที่พรากเอาคนอันเป็น
ที่รักของเราไป คนที่กินอยู่พันผูกกันมานับสิบยี่สิบปี  แต่ทั้งยายแล้วก็แม่ของผมกลับทนต่อความเจ็บปวด
ที่แสนรวดร้าวนี้ได้  ….แล้วก็เดินต่อไป …จนสุดปลายทาง


“ฟังยายนะลูก ….”  ยายยกมือขึ้นลูบหัวอีกครั้ง เหมือนจะปลอบโยนให้หลุดจากความอ่อนแอ


“- - คนเรา ไม่ว่าจะห่างกันไปแค่ไหน ถึงจะนานเพียงไร ..ถ้าคนสองคนยังมีความรักให้กันและกันอยู่นะลูก
…แม้แต่ความตาย มันก็พรากเอาความรักของเราไปไม่ได้”

.

.

.


ผมนั่งอยู่ริมชายหาดพร้อมกับเพื่อนรักสองคนที่นอนแอ้งแม้งข้างๆด้วยความอ่อนเพลียจากการเล่นน้ำ
เส้นขอบฟ้าที่เห็นข้างหน้าเลือนลางคงเป็นอีกซีกโลกนึงที่ยังคงหลับไหล แสงไฟ
จากเรือตกหมึกส่องสว่างอยู่กลางทะเลดำมืดไร้สุดสิ้นสุด


ขอแค่ยังมีความรัก… ไม่ว่าจะห่างไกลแค่ไหน ยาวนานเท่าไร ท้ายที่สุด เราก็คงได้กลับพบเจอกันแน่นอน

.

.

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

.

.

-   เดือนพฤษภาคม .... 1 ปีต่อมา –








.

.

.

.

.

.

โปรดติดตาม บ้านพักอลเวง#7 – 3 years later  ตอนจบ
ตอนต่อไป -------------------------------------------->
http://stpstory.exteen.com/



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-02-2008 08:52:01 โดย stayingpower »

ออฟไลน์ artday

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1

Yakult

  • บุคคลทั่วไป
ฮือๆ :o12: :o12: ซึ้งจนน้ำตาไหลเลย ความรัก นี่มันอบอุ่นดีจังเลยนะครับ

ขอตอนหน้าเอาแบบ แฮปปี้ เลยนะครับ  :pig3:

anston

  • บุคคลทั่วไป
“- - คนเรา ไม่ว่าจะห่างกันไปแค่ไหน ถึงจะนานเพียงไร ..ถ้าคนสองคนยังมีความรักให้กันและกันอยู่นะลูก
…แม้แต่ความตาย มันก็พรากเอาความรักของเราไปไม่ได้”


ชอบประโยคนี้มากเลยอ่ะ..
แล้วตอนสุดท้ายจะลงทันวันที่ 14 นี้มั้ยอ่ะ..
อย่าลืมนะ..ขอให้จบแบบ HAPPY นะค้าบ..

icehitter

  • บุคคลทั่วไป
ซึ้งมากๆเลยอ่ะคับ
อยากให้ความรักของปริ้นกะโค๊กสมหวังจังเลยคับ

ออฟไลน์ [€]ŝĊörŦ

  • ความพยามครั้งที่100 ดีกว่าคิดท้อถอยก่อนที่จะทำ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2077
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +142/-0
ซึ้งจังเยยยยยย

คุณยายสอนดีมากมาย

 o7  o7  o7

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หวังว่าจะจบ happy นะคร้าบ  :m13: :m13: :m13:

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
ซึ้งเลย  o7

มิตรภาพของเพื่อน  :m4:

ความเชื่อมั่นในรัก  :m1:

ขอให้จบแบบ happy นะ  :m13:


abcd

  • บุคคลทั่วไป
กำลังซึ้งๆเพลินๆ ตัดตอนซะงั้น  :serius2:

dawa_11

  • บุคคลทั่วไป
ทิ้งไว้ให้คาใจอีกละ

มาต่อไวๆนะ :m13:

Arus

  • บุคคลทั่วไป
 o2 แล้วหินทุ่ม  :serius2: กระบองทุบล่ะ?  :a6:

คิดถึงนะ แล้วจะมาเฝ้ารอตอนสุดท้าย
โทรหากันบ้างล่ะ...

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
ซึ้งๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆสุดๆๆๆๆๆๆๆๆ


ออฟไลน์ Junrai_Hyper™

  • พูห์น้อยกลอยใจ
  • Global Moderator
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4842
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +777/-50
Re: [Story] บ้านพักอลเวง#7 -
«ตอบ #796 เมื่อ13-02-2008 14:56:16 »

คนเรา จะรู้ค่า ก็ต่อเมื่อ เราเสียของนั้นไป

เป็นกำลังใจให้โค้้กกะปริ้นนะค้าบบบบบ

 :m13:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-02-2008 18:11:08 โดย Junrai_Hyper »

Eis

  • บุคคลทั่วไป
.
.
.
ผมมาสะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อทำนองเพลง Cannon In D  ดังขึ้นจากมือถือของตัวเอง


“อือ ….”


“หวัดดีครับ ” เสียงทักทายที่ส่งมาตามสายจะดีเลย์ไปประมาณ 1 – 2 วินาทีดังขึ้น “- - ทำอะไรอยู่”


“อ่อ … งีบหลับไปอ่ะ” ผมบอกอย่างสลึมสลือ ก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง นาฬิกาบอกเวลาบ่ายสี่โมงเย็น


“เดี๋ยวนี้หัดเป็นคนหลับกลางวันนะ ตอนกลางคืนก็นอนไม่หลับอีกหรอก ” โค้กมันว่า


“ก็ … มันเพลียนี่หว่า - - แล้วทำไมป่านนี้ยังไม่นอนอีกอ่ะ นี่มันตี 1 กว่าแล้วนะ”
.
.
.


คนอ่านเขารู้หมดว่าเอาเรื่องจริงมาเขียน.. นอนกลางวันเป็นโนบิตะซะอย่างงี้  :m20:

ยังปวดหัวอยู่ไหมครับ.. เพราะนอนเวลาอเมริกาหรือเปล่าหื่ม.. นอนอย่างงี้ไปทำวีซ่าไว้เลยละกัน ไว้กลับไปรับมานี่นะครับ ..   :a2:

ออฟไลน์ Tris

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
 :sad2: :sad2: :sad2: แซ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดค่า และมารอตอนต่อไป ซึ้งอ่า

ออฟไลน์ astral

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3470
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +156/-5
ชอบประโยคนี้จังเลย

ขอแค่ยังมีความรัก… ไม่ว่าจะห่างไกลแค่ไหน ยาวนานเท่าไร ท้ายที่สุด เราก็คงได้กลับพบเจอกันแน่นอน

ซึ้งจังเลย ตอนนหน้าจะโศกสลดหรือแฮปปี้ล่ะนี่ เค้ากลัวใจคุณเตอิ้งนะ  :o12:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lucifel

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
 :m15:

ซึ้ง

 :m15:

รอตอนจบ :o12:

ออฟไลน์ BIRD

  • บี เบิ๊ด นก ^___^
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
อ่านแล้วน้ำตาจะไหล

ขอบคุณพี่ปริ้นค๊าบบบ

 :m13:

MagaM

  • บุคคลทั่วไป
ซึ้งง่ะ o7
ตัวเอง เอาจบแบบ Happyนะคับ  :o8:

ออฟไลน์ M@nfaNG

  • ชีวิตคือการตรวจสอบ...
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +847/-18
 :serius2:ขัดใจไม่ชอบเศร้าไม่ยอมมมม :serius2: :serius2:

BNAT

  • บุคคลทั่วไป
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึก น้ำตาคลอเลย ไม่ได้คลอเพราะอยากร้องไห้

แต่มันคลอเหมือนตื้นตันใจ รู้สึกถึงความอบอุ่นของความรักของคนรอบข้าง

ชอบไอ้คิวจังแหะ อ่านตอนนี้แล้ว

ออฟไลน์ @BUA@

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +427/-8
ลุ้นตอนจบอ่ะ

ขอให้แฮปปี้ทีเถอะ สาธุ

 :m21:


~•SAkurAIro•~

  • บุคคลทั่วไป

ฮื่มมม กำลังอินกะหนังมาอ่านตรงที่ยายพุดแล้วยิ่งหนักไปใหญ่เลย  :o12: เศร้า

ตอนจบลงรุ่งนี้ใช้มั้ยงับบบบบ  :m4: เด๋วจะมานั่งรอเลย ขอแบบแฮปปี้ด้วยคน  :m5:

ออฟไลน์ jonathan2624

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 839
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +189/-1
 :o12: :o12: :o12: :m15: :m15: :m15: ซึ้งค้าบบบบ แงๆๆๆ

ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22
เม้นก่อนยังตามอ่านไม่ทันเลย  :m23: :m23: แล้วจารีบตามให้ทันจ้า  :a2: :a2:

stayingpower

  • บุคคลทั่วไป
จริงๆ ... ตอนจบของเรื่องนี้ ก็มีสปอยบอกไว้แล้วนะครับ ตั้งแต่ตอนแรกของภาค 7 หุหุ
ยังไงถ้าเพื่อนๆอ่านจบแล้ว อยากให้ฝากเป็นคำนิยม(ทั้งดีและไม่ดี) ให้กับบ้านพักอลเวง
ด้วยนะครับ เผื่อเอาไว้ลงในหนังสือฮะ (ถ้าได้ทำ) ขอบคุณคับ

แล้วไว้ผมจะกลับมาขอบคุณอย่างเป็นทางการอีกทีนะฮะ

ลป. บ้านพักฯปริ้นโอ้ตโค้ก จบลงแน่นอนแล้วในภาค 7 นี้ครับ ขอให้มีความสุข(มั้ง)
กับการอ่านครับ ^^

.

.


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

.

.


http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2GAGGPD&Autoplay=1

.

.

.

.

เดือนพฤษภาคม .... 2 ปีถัดมา –



ติ้ก … ติ้ก … ติ้ก ….



เสียงเข็มนาฬิกาข้อมือดังเป็นจังหวะ  ในขณะเดียวกับผมนอนเอามือทั้งสองข้างหนุนหัว


แสงแดดในตอนสายของเดือนพฤษภาคมปีนี้ดูจะแรงกว่าปีก่อน  อาจเป็นเพราะปรากฏการณ์ลานิญญาเหรอ
เปล่านะ ที่ทำให้มันร้อนแห้งแล้งได้ถึงเพียงนี้  ถึงแม้แสงแดดจะส่องมาแรงเพียงใด แต่ก็ยังโชคดีทีมีสายลม
เอื่อยเฉือยพัดมาเป็นระลอกพอดับความอบอ้าว 


ผมนอนหลับตารอคอยเวลาไปเรื่อยๆ   บริเวณโดยรอบของวัดพระแก้วน้อย เริ่มได้ยินเสียงผู้คนบางกลุ่ม
เดินคุยกันใกล้เข้ามา  ส่งเสียงหยอกล้อคุยกันสนุกสนาน ทำให้นึกย้อนกลับไปถึงวันที่ผมได้ขึ้นมาสัมผัส
บรรยากาศของสถานที่แห่งนี้ในวันแรก โอ้ต…ค่อยๆพาผมเลียบเลาะไต่ขึ้นมาจากทางหลังโรงเรียนขึ้น
มาเรื่อยๆ จนถึงสถานที่แห่งนี้


นึกย้อนกลับไป โค้ก..ชวนผมขึ้นมานั่งที่ตรงนี้ พร้อมกับคำที่เหมือนอยากจะสารภาพความรู้สึกของตัวเอง
ออกมา แต่ในที่สุด มันก็ไม่พูดอะไร ได้แต่ยืนกู่ร้องตะโกนบอกท้องฟ้าสีคราม … ที่เหมือนกับวันนี้ไม่มีผิด 


ผมลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วจึงยันตัวขึ้นนั่ง เหยียดแขนท้าวกับพื้นหินอ่อนที่ลงนอนเมื่อครู่  ปล่อยขาห้อยต่องแต่ง
ลงจากฐานเจดีย์  สายตายังคงจับจ้องไปเบื้องหน้า  ที่เส้นขอบฟ้าไกลโพ้นทะเล ป่านนี้คนๆนั้นกำลังทำอะไร
อยู่นะ ?


…. แล้วเค้าจะยังรอเราอยู่มั้ย ?


สายลมเย็นหอบใหญ่ พัดเข้าปะทะใบหน้าทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก พัดเอากลิ่นของดอกลั่นทมที่ปลูกอยู่
ในบริเวณโดยรอบของพระนครคีรีแห่งนี้ฟุ้งตลบอบอวน

ข้างบนนี้  …ที่นี่ยังคงเหมือนเดิม … ไม่ว่าโลกตอนนี้ จะเปลี่ยนแปลงไปยังไง …. ความรู้สึกที่เป็นสุข
เมื่อมายืนอยู่ที่นี่ … มันยังเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนแปลง


กี่ปีมาแล้วนะ … ผมแทบจะลืมบรรยากาศเก่าๆไปหมดแล้วซิ


ครืดด ครืดดด ครืดดด


เสียงเพลง Canon In D ดังขึ้นมา  ผมขยับตัวควักมือถือขึ้นมาก่อนกดรับสายโดยไม่ต้องดูว่าใครโทรเข้ามา
เสียงรับสายที่จะดังขึ้นมาเฉพาะกับคนเพียง 2 คน เพียงเพราะว่า…ไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนอีกคนจะโทรมา


“มาถึงแล้วนะ  อยู่ไหนเหรอ …”  เสียงโอ้ตแว่วมาจากปลายสาย


“อยู่ข้างบนนี้ล่ะ  อือ… กำลังจะลงไปแล้ว”  ผมตอบ


“บนเจดีย์แดงเหรอ”   อึ้ก เกือบเดาถูกนะมึง


“ไม่ใช่หรอก ใกล้ๆกันอ่ะล่ะ  มานั่งเล่นๆ ”  ผมพูดเสร็จก็ตัดสายไป  ก่อนจะค่อยๆกระโดดลงมาให้ถูกท่า
เพราะไม่งั้นอาจจะกลิ้งตกลงไปถึงตายได้  ก่อนจะเดินมาถึงทางแยกที่ให้เลือกระหว่างจะกลับไปตามทางเดิม
ที่ปูลาดไว้ให้เป็นอย่างดี กับทางขวามือที่แต่ก่อนเต็มไปด้วยหินที่กองระเกะระกะเต็มทางจนไม่ไหวจะเดิน
ในสมัยตอนผมเรียนอยู่ม.ปลาย แต่ดูทางตอนนี้กลับถูกปูด้วยหินดินแดงลาดลงไปตลอดทางคดเคี้ยว แต่คนที่
มาเที่ยวก็ไม่อยากใช้เป็นทางเดินลงอยู่ดี  เพราะทางมันเปลี่ยวโขอยู่แม้จะเป็นยามกลางวัน


ผมไม่คิดมากจึงเดินลัดเลาะไปตามทางที่ลาดไว้ใหม่ อีกทั้งทางนี้เมื่อเดินไปสุดทางเดินก็จะสามารถลงไปยัง
วัดเล็กๆข้างล่างได้โดยใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที พอเดินมาถึง ผมเห็นทั้งแม่ทั้งยาย  พร้อมกับญาติๆพร้อมคนรู้จัก
อีกสี่ห้าคน กำลังง่วนอยู่กับการจัดเตรียมของให้ทันถวายพระเพล
 

ลุงสนกำลังโยงสายสิญจน์ไปรอบๆสถูปสีขาว ที่ตั้งอยู่บนชะง่อนหินอย่างยากลำบาก


ผมเดินตรงเข้าไปสะกิดผู้ชายใส่ชุดทำงานที่ยืนหันหลังให้อยู่ 


“นึกว่าจะมาไม่ได้แล้ว คุณพี่”   ญาติต่างสายเลือดสะดุ้งนิดหน่อย ก่อนจะหันมายิ้มใส่ด้วยความดีใจ
(หรือเปล่า)


“จะไม่ให้มาได้ไง  เดี๋ยวคนแถวนี้ก็ว่าอีก”


“ใครจะกล้าว่าคุณพี่ล่ะคับ”


โอ้ตหยุดเถียงได้แต่มองหน้าผมแล้วก็ยิ้มอยู่นั่นล่ะ  สายตาของมันที่มองมาก็คงจะอ่านใจผมได้ทะลุ
ปรุโปร่งเหมือนเช่นเคย  คิดได้ดังนั้นผมก็เลยต้องหลบตามันพอเป็นพิธี


“แล้วไม่คิดจะไปช่วยพ่อตัวเองหน่อยเหรอ เด๋วก็ตกลงมาแข้งขาหักพอดี แทนที่จะได้ทำบุญ ”


โอ้ตหัวเราะเบาๆ


“พ่อพี่ยังแข็งแรงอยู่น่า ไม่ต้องไปช่วยหรอก … ไว้เป็นอะไรขึ้นมา เดี๋ยวค่อยจัดยาให้แก”  มันพูดยิ้มๆ


“ตลกล่ะ…หนอนจริงๆ”


โอ้ตยืนเงียบๆ แล้วก็จ้องมาที่ตัวผมระยะๆ


“ดูเหนื่อยๆนะ”  มาแล้วคับกับคำถามที่แฝงไปด้วยนัยยะ


“นิดหน่อย … สอนเด็กก็เงี้ยแหละ”


“นีกว่าชอบซะอีก หึหึ”


“พูดบ้าๆ ยังไม่อยากเข้าไปนอนในคุกนะเว้ย … เออ แล้วตัวเองเป็นไงบ้างล่ะ หายไปตั้งนาน - -
บ้านช่องม่ะค่อยยอมกลับเลยหนิ  ได้ยินป้าเล็กบ่นประจำ”


โอ้ตถอนหายใจ เบี่ยงสายตาไปมองแม่ตัวเองที่กำลังจัดเตรียมอาหารถวายพระอย่างขะมักเขม้น


“ยุ่งๆ ไม่ค่อยได้อยู่เป็นที่หรอก”  มันทำหน้าหนักใจ


“ย้ายมาศิริราชแล้วยังต้องเดินสาย service แฟนๆอีกเหรอ”


“แฟนๆบ้าไรเล่า … หน้าที่ต่างหาก  ” มันบ่นอุบทำหน้าหงิก ผมหัวเราะที่ไม่ได้เห็นภาพ
แบบนี้ของโอ้ตมานานมากมาย


“แล้วมีคุณหมอน่ารักๆ แนะนำซักคนสองคนมั้ยล่ะ ” ผมแหย่กลับ


“ทำไม ? …. เหงาเป็นกะเค้าด้วยเหรอ”   โอ้ตพูดประโยคนี้ขึ้นมาทำเอาผมจุกเล็กๆ  สายตาที่มองมา
ยังคงจับจ้องที่ใบหน้าผมอยู่


“อะไร มีเรื่องให้ทำเยอะแยะ  ไม่จำเป็นต้องเหงาหรอก”  ผมหลบตาพลางเอามือเกาหัว ที่ตอนนี้ตัดผมสั้น
ในระดับที่ไม่เป็นตัวอย่างเลวๆให้กับเด็ก


“ตัดผมทรงนี้แล้วหน้าเด็กลงนะ พี่ว่าตัดแบบนี้ดีแล้ว อย่าไปไว้ยาวไรมาก”


“ห่วงหัวคนอื่นเค้าจริงนะ ”


“ห่วงดิ … ก็น้องทั้งคน ” โอ้ตเดินมาข้างๆแล้วก็เอามือมาโอบไหล่เป็นเชิงปลอบ


“จะปีหนึ่งแล้วซิ…”


“ปีกว่าแล้ว”  ผมบอกเบาๆ แล้วก็ยืนเงียบ สายตายังคงจับจ้องไปยังครอบครัวของตัวเองที่ทำนั่นทำนี่อยู่เบื้องหน้า


“คิดถึงมั้ย ..? ”

ยังไม่ทันที่คำตอบจะออกจากปาก ลุงสนก็ตะโกนเรียกให้ผมสองคน


“โอ้ต  … ปริ้น …  ขึ้นมาได้แล้ว    ”


เราสองคนตะกายกันขึ้นไปบริเวณชะง่อนหินที่ตั้งของสถูปสีขาวสะอาดประจำตระกูล ลุงสนส่งปลายสายสิญจน์
มาให้ผมให้ลงเอาไปให้ยายจับที่ด้านล่าง เพราะจะให้ยายตะเกียกขึ้นมาตรงนี้ก็คงไม่ไหว  ผมค่อยๆปีนลงทำตาม
คำสั่งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับขึ้นมาอีกครั้ง โอ้ตส่งธูปมาให้จุดไฟ  ผมสะบัดก้านธูปให้เปลวไฟมอด ก่อนจะยกมือขึ้นพนมช้าๆ อธิฐานในใจ


บรรพบุรุษที่ได้ล่วงลับทั้งหลาย ตาครับ  พ่อครับ วันนี้เรามาทำบุญกระดูกให้ ขอให้ทุกๆคนได้รับส่วนบุญใน
ครั้งนี้ แล้วก็ขอให้อยู่อย่างมีความสุข บลาๆๆๆ



หางตาของผมรู้สึกว่าโอ้ตหันมามองก่อนจะปักธูปลงบนกระถาง  แล้วก็รอให้ผมเสร็จภารกิจ

.

.

“ยังคิดถึง…โค้กอยู่ใช่มั้ย ? ”


สายลมเย็นพัดเอากลิ่นธูปหอมโชยเข้าปะทะ  ผมก้มลงปักธูปเข้าที่กระถางหน้าสถูปสีขาว
ก่อนจะหันไปตอบโอ้ต


“เปล่า .. อืม - - ไม่ถึงกับคิดถึงหรอก … แค่ - - ”


“….ไม่เป็นไร   ไม่ต้องบอกหรอก โอ้ตพอเข้าใจ”   มันพูดพร้อมเปลี่ยนสรรพนาม ก่อนที่จะชวนกันก็ค่อยๆ
เดินลงไปรอที่ลานวัดเหมือนเดิม  โอ้ตมันขอตัวเดินไปคุยกับคนนั้นทีคนโน้นทีอยู่พักใหญ่ 


จะว่าไปแล้ว หลังจากเจอกันที่เชียงใหม่วันรับปริญญา  มันก็ดูไม่ค่อยเปลี่ยนไปเท่าไหร่  ยิ่งมันเข้าทำงาน
ที่บริษัทยา ก็ต้องวิ่งวุ่นทำนั่นทำนี่ แทบไม่มีเวลาจะได้กลับบ้านเลย 


“ทำไมไม่ให้โอ้ตเค้าไปค้างที่คอนโดล่ะปริ้น จะได้ไม่ต้องไปเช่าหลายๆที่ อีกอย่างที่เราอยู่มันก็ไปไหนมา
ไหนสะดวกไม่ใช่เหรอ”  คำพูดที่แม่เคยถามผุดขึ้นมาในหัว


“- - เจ้าโค้กเค้าก็ไปเมืองนอกเมืองนาแล้ว ก็ให้พี่เค้ามาอยู่ไปก่อนซิ ” แม่หันมาบอกผม


“ไม่เป็นไรหรอกครับน้า … ผมอยู่ก็สบายดีแล้วครับ ไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย” โอ้ตรีบบอก ผมหันไป
สบตามันชั่วครู่



“เฮ้อ … ”


ผมเอนตัวไปพิงกับราวกำแพงเย็นเฉียบ เหม่อลอยไปอย่างไม่รู้จุดหมาย กลิ่นธูปหอมคละเคล้าไปกับ
กลิ่นหอมจากดอกลั่นทมดูจะปะดักปะเดื่อยังไงชอบกล  ผมเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าเบื้องบน
ปุยเมฆที่ดูแล้วไม่ได้แตกต่างจากเมื่อก่อน ฟ้าครามที่ดูแล้วก็ยังคงแจ่มใสเหมือนเดิม


“โอ้ต ถ้าไม่มีไรแล้ว งั้นขอไปเดินเล่นข้างบนอีกแป็บนะ” ผมบอกพี่ชายสุดที่รัก


“อ้าว แล้วไม่ถวายพระด้วยกันก่อนเหรอ เดี๋ยวแม่เราก็ด่าให้หรอก”


“ก็ถึงได้บอกโอ้ตไง ไงรับหน้าแทนให้ด้วยล่ะกัน - - ขี้เกียจฟังพระสวดด้วย ” ผมป้ายขี้เสร็จ ก็เดินลิ่วๆ
ขึ้นมาทางที่เดินลงมาเมื่อสักครู่  ใจจริงอยากจะขึ้นไปนอนรับลมก่อนจะกลับบ้าน แล้วก็ไปทำงาน
ในวันพรุ่งนี้


อยากขึ้นไปซึมซับบรรยากาศเก่าๆอีกรอบนึง (พูดเหมือนคนแก่)


ผมเดินขึ้นไปบนวัดพระแก้วน้อยอีกครั้งนึง ชำเลืองสายตาดูรอบๆ ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมากลุ่มเมื่อกี้
หายหน้าหายตาไปหมดแล้ว  จึงค่อยๆปีนขึ้นไปพังพาบอยู่บนเจดีย์ขาวอีกครั้ง  หลากหลายคำถาม
ค่อยๆพร่างพรูเข้ามาจุกในอกอีกครั้ง


มีคนเคยบอกว่า การรอคอย มันทรมาน … โดยเฉพาะการรอคอยที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง


ผมกำลังเดินไปตามเส้นทางสายนั้น … ค่อยๆเดินต่อไป ยิ่งนานวัน ความหวัง ความฝันที่มันเคยชัดเจน
เวลาค่อยๆกัดกร่อนเอาสิ่งเหล่านั้นให้มลายลงทีละนิดทีละนิด


รู้ตัวเองดี ว่ากำลังจะเพลี่ยงพล้ำไปหลายครั้งกับคนหลายคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตตลอดช่วงเวลาที่
โค้กมันไม่อยู่ …. รู้ตัวดีถึงความเหงาเมื่อเวลาที่ไม่มีใครจริงๆ … แล้วก็รู้ตัวดี ว่าความอดทนนั้น
มันใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว


อยากปล่อยตัว ปล่อยใจให้เป็นอิสระ … ถ้าไม่มีความรัก เราก็คงไม่ต้องมีความทุกข์ใช่มั้ย ?


ถ้าไม่มีความหวัง  … เราก็ไม่จำเป็นต้องนั่งรอความสูญเสียใช่มั้ย ?


แล้วถ้าปลายทางที่เดินไปถึง มันกลับไม่มีอะไรเลยล่ะ ?


… ถึงตอนนั้น … เราจะยังมีความรักให้ใครได้อีกมั้ย ?


เหนื่อยเหลือเกิน …. เหนื่อยจริงๆ


อยู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาที่ขอบตา ก่อนจะร่วงหล่นไปตามหางตาลงสู่พื้นหินอ่อนขัดมันของเจดีย์
.

.

.

ครืดด ครืดดด ครืดดด


มือถือสั่นพร้อมเสียงเพลง Canon In D ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณว่าคนข้างล่างคงจะได้เวลากลับกันแล้ว
ผมฝืนตัวเองลุกขึ้นปาดน้ำตาแล้วก็สิ่งสกปรกข้างแก้ม


ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปสู่โลกแห่งความจริงซะที … วันพรุ่งนี้ยังมีงาน มีภาระที่จะต้องทำอีกมากมาย
ยังมีครอบครัวที่ต้องคอยดูแล ยังมีอนาคตที่ต้องผ่านเรื่องขมขื่นอีกมากมาย

ท่วงทำนองไพเราะยังคงดังอยู่ในอุ้งมือขวาของผม ในขณะที่กำลังเดินลงบันไดลงจากวัดพระแก้วน้อย  ใจนึง
ก็อยากจะกดตัดสายทิ้งเพื่อที่จะให้คนข้างล่างรู้ว่ากำลังจะกลับลงไป แต่อีกใจนึงก็อยากจะฟังต่อนานๆ


ถ้าเป็นไอ้โค้กโทรมาก็ดีซินะ …..


ถ้าเป็นมัน … ก็คงดี


ผมเดินมาถึงทางแยกสองทางอีกครั้งก่อนที่จะตัดสินใจเดินลงกลับทางเก่าอีกครั้งนึง เมื่อเห็นกลุ่มคนจำนวนนึง
กำลังเดินสวนมาทางผมพอดี  จริงๆแล้วคือกลัวเค้าเห็นคราบน้ำตาต่างหาก …….. แต่ก่อนจะได้ก้าวขา - -


ผมรู้สึกว่าโลกหยุดหมุนชั่วคราว .. ขาที่กำลังจะก้าวลงไปอีกทางเหมือนมีรากไม้ยืดยุดฉุดเอาไว้ให้นิ่งอึ้ง
เมื่อเห็นคนคุ้นหน้าที่เดินอยู่รั้งท้ายของกลุ่มคนเหล่านั้น เดินเข้ามาหาผมช้าๆ


ตึกตัก ตึก ตัก ….


“ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ฮื้อ … ”เจ้าของเสียงที่ผมเคยคิดว่าอยู่ไกลแสนไกล บัดนี้ดังขึ้นอยู่ตรงหน้า
พร้อมกับรอยยิ้มสดใส  ดวงตากลมโตเพ่งมองมาที่ผมด้วยความสงสัย ปนขุ่นเคืองนิดๆ


“- - ต้องให้ผมวิ่งขึ้นมาบนนี้ มันเหนื่อยรู้มั้ย  ถ้าปริ้นรับตั้งแต่แรก ผมก็ไม่ต้องวิ่งขึ้นมาหาแล้ว”


มันว่าพลางค่อยๆเดินเข้ามาสวมกอดผมช้าๆ ก่อนที่ของเหลวใสบางอย่างจะทันหล่นลงบนพื้น
ลาดเอียง ผมค่อยๆสวมกอดร่างที่อยู่ตรงหน้า ไออุ่นที่โหยหามานาน และเทียบเคียงไม่ได้กับ
เทคโนโลยีใดๆที่ทำให้เราใกล้กัน


คนในกลุ่มที่เดินมาพร้อมกับโค้กหยุดหันมามองด้วยความสงสัย แล้วก็ยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเดินห่างออกไป
ปล่อยทิ้งให้ใครคนนั้นที่เดินตามพวกเค้ามาด้วย….หยุดยืนเป็นที่พักพิงให้กับผมตลอดไป ณ ตอนนี้
สายลมของฤดูร้อนได้พัดผ่านเอาความสดชื่นในชีวิตกลับคืนมาอีกครั้ง …….



.

.

.

.

.

.


บ้านพักอลเวง จบบริบูรณ์
 - - -    ---------------->













- เกาะช้าง ต้นปีที่แล้ว …. -


ผมนั่งอยู่ริมชายหาดพร้อมกับเพื่อนรักสองคนที่นอนแอ้งแม้งข้างๆด้วยความอ่อนเพลียจากการเล่นน้ำ
เส้นขอบที่เห็นข้างหน้าเลือนลางคงเป็นอีกซีกโลกนึงที่ยังคงหลับไหล แสงไฟจากเรือตกหมึกส่องสว่าง
อยู่กลางทะเลดำมืดไร้สุดสิ้นสุด


ผมได้ยินเสียงลมหายใจของซังดังเป็นจังหวะทางด้านซ้ายของตัวเอง มันคงงีบหลับไปแล้ว จึงหันมา
คุยกะไอ้คิวแทน


“คิว …


“หื้อ ?


“… ทำไมมึงสองคนถึงรักกันวะ


ผมเห็นคิวเหม่อมองไปบนท้องฟ้ากว้างที่เต็มไปด้วยดวงดาวพราวแสงอยู่ดาษดื่นทั่วทุกสารทิศ
ก่อนจะยิ้มที่มุมปาก  แล้วก็ลุกขึ้นมานั่งข้างๆ


“อิจฉาเหรอไง ?


ผมเงียบ พลางก่นด่ามันอยู่ในใจ


มันเหลือบมามองผมที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป


“… อย่าอิจฉาเลยมึง”   คิวบอกเสียงแผ่ว “- -  เอาไว้ว่างๆ ….. กูค่อยเล่าให้ฟังแล้วกัน”

.

.

.

.

.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-04-2008 02:06:17 โดย stayingpower »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด