จริงๆ ... ตอนจบของเรื่องนี้ ก็มีสปอยบอกไว้แล้วนะครับ ตั้งแต่ตอนแรกของภาค 7 หุหุ
ยังไงถ้าเพื่อนๆอ่านจบแล้ว อยากให้ฝากเป็นคำนิยม(ทั้งดีและไม่ดี) ให้กับบ้านพักอลเวง
ด้วยนะครับ เผื่อเอาไว้ลงในหนังสือฮะ (ถ้าได้ทำ) ขอบคุณคับ
แล้วไว้ผมจะกลับมาขอบคุณอย่างเป็นทางการอีกทีนะฮะ
ลป. บ้านพักฯปริ้นโอ้ตโค้ก จบลงแน่นอนแล้วในภาค 7 นี้ครับ ขอให้มีความสุข(มั้ง)
กับการอ่านครับ ^^
.
.
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
.
.
http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?songID=V2GAGGPD&Autoplay=1.
.
.
.
เดือนพฤษภาคม .... 2 ปีถัดมา –
ติ้ก … ติ้ก … ติ้ก ….
เสียงเข็มนาฬิกาข้อมือดังเป็นจังหวะ ในขณะเดียวกับผมนอนเอามือทั้งสองข้างหนุนหัว
แสงแดดในตอนสายของเดือนพฤษภาคมปีนี้ดูจะแรงกว่าปีก่อน อาจเป็นเพราะปรากฏการณ์ลานิญญาเหรอ
เปล่านะ ที่ทำให้มันร้อนแห้งแล้งได้ถึงเพียงนี้ ถึงแม้แสงแดดจะส่องมาแรงเพียงใด แต่ก็ยังโชคดีทีมีสายลม
เอื่อยเฉือยพัดมาเป็นระลอกพอดับความอบอ้าว
ผมนอนหลับตารอคอยเวลาไปเรื่อยๆ บริเวณโดยรอบของวัดพระแก้วน้อย เริ่มได้ยินเสียงผู้คนบางกลุ่ม
เดินคุยกันใกล้เข้ามา ส่งเสียงหยอกล้อคุยกันสนุกสนาน ทำให้นึกย้อนกลับไปถึงวันที่ผมได้ขึ้นมาสัมผัส
บรรยากาศของสถานที่แห่งนี้ในวันแรก โอ้ต…ค่อยๆพาผมเลียบเลาะไต่ขึ้นมาจากทางหลังโรงเรียนขึ้น
มาเรื่อยๆ จนถึงสถานที่แห่งนี้
นึกย้อนกลับไป โค้ก..ชวนผมขึ้นมานั่งที่ตรงนี้ พร้อมกับคำที่เหมือนอยากจะสารภาพความรู้สึกของตัวเอง
ออกมา แต่ในที่สุด มันก็ไม่พูดอะไร ได้แต่ยืนกู่ร้องตะโกนบอกท้องฟ้าสีคราม … ที่เหมือนกับวันนี้ไม่มีผิด
ผมลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วจึงยันตัวขึ้นนั่ง เหยียดแขนท้าวกับพื้นหินอ่อนที่ลงนอนเมื่อครู่ ปล่อยขาห้อยต่องแต่ง
ลงจากฐานเจดีย์ สายตายังคงจับจ้องไปเบื้องหน้า ที่เส้นขอบฟ้าไกลโพ้นทะเล ป่านนี้คนๆนั้นกำลังทำอะไร
อยู่นะ ?
…. แล้วเค้าจะยังรอเราอยู่มั้ย ?
สายลมเย็นหอบใหญ่ พัดเข้าปะทะใบหน้าทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก พัดเอากลิ่นของดอกลั่นทมที่ปลูกอยู่
ในบริเวณโดยรอบของพระนครคีรีแห่งนี้ฟุ้งตลบอบอวน
ข้างบนนี้ …ที่นี่ยังคงเหมือนเดิม … ไม่ว่าโลกตอนนี้ จะเปลี่ยนแปลงไปยังไง …. ความรู้สึกที่เป็นสุข
เมื่อมายืนอยู่ที่นี่ … มันยังเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
กี่ปีมาแล้วนะ … ผมแทบจะลืมบรรยากาศเก่าๆไปหมดแล้วซิ
ครืดด ครืดดด ครืดดด
เสียงเพลง Canon In D ดังขึ้นมา ผมขยับตัวควักมือถือขึ้นมาก่อนกดรับสายโดยไม่ต้องดูว่าใครโทรเข้ามา
เสียงรับสายที่จะดังขึ้นมาเฉพาะกับคนเพียง 2 คน เพียงเพราะว่า…ไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนอีกคนจะโทรมา
“มาถึงแล้วนะ อยู่ไหนเหรอ …” เสียงโอ้ตแว่วมาจากปลายสาย
“อยู่ข้างบนนี้ล่ะ อือ… กำลังจะลงไปแล้ว” ผมตอบ
“บนเจดีย์แดงเหรอ” อึ้ก เกือบเดาถูกนะมึง
“ไม่ใช่หรอก ใกล้ๆกันอ่ะล่ะ มานั่งเล่นๆ ” ผมพูดเสร็จก็ตัดสายไป ก่อนจะค่อยๆกระโดดลงมาให้ถูกท่า
เพราะไม่งั้นอาจจะกลิ้งตกลงไปถึงตายได้ ก่อนจะเดินมาถึงทางแยกที่ให้เลือกระหว่างจะกลับไปตามทางเดิม
ที่ปูลาดไว้ให้เป็นอย่างดี กับทางขวามือที่แต่ก่อนเต็มไปด้วยหินที่กองระเกะระกะเต็มทางจนไม่ไหวจะเดิน
ในสมัยตอนผมเรียนอยู่ม.ปลาย แต่ดูทางตอนนี้กลับถูกปูด้วยหินดินแดงลาดลงไปตลอดทางคดเคี้ยว แต่คนที่
มาเที่ยวก็ไม่อยากใช้เป็นทางเดินลงอยู่ดี เพราะทางมันเปลี่ยวโขอยู่แม้จะเป็นยามกลางวัน
ผมไม่คิดมากจึงเดินลัดเลาะไปตามทางที่ลาดไว้ใหม่ อีกทั้งทางนี้เมื่อเดินไปสุดทางเดินก็จะสามารถลงไปยัง
วัดเล็กๆข้างล่างได้โดยใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที พอเดินมาถึง ผมเห็นทั้งแม่ทั้งยาย พร้อมกับญาติๆพร้อมคนรู้จัก
อีกสี่ห้าคน กำลังง่วนอยู่กับการจัดเตรียมของให้ทันถวายพระเพล
ลุงสนกำลังโยงสายสิญจน์ไปรอบๆสถูปสีขาว ที่ตั้งอยู่บนชะง่อนหินอย่างยากลำบาก
ผมเดินตรงเข้าไปสะกิดผู้ชายใส่ชุดทำงานที่ยืนหันหลังให้อยู่
“นึกว่าจะมาไม่ได้แล้ว คุณพี่” ญาติต่างสายเลือดสะดุ้งนิดหน่อย ก่อนจะหันมายิ้มใส่ด้วยความดีใจ
(หรือเปล่า)
“จะไม่ให้มาได้ไง เดี๋ยวคนแถวนี้ก็ว่าอีก”
“ใครจะกล้าว่าคุณพี่ล่ะคับ”
โอ้ตหยุดเถียงได้แต่มองหน้าผมแล้วก็ยิ้มอยู่นั่นล่ะ สายตาของมันที่มองมาก็คงจะอ่านใจผมได้ทะลุ
ปรุโปร่งเหมือนเช่นเคย คิดได้ดังนั้นผมก็เลยต้องหลบตามันพอเป็นพิธี
“แล้วไม่คิดจะไปช่วยพ่อตัวเองหน่อยเหรอ เด๋วก็ตกลงมาแข้งขาหักพอดี แทนที่จะได้ทำบุญ ”
โอ้ตหัวเราะเบาๆ
“พ่อพี่ยังแข็งแรงอยู่น่า ไม่ต้องไปช่วยหรอก … ไว้เป็นอะไรขึ้นมา เดี๋ยวค่อยจัดยาให้แก” มันพูดยิ้มๆ
“ตลกล่ะ…หนอนจริงๆ”
โอ้ตยืนเงียบๆ แล้วก็จ้องมาที่ตัวผมระยะๆ
“ดูเหนื่อยๆนะ” มาแล้วคับกับคำถามที่แฝงไปด้วยนัยยะ
“นิดหน่อย … สอนเด็กก็เงี้ยแหละ”
“นีกว่าชอบซะอีก หึหึ”
“พูดบ้าๆ ยังไม่อยากเข้าไปนอนในคุกนะเว้ย … เออ แล้วตัวเองเป็นไงบ้างล่ะ หายไปตั้งนาน - -
บ้านช่องม่ะค่อยยอมกลับเลยหนิ ได้ยินป้าเล็กบ่นประจำ”
โอ้ตถอนหายใจ เบี่ยงสายตาไปมองแม่ตัวเองที่กำลังจัดเตรียมอาหารถวายพระอย่างขะมักเขม้น
“ยุ่งๆ ไม่ค่อยได้อยู่เป็นที่หรอก” มันทำหน้าหนักใจ
“ย้ายมาศิริราชแล้วยังต้องเดินสาย service แฟนๆอีกเหรอ”
“แฟนๆบ้าไรเล่า … หน้าที่ต่างหาก ” มันบ่นอุบทำหน้าหงิก ผมหัวเราะที่ไม่ได้เห็นภาพ
แบบนี้ของโอ้ตมานานมากมาย
“แล้วมีคุณหมอน่ารักๆ แนะนำซักคนสองคนมั้ยล่ะ ” ผมแหย่กลับ
“ทำไม ? …. เหงาเป็นกะเค้าด้วยเหรอ” โอ้ตพูดประโยคนี้ขึ้นมาทำเอาผมจุกเล็กๆ สายตาที่มองมา
ยังคงจับจ้องที่ใบหน้าผมอยู่
“อะไร มีเรื่องให้ทำเยอะแยะ ไม่จำเป็นต้องเหงาหรอก” ผมหลบตาพลางเอามือเกาหัว ที่ตอนนี้ตัดผมสั้น
ในระดับที่ไม่เป็นตัวอย่างเลวๆให้กับเด็ก
“ตัดผมทรงนี้แล้วหน้าเด็กลงนะ พี่ว่าตัดแบบนี้ดีแล้ว อย่าไปไว้ยาวไรมาก”
“ห่วงหัวคนอื่นเค้าจริงนะ ”
“ห่วงดิ … ก็น้องทั้งคน ” โอ้ตเดินมาข้างๆแล้วก็เอามือมาโอบไหล่เป็นเชิงปลอบ
“จะปีหนึ่งแล้วซิ…”
“ปีกว่าแล้ว” ผมบอกเบาๆ แล้วก็ยืนเงียบ สายตายังคงจับจ้องไปยังครอบครัวของตัวเองที่ทำนั่นทำนี่อยู่เบื้องหน้า
“คิดถึงมั้ย ..? ”
ยังไม่ทันที่คำตอบจะออกจากปาก ลุงสนก็ตะโกนเรียกให้ผมสองคน
“โอ้ต … ปริ้น … ขึ้นมาได้แล้ว ”
เราสองคนตะกายกันขึ้นไปบริเวณชะง่อนหินที่ตั้งของสถูปสีขาวสะอาดประจำตระกูล ลุงสนส่งปลายสายสิญจน์
มาให้ผมให้ลงเอาไปให้ยายจับที่ด้านล่าง เพราะจะให้ยายตะเกียกขึ้นมาตรงนี้ก็คงไม่ไหว ผมค่อยๆปีนลงทำตาม
คำสั่งอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับขึ้นมาอีกครั้ง โอ้ตส่งธูปมาให้จุดไฟ ผมสะบัดก้านธูปให้เปลวไฟมอด ก่อนจะยกมือขึ้นพนมช้าๆ อธิฐานในใจ
บรรพบุรุษที่ได้ล่วงลับทั้งหลาย ตาครับ พ่อครับ วันนี้เรามาทำบุญกระดูกให้ ขอให้ทุกๆคนได้รับส่วนบุญใน
ครั้งนี้ แล้วก็ขอให้อยู่อย่างมีความสุข บลาๆๆๆหางตาของผมรู้สึกว่าโอ้ตหันมามองก่อนจะปักธูปลงบนกระถาง แล้วก็รอให้ผมเสร็จภารกิจ
.
.
“ยังคิดถึง…โค้กอยู่ใช่มั้ย ? ”
สายลมเย็นพัดเอากลิ่นธูปหอมโชยเข้าปะทะ ผมก้มลงปักธูปเข้าที่กระถางหน้าสถูปสีขาว
ก่อนจะหันไปตอบโอ้ต
“เปล่า .. อืม - - ไม่ถึงกับคิดถึงหรอก … แค่ - - ”
“….ไม่เป็นไร ไม่ต้องบอกหรอก โอ้ตพอเข้าใจ” มันพูดพร้อมเปลี่ยนสรรพนาม ก่อนที่จะชวนกันก็ค่อยๆ
เดินลงไปรอที่ลานวัดเหมือนเดิม โอ้ตมันขอตัวเดินไปคุยกับคนนั้นทีคนโน้นทีอยู่พักใหญ่
จะว่าไปแล้ว หลังจากเจอกันที่เชียงใหม่วันรับปริญญา มันก็ดูไม่ค่อยเปลี่ยนไปเท่าไหร่ ยิ่งมันเข้าทำงาน
ที่บริษัทยา ก็ต้องวิ่งวุ่นทำนั่นทำนี่ แทบไม่มีเวลาจะได้กลับบ้านเลย
“ทำไมไม่ให้โอ้ตเค้าไปค้างที่คอนโดล่ะปริ้น จะได้ไม่ต้องไปเช่าหลายๆที่ อีกอย่างที่เราอยู่มันก็ไปไหนมา
ไหนสะดวกไม่ใช่เหรอ” คำพูดที่แม่เคยถามผุดขึ้นมาในหัว
“- - เจ้าโค้กเค้าก็ไปเมืองนอกเมืองนาแล้ว ก็ให้พี่เค้ามาอยู่ไปก่อนซิ ” แม่หันมาบอกผม
“ไม่เป็นไรหรอกครับน้า … ผมอยู่ก็สบายดีแล้วครับ ไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย” โอ้ตรีบบอก ผมหันไป
สบตามันชั่วครู่“เฮ้อ … ”
ผมเอนตัวไปพิงกับราวกำแพงเย็นเฉียบ เหม่อลอยไปอย่างไม่รู้จุดหมาย กลิ่นธูปหอมคละเคล้าไปกับ
กลิ่นหอมจากดอกลั่นทมดูจะปะดักปะเดื่อยังไงชอบกล ผมเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าเบื้องบน
ปุยเมฆที่ดูแล้วไม่ได้แตกต่างจากเมื่อก่อน ฟ้าครามที่ดูแล้วก็ยังคงแจ่มใสเหมือนเดิม
“โอ้ต ถ้าไม่มีไรแล้ว งั้นขอไปเดินเล่นข้างบนอีกแป็บนะ” ผมบอกพี่ชายสุดที่รัก
“อ้าว แล้วไม่ถวายพระด้วยกันก่อนเหรอ เดี๋ยวแม่เราก็ด่าให้หรอก”
“ก็ถึงได้บอกโอ้ตไง ไงรับหน้าแทนให้ด้วยล่ะกัน - - ขี้เกียจฟังพระสวดด้วย ” ผมป้ายขี้เสร็จ ก็เดินลิ่วๆ
ขึ้นมาทางที่เดินลงมาเมื่อสักครู่ ใจจริงอยากจะขึ้นไปนอนรับลมก่อนจะกลับบ้าน แล้วก็ไปทำงาน
ในวันพรุ่งนี้
อยากขึ้นไปซึมซับบรรยากาศเก่าๆอีกรอบนึง (พูดเหมือนคนแก่)
ผมเดินขึ้นไปบนวัดพระแก้วน้อยอีกครั้งนึง ชำเลืองสายตาดูรอบๆ ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมากลุ่มเมื่อกี้
หายหน้าหายตาไปหมดแล้ว จึงค่อยๆปีนขึ้นไปพังพาบอยู่บนเจดีย์ขาวอีกครั้ง หลากหลายคำถาม
ค่อยๆพร่างพรูเข้ามาจุกในอกอีกครั้ง
มีคนเคยบอกว่า การรอคอย มันทรมาน … โดยเฉพาะการรอคอยที่ไม่มีจุดหมายปลายทาง
ผมกำลังเดินไปตามเส้นทางสายนั้น … ค่อยๆเดินต่อไป ยิ่งนานวัน ความหวัง ความฝันที่มันเคยชัดเจน
เวลาค่อยๆกัดกร่อนเอาสิ่งเหล่านั้นให้มลายลงทีละนิดทีละนิด
รู้ตัวเองดี ว่ากำลังจะเพลี่ยงพล้ำไปหลายครั้งกับคนหลายคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตตลอดช่วงเวลาที่
โค้กมันไม่อยู่ …. รู้ตัวดีถึงความเหงาเมื่อเวลาที่ไม่มีใครจริงๆ … แล้วก็รู้ตัวดี ว่าความอดทนนั้น
มันใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
อยากปล่อยตัว ปล่อยใจให้เป็นอิสระ … ถ้าไม่มีความรัก เราก็คงไม่ต้องมีความทุกข์ใช่มั้ย ?
ถ้าไม่มีความหวัง … เราก็ไม่จำเป็นต้องนั่งรอความสูญเสียใช่มั้ย ?
แล้วถ้าปลายทางที่เดินไปถึง มันกลับไม่มีอะไรเลยล่ะ ?
… ถึงตอนนั้น … เราจะยังมีความรักให้ใครได้อีกมั้ย ?
เหนื่อยเหลือเกิน …. เหนื่อยจริงๆ
อยู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาที่ขอบตา ก่อนจะร่วงหล่นไปตามหางตาลงสู่พื้นหินอ่อนขัดมันของเจดีย์
.
.
.
ครืดด ครืดดด ครืดดด
มือถือสั่นพร้อมเสียงเพลง Canon In D ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นสัญญาณว่าคนข้างล่างคงจะได้เวลากลับกันแล้ว
ผมฝืนตัวเองลุกขึ้นปาดน้ำตาแล้วก็สิ่งสกปรกข้างแก้ม
ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปสู่โลกแห่งความจริงซะที … วันพรุ่งนี้ยังมีงาน มีภาระที่จะต้องทำอีกมากมาย
ยังมีครอบครัวที่ต้องคอยดูแล ยังมีอนาคตที่ต้องผ่านเรื่องขมขื่นอีกมากมาย
ท่วงทำนองไพเราะยังคงดังอยู่ในอุ้งมือขวาของผม ในขณะที่กำลังเดินลงบันไดลงจากวัดพระแก้วน้อย ใจนึง
ก็อยากจะกดตัดสายทิ้งเพื่อที่จะให้คนข้างล่างรู้ว่ากำลังจะกลับลงไป แต่อีกใจนึงก็อยากจะฟังต่อนานๆ
ถ้าเป็นไอ้โค้กโทรมาก็ดีซินะ …..
ถ้าเป็นมัน … ก็คงดี
ผมเดินมาถึงทางแยกสองทางอีกครั้งก่อนที่จะตัดสินใจเดินลงกลับทางเก่าอีกครั้งนึง เมื่อเห็นกลุ่มคนจำนวนนึง
กำลังเดินสวนมาทางผมพอดี จริงๆแล้วคือกลัวเค้าเห็นคราบน้ำตาต่างหาก …….. แต่ก่อนจะได้ก้าวขา - -
ผมรู้สึกว่าโลกหยุดหมุนชั่วคราว .. ขาที่กำลังจะก้าวลงไปอีกทางเหมือนมีรากไม้ยืดยุดฉุดเอาไว้ให้นิ่งอึ้ง
เมื่อเห็นคนคุ้นหน้าที่เดินอยู่รั้งท้ายของกลุ่มคนเหล่านั้น เดินเข้ามาหาผมช้าๆ
ตึกตัก ตึก ตัก ….
“ทำไมไม่รับโทรศัพท์ ฮื้อ … ”เจ้าของเสียงที่ผมเคยคิดว่าอยู่ไกลแสนไกล บัดนี้ดังขึ้นอยู่ตรงหน้า
พร้อมกับรอยยิ้มสดใส ดวงตากลมโตเพ่งมองมาที่ผมด้วยความสงสัย ปนขุ่นเคืองนิดๆ
“- - ต้องให้ผมวิ่งขึ้นมาบนนี้ มันเหนื่อยรู้มั้ย ถ้าปริ้นรับตั้งแต่แรก ผมก็ไม่ต้องวิ่งขึ้นมาหาแล้ว”
มันว่าพลางค่อยๆเดินเข้ามาสวมกอดผมช้าๆ ก่อนที่ของเหลวใสบางอย่างจะทันหล่นลงบนพื้น
ลาดเอียง ผมค่อยๆสวมกอดร่างที่อยู่ตรงหน้า ไออุ่นที่โหยหามานาน และเทียบเคียงไม่ได้กับ
เทคโนโลยีใดๆที่ทำให้เราใกล้กัน
คนในกลุ่มที่เดินมาพร้อมกับโค้กหยุดหันมามองด้วยความสงสัย แล้วก็ยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะเดินห่างออกไป
ปล่อยทิ้งให้ใครคนนั้นที่เดินตามพวกเค้ามาด้วย….หยุดยืนเป็นที่พักพิงให้กับผมตลอดไป ณ ตอนนี้
สายลมของฤดูร้อนได้พัดผ่านเอาความสดชื่นในชีวิตกลับคืนมาอีกครั้ง …….
.
.
.
.
.
.
บ้านพักอลเวง จบบริบูรณ์
- - - ---------------->
- เกาะช้าง ต้นปีที่แล้ว …. -
ผมนั่งอยู่ริมชายหาดพร้อมกับเพื่อนรักสองคนที่นอนแอ้งแม้งข้างๆด้วยความอ่อนเพลียจากการเล่นน้ำ
เส้นขอบที่เห็นข้างหน้าเลือนลางคงเป็นอีกซีกโลกนึงที่ยังคงหลับไหล แสงไฟจากเรือตกหมึกส่องสว่าง
อยู่กลางทะเลดำมืดไร้สุดสิ้นสุด
ผมได้ยินเสียงลมหายใจของซังดังเป็นจังหวะทางด้านซ้ายของตัวเอง มันคงงีบหลับไปแล้ว จึงหันมา
คุยกะไอ้คิวแทน
“คิว …
“หื้อ ?
“… ทำไมมึงสองคนถึงรักกันวะ
ผมเห็นคิวเหม่อมองไปบนท้องฟ้ากว้างที่เต็มไปด้วยดวงดาวพราวแสงอยู่ดาษดื่นทั่วทุกสารทิศ
ก่อนจะยิ้มที่มุมปาก แล้วก็ลุกขึ้นมานั่งข้างๆ
“อิจฉาเหรอไง ?
ผมเงียบ พลางก่นด่ามันอยู่ในใจ
มันเหลือบมามองผมที่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“… อย่าอิจฉาเลยมึง” คิวบอกเสียงแผ่ว “- - เอาไว้ว่างๆ ….. กูค่อยเล่าให้ฟังแล้วกัน”
.
.
.
.
.