บ้านพักอลเวง
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: บ้านพักอลเวง  (อ่าน 362343 ครั้ง)

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #30 เมื่อ23-10-2006 05:19:52 »

**************************************************************************************************



“แล้วนายเป็นแบบพวกมันเหรอป่าว” แชมป์มันถามหน้าซื่อๆ (แต่ใจคดเหรอป่าวม่ะรู้)

ผมก็ทำหน้าเป็นงงแหละ แต่จริงๆก็รู้ว่ามันหมายถึงอะไร กรุทำหน้าโง่ไว้ก่อน

“ก็ชอบผู้ชายไง” คราวนี้มันถามตรงๆ

ผมยักคิ้วแบบกวนตรีนทีนึง ก่อนจะตอบกลับไป

“รู้แล้วได้ไร เหรอว่าอยากลอง” ผมตอบพลางจ้องตามันเขม็งด้วยฟามโกดหน่อยๆ

แชมป์มันยิ้มที่มุมปากทีนึง แล้วก็ยื่นหน้ามาหา

“แล้วลองได้ป่ะล่ะ ? ”

เอ้า ไอ้นี่ เล่นม่ะเลิกแฮะ ผมคิดในใจ พึ่งรู้จักกรุนะเนี่ย รู้จักไอ้ปริ้นน้อยไปซะแล้ว คิดได้เท่านั้น ผมก็ขยับเก้าอี้ไปติดกะมันคับ แล้วก็ยิ้มหวานหยาดเยิ้มกะมัน

“ตะเองชอบแบบนี้ก็ไม่บอก” ผมทำเสียงเซ็กซี่ที่สุดเท่าที่ทำได้ พร้อมกับเอื้อมมือไปใต้ที่นั่ง แล้วก็นวดต้นขามันเบาๆ ไอ้แชมป์มันสะดุ้งเลย เหอๆ

“แหม ล่ำจัง น่ากิน”

ผมพูดพลางชะมดชม้อยสายตา(ที่คิดว่า)สาวแตกใส่มันสุดริด มือก็นวดต้นขามันแรงขึ้น ได้ผลคับ มันหน้าแดงก่ำเลย (สงสัยแมร่งไม่เคย)

“เฮ้ย… อย่า” มันพูดเบาๆ พร้อมกับปัดมือผมออก แล้วก็เขยิบที่นั่งออกห่างผมเลยอ่ะ หุหุ กรุก็นึกว่าจาแน่

ผมแสร้งตีหน้าเศร้า

“อ้าว รังเกียจเราเหรอ ไหนบอกว่าอยากลองไง” ผมพูดแล้วก็เอานิ้วดูดปากทีนึง (ไม่ต้องบอกนะว่าสื่ออาราย) ไอ้แชมป์กลืนน้ำลายเอื้อก

“ม่ะ ไม่ใช่ยังงั้น คะ คะ คือ เราไม่ชอบ เออ คนมันเยอะแยะ เห็นป่ะวะ” มันพูดแล้วก็ทำชี้ๆไปรอบๆ เออ คนเยอะจริงๆแหละ แต่กรุหน้าด้านไง หุหุ แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ชอบที่ผมทำท่าออกสาวแตกมากกว่า โฮ่ๆ

มันเหลือบตามามองผมทีนึง แต่พอผมเห็นมันก็หลบตาไปเลย สงสัยแมร่งกลัวจัด ผมว่าจะแกล้งมันต่อ แต่ดันโอ้ตโทรสับมาหาก่อน

ตี้ดดๆๆๆ

“ว่าไง โอ้ต” ผมทำเสียงกลับเป็นปกติ

“ถึง กรุงเทพยัง ? ” เสียงมันยังดูงงๆจัง เหมือนพึ่งตื่น

“โห ถึงตั้งนานแล้วค๊าบ แล้วทำไมเสียงเป็นงั้นอ่ะ พึ่งตื่นเหรอ”

“อืออออ ”

“นี่มานจะบ่ายสองแล้วนะ” ผมพูดอย่างตกใจ เพราะปกติมันเป็นคนตื่นเช้าไง เสาร์อาทิตย์ก็ตื่นเช้า

“ไม่สบายเป่า”

“อืออออ”

“อ้าว แล้วกินยายัง”

“ยังเลย โอ้ตพึ่งตื่น” มันพูดดูเสียงแย่มากกว่าเก่าอีก ผมว่าเป็นเพราะมันโหมงานกีฬาสีไม่พักไม่ผ่อนแหง่ม

“อาไรเนี่ย ดูแลตัวเองหน่อยดิ” ผมพูด

“ก็คนดูแลไปไหนก็ไม่รู้ดิ ” มันพูดแบบงอนๆ

“โห งอนซะงั้น” ผมพูดเสียงอ่อย

“ป่าวไม่ได้งอน”

“เจง…”

“อืออออ”

“ทำเสียงงี้ งอนแหง่ๆๆๆ” ผมกระเซ้า

“เออ แล้วจะกลับเมื่อไรเนี่ย แค๊กๆๆ”

“ไรเนี่ย มีไอด้วย รีบไปกินยาเลย แล้วตัวร้อนป่าว”

“อืออออ นิดหน่อย”

“โอ้ตรีบหาไรรองท้องก่อนกินยาแก้ไข้นะ เด๋วมันกัดกระเพาะ แล้วเด๋วปริ้นจารีบกลับ” ผมพูดด้วยความเป็นห่วง (เจงๆนะ ไม่ได้แบบขอไปที)

“อืออออ รีบกลับมานะครับ คิดถึง ดูมันดิ เวลาไม่สบายอะ” มาทำอ้อน

“ค๊าบ เด๋วจะรีบกลับไปป้อนยาให้เลยค๊าบ” ผมคุยไปยิ้มไป เวลาไอ้โอ้ตมันอ้อนก็ดูแปลกดีคับ น่าร๊ากกก

ผมคุยจนลืมไปว่ามีไอ้แชมป์มันนั่งอยู่ด้วย พอวางปั๊บมันก็ถามทันที

“ใครอ่ะ แฟนเหรอ ? ”

“เออ … ” ผมกลับมาทำทีคุยเป็นปกติเหมือนเดิม

“ไมพูดไม่เพราะเลยวะ ” มันพูดแบบไม่พอใจ

ผมก็ยักคิ้วแบบกวนตรีนให้มันอีกรอบ

“แล้วแฟนผู้ชายผู้หญิงอ่ะ” มันถาม

“ผู้ชาย”

“ไม่เชื่ออ่ะ หญิงแน่ๆ”

เอ้า แสดดดด กรุล่ะเบื่อคนพวกนี้จริงๆ เวลาถามแล้วไม่ยอมเชื่อเนี่ย จะถามทำหมาอะไรวะ อันนี้ผมคิดในใจ

“ไม่เชื่อก็ตามจาย” ผมว่าพลางกดมือถือเล่นไปมา

“ม่ะกี้แกล้งอำอะดิ” มันพูดถึงตอนที่ผมทำแรดใส่มัน ผมชักจาเบื่อความเซ้าซี้ของมันซะแล้วดิ เลยตัดความรำคาญดีกว่า

“งั้นเด๋วเราขอไปเดินเล่นก่อนนะ ขี้เกียจนั่งรอ กว่าหนังจะจบ” ผมพูดพลางลุกขึ้น

“เฮ้ย จะทิ้งเราไว้คนเดียวเนี่ยนะ เพื่อนเราก็ไปกันหมดแล้ว”

“ก็เด๋วไอ้คิวมันก็โทรมาหานายเองหล่ะ” ผมบอกเสร็จ ก็เดินลิ่วๆ แบบจาหลบมันไปให้พ้นให้ได้อ่ะ เป็นโชคดีด้วย เพราะว่าคนเยอะคับ + กะชำนาญเส้นทางรู้ทางหนีทีไล่ เพราะเป็นเด็กเก่ากรุงเทพ หันมาอีกที ก็ไม่เจอมันแระ

บอกตามตรง ผมก็เป็นห่วงซังมันเหมือนกัน ป่านนี้มันจะเป็นไงบ้างวะ เงียบไปเรย มันจะได้ดูหนัง กันป่าววะ มันจะคุยอะไรกัน หรือมันจะทะเลาะอะไรกันมั่งป่าว แล้วพอออกมา มันจะโกดผมป่าววะ ผมคิดมากไปป่าวเนี่ย แต่รู้สึกผิดกับมันจริงๆ ว้อยกลุ้ม

แต่ด้วยความที่ผมไม่ได้แรดห้างมานานคับ ต่อมอยากซื้อนั่นซื้อโน่นก็แตก เดินซื้อเสื้อ ซื้อของกิน ซื้อนั่นซื้อนี่ หมดไปเกือบสองพัน = =’’ โอ้ ขาช๊อปใช่ย่อย

ตี้ดดๆๆๆ

คราวนี้ผมเหลือบมองดูเบอร์ให้แน่ใจก่อน เบอร์ของไอ้แชมป์แน่ๆ

“โหล ใครครับ ”

“เออ เราเอง” 555 กรุรู้อยู่แระ

“อ่อ ว่าไง พวกซังมันออกมาแล้วเหรอ ”

“เออ ม่ายรู้เหมือนกันหว่ะ เราไม่ได้นั่งคอยที่ฟู้ดเซนเตอร์อ่ะ แล้วมันก็ยังไม่โทรมาหาเลย ”

“กำ แล้วไมไม่คอยล่า”

“ก็มานเบื่อนี่หว่า ทำไมกู เอ้ย เราต้องนั่งคอยอยู่คนเดียวด้วยวะ” มันตอบกลับมาแบบอารมณ์ฉุนๆ

“อือ แล้วนี่โทรมาไม ? ”

“คือ … เราหลงทาง” มันทำเสียงอ่อย

“ไอ้เว่อร์ แค่ห้างแค่นี้เดินหลงได้ไง เดินมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเด๊ ” ใจร้ายม่ะ ผมได้ทีเลยแกล้งมันซะเรย จริงอยู่คับ แค่ห้างแค่นี้ไม่น่าหลงได้หรอก แต่มันไม่เคยมา กรุงเทพไง แล้วถ้าใครเคยมา เซนฯปิ่น มันจะมีสองด้านซ้ายขวาคล้ายๆกัน ดูไปแล้วอาจจะงงสำหรับคนที่มาครั้งแรก

“เฮ้ย ! อย่าทิ้งกันดิวะ กลับไม่ถูก” มันชักทำเสียงตื่นเต้น

“อือออๆ แล้วอยู่แถวไหนอ่ะ”

“ไม่รู้หว่ะ = =’’ ”

“นายก็ดูชื่อร้านแถวๆนั้นเซ่ ไอ้เซ่อร์” ผมเผลอด่ามันปาย

“เออๆๆ ” มันเงียบไปพักนึง

“เออ ชื่อร้าน - - - อ่านไม่ออก - - - เออ เจ .. เจออน เอ้ย จีออนโน”

“ตกลงชื่อไรแน่ ? ไปรับไม่ถูกนะเนี่ย” ผมพูดไปเดินไปหามัน พอจะรู้แล้วว่าอยู่แถวไหน

“ว่าไง ชื่อไรวะ”

“เออ เด๋วดิ จิอองกาเน่ - - จิอองโน่”

“ไรวะ มีที่ไหนชื่อร้านเสี่ยวๆแบบนั้นล่ะ” ผมอดขำไม่ได้คับ บ้านนอกเจงเจ้งงง สงสัยเราไปไม่ถูกแล้ว ยังไงรอให้ไอ้คิวโทรมาหาแล้วกัน แค่นี้นะ แบตฯหมดแหล่ววว

ผมพูดเสร็จก็กดวางไปครับ โดยที่มันไม่ทันจะพูดอะไรเลย พอดีกะที่ผมเดินไปใกล้ๆกะร้านที่มันอยู่พอดี แต่แอบไม่ให้มันเห็นนะ จาดูหน้ามันก่อน ผมเห็นมันพยายามกดโทรสับอีกหลายรอบมาก แต่ผมปิดมือถือไปแล้วคับ แบตฯไม่ได้หมดหรอก เหอๆ อยากมาแกล้งลองของผมดีนัก ต้องเอาคืน 100 เท่า

พอมันเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จาโทรแล้ว มันก็ทำหน้าเลิ่กลั่ก ท่าทางขวัญเสียคับ แล้วก็เดินดุ่มๆ ไปเรื่อยเปื่อย ผมยังแปลกใจอยู่เลย ว่าเพื่อนที่มาด้วยกะมันอีกสองคน มันติดต่อไม่ได้กันเลยเหรอไงฟร่ะ แล้วไอ้คิวอีก นี่ก็เกือบสามชั่วโมงแล้ว ทำไมไม่ยอมติดต่อมาซะที ทำหอยดองอะไรอยู่ฟร่ะ

แชมป์มันเดินไปเรื่อยเปื่อย คงหวังว่าจะได้เจอเพื่อนมันมั้ง เพราะว่า ดูสายตามันก็สอดส่องไปทั่ว ผมก็เดินตามมันไปห่างๆอะนะ เดินไปพักนึง เหมือนมีคนโทรมาหามัน ท่าจะเป็นไอ้คิว ว้า อดสนุกเลย มันทำท่าทางคุยไป ดูหน้ามันเครียดยิ่งกว่าเก่าอีกครับ แล้วมันก็วางหูไป หน้าซีดเรยคับ ชักสงสารมันแล้วดิ ผมก็เลยทำทีเดินเข้าไปเจอมันโดยบังเอิญ พอดีมันนั่งก้มหน้าหมดอาลัยตายอยากอยู่ เลยไม่เห็น

“เฮ้ย .. ” ผมทักมันแล้วก็เอามือไปตีบ่า มันเงยหน้าพลวดขึ้นมาเห็นผมเท่านั้นแหละ โผเข้ามากอดซะแรงเลย

“สาดดดดด ปริ้น นึกว่าจะโดนทิ้งอยู่ที่นี่แล้ววววววววววว” ตัวมันเย็นมากเลยคับ แต่เหงื่อมันแตกพลั่กๆ

“เออๆๆ ใจเย็นๆๆ อยู่นี่แล้ว” ผมพยายามปลอบมันจนเข้าที่แล้ว คงพอเข้าใจนะคับ เด็ก ตจว เข้ามากรุงเทพแล้วพลัดหลงกะเพื่อนแบบนี้ มันก็น่าขวัญเสียอยู่หรอก

พอมันเข้าที่แล้ว ก็เล่าด้วยความม่ะโหว่า ไอ้คิวมันดูหนังกันจบตั้งนานแล้ว มันออกมาไม่เห็นผมกะไอ้แชมป์ ก็เลยเดินดูของไปดูของมา แล้วก็ท่าไหนไม่รู้ ตอนนี้มันอยู่ที่สายใต้กันเรียบร้อยแล้ว

“แม่ง ออกมาแล้วก็ไม่โทรมาบอกเพื่อนเลย ไอ้เลว ” แชมป์มันโอดครวญ

“สงสัยดีกันแล้วมั้ง โลกเลยสีชมพู ประมาณว่าความรักบังตา เหอๆ ” ผมพูดขึ้นมา แบบนี้ซังมันคงยอมดีกะคิวแล้วมั้ง

“ก็คงงั้นแหละ ” แชมป์บอกกระฟัดกระเฟียด

“แล้วนี่จะกลับเลยป่าวล่ะ หรือว่าต้องหาเพื่อนอีกสองคนให้เจอก่อน ? ”

“กลับเหอะ ไอ้ผัวเมียสองคนนั่นมันกลับเองได้อยู่แล้ว มีแต่กู เอ้ย เรานี่หละ บ้านนอกสุด”

“บ้านนอกเข้ากรุงมากๆ” ผมแอบนินทา

มันได้ยินเลยเอามือมาจับหัวผมกดแบบแกล้งๆ แต่แรงเด็กเทคนิคมันก็ควายๆกันอยู่ หัวเลยแทบทิ่ม

“โอ้ย ”

“อย่ามาแอบด่า ไอ้ตี๋น้อย”

“เอ๊ะ มันเรียกกรูว่าไรนะ”

“ใครตี๋น้อยวะ ? ”

“ก็เอ็งอะแหละ ตี๋น้อย”

“ชื่อปริ้นว้อยยยยย”

“ฮุ้ ตลก ชื่อฝาหลง ฝรั่ง ไม่อยากเรียกอ่ะ ”

เอ้า ! ซะงั้น นอกจากหน้าหมา แล้วยังหน้าด้านอีกนะ ไอ้เวนนี่

สรุปว่า ผมกะไอ้แชมป์ก็ต้องนั่งรถกลับกันสองคนคับ ไอ้คิวกะซังก็เรียบร้อยโรงเรียนจีน ดีกันไปเรียบร้อยแล้ว แถมดีกันแล้ว มีทิ้งเพื่อนฝูง เปิดตูดกลับกันไปก่อนด้วยนะ แต่ผมคงจะมีนอกรอบกะไอ้ซังแล้วล่ะ ว่ามันดีกันยังไงวะ กรุอยากรู้ (แหมเล่นตัวมาตั้งนาน แค่วันเดียวดีกันได้แระ)

“เน่ … ตี๋น้อย”

“อาไรกุจาหลับ ”

“แม่งพูดไม่เพราะเลยวะ ”

“เออๆ ช่างเหอะ เลิกเซ้าซี้ จาหลับเหนื่อย” เจงๆก็เหนือ่ยเพราะว่าเดินช็อปมาทั้งวันแหละคับ เหอๆ ใช้ขามากไปหน่อย

“ตอนอยู่ที่ฟู้ดเซนเตอร์อ่ะ แกล้งเราใช่ป่าว”

“เรื่องอะไร” ผมพูดไปทั้งๆที่หลับตาอยู่นั่นแหละ เผื่อมันจะสำเหนียกบ้างว่า ผมอยากนอนไม่ได้อยากคุยกะมัน

“อ้าว ก็เรื่องที่แกล้งทำเป็นตุ๊ดไง”

“ป่าว ไม่ได้แกล้ง เป็นจริงๆ”

“แล้วทำไมตอนนี้กะตอนนั้นไม่เห็นเหมือนกันเลย” เอ๊ะ ไอ้นี่ ถามเซ้าซี้จังวะ

“เออ อย่ามาใส่ใจรายละเอียดปลีกย่อยเลย สรุปว่ากุเป็นละกัน แต่ตอนนี้แอ็บไว้ก่อน เครนะ” ผมพูดเสร็จก็พลิกตัวหันไปอีกด้านเลย รำคาญ

ผมได้ยินเสียงมันพูดเบาๆว่า

“มีงี้ด้วยเหรอวะ พวกตุ๊ดนี่เข้าใจยากจัง”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2007 20:11:46 โดย b|ueBoYhUb »

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #31 เมื่อ23-10-2006 05:20:21 »

“ตี๋ … ตี๋”

ผมรู้สึกว่ามีใครซักคนเขย่าตัว พร้อมกับเสียงเรียกเบาๆ

“ว่าไง”

“ถึงเพชรฯแล้ว เด๋วเราลงก่อนนะ”

“อือ โชคดี” ผมยกมือให้ไอ้แชมป์เป็นเชิงล่ำลาพอเป็นพิธี แล้วก็หันกลับมาหลับต่อ อีกตั้งเกือบ ชม. กว่าผมจะถึงชะอำ

Zzzzzzzzzzz Zzzzzzzzzz

“ปริ้นซ์ …. ดูแลตัวเองดีๆนะครับ ”

“งือ …”

“เลิกเรียนแล้ว อย่ามัวเถร่ไถล ไปไหนกะใครนะครับ รีบกลับบ้านล่ะ”

“งือ …”

“ดูแลตัวเองนะ … แล้วจะรีบกลับ สัญญา ”

“งือ … อึ๊กก !! ”

ผมรู้สะดุ้งตัวแบบสุดๆ เหมือนตกจากที่สูงเวลาที่หลับ รู้สึกได้ว่าเหงื่อแตกเต็มแผ่นหลัง ทั้งๆที่แอร์บนรถก็เปิดตามปกติ ผมยกมือปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นที่หน้าผาก พยายามนึกถึงความฝันที่แว่บมาม่ะกี้ แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก แต่ใรความฝัน น้ำเสียงมันคุ้นเคยมากๆเลยอ่ะ

“ฝันบ้าไรวะ !! ”


***************************


กว่าผมจะขยับก้นเข้าบ้านได้ ก็เกือบจะ 5 ทุ่มอยู่แล้ว เลยค่อยๆย่องอย่างเงียบเชียบ ไปบนเรือนใหญ่ ป่านนี้ยายคงหลับไปแล้วล่ะมั้ง

แกร๊ก แกร๊ก ….

ผมขยับประตูที่ลงกลอนไปเรียบร้อยแล้ว

อ่า คืนนี้ กรุไม่ได้อดแดกแล้ว ผมเลยต้องเดินในสภาพหิวโซกลับเข้าบ้านตัวเอง พลางหันไปที่บ้านโอ้ตมัน ก็นึกขึ้นได้ว่า โอ้ตไม่สบายอยู่นี่หว่า ป่านนี้มันจะค่อยยังชั่วยังวะ อยากเข้าไปดูจัง แต่กลัว ป้าดุหาว่ามาทำไรดึกดื่น

แต่ ….

ผมย่องเดินผ่านหน้าต่างห้องไอ้โอ้ต ที่ยังเปิดไฟอยู่ โอ้ตมันนั่งบนเตียงห่มผ้า จดไรยิกๆอยู่ก็ไม่รู้ฮะ

- ไรวะ ดึกป่านนี้ไม่สบายแล้วยังไม่นอนอีก ไอ้หอยเอ้ย….-

เห็นว่ามันยังไม่หลับอยู่แล้ว ก็เลยเดินไปเคาะประตูบ้านมัน ปรากฏว่าป้าเดินมาเปิดให้

“อ้าว ปริ้น พึ่งกลับมาเหรอ ไปไหนกลับมาดึกๆดื่นๆ” ป้าทำเสียงไม่ค่อยพอใจ แต่ก็เลี่ยงตัวให้ผมเดินผ่านเข้าไปได้

“แล้วนี่กินอะไรมาเหรอยัง”

“กินแล้วคับ” ผมพูดปด ส่วนป้าเค้าก็เดินไปคนอะไรซักอย่างที่คิดว่าน่าจะเป็นข้าวต้มในหม้อ โอ้ย ผมนี่โคตรหิวเลย

“ป้าทำข้าวต้มเหรอ”

“จ๊ะ … เจ้าโอ้ตมันเป็นไข้ ไม่สบาย นอนซมทั้งวันเลย” ป้าพูดพลางปิดเตาแก็ซ แล้วก็หยิบกับในตู้กับข้าวออกมา 2 -3 อย่าง

“เนี่ย พึ่งค่อยยังชั่วตื่นมา ก็บ่นหิวๆ ป้าเลยต้องตื่นมาทำให้คุณเค้ากินเนี่ย” ป้าพูดประชดลูกชายตัวเองนิดๆ

“แล้วเป็นไรมากป่าวคับ”

“ไข้หวัดธรรมดาล่ะ เดี๋ยวนี้เจ้าโอ้ตนอนดึกดื่นทุกวัน พักผ่อนก็น้อย แล้วก็มานั่งเขียนโน่นเขียนนี้ ป้าก็บ่นให้มันฟังนะ มันก็ยังดื้ออีก เฮ้อ ไม่รู้มีไปทำไมไอ้กีฬาสงกีฬาสีเนี่ย ….” ผมเปิดช่องถามหน่อยเดียว ป้าแกบ่นยาวเชีย

“ปริ้นซ์อยู่ม 6 ไม่ต้องไปรับเป็นเลยนะ ประธานสีอะไรเนี่ย” ป้าแกปิดประเด็น แล้วก็ทำท่าจะยกข้าวไปให้ลูกชาย

“เออ ป้า เด๋วปริ้นเอาไปให้โอ้ตเองก็ได้คับ ว่าจะคุยอะไรกะมันด้วยอ่ะ มาม่ะ” ผมอาสายกของกินไปให้ไอ้โอ้ตมัน ไม่ใช่อาไรหรอก จะได้มีโอกาสจิ๊กกินด้วยแหล่ะ หุหุ (ย้อเย่นนะ ใครจะแย่งของสุดที่รักล่ะ)

“ยังไงป้าฝากปริ้นซ์ด้วยนะ ขอไปนอนก่อน” ป้าเค้าพูดแล้วก็ทำเสียงงัวเงียมาก

“อ่อ ตอนออกจากบ้านป้า ล็อกประตูให้ด้วยนะปริ้น”

“คับผม” ป้าแกพูดเสร็จก็เดินเข้าห้องนอน

ก็อกๆ

“…….”

“โอ้ต ”


“……….”

“เข้าไปนะ ”

ผมเรียกมันก็ไม่ตอบ ก็เลยดันประตูเข้าไป เห็นมันนอนฟุบอยู่บนหมอน มือมันยังถือดินสออยู่เลย

“จาขยันอาไรป่านนั้นเนี่ย” ผมพึมพำแล้วก็เดินไปขยับตัวมันให้นอนดีๆ แล้วก็เลื่อนมือไปอังกะหน้าผากมัน ตัวอุ่นๆนิดหน่อย ข้างๆเตียงเห็นเป็นกะละมังใส่ผ้าชุบน้ำไว้อยู่

“โอ้ต … ตื่นมาแดกเร็ว” ผมพูดข้างๆหูมัน แล้วก็หยิบกุนเชียงชิ้นนึง ไว้ใกล้ๆจมูกมันให้ได้กลิ่น (ตอนนั้นลืมไปว่า คนเป็นหวัดจะได้กลิ่นได้ไง)

“ไม่ตื่น อดนะ” ผมพูดแล้วก็เอากุนเชียงชิ้นนั้นเข้าปาก … หุหุ อาหย่อย

โอ้ตมันยังนอนเฉยเมย หน้าอกหนาๆของมันก็ขยับขึ้น ขยับลงตามจังหว่ะการหายใจของมัน สายตาผมก็เลื่อนขึ้นไปมองที่หน้า ผิวสีออกแทนๆหน่อย เข้ากะหน้าเข้มๆของมัน ตากลมโตที่ผมเห็นบ่อยๆ แต่ตอนนี้มันหลับเหมือนกะเด็ก คิ้วหนาเหมือนชินจังของมัน ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะลองเอามือไปลูบเล่นเบาๆ

ตอนนั้นคิดไรไม่รู้คับ นึกถึงนิทานเจ้าหญิงนิทราขึ้นมาซะงั้น เลยอยากลองอะไรแปลกๆดู เลยค่อยก้มลงจะหอมแก้มมัน แต่พอเข้าไปใกล้แล้วเห็นปากมันเลยอดใจไม่ได้คับ แฮะๆ เลยจัดการประกบปากกะมันซะ ลิ้นผมก็ไล้ๆที่ปากมันเฉยๆอ่ะ เพราะว่าปากมันปิดอยู่นี่หว่า สอดไปเด๋วไก่ตื่นหมด หุหุ

ตึก ..

ไอ้โอ้ตมันสะดุ้งตัวนิดหน่อยครับ แต่จังหว่ะนั้น ผมกะลังเมามันส์ กะการเล่นปากคนหลับอยู่ เลยไม่ได้สนใจอะไร มารู้ตัวอีกที ไอ้โอ้ตมันก็เปิดปากแล้วก็เอาลิ้นสอดเข้ามาแล้ว

“อุ๊ก อึ๋กก” ผมก็ตกใจอะดิคับ มันตื่นมาตอนไหนวะ แต่ก็ถอนปากออกม่ะได้ เพราะมือไอ้โอ้ตมันก็กดหัวผมไม่ให้ขยับไปไหน โอ้วว โคตรทรมานอย่างแรง แล้วมันก็เอามืออีกข้างจับที่เอวแล้วก็โดนพลิกตัวลงมานอนหมดท่าอยู่บนเตียง มันได้ทีก็ขึ้นคล่อมเลย

“อะ โอ้ต หนักว้อยย” ผมพูดด้วยความยากลำบาก เพราะตัวมันทั้งหนาทั้งหนัก ขึ้นมาทับผมทั้งตัวเลย แถมตัวมันยังอุ่นๆอีก

“กลับมาซะดึกเชียว .. ไม่คิดถึงคนกำลังป่วยบ้างเลย” มันไม่พูดป่าว ก้มมาดูดที่คอผมอีกตะหาก แสดงว่าแค้นจัด

“กะ ก็เอาข้าวต้มมาให้กินแล้วเนี่ยงาย เง้ยย มันเสียว” ผมพูดแล้วก็พยายามผลักตัวมันให้ลุกขึ้น นี่มันจะหงี่เงี่ยนอาไรตอนไข้ขึ้นฟร่ะ -*-

“ไม่อ่ะ ไม่กินแล้ว”

“แม่เค้าอุตสาห์ตื่นมาทำให้นะ”

โอ้ตมันก็ยิ้มกริ่ม

“ก็อยากกินของที่อยู่ตรงหน้าเนี่ย” มันไม่พูดป่าว มันก็บดไอ้ท่อนล่างของมันที่แข็งปั๋งไปมากะตัวผมด้วยความหื่นกระหาย

“เฮ้ย ไม่สบายอยู่น้า” ผมพูด เพราะรู้สึกว่า สายตาไอ้โอ้ตตอนนี้มันมองผมเหมือนของกินของมันจริงๆ

“หึหึ .. ”

“หัวเราะอาราย”

“หึหึ ก็ถ้าได้พยาบาลน่ารักแบบนี้ คืนเดียวก็หายนะ” มันพูดเสร็จก็เข้ามาดูดปากผมอีกรอบ คราวนี้มันบด เบียด จนผมระทวย(อย่าหาว่าง่ายเลยนะ หุหุ) ยังแอบได้รสยาที่มันกินไปเลย ไม่รู้เว่อร์ป่าวฟร่ะ

โอ้ตมันก้มหน้ามาไซร์ที่ซอกคอครับ โดยที่ไมได้ปกป้องอะไร ก็คนมันเสียวนี่หว่า ผมเลยกอดมันแรงขึ้น เป้าโอ้ตเบียดกับเป้าของ ความหยุ่น หรือความใหญ่ ผมสัมผัสได้ด้วยสำนึก ตอนนี้ผมอารมณ์เตลิดไปไหนต่อไหน เอาช้างมาลากก็ไม่หยุดแล้วล่ะมั้ง โอ้ตบอกให้ผมนอนอยู่เฉยๆก่อน แล้วก็เดินโงนเงนด้วยความมึน ไปปิดไฟ

มะ มืดเรยคับ มองแทบจะไม่เห็นอะไร อีกอย่างผมก็ไม่ค่อยคุ้นกะห้องมันอยู่แล้วด้วยล่ะ เตียงข้างๆมันก็ยุบลงไป เห็นลางๆว่าโอ้ตมันลงมานอนตะแคง มองหน้าผมอ่ะ ผมก็มองตอบ เวนล่ะ ผมพอจะปรับสายตาให้ข้ากะความมืดได้บ้าง ตามันเยิ้มยิ้มแย้มมากๆ แล้วมันก็เอามือผมไปจับที่เคมัน แมร่งร้อนชิบหาย เต้นตุ๊บๆๆ มันจะระเบิดมั้ยวะเนี่ย

ผมก็ลูบขึ้นลูบลงตามท่อนลำ และเพราะมันไม่ได้ใส่กางเกงใน ตอนนี้มันแข็ง โด่ จะทะลุกางเกงบอลออกมาให้ได้เชียว

“แข็งชิบ ไม่สบายแน่ป่าววะ โอ้ต ”

“อืม ก็ไม่สบายอะดิ แข็งใช่ป่าว ? ” แน่ะ มันยังมีหน้ามาถามอีก ผมก็เค้นคลึงเคมันก็ซี้ด ซ๊าดไปตามระเบียบ หนุกดีคับ เห็นหน้ามันลางๆตอนเสียวแล้ว

“ม่ะ ไม่ไหวแล้วอ่ะ ปริ้น”

“จะแตกแล้วเหรอ” ผมพูดด้วยความดีจายเพราะกรุชักเมื่อยมือแระ

“ป่าว มันม่ะ ไม่ไหวแล้วอ่ะ ปริ้นช่วยให้มันหายแข็งหน่อยดิ” เสียงโอ้ตมันอ้อนมากคับ จนขนลุกกันเลยทีเดียว

“จะให้ใช้ปากช่วยเป่า ”

โอ้ตมันสั่นหน้า แล้วก็เอื้อมมือไปคลึงที่ก้นผมแทน

“จะ - ทำ - อะ ไร – อ่ะ ” แหม ถามโคตรใสซื่อเลยผม แต่ตอนนั้นไมได้คิดจริงๆนะว่า จะต้องมาเสียตูดให้ไอ้โอ้ตคืนนั้นเนี่ย เพราะปกติก็จะแค่ ซอฟเซ็กส์กันเฉยๆอ่ะ

ผมถามได้แค่นั้น โอ้ตมันก็หันมาจับที่ท่อนของผมที่มันก็แข็งแทบระเบิดเช่นกัน มันบีบเบาๆ จนผมเสียวจี๊ดที่หัว โอ้ตมันก็รูดเอากางเกงผมลงไปกองที่หน้าขา(ทำไมง่ายจัง ?) พอขอบกางเกงหลุดพ้น หัวเคผมที่โผล่พ้นก็เด้งโชว์ออกมา โอ้ตแมร่งเอานิ้ววนรอบๆ จนน้ำเยิ้ม แล้วก็เอาไปดูด

สาดดดดด กรุเห็นแล้วแบบแปลกๆ ต้องหลบตามันเลย มันก็ยิ้มคับ แล้วก็ก้มลงจูบปากผม ลากลิ้นไล้ลงไปตามซอกคอ แล้วก็ดึงเสื้อผมให้หลุดออกจากทางหัว(ถ้าไม่ทางหัวแล้วจะทางไหน ไอ้บ้า) ตอนนี้เปลือยแล้วคับ ผมเห็นโอ้ตมันเปลือยแล้วมีเหรอจะเสียเปรียบอยู่คนเดียว เลยถอดมันบ้าง หุหุ

มันก็เลื่อนมือเอานิ้วลูบเบาที่หัวหยักของผมอีกรอบ จนต้องเด้งตัว

“เสียวว่ะ อมให้หน่อยดิ” ผมเผลอพูดออกไปด้วยแรงหงี่ ยังไม่ทันตอบครับมันใช้ปากมันรูดเข้าที่เคขนาด 6 กว่าๆของผม มันทำได้นิ่มนวลมากครับ ขอบอกว่ามันดูดได้โคตรเสียวว่ะ จากนั้นมันก็พลิกตัวเอาท่อนล่างมันมากระแทกปากผมบ้าง แน่นอนว่าผมก็ไม่ค่อยเชี่ยวอ่ะ เลยจัดการขม่ำเข้าไปโดยไม่บิ้วพลิ้ว งุงิ มือผมก็โลมไล้ ไข่สองใบของมันใหญ่ห้อยโตงเตง ไอ้โอ้ตคราง วุ้ย มันส์ว้อยยยยย

“ปริ้นคับ …” โอ้ตมันพูดเสียงกระเส่า หลังจากที่กลับหัวกลับหางเหมือนเดิมแล้ว

“หือ”

“โอ้ตขอฉีดยาปริ้นนะ”

“งือ โอ้ต อย่ามา - - - โอ้ต อย่า มานเจ็บ” มันไม่ได้พูดขออย่างเดียวนี่หว่า มันพูดไป แล้วก็เอื้อมมือเอานิ้วค่อยๆสอดเข้ามาอย่างเนียนๆ แต่ผมเจ็บอ่ะ เจ็บมากกก

“โอ้ต เอาออกปาย เจ็บว้อยย” ผมก็เริ่มจาแข็งขืนแล้วคับ ไม่ไหว

พอผมเริ่มดิ้น ปกติแล้วโอ้ตมันจะเลิกคับ แต่คราวมันไม่ดิ มันดันรัดตัวผมแน่นกว่าเดิมแล้วก็ดูดปากผมอีก เลยพูดอะไรไม่ได้เลย ได้แต่เสียงอือๆๆ แล้วก็ปัดแข้งปัดขาได้อย่างเดียว นิ้วมันก็ยังไม่ยอมเอาออกจากก้นผมอ่ะ

“น่ะ โอ้ตขอนะ” มันพูดเสียงสั่นๆหลังจากที่มันถอนปากแล้ว แล้วก็ทำท่าอ้อนเหมือนลูกแมวอ่ะ ผมคนแพ้แมวคับ

“กะ ก็ได้ แต่ถ้าเจ็บต้องเลิกนะ” (คือกรุเจ็บแน่ๆอยู่แล้วล่ะ )

มันยิ้มแบบลิงโลดคับ แล้วก็พลิกตัวผมซะหันเลย

“อุ๊ก เบาๆเด๊ะ ไอ้โอ้ตตต” ผมหันหน้าจะด่ามัน แต่มันก็ขึ้นคล่อมทับตัวผมจากด้านหลังแล้วอ่ะ โอ้ตจับผมหันหลัง ดึงเอวผมให้มันยกสูง มันไม่รอช้า ก้มหน้าเอาลิ้นฉกร่องผม แล้วก็ละเลงเลียรอ่งสวาทของผม ลิ้นแข็งราวกับท่อนอะไรซักอย่าง มือผมกำผ้าปูที่นอนแบบลืมตัวซะงั้น แต่พยายามไม่ครางคับ เด๋วตื่นกันหมด

โอ้ตมันเลียนานพอตัว มันเริ่มเอานิ้วมาแหย่ที่รู

“อ๊ะ …. จะ เจ็บ อะ โอ้ต”

ได้ยินผมพูดแบบนั้น มันก็หาเห็นใจผมไม่ ยิ่งสอดลึกเข้าไปอีก ผมรู้สึกเหมือนกะว่าท้องจะเสียยังไงก็ไม่รู้คับ มันเหมือนโดนอะไรทะลวงเข้าไปเลย ทรมานสุด โอ้ตมันก็เอานิ้วออกมา แล้วก็ไปหยิบอะไรซักอย่างมาทาเพิ่มคับ (มารุ้ว่าเป็นวาสลีนที่ไว้ทาปากทาตัวอ่ะ) มาป้ายโน้นป้านนี่จนมันแฉะ โอ้ตมันเอาท้องมานาบที่หลังผม เสียงกระซิบข้างหูว่า

“เจ็บนิดนะครับ แล้วเดี๋ยวจะเสียว” ผมกะลังจะหันหน้าไปถามว่า เมิงรู้ได้ไงเคยแล้วเหรอ ก็รู้สึกว่า มีท่อนอะไรบางอย่างมันกะลังฝั่งเข้ามา โอ้ตกระซิบเพิ่มเติมว่า ผ่อนๆคลายกล้ามเนื้อ หลับตานะคับ (แล้วกรุจามองเหี้ยอาไร ในเมื่อมันมืดดด) แล้วของอุ่นๆก็บุกที่ประตู มือมันขยี้หัวนมผม เจี๊ยวก็ค่อยๆกดลงไป ผมก็ขยับตัวให้มันตรงร่องพอดี พอได้ที่ มันก็ครางซี๊ด แล้วดันลึกเข้าไปอีก

“อ๊ากกกซ์ กรุเจ็บ” ผมร้องลั่นเลยคับ ไอ้โอ้ตมันตกใจ เอามือมาปิดปาก แล้วก็ลูบหัวผมเบาๆ

“เสียววะ ปริ้น แน่นชิบหายเลย” มันพูดแล้วก็ค่อยขยับทิ้งตัวลงมาทาบกับหลังผมซะสนิท แล้วก็ค้างไว้แบบนั้น ส่วนผมอ่ะ นอนนิ่งอ่ะคับ รู้สึกว่าน้ำตามันหยดออกมาเอง (คือมันไม่ได้กระแดะนะคับ แต่มันเจ็บเลยร้องออกมา)

“เจ็บ โอ้ต” มันได้ยินก็เลยมาไซร้คอ หลังผม แล้วก็เอามือเลื่อนมาจับจู๋น้อยที่หดเรียบร้อย ชักไปชักมา

“อือ …”

“หายเจ็บยังคับ” มันกระซิบแล้วก็ขบที่ติ่งหู ขนลุกเลย

“นิดหน่อยอ่ะ ”

“งั้นโอ้ตต่อนะ ”

น่าน กรุนึกว่าจะเลิก มันจะทำต่อคับ ผมเลยก้มหน้าฟุบลงไปกะหมอน โอ้ตมันก็ยกเอวผมให้ยกขึ้นอ่ะ แล้วก็ค่อยๆดันเข้ามาจนรู้สึกว่าหน้าท้องมันมาชิดกะก้นผม แล้วมันก็ค่อยๆเหมือนจะถอนออกไป แล้วก็สวนกลับเข้ามาอีก

ผมนี่นะ โคตรวาบที่ท้องน้อยเลย มันทั้งเจ็บทั้งเสียวแปลกๆ แต่มันเจ็บมากกว่า พอไอ้โอ้ตเห็นว่าผมเริ่มจะชินแล้วมันก็เริ่มซอยเร็วขึ้นเรื่อยๆๆ ผมก็นอนกัดหมอนเลยอ่ะคับ มันเจ็บมากกว่าเสียวแว้ววว ซักพัก โอ้ตมันก็จับผมพลิกให้ผมนอนหงาย เชื่อป่ะ ผมไม่กล้าสบตามันอ่ะ อายไงก็ม่ะรู้ นอนหลับตาอย่างเดียวเลยคับ เลยไม่รู้ว่าหน้าไอ้โอ้ตตอนเสียวมันเป็นไงเลยหว่ะ

โอ้ตมันยกขาข้างหนึ่งพาดคอ อีกข้าง มันก็จับไว้ ฉีกออกกว้าง แล้วโอ้ตมันก็กระแทกบั้นท้ายลงที่ตัวผม ดังบึ๊ก..ๆ..ๆ มันครางเบาๆ แต่ทำให้ผมรู้สึกว่า สาดด เถื่อนชิบหายคับ แล้วรัวเอวไม่ยั้ง ผมนี้ ป่วนไปทั้งท้อง โอ้ตจ้องตาผม แล้วมืออีกข้างก็บี้ที่หัวนมผม แล้วกระแทกแรงๆอีกหลายหน ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมาปั่นตรงรูตลอดเวลา

“ไอ้โอ้ต บะ เบาๆ ”

โอ้ตมันก็ก้มลงมาดูดปากทุกครั้งที่ผมโอดคับ สาดด จนแล้วจนรอด พอมันก้มลงมาจูบผมครั้งสุดท้าย ตัวมันก็กระตุกคับ แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรออกมาที่ก้นผมหรอก แค่รู้สึกว่ามันเลิกขยับเอวมัน แล้วก็เริ่มนิ่ง ก็รู้ว่ามันคงเสร็จแล้ว !!

“เง้ย .. ”

“โอ้ต โอ้ต” ผมค่อยๆเรียกมันเพราะเห็นมันนอนซบผมนิ่งเรย ท่าจะเหนื่อยจัด

“หือ ว่าไงคับ เมียจ๋า” มันพูดแล้วก็หอมแก้มผม

“ไอ้โอ้ต” ผมขึ้นเสียงอ่ะ ไม่ชอบเลยว่าเรียกแบบนี้

“ค๊าบๆ ว่าไงคับที่รัก”

“เมิงไม่ใส่ถุงใช่ป่าวเนี่ย”

มันก็ยิ้มๆ แล้วก็บอกว่า จะเอามาจากไหนล่ะ ก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะได้เอาปริ้นนี่หว่า อะไรเทือกนี้

“เอาออกซะทีเด๊ะ” ผมบอกมันเพราะว่า เคมันยังอ่อนคาตูดผมอยู่เรย

“จ๊ะๆ” มันพูดแล้วก็ค่อยๆถอนเจี้ยวมันออกมา ได้ยินมันบอกว่า ให้นอนนิ่งๆก่อนนะ ตอนมันถอนออกมานะ ผมงี้ โล่งโคตรอ่ะ โอ้ตมันก็กุลีกะจอไปเปิดไฟดวงเล็ก แล้วก็ไปหยิบทิชชู่มาปึ้งใหญ่ มาเช็ดทำความสะอาดให้

“เลือดออกด้วยอ่ะปริ้น” มันพูดเสียงไม่ค่อยสบายใจ

“เออ นั่นดิถึงว่า มานแสบๆ แปร๊บๆ อยู่เลย” ผมพูดแล้วก็ค่อยๆยันตัวขึ้นมา โอ้ย กรุหน่วงๆตูดชิบหาย

“แสบหรือเสียว ”

“ไอ้โอ้ต” ผมพูดแล้วก็ตบหัวมันทีนึงเป็นการแก้แค้น

“ม่ะ ไปล้างตัวเหอะ เดินไหวป่าว” มันพูดแล้วก็ค่อยๆย่อตัวหันหลังให้ผม

“ขึ้นมาดิ เด๋วแบกไปห้องน้ำ” ผมก็เลยค่อยๆยันตัว แล้วก็ขึ้นขี่หลังให้มันแบก หุหุ

“โอ้ต ทีหลังไม่ให้ทำแบบนี้แล้วนะ โคตรเจ็บเลยอ่ะ”

“55 เจ็บเหรอคับ ครั้งแรกก็เงี้ยแหละ พอครั้งต่อๆไปเดี๋ยวก็เสียวครับ” มันหันมายิ้มเย้ยๆผม

“ไม่มีครั้งต่อไปแล้วว้อยย”

“ไม่ให้ก็จาเอาอ่ะ ยังไงปริ้นก็เป็น มะ …เอ้ย แฟนโอ้ตแบบชอบธรรมแล้วนา ”

“เหอะ ขี้ตู่นี่หว่า เด๋วเหอะ ไข้ขึ้นอีกหรอก” ผมบอกมันอายๆ

“ถ้าไข้ขึ้นอีก เดี๋ยวโอ้ตก็ฉีดยาปริ้นให้อีกไง” มันว่าพลางหัวเราะ

“ไอ้บ้า คนป่วยดิต้องโดนฉีด ไม่ใช่ให้คนป่วยมาฉีด !!! ”

“เอาน่า สัญญาว่าจะไม่รังแกปริ้นอีก …” โอ้ตรับคำ

“จนกว่าจะหมดกีฬาสีนะ เดี๋ยวลีดจะไม่มีแรงเต้น หึหึ ”

แหมพูดแบบนี้ อย่าให้ถึงทีกรุบ้างน้า ไอ้โอ้ตตตต แต่ตอนนี้กรุหิวโคตร แถมง่วงมาก

โอ้ต ขอนอนที่นี่นะ ง่วงอ่ะ

ได้ค๊าบ โอ้ตมันว่า แล้วก็ช่วยผมล้างตัว ล้างโน่นล้างนี่ แล้วก็ช่วยผมน้ำแตกในห้องน้ำ ขึ้นเตียงได้ สลบเลยกรุ แหง่ก

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #32 เมื่อ23-10-2006 05:20:49 »

เช้าวันนี้ผมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่แตกต่างไปจากเดิมมากมาย ไม่ใช่เพราะเจ็บที่ตูดอย่างเดียวนะครับ แต่เพราะว่าเช้านี้ มีคนนอนกอดอยู่ข้างๆ มันอบอุ่นง่ะครับ ปกติตื่นมาคนเดียวก็กลิ้งเกลือกไปทั่วตัว วันนี้ตื่นก็หันไปเจอโอ้ตนอนหลับตาพริ้ม

ผมมองแล้วก็รู้สึกหมั่นไส้มันครับ อารมณ์ประมาณว่า ม่ะคืนอ่ะ ทำกรุได้น้า ทำกรุได้ แต่ไม่ได้ติดใจไรมากครับ ตรงกันข้าม กลับรู้สึกดีกับมันมากขึ้นต่างหาก

“มองอะไร ห่ะ” มันลืมตามามองผมขณะหันไปมองมัน

“ไม มองไม่ได้เหรอ” ผมพูดประชด แล้วก็หันกลับทำนอนต่อ หุหุ (แก้เขิลซะงั้น)

“หึหึ” มันหัวเราะในลำคอ แล้วก็เบียดตัวชิดกับผมมากขึ้น ไออุ่นจากตัวมันสัมผัสเข้ากับด้านหลังผมจนขนลุก

“อย่าหัวเราะแบบนี้เด๊ะ ไม่ชอบ” ผมพูดเสียงสั่นๆ เมื่อมันเริ่มแกล้งไซร้จากด้านหลังมาที่คอเรื่อยๆ

“เฮ้ย อย่าเล่นดิ - - กี่โมงแล้วเนี่ย” ผมว่าพลางพยายามเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกามาดู แต่โอ้ตมันเอามืออีกข้างมาจับมือผมไว้ แล้วก็ค่อยๆกุมมือประมาณว่า ให้ผมนอนต่อ อย่าขยับ โอ้ตเบียดตัวจนแนบชิดแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน มือโอ้ตที่กุมมือผมไว้เมื่อกี้ ก็เลื่อนมาแนบที่หน้าอกผม

- อ่า ไอ้โอ้ต รู้ป่าว ตอนนี้กรุมีฟามสุขมากเลยอ่ะ ถึงกรุไม่บอก แต่เมิงทำแบบนี้ กรุแทบละลายหลอมเข้าไปในตัวเมิงเลย –

“ทำไมหัวใจเต้นแรงจัง” โอ้ตกระซิบข้างๆหู

“อือ …”

“ตื่นเต้นเหรอ ? ”

“อือ …”

“ชอบให้กอดแบบนี้เปล่า ? ”

“อือ …”

“โอ้ตรักปริ้นนะ รักมากด้วย” มันพูดด้านหลังผม ทำให้อดเห็นหน้ามันตอนพูดคำนี้เลย อยากรู้จังว่าหน้ามันจะเหมือนผมตอนนี้ป่าว ที่รู้สึกว่า ร้อนขนาด ทั้งๆที่มันพูดคำว่ารักผม ออกจะบ่อยไป แล้วผมก็รู้ ว่ามันก็ต้องการคำๆนี้จากผม แต่ก็ยังไม่เคยบอกมันเลยซักครั้ง

“ปริ้น .. - - ”

“ปริ้นก็รักโอ้ตคับ” อ๊ากซ์ กรุพูดออกไปแระ รู้สึกร้อนรุ่มตรงใบหน้ายิ่งยวด

“อะ - ไร – นะ ไม่ค่อยได้ยินเล”ย ไอ้โอ้ตถามผมอีกรอบ แต่ผมรู้แหละว่ามันได้ยินชัดเจน เพราะพอผมพูดออกไป มือมันกำผมแน่นกว่าเดิมอีก

“ปริ้นรักโอ้ตคับ ” ผมเต็มใจตอบไปอีกรอบนึง ไม่อยากกวนโอ้ยมัน หุหุ

โอ้ตมันพลิกตัวผมนอนหงายประจันหน้ามัน โอ้ย ทำมายต้องให้มองหน้าด้วยวะ กรุแพ้สายตาเมิง ก็รู้

“มองโอ้ตดิ” มันพูดเมื่อเห็นผมไม่กล้าสู้ตามัน

“มองโอ้ต แล้วบอกอีกทีซิ ” มันพูดไปยิ้มไป

“อะไรวะ ก็ บอกไปตั้ง 2 รอบแล้วนะ” ผมพูดทำปากเบ้ไปด้วย โอ้ตมันมองเฉยครับ ประมาณว่า ถ้าผมไม่พูดอีกรอบ มันก็จะมองผมอยู่แบบนี้แหละ

“เอาวะ”

“ปริ้นก็รักโอ้ต รักมากกกกกกกด้วย - - - พอใจยัง(วะ) ” คราวนี้ผมพูดแนวประชดนิดๆ

โอ้ตยิ่มแฉ่งฟันขาว ตอบกลับมา

“พอใจแล้วคร๊าบบบ” พูดเสร็จมันก็ก้มลงมาจุ๊บปากผมทีนึง แล้วก็เลื่อนตัวเองลงมา จับขาผมขึ้นพาดไหล่มันสองข้างเลย

“เฮ้ย ไอ้โอ้ต - - ทำไรเนี่ย”

“รักโอ้ต งั้นโอ้ตขอกินปริ้นมื้อเช้าอีกมื้อนึงนะครับ ม่ะไหวแล้ววว ”

“ ไอ้โอ้ตตตต - - กรุยังไม่หา - - แอ๊กกก…. = =’’ ”

***************************


ติ๊ง ต๋อง ตอง ต๋อง ต๋อง ตอง ต้อง ต่อง

“เอ้า วิ่งเข้า วิ่งเข้า ปริ้น โรงเรียนเข้าแล้วเห็นมั้ย ? ” ไอ้แสดโอ้ต ยังมาเร่งให้วิ่งอีก ม่ะเช้าล่อกรุซะยิ่งกว่าม่ะคืนอีก
ยังมีการทำหน้าทะเล้นสั่งให้วิ่ง

มันวิ่งเหยาะๆ นำหน้าผมไปก่อน ผมก็พยายามจะวิ่งอะนะ แต่มันเจ็บอ่ะ รู้สึกว่ามันก้าวขาไม่สะดวกยังไงไม่รู้ ได้แต่ทำหน้างอนมันให้รู้ว่า ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเมิงนะ

“ทำหน้าแบบนั้นอีก เร็วๆเข้า”

“เฮ้ย 2 คนนั่นน่ะ เล่นกันอยู่ได้ โรงเรียนเข้าแล้ว เดี๋ยวโดนกักหรอก ไอ้ประธานนักเรียนนี่หว่า” พี่ยามตะโกนทำให้พวกผมต้องรีบใหญ่เลย

“แล้วตอนเย็นอย่าลืมไปซ้อมนะ” โอ้ตมันว่าพลางยิ้มกริ่ม แล้วจะตามไปทีหลัง

ผมก็ทำหน้าตาไม่พอใจนิดหน่อยครับ อาไรวะ ตั้งแต่ม่ะเช้าแระ เอาแต่สั่งๆๆๆกรุ ตลอดเลย ม่ะพอใจว้อยยย

หลังจากแยกกับมัน ผมก็รีบเดินไปขึ้นเรียนวิชาแรก โอ้ว ตึก 5 ชั้น 4 ทำมายยยย กว่าผมจะย่องขึ้นไปชั้นบนสุด ก็แทบรากเลือด เพื่อนๆมันเข้าไปกันหมดแล้วล่ะ

“ขออนุญาตคับ อาจารย์”

“มาสายอีกแล้วนะเธอน่ะ” อาจารย์เหลือบมองผ่านแว่น แล้วก็ปล่อยให้ผมผ่านเข้ามาได้ ผมก็รีบเดินไปนั่ง แต่ก่อนหน้านั้น ก็เห็นซังมันมองผมตั้งแต่เข้ามาแล้วล่ะ ส่วนไอ้คิว ก็เหมือนเดิมคับ ไม่สนใจใคร นั่งลอกการบ้านอยู่ข้างหลังอ่ะแหละ

ผมก็ทำหน้าไม่ค่อยถูกครับ เพราะปกติซังมันทำหน้าเฉยๆอยู่แล้วอะ เลยไม่รู้ว่ามันหายโกดผมยัง หรือยังโกดอยู่ เลยไม่ได้ทักมัน พอผมนั่งลงเท่านั้นแหละ มันก็เอามือมาตบหลังคับ เหมือนจะทักตามปกติ

“หวัดดีปริ้น” ป๊าบบบบบบบบบบบบบบบบ !!

ซี้ดดดด ไอ้โหด เจ็บคับ เจ็บ มันทักแบบเจ็บเลยอ่ะ เสียงตบหลังดังมากจนเพื่อนเกือบทั้งห้องหันมามอง ผมก็แฮะๆ ไม่มีไร นั่งต่อ

“ทักแรงนะเนี่ย” ผมบอกไอ้ซังเบาๆ

“แรงที่หน่ายยยย” มันพูดแล้วก็เอื้อมมือมาลูบหลังที่มันทำไว้ม่ะกี้เบาๆ ผมละเสียวแว่บ ตลอดเวลาเรียนคาบนั้น ผมกลายเป็นคนหวาดระแวงไปเลยคับ เวลามันทักทีนึง ก็สะดุ้งทีนึง แอบเห็นไอ้คิวหัวเราะเยาะผมข้างหลัง แล้วอยากจะฆ่ามัน เพราะมันเลยนะ ผมเลยโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง

พอหมดคาบปั๊บ ไอ้คิวก็เดินออกไปกะกลุ่มเพื่อนมัน ผมก็กะลังจะเดินออก ซังมันก็เดินเข้ามาข้างๆ ผมก็รีบหันไปมองมัน กลัวมันมาต่อยอะซิ

“เอ้ย ทำไมต้องกลัวเราขนาดนั้น”

“อ้าว จะรู้ป่าวล่ะ ก็เล่นซะเจ็บหลังเลยนี่หว่า” ผมพูดเคืองๆ (แต่ความกลัวยังมีอยู่)

“โห แค่ล้อเล่นเอง คิดมาก” นี่ขนาดมันล้อเล่นนะเนี่ย =*=

“เออ ให้มันเจงเหอะไอ้ซัง - - ว่าแต่ เราขอโทษนะ เรื่องวันเสาร์อ่ะ” ผมสารภาพ

ซังมันก็ยิ้มๆคับ ผมงี้ค่อยโล่งอกหน่อย แสดงว่ามันก็คงหายโกดแล้วล่ะ

“ช่างมันเหอะ คิวมันบอกหมดแล้ว ว่ามันสั่งให้ปริ้นทำ”

“อารายนะ มันบอกว่ามันสั่งเหรอ ” ผมพูดอย่างเคือง

“55 โกดเหรอ มันก็งี้แหละ ไม่ต้องใส่ใจมันมาก”

“ดูท่าทางเข้าอกเข้าใจกันเจงเลยนะ” ผมพูดแซวมันด้วยความหมั่นไส้ “ปกป้องกันเหลือเกินนนน”

ซังมันหน้าแดงนิดหน่อย

“แล้วเคลียกันยังไงล่ะในโรงหนังอ่ะ” ผมถาม คราวนี้หน้าไอ้ซังแดงหนักไปกว่าเก่าอีก มันต้องมีอะไรแน่เลยเนี่ย

“ไม่บอกวุ้ย เอาเป็นว่าเข้าใจกันแล้วกัน”

“อ่ะๆ ไม่บอกก็ไม่บอก” ผมพูดแล้วก็ตีตูดมันทีนึง ปรากฏว่าไอ้ซังร้องจ๊ากกก

“โอ้ยยย เจ็บโว้ย ตีมาได้”

“ตีเบาๆเองนะ 555 อ่อ รู้แระว่า เคลียกันยังไง หุหุ” ผมพูดแบบไม่ได้ดูตัวเอง

“ไอ้ปริ้น เด๋วเหอะ เด๋วโดน” มันพูดไปหน้าแดงไป แล้วก็เดินก้มหน้างุดๆๆลงตึกอ่ะคับ ขาแอบถ่างหน่อยๆ
กร๊ากกก ไอ้คิวนี่ไม่ใช่เล่นเลย สงสัยหลายรอบแน่ ^^’’

***************************


ถ้าจะบอกว่า วันนี้เป็นวันที่ซ้อมหนักที่สุดเท่าที่เคยซ้อมมาก็คงไม่ผิดนักหรอกครับ เพราะนอกจากที่ต้องพาร่างที่ไม่ค่อยจะสมบูรณ์มาเต้น มาต่อตัว ผมก็แทบแดดิ้นไปกับพื้น ต่างจากลีดผู้ชายคนอื่นๆอย่างไอ้โค๊ก หรือกั๊กเนี่ย มันฟิตกันจริงๆ

“แอร๊กก ”

ผมร้องเสียงหลง เมื่อพลัดตกลงมาตอนที่กำลังต่อตัวอยู่ ไอ้โค๊กรีบเข้ามาดูขาผมว่าเป็นไรมากป่าว

“เป็นไง ไม่ไหวก็ต้องไหวนะน้องปริ้น” เจ๊ซายผู้โหดร้ายในวันที่รู้จักแรกๆ กลับเข้ามาปลอบผม

“คับพี่ … ผมขอโทดนะ ” ผมพูดความรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงของทีม ถ้าตอนแรกที่พี่ท็อปมาชวน แล้วผมปฏิเสธไป ป่านนี้คงซ้อมถึงไหนต่อไหนแล้ว

“แอร้ย .. จะมาขอท่ง ขอโทษทำไมยะ ลุกๆ เอาคำขอโทด เปลี่ยนมาเป็นตั้งใจให้มากขึ้น เจ๊จะยกโทษให้” เจ๊ซายบอกผมแล้วก็ตบบ่า

ผมยิ้มให้ทีนึง แล้วก็โชคดีที่ขาไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าแค่ช้ำนิดๆ

“ไหวป่าวพี่” เสียงโค๊กถามด้วยความเป็นห่วง โดยเห็นไอ้กั๊กส่งสายตาเขียวปั๊ดมาหา

“เออ ไหวดิวะ” ผมพูดแล้วก็พยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมา

“เฮ้ย กั๊ก มาช่วยพยุงพี่เค้าลุกหน่อย ” ไอ้โค๊กมันตะโกนเรียกไอ้กั๊กที่ตกใจที่ไอ้โค๊กเรียกมัน แล้วก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามาพยุงปีกผมอีกข้าง

“ขอบใจ”

ไอ้กั๊กมันพยักหน้า แต่ก็ยังไม่พูดอะไรเหมือนเดิม หยิ่งจริงๆไอ้นี่ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาคับ เพราะทั้งผม ทั้งไอ้โค๊ก ทั้งไอ้กั๊ก ก็ไม่ได้เขม่นอะไรกันเท่าไร อาจจะเป็นเพราะเวลาที่เริ่มกระชันชิดเข้ามาด้วย จะมัวมาวางมาดไม่ได้แล้วล่ะ ทุกวันๆ กิจวัตรที่ต้องทำ มีแต่ต้องซ้อมๆๆๆ เรียนก็โดดเพื่อไปซ้อม ดูดิ = =’’ แต่ได้ไอ้ซังมันช่วยคับ เลยไม่ต้องกังวลเรื่องงานเท่าไร ไอ้คิวก็ช่วยคับ ช่วยเป็นภาระของไอ้ซังอีกทีนึง ไอ้เวน !!

เวลาผ่านล่วงเลยไปไวเหมือนติดปีก รู้ตัวอีกที ก็เหลืออีกเพียง สาม สี่วัน ก็จะถึงวันกีฬาสีแล้ว อธิบายหน่อยว่าโรงเรียนที่ผมอยู่เนี่ย จะแข่งกันเป็นอาทิตย์ๆคับ ส่วนที่เป็นไฮไลต์จริงๆ ก็คือสองวันสุดท้าย ที่จะมีการตั้งแสตนเชียร์ เพื่อแข่งกีฑาประเภทลู่ กะ ลาน

โอ้ตมันเป็นประธาน ช่วงนี้เลยเครียดหนักโคตร เพราะนอกจากต้องออกแบบแสตนแล้ว ยังต้องรับผิดชอบเรื่องการเชียร์ด้วย ส่วนเรื่องนักกีฬาจะเป็นหน้าที่ของอีกห้องรับผิดชอบครับ แล้วก็อย่างที่บอก พอถึงเวลาใกล้ออกศึก คนเราก็จะหันหน้าเข้ามาเป็นมิตรกันได้เหลือเชื่อไม่ลง

วันนี้เป็นวันที่ต้องลองชุดลีดคับ มีสองชุด ชุดละวัน

“ง่า ทำไมมันรัดแบบนี้วะ” เสียงไอ้โค๊กมันบ่น ตอนลองคับ เพราะว่าชุดมันรัดติ้วเลย เห็นอะไรไปถึงไหนต่อไหน เพราะมันล่ำ แล้วก็ตัวใหญ่ด้วย พี่ๆผู้หญิงที่เป็นสต๊าฟพากันกรี้ดกร๊าดกันน่าดู ส่วนผมกะไอ้กั๊กไม่เท่าไร เพราะว่าตัวไม่ค่อยใหญ่ แล้วก็ไซต์ก็พอดีตัว ไม่รัดมาก หุหุ

“ก็ดูดีอ่ะ ผมบอกเป็นเชิงปลอบๆ มันก็ดูหน้าเสียพอควร

“พี่ปริ้นดูจิ มันรัดขนาดนี้ ถ้าเต้นๆไปแล้วเจี้ยวผมลุกนี่ อายมุดดินหนีเลยนะ” มันยังบ่นไม่เลิก ไอ้กั๊กมันก็ดอมๆมองๆ ใกล้ๆโค๊ก จ้องตาเป็นมัน ผมรู้นะว่ามันคิดไรอยู่ หุหุ

“โห ไอ้บ้า มาKลุกอะไร คนเยอะแยะ สาดด แต่มันก็ดูไม่น่าเกียดมากหรอก ออกจาเฟิร์ม มั่นใจหน่อยดิ จริงป่ะกั๊ก” ผมหันไปถามไอ้กั๊กที่นั่งเหม่อฟังพวกผมคุยอยู่ มันสะอึกนิดหน่อย แต่ก็เออออ

“ก็ดีนี่ ไม่รัดมากหรอก” มันกระแอมแล้วก็พูดเสียงเบาๆ ดูหน้ามันแดงๆชอบกล แต่ไอ้โค๊กกลับทำหน้าเบ้แทน มันก็ยังรู้สึกไม่สนิทใจไอ้กั๊กอยู่มั้ง

คุยๆกันอยู่ โอ้ต แล้วก็เจ๊ซาย ก็เดินเข้ามาที่ห้องลองชุด

“ว้าววว รัดได้ใจเจ๊มาก” เจ๊แกล้งมอง(หรือไม่แกล้ง)ด้วยความหื่น

“เจ๊ มองไร ผมอายนะ” ไอ้โค๊กแหวใส่แล้วก็ทำท่าทางจะเปลี่ยนชุดกลับเป็นชุด นร เหมือนเดิม จากนั้นเจ๊ก็กวาดสายตามองมาที่ไอ้กั๊ก แล้วก็ติโน่น ตินี่ให้แก้อะไรนิดหน่อย มันก็ไปเปลี่ยนชุด เจ๊ก็หันมามองผม แล้วก็ยิ้มๆ

“ผมต้องแก้อะไรอีกป่ะคับ” ผมพูดแล้วก็หมุนๆตัวให้เจ๊ดู

“ปริ้นแก้ผ้าให้เจ๊ดูจะเป็นบุญตาเจ๊มากเลย” ดูเจ๊แกพูดดิ

“แค๊กๆๆๆๆ” เสียงไอมาจากด้านหลังคับ จะเป็นใครล่ะถ้าไม่ใช่ไอ้โอ้ต

“ไอไรยะ นังโอ้ต” เจ๊วายเหลือบตาไปมอง

“ป่าวเจ๊ - - เอ้า เรียบร้อยแล้ว ก็รีบไปเปลี่ยนชุดเซ่ ปริ้น ยืนทำไรอยู่ได้” โอ้ตมันสั่งผมแบบไม่พอใจอะไรยังงั้นแหละ ตกลงกรุทำไรผิดอีกง่ะ

ผมได้ยินเจ๊สั่งโน่นสั่งนี่ อีกนิดหน่อย ก่อนที่จะให้เรียกให้ไปซ้อมต่อที่บ้านพี่ต่าย


***************************


ตึก ตัก ตึก ตัก

เสียงหัวใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะที่เคยเต้น ผมก็เชื่อว่าพี่ๆ เพื่อนๆในทีมก็คงเป็นอาการแบบเดียวกะผม วันนี้แล้วคับ กับความพยายามตลอดสองเดือนที่ทุกคนทุ่มเท เพื่อกิจกรรมนี้ แล้วตัวผมก็เป็นส่วนนึงที่ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด

“ZzzzzzzzzzzZ คร่อกกก”

เพี้ยยะ

“โอ้ย !! ตบหัวทำไมเนี่ย พี่ท็อป”

“นี่ จะมาหลับไรวะ นั่งดีๆให้พี่เค้าแต่งหน้าให้สะดวกๆ” พี่ท็อปมันเดินบ่นไปบ่นมา ไปทางโน้นที ทางนี้ที โห จะไม่ให้ผมง่วงไงไหวล่ะ เพราะว่า ผมยังหลับได้หน่อยเดียวเอง เมื่อคืน ก็อยู่ช่วยโอ้ตทำแสตนจนเกือบถึง เที่ยงคืน แล้วก็โดนไล่ให้ไปนอนบ้านพี่ต่าย เพราะว่าพวกลีดจะต้องตื่นมาจัดแจงอะไรต่ออะไร ตั้งแต่ตี 4 โอ้ว แต่แข่งตอน 9 โมงเช้าเนี่ยนะ

บอกตามตรง ชีวิตนี้ นอกจากใช้แป้งเด็กแคร์ กับใช้ลิบมันทาปากตอนหน้าหนาวแล้ว ก็ไม่เคยมีเครื่องสำอางอะไรมายิ้กๆอยู่ตามหน้าผมได้เลย เลยรู้สึกรำคาญอย่างมหาศาล แถมแมร่ง เจ๊ซาย มาแต่งหน้าให้ผมเองอีกตะหาก วู้
ทำให้ไม่กล้าทำไรมาก เด๋วโดนตบ

“เจ๊ใกล้เสร็จยังเนี่ย ” ผมเริ่มบ่น

“ยังคะคุณชาย จะรีบไปไหนเนี่ย แล้วก็อยู่นิ่งๆซิ ” เจ๊พูดแล้วก็จับคอผมหันไปตามทิศทางที่แกต้องการ จนเกือบคอเคล็ด

“อ๋อยยย เสร็จยางงง ผมปวดฉี่ว้อยย ”

“เอ้า แล้วไมไม่บอกล่ะ เด๋วก็ราดพอดี รีบๆไปนะ” เจ๊แกพูดแบบรมณ์เสีย

กว่าจะใส่ชุด แต่งหน้า ทำผมเสร็จ ผมก็แทบรากเลือด ปิดท้ายความสมบูรณ์ด้วยการที่เจ๊เอาแว๊กมาระเริงหัวผมซะเยิ้ม แล้วก็ทำเป็นทรงแห้วไรก็ไม่รู้

“โอ้ย วันนี้ปริ้นมันหล่อแฮะ” พี่ต่ายเดินเข้ามาทัก ผมพ่นลมออกทางจมูก เป็นเชิงไม่เห็นด้วย ปกติกรุน่ารักอยู่แล้วว้อย

“อ่ะ ปริ้นใส่นี่ก็เสร็จแล้ว” เจ๊ซายเขวี้ยงเอาเสื้อที่คล้ายๆกะสูทให้ผมสวมทับ แต่มันไม่หนักแล้วก็หนาเท่าสูทคับ ไม่งั้นเดี้ยงแน่ ตกลงเป็นว่า กว่าจะเสร็จกิจ ก็ปาเข้าไปเกือบ 7 โมง ผมเสร็จเป็นคนสุดท้ายพอดี

ออกมาจากห้องรับแสงเดือนแสงตะวัน ทำให้ตัวเองรู้สึกปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก

สรุปว่าตอนนี้ทุกคนดูดีกว่าวันลองมากคับ สงสัยเพราะว่าวันนี้แต่งหน้าแต่งตา แล้วก็ใส่ชุดเต็มยศมั้ง แต่ผมก็ไม่เห็นว่าตัวเองจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนตรงไหนเลย

“เอ้าขึ้นรถได้แล้วเด็กๆ” เจ๊ซายบอก โดยมีพวกพี่ต่ายต้อนให้พวกลีด 7 คนขึ้นรถ เออ ลืมบอกไปคับ ลีดมาแต่งตัวที่บ้านพี่ต่าย เพื่อความสะดวก แล้วก็ให้พี่ท็อปขับรถไปส่งที่ โรงเรียน ระหว่างเดินทาง ไอ้โค๊กมันก็หันมามองบ่อยๆ

“มองไรวะ ไอ้ตุง” (ผมเรียกมันตั้งแต่วันที่มันลองชุดแล้ว มันตุงกว่าเพื่อนคับ เลยเรียกว่าไอ้ตุง)

“โห เรียกซะหมดค่าเลย - - ป่าว ก็เห็นว่าวันนี้น่ารัก เออ ดูดีอ่ะ ก็เลยผิดกลิ่น เหอๆ”

“ไหนเห่าซิ”

“กำ คนไม่ใช่ม้า”

“แสดด หมาว้อยยย ”

ใจผมเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างทางที่รถขับไป ยิ่งใกล้โรงเรียนมากเท่าไร ความรู้สึกก็เหมือนต้องขึ้นแท่นประหารซะอย่างงั้น ตื่นเต้นว้อยยย !!

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #33 เมื่อ23-10-2006 05:21:13 »

พี่ท็อปขับรถเข้าประตูหน้าโรงเรียน สนามบอลด้านซ้ายมือของพวกผม ตอนนี้มีสแตนเชียร์ของแต่ละสี ผุดขึ้นมาโดดเด่นเป็นสง่า (?)

“โห สีเราดูดีสุดเลยอ่ะ” ไอ้โค้กสะกิดเรียกให้ผมมองดูสแตนสีส้มของเรา มันดูสูงกว่าสีอื่นมากๆ จนผมกลัวว่า ถ้าเจอลมแรงๆเข้ามาซักป๊าบ มันจะหักโค่นลงมาป่าววะ พอรถแล่นมาจอดที่เต้นสี พลพรรคก็พาเหรดกันลงมา พร้อมกับหลายๆสายตาจ้องมาที่พวกผม จนรู้สึกอึดอัด

“เป็นไง เรียบร้อยนะ” โอ้ตเดินเข้ามาทัก ดูท่าทางแล้วมันคงแทบไม่ได้นอนเมื่อคืน แต่มันกลับดูไม่เพลียเลยแฮะ แถมยังดูกระปรี้กระเปล่าเหมือนเตรียมจะออกศึก

“อาจารย์เค้าจะให้ออกไปโชว์แนะนำตัวก่อน รอบนึงตอนเก้าโมง แล้วพอแข่งกีฬาเสร็จช่วงเที่ยงจะเริ่มแข่งรอบแรก” โอ้ตมันอธิบาย 3 สีแรกแข่งตอนเที่ยง อีก 3 สีจะออกตอนแข่งกีฬารอบบ่ายเสร็จแล้ว พรุ่งนี้ก็เหมือนกัน

“แล้วเค้าจะเรียกให้สีไหนแข่งก่อนวะ”

“เค้าจะจับฉลากเอาอ่ะ จับสีไหนออกมา ก็ต้องออกก่อน” โอ้ตอธิบายโน่นนี่ แล้วก็อะไรอีกมากมายแต่ผมขี้เกียจฟังครับ ก็เลยเลี่ยงๆออกมานั่งตรงเต้น พวกน้องๆ ก็นั่งกันอยู่ตรึม เลยต้องดึงไอ้โค๊กซึ่งตอนนี้ก็ไปสนใจคุยกะพวกเด็กๆในสังกัดที่ปลื้มมันอยู่ให้มานั่งเป็นเพื่อน

“เป็นไร ตื่นเต้นเหรอพี่”

“เออดิ หรอเมิงไม่ตื่นเต้น ? ” ผมย้อนถาม มันกลับบอกว่าเฉยๆ ไอ้กั๊ก กะพี่ผู้หญิงอีก 4 คนก็ไม่ค่อยจะดูตื่นเต้นเหมือนผมเลย

“ใจเย็นๆ พี่ ตื่นเต้นแบบนี้จำโค๊ดได้มั่งเปล่าเนี่ย” มันพูดแล้วก็ไปชวนพี่ผู้หญิงมาทบทวนเบาๆกันอีกรอบ

“ไหวนะปริ้น” ไอ้โอ้ตคับ อยู่ๆก็เดินเข้ามา แล้วก็เดินมาถามผมเบาๆ

“อือ ไหวดิ ชั้นนี้แล้ว”

“ดีมากครับ เอาใจช่วยนะ ตั้งใจฟังสัญญาณจากทางสแตนด้วย” โอ้ตมันบอกแล้วก็ยกโทรโข่งตัวนึงขึ้นมา เอาไว้สำหรับพูดให้น้องม.1 บนสแตนได้ยินแหละ

“แล้วก็มีสมาธินะ” มันพูดเสร็จแล้วก็เอามือลูบหัวแห้วผมเป็นเชิงให้กะลังใจ

“ระวังหน่อย วู้ เด๋วผมเสียทรงหมด” ผมพูดกัดๆ

“ทำแล้วก็ดูดีหนิ น่ารักดี หึหึ” มันพูดแล้วก็เอาลิ้นเลียริมฝีปาก

“อะไรเล่า ”

“ไม่มีไร ไปเตรียมตัวเหอะ เดี๋ยวต้องเริ่มโชว์แล้ว” มันว่าแล้วก็ไล่ให้ผมไปเข้าแถวเตรียมตัว หารู้ไม่ว่าทุกอิริยาบถของผมกะไอ้โอ้ต โค๊กมองอยู่ตลอด ผมหันควับไป เห็นมันเลยรู้

“อะไรตุง”

“เปล่านิ” มันพูดยิ้มๆ

หลังจากนั้นอีก 10 นาที สีผมก็เป็นสีแรกที่ต้องเปิดตัวต่อหน้าประชาชี

เฮ เฮ เฮ ……………….. เสียงเชียร์ดังกระหึ่ม ขาผมค่อยๆก้าวออกไปสุ่สนาม จากที่ค่อยๆเดิน ก็เริ่มวิ่ง วิ่ง วิ่ง เสียงเชียร์ด้านข้าง่ค่อยๆดับหายไปในความรู้สึกผม เสียงที่ผมต้องตั้งใจฟัง ก็คือเสียงโอ๊ตที่อยู่ในสแตนที่
อยู่เบื้องหลังของตัวเองอย่างเดียวเท่านั้น


***************************


“เอ้า น้ำ” โอ้ตโยนขวดน้ำขวดเบ่อเริ่มมาให้ ผมรีบคว้ามาดวดอย่างกระหายเหมือนขาดน้ำมาเป็นแรมปี วันนี้ทั้งวันเรียกได้ว่า ผมแทบไม่ได้หยุดพักเลย รู้สึกว่าสีผมจะเป็นสีเดียวที่ลีดบ้าพลังออกไปเต้นบ่อยที่สุด (สีอื่นมันยังมีพักบ้างอะซิ) เพราะไอ้พี่ท็อปนั้นแหละ

ผมก็ไม่รู้หรอกว่า คะแนนวันนี้ที่ออกมามันจะดีเหรอป่าว แต่ดูเหมือนโอ้ตมันจะพอใจในระดับนึง

“เอ้ย เห็นอาจารย์บอกว่าวันนี้สีเราคะแนนนำหว่ะ” พี่ต่ายเดินมาบอกโอ้ตกะพี่ท็อปด้วยความตื่นเต้น

“เจงดิ เชื่อได้แค่ไหนวะ” พี่ท็อปบอกเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อ

“เออ ลีดอ่ะ ไม่รู้ แต่ว่าสแตนอะแน่นอน” เอ้า พวกลีดอย่างผมเศร้าเรยคับ เพราะว่าเวลาตัดสินเนี่ย รางวัลลีดกะรางวัลสแตนมันคนล่ะอันกัน แน่นอนว่าสแตนผมอย่างที่บอกว่าเดิ้นสุด

“เป็นไงเหนื่อยมากมั้ย ยังเหลืออีกวันนึงนะ” โอ้ตเดินมาตบบ่าผมระหว่างจะกลับไปพักบ้านพี่ต่าย คืนนี้พวกลีดกะพวกสต๊าฟหลักๆ ตกลงกันไว้ว่าจะนอนบ้านพี่ต่ายคับ จะได้ทำไรได้สะดวก แล้วก็ไม่วุ่นวาย แต่ปัญหาดันเกิดขึ้นมาเพราะว่าไอ้โค้กมันเสือกเจ็บขาขึ้นมา

“โอ้ยยย …” ไอ้โค้กร้องลั่น เห็นกั๊กมันนวดขาตรงที่เจ็บให้อยู่ ผมเห็นดังนั้นเลยเดินเข้าไปสอบถามสารทุกข์สุขดิบ

“อ่าฮ่า .. ” ผมเดินเข้าไปทำเสียงแซวไอ้โค้กที่กำลังทำหน้าเจ็บปวดอยู่

“ทำเสียงอะไร ” มันมองทำหน้าไม่พอใจผม แล้วก็ปัดมือน้องกั๊กออกจากขามันคับ กั๊กมันหน้าเจือนแล้วก็ลุกเดินออกไปทางอื่น

“อ่าโฮ่ …” ผมมองตามหลังน้องกั๊กไปแล้วก็ทำเสียงแปลกๆอีก

“ทำอะไรวะ” แน่ะมันขึ้นเสียงกะผม แล้วก็เผลอเตะขาข้างที่ยอกอยู่มาทางผม แต่พอดีหลบได้ ไอ้โค้กเลยร้องจ๊ากเลย

“เป็นไงล่ะ เจ็บอะดิ ไม่ได้ดูตามาตาช้างเล้ย” ผมพูดแล้วก็ค่อยๆจับขามันให้เข้าที่เดิม

“แล้วงี้จะไหวมั้ยล่ะ”

“ฮึ .. ไม่ไหวก็ไม่เต้นไง” มันพูดเสียงงอนๆหันหน้าไปทางอื่น

“เฮ้ย พี่ท็อป ไอ้โค้กบอกว่า มันจะไม่เต้นพรุ่งนี้แล้วอ่ะ” ผมตะโกนฟ้องพี่ท็อปที่กะลังง่วนอยู่ในครัว

“ม่ายด้ายนะมรึงง เสียงมันดังออกมาตรงห้องรับแขกที่กำลังนั่งกันอยู่เลย พร้อมกับคำผลุสวาทอีกมากมาย

“ไปเลย ป่ะ ขี้ฟ้องเจง แมร่ง” ไอ้โค้กพูดพลางผลักตัวผมให้ไปไกล เหอๆ เวลามันงอนมันน่ารักดีหว่ะ

“โหไล่พี่ไล่เชื้อ เป็นห่วงนะเนี่ย อุตสาห์มาดูว่าเป็นไงบ้าง” ผมพูดประชด แล้วก็ทำไปนวดตรงที่มันเจ็บ แต่มันรีบชักขากลับ แล้วก็พูดประโยคให้ผมอึ้ง

“ไม่ต้อง ! ไปห่วงพี่โอ้ตเหอะไป”

“หงิ ” ผมตกใจนิดๆ ทำไมมันรู้ได้ไงวะ หรือว่ามันเดาไปส่งๆ

“เกี่ยวไรกะโอ้ …. พี่โอ้ตฟ่ะ” ผมพูดทีเล่นทีจริง

“ป่าว ไม่มีไร ก็ไม่มีไรดิ” มันพูดเสร็จมันก็ลุกขึ้น

“เฮ้ยไปไหน”

มันหันหน้ามาแว่บนึง เป็นหน้าที่กวนตีนมากๆเหมือนตอนที่เจอมันวันแรกๆเลย

“นอน ! ” แล้วมันก็ เดินกระเผลกกระเผลกหายไปในความมืด

อ้าวกรุทำไรผิดอีกเนี่ย แค่แซวนิดแซวหน่อยเอง แต่เออจริง มันไม่ชอบไอ้กั๊กอยู่นี่หว่า งืมๆ


***************************

เช้าวันต่อมากลับเป็นว่าผมตื่นขึ้นมาปวดเมื่อยเองซะงั้น แต่ก็ต้องทนตื่นคับ ต้องมานั่งแต่ตัวโน่นนี่เหมือนเดิม แต่โชคดีวันนี้ชุดเป็นแบบเบาสบาย แล้วก็บางคับ เลยไม่ค่อยร้อนเท่าไร

ผมเหลือบมองไปทางไอ้โค้กซึ่งกำลังแต่งหน้าแต่งตัวอยู่ มันจะหายโกดกรุยังวะ

“โค้ก …” ผมเรียกแบบลองเชิง

“คับ ว่าไง” มันหันหน้ามามองผมตาแป๋ว อ่าทำหน้าน่ารักแบบนี้แสดงว่าหายโกดแระ

“ขาเป็นไงมั่ง”

“ก็ค่อยยังชั่วแล้วล่ะ” มันพูดแล้วก็สะบัดขาให้ดู

“เออๆๆ ไม่ต้องทำขนาดนั้นหรอก เด๋วมันจะเจ็บขึ้นมาอีก ”

“ก็ยังขัดๆอยู่แหละ เออ .. พี่มานวดให้ผมหน่อยดิ” มันพูดแล้วยื่นขาหน้ามาทางผม

“เอ้า ใช้กรุซะงั้นไอ้น้องเวน” ผมพูดแล้วก็ก้มลงนั่งนวดขาให้มัน

“เจ็บก็บอกนะเมิง” มันก็พยักหน้า แล้วก็หลับตาพริ้มเพลา แม่ม ไอ้นี่มาทำตัวเป็นคุณชายตัดหน้ากรุซะงั้น เด๋วปั๊ดจับเจี้ยวเลยนี่ คิดได้แว่บนึง หัวก็พลันหันไปทางเป้ามันคับ สาบานได้เลยว่าตอนแรกไม่ได้คิดลามกเลยนะ แต่ทำไมดูมันพองๆหว่า ?

แกร้งงงๆๆ

เสียงฝาอะไรซักอย่างตกลงบนพื้น ทำเอาตกกะใจหันไปมอง แล้วผมก็เสียวแว่บ ไอ้โอ้ตคับ มันทำตก ไม่รู้ว่ามันตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจทำตกอ่ะ แต่ตอนมันเก็บฝา แล้วก็เหลือบตามามองทางผมแล้ว โห … น่ากัวชิบเป๋ง

“เอ้า หยุดทำไมอ่ะพี่ปริ้น นวดต่อเซ่” ไอ้โค้กมันขยุกขยิกขาให้ทำต่อ

“เออ สั่งจัง” พูดเสร็จผมก็หันมานวดต่อ

คลื่นนนนนนนน ………. คลื่นนนน ……

อี้ .. ผมรู้สึกถึงบรรยากาศมาคุด้านหลัง

“เฮ้ย ปริ้น ตัวเองน่ะ จัดการเรียบร้อยหรอยัง” เสียงพี่ท็อปดังขึ้นมา ทำให้ผมเลี่ยงออกมาได้ หันมาอีกที โอ้ตมันก็ไม่อยู่ซะแระ

“พี่โอ้ตไปไหนแล้วอ่ะพี่ต่าย ”

“อ่อ เห็นออกไปแล้วเมื่อกี้อ่ะ สงสัยไปโรงเรียนแล้ว ” พี่ต่ายบอก

“อ้าว …”

“มีไรเหรอปริ้น”

“ป่าวคับพี่”

งือๆ มันงอนผมอีกแล้วแน่เลย T-T


***************************


“ต่อไป จะเป็นโชว์ของคณะสีสุดท้าย เอ้า ขอเสียงปรบมือให้กับ สี … ส้มมมมม”

สิ้นสุดเสียงของโฆษก ขาพวกผมทั้งเจ็ดคู่ สิบสี่ข้าง ก็วิ่งออกไปยืนอยู่กลางสนาม พร้อมกับสิ่งที่ร่วมกันฝึก ร่วมกันซ้อมกันมาตลอดสองสามเดือน อีกไม่นาน มันก็จะเสร็จสิ้นแล้ว ไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง

ประมาณบ่ายสามโมงของวันศุกร์ การแข่งขันทุกอย่างได้สิ้นสุดลง พร้อมกับความตื่นเต้นเริ่มย่างกลายเข้ามา แม้จะไม่หวังอะไรอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็อดที่จะลุ้นไม่ได้คับ อาจารย์ให้พวกน้องๆที่อยู่บนสแตนเชียร์ลงมาเข้าแถว โดยมีลีดของแต่ละสีอยู่ข้างหน้า ส่วนพี่สต๊าฟของแต่ละสี ก็ขึ้นไปนั่งบนสแตนแทนพวกน้องๆ เตรียมตัวตีเกราะเคาะไม้(ไผ่) เมื่อรู้ผล

ต่อไปนี้จะเป็นการประกาศผลการแข่งขันกีฬา บลาๆๆๆๆ (พอดีผมไม่สนใจฟังเกี่ยวกะถ้วยรางวัลกีฬาคับ รางวัลที่ตั้งใจมีอยู่ 3 รางวัลคือ ถ้วยสแตน ถ้วยลีด แล้วก็ถ้วยพาเหรดที่พวกม.5 อย่างผมรับผิดชอบ แฮะๆ)

“รางวัลรองชนะเลิศขบวนพาเหรด อันดับสอง ได้แก่ สี เขียววววววว”
(เฮ เฮ เฮ ผมจับความได้ว่า ที่เฮไม่ใช่สีเขียวหรอก แต่เป็นสีอื่นที่มีลุ้นว่าได้ที่ 1 ตะหาก)

“รางวัลรองชนะเลิศขบวนพาเหรด อันดับหนึ่ง ได้แก่ สีเหลืองงงงงงงง”
(ฮิ้ววว เฮ เฮ เฮ เสียงกรี้ดเริ่มดังขึ้นตามลำดับ)

“รางวัลชนะเลิกขบวนพาเหรด ได้แก่ สี ……….. ” (กรุก็ไม่เข้าใจว่าจะลากยาวทำซอกตึกอะไร)

“สีสสสสสสสสสสสส”

“สี …. ส้มมมครับบบ”

“เฮฮฮฮฮฮ กรี้ดกราดด” บลาๆๆๆๆ รางวัลใหญ่รางวัลแรกเป็นของสีผมเรียบร้อยแล้ว ยิ่งพาเหรด ม.5 อย่างพวกผมรับผิดชอบด้วยยิ่งเป็นเครื่องการันตีถึงงานในปีหน้าว่าต้องดีแน่

“เฮ้ย ปริ้นวิ่งไปรับถ้วยดิ ” เสียงพี่ผู้หญิงที่เป็นลีดบอก

“เอ้า ทำไมต้องเป็นผมล่ะ”

“ก็แกเป็นเด็ก ม .5 อยู่คนเดียวนี่ เร็ว”

“ไม่ต้องแล้วล่ะพี่ เพื่อนผมมันวิ่งไปรับแหล่วว” ผมพูดแล้วก็ชี้ไปที่ไอ้คิวที่วิ่งหน้าแป้นแล้นมารับรางวัลกะผอ. พร้อมกะขนมปังนึงลัง (โห คุ้มสัดๆ)

“ต่อไปจะประกาศผลรางวัลลีดเดอร์ครับ”

“รองชนะเลิศอันดับสองได้แก่ …. สีสสส เขียววว”
(ฮิ้ววว เฮ เฮ เฮ กิ้วก้าว เสียงกรี้ดเริ่มดังขึ้นมากกว่ารางวัลตะกี้)

ถ้าเผื่อจะสังเกต ลีดสีเขียวที่วิ่งมารับถ้วยนั้น ดูเหมือนจะมีเสียงกรี้ดมากเป็นพิเศษ เพราะว่ามันหล่อนั้นเอง

“ใครอ่ะโค้ก”

“อ่อ ไอ้นั่นเหรอ ไอ้ต้าร์ไง”

“ไม่เห็นรู้จักเลย”

“โห มันป๊อบจะตาย รุ่นผมอ่ะ แต่มันป๊อบน้อยกว่าผมนะ” โค้กมันพูดด้วยความพราวดี้พรีเซนต์ ผมหันไปมองหน้ามันทีนึง

“มองอะไร”

“เป่า”

“รองชนะเลิศอันดับหนึ่ง ได้แก่ …. สีสสส สีสสสส” (เหี้ย ลากยาวอีกแระ)

“สี ส้มมมมมมมมมม”
เฮฮฮฮฮฮ กรี้ดกราดด บลาๆๆๆๆ

โอ้ว หัวใจผมหล่นวูบลงไปเล็กน้อย แต่จริงๆแล้วพวกลีดคนอื่นๆกระโดดดีใจกันใหญ่เลยครับ ได้ที่ 2 ก็หรูแล้วล่ะ พวกแต่ละคนโดดกอดกันเป็นว่าเล่นเลย ผมก็แบบมันส์กะสถานการณ์คับ โดดกอดพี่คนโน้น คนนี้ที แล้วถ้าตาผมไม่ฝาด ผมเห็นไอ้โค้กมันโดดกอดกะไอ้กั๊กด้วยหล่ะ แต่พอมันนึกได้มันก็รีบทำฟอร์มมากอดผมแทน หึหึ

จากนั้นลีดที่ได้ที่ 1 ก็สีฟ้าครับ คู่แข่งสีผมเลย ยังเหลืออีกรางวัลเป็นรางวัลที่ทุกคนรอคอย สีฟ้าก็เป็นคู่แข่งคู่คี่กับสีส้มเลย

“รางวัลสแตนเชียร์รองชนะเลิศอันดับสอง ได้แก่ สีสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส ” (โอ้ว คราวนี้ล่อซะยาวให้กรุลุ้นนานเลย)

“สี เขียว ครับ ”
เฮฮฮฮฮฮ กรี้ดกราดด บลาๆๆๆๆ


“เฮ้ย มีลุ้น มีลุ้นว้อยยยยยยย” เสียงจากทางสแตนเชียร์ดูจะดังกว่าเพื่อน ตอนนี้เหมือนจะรู้ๆคับ ว่ามีสองสีสุดท้ายที่จะมาวิน หนีไม่พ้นสีฟ้ากะสีส้มแน่ๆ (อธิบายก่อนว่าก่อนหน้านี้ สีส้มเป็นสีที่พึ่งตั้งมาใหม่ แล้วก็ไม่เคยได้รางวัลใหญ่ๆอะไรเลยซักกะตี้ด)

“ที่ครูจะประกาศต่อไปนี้ จะประกาศสีที่ได้ที่ 2 นะครับ เพราะฉะนั้น สีที่ไม่ได้ประกาศชื่อ ก็จะเป็นสีที่ได้รางวัลชนะเลิศ เอ้า สีที่ได้ที่ 2 ได้แก่ สีสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส”

“สีสสสสสส”

“สีสสสสสส”

เอ้า เชี่ย ครูเค้าจะรู้มั้ยว่านักเรียนจะหัวใจวายตาย

“สีฟ้า ครับบบบบบบบบบบบบบบบบบ”

ผมยืนอึ้งอยู่แป็บนึง หลังจากที่ประมวลผลในหัวสมองได้ว่า สีที่เหลือก็เป็นสีที่ชนะนี่หว่า ก็ผ่านไปสิบวิฯ

เฮ เฮ เฮ กรี้ดๆๆๆๆๆ บลาๆๆๆ เสียงดังสนั่นหวั่นไหวทั้งพวกที่อยู่ในสนาม แล้วก็บนสแตนคับ ไอ้พี่ท็อปวิ่งไปกอดกะไอ้โอ้ตเลย ดูท่าจะดีใจจัด เห็นมันโดดกระหย่องกระแหย่งบนสแตนไกลๆ

แล้วไอ้โอ้ตมันก็เดินมารับถ้วยชนะเลิศคับ สีหน้าชื่นมื่นสุดๆ เท่ห์จัง ที่รักกรุ 555

สุดยอดคับ กีฬาสีปีนี้ ถึงแม้จะเป็นครั้งแรกของผมที่ได้เข้าร่วมกิจกรรม แต่มันก็ทำให้ผมเริ่มที่จะรักอะไรหลายๆอย่างกับโรงเรียนที่พึ่งเข้าใหม่แห่งนี้

“โอ้ต ดีใจด้วย” ผมพูดเบาๆ พร้อมกับมองไปบนแท่นที่โอ้ตยืนชูถ้วยที่เขียนว่า ชนะเลิศ โชว์ไปมาด้วยความภาคภูมิใจ ตัวผมกับพวกลีดคนอื่นๆ ก็โดนดันให้เข้าไปถ่ายรูปร่วมกัน

“สำเร็จแล้วปริ้น โอ้ตทำได้แล้วเห็นป่าววว” มันพูดเสียงสั่นๆ น้ำเสียงไม่ต้องพูดถึง ผมยังคิดไม่ออกว่ามันเคยดีใจ หรือแสดงความรู้สึกแบบนี้ออกมามากเท่านี้เหรอป่าว

“เออ รู้ว่าเก่ง”

“จุ๊บทีดิ เป็นรางวัล”

“ไอ้บ้า คนเยอะแยะ” ผมค้อนมันขวับๆ

สรุปว่า หลังจากที่เก็บข้าวเก็บของ จัดการรื้อโครงสร้างสแตนอะไรกันเรียบร้อยแล้ว พวกสต๊าฟก็พากันไปกินหมูกระทะกันครับ เงินก็เงินที่ได้จากรางวัลนั่นแหละ หุหุ ไม่พอหรอก

“แมร่ง ประธานสีมันเก่งจังว้อยย มีไรที่มันทำไม่ได้อีกวะ” เสียงคนนั้นคนโน้น เอาแต่ชมที่รักผม ผมก็ปลื้มไปด้วยเด๊ะ แม้ว่าจะไม่ได้เกี่ยวไรกะเค้าก็เหอะ

“แต่เสียดายลีดหว่ะ ได้แค่ที่ สองเอง เฮ้อออ” พี่ท็อปพูดจาโศกๆ เพราะว่ามันรับผิดชอบด้านนี้ไงครับ

“เฮ้ย ที่สองก็ได้ถมไปแล้ว ดูลีดแต่ละคนดิ ไอ้กั๊กงี้ ไอ้โค้กงี้ ไอ้ปริ้นงี้ หน้าตาไม่น่าเป็นลีดทั้งนั้น” เจ๊ซายปลอบพี่ท้อป

อ้าวตกลงชมเหรอด่ากรุกันฟร่ะ -*-

“แต่การแสดงของปีนี้สุดยอดจริงๆน้องโอ้ต ปีพี่ยังทำได้ไม่เท่าแกเลย” เจ๊แกหันมาอวยฯที่รักผมแทน

“แหมๆๆ เพื่อนผมๆ ไอ้โอ้ตมันเก่งจะตาย เนี่ย รู้ป่าว ว่าที่เด็ก มช เชียวน้า” พี่คนนึงพูดขึ้นมาตามด้วยเสียงโห่ฮา

เอ๊ะ ..!

หูกรุฝาดไปป่าววะ เมื่อกี้ฟังว่าอะไรนะ ?

“พี่ต่ายๆ ถามไรหน่อยดิ” ผมแสร้งทำหน้าเป็นยิ้มรื่นเริงปกติ

“มะกี้พี่เค้าว่าอะไรนะ พี่โอ้ตเค้าอะไรนะ”

“อ้อ อ้าว ปริ้นไม่รู้เหรอ โอ้ตมันสอบติดโควตา มช ประกาศผลตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วน่ะ” พี่ต่ายบอกผม

“หงึบ ….”

“มช นี่คือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เหรอพี่”

“เออน่ะซิ ถามแปลกๆ” พี่ต่ายว่าแล้วก็หันไปเฮฮากับเพื่อนต่อ แต่ผมเฮไม่ออกแล้วคับ

เชียงใหม่เหรอ เชียงใหม่เหรอ เชียงใหม่เหรอ หัวใจที่ผมเคยรู้สึกเต็มเปี่ยมบัดนี้รู้สึกว่า ทำไมมันเหมือนโดนอะไรซักอย่างซูบลงไปอย่างรวดเร็ว ใจมันโหว่งๆยังไงไม่ทราบ

โอ้ตจะไปอยู่เชียงใหม่ ?

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #34 เมื่อ23-10-2006 05:21:41 »

“โค้ก .. ขอยืมมอไซต์หน่อยดิ”

“ไปไหนอะ” ไอ้โค้กถามพลางยื่นกุญแจรถให้กับมือ

“จะขี่รถรับลมหน่อย แป็บเดียวล่ะ” ผมว่าพลางเดินไปที่มอไซต์ ไอ้โค้กดันเสือกวิ่งตามมาอีก

“ไปด้วยดิ เดี๋ยวขี่ให้” มันว่าพลางยื่นมือขอกุญแจคืน แต่ผมไม่ได้ส่งให้มัน

“ไม่เป็นไรอ่ะ ไปแป็บเดียว” ว่าแล้วก็รีบไขกุญแจแล้วก็บิดออกไปนอกร้าน

……….

……….

…….

…..



โอ้ตมันก็เก่งเนอะ สอบติดโควต้าได้เนี่ย เหอะๆ

บรื้นนนนนนน

มันเก่งแฮะ ไม่ต้องไปแข่งเอนฯกะใครเค้า

บรื้นนนนนนนนนนนนนน

อะ โอ้ต มันโคตรเก่งเลย ที่ไม่แม้จะบอกผมซักคำ ไม่เคยบอก ไม่เคยพูด ทำไม ผมต้องรู้ทีหลังสุดด้วยวะ ! เหรอว่ามันจะบอกกับผมเอาวันที่มันจะไปแล้ว

บรื้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน

กูคงไม่สำคัญหรอก ใช่ กูมันไม่เคยสำคัญกะมันเลย เหอะ เหอะ

ความคิดที่เห็นแก่ตัวของผม มันกึกก้องวนเวียนอยู่ในใจตลอด และพัดพาเอาความรู้สึกที่ยากจะบอกวนเวียนอยู่ในตัว ผมคิดอะไรไม่ออก ไม่อยากคิด ไม่อยากนึกถึง สายลมที่เข้าปะทะกับใบหน้าทำให้น้ำตาที่หยดลงมากลายเป็นละอองเล็กๆ หายไปกับความมืดที่ถูกทิ้งอยู่เบื้องหลัง


***************************


“ปริ้นนนนนน ……….ปายหนายยมา” เสียงไอ้โอ้ตในสภาพดูไม่ค่อยได้ตะโกนเรียกซะดังลั่น

“ขี่รถเล่น” ผมพยายามทำเสียงเป็นปกติ แต่ก็แข็งกว่าธรรมดาอยู่ดี แต่คงไม่รู้เรื่องห่าไรหรอก เมาขนาดนี้

“ทำไมเป็นแบบนี้อ่ะ พี่ต่าย” ผมหันไปถามทำหน้าหงุดหงิด แล้วนี่จะกลับบ้านกันยังไงวะ บ้านไม่ได้อยู่ในตัวเมืองนะว้อยยย

“ก็เล่นกระดกเอื๊อกกระดกเอื๊อก ไม่เมาได้ไง ปกติมันกินที่ไหนล่ะไอ้โอ้ตนะ” พี่ต่ายบอกแล้วก็ตะโกนให้พี่ท็อปชวนพยุงร่างไอ้โอ้ตขึ้นรถ

“สงสัยต้องนอนค้างบ้านพี่อีกคืนแล้วล่ะ พรุ่งนี้ค่อยกลับเนอะ” พูดเองเสร็จสรรพ แล้วพวกพี่ๆที่เหลือก็พยายามขนคนเมาที่มีมากมายกว่าคนไม่เมาขึ้นรถกระบะไป

“คืนนี้ท่าจะเหนื่อยแฮะ” อ้าวไอ้โค้กไม่เมาแฮะ

“ไม่ไปค้างด้วยกันเหรอ”

“โหย ไม่เอาหรอกพี่ ขี้เกียจไปดมกลิ่นอ๊วกคนเมาอะ นอนอยู่บ้านสบายกว่า”

“เออ ตัดช่องน้อยแต่พอตัวนะเมิงอ่ะ”

“เอ้า หรือพี่จะไปนอนบ้านผมล่ะ” มันพูดแล้วก็ยิ้มตาแป๋วใส่ผม อึ๋ย นี่ถ้ากูไม่รมณ์เสียอยู่นะ …

“ไปเหอะ ขี่รถดีๆนะ” ผมปฏิเสธทั้งๆที่ใจก็อยาก

“คับ ก็เค้ามีคนต้องดูแลนี่เน๊อะ” โค้กมันพูดขึ้นมาลอยๆ แล้วก็เบิ้ลมอไซต์เสียงดังจากไป

ชิส์ .. แมร่ง ไม่ต้องสงสัยว่ามันต้องรู้ว่าผมกะโอ้ตเป็นอะไรกันมากกว่าญาติธรรมดาแน่ แต่ช่างมันเหอะ ผมคิดแล้วก็กระโดดขึ้นกระบะท้ายไป

กว่าที่จะขนคนเมาทั้งหลายลงมานอนแผ่ในบ้านพี่ต่ายได้ก็กินเวลาไปเกือบสองชั่วโมงครับ ที่ตกหนักก็คงหนีไม่พ้นพวกผู้ชายที่ไม่เมา หรือเมาน้อย ต้องมาช่วยเช็ดอ๊วก แถมยังต้องหาที่นอนให้อีกตะหาก

“ปริ้น เดี๋ยวพาโอ้ตมันไปนอนในห้องในนะ” พี่ต่ายเดินมาบอกผมซึ่งกำลังพยุงไอ้โอ้ตอยู่

“คับ ”

“ลำบากหน่อยนะน้อง นานปีทีหน” พี่เค้าพูดแล้วก็เดินเลี่ยงไปจัดการกะคนอื่นๆต่อ กว่าจะได้หลับก็ปาเข้าไปเที่ยงคืน ตีหนึ่ง

ZzzzzzzzzzzZZZzzzzzzzzz

บนเตียงนอกจากมีผม กะโอ้ตแล้ว ยังมีไอ้พี่ท็อปอีกตัวนอนอยู่ด้วย เสียงกรนพี่ท็อปทำเอาผมนอนไม่หลับเลย แต่จริงๆที่กังวลทำให้นอนไม่หลับคงไม่ใช่เรื่องนี้หรอก

ผมพลิกตัวเป็นนอนตะแคง มองหน้าไอ้คนเมาที่หลับไม่รู้เรื่องรู้ราว แล้วก็เอามือไปบีบจมูกมัน

“นอนสบายเชียวนะ …” ผมพึมพำ โอ้ตละเมอเอามือปัดมือผมออกแล้วก็นอนต่อ

“ทำไมถึงต้องไปเรียนที่เชียงใหม่ด้วย” ผมยังคงพูดคนเดียวไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็เอามือไปบีบจมูกมันเหมือนเดิม

“มีอะไรอยู่ที่โน่นเหรอไง..โอ้ต” คราวนี้ผมพูดเสร็จ โอ้ตมันละเมอจับมือผมออกจากจมูกมัน แต่มันก็จับอยู่แบบนั้นไม่ยอมปล่อยคับ

ผมมองดูมือโอ้ตที่กุมมืออยู่ ถึงแม้ว่ามันจะจับโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ทุกครั้งมันก็ยังอบอุ่นเหมือนเดิม น้ำตาผมเริ่มคลอมาที่เบ้า เมื่อคิดถึงความห่างไกลที่กำลังคืบคลานเข้ามา ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ความรู้สึกน้อยใจ หรือว่าโกรธก่อนหน้านี้ มันเหมือนมลายหายไปหมด

ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคิดมากในตอนนี้ ในเมื่อมันยังมาไม่ถึง ..

***************************


Zzzzzzzzzzz Zzzzzzzzzz

“ปริ้นซ์ …. ดูแลตัวเองดีๆนะครับ ”

“โอ้ต …ทำไมอ่ะ ”

“เลิกเรียนแล้ว อย่ามัวเถร่ไถล ไปไหนกะใครนะครับ รีบกลับบ้านล่ะ”

“โอ้ต …เด๋ว พูดกันให้รู้เรื่องก่อน”

“ดูแลตัวเองนะ … แล้วจะรีบกลับ สัญญา ”

“โอ้ต … อย่าพึ่งไป …..”

เอก อี๊ เอ้ก เอกกกกกกกกกกกก (บ้านพี่ต่ายมีไก่ด้วย)

“อึ๊กก” ผมสะดุ้งตัวตื่นลุกขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อโทรมกายอีกครั้งนึง เหมือนครั้งที่แล้วเลย ผมฝันเหมือนครั้งที่แล้ว

“เป็นอาไรครับ” เสียงงัวเงียข้างๆ ทำให้ความประสาทแดกของผมกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

“เป่า” ผมปฏิเสธแต่ตัวดันทำท่าจะลุกลงจากเตียงซะอย่างงั้น

“ยังไปไหนม่ายได้” สงสัยโอ้ตมันคงได้แรงคืนมาจากการนอนเมื่อคืนแล้วถึงได้กระโดดมาคว้าตัวผมไว้ได้ โดยที่มันไม่ได้ดูเลยว่าพี่ท็อปมันก็นอนอยู่ข้างๆ

“เฮ้ย ทำไร เด๋วพี่ท็อปเห็น” ผมพูดละล่ำละลักเมื่อมันเริ่มกดตัวผมแล้วก็เริ่มจะทำท่าไซร้อีกแล้ว เห็นแบบนี้บ้ากามชิบหายเรย

“ไม่เป็นไรหรอก หลับยังไม่รู้ตัวเลยมั้ง” โอ้ตมันไม่ว่าเปล่า ดันขืนเอาหน้ามันมาถูไถที่ข้างหูซะงั้น จุดอ่อนกรุเลย !

“อ๊างงง ! เอ้ย ไอ้โอ้ต ไม่เอา” ผมกระซิบแล้วพยายามผลักมันออก ไอ้โอ้ตมันก็ไม่ยอมครับ ปล้ำกันไปปล้ำกันมา จนผมต้องใช้ไม้ตายใช้เท้ายันครับ แต่ไม่ได้ยันไอ้โอ้ตหรอก ยันพี่ท็อปคับ ให้รู้สึกตัว แต่รู้สึกจะแรงไปหน่อย

พลั๊กกกก

“อ๊อกกก ”

ได้ผลคับ ไอ้โอ้ตทะลึ่งออกจากตัวผมเลยอ่ะ เหอๆ แล้วพี่ท็อปที่น่าสงสารที่อยู่ๆตัวก็ตกลงจากเตียงโดยไม่ทราบสาเหตุ(กรุทำเองแหละ)ด้วยความรุนแรง

“ไอ้สาดดดดดดดดดดด เมื่อคืนกรุนอนตกเตียงได้ไงวะ เจ็บชิบหาย” พี่ท็อปมันบ่นขึ้นมาระหว่างจะไปส่งพวกผมที่ท่ารถเพื่อที่จะกลับชะอำ

“ก็มึงนอนละเมอขนาดนั้น ไม่ตกได้ไงไอ้โง่” โอ้ตมันแก้ต่างให้โดยมีผมเอามีดจี้หลังมันให้พูดตามนั้น หุหุ


***************************


หลังจากผ่านพ้นกีฬาสีไป ชีวิตผมก็เรียกว่าราบรื่นเกือบจะราบเรียบเลยก็ว่าได้ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ มีแต่การเรียนที่เรียกว่ายากขึ้นยากขึ้น (ขนาดเป็นโรงเรียนตจว.นะคับ) ส่วนไอ้โอ้ตก็ยังไม่ปริปากบอกผมเรื่องที่มันได้โควต้าไปเรียนที่เชียงใหม่เลย ผมก็ไม่คิดที่จะถามมันหรอก ไม่กล้าถามมั้ง(ป๊อดขึ้นมาซะงั้น)

จนเวลาล่วงเลยไปจนถึงเดือนธันวาคม ไวซะอย่างงั้น หลายๆคนก็คงเป็นเหมือนกันคือ เป็นช่วงเดือนที่รู้สึกว่ามีสีสันอะไรมากมาย ทั้งวันหยุดที่เยอะ รวมถึงอากาศที่ค่อนข้างจะหนาวเลยทีเดียว (กทม. จะหนาวแค่สัปดาห์เดียว แต่ที่นี่หนาวจนเรียกว่าต้องเอาเสื้อกันหนาวมาใส่เลย)

“เฮ้อ จาหมดปีแล้วอ่ะ” ผมพูดขึ้นมาในระหว่างที่กะลังเตรียมจัดงานของวันเกิดของโรงเรียนอยู่ ทุกๆวันที่ 28 ธันวาคม ถือว่าเป็นวันเกิดของโรงเรียนครับ ก็จะมีกิจกรรมอะไรต่างๆเยอะแยะมากมาย

“เดี๋ยวก็จะเป็นพี่ใหญ่ในโรงเรียนแลซิ” โอ้ตมันพูดสำทับ

“เหอะๆ แล้วตัวเองอ่ะ จะเอนฯเข้าที่ไหน ไม่เห็นบอกกันมั่งเลย” ผมทำเป็นพูดเรื่อยเปื่อย

“ก็ยังไม่รู้เลยอ่ะ จะเอนฯติดเหรอเปล่าก็ไม่รู้เล้ยยย สงสัยได้เรียนราชพัดนี่มั้ง” แน่ะมันตอแหลลงตับ เอนฯไม่ติดแต่ติดโควตาแล้วอ่ะดิ

“เหรอ .. แต่ถ้าอย่างโอ้ตไม่ติด คงไม่มีใครติดแล้วล่ะ” ผมแซวแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร

“หึหึ” มันหัวเราะในลำคอ แล้วก็ทำงานของมันต่อ ผมก็มองหน้ามันคับ

ทำไมว้า จะอีกไม่กี่เดือนแล้ว มันถึงไม่ยอมบอกผมซะที

“เออ แล้วโอ้ตเลือกที่ไหนไว้บ้างอ่ะ 3 อันดับ” ผมลองถามอีกรอบว่าในหัวมันเลือกที่ไหนไว้บ้าง ตอนนั้นยังเอนฯช่วงเมษาฯรอบเดียวอยู่ครับ ตัดสินกันไปเลยว่าใครจะได้ไม่ได้ ไม่เหมือนสมัยนี้ มีแอดม้งแอดมินเห่ยๆ

“อืม ก็ที่ดูๆอ่ะนะ ก็มีที่ xxx แล้วก็ xxx อือ”

“เลือกแค่สองที่เอง ? ”

“อีกที่นึงก็คิดว่า คงเป็นที่ มช มั้ง” มันพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เหมือนกะไม่อยากให้ผมได้ยิน

“โห .. ซะไกลเลยนะ” ผมแกล้งซื่อ งี้ถ้าติดขึ้นมาคงเหงาน่าดูเน๊อะ ผมพูดทำเสียงสูง

“ฮ่ะ ฮ่ะ ไม่หรอก”

“โอ้ตไม่เหงา แต่เราเหงา”

ได้ผลครับ ดูเหมือนคำๆนี้จะทำให้โอ้ตมันหันมาสนใจผมได้ซะที

“ปริ้นรู้สึกยังไง … โอ้ตก็รู้สึกแบบนั้น” โอ้ตบอกผมแล้วก็ค่อยๆเลื่อนมือมากุมไว้ ลมหนาวพัดมาวูบนึง ทำเอาร่างกายของผมสั่นสะท้าน

“เอาน่า … ยังไงโอ้ตก็ยังไม่ได้ไปม่ะใช่เหรอ ถ้าเอนฯติดแล้วค่อยบอกก็ได้” ผมพูดปลอบใจโอ้ต ทั้งๆที่มันควรจะกลับกันมากกว่า โอ้ตดูอึกอักบอกไม่ถูก แต่ก็ยิ้มมาให้เหมือนเดิม

“ว่าแต่ ถ้าติดที่โน่นมาจริงๆเนี่ย รู้จักใครเค้าบ้างเหรอเป่า ” ผมยังไม่วายอยากถามต่อ

“อือ ก็ไม่รู้จักใครหรอก แต่ …”

“แต่อะไร ? ”

“แต่โอ้ตเคยไปมาครั้งนึงแล้วล่ะ ” โอ้ตพูดใจลอยๆ “โอ้ตมีคนรู้จักคนนึง…..เกิดที่นั่นหน่ะ”

ผมมองตามสายตาโอ้ตที่ทอดไปที่ต้นไม้ยืนต้นที่ใบร่วงโรยจนหมดต้น ใบไม้ใบนึงหลุดออกจากขั้วค่อยๆปลิวลองบนพื้นด้วยแรงลมที่พัดมาเป็นระลอกคลื่น เหมือนโอ้ตมันจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้

“ปริ้น .. ”

“หือ” ผมแสร้งหันมาทำงานต่อ

“โอ้ตมีเรื่องจะบอก”

“อือ เรื่องไร ” ถึงแม้ว่าสายตาของผมจะกำลังจับจ้องอยู่ที่ฟิวเจอร์บอร์ด แต่มือที่ผมกำลังจะติดกาวกลับสั่นเล็กๆอย่างควบคุมไม่ได้

“โอ้ต .. คง .. คงจะได้ไปอยู่เชียงใหม่ซัก 4 ปี”

“หมายความว่ายังไง” ผมหันมาแกล้งตีหน้าเซ่อที่ไม่ค่อยสมบทบาทเท่าไร

คือ โอ้ตได้โควตาเภสัชที่มช น่ะ” โอ้ตบอกกับผมเหมือนกลัวอะไรซักอย่าง

……………………………………….

…………………………..

………………

……..




“อ่อ ตกลงว่าปริ้นกะพี่โอ้ตคบกันอยู่จริงๆอะดิ” ไอ้ซังพูดขึ้นมาซะเสียงดัง จนผมต้องเอามือยัดปากมัน

“เฮ้ย เบาเบ้า….”

“เออ แล้วรู้ได้ไงว่าพี่โอ้ตจะไปเชียงใหม่แน่ๆ”

“พี่ต่ายบอกอ่ะ แล้วถ้าไม่อยากไป จะไปสมัครโควตาทำไมล่ะฟ่ะ”

“อือ งั้นปริ้นก็ต้องทำใจอ่ะ”

“ง่ะ ง่ายๆแค่เนี้ย พูดง่ายนะไอ้ซัง” ผมโอดใส่มัน ทั้งๆที่อุตสาห์มาขอความเห็นของมันซะหน่อย แต่มันดันพูดแค่เนี้ย !!

“แล้วปริ้นจะทำไง จะบอกให้พี่โอ้ตไม่ไปเหรอไง ”ซังถามผมเสียงเครียดกว่าเก่า

“ไม่รุ”

“ไม่รู้ไม่ได้ !! ”

“อย่าดุกรุดิ” ผมบ่นเสียงเบา

“ลองนึกดูว่า ถ้าปริ้นเป็นพี่โอ้ต ปริ้นจะทำตัวยังไง ที่พี่โอ้ตยังไม่บอกปริ้นก็เพราะกลัวปริ้นจะกังวลงี่เง่าอะเซ่ะ”
ไอ้ซังพูดเข้าข้างโอ้ตทุกที

“ซังไม่ได้เป็นเรานี่หว่า ก็พูดได้ดิ”

ไอ้ซังทำหน้าย่น แล้วก็เอามือมากอดคอผม

“ใช่ ซังไม่ได้เป็นโอ้ต แต่ถ้าซังเป็นโอ้ตนะ ซังจะ ……”

….

………….

……………………

………………………………

…………………………………………


“โอ้ตได้โควตา มช เหรอ !! ”ผมหัวเราะเสียงดัง จนไอ้โอ้ตมันแปลกใจกับท่าทีของผม

“ปริ้นม่ะ ไม่เศร้าเหรอ ไม่เสียใจเหรอ” โอ้ตมันขยับเข้ามาถามผมใกล้ขึ้นจนตัวติดกัน

“งือ .. ก็จะให้บอกตรงๆ” ผมพูดพลางเลิกเสแสร้งทำตลก

“เศร้าดิ แต่ไม่เสียใจหรอก”

“ฮืม … ”

“แต่โอ้ตบอกเองม่ะใช่เหรอ ว่า ถ้าปริ้นรู้สึกยังไง โอ้ตก็รู้สึกแบบนั้น” ผมก้มหน้าบอกเสียงสั่นๆ กรุว่าจะไม่ทำอ่อนแอแล้วเชียวนะ

“ปริ้นเคารพในการตัดสินใจของโอ้ตคับ” ผมล่ะไม่อยากมองหน้าโอ้ตมันตอนนี้เลย ได้แต่กุมมือมันไว้แบบนั้น

“อะ โอ้ตขอโทษนะ” โอ้ตมันเริ่มสะอื้นบ้างแล้ว

“จะขอโทษทำไม ? มันเป็นชีวิตโอ้ตนะ โอ้ตมีสิทธิเลือกนี่นา”

“ครับ รอโอ้ตนะ” มันพูดทำตาซะซึ้งเชียว

“บ้า!! ยังไม่ต้องรีบลากันตอนนี้หรอก เหลืออีกตั้งหลายเดือน” ผมทำทีผลักมันให้ออกห่างผมได้แล้ว เพราะรู้สึกได้ว่ามีสายตาหลายคู่เริ่มจะจับจ้องมาที่ผมนั่งอยู่แระ (หรือนานแล้วก็ไม่รู้)

“เออ ถึงตอนนั้นแล้วอย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งก็แล้วกัน” มันพูดเสร็จก็ลุกขึ้นแล้วก็ผลักหัวผมจนหน้าเกือบคะมำ

“โหย ไอ้บ้า เจ็บนะ” ผมตะโกนด่ามันพร้อมกับรอยยิ้ม

ใช่แล้ว !! เหลือเวลาอีกไม่นานที่จะได้อยู่ด้วยกัน ผมควรที่จะทำมันให้มีค่าที่สุดมากกว่าที่จะต้องมานั่งกลุ้มใจนี่นา

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #35 เมื่อ23-10-2006 05:22:15 »

ก่อนจะถึงงานคล้ายวันก่อตั้งโรงเรียนไม่กี่วัน ซึ่งหลังจากนั้นก็จะเป็นช่วงหยุดยาวปีใหม่ ห้องของโอ้ตปรึกษากันว่าจะรวมตัวกันไปเที่ยวที่เกาะพะงัน ประมาณ 1 สัปดาห์ ซึ่งแน่นอน มันกะจะโดดเรียนกันหลายวัน นับตั้งแต่วันที่ 29 จนเลยปีใหม่ไปจนถึงวันที่ 3 ม.ค. กันเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าพวกห้องโอ้ตจะคาดหวังเป็นอย่างมากที่จะได้ไปเที่ยวกันเป็นการปิดท้ายการเรียนก่อนที่จะมีการสอบเอ็นทราน

“พี่อยากให้โอ้ตมันไปด้วยน่ะ” พี่ต่ายมาบอกผมด้วยท่าทีข้อร้อง

“อ้า แล้วพี่ต่ายมาบอกไรผมอ่ะ ? ” ผมหันไปถามด้วยความสงสัย

“พี่ว่าปริ้นน่าจะช่วยให้โอ้ตมันเปลี่ยนใจได้ เนี่ย ปีที่แล้วมันก็ไม่ไปทีนึงแล้ว” พี่ต่ายพูดแล้วก็หยุดพักถอนหายใจ

“ทั้งๆที่ปีนี้ก็เป็นปีสุดท้ายที่จะได้เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้วแท้ๆ”

“โอ้ตมันไม่ชอบไปทะเลมั้งพี่ ”

“ไม่หรอก ก็ตอนม.4 มันยังไปเลย ตอนไปเข้าค่ายน่ะ แต่หลังจากที่ .. ” พี่ต่ายเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็หยุดไปเฉยๆ ผมมองหน้าพยายามเค้นสิ่งที่พี่ต่ายยังไม่ได้หลุดปากออกมา

“ตอนจบ ม.4 เพื่อนในกลุ่มพี่เสียไปคนนึง” พี่ต่ายพูดด้วยน้ำเสียงสลด “หลังจากนั้น โอ้ตมันก็เปลี่ยนไปเป็นคนล่ะคน”

“พี่โอ้ตสนิทกับพี่คนนั้นมากใช่มั้ยครับ”

พี่ต่ายพยักหน้าเป็นการให้คำตอบ

“คือพี่คิดว่า ถ้าปริ้นไปโอ้ตมันก็อาจจะอยากไปด้วยนะ ”

เอาล่ะซิ จริงๆผมก็อยากไปล่ะนะ แต่เนื่องผมเกรงใจพี่ๆหลายๆคนที่ไม่ค่อยจะรู้จักสนิทสนมกัน แล้วเที่ยวประเภทนี้ ถ้าคนที่ม่ะใช่ห้องเดียวกันไป มันคงจะรู้สึกเป็นส่วนเกินยังไงชอบกล แต่พี่ต่ายก็ยืนยันว่า นอกจากห้องตัวเองแล้ว ก็ยังชวนพวกคนอื่นที่สนิทๆกันไปอีกหลายคน เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ ตอนแรกผมก็ยังไม่อยากตัดสินใจคับ แต่พอเห็นหน้าตาท่าทางพี่ต่ายเมื่อกี้นี้แล้ว ก็อดสงสารไม่ได้ หลายคนคงเข้าใจนะครับ เวลาได้ไปเที่ยวไหนกับเพื่อนสนิทในกลุ่มมันจะสนุกสนานแล้วก็น่าจดจำแค่ไหน

ก๊อกๆๆ

“โอ้ต โอ้ต” ผมหาโอกาสคุยกะไอ้โอ้ตได้ ก็หลังจากกลับมาถึงบ้านกันเรียบร้อย กว่าจะกินข้าว ทำการบ้านอะไรเสร็จ บ้านโอ้ตมันก็เกือบจะปิดไฟเข้านอนแล้ว ป้าเปิดประตูให้ผมด้วยสีหน้าตำหนินิดหน่อย แล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องนอน

แอ๊ดดด

“เอ้า ว่าไง มีไรเปล่ามาป่านนี้” โอ้ตเดินมาเปิดประตูให้ด้วยสภาพเปลือยท่อนบน ใส่แต่กางเกงบ็อกเซอร์เห็นอะไรไปถึงไหนต่อไหน

“ไม่หนาวมั่งไง ใส่แบบนี้” ผมกัดไปทีนึง ขนาดตัวผมเองยังต้องใส่เสื้อกันหนาวตัวนึงเลยถึงได้เดินออกมาจากบ้านตัวเอง

“ก็หนาววววอยู่ ” มันทำพูดปากคอสั่นหลังจากที่ผมก้าวเข้าไปในห้องไม่เท่าไร มันก็คว้าตัวผมเข้าไปกอดจนตัวเซไปเซมาล้มตึงลงบนบนเตียงที่เป็นลูกฝูกของมัน

“หนักนะเนี่ย” ผมพูดไม่สะดวกเพราะว่าโดนทับอยู่ ตัวมันก็ใช่เล็กอยู่

“ก็หนาวไง หนาว หนาว เลยต้องกอดแบบนี้” มันพูดอมยิ้มแล้วก็มาซุกไซ้ตัวผมยังกะเด็ก จนผมเกือบลืมว่าจะมาคุยอะไรกะมัน

“เด๋ว เด๋ว โอ้ต - - ” ผมเริ่มหน้าแดงเมื่อมันเอามือล้วงเข้ามาจะจับอะไรต่อมิอะไร

“หนาวไม่ใช่เหรอ .. ” มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ทำเสียงกระเส่า โอ้ตจะช่วยให้หายหนาวไง หึหึ พูดเสร็จมันก็เอาปากมันทำท่าจะเข้ามาประกบคับ ผมจะทำไงได้ล่ะ ก็อ้าปากรับดิ หุหุ

แต่มันแกล้งผมโดยที่ทำท่าจะจูบให้ผมอ้าปากเก้ออ่ะ พอผมลืมตาเห็นมันยิ้มหน้าเป็นอยู่ถึงได้รู้ว่าโดนแกล้งอีกแระกรุ เลยทำหน้าง้ำ

“หึหึ” มันยังทำหน้าอมยิ้มไม่หยุด หน้าผมกะหน้ามันอยู่ใกล้กันแค่ปลายลิ้นสัมผัส ได้กลิ่นลมหายใจอ่อนๆของกันและกันได้อย่างชัดเจน (ดีนะที่กรุแปรงฟันมาแระ)

“ขำไร”

“เปล่า ก็เห็นปกติจะเอาแต่ขืนตัวนี่นา เลยสงสัยว่าทำไมวันนี้ยอมง่ายจัง” มันพูดติดตลกซะงั้น

“พอเห๊อะ … ถึงขนาดนี้แล้วจะเล่นตัวทำไมล่ะฟะ อีกอย่าง ม่ะใช่นางเอกหนังไทยนะ” ผมพูดเสร็จก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วก็ขยับมือเอื้อมไปโอบหัวโอ้ตลงมาเป็นฝ่ายจูบมันซะเอง โอ้ตมันสะดุ้งนิดนึง แต่ก็ตอบรับด้วยดีคับ แลกลิ้นกันพลันวัล แล้วถึงแม้อากาศมันจะหนาวแค่ไหนตอนนี้ โอ้ตมันก็หาทางสลัดผ้าทั้งของตัวเองแล้วก็ของผมออกจากร่างกายได้ในเวลาไม่ถึงสิบนาที

“อึ๊ก ….”

“เจ็บเปล่า ”

“ก็ .. นิดหน่อย อ๊ะ ….”

“แป็บนะ อ่า ……”

“อ๊ะ อ๊ะ ….”

“อ๊ะ โอ๊ะ เบา โอ้ต เจ็บว้อย - - ซี้ดดด”

“เจ็บ ..เจ็บ แล้วทำไมครางล่ะครับ แฮ่ก แฮ่ก”

“ก็ .. ม่ะกี้ มันเสียวนี่หว่า โอ้ยยย โอ้ต ! ”

………………………………

………………………

……………….

……….

……



ผมรู้สึกตัวอีกทีในห้องก็มืดสนิทแล้วครับ โอ้ตมันคงลุกไปดับไฟตอนที่ผมดันหลับไปด้วยความอ่อนเพลียนั่นแหละ ผมพยายามจะลุกขึ้น แต่ก็ติดแขนโอ้ตที่มันกอดผมอยู่จากด้านหลัง หน้าอกไอ้โอ้ตกะแผ่นหลังผมยังคงเป็นเนื้อกับเนื้อคับ ยังแก้ผ้ากันอยู่ทั้งคู่เลย ลมหายใจอุ่นๆของมันเป่าอยู่ด้านหลัง ผมหันหลังกลับไปมองหน้ามันจนคอแทบเคล็ด ดวงตาที่ดูมีเสน่ห์คู่นั้นของโอ้ตหลับสนิท ผมสั้นที่เริ่มยาวลงมาปรกหน้าผาก เห็นโอ้ตตอนนี้แล้ว ยิ่งทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัว กลัวที่เมื่อถึงเวลาที่ต้องห่างกันไปจริงๆ

ไม่ซิ เราสัญญากับโอ้ตไว้แล้ว เราจะรอโอ้ตม่ะใช่เหรอไง แค่ 4-5 ปีเอง (เภสัชเรียน 5 ปีคับ ขออภัยที่ข้อมูลผิดพลาด) ผมคิดไป น้ำตาก็คลอไป ผมไม่อยากให้โอ้ตต้องลำบากใจ ยังไงโอ้ตก็ต้องไปแน่ๆ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง แล้วโอ้ตก็จะต้องไม่มานั่งกังวลใจเรื่องของผม

***************************

เช้าวันต่อมา ผมต้องรีบทะลึ่งตัวตื่นขึ้นแล้วก็ต้องรีบวิ่งแจ้นกลับบ้านตัวเองก่อนที่ป้าจะตื่นขึ้นมา ไม่งั้นได้เดี้ยงกันเป็นแถบๆแน่

“ว่าไงนะ จะไปพะงันกะที่ห้องโอ้ตเหรอ !? ” เสียงโอ้ตถามผมด้วยท่าทางไม่พอใจ ผมได้โอกาสถามมันตอนที่กำลังนั่งอยู่บนรถประจำทางมาโรงเรียน เนื่องจากเมื่อคืนที่ว่าจะถามแต่ดันทำเรื่องอย่างอื่นก่อน

“ก็ว่าจะ … ทำไมไปไม่ได้เหรอ” ผมย้อนถาม “ ก็พวกพี่เค้าชวนอ่ะ”

“เปล่า ก็จะไปก็ไปซิ” มันหันไปเปิดกระเป๋าแล้วเอาหนังสือเรียนขึ้นมาอ่าน

“ไปด้วยกันดิ” ผมบอกโดยที่ไม่ได้หันไปหา

“ไม่ไป ” มันตอบเสียงหนักแน่น

“ก็แค่อยากไปเที่ยวด้วยกันก่อนโอ้ตจะไปเชียงใหม่ก็เท่านั้นแหละ ” ผมใช้ไม้ตายมากกว่าที่จะอ้อมค้อมพูดต่อไป

เจอไม้นี้เข้า เป็นโอ้ตมันก็ต้องตามใจผมครับ ช่วงกลางวันวันนั้นผมเลยวิ่งไปบอกข่าวดีกะพี่ต่าย ดูพี่เค้าจะดีใจเป็นพิเศษคับ มีเรื่องน่าแปลกใจอยู่นิดหน่อยตรงตอนที่ผมถามว่า นอกจากห้องพี่ต่ายแล้วยังมีใครที่ไปกันอีกเหรอ ก็ได้คำตอบว่า …

“เฮ้ย ซัง เมื่อกี้เราไปคุยกะพี่ต่ายที่จะไปเที่ยวเกาะกันอ่ะ เห็นไอ้คิวมันจะไปด้วย!

ผมรายงานซังทันทีเมื่ออยู่กะมันสองต่อสอง คนเถื่อนอย่างไอ้คิวมีเหรอที่จะไปกะพวกห้องผู้ดีอย่างห้องไอ้โอ้ต

“อ่อ เห็นพี่ท็อปเค้าชวนอ่ะมั้ง ก็เลยไป ไอ้คิวมันสนิทกะพี่ท็อปก็รู้อยู่”

“แล้วซังไม่ไปเหรอ”

“ไปไม่ได้หรอก ก็มันต้องโดดเรียนไปตั้งหลายวันนี่” มันพูดแล้วก็เหลือบตามามองที่ผม

“ม่ะต้องมามองแบบนั้นเลยไอ้ซัง พี่ๆเค้าขอร้องให้ช่วยไปตะหาก ไม่ได้อยากไปเล้ย” ผมรีบแก้ตัวทันที

“ก็ไม่ได้ว่าอาไร แต่น่าอิจฉาชะมัด ได้ไปฮันนีมูนริมทะเลชื่นมื่นกันสองคน เฮ้อ …..” มันพูดแล้วก็ทำเป็นถอนหายใจ

“มูนเมินบ้าไร ไปกันตั้งหลายคนว้อย แล้วก็ไม่ได้ไปกันสองต่อสองด้วย” ผมพูดแก้เก้อ

“ช่าย ไม่ได้ไปสองต่อสองหรอก เพราะว่ากรุจะไปเป็น กขค ด้วยไงล่ะ” ไอ้คิววิ่งพลวดเข้ามากอดรัดผมด้านหลัง

“เหี้ย เล่นไรกุเจ็บนะ สัดด” ผมด่ามัน มันก็ยังไม่ยอมปล่อย

“ซะ ซังช่วยด้วย”

“ไอ้คิว เมิงเลิกเล่นซะที การบ้านมึงยังไม่ได้ลอกวิชานี้นะ ” ซังมันพูดเสร็จก็โยนสมุดการบ้านฟิสิกไปกองไว้ที่โต๊ะ

“จ้าๆ เลิกก็เลิก” ทีเงี้ยแมร่งว่าง่ายเชียว เดินเป็นเด็กน้อยน่ารักไปที่โต๊ะเลยคับ เชื่อมันจริงๆ

ว่าแต่ เกาะพะงัน !? มันจะเป็นยังไงวะ เกิดมากรุยังไม่เคยไปเที่ยวเกาะเลย ตื่นเต้นเหมือนกันนะนี่


***************************


และแล้วหลังจากผ่านพ้นงานโรงเรียนไปได้ด้วยดี พรุ่งนี้ก็เป็นวันเดินทางไปทะเลกันแล้วครับ ตามปกติแล้วเนี่ย ผมนึกว่าป้าเล็กแม่โอ้ตเค้าจะว่าซะอีกที่จะโดดเรียนไปเที่ยว (แถมพ่วงผมไปด้วยแบบนี้) แต่คราวนี้ดูป้าแกจะอ่อนไปเยอะครับ คงเห็นว่ากลุ่มเพื่อนที่ไปนี่ก็ไม่เคยเหลวไหล ส่วนลุงสนก็ไม่ได้ว่าอะไรตามเคย ลูกจะทำอะไรไม่เคยห้ามอยู่แล้ว

“เตรียมของครบยัง ..หยั่งกับจะย้ายบ้าน” โอ้ตมันเดินเข้ามาในห้องผม พร้อมกับวิจารณ์สัมภาระของผมซะอย่างกับมันเป็นแม่อย่างงั้นแหละ

“ไปตั้งอาทิตย์นึง เตรียมไปเยอะดีกว่าน่า” ผมแย้งอายๆ

โอ้ตมันก็ขำๆแล้วก็เดินลงมานั่งช่วยผมจัดเสื้อผ้า ของโอ้ตมันเรียบร้อยตั้งนานแล้ว ม่ะจุกจิกๆเหมือนผม

“เอาไฟฉายไปด้วยนะ” โอ้ตสั่ง

“ไม่อาวอ่ะ หนัก” ผมโอดแล้วก็ทำท่าปิดกระเป๋า

“เอาไปเหอะ เผื่อฉุกเฉินไฟดับ” มันว่าแล้วก็ยัดเข้าไปให้ได้

“ยาเอาไปยัง”

“ตัวเองก็เอาไปดิ” ผมบอกมั่ง

“ตลอดล่ะ” โอ้ตมันพูดแล้วก็เข้ามาขย้ำหัวผม ชอบยุ่งกะหัวตูจังวุ้ย -_-* แล้วมันก็เดินออกไป โดยไม่ลืมทิ้งท้ายว่าให้เตรียมถุงยางไปด้วย

“ไม่เอาไปว้อย” ผมหน้าแดงตะโกนใส่มัน

“ชอบแบบสดๆอะซิ ก็ไม่บอก หึหึ” มันพูดเสร็จก็วิ่งหลบออกจากประตูบ้านไปแบบเฉียดฉิวก่อนที่หมอนจะโดนเขวี้ยงออกไปจากมือผม


***************************


ตอนเช้าวันรุ่งขึ้นเราต้องถ่อไปเรียนกันก่อนครับ เพราะว่านัดรถตู้ออกเดินทางกันตอนประมาณสองทุ่มแน่ะ -*- พี่ๆในห้องเดียวกะโอ้ตไปน้อยกว่าที่คิดครับ พอเอาเข้าจริงๆก็ติดโน่นติดนี่ พ่อแม่ไม่ให้ไปกันบ้าง สรุปแล้วก็ไปกันประมาณ 20 คนเอง

โชคดีที่ไปครั้งนี้มีพี่คนนึงในห้องมีบ้านอยู่บนเกาะคับ ก็เลยสามารถหาที่พักที่เป็นบ้านใหญ่ๆให้ได้หลังนึง แต่ต้องข้ามภูเขาไปลูกสองลูกเห็นจะได้ แต่นั่นม่ะใช่ปัญหาคับ เพราะพอถึงเวลาต้องเดินทางจริงๆแล้ว ก็เกิดปัญหา …

“เฮ้ย โจ้ รถไม่มาคันนึงอ่ะ” พี่ต่ายบ่นให้พี่โจ้ฟังถึงปัญหาแรกที่เกิดขึ้น พี่โจ้เป็นเจ้าของบ้านที่อยู่บนเกาะนั่นแหละครับ แล้วก็เป็นคนจัดการเรื่องที่พ้งที่พักให้กะพวกเราด้วย

“แล้วงี้ทำไงวะ ”

“งั้นพวกกุไม่ไปก็ได้นะ ” โอ้ตมันพูดเสียงดังสนั่น

“ไม่ต้องเลยมึงๆ ต้องไปกันทุกคนนี่แหละ … เด๋วกรุโทรสับหาแม่งก่อน” พี่โจ้บอกแล้วก็หันไปคุยโทรสับ

“เออแล้วนี่มากันครบยังวะ นึง สอง ไอ้โอ้ต ไอ้ต่าย ไอ้บลาๆๆๆ ….” ไล่ไปประมาณอีกสิบเจ็ดคน “ไอ้ปริ้น เหลือใครอีกวะ”

“ไอ้คิวกะไอ้โค้กยังไม่มาเลย”

“โค้กไปด้วยเหรอพี่ท็อป”

“เออ พี่ชวนมันเองอ่ะ มีไรเหรอ”

“เป่า”

“งั้นเด๋วผมไปตามไอ้คิวให้ก็ได้ บ้านมันอยู่แค่นี้เอง ” ผมว่าแล้วก็วางสัมภาระไว้ อ่อลืมบอกไปว่านัดเจอกันที่หน้า 7 แถวโรงเรียนอะแหละ ไม่ถึงห้านาทีผมก็มาถึงหน้าบ้านไอ้คิวแระคับ กดออดจนพ่อมันเดินออกมา

“มาหาใครครับ” พ่อมันถามแบบสุภาพมากๆผิดกับวันแรกที่ผมเจอ แม่มันก็ไม่อยู่บ้านอีกตามเคย อ่อ ลืมบอกไปคับ พ่อไอ้คิวคนนี้เป็นพ่อเลี้ยงนะ อย่างที่บอกว่าพ่อมันตายไปแล้ว

“เออ คิวคับ คือ รถจะออกแล้วอะครับ”

“มันยังอาบน้ำอยู่เลยลูก เอ้า เข้ามารอมันข้างในบ้านก่อน” พ่อไอ้คิวเปิดประตูบ้านรับแขกอย่างเป็นกันเอง ผมก็ไปนั่งรอมันบนห้อง ได้ยินเสียงมันอาบน้ำซู่ๆ

“ไอ้เหี้ย … รถจะออกแล้ว” ผมตะโกนด่ามัน

“สัด ไอ้ปริ้นเมิงกล้าด่ากรุเหรอ ไอ้สัด รอกรุก่อน” มันพูดเสร็จเสียงตักน้ำอาบดังซุ่ๆเลยคับ แฮะๆ เวลาจะเร่งคนเถื่อนก็ต้องใช้วิธีนี้

และด้วยความสันดานผม ก็นั่งรอเฉยๆก็เบื่อคับ ก็เลยเดินไปรอบห้องมันดูโน่นดูนี่ ถือวิสาสะว่าเคยมานอนบ้างแล้ว ก็ไปเปิดลิ้นชักโต๊ะมันเข้า ก็เห็นตั๋วหนังเรื่อง 303 ฯ ที่มันวางแผนคืนดีกะไอ้ซังเก็บไว้อยู่เลย ข้างๆตั๋วหนังเป็นกรอบรูปเล็กๆครับ ผมก็หยิบขึ้นมาดูเป็นรูปที่มันถ่ายคู่กะไอ้ซัง ดูแล้วน่ารักมากมาย ดูจากปกเสื้อแล้วคิดว่า ถ่ายกันตอน ม.4 ชัวว์

“เฮ้ย เมิงดูไรฟ่ะ” ไอ้คิวเดินพลวดพลาดออกมาจากห้องน้ำ

ผมก็ยกกรอบรูปมาชูให้มันดูคับ เหอๆ มันทำหน้าตกใจวิ่งเข้ามาจะคว้ากรอบรูปคืนให้ได้ แต่ผมก็ไม่ยอมคับ แกล้งมัน หุหุ

“เอาคืนมาไอ้สาดดด ไอ้เหี้ย ไอ้สันดานเอ้ย เด๋วเมิงไม่คืนกรุต่อยเมิงจริงๆนะ ” ผมแกล้งมันอยู่ซักพักก็คืนให้มันคับ น่าสงสาร (ปนสมน้ำหน้าหน่อยๆ เก็บไม่เป็นที่เป็นทาง)

“โห มึงเอาของไปแค่เนี้ย” ผมว่าพลางดูที่เป้มัน เอาไปน้อยมากๆ

“กรุไม่ได้มีทรัพศฤคารอะไรมากมายนี่หว่า”

“โห ดูมันใช้ศัพท์” แล้วก็ไปตบหัวมันนึงที

“เล่นหัวเหรอเมิง เด๋วนี้เอาใหญ่นะ เห็นกรุไม่เอาจริงเนี่ย ”

“มึงจะเอากูก็ไม่ให้เอาหรอก แสดด”

“เออ กรุรู้ว่าเมิงให้โอ้ตมันเอาคนเดียวดิ เหอๆ ติดจายของใหญ่ดิสัด” หงิ มันพูดแทงใจดำซะงั้น สงสัยไอ้ซังไปเล่าอะไรให้คิวมานฟังแน่เรย

ผมสองคนก็เดินมาถึงที่นัดกันไว้ รถตู้มาแล้วครับคันนึง แล้วก็มีพี่บางคนหายหน้าหายตาไป

“อ้าว หายไปไหนกันหมดอ่ะพี่ต่าย”

“อ่อ รถมันเบี้ยวไปคันนึงอ่ะ เลยต้องให้พวกผู้ชายไปรถไฟกัน” พี่ต่ายบอกแบบกระวนกระวาย

“อ้าว แล้วมีรถด้วยเหรอพี่ตอนนี้”

“ก็มีเที่ยว3 ทุ่มน่ะ พี่เค้าพูดพลางดูเวลา สองทุ่มสี่สิบ ”

“คงทันแหละ งั้นพวกเราก็ขึ้นรถเถอะ” พี่ต่ายว่าพลางต้อนให้พวกพี่ผู้หญิงบางคนที่ไม่ได้ไปรถไฟขึ้นรถ แต่ส่วนใหญ่ก็นะ อยากไปนั่งรถไฟคุยกันอ่ะคับ เลยเหลือนั่งรถตู้ไม่กี่คน เป็นงั้นไป

“อ้าว พี่โอ้ตไปด้วยเหรอ” ผมถามใจแป้ว

“อือ ก็เห็นมันอยากนั่งรถไฟคุยกันล่ะ ” พี่ต่ายบอกให้ผมขึ้นรถได้แล้ว โดยมีไอ้คิวหัวเราะคิกคักอยู่ด้านหลัง

“หวัดดีพี่ปริ้น” เสียงคุ้นหูอย่างสัด

“เออ” ผมทักแบบขอไปที จริงๆก็ไม่ใช่ไม่ชอบให้น้องน่ารักๆไปด้วยนะครับ แต่โอ้ตไปด้วยนี่ซิ ผมก็เลยไม่อยากตะบะแตกอ่ะ

“ดูทักแบบไร้เยื่อใยมากเลยนะ” ไอ้โค้กมันบอกผมแบบงอนๆ

“เป่าเว้ย ก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว” ผมพูดแล้วก็ปิดประตูรถดังปั๊ง

“คนเค้ามีเจ้าของแล้ว ก็เลิกยุ่งกะเค้าเห้อ” เสียงไอ้คิวพึมพำๆ พอจับใจความได้ ไอ้โค้กมันหันหน้าไปด้วยความไม่พอใจ ไอ้คิวมันก็ทำหน้ากวนตีนตอบกลับมา

โอ้ย กรุปวดหัว โอ้ตช่วยกรุด้วย

รถตู้เริ่มสตาร์ตรถแล้วก็เคลื่อนที่ออกจากตัวอำเภอเมืองประมาณเกือบ 3 ทุ่มเป็นเวลาเดียวกับทางโอ้ตที่ขบวนรถไฟมาจอดเทียบชานชรา วัยรุ่นหนุ่มสาวเกือบยี่สิบชีวิตค่อยๆทยอยกันขึ้นไปบนรถด้วยท่าทีสนุกสนาน
ขบวนรถไฟจะเดินทางถึงสถานีสุราษฯประมาณเจ็ดโมงเช้า


***************************

*

ตึก ตัก ตึก ตัก ตึก ตัก

เสียงวิ่งด้วยความรีบเร่งของใครบางคนในช่วงเวลาค่ำมืดแบบนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติเป็นแน่แท้ ฉับพลันเสียงฝีเท้าที่วิ่งมานั้นก็หยุดลง แสงสว่างของดวงจันทร์ค่อยๆเผยร่างที่ยืนรอด้วยความกระวนกระวายไม่แพ้กัน เสียงพูดคุยดังขึ้น

“จะ จะทำ ยังไงดีล่ะ แบบนี้ มีหวังแย่แน่ๆ”

“หยุดทำท่าทีเหยาะแหยะแบบนั้นซะทีน่า แล้วฟังให้ดี …” ร่างที่ยืนรออยู่กล่าวตะคอกผู้ที่พึ่งวิ่งมาพบด้วยโทสะ

“ถ้าแกไม่รีบจัดการอย่างที่บอก แกจะเป็นฝ่ายแย่ซะเอง จำไว้ !! ” ร่างนั้นกล่าวด้วยเสียงที่อาฆาตมาดร้าย จนคนที่ได้รับฟังสารถึงกับตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

“ดะ ได้ ตะ แต่ ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ชั้นไม่เกี่ยวนะ ไม่เกี่ยว …!!” ร่างที่สั่นตะกุกตะกักตอบกลับมาก่อนที่จะรีบหันหลังวิ่งกลับไปทางเดิม ทิ้งให้ใครบางคนยืนอยู่แต่เพียงผู้เดียว ร่างนั้นแสยะยิ้มด้วยความพึ่งพอใจ

สายลมพัดแรงมากขึ้นจนทำให้ต้นไม้รอบๆข้างโอนเอนไปมาดูน่ากลัว น้ำทะเลระลอกแล้วระลอกเล่าถาโถมพัดเข้าหาฝั่ง เมฆที่ตั้งเค้าดำทะมึนค่อยๆโอบล้อมแสงจันทร์เมื่อครู่นี้จนดูเหมือนเกาะทั้งเกาะจมหายไปกับความมืด
.
.
.
.
.

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #36 เมื่อ23-10-2006 05:22:42 »

การเดินทางในรถตู้แคบๆ ตลอดระยะเวลาเกือบ 8 ชั่วโมง ก็ไม่ได้มีอะไรเลวร้ายสำหรับผมเท่าไรหรอกครับ เพราะว่า พี่ๆส่วนมากรวมทั้งไอ้โอ้ต T-T ก็ไปทางรถไฟกันซะ ในรถก็เหลือแต่พี่โจ้ เจ้าของบ้าน พี่ต่าย หัวหน้าทริป คิว โค้ก ผมแล้วก็ พี่ๆผู้หญิงที่เหลืออีก 5 คนเท่านั้น ก็นั่งกันค่อนข้างสบายคับ เสียงพี่ๆคุยกันโขมงโฉงเฉง ตามประสาผู้หญิงยิงเรือคับ

ไอ้พวกผู้ชายอย่างผมสามคนก็นั่งแถวหน้า ก็นอนๆฟังๆกันไป เพลินดีเหมือนกัน น่าสงสารแต่พี่โจ้คับ นั่งอยู่กับคนขับเงียบเชียว

“พี่โจ้คับ … พะงันนี่อีกไกลเป่าพี่” ผมหาเรื่องคุยกะพี่แก เพราะว่าตามปกติ ผมกะพี่เค้าก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไร

“ไม่ไกลเลยน้อง ก็เนี่ย ขับรถไปทางเพชรเกษมเรื่อยๆใช่ม่ะ แล้วพอถึงชะอำ ก็ตัดไปทางสายใหม่”

“อ้าวงี้ก็ไม่ผ่านทางหัวหินดิพี่ ” ไอ้โค้กแหลมมาคุยบ้าง

“ไม่ผ่านคับ เส้นเก่าส่วนใหญ่กลางคืนไม่ค่อยมีคนผ่านน่ะ มันเปลี่ยว ไม่มีไฟ แล้วก็โจรเยอะด้วย”

“สมัยนี้ยังมีโจรอีกเหรอ ” ผมพูดด้วยความงง

“มีดิ บางพวก รถวิ่งๆมาเงี้ย เอาก้อนหินขว้างใส่ รถคว่ำก็มี ตายก็เยอะ”

“โห น่ากัว” ผมพูดพลางกลืนน้ำลาย

“ทำขวัญอ่อนนะไอ้ปริ้น” ไอ้คิวสะแหลนหาช่องกัดผม ทั้งๆที่เงียบมาตั้งนาน

“เสือก !! ”

“แล้ว .. ก็ขับไปเรื่อยล่ะ ผ่านประจวบฯ แล้วก็ชุมพร ก็ถึงสุราษฯแล้ว” พี่โจ้อธิบายเหมือนจะใกล้กันเลยทีเดียว

“อ่าๆ ” ผมว่า แล้วก็ปล่อยให้โค้กมันคุยกะพี่โจ้เรื่องโน้นเรื่องนี้ต่อ ไม่พ้นเรื่องกีฬาสีที่พึ่งผ่านมาล่ะคับ ส่วนไอ้คิวไม่มีเมียมาด้วย ก็แกล่วคับ เลยนอนนิ่งๆซะงั้น เสียงคุยของพี่ๆข้างหลังยังไม่หยุดได้ง่ายๆ เมื่อรถเลยผ่านประจวบ เสียงก็ค่อยๆเงียบลง ผมมองดูเวลา ห่ะ เที่ยงคืนกว่าแล้วนี่หว่า งืมๆ …

ติ๊ด ตี๊ด ตี๊ด ติ๊ด ..

ผมกดเบอร์โทรสับสี่ตัว

“สวัสดีคะ แพคลิงค์ บลาๆๆๆๆๆ”

“เออ เบอร์ 5101xx คับ”

“ขอทราบข้อความคะ”

“หลับยัง…. อยู่บนรถไฟเมื่อยป่าว อยู่นี่โคตรเหงาเลย พวกพี่ต่ายคุยไรกันไม่แบ่งปันเลย คิดถึงน้า ถ้ายังไม่หลับ ก็ขอให้หลับฝันดีนะ จาก ปริ้นคับ”

ผมพยายามฝากข้อความให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่อยากให้ไอ้คิวได้ยินคับ ไม่งั้นมันเอาไปคุยสามวันเจ็ดวันไม่เลิก เสียดายที่โอ้ตมันไม่มีมือถือ เลยไม่รู้ว่าจะคุยกะมันทางไหนเลยได้แต่ส่งข้อความไปทางเพจ บนรถไฟไม่มีโทรสับนี่หว่า งิงิ

หงึก หงึก หงึก

ผมรู้สึกตัวอีกที ก็ตอนที่หัวโค้กมันมาพิงที่ไหล่แล้ว ผมหันไปกะจะดันหัวมันพิงกับพนักดีๆ ก็ตกใจนิดหน่อยครับ เพราะว่าได้กลิ่นอะไรแปลกๆ

“สัด ใครตดในรถฟร่ะ เลวแม่ง - -* ”

ต้นตอกลิ่นมาจากใครซักคนด้านหลังแน่นอน แมร่ง ผู้หญิงนี่ตดเหม็นเหมือนกันนี่หว่า เซงเรย ภาพพวกพี่ๆที่น่ารักของกรุติดลบไปอย่างมาก

“อือ …” เสียงครางข้างๆหูผม ทำให้รู้ว่าเป็นเสียงไอ้โค้ก ผมค่อยๆเอามือดันที่หัวมันเบาๆเพราะกลัวมันตื่น แต่สัมผัสที่ได้กลับไม่อยากจะดันกลับไปแล้วล่ะซิ มือที่พยายามดัน กลับกลายเป็นลูบผมมันแทนซะงั้น ทำให้ผมคิดถึงภาพตอนที่โอ้ตมันชอบมาเล่นที่หัวผม มันเพลินแบบนี้นี่เอง ผมโค้กมันนิ่มจังเลยวะ ขนาดสั้นๆแบบนี้ ดูเหมือนโค้กมันรู้สึกตัวหน่อยๆ เลยเอามือของมันมาจับมือผมให้ออกไปจากหัว ผมก็เอามือลงตามมัน แต่มือผมยกออกมาแล้ว มือมันก็ไม่ยอมปล่อยคับ เอาไงดีวะ

ระหว่างที่กะลังคิดอยู่ พี่โจ้ก็หันมาเห็นผมตื่นอยู่พอดี ดีนะที่มันมืดพี่เค้าเลยไม่เห็นว่าโค้กมันกุมมือผมไว้อยู่

“อ้าว นอนไม่หลับเหรอปริ้น” พี่เค้ายิ้มให้ทีนึง แล้วก็หาวทีนึง

“งีบไปงีบนึงแล้วพี่ ถึงไหนแล้วเนี่ย” ผมมองไปรอบๆ ชักเริ่มเห็นสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างจากที่เห็น แม้ว่าจะมืดๆอยู่ก็เหอะ

“แถวๆพุนพินแล้วล่ะ” พี่โจ้บอก

“เดี๋ยวแวะปั้มแป็บนะ ยืดเส้นยืดสาย” คนขับรถบอก พลางทำปากหาวหวอด อ้าว เวนแล้วดิ

แวะปั้มได้ ผมก็ได้ทีเอามือออกจากการเกาะแกะของไอ้โค้กมันเลย ไม่รู้ว่ามันคิดว่าเป็นมือแฟนมันป่าววะ โค้กมันตื่นมาทำหน้างงๆ บวมๆ ไม่ต่างอาไรจากหน้าไอ้คิวคับ

“ถึงไหนแล้วเนี่ย ” ไอ้คิวบ่น ว่าเมื่อยตูด แล้วก็รีบวิ่งไปฉี่ทันที สงสัยมันอั้นนานจัด

“ไม่ไปห้องน้ำเรอะ” ผมถามไอ้โค้ก

มันสั่นหน้า แล้วก็งอตัวด้วยความหนาว มันไม่ได้ใส่เสื้อกันหนาวมาด้วยคับ เหอๆ ใกล้ทะเลแบบนี้ แถมยังอยู่ในช่วงปลายธันวาขนาดนี้ แถมยังพึ่ง ตีสี่ตีห้า หนาวโคดแหละ

“โห่ โห่ะ” มันเอามือป้องปาก แล้วก็พ่นความร้อนออกมาใส่ที่มือ แล้วก็บ่น

“อยู่ในรถไม่เห็นหนาวขนาดนี้เลยนี่หว่า ”

“เต้นดิ ให้ร่างกายมันร้อน เด๋วก็หายหนาว ” ผมพูดติดตลก แล้วก็คิดได้ว่า บนรถไฟชั้น 3 คงหนาวกว่านี้แน่นอน สงสารไอ้โอ้ตหว่ะ

“ทำงี้ไง เด๋วก็หายหนาว” โค้กมันพูดจบ ก็เข้ากอดผมด้านหลัง

“เฮ้ย ไอ้เน่” ผมไม่ได้ว่าไรมันมากคับ เพราะว่าไม่ได้คิดอะไรมากมาย มันกอดก็อุ่นดีคับ หุหุ

“เฮ้ยๆ นั่นเล่นไรกันหน่ะ เด๋วกรุจาฟ้อง กรุจาฟ้อง ” ไอ้คิวยื่นปากมาอีกแระหลังจากฉี่เสร็จ

“หุบปากปายเรยไอ้คิว” ผมด่ามันให้ทีนึง มันก็ทำหน้าเป็น แล้วมันก็กระโดดเข้ามากอดผมด้านหน้า

“เฮ้ย สัด ปล่อยย อึดอัด ” คราวนี้ข้างหน้าก็มีไอ้คิว ข้างหลังโค้กมันก็ยังยืนกอดอยู่ กลายเป็นแซนวิชเลยผม

“นั่นๆ เล่นไรกันลามกไอ้พวกนี้ ขึ้นรถได้แล้ว” พี่ต่ายเป็นแม่พระมาแยกให้ไอ้สองตัวนี่ ออกจากร่างกายผมได้ซะที เฮ้อ เกือบเสียความบริสุดแล้วม่ะล่ะกุ


***************************


ตาคนขับรถมาส่งเราที่สถานีรถไฟสุราษฯครับ ตอนแรกผมก็งงว่าทำไมไม่ไปท่าเรือวะ คือ ต้องมารอรถไฟพวกโอ้ตที่จะมาถึงช่วง 7 โมงก่อนอ่ะคับ แล้วค่อยไปพร้อมๆกัน ตอนนี้เราผู้ชายสี่คน พี่โจ้ คิวโค้ก ผม ก็เกาะกันติดหนึบคับ เพราะว่า นอกนั้นพวกผู้หญิงล้วนๆ จริๆก็ไม่ได้แยกไรกันมากคับ แต่คุยกันสี่คนนี่แล้วมันไหลลื่นกว่า อีกอย่างพี่โจ้เป็นคนไม่ค่อยพูดมากคับ เลยไม่ค่อยอยากไปหารือไรกะพวกผู้หญิงมากเท่าไร

“เฮ้ย เล่นบอลกัน โค้ก” ไอ้คิวมันมาญาติดีกะโค้กตั้งแต่ม่ะไรฟร่ะ มันชวนเสร็จ ก็หยิบลูกบอลออกมากจาเป้มันคับ โห มันสามารถ !!

แล้วมันก็เขี่ยบอลเล่นกันหน้าสถานีรถไฟกะไอ้โค้ก แบบไม่เกรงกลัวว่ารถจะมาเฉี่ยวชนมันเลยอ่ะ โชคดีมันพึ่งหกโมงเช้า

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด

“ป้าเล็กคับ ผมถึงสุราษฯแล้วนะคับ คับๆ เด๋วรอขึ้นเรือเฟอรี่อ่ะคับ” ผมพูดไม่หมดครับ ไม่ได้บอกป้าว่า จริงๆแล้วไม่ได้บอกเรื่องที่โอ้ตมันแยกขึ้นรถไฟมาต่างหาก

คลื่น คลื่นนนนนนน

พึ่งรุ่งสางแท้ๆ แต่ผมมองท้องฟ้ากลับมีเค้าลางเมฆฝนที่ค่อยๆตั้งเค้ามา นี่มันหน้าหนาวนะมึง ทำไมฝนจะตกได้ล่ะเนี่ย (ลืมไปว่ามันคือภาคใต้คับ)

ระหว่างรอ ก็นั่งกินข้าวต้มตอนเช้ากันคับ อากาศถ้าไม่ติดว่า เหมือนฝนจะตก ดีมากเลยล่ะ ตอนเช้าแบบนี้ ได้กินข้าวต้ม รู้สึกกระปลี้กระเปล่าขึ้นมาทันที รอไม่กี่อึดใจ (สองชั่วโมง) รถไฟก็เล่นมาเทียบชานชลาสุราษฯคับ เด็กหนุ่มประมาณเกือบ 10 คนรีบกุลีกุจอวิ่งออกมาทางหน้าสถานี

“เร็วๆเข้าพวกเมิงอ่ะ ”เสียงพี่โจ้เรียกพวกโอ้ต เราต้องทำเวลานิดหน่อย เนื่องจากเรือเฟอรี่ จะมีเวลาออกครับ ช่วงเช้า 8 โมง กะช่วงบ่าย แค่นั้น เราต้องให้ทันรอบเช้าให้ได้ เห็นสภาพโอ้ตแล้ว ม่ะได้นอนทั้งคืนแน่

“ทำไรอยู่ไม่ได้นอนเนี่ย” ผมถามพลางเอามือไปปัดปอยผมที่มาปกหน้ามันออก

โอ้ตมันยิ้มเป็นเชิงอายๆ

“เล่นไพ่ !! ”

หลังจากครบทีมแล้ว ทริปเรามีสิบเก้าคนคับ หญิง 5 คน อีก 14 คนที่เหลือไม่ระบุเพศว่าเป็นชายหรือเกย์กี่คน หุหุ
ก็เหมารถเมล์ที่เป็นแบบรถสองแถวอ่ะคับ แต่ขนาดปิ๊กอัพธรรมดา โหนกันไป ให้รีบไปส่งที่ท่าเรือโดนด่วน ขาไปนี่แหละ รถขับแบบซิ่งมากมาย จนเกือบตายกันยกล็อต สุดท้ายก็มาถึงท่าเรือแบบเฉียดฉิวคับ

“เรามาไม่ทันเรือหว่ะ ออกไปโน่นแล้วววว ” พี่ต่ายบอกด้วยเสียงหดหู่ นั่นหมายถึงเราไม่ทันเรือเที่ยวนี้ ต้องรอจนกว่าจะบ่ายโมงเลยครับ

“เฮ้ย ไม่เป็นไรต่าย เข้าไปนั่งหาไรกินกันก่อนล่ะกัน” โอ้ตบอก แล้วพลพรรคจากเมืองเพชร ก็ค่อยๆเดินแยกย้ายกันไปนั่งตามสะดวก แถบๆนี้เดินไปหน่อยก็เป็นร้านขายอาหาร ขายพวกของฝาก แต่พึ่งจะเช้า ก็เลยยังเปิดไม่ครบทุกร้าน

“นี่ๆ มาคุยแผนกันก่อนว่าจะไปไหนมาไหนกันบ้าง ” พี่ต่ายหัวหน้าทริปเรียกประชุม เพื่อกันความผิดพลาดขึ้นมาอีก

“ปริ้น คิว โค้ก มาช่วยพี่เลื่อนกระเป๋าไอ้พวกนี้หน่อย” พี่โจ้สะกิดเรียกให้เราสามคนที่เป็นน้องๆ แบกสัมภาระของพวกพี่ๆทั้งหลายเปลี่ยนที่มาวางไว้ตรงมุมอีกด้านนึงของเรือ เพราะตอนแรกวางได้แบบเกะกะมาก

“ตกลงให้มาเนี่ย มาเป็นเบ๊เหรอเฮีย” ไอ้คิวบ่นใส่พี่โจ้

“เออดิ พึ่งรู้เรอะ ” พี่โจ้ยักคิ้วกวนๆให้คิวมันทีนึง ไอ้คิวถึงกะหน้าหงิกตามสไตย์

“ไอ้โจ้ ไอ้โจ้เปล่าวะนั่น” สำเนียงแปลกๆแบบคอทองแดงดังขึ้นเรียกพี่โจ้ ผมเงยหน้าขึ้นมาหลังจากทิ้งเป้ไอ้โอ้ตไว้กับพื้น

“อ้าว เฮ้ย พี่สิด” พี่โจ้ทักผู้ชายท่าทางทะมัดทะแมงคนนึง ดูภายนอกก็พอจะเดาได้ว่าเป็นชาวเรือแน่นอน

“ลมไรพัดมาถึงนี่วะ” คนที่พี่โจ้เรียกชื่อว่าพี่สิด ทักทายด้วยความสนิทสนม

“พาเพื่อนมาเที่ยวเคาดาวปีใหม่น่ะพี่ แล้ววันนี้ขึ้นมาหาแสงสีเหรอพี่” พี่โจ้พูดติดตลก

“มาหาแสงสีป๊ะมึงดิ ถ้าจะเที่ยว สมุยมีออกเกลื่อน เอาปลามาส่งวุ้ย” พี่สิดพูดแล้วก็ชี้มือไปทางผู้ชายอีกสองคนที่กะลังขะมักเขม้น ยกลังใส่ปลาขึ้นรถกระบะ

“เอ้า นั่นพี่ม่อน กะ ไอ้สิงห์ป่าววะ” พี่โจ้ถามพลางเพ่งมองเพื่อดูว่าใช่คนที่ตัวเองรู้จักเหรอไม่

“เออ กุให้มาช่วยน่ะ ”

“ห่ะ อย่างพี่สิด เดี๋ยวนี้ต้องให้คนมาช่วยแล้วเหรอ แก่แล้วนะเนี่ย” พี่โจ้พูดเหน็บพลางหัวเราะ ซักพักคนที่พี่สิดเรียกว่าม่อน กับ สิงห์ ก็เดินมาสบทบ

คนสองคนนี่ ดูแล้วแตกต่างจากพี่สิดค่อนข้างมากพอสมควร แต่ดูแล้วก็ยังดูเป็นพวกที่ผ่านการอยู่บนเรือมาก่อน พี่ม่อนออกจะพวกขี้เก๊กหน่อยๆ ส่วนสิงห์นี่ตัวเตี้ยๆ ดูไม่ค่อยพูดค่อยจา แตกต่างจากพี่สิดที่เป็นคนพูดอะไรโผงผางชอบกล

ผมฟังบทสนทนาของทั้งสี่คนนั่นไปพลาง แล้วก็ยกสัมภาระไปพลาง จนหมด เห็นหน้าไอ้โค้กไอ้คิวหอบแฮ่กเลย แล้วก็พากันไปหาน้ำมะพร้าวมากินกันแก้เหนื่อย ซักพักพี่โจ้ก็เดินมานั่งสมทบกะพวกผม

“เพื่อนพี่เหรอนั่นอ่ะ” โค้กมันแซงคิวถามก่อนผม

“อือ คนรู้จักบนเกาะล่ะ บ้านอยู่ใกล้ๆกัน คนตัวหนาๆหน่อยชื่อพี่สิด สูงๆขาวๆนั่นพี่ม่อน ส่วนไอ้ตัวเล็กๆนั่นชื่อสิงห์ อายุเท่าๆพี่แหละ ” พูดไม่ทันขาดคำ ทั้ง 3 คนนั่นก็เดินมานั่งคุยที่โต๊ะผม

ยอมรับจริงๆคับว่า คนใต้พูดเสียงดังกันมากๆเลย แต่ก็ดูสนุกสนานเป็นกันเองดีอ่ะคับ

“แล้วนี่พี่ขึ้นเฟอรี่เที่ยวเดียวกับพวกผมเลยเปล่า หรือว่าจะกลับพรุ่งนี้ล่ะ ”

“ส่งของเสร็จวันนี้ก็กลับวันนี้ซิน้อง” เสียงพี่ม่อนบอกแบบไม่สบอารมณ์ยังไงบอกไม่ถูก พี่โจ้นั่งเงียบไปเลย

“เฮ้ย น้องมันก็ถามดีๆ มึงกินรังแตนมาจากไหนวะ ไอ้นี่” พี่สิดว๊ากใส่พี่ม่อน จนพี่แกลุกพลวดอย่างไม่พอใจ เดินหายไป

“สงสัยไอ้พี่ม่อนมันเซ็งเรื่องที่บ้านน่ะ” คนที่ชื่อสิงห์บอก

“หมู่นี้ที่บ้านมันเป็นห่าไรก็ไม่รู้ ทะเลาะกันทุกวี่ทุกวัน” พูดจบ ก็สั่งเบียร์มาแต่หัววันเลยคับ

“ชวนเพื่อนกินดิโจ้” สิงห์เอ่ยปากชวนพี่โจ้ก่อนที่จะหันมาทางพวกผมสามคน

“อย่ามาชวนน้องกรุเสียคน มึงกินไปเหอะ” พี่โจ้พูดแบบเสียไม่ได้ สิงห์ส่งแก้วนึงให้พี่สิด แล้วก็ยกแก้วตัวเองซด แล้วก็ทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงพี่โจ้ ด้วยการรินเบียร์เต็มแก้ว แล้วก็ยื่นมาให้ผม

“เอ้า ไอ้ตี๋ กินกะพี่แก้วนึงม่ะ” มันพูดแล้วก็ทำตาแบบโลมเลียไงบอกไม่ถูกคับ อย่างไอ้คิวผมว่าเถื่อนแต่ก็เถื่อนแบบมีสกุล แต่กะไอ้พี่สิงห์นี่แล้ว ผมบอกได้คำเดียวว่า กลัวไงม่ะรู้

“ไอ้สิงห์ ” พี่โจ้ขึ้นเสียงคับ แต่ดูเหมือนมันก็ยังไม่สนใจเหมือนเดิม พยายามยัดเยียดแก้วใบนั้นให้กะผมจนได้

“มีไรวะ” ผมหันขวับไป เห็นโอ้ตมันเดินมาถึงโต๊ะผมแล้ว สงสัยมันเห็นทะแม่งๆแล้วมั้ง

“ก็ … ไม่มีราย” สิงห์มันบอก แล้วก็มองหน้าโอ้ตแบบหาเรื่อง “แค่ชวนกินเบียร์แก้วสองแก้ว”

“ขอโทดทีคับ แต่น้องผมไม่แดกเบียร์นะคับ”

ไอ้สิงห์มันไม่พอใจลุกพลาดขึ้นมาเลยคับ พร้อมๆกับพี่สิดก็ลุกขึ้นมาจับแขนเอาไว้

“เฮ้ยๆๆๆ พอๆเลยมึง กินเบียร์ไปแก้ว อย่ามากุ้ย .. ขอโทดแทนไอ้นี่มันด้วยนะคับ” พูดเสร็จ พี่สิดก็รีบพาให้ไอ้สิงห์มันไปนั่งอยู่อีกโต๊ะนึง

นี่มานอาไรกันเนี่ย เกือบมีเรื่องแล้วไม่เนี่ย ตกใจหมดเรยกรุ

เรารอกันด้วยความเบื่อหน่ายจนถึงเวลาเกือบบ่ายโมง ก็เห็นเรือมาเทียบกับที่จอด ก็ค่อยๆทยอยกันขึ้นคับ

“เสน่ห์แรงนะเมิงเนี่ย ปริ้น” คิวมันพูดด้วยเสียงไม่ค่อยจะหนุกเท่าไร

“สัด อย่างมาทำให้กรุหลอน เหี้ยเกือบมีเรื่องแล้วม่ะเนี่ย”

“แต่พระเอกแมร่งมาช่วยก่อน” มันยังพูดไม่จบคับ แหม ทีตอนเพื่อนเกือบมีเรื่องเนี่ย นั่งเป็นลูกแมวเลยนะเมิง

ผมได้ทีก็กัดมันบ้างคับ มันก็หน้าจ๋อยไปเลย เหอๆ จริงๆก็รู้คับว่ามันก็อยากช่วย แต่มันก็ยังเด็กกว่าไอ้พวกนั้นพอสมควร ขืนมาช่วยผมมีแต่แพ้กะแพ้


ให้ตายเหอะ เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ผมยังไม่เคยนั่งเรือแบบนี้เลย ตอนแรกก็ตื่นเต้นคับ แต่ระยะเวลาผ่านไปซักพัก ความเบื่อหน่ายก็จะเริ่มเข้ามาแทนที่ เฟอรี่ก็เหมือนกะตึกลอยน้ำอ่ะคับ ไม่ค่อยมีไรเท่าไร นั่งไปนานๆก็เบื่อ
ประมาณพักใหญ่ๆ เป็นชั่วโมงๆเลยล่ะ ก็มาถึงสมุยคับ พวกผม 3 คน ก็เดินลงกันมาก่อนพวกโอ้ต เพราะมันยังคุยไรกันม่ะรู้น่าเบื่อ ไม่สนใจแฟนมั่งเรย ไอ้นี่ - -* กะว่าจะรีบเดินไปหาซื้อพวกโปสการ์ดที่ร้านใกล้ๆท่าเรือ ก่อนจะไปพะงัน เดินมาด้านล่างที่เป็นที่จอดรถก็ก็เห็นพวกพี่สิด กำลังจัดข้าวของโน่นนี่อยู่ที่รถ คือ เฟอรี่ข้างใต้จะบรรจุรถข้ามฟากได้อ่ะคับ ชั้นบนจะให้คนอยู่ แล้วมันก็เป็นทางที่ต้องเดินผ่านด้วยดิ

ผมหน้าเสียนิดนึง

“เอ้า ว่าไงเรา ”พี่สิดทักทาย จะลงไปซื้อของเหรอ

“คับพี่” ผมพูดแล้วก็ทำท่างอึดอัดนิดหน่อย เพราะกัวเจอไอ้สิงห์

“ฮ่ะฮ่ะ ไม่ต้องกลัว ไอ้สิงห์มันกินเบียร์อยู่บนโน่น ไม่ไหว กินมากแล้วเหม็นเหล้าชิบ เฮ้ย ! ไอ้ม่อน มึงไขกระจกหลังให้หน่อยดิ๊”

“เฮ้ย …. พี่สิด” ตะโกนเรียกพี่ม่อนจากด้านท้ายกระบะ

“สงสัยหลับอยู่อ่ะคับ ”ไอ้โค้กบอกหลังจากที่ไปมองผ่านเข้าไปทางกระจกหลังที่เปิดอยู่

“เอ้า ไอ้นี่เสือกหลับอีกแล้ว แมร่งขี้เซาชิบหาย” พี่สิดพูดพลางส่ายหัว แล้วก็กระโดดลงจากกระบะ ยื่นหัวเข้าไปด่าพี่ม่อน ด้วยคำหยาบคายที่ฟังไม่ค่อยออก

พวกผมสามคนมองหน้ากัน แล้วก็คิดว่าควรที่จะไปได้แล้วล่ะ กรุกัว เหอๆ

“เมิงจะซื้อไรมั่งวะ ปริ้น”

“คงพวกโปสการ์ดมั้ง แต่แม่งแพงชิบเรย”

“เออวะ” คิวมันพูดเสร็จก็หยิบกระเป๋าตังค์ขึ้นมาเปิดกว้าง

“จาซื้อไปให้ใครเหรอวะ” ไอ้ซังมันคงดีใจเนอะ แฟนคิดถึงขนาดนี้ ผมพูดแซว

“ชั่งกุ ไอ้คิวมันทำหน้าเขินๆ แล้วหายหัวไปเลือกของอีกนิดหน่อย

“แพงหว่ะพี่ปริ้น ขอยืมตังค์หน่อยดิ”

“อย่ามาทำเนียนเมิง … ”

“เอ้า ก็พี่ปริ้นไม่ต้องซื้อฝากใครนิ” มันพูดไปก็ทำเป็นเลือกซื้อของไป

“ไมวะ” ผมหันไปถาม

“เอ้า ก็แฟนมาด้วยกัน แล้วจะซื้อไปให้ใครอีกล่ะพี่ ”มันพูดเสร็จก็หันมามองผมด้วยสายตาจับผิด

“อุ๊ก ”

“ฟงแฟนไรวะ ไม่มี๊” ผมรีบแก้ตัวพัลวัน แปลกหว่ะ ทำไมแทนที่ผมจะยอมรับไปว่า ผมคบกะโอ้ตอยู่ แต่อีกใจก็ยังไม่อยากให้โค้กมันคิดว่าผมเป็นเกย์อ่ะ มันคิดยังไงก็ผมก็ไม่รู้ด้วย

ปู้นนนนนนนนนนนนน ปู้นนนนนนน

เสียงหวูดของเฟอรี่ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าเรือใกล้จะออกแล้ว ทำให้ต้องเร่งซื้อกันหน่อยล่ะ จริงๆมีพวกพวงกุญแจปะการัง แล้วก็หอยสวยๆอีกเยอะแยะเลย แต่ผมไม่ค่อยอยากซื้อแหะ มันเหมือนทำลายธรรมชาติไงม่ะรุ ไม่ได้เงินกรุหรอก หุหุ

หลังจากซื้อของเสร็จ ไอ้คิวดันอยากแดกไส้กรอกขึ้นมา ก็เลยต้องรอมันซื้อก่อน แล้วก็รีบวิ่งกันขึ้นมาบนเรือได้ทันท่วงที

“เอ้า ไปไหนกันหมดวะ” ผมพูดขึ้นมา ระหว่างที่เดินมาถึงบริเวณที่พวกโอ้ตมันน่าจะอยู่กัน ตอนนี้ผู้โดยสารบางส่วน หรือเรียกว่าส่วนใหญ่แทบจะลงไปสมุยกันหมดคับ ดูวังเวงชอบกล

“เจอป่ะ โค้ก” ผมหันไปหาไอ้โค้กซึ่งก็ส่ายหน้า

“คิว” คิวมันเดินมาบอกว่าหาไม่เจอเหมือนกัน เอ้า ไงล่ะนี่

“เวนกรำ ทำไมมาอยู่บนนี้กันล่ะเนี่ย !! ” เสียงพี่โจ้พูดอย่างตกใจเมื่อเห็นผมสามคน

“เอ้า ทำไมอ่ะพี่ ก็…”

“ไม่รู้เหรอว่าพวกต่ายมันลงไปค้างสมุยคืนนึงอ่ะ แล้วพรุ่งนี้ถึงจะขึ้นเรือมาพะงัน”

“ห่ะ ทำไมผมไม่รู้ล่ะ” ผมถามด้วยความตกใจ นี่กรุคลาดกันอีกแล้วเหรอเนี่ย

“ก็เค้าคุยกันตอนที่กินข้าวอยู่อ่ะ โอ้ตมันไม่ได้บอกปริ้นเหรอ”

“ไม่ได้บอกกกกก” ผมพูดหน้าเสีย

“เออ ไม่เป็นไร งั้นถือว่าพวกเรามากันก่อนล่ะกัน ดีเหมือนกันจะได้ช่วยพี่เตรียมบ้านช่อง ปัดกวาดเช็ดถู” พี่โจ้ยิ้ม กริ่ม

“โห อีกแระ” ผม ไอ้โค้ก ไอ้คิว พูดกันแบบผสานเสียง

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #37 เมื่อ23-10-2006 05:23:10 »

ไอ้โอ้ตนะไอ้โอ้ต ด้วยความที่มันคิดว่าพวกผมรู้จากพี่โจ้แล้ว ว่าจะค้างกันที่สมุยคืนนึงก่อน ก็เลยไม่ได้บอกผม ประกอบกับที่ผมเดินกันลงมาก่อน ก็นึกว่าจะไปรอกันที่ท่าเรือสมุย พอเรือออกเท่านั้นแหละ ไม่เห็นพวกผม มันก็เลยโทรเข้ามาหา ซึ่งแน่นอน ไม่สายไปซะแระ ตอนนี้ผมเกือบจะถึงเกาะพะงันกันแล้วด้วยซ้ำ

ฮ่วย !!

“ไม่เป็นไรหรอกโอ้ต ปริ้นไม่สำคัญอยู่แล้ว” ผมพูดประชดใส่หูโทรสับ

“เฮ้ย โอ้ตขอโทษ”

“ไม่รุ” ผมพูดเสร็จ ก็วางหูไปด้วยความฉุน

“พี่ปริ้น ถึงเกาะแล้ววว” สิ้นเสียงไอ้โค้ก เกาะพะงันที่เห็นรางๆมะกี้นี้ ก็ชัดเจนแจ่มแจ้งมากขึ้น แม้ว่า จะเป็นช่วงเกือบค่ำแล้วก็ตาม แต่น้ำทะเลงี้ แบบเขียวมรกตมากๆเลยครับ

“แล้วนี่จะไปบ้านกันเลยเหรอเปล่า” พี่สิด ขับรถลงมาจากเรือ ยื่นหน้ามาถามพวกผม

“คับ เด๋วว่าจะโทรไปบอกให้พ่อมารับนะคับ” พี่โจ้บอก

“เฮ้ย งั้นเดี๋ยวไปกับพวกพี่ก็ได้โจ้ แต่นั่งกระบะหลังนะ ไหวเปล่า” พี่สิดว่าพลาง เดินลงจากรถ แล้วก็หยิบกระเป๋าผ้า ถุงไส้ปลา บลาๆ ไปใส่ไว้หน้ารถ

“ขอบคุณคับ” พี่โจ้ยิ้มหน้าบาน ส่วนผมเหรอ เหอะๆ ไม่อยากพูดอ่ะ ยิ่งเมื่อเห็นไอ้สิงห์เดินเข้ามาคุยกะพี่สิด หน้ามันผมก็แทบไม่อยากมองอ่ะ

“พี่ม่อนมันหายหัวไปไหนมันวะ” สิงห์มันบ่น

“สงสัยแมร่ง นั่งรถกลับไปเองแล้วมั่ง ไอ้ขี้เกียจนั่น”

“เออ ไรวะ งั้นเด๋วชั้นติดรถพี่ไปด้วยนะ ขี้เกียจนั่งรถกลับเอง” พูดเสร็จ มันก็หันมามองทางผมสายตาแปลกๆ แล้วก็กระโดดขึ้นกระบะหลังไป

“เมิงจะไปนั่งหน้าเป่า ปริ้น” ไอ้คิวถามผมแบบเป็นห่วง(นานๆที)

“ไม่เป็นไร ให้พี่โจ้นั่งแล้วกัน” ผมพูดแล้วก็เดินขึ้นไปพร้อมกะไอ้โค้ก แล้วก็ไอ้คิว

คลื่นนนนนนนน คลื่นนนนนนนนนนนนนนนน เสียงฟ้าคำราม เหมือนฝนจะตก ไม่น่าเชื่อว่า ม่ะกี้ ตอนอยู่บนเรือ แทบจะไม่เห็นเมฆฝนบนเกาะ เมฆดำดูลอยต่ำลงมาจนเหมือนกับจะปิดบังเกาะให้ดูทะมึน พี่สิดขับรถวนซ้ายวนขวาตามแนวของสันเขา เนื่องจากบ้านของพี่โจ้อยู่อีกด้านนึงของเกาะ ทำให้ต้องข้ามเขาไปพอสมควร

พี่สิดขับรถมาส่งถึงหน้าบ้านพี่โจ้ ฝนเม็ดแรก ก็หยดมาลงจมูกผมพอดี หลังจากที่ขอบอกขอบใจกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็รีบวิ่งแจ้นกันเข้าที่พักทันที บ้านที่พวกเราจะพักกันเป็นบ้านที่ไม่ได้มีคนอยู่คับ พอดีว่าที่บ้านของพี่โจ้ เตรียมจะสร้างไว้ให้คนอื่นเช่าต่อ แต่ตอนนี้ว่าง ก็เป็นโอกาสของพวกเราซะเลย

“พวกพี่สิด นี่อยู่แถวนี้กันเป่า” ผมหันไปถามพี่โจ้

“อือ ก็ถัดไปอีกหลังสองหลังนี่แหละ พี่ม่อน ไอ้สิงห์ก็ด้วย ระแวกนี้แหละ”

“อ่อ …”


“หวาดดีค่า พี่โจ้” เสียงใสของผู้หญิงคนนึงดังกังวาน ไม่ใช่ใคร น้องสาวพี่โจ้คับ ชื่อ จ๋า น่ารักแล้วก็สวยแบบคมๆ แบบคนใต้แหละ คงเรียนอยู่ม ต้น

“หวัดดีคะ หวัดดีคะ หวัดดีคะ” จ๋าทักทายพวกเราเสร็จ ก็ชวนให้ไปกินข้าวที่บ้านของพี่โจ้ พอพวกผมเดินเข้ามาที่บ้านพี่โจ้ ก็เห็นคุณพ่อ คุณแม่ แล้วที่ตกใจก็เห็นพี่สิด ไอ้สิงห์ แล้วก็ใครไม่รู้อีกสองสามคนมานั่งล้อมวงกันเตรียมกินข้าวกันแล้ว

“รบกวนบ้านพี่โจ้แย่เรย” ผมบอก เพราะตามแผนคือ เรากะจะหาซื้อไรมาทำกันกินเอง ไม่ได้มารบกวนแบบนี้

เมนูแรกที่มาบนเกาะนี้คือ ปลาหมึกครับ ทุกอย่างคือหมึกแทบทั้งนั้น เนื่องจากแถวนี้ ตกหมึกได้เยอะคับ จริงๆปลาก็มีแหละ แต่ส่วนใหญ่เก็บไว้ขาย

“พี่โจ้ รู้ป่าว พี่มุกที่อยู่ข้างบ้านอ่ะ ตายแล้วนะ ” จ๋าพูดโพล่งขึ้นมากลางวงกินข้าว

“เฮ้ย ตายได้ไง” พี่โจ้พูดออกมาแทบสำลัก ผมสามคนมองหน้ากันปริบๆ

“ผูกคอตายอ่ะ เนี่ย ที่ต้นหว้าริมหาดตรงนั้นอ่ะ ” พวกผมหันไปมองทิศที่น้องจ๋าผู้แสนดี เล่าให้ฟัง แต่มองจากตรงนี้ไม่เห็นหรอกคับ หลังคาบ้านบังหมด

พี่โจ้พยักหน้า

“ผูกคอตาย ! พี่มุกเนี่ยนะ เป็นไปได้ไง ”

“นี่เลิกพูดเรื่อยตายๆ กันได้แล้วนะ กำลังกินข้าวกินปลากันอยู่ ดูซิ พี่ๆเค้าหน้าซีดกันหมดแล้ว” แม่พี่โจ้เอ็ดลูกสาว
ผมรู้สึกว่าหลังจากที่พี่โจ้รู้ข่าวการเสียชีวิตของพี่มุกแล้ว พี่โจ้ดูหน้าเคร่งเครียดไปในทันที ไม่เพียงแต่พี่โจ้เท่านั้น ผมดูท่าทางแล้วไม่ว่าจะเป็นพี่สิดที่เฮฮาอยู่ก่อนหน้า ก็นั่งตักข้าวเงียบกริบ ส่วนไอ้สิงห์ก็คว้าเบียร์มาดวดๆ ไม่มีหยุด


***************************


“เฮ้ย ไปดูกันเป่า” เสียงมารร้ายอย่างไอ้คิวกระซิบกับผมสองคน

“ดูเหี้ยไร”

“ก็ไปดูต้นไม้ที่พี่ไรนั่นผูกคอตายอ่ะ ” ดูมันช่างคิด

“มึงไปคนเดียวเหอะ”

“ไปดิพี่” น่าน ไอ้โค้ก มึงไม่ห้ามมันล่ะ มาชวนซะงั้น

“พวกเมิงไปเหอะ” ผมพูดแล้วก็รีบเดินเข้าไปในบ้าน แล้วซักพักก็เดินออกมา ในบ้านคนเดียว แถมพึ่งมาเล่าเรื่องคนตาย ให้กรุอยู่คนเดียวเหรอเมิง เลยต้องจำใจเดินมากะพวกมันด้วยคับ กรุกัวผีนะเนี่ย

“ไปแป็บเดียวนะพวกเมิง จะได้รีบอาบน้ำอาบท่า” ผมว่าพลางเดินตามหลังพวกมันไปตามริมหาด ตอนนี้เรียกว่า มีแต่แสงไฟที่สาดมาจากตามบ้านที่ปลูกไว้ห่างๆ ล่ะคับ ริมหาดค่อนข้างมืดมาก มีแต่แสงจากไฟฉายของเด็กหนุ่มสามคนเท่านั้น หนาวก็หนาว สาดดด

“ใช่ต้นนี่เป่าวะ” ไอ้คิวมันหยุดยืนที่ใต้ต้นหว้าต้นนึงที่ค่อนข้างจะสูงใหญ่ กิ่งก้านมันดูรกทึบไปหมด พูดเสร็จก็ส่องไฟไปทางโน้นทีทางนี้ที

“ต้นหว้า อืม พี่เค้าเลือกมาผูกเพราะมีความหมายไรเป่าวะ” ไอ้โค้กพูดขึ้นมาลอยๆ

“ไมคิดงั้นวะ” คิวสอดขึ้นมา

.

.

“ต้นหว้า เนี่ย มันเรียกได้อีกชื่อว่า ชมพู อ่ะ คับ มันเป็นไม้ในวงศ์เดียวกันนะ เป็นไม้ประจำทวีปนี้ นี่ว่าตามภูมิศาสตร์นะคับ ในความเชื่อของอินเดียโบราณที่ไทยเราก็รับมาเนี่ย อยู่ในไตรภูมิพระร่วงก็มี เชื่อกันว่าในโลกมีสี่ทวีป ชมพูทวีป อมรโคยานทวีป บุรพวิเทหทวีป แล้วอะไรอีกอันหว่า ? นั่นล่ะๆแต่ละทวีปก็มีไม้ประจำทวีปของตัวครับ คำว่า "ชมพูทวีป" นั้นเป็นคำที่ชาวพุทธใช้หมายถึงดินแดนประเทศอินเดียโบราณ ก็มาจากต้นชมพู หรือว่าต้นหว้านี่แหละคับ”

“โห นักพฤกศาสตร์มาเองเลยวุ้ย ”ไอ้คิวแซวไป ส่องไม่ลดละ

“ไอ้เหี้ย .. ส่องให้ผีมันโผล่มาเหรอไง ” ผมโพล่งด่าไป

“พี่ปริ้น พูดไรเนี่ย ผงผี ตอนหน้าสิ่งหน้าขวาน” ไอ้โค้กทำเป็นกลัวขยับเข้ามาใกล้ ผมมองดูนาฬิกา สองทุ่มครึ่งได้แล้ว เลยรีบไล่ให้พวกเดินกลับกันได้แล้วล่ะ กรุกัว ไม่ใช่ไรหรอก ซึ่งระยะห่างระหว่างที่พัก ก็ที่ยืนอยู่นี่ก็ไม่ไกลกันมากคับ ประมาณ สองสามร้อยเมตร มองจากตรงนี้ ก็เห็นที่พักเปิดไฟอยู่

“ม่ะกี้ออกมาเมิงไม่ได้ปิดไฟเหรอปริ้น” คิวมันถามผมระหว่างเดินอ้อยอิ่งกลับ

“ห่า ม่ะกี้กุเข้าไป แล้วก็เดินออกมายังไม่ทันได้เปิดไฟห่าไรเลย พี่โจ้มาเปิดมั้ง” ผมบอก แล้วก็รีบเร่งเท้าเพราะกลัวพี่แกเห็นว่าไม่อยู่ จะตกใจว่าหายไปไหนอีก

คลื่นนนนนน คลื่นนนนนนนนนนนนน

เสียงฟ้าคำรามมาอีกรอบ มองไปบนท้องฟ้าไม่เห็นแม้แต่แสงดาวซักดวง เม็ดฝนเริ่มตกเปาะแปะๆ ทำให้เดินอยู่ไม่ได้แล้วล่ะคับ วิ่งมาถึงบ้าน ก็ปรากฏว่า ไฟทุกดวงในบ้านมันไม่ได้เปิดอยู่นะซิ

“อ้าว นี่ไง ไฟก็ไม่ได้เปิดไว้” โค้กมันหันมาถามผม แล้วก็รีบกดเปิดไฟ

“ก็ม่ะกี้ กรุเห็นจริงๆนะ ว่าไฟมันเปิดอยู่อ่ะ” ไอ้คิวเถียง ผมก็เห็นเหมือนกันคับ แต่ไม่พูดอะไร ไม่อยากเข้าข้างมันเหอะๆ

“เอาเหอะ รีบไปอาบน้ำอาบท่าเหอะ เหนียวตัวจาแย่อยู่แล้ว” ผมดันไอ้คิวให้รีบไปอาบก่อน

“เออ ว่าแต่อาบด้วยกันม่ะจ๊ะ ปริ้น ” มันพูดเสร็จก็ทำสายตากระลิ้มกระเหลีย

“เด๋วกรุซัดเข้าที่ใบหน้า สัด ไสตูดไปอาบน้ำอย่างเร็ว” ผมพูดเสร็จก็เตรียมจะผลัดผ้าบ้าง แต่ก็เหลือบไปเห็นไอ้โค้กคับ มองตาแป๋วมาทางผม

“เฮ้ย คนจะแก้ผ้า หันไปทางอื่นดิ”

“อายเหรอ 555”

“เออดิ ไอ้บ้า ” ผมพูดไปก็หน้าเริ่มแดง พักหลังไอ้โค้กมันทำตัวแปลกๆกับผมจังวะ หรือว่ามันเป็นเกย์เนี่ย แต่ มันก็เคยบอกผมแล้วนี่นา ตอนที่ไอ้กั๊กมาบอกชอบมัน มันก็ปฏิเสธไป .. อะไรวะ

“หันปาย” ผมว่ามันแล้วก็เอาตรีนไปเขี่ยให้มันหันตัวไปทางอื่น มันก็มาดึงตรีนผมไว้อ่ะ หน้าเกือบคว่ำ

“โห ใช้เท้าเลยนะ คนนะคน ” มันว่าแล้วก็ผุดลุกขึ้น รายเล่า ต่อล้อต่อเถียงไปได้ซักพัก ไอ้คิวก็อาบน้ำเสร็จ

“จะอาบก่อนเป่า ”

“พี่ปริ้นอาบก่อนแล้วกัน ขอนอนต่อก่อน เหอะๆ” มันว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอน ไอ้คิวก็เดินไปเข้าห้องที่แยกไว้ให้พวกผู้หญิงนอน ไปแต่งตัว

ผมก็เข้าไปผลัดผ้าในห้องน้ำคับ ก็ควักๆของที่อยู่ในเสื้อกันหนาว ออกมา

“เอ๊ะ หายไปไหนวะ ” ผมพยายามควักทุกสิ่งอย่างในกระเป๋าเสื้อกันหนาวออกหมด แต่ก็ไม่มี

“เฮ้ย สงสัยทำตกแน่เลยว้อย” ผมสบถกับตัวเอง แล้วก็รีบอาบน้ำอย่างเร็ว เสียงฝนตกกระหน่ำลงมาเรื่อยๆ อากาศที่หนาวอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มทวีความเย็นเข้าไปอีก ผมเดินออกมาตัวสั่นงันงก แล้วก็รีบคว้าเสื้อมาสวมอย่างเร็ว

“มีร่มเป่าวะ”

“ใครจะพกร่มมาหน้าหนาวล่ะ ไอ้โง่ ”ไอ้คิวด่าผม

“ห่า ไม่มีก็ไม่ต้องด่ากรุ” ผมพูดอารมณ์เสีย แล้วก็เดินออกไปขอร่มพี่โจ้ที่อยู่บ้านติดๆกัน

“ไปไหนอ่ะพี่ ” โค้กดินออกมาถามผม ซึ่งกำลังจะกางร่มฝ่าฝนออกไป

“ทำของหล่นอะดิ จะเดินไปหาอ่ะ” ผมบอก

“ตอนนี้เนี่ยนะ จะหาเจอมั้ย” โค้กบอกผมด้วยความเป็นห่วงในน้ำเสียง

“ก็ต้องหาล่ะวะ”

“งั้นเด๋วผมไปด้วย” ไอ้โค้กว่าพลางคว้าเสื้อกันหนาวมาใส่(ย้ำว่ากันหนาว)

“เออ ขอบใจ ”

“เฮ้ย พวกเมิงไปไหนกันเนี่ย ”ไอ้คิวเดินแน่วๆมาหา

“ไปหาของ มึงจะไปด้วยม่ะ” ผมว่า พลางเร่งมันเพราะยิ่งช้าฝนก็ตกหนักมากขึ้น

“โค้กไปขอร่มพี่โจ้มาอีกคันป่ะ ” ผมว่า ด้วยความร้อนใจ

จะบอกว่า การหาของในความมืดว่ายากแล้ว การหาของที่ตกอยู่บนพื้นทราย แถมรอบข้างฝนดันตกหนักแบบนี้ ยิ่งเหมือนคนโง่เข้าทุกที ผมใช้ร่มคันนึง ส่วนอีกคันนึงไอ้คิวกะไอ้โค้กถือ เสียงบ่นกระปอดกระแปด ไล่หลังผมมาตลอดทางที่เดินมา

- อยู่ไหนวะ อยู่ไหนวะ – ในหัวผมเร่งหาแต่ของสำคัญที่ทำตกไว้ แมร่งถ้าหาไม่เจอกรุแย่แน่เลย

พวกผมเดินไล่หากันด้วยความทุลักทุเล กันจนมาเกือบถึงใต้ต้นหว้า ผมฉายแสงไปตามพื้นที่เฉอะแฉะเพราะสายฝน ก็พบสิ่งๆนึงมันสะท้อนแสงกลับมา

“เฮ้ย เจอแล้วๆ” ผมพูดพลางวิ่งไปเก็บมา

“เออ เมิงกว่าจะเจอ กรุเปียกเป็นหมาตกน้ำหมดแล้ว ”

“เนี่ยสงสัยผีพี่มุกช่วยมึงหาของให้แน่เลยไอ้ปริ้น ” ไอ้คิวพูดเล่น พลางทำส่องไฟไปที่ต้นหว้าที่อยู่ห่างไม่กี่เมตร

แว๊บ

“เฮ้ย .. ”

“ไรวะ ” ผมซึ่งทำท่าทีจะเดินกลับที่พักแล้ว สะดุดกึกกะเสียงไอ้คิว

“อะไรมันสะท้อนแสงม่ะรู้หว่ะ ” ไอ้คิวพูดกับไอ้โค้ก แล้วก็เดินไปที่ใต้ต้นหว้า

“ตรงไหนวะ ที่เมิงเห็นอ่ะ” ผมเดินตามเข้าไปบ่นใส่

“ข้างบนต้นไม้อ่ะ ” ไอ้คิวพูดเสียงสั่นๆ แล้วก็ฉายไฟไปบนต้นไม้ เท้าไอ้โค้กหยุดกึกเมื่อมันฉายไฟไปทางที่ไอ้คิวบอก คิวหันไปมองหน้าไอ้โค้กด้วยความสงสัย สายตาไอ้คิวมันจับจ้องค้างอยู่บนต้นไม้ มือโค้กสั่นเทา ทำให้แสงไฟโฉบเฉียวไปมา

“ไอ้สะ สัดด…” คิวสบถออกมาด้วยเสียงสั่นเคลือเหมือนกับกะลังควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ผมหันร่มให้มีระยะพอมองไปด้านบน พร้อมกับส่องไฟขึ้นไปมองสิ่งที่คิวกะโค้กมันเห็น

หัวใจผมแทบหยุดเต้น มือที่ถือกระบอกไฟฉายแทบจะไม่มีแรงจับยึดไว้ เหนือศีรษะที่ผมฉายไฟปรากฏร่างๆนึงแขวนไว้บนกิ่งใหญ่ของต้นหว้า ร่างห้อยต่องแต่งบิดเบี้ยวผิดรูปแกว่งโอนเอนไปตามแรงลม เมื่อแสงไฟกระทบเข้ากับตะขอที่เกี่ยวแต่ละจุดของร่างกายมนุษย์ที่แขวนไว้อยู่ ทำให้เห็นสภาพความโหดเหี้ยมอำมหิตของฆาตกร

แขน ขา ถูกตัดออกแล้วใช้ตะขออันใหญ่เสียบเข้ากับบริเวณร่างกาย ทำให้สภาพดูรุ่งริ่งเต็มทน บริเวณส่วนหัวของเหยื่อที่ถูกตัดออกเช่นเดียวกับส่วนอื่นๆของร่างกาย ถูกสายเบ็ดพันเข้าหลายทบ แล้วใช้ตะขออันใหญ่เสียบให้เข้ากับบริเวณส่วนคอ

ร่างทั้งร่างบัดนี้เปรียบเหมือนหุ่นกระบอกที่ถูกสายเบ็ดโยงเหมือนใยแมงมุม ตรึงไว้บนกิ่งใหญ่ของต้นหว้า สายลมพัดกระหน่ำจนทำให้ศพดูซีดเซียว

“โอ๊กกกก อ๊วกกกกกก” เสียงไอ้คิวอาเจียนออกมาลงบนพื้น มันอยู่ใกล้ศพมากที่สุด จนเห็นติดตา

“คะ โค้ก รีบ ปะ ไป ไป ไป จากที่นี่ จะ แจ้ง ตำรวจ เร็วเข้า ระ เร็ว มีคนตายที่นี่”

โค้กมันดูแข็งค้างพอๆกับไอ้คิว แต่ดูเหมือนเรียกสติกลับมาได้ก่อน รีบคว้าตัวคิวที่ก้มลงไปอ๊วกอยู่ให้ลุกขึ้น ขาผมสั่นมากจนไม่คิดว่าจะก้าวออกจากที่ตรงนั้นได้ ร่างข้างบนนั้นเหมือนกับสะกดตัวผมไว้อยู่

“พะ พี่ปริ้น โค้กมันตะโกนใส่หูผมจนได้สติ พี่ปริ้น ม่ะกี้ ม่ะกี้ ตอนเรามามันยังไม่มี ยังไม่มีศพเลย แล้วนี่มันอะไรวะ ”

ผมก้มลงมองนาฬิกา อะไรวะ แค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กลับมาศพที่ถูกหั่นเป็นเป็นท่อนๆได้ขนาดนี้

ผมเหมือนกำลังจะร้องไห้ จริงอยู่ที่ว่าใครที่มาเห็นการฆาตกรรมแบบนี้คงจะตกใจไม่น้อยไปกว่าพวกผม แต่สิ่งที่ทำให้ผมเหมือนกับขาดสติไป เพราะร่างๆนั้นคือคนที่ พวกผมพึ่งจะได้คุยด้วยเหมือนช่วงเย็นที่ผ่านมา

ผมสามคนค่อยก้าวออกจากบริเวณนั้นด้วยความยากลำบาก ไม่ใช่เป็นเพราะว่าฝนตกอย่างหนักหรอก แต่เป็นเพราะร่างพี่ม่อนที่โดนแขวนห้อยเป็นหุ่นกระบอกอยู่ต่างหาก

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #38 เมื่อ23-10-2006 05:23:47 »

ศพของพี่ม่อนถูกนำลงมาจากการพันธนาการบนต้นหว้าด้วยฝีมือชาวบ้านใกล้ๆ แล้วจึงถูกนำไปไว้ชั่วคราวที่วัดละแวกนั้น

ท่ามกลางเสียงชาวบ้านที่พากันพูดเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ดูจากสีหน้าท่าทางของแต่ละคนแล้วต่างรู้สึกถึงบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว นายตำรวจสองคนที่พึ่งจะได้บึ่งรถมอเตอร์ไซต์จากสถานีที่อยู่ห่างไปพอสมควร ต่างรีบทำการถ่ายรูปและเก็บหลักฐานเท่าที่จะเป็นไปได้ เนื่องจากแม้เวลานี้สายฝนจะซาลง แต่ก็ยังไม่ถึงกับหยุดตกและด้วยเวลาเกือบที่จะสองยาม ทำให้การเก็บหลักฐานเป็นไปด้วยความยากลำบากยิ่งนัก

จากการให้ปากคำของพวกเราทั้งสามคนกับเจ้าหน้าที่ตำรวจยิ่งทำให้การฆาตกรรมในครั้งนี้ ยิ่งดูเป็นปริศนามากขึ้น แม้ว่าพี่ม่อนจะเป็นพวกขี้หงุดหงิด ท่าตีท้าต่อยกับชาวบ้านไปทั่ว แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะโดนฆ่าตายด้วยวิธีพิสดารอย่างนี้ ใครเป็นคนทำ? และจะลำบากทำขนาดนี้ไปเพื่ออะไร ?

แม้ว่าฝนจะเบาลง แต่ระดับคลื่นยังคงถาโถมซัดจนดูทะเลบ้าคลั่งก็ไม่ผิด ช่วงมรสุมเข้าเป็นแบบนี้เสมอเหรอไง

“ไหนลองบอกอีกทีซิ ว่าทำไมพวกเราสามคนถึงไปที่เกิดเหตุค่ำๆมืดๆแบบนั้น” นายตำรวจคนนึงถามคำถามเดิม

คิวมันทำท่าทางหงุดหงิด เหมือนจะว้ากใส่ด้วยความรำคาญ แต่โค้กมันยกมือห้ามไว้

“ก็อย่างที่ผมบอกว่า เพื่อนผมทำของหล่นหาย ผมสามคนก็เลยออกไปหา แล้วก็เดินไปทุกที่ๆผ่านตอนหัวค่ำ” โค้กอธิบายด้วยความใจเย็นอีกรอบ

“แล้วพวกผมก็ส่องไฟไปเจอแสงแปลกๆ ก็เลยส่องขึ้นไป ก็เลยเจอ - - - ” ผมพูดต่อ

“ไปหาของทั้งๆที่ฝนตกหนักเนี่ยนะ ? ” นายตำรวจแก่ยังไม่เลิกสงสัย

“ใช่ครับ ของสำคัญ” ผมตอบไปพลางมองหน้าตำรวจคนนั้นที่จ้องเขม็งมาทางพวกเรา

“คุณตำรวจ ข้าว่านะ ไอ้สามคนนี้มันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรอก มันจะมีเหตุผลอะไรล่ะที่จะฆ่าไอ้ม่อนมัน ทั้งๆที่พึ่งรู้จักกันไม่ข้ามวัน” พี่สิดเดินเข้ามาเสริมหลังจากที่พวกเราโดนตำรวจสอบนานเป็นพิเศษ

“มันก็ใช่นะ แต่พวกเราก็ต้องถามตามหน้าที่ก็เท่านั้นล่ะ” ตำรวจคนที่หนุ่มกว่าบอกกับพี่สิด

“เออมาก็ดีล่ะมึง จะได้สอบต่อ เอาคุณสามคน ขอรบกวนเท่านี้ก่อนล่ะกัน” นายตำรวจบอกก่อนจะยิ้มให้เป็นเชิงขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ

“เป็นไงบ้าง เค้าถามไรมั่ง” พี่โจ้เดินเข้ามาหาพวกผม เห็นสายตาก็ดูว่ากำลังตกใจ

“ก็ถามรายละเอียดทั่วไปล่ะ พวกผมก็บอกๆเค้าไป” ผมบอกกับพี่โจ้

“เห็นว่าศพพี่ม่อนดูไม่ได้เลยเหรอคะ ? ” น้องจ๋าถามบ้าง คิวมันพยักหน้า พร้อมกับทำท่าจะอ๊วกอีกรอบ

“จ๋า เรานี่ เป็นเด็กเป็นเล็ก ไปๆรีบเข้าบ้านเถอะ เกิดเรื่องแบบนี้ แล้วทีหลังอย่าออกไปเดินเล่นกลางค่ำกลางคืนแบบนี้อีกนะ” แม่พี่โจ้รีบไล่ให้พวกเรากลับเข้าบ้าน โดยพี่โจ้อาสามานอนเป็นเพื่อนพวกผมที่บ้านพัก แต่จริงๆแล้วพี่โจ้คงอยากจะถามเรื่องราวว่าเป็นไงมาไงมากกว่า

“หงึยยย ตัวนะพี่ ห้อยโงนเงนๆ อยู่กะกิ่งอ่ะ น่ากลัวชิบหาย ใครเป็นคนทำก็ไม่รู้” ไอ้คิวเล่ารายละเอียดเท่าที่หัวสมองมันพอจะจำได้

“เฮ้ยย นอนเหอะ เด๋วพรุ่งนี้ก็ไม่ตื่นหรอกเมิง” ผมเอ็ดไอ้คิวที่มัวแต่บรรยายอะไรไม่เป็นเรื่อง แล้วก็หันตัวเป็นนอนตะแคงไปทางโค้ก มันนอนหันหลังเงียบเชียบ สงสัยมันคงจะหลับแล้ว ผมยังคงนอนพลิกไปพลิกมา กระสับกระสายกับเหตุการณ์ขนหัวลุกที่เกิดขึ้น จนรู้สึกว่าสมองจะอ่อนเพลียไปเอง

“งืม งืม พรุ่งนี้ โอ้ตมันก็คงมาแล้วล่ะ งืม” ผมนอนคิดปลอบใจตัวเอง เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้หัวใจผมสงบมากที่สุดแล้วในขณะนี้ ก่อนที่จะผลอยหลับไป


***************************


Zzzzzz Zzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzz - - -

เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง !!

คลื่นนนนน

“อึ๊ก ….” ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงฟ้าคำรามสนั่นหวั่นไหว มองเห็นคิวมันนอนหลับไม่รู้สึกรู้สา ถัดไปพี่โจ้ก็นอนคลุมโปงได้ยินเสียงหายใจเบาๆ

“อืออออ กี่โมงแล้ววะเนี่ย” ผมคิดแล้วก็เอื้อมมือไปบนหัวนอนคว้านาฬิกาขึ้นมาดู

“ตี 5 กว่าๆ” แต่รอบๆยังคงมืดมิด อาจเป็นเพราะอยู่ในหน้าหนาว แล้วยังมีมรสุมเข้าอีกตะหาก ผมพลิกตัวกะจะนอนต่อ แต่คนที่นอนอยู่ข้างๆผมมันหายไป

“ไอ้โค้กมันหายไปไหนวะ” คิดยังไม่ทันจบ ก็เห็นเงาคนนั่งอยู่ตรงระเบียงนอกบ้าน ผมเลยค่อยๆลุกแล้วเดินไปช้าๆ เพื่อมองว่าเป็นใคร

“อ้าว โค้ก นอนไม่หลับเหรอ” ผมทักเมื่อเห็นว่าเป็นมันนั่งยกขารับลมอยู่ตรงระเบียงบ้าน

“อือ .. นอนไปได้หน่อยเดียวก็มานั่งรับลมดีกว่า” มันพูดสายตาก็ทอดยาวไปที่ชายหาด คลื่นลมยังคงปั่นป่วนทั่วท้องน้ำ เห็นแบบนี้แล้วรู้สึกว่ามันเท่ห์โคตรซะงั้น

“กลัวอะดิ เลยนอนไม่หลับ” ผมแซวมันแล้วก็หย่อนตัวลงนั่งข้างๆ

“อือเด๊ะ กลัวก็กลัว แต่สงสัยก็สงสัย” มันบอกพลางเก็บเศษกิ่งไม้แถวๆนั้นมานั่งหัก สายตามันเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

“สงสัยว่าใครเป็นคนทำน่ะเหรอ” ผมเดาความคิดมัน

“อือ”

“บ้าน่า ผมบอกกะมัน จนมันหันมามอง เราพึ่งมาไม่ถึงวัน จะรู้ได้ไงว่าใครเป็นคนทำ พี่ม่อนเค้าอาจจะมีคนที่ไม่ชอบตั้งเยอะแยะ เราไม่ใช่ตำรวจนะว้อย”

“ผมก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปสืบหาคนฆ่าซะหน่อย แค่สงสัยอ่ะ สงสัยไม่ได้เหรอไง” มันเถียงผมกลับมา

“ไม่สงสัยรึไงตอนเราเดินมาครั้งแรกมันช่วงสองทุ่มครึ่ง แต่พอกลับมาอีกที แค่ครึ่งชั่วโมง ก็มีศพที่ถูกหั่นเป็นท่อนๆแล้วอ่ะ” มันพูดให้ผมเห็นภาพสยองอีกรอบ จนต้องเบือนหน้าหนี

“ก็จริงว่าไม่มีใครทำได้แค่ครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าทำมาก่อนแล้วค่อยมาแขวน มันก็ทำได้ไม่ใช่เหรอไง” ผมพูดตอกกลับ

“ทำซะขนาดนี้ มันต้องมีร่องรอยอะไรบ้างแหละน่า อย่างน้อยก็ตัวคนเราก็ไม่ได้มีเลือดแค่หยดสองหยด ที่จะทำลายหลักฐานได้หมดหรอก ป่านนี้ตำรวจพวกนั้นก็คงกำลังไปค้นที่ๆใช้ชำแหละอยู่นั่นล่ะ”

“เป็นท่อนๆขนาดนั้น มันทำตามบ้านไม่ได้หรอก อย่างน้อยก็ต้องมีอุปกรณ์ที่ใช้เฉพาะ” โค้กมันอดต่อล้อต่อเถียงไม่ได้

ผมบอกพลางทำท่าจะลุกขึ้น เพราะรู้สึกว่าไม่อยากจะคุยเรื่องนี้อีกแล้ว

“เราไม่ใช่ตำรวจนะ โค้ก” ผมหันไปบอกไอ้โค้กที่ยังคงนั่งทอดหุ่ยอยู่

“ผมรู้หรอก” ไอ้โค้กบอกผมเสียงแข็ง


***************************


เวลาล่วงมาถึงเช้าของวันที่สองที่ผมได้มาอยู่บนเกาะ แต่ทว่าเหตุการณ์ที่คิดว่าเลวร้ายที่สุดแล้ว มันก็ยังไม่ได้หมดเพียงเท่านั้น

“วะ ว่าไรนะพี่โจ้ พวกพี่ต่ายยังมาวันนี้ไม่ได้เหรอ” ผมโพล่งออกไปหลังจากพี่โจ้มาส่งข่าว

“ใช่ คลื่นลมมันแรงมาก จนยกเลิกเดินเรืออ่ะ ” พี่โจ้บอกหน้าเสียๆ แบบนี้คงจะอีกวันสองวันแหละ กว่ามรสุมจะผ่านไป

-อะไรฟร่ะ เรื่องบ้าไรเนี่ย- ผมคิดในใจ เพราะถ้าเป็นแบบนี้ก็เหมือนพวกเราติดเกาะโดยไม่สามารถที่จะออกไปไหนได้เลย รวมถึงก็จะไม่มีใครเข้ามาได้เช่นกัน เรื่องมือถงมือถือไม่ต้องไปคำนึงถึงเลย คงจะต้องพึ่งแต่โทรศัพท์สาธารณะอย่างเดียวที่จะสามารถติดต่อคนบนฝั่งได้

เช้าวันนี้ตำรวจมาส่งข่าวให้พ่อกะแม่พี่โจ้เล็กน้อย ก่อนที่จะไปจัดการกับคดีต่อ ดูเหมือนว่าเมื่อคืนทั้งคืนจะไม่สามารถหาเบาะแสอะไรได้มากนัก แล้วที่โชคร้ายไปกว่านั้น ก็คือร่องรอยต่างๆก็ดูเหมือนจะโดนพายุฝนเมื่อคืนนี้กลบไปหมด

โรงเชือดสัตว์ที่มีอยู่บนเกาะแห่งเดียว ก็ไม่พบร่องรอยของการชำแหละ หรือว่าคราบเลือดอะไรที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลยด้วย

ฝนเมื่อคืนทำลายหลักฐานของคนร้ายทั้งเรื่องรอยเท้า แล้วก็เรื่องคราบเลือดที่หยดบริเวณนั้นไปหมดเลย นายตำรวจคนที่มาบอกข่าวดูสีหน้าอิดโรยไปพอสมควร เมื่อคืนอาจจะไม่ได้นอนก็เป็นได้ หลังจากมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย ก็บึ่งมอไซต์กลับโรงพัก

“พี่ปริ้นคะ จ๋าจะไปตลาด พี่จะฝากซื้ออะไรมั้ยคะ” น้องจ๋ายื่นหน้ามาทัก

“อ่อ ก็มีอ่ะคับ เออ แต่เด๋วพี่ไปด้วยดีกว่า รอพี่แป็บนึงนะ” ผมว่าพลางรีบกุลีกุจอไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

“ผมไปด้วยซิพี่” เสียงไอ้โค้กแว่วมาแต่ไกล

“จะซื้อไรอ่ะ เด๋วพี่ซื้อให้ก็ได้” ผมว่าพลางหากระเป๋าตังค์

“ไม่เอาอ่ะ ก็จาไปด้วยไง ” มันงอแงแล้วก็รีบเปลี่ยนไปใส่เสื้อยืด แล้วก็คว้ากางเกเลมาผูกๆ โห แบบว่าถ้าโดนกระตุกนิดเดียวนะ เมิงเอ้ย เป็นเปรตโทงๆแน่ๆ

เราสามคนเดินซื้อหาซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นของกินตุนเอาไว้ก่อน เผื่อพวกพี่ต่ายอาจจะกลับมาในวันพรุ่งนี้ได้ แล้วก็หาของที่จะทำกินกันเพราะไม่อยากรบกวนที่บ้านพี่โจ้มากนัก

“ซื้อไรให้คิวมันกินด้วย แมร่งนอนขี้เซาชิหาย” ผมพูดถึงเพื่อนที่กำลังนอนกินบ้านกินเมืองอยู่ที่บ้านพัก ถ้ามันรู้ว่านอนอยู่คนเดียวนะ มีหวังป่านนี้คงโกรธพิลึก

“อ้าว จ๋านี่นา มาซื้ออะไรลูก” ผู้หญิงสูงวัยคนนึงเดินเข้ามาทักน้องจ๋าอย่างสนิทสนม

“สวัสดีคะ ป้าดา หนูมาซื้อของเข้าบ้านนะคะ” จ๋าตอบแบบอ่อนน้อม ผิดกับที่พูดอยู่ที่บ้าน หญิงที่ชื่อป้าดาคุยกับน้องจ๋าอยู่พักนึง น้องจ๋าก็หันมาพูดกับพวกผม

“พี่ปริ้น กับพี่โค้ก กลับบ้านไปก่อนก็ได้นะคะ เดี๋ยวจ๋าจะช่วยป้าดาเค้ายกตะกล้าผักกลับบ้านก่อนนะคะ ป้าแกแก่แล้ว” จ๋าบอกพลางยืนของที่ซื้อมาให้ผม

“เออ เด๋วพี่ช่วยแบกไปให้แล้วกัน จะได้ไวๆ แล้วจะได้กลับพร้อมกัน” ผมว่าแล้วก็หันไปมองไอ้โค้ก มันก็เห็นด้วย

น้องจ๋าแนะนำตัวผมกะโค้กให้ป้าดาได้รู้จัก ดูป้าแกจะดีใจมากที่รู้ว่าไม่ต้องหอบไปคนเดียว แต่ก็ดูท่าจะแกล้งอกแกล้งใจพวกเราอยู่ ผมมารู้ว่าป้าดาคือแม่ของผู้หญิงที่ผูกคอตายที่ต้นหว้า ที่ชื่อมุกนั่งเองหลังจากเดินมาได้ซักพัก ก็ถึง อย่างที่บอกตั้งแต่ตอนแรกว่า ระแวกบ้านก็อยู่ใกล้ๆกัน

“ขอบใจหนูมากนะ จ๋า แล้วก็พ่อหนูสองคนด้วย ” ป้าดาบอกขอบอกขอบใจ แล้วก็คะยั้นคะยอให้เราสามคนกินข้าวเช้ากะแกที่นี่ซะเลย เนื่องจากว่าไม่ต้องรีบร้อนไปไหน อีกทั้งรู้สึกเห็นใจว่า แกอยู่บ้านเพียงลำพัง ก็เลยนั่งอยู่เป็นเพื่อนกินข้าวซักมื้อนึง

ป้าดาพาเราเข้าไปในบ้าน ผมกะไอ้โค้กมองสำรวจภายในบ้านอย่างประนีประนอม เพื่อไม่ให้ผิดมารยาทมากนัก
เท่าที่ดูภายในบ้านก็มีเครื่องอำนวยความสะดวกอะไรไม่มากมายนัก แต่ก็ไม่ถึงกับอัตคัดขัดสน จะมีเพียงส่วนนึงของบ้านที่ประดับตกแต่งด้วยโมบายที่ทำด้วยหอย แล้วก็ซากปะการัง แขวนเอาไว้ แต่ที่ทำให้ผมสนใจมากกว่านั้น คงจะหนีไม่พ้น หุ่นกระบอกเป็นสิบๆตัว ห้อยเอาไว้ข้างกำแพงปะปนกับโมบายปะการัง

หลังจากที่กินข้าวเสร็จ ระหว่างที่ป้าดาชวนน้องจ๋าคุยกันนู่นนี่ ผมก็หลีกตัวออกมาพินิจดูเครื่องประดับบ้านแต่ละชิ้น ไม่ว่าจะเป็นโมบายหอยที่มีหลากหลานชนิด หรือว่าจะเป็นปะการังที่บางอันก็เป็นสีขาวบริสุทธิ์ บางอันก็แหลมคมจนน่ากลัว โค้กมันเดินมาดูข้างๆ อย่างสนอกสนใจ

“สวยเนอะ ” โค้กมันถามผมเหมือนไม่ได้ต้องการคำตอบ แล้วก็หยิบบางอันขึ้นมาดูบ้าง “แต่ไอ้พวกนี้ไม่เห็นว่าจะเข้ากันกับพวกโมบายเลยหนิ ”

ป้าดากับจ๋าเดินมาพอดี

“มุกหน่ะ เค้าชอบเก็บหุ่นพวกนี้มากเลยจ๊ะ กลับมาจากในเมืองทีไร ก็จะซื้อมาตัวสองตัว หรือไม่เห็นที่ไหน ก็ชอบซื้อมาสะสม”

ป้าดาบอกขณะที่เอื้อมมือไปหยิบหุ่นกระบอกตัวนึงที่แขวนไว้ ยื่นมาให้ดู ไอ้โค้กรับไว้พลางมองมาที่ผม

“งั้นเดี๋ยวหนูขอลาป้าเลยนะคะ เดี๋ยวที่บ้านจะหาว่าไปเถร่ไถลที่ไหนอีก ” จ๋าบอกลาป้าดา

“พี่ปริ้นคิดเหมือนพี่ผมคิดม่ะ” ไอ้โค้กยิ้มทะแม่งๆ หันมาหาผม

“คิดไร” ผมถามมันเหมือนจะลองใจ

ไอ้โค้กหันหน้าไปทางหน้าต่าง ทิศที่ต้นหว้าสูงตะหง่านตั้งอยู่ มองออกไปจากที่บ้านนี้ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน โค้กมันยกตุ๊กตาหุ่นกระบอกที่ป้าดาให้ดูเมื่อกี้ ยื่นไปที่ต้นหว้าใหญ่ต้นนั้น ฉับพลันสมองผมก็คิดเลยเถิดไปว่า ตุ๊กตาที่โค้กมันถือเทียบกับตำแหน่งของต้นหว้าอยู่ มันเหมือนสภาพศพของพี่ม่อนที่ถูกแขวนเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน..


***************************

“อยากจะบอกว่าการตายของพี่ม่อนเกี่ยวข้องกับพี่มุกงั้นดิ” ผมถามโค้กหลังจากแยกจากน้องจ๋าแล้ว

“ผมก็ไม่รู้ แค่รู้สึกมีอะไรตะหงิดๆ” แววตาไอ้โค้กมันดูจริงจังซะจนผมไม่กล้าจะไปขัดอะไรมัน

“เฮ้ย พวกเมิงอ่ะ หายหัวไปไหนกันมา ทิ้งให้กรุอยู่คนเดียว” ไอ้คิวเห็นผมกะโค้กเดินมาใกล้ก็ตะโกนโหวกเหวก

“ก็ไปหาไรให้มึงกินแหละ นอนตื่นสายเอง”

“เออ เมื่อกี้พี่โจ้เดินมาบอกว่า คืนนี้เค้ามีงานฟูลมูนปาร์ตี้ด้วยนะ” คิวมันบอกพลางเปิดถุงโจ้กที่ซื้อมาให้

“ฟูลมูนคือไรง่ะ” ผมไม่รู้จักเลยหันไปถาม

“งานเหมือนๆกะเทศกาลบนเกาะอ่ะคับ จะจัดตรงกับวันที่พระจันทร์เต็มดวงไง ถึงเรียกว่า ฟูลมูนปาร์ตี้” โค้กอธิบาย

“อ่อ .. ว่าแต่ มรสุมเข้าอยู่แบบนี้ แถมหนาวๆแบบนี้ ยังจะจัดได้อีกเหรอ”

“แล้วเอาไงอ่ะ เย็นนี้ไปเที่ยวกะเค้าม่ะ” ผมถาม

“ไปเด๊ะ แค่นี้ก็เบื่อจาแย่อยู่แล้ว ไอ้พวกพี่ท็อปพรุ่งนี้มั้งกว่าจะมาได้ เซงเลย” คิวมันบ่นอุบ แล้วเดินออกไปนั่งหน้าระเบียง

“โอ้ยยย สัด ไรทิ่มตูดกรุเนี่ย” เสียงไอ้คิวดังลั่นจนผมกะโค้กต้องรีบเดินไปหามัน

“สาดด ร้องมาได้แทบบ้านแตก กุนึกว่ามึงชอบซะอีก” ผมอดกัดมันไม่ได้จริงๆ ที่มันชอบโวยวาย

“ชอบไรเมิงพูดดีๆนะไอ้ปริ้น” มันพูดแล้วก็ค่อยๆลุกขึ้นมา เห็นเป็นวัตถุสีเงินวาวหล่นอยู่ตรงที่คิวนั่งทับ มันกำลังจะหยิบขึ้นมาดู แต่โค้กมันก็ตะโกนห้ามไว้ก่อน

“พี่ปริ้น พี่ คิว มันดูคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนป่าววะ” มันทำหน้าเหมือนกะลังใช้หัวอย่างหนัก

“เออ ก็ว่างั้น” ผมสำทับ

“อ่ออออ กรุนึกออกแล้ว” ไอ้คิวโพล่งออกมา พร้อมกับทำหน้าซีดๆ “ม่ะ เหมือ … เหมือนกะไอ้ตะขอที่อยู่ที่บนตัวไอ้พี่ม่อนไง” มันสบตากะโค้ก แล้วหันมามองผมทีละคน

“เมิงแน่ใจนะคิว” ผมถาม

“กะ ก็เหมือนอ่ะ แต่กรุว่า ของแบบนี้ ไอ้ตะขอแบบนี้ มันก็คงมีเหมือนๆกันบนเกาะอ่ะ ”

ระหว่างที่ผมกะลังออกความเห็นอยู่กะคิว โค้กมันก็เดินเข้าไปในบ้าน พร้อมกับใช้เศษผ้าห่อตะขอชิ้นนี้เอาไว้

“เก็บไว้ก่อนดีกว่าพี่ ถ้าตำรวจมาเห็นเข้า ผมว่าคงจะสงสัยพวกเราแน่ๆอ่ะ มาเที่ยวแล้วมีไอ้ของอย่างงี้มาอยู่แถวบ้านได้ไง ” มันพูดเสร็จก็จัดการห่อไว้อย่างดี

สามหนุ่มมองหน้ากันเลิกลั่ก เหมือนกับไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นกันอย่างไร พอดีกับพี่โจ้มาเรียกให้ไปหาที่บ้าน เมื่อเดินมาถึงก็เจอพวกพี่สิด กับไอ้สิงห์ยืนรออยู่ด้วยแล้ว

“พอดีพี่สิดเค้าจะไปส่งของที่หาดริ้น พ่อกะแม่ก็เลยให้พี่ชวนพวกเราไปนั่งรถเที่ยวด้วยอ่ะ จะไปด้วยเปล่า” พี่โจ้ถามความเห็น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพื่อนในกลุ่มพึ่งเสียชีวิตไปเหรอเปล่า วันนี้ไอ้สิงห์ดูเงียบหงอย ไม่กวนตีน หรือดูซ่าแบบเมื่อวานนี้ ดูไอ้คิวมันอยากไป ผมกะไอ้โค้กก็เลยไปด้วย เพราะเห็นเค้าบอกว่า หาดที่ว่าเนี่ย ฝรั่งโป๊ตรึมาๆ โอ่วๆ (บ้ากาม)

พอไปถึงก็จริงครับ นมเป็นนม เหอๆ ถ้าผมไม่ได้เป็นแบบนี้ก็เลยรู้สึกว่า เฉยๆอ่ะ แต่ก็ตะลึงๆพอสมควรเหมือนกัน แต่อากาศแบบนี้แล้วคลื่นลมก็ยังแรงอยู่ ก็เลยไม่ค่อยมีคนมาเล่นน้ำเท่าไร มีแต่คนมานอนอาบแดด (ซึ่งก็ไม่ค่อยมี)อยู่บ้าง แต่หาดทรายแถวนี้เรียกว่าขาว แล้วก็ละเอียดมากๆ ได้สัมผัสแล้วอยากจะลงไปนอนเกลือกกลิ้งจริงๆ

“นี่ถ้าไม่มีพายุเข้า ไม่มีเรื่องเมื่อคืน ป่านนี้คงสนุกสนานกันขนาดไหนก็ม่ะรู้ เฮ้อ” ไอ้คิวบ่น เป็นรอบที่ล้านแปด

“อือ ถ้าไม่มีพายุเข้า ป่านนี้พวกไอ้โอ้ตคงกำลังขึ้นเรือมาหาอยู่แล้วเชียว” ผมคิดในใจ อยู่ที่นี่โอ้ตมันก็โทรเข้ามายากอยู่แล้ว ยิ่งมีพายุแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

“งั้นตอนเที่ยงหาไรกินกันแถวนี้แล้วกันนะ” พี่สิดบอก ตอนเที่ยงนี้เราก็เลยมานั่งกินเปลี่ยนบรรยากาศ อย่างที่บอกคับ ตั้งแต่มาเนี่ย ไอ้สิงห์มันไม่พูดไม่จาอะไรเลยทั้งสิ้น จริงๆแล้วพี่สิดก็ดูเฉาๆไปเหมือนกัน บรรยากาศในการกินเลยดูมาคุไปชอบกล

“เออ ลืมถามเลย เมื่อเช้าได้กินไรมากันเหรอยังล่ะ เห็นแต่ไอ้คิวมันกินคนเดียวนิ ” พี่โจ้ถามผมสองคน

“อ่อ กินแล้วครับ พอดีช่วยป้าดาเค้าขนของกลับบ้านอ่ะคับ ก็เลยไปกินที่บ้านป้าเค้า” โค้กมันบอก

“ป้าดา ป้าดา” พี่โจ้ดูเหมือนจะจากเกาะไปเรียนนานก็เลยนึกไม่ออกว่าดาไหนแน่ๆ

“ป้าดา ที่เป็น เออ ที่เป็น แม่พี่มุกไงคับ” ผมบอกไปโดยไม่ทันได้คิดอะไร เสียงไอ้สิงห์สำลักข้าวที่กำลังเคี้ยวอยู่อย่างไม่มีมารยาท

“อ่ะ อ่อๆ” พี่โจ้พยักหน้าเป็นเชิงนึกออก “ แล้วป้าแกดูสบายดีเหรอ”

“ก็เหมือนจะสบายดีล่ะครับ แต่ดูแกเหงา - - -” ผมยังคุยไม่จบ เสียงพี่สิดกระแทกแก้วน้ำเสียงดัง เหมือนอยากให้ผมหยุดพูดอะไรอย่างงั้น

“รีบๆกินจะได้รีบๆกลับเถอะ อย่ามัวแต่คุยกันอยู่ พี่ยังต้องไปขนปลาไปส่งอีกหลายที่” พี่สิดว่า เหมือนหงุดหงิดซะงั้น

“เป็นอะไรของเค้าวะ” คิวมันบ่นพึมพำๆ แบบไม่สบอารมณ์


***************************


งานฟูลมูนปาร์ตี้ดูจะเงียบเหงากว่าทุกครั้งที่จัดมา เมื่อออกไปยืนที่ริมหาดหน้าบ้านพัก เดินไปด้านขวามือเกือบจะสุดพื้นที่หาด จะเป็นพื้นที่ของพวกรีสอร์ตของนักธุรกิจ ตรงจุดนี้แหละที่มีงานฟูลมูน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติแทบทั้งสิ้น บรรยากาศในงานคราวนี้มีการจุดคบเพลิง แล้วก็สุมไฟเป็นกองเพลิงขนาดใหญ่หลายจุด

“กรุว่านะ ต้องมีพวกอัพยาด้วยแน่เลย เมิงดูอีผู้หญิงคนนั้นดิ” ไอ้คิวว่าพลางชี้ให้ดูแหม่มสาวคนนึงที่กำลังดิ้นเป็นกุ้งเต้นด้วยความเมามันส์ เนื้อตัวแดงซ่าน แทบจะทุกคนต่างถือแก้วเหล้า บางคนก็เป็นขวด ดิ้นกันด้วยความเมามันส์

“เฮ้ย ไปเต้นกัน” ไอ้คิวชวนผม

“เหอะ กุเต้นม่ะเป็น” ผมปฏิเสธ แล้วก็ดันให้ไอ้โค้กไปเต้นเป็นเพื่อนแทน ดูมันก็ชอบแนวนี้เหมือนกันเลยไปด้วยกันได้

ผมได้แต่หาน้ำพั้นแถวนั้นกิน (กรุดูสำอางไปม่ะ) สายตาก็เหล่หนุ่มแถวนั้นไปเรื่อยๆ ด้วยความเมามันส์เช่นเดียวกัน หุหุ

อุ๊ … หล่อชิบบบหายยยยยยยยยยย มีหนุ่มฝรั่งคนนึงคับ กะลังเต้นๆ ดริ้งๆไปด้วย ตาคมมากๆ ผมแทบละลาย หุห

อ๊ะ … คนนั้นๆๆ ก็น่ารัก แต่ทำไมตัวโคตรใหญ่แบบนั้นวะ อึ้ย..

โอ๊ะ … ไอ้ตัวเล็กๆเตี้ยๆนั่นใครวะ คุ้นๆ อ่ะ ไอ้สิงห์นี่หว่า มาด้อมๆมองๆไรแถวนี้วะ ? ผมสังเกตเห็นท่าทางมันไม่เหมือนคนมาเที่ยวธรรมดา ดูหลุกหลิกชอบกล เลยค่อยๆเดินตามไป แต่ตามไปได้พักเดียวเท่านั้นก็คลาดสายตา

-แม่ม !! ไปไหนแล้วฟร่ะ ผมคิดแบบหงุดหงิด แต่ก็มาเจอไอ้โค้กในสภาพเมาแอ๋ซะงั้น กะลังถูกอีผู้หญิงคนนึงก้อล้อก้อติกอยู่

ดูท่าทางมันจะถูกใจอีคนนี้เหลือเกิน เพราะผมเห็นมือไม้มันพัลวันนัวเนียไปทั่วตัว ฝ่ายผู้หญิงแมร่งก็ไม่เบาคับ กอดคอไอ้โค้ก ส่วนที่เป็นโนตมก็เบียดแนบเข้ากะตัวไอ้โค้กแบบไม่มีพื้นที่ว่าง

ผมเห็นแบบนั้นรู้สึกไม่พอใจแปลกๆ แต่ก็คิดว่า แมร่ง มรึงเด็กม ปลายนะ

“เฮ้ย โค้ก เมาขนาดนี้กลับได้แล้ว” ผมเดินไปสะกิดมันก่อน ดูท่าทางมันไม่สนใจเลย

“ไอ้โค้กจะกลับไม่กลับเนี่ย เด๋วกรุกลับแล้วนะ” ผมเอ็ดมันเสียงดังกว่าเดิม เสียงเพลงในงานแมร่งเปิดดังสนั่นไปหมด คราวนี้อีผู้หญิงซึ่งพอมองมาใกล้ๆแล้วเนี่ย คงเป็นนักท่องเที่ยวคนไทยนี่แหละ ดูมันไม่ค่อยสบอารมณ์กะผมแล้ว เลยเดินเอาจะเอามือมาปัดมือผมออกอย่างแรง

“อ่ะ ทำงี้กะกุ ได้เสียละมึง” ผมเลยเดินไปกระชากตัวไอ้โค้กออกมาจากการโอบกอดของอีผู้หญิงคนนั้นด้วยความรวดเร็ว ไอ้โค้กเสียการทรงตัวเลยล้มตึงไปบนพื้นทราย ผู้หญิงคนนั้นกำลังจะเดินมาจิกตัวไอ้โค้กให้ลุกขึ้น ผมก็เอาตัวเข้าไปขวางไว้ก่อน

“ไอ้เชี่ย มันเป็นผัวมึงเหรอไง ขัดกูอยู่ได้” อีนั่นแผดเสียงใส่ผมอย่างดัง ทำเอาผมหน้าชาไปนิด

-เออ ขอโทษครับ อย่ามายุ่งกับเพื่อนผมเลย มันเมาแล้ว- ผมคิดในใจที่จะพูดตอบกลับไปแบบนี้ แต่ปากผมไวกว่าความคิด

“สัดด อย่ามาแรดกับเพื่อนกูนะ คิดว่าเป็นผู้หญิงแล้วกูจะต่อยไม่ได้เหรอ” ผมพูดไปทำท่ากำหมัดจะต่อย แต่มีคนมาแยกผมกะมันออกไปก่อน พอดีกะไอ้คิวซึ่งไม่ค่อยยี่หร่ะกับการแดกเหล้าเท่าไรมาพาผมกะไอ้โค้กซึ่งเมาแอ๋ กลับที่พัก

“ดูแมร่งเมาดิ เฮ้อ เกือบเสียความบริสุทธ์ให้คนม่ะรู้จักแล้วม่ะล่ะไอ้โค้ก” ผมบ่นให้ไอ้คิวที่กำลังยิ้มกริ่มห่าไรม่ะรู้ฟัง

“โอ่ เป็นห่วงเป็นยายยยย” มันแซว

“เอ๋า ก็น้องนี่หว่า” ผมพูดไม่สบตามัน

“เหรอออออออออออ ถ้าไม่ไปขัดไรมันเนี่ย ไม่แน่ป่านนี้มันอาจได้เมียแล้วก็ได้นา ไปขัดฟามสุขมันเป่าวะ” ไอ้คิวมันยังพูดไม่จบ

“เออ ช่าย กรุเสือกเองแหละ ทำมายวะ” ผมชักยัวะ เลยเดินออกมาข้างนอกบ้าน เสียงไอ้คิวตะโกนให้มาช่วยเช็ดอ๊วกไอ้โค้กดังออกมา แต่ผมม่ะสนหรอก ชิส์

กองไฟที่สุมอยู่ทั่วบริเวณที่จัดงานมันสูงแล้วก็สว่างพอที่จะมองเห็นจากที่พวกผมพักกันอยู่ หลังเที่ยงคืนงานคงใกล้จะเลิกกันซะที เสียงปะทุของไม้ที่เป็นเชื้อเพลิง พร้อมกับประกายไฟที่กระเด็นออกมา เปาะแปะๆ อาจจะทำให้ใครบางคนชอบอกชอบใจ เพราะว่าบางสิ่งบางอย่างที่เอาเป็นเชื้อเพื่อให้กองไฟส่องสว่างอยู่นั้น ไม่ได้มีแต่เพียงใบไม้หรือกองฟืนเท่านั้น แต่มีร่างกายของใครบางคนกำลังมอดไหม้อยู่ในกองไฟกองนึงภายในงานนั้นด้วย

คลื่นนนนนนนนนนน ซ่า …….

เสียงคลื่นซัดเข้ามากระทบกับชายหาด เช้าวันที่สามของการที่พวกผมสามคนมาถึงเกาะแห่งนี้ ดูเหมือนว่ามรสุมจะผ่านพ้นเกาะไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท้องฟ้าในเช้าวันนี้ดูเหมือนจะสดใสขึ้น คลื่นลมในทะเลสงบลง เรือประมงบางลำเริ่มจะออกไปหาปลากันตามวิถีชีวิตปกติ แต่ดูเหมือนจะมีเหตุการณ์ที่ไม่เป็นปกติอยู่เรื่องนึง บริเวณชายหาดที่เป็นสถานที่จัดงานฟูลมูนปาร์ตี้เมื่อคืนที่ผ่านมา พบร่างกายของคนคนนึงโดนเผาไหม้เกรียม สภาพศพดำเป็นตอตะโก เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าน่าจะโดนจับมาแล้วจุดไฟเผาหลังเที่ยงคืน และเนื่องด้วยภายในงานก็มีการจัดกองไฟอยู่รอบๆแล้ว จึงไม่มีคนสังเกต และเสียงดนตรีที่เปิดสนั่นหวั่นไหว จึงไม่มีใครคาดคิดว่า จะมีการใช้กองไฟเหล่านี้ เป็นเครื่องมือในการฆาตรกรรม

สิ่งที่ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงกับอึ้ง แล้วก็สยอดสยองก็คือ สภาพของศพที่นอกจากจะดำม่ะเมี่ยมแล้ว ร่างกายแต่ละส่วนยังโดนหั่นเป็นชิ้นเฉกเช่นเดียวกับศพที่โดนแขวนไว้บนต้นหว้าเมื่อคืนก่อน กลิ่นเนื้อที่โดนย่างยังคงลอยตลบอบอวลอยู่ภายในบริเวณนั้น ถ้าจะเปรียบการฆาตรกรรมคราวที่แล้วเหมือนหุ่นกระบอกโดนแขวนเอาไว้ การฆ่าในครั้งนี้ก็เหมือนเอาหุ่นกระบอกที่ไร้ประโยชน์แล้วมาเผาไฟทิ้งเพื่อไม่ให้เหลือซากนั่นก็ไม่ผิด

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #39 เมื่อ23-10-2006 05:25:23 »

ผมรู้สึกว่ามีมือนุ่มๆมาสัมผัสที่ใบหน้า ถึงแม้จะแผ่วเบา แต่ทำให้ผมค่อยๆรู้สึกตัว แต่ก็ยังหลับตาสลึมสลือเหมือนอยู่ในห้วงฝัน

“ โอ้ต …” ผมเผลอครางชื่อโอ้ตขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว มือที่สัมผัสใบหน้าผมหยุดกึก

Zzzzzzzzzzz Zzzzzzzzzzz


“ พี่ปริ้น พี่ปริ้น ” ผมถูกเขย่าตัวให้ตื่นขึ้นมา ไม่ใช่ใครที่ไหนไอ้โค้กนั้นเอง ผมไม่เข้าใจว่าทำไมมันไม่ปลุกไอ้คิวที่นอนแอ้งแม้งข้างๆผมก่อนนะ

“ ฮือ ว่าไง ” ผมรู้สึกว่ายังนอนไม่ได้เต็มที่

“ มีคนถูกฆ่าอีกแล้วคับ ” โค้กมันพูด

“ห่ะ ว่าไรนะ ” ผมทะลึ่งตัวพลวดขึ้นมาจากที่นอน

ผมตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงเอะอะโว้ยวายอยู่ข้างนอกตรงหาด “ ตำรวจเค้าจะสอบปากคำเราอีกรอบคับ ” โค้กบอกน้ำเสียงแสดงถึงความกังวลอย่างมาก

“ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วยเนี่ย ” ผมพูดพลางเกาหัวแกรกๆ

หลังจากที่ทำการปลุกไอ้คิวอย่างยากลำบากแล้ว ก็รีบแต่งตัวเดินออกไปดูเหตุการณ์บริเวณหาดที่จัดงานฟูลมูนเมื่อคืนนี้ กองไฟบางกองยังคงมีเสียงแตกเปรี้ยะๆ แสดงว่ายังไม่ดับสนิทดีอยู่ มีกองไฟอยู่กองนึงที่มีชาวบ้านพากันมุงดู พร้อมกับเสียงพึมพำเซงแซ่ไปทั่วบริเวณ

กลิ่นเนื้อไหม้ยังคงตลบอบอวล ทั้งๆที่ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณชายหาดแท้ๆ ดูเหมือนว่าศพที่ถูกฆาตรกรรมจะโดนเคลื่อนย้ายไปที่วัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังคงมีตำรวจบางคนเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุอยู่ ผมสังเกตเห็นว่า 1 ในนั้นคือตำรวจหนุ่มที่มาสอบปากคำพวกเราเมื่อวานนี้ ใกล้ๆกันพี่สิดยืนคุยหน้าตาเคร่งเครียดอยู่ พอพวกพี่เค้าเห็นพวกผม ก็เลยเดินออกมา

“ ไง ” พี่สิดทักพวกผม

“ หวัดดีคับ ” ผมทักทายพี่เค้าไป

“ แย่หน่อยนะ ตั้งแต่มาเที่ยวนี่เกิดเรื่องไม่ดีทั้งนั้นเลย ” พี่สิดแสดงความเห็นใจพวกผมที่ต้องมาเจอเรื่องแย่ๆแบบนี้ ทั้งๆที่มาเที่ยวพักผ่อนแท้ๆ

พี่สิดบอกพลางตบบ่าโค้กเบาๆแล้วก็เดินเลยออกไปที่รถที่ขับมา

“ นั่นดิ ว่าแต่ ใครเหรอครับ ” ไอ้คิวโพล่งถามตำรวจหนุ่มที่กำลังเดินผ่านขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ยังพิสูจน์ไม่ได้หรอกน้อง โดนเผาดำเป็นตอตะโกแบบนี้ ตำรวจหนุ่มส่ายหน้า พลางบ่นว่าสารวัตรก็มีธุระต้องออกจากเกาะไปแท้ๆ แล้วนี้แบบนี้จะทำยังไงกันต่อ พวกผมก็ถึงบางอ้อว่า ตาตำรวจที่ดูแก่ๆม่ะวานที่สอบปากคำพวกผมมะวานเป็นสารวัตรนี่เอง

“ แล้วไม่มีเบาะแสคนร้ายบ้างเหรอคับจ่า ” โค้กตัดสินใจถามสิ่งที่มันอยากรู้ ตำรวจหนุ่มมองหน้าแล้วก็ถอนหายใจ

“ มีสิ ” ตำรวจหนุ่มบอกแล้วก็หยิบกระเป๋าสตางค์เก่าๆใบนึงออกมา มีกระเป๋าตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ไม่ได้ถูกเผาไปด้วย “ แล้วอีกอย่างผมก็เป็นแค่หมวดยังไม่ได้เป็น - - - เฮ้ย .. ”

ไอ้โค้กถือวิสาสะคว้ากระเป๋าใบนั้นมาเปิดดูด้วยความรวดเร็ว จนตำรวจหนุ่มต้องรีบแย่งกลับคืนมา

“ เฮ้ย เราทำแบบนี้ได้ไง เดี๋ยวลายนิ้วมือก็ติดบนของกลางหรอก ” เจ้าตัวบ่นแล้วก็รีบเดินออกห่างพวกผมด้วยความหงุดหงิด

“ เด๋วพี่ พี่จะบอกว่า ศพที่โดนเผานี่คือพี่สิงห์เหรอ ”

ผมกะไอ้คิวอ้าปากค้างด้วยความตกใจ หมายความว่าไง กระเป๋าตังค์ที่เจออยู่นี่เป็นของพี่สิงห์งั้นเหรอ วันก่อนพี่ม่อนโดนฆ่า มาม่ะวานก็พี่สิงห์ ซึ่งเป็นคนที่พวกผมรู้จักทั้งนั้น คิดดูแล้วก็ไม่แปลกที่ตำรวจต้องสงสัยแล้วก็อยากสอบปากคำอีกรอบ อีกทั้งจุดนี้ม่ะวานพวกผมก็เดินออกมาเที่ยวงานฟูลมูนด้วย

“ ไม่ใช่หรอก สิงห์มันตัวใหญ่กว่านี้ ศพไม่ใช่สิงห์หรอก สิดมันมาดูแล้วคิดว่าไม่น่าจะใช่ แต่คงต้องตรวจสอบอีกที ตำรวจหนุ่มบอกด้วยความรำคาญ แล้วก็รีบเดินหนีไปขึ้นรถ ”

ผมเดินมาถามโค้ก

“ กระเป๋านั้นของใครอ่ะ ”

“ กระเป๋านั้นของพี่สิงห์แน่ๆ ผมเปิดดูเมื่อกี้ที่บัตรประชาชนไม่ได้ไหม้ไปด้วย เป็นรูปพี่เค้าอ่ะ ”

“ งั้นก็หมายความว่า… ถ้าพิสูจน์แล้วศพม่ะใช่ไอ้พี่สิงห์จริงๆ ก็แปลว่า ไอ้พี่สิงห์เป็นคนฆ่าอะดิ งั้นม่ะคืน ไอ้พี่สิงห์ก็ต้องฆ่าพี่ม่อนด้วยดิ ดูสภาพแล้วมันคนฆ่าคนเดียวกันชัดๆ ” ไอ้คิวออกความเห็น

“ คิดงั้นเหรอวะ ” ผมถามไอ้คิว

“ แล้วเมิงคิดว่ามันจะเป็นอะไรไปได้อีก มีหลักฐานตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ” คิวมันมองหน้าผม เหมือนกะมันก็ม่ะค่อยเชื่อว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้

“ พี่คิวคิดว่า ถ้าพี่สิงห์เป็นฆาตรกรที่ฆ่าพี่ม่อนเมื่อคืน แล้วยังมาฆ่าใครอีกคนก็ไม่รู้ด้วยวิธีที่ยุ่งยากแบบนี้ จะประมาททำหลักฐานที่จะมัดตัวเองตกได้ง่ายขนาดนี้อะนะ ”

โค้กพูดขึ้นมา แล้วก็เงียบเหมือนกำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่าง

“ โค้ก ถ้าเป็นอย่างที่เมิงว่าจริงๆนะ ป่านนี้ กรุก็คิดว่าไอ้พี่สิงห์ ก็คงไม่มีชีวิตอยู่ตอนนี้ล่ะวะ ” คิวมันบอกพลางมองหน้าไอ้โค้กที่พยักหน้าเห็นด้วย ผมมองหน้าตามไอ้สองคนนี้

“ กูก็ไม่เข้าใจ ว่ามึงสองคนจะทำตัวเป็นนักสืบทำบ้าไรวะ ”

***************************


บ่ายวันนั้น ผมทั้งสามคนก็ต้องถ่อไปให้ปากคำ โดยมีพี่โจ้พามาพร้อมกับความหงุดหงิดที่บังเกิดขึ้นกับพี่เค้า ผมก็เข้าใจนะว่าพี่เค้าก็คงไม่ชอบใจที่ตำรวจจะมาสงสัยอะไรพวกเรามากมาย

ตกบ่ายวันนั้นก็ยังไม่สามารถระบุเจ้าของศพได้ว่าเป็นใคร เพราะว่าบนเกาะไม่มีเจ้าหน้าที่ แล้วก็อุปกรณ์ในการตรวจชิ้นเนื้อได้ คงต้องรอให้พายุสงบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แล้วก็เป็นไปตามที่พวกเราคาดเอาไว้ ตำรวจได้กระจายกำลัง(ที่มีอยู่น้อยนิด) รวมถึงชาวบ้านในละแวกเดียวกัน ออกตามหาตัวสิงห์กันจ้าละหวั่น แต่ก็ไม่มีใครเจอตัว พวกผมสามคนก็ต้องนั่งๆนอนๆ อยู่ในบ้านพักกันโดยไม่รู้จะทำอะไร ได้แต่รอฟังข่าวที่มาจาก พ่อแม่ของพี่โจ้ เท่านั้น

“ กูว่าป่านนี้ไอ้พี่สิงห์ไม่หนีออกจากเกาะไปแล้วล่ะ ” คิวมันพ่นสิ่งที่ไม่อยากได้ยินออกมา

“ มึงคิดว่าเค้าจะหนีไปได้ไงวะ จะหนีขึ้นเรือข้ามฟากมันก็ปิดเพราะว่ามีพายุ ” ผมเถียงมัน

“ โห ไอ้ปริ้น มันเป็นชาวประมงนะ ทำไมมันจะไม่มีเรือวะ ” มันเถียงกลับมา

“ ถ้าเรือมันหายออกไปซักลำ ป่านนี้เค้าก็คงรู้กันแล้วล่ะ ว่าหนีไปทางเรือ ไม่ออกตามหาทั่วเกาะกันแบบนี้หรอก ”

ไอ้คิวทำหน้าเหมือนเถียงไม่ออก

“ งั้นป่านนี้ก็คงตายห่าที่ไหนซักแห่งแล้วล่ะ ” มันพูดเสร็จก็ล้มตัวนอนเอกขเนก

“ ผมก็ว่างั้นล่ะ ” โค้กซึ่งนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ พูดขึ้นมา

คลื่นนนน คลื่นนนนนนนน

เสียงฟ้าคำรามมาแต่ไกลทำให้รู้แล้วว่า ค่ำๆจะต้องมาฝนตกมาห่าใหญ่แน่นอน

หยั่งงี้โอ้ตมันจะมาได้ม่ะไรวะ กรุคิดถึงรู้เป่า ผมคิดในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งรอให้ถึงเวลาที่พายุมันจะเงียบสงบไปเอง

สักพัก น้องจ๋าก็วิ่งกระหืดกระหอบมาโผล่ที่หน้าต่างบ้าน

“ พี่ๆ คะ จ๋าจะเอาปลาหมึกไปให้ป้าดา แล้วก็จะไปซื้อของที่ตลาด พวกพี่ๆจะฝากซื้ออะไรมั้ยคะ ? ” จ๋าก็ยังทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีของพวกผมเสมอ

“ ไม่อ่ะคับ - - อ่ะ โค้กจะไปไหน ” ผมตอบปฏิเสธน้องเค้าไป แล้วก็หันไปมองไอ้โค้กที่ลุกขึ้นทำท่าจะเดินออกไปนอกบ้าน

“ อยู่ในบ้านอุดอู้อ่ะพี่ เด๋วผมว่าจะเดินไปเป็นเพื่อนน้องเค้าหน่อย มันจะเย็นแล้วอ่ะ ” โค้กมันบอก แล้วก็สวมรองเท้า ผมแอบมองแบบจับผิดว่า ไอ้โค้กมันสนใจน้องพี่โจ้เหรอเป่าวะ แต่คิดอีกทีก็ช่างมัน หันไปหาไอ้คิว ว่าจะคุยด้วย มันก็เสือกนอนหลับไปอีกแล้ว นอนได้ทั้งวันไอ้นี่ -*-

1 ชั่วโมงผ่านไป เม็ดฝนเริ่มตกลงมาเปาะแปะๆ จนกระทั่งหนักขึ้น หวนให้นึกถึงวันที่พวกผมมาถึงกันในวันแรก ด้วยความที่ไม่มีอะไรทำ ก็เลยหันไปค้นๆของในเป้โค้กมัน กะจะยืมวอร์คแมนมันมาฟัง

“ อ่ะ ! ”

มือผมไปสัมผัสกะห่อผ้าอะไรซักอย่างในกระเป๋ามันก็เลยหยิบขึ้นมาดู ปรากฏว่า เป็นตะขอที่หล่นอยู่ในบ้าน คืนวันที่เจอศพพี่ม่อนนะหล่ะ ผมค่อยๆจับมันระวังไม่ให้มือไปโดนตะขอ เหตุการณ์ที่พี่ม่อนโดนห้อยไว้บนต้นไม้ กลับมาหาผมอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมพยายามนึกว่าตะขอที่เกี่ยวกับอวัยวะของศพมันเหมือนกับอันนี้เหรอเป่า … บอกว่าให้ทิ้งไป ไอ้โค้กก็ยังแอบเก็บไว้อีกเหรอเนี่ย ยังคิดไรไม่ทันได้ พี่โจ้ก็วิ่งกางร่มหน้าตาตื่นขึ้นมา ไอ้คิวถึงกะสะดุ้งตื่นเสียงแก

“ เฮ้ย .. เฮ้ย ตื่น รู้แล้วว้อย ว่าใครเป็นคนฆ่าพี่ม่อน ” พี่โจ้ถึงจะมีร่มมา แต่อารามรีบร้อน เนื้อตัวก็เปียกปอนไปหมด

“ ครายเป็นคนทำอ่ะ ” คิวซึ่งยังเหมือนอยู่ในภวังค์ถาม

“ ไอ้สิงห์ ! ” พี่โจ้พูดขึ้นแบบกระอักกระอ่วน

ก็พวกเค้าเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันม่ะใช่เหรอไงวะ แล้วทำไมถึงต้องมาฆ่ามาแกงกันด้วย อ้าว … แล้วศพม่ะคืนก็ม่ะใช่ของพี่สิงห์อะดิ แล้วมันคือใครกันวะ ? สิ่งที่ผมคิดในหัวตอนนี้ทำให้รู้สึกสับสนมากมาย

“ แล้วพี่สิงห์มันสารภาพเหรอ แล้วตอนนี้มันอยู่ไหนอ่ะ ทำไมมันสารภาพง่ายจัง ” ผมถามพี่โจ้เป็นชุด

“ เจอมันที่ท้ายหมู่บ้านโน่น ” พี่โจ้พูดด้วยเสียงตื่นกลัว

“ เอ๋ .. หมายความว่าไง ” ผมถามย้ำ

“ มีคนไปเจอมันผูกคอตายอยู่ที่ต้นไม้ท้ายหมู่บ้านโน่น พร้อมกับจดหมายสารภาพ ”

“ ฮ่ะ ฆ่าตัวตาย !! ” ผมกะไอ้คิวพูดขึ้นเสียงดังพร้อมกันด้วยความคาดไม่ถึง

“ ทะ ทะ ทะ ทำไมอ่ะ ”

“ ในจดหมายมันอธิบายวิธีการฆ่าไอ้ม่อนละเอียดยิบ แล้วก็ไอ้คนที่โดนเผาเมื่อคืน ก็เป็นสารวัตรที่บอกว่าจะออกไปทำธุระที่เกาะเมื่อวาน ” คนที่มาตอบข้อสงสัยพวกผมเดินเข้ามาในบ้านตั้งแต่ตอนไหนม่ะรู้จนผม ไอ้คิว พี่โจ้สะดุ้งโหย่ง พี่สิดเดินเข้ามาตัวเปียกโชกเหมือนกัน หน้าตาดูเคร่งเครียด แล้วก็เหมือนจะร้องไห้

“ สารวัตร ! ทำไมสิงห์มันต้องฆ่าสารวัตรล่ะพี่สิด ” พี่โจ้ซึ่งดูเหมือนจะพอรู้จักกะสิงห์ที่เป็นเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ถามด้วยความไม่อยากเชื่อ

“ ดูเหมือนว่าสารวัตรจะสงสัยมันว่าเป็นคนฆ่าไอ้ม่อนนะซิ พอเห็นว่าจะออกไปทำธุระในตัวเมืองก็เลยจัดการเก็บซะเลย ” พี่สิดอธิบายเนื้อหาในจดหมายที่พบอยู่ในกระเป๋าเสื้อโปโล ว่าสิงห์มันแค้นแล้วก็ไม่พอใจพี่ม่อน มาตั้งนานแล้ว มีหลายครั้งที่ทะเลาะกันเรื่องงาน หรือเรื่องส่วนตัว เรื่องผู้หญิงหลายๆอย่าง ที่มันฆ่าสารวัตรก็เพราะว่าดันไปสืบรู้ว่ามันเป็นคนร้าย ก็เลยจัดการเผาซะ อย่างน้อย กว่าจะรู้ว่าใครเป็นศพ มันก็คงหนีไปได้ไกลแล้ว แต่ไม่นึกว่าพายุมันจะเข้าหลายวันแบบนี้ อีกทั้งทำกระเป๋าตกไว้อีก ไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง จึงเลือกฆ่าตัวเองตายซะงั้น

“ ไม่น่าเล้ย เพื่อนกูทั้งนั้น ไอ้สิงห์ก็ไม่น่าคิดอะไรสั้นๆแบบนี้ ถึงว่าเมื่อคืนนี้ มาชวนแดกเหล้าตั้งแต่หัวค่ำเลย ” พี่สิดบ่นให้พวกผมได้ยิน

“ โห พี่ ดีนะที่ไอ้พี่สิงห์มันไม่จัดการพี่อีกคนอ่ะ ” คิวพูดแบบทึ่งๆที่รู้ว่าก่อนหน้าที่สิงห์มันจะปฏิบัติการเอาสารวัตรไปเผา ยังมีอารมณ์มากินเหล้าอยู่อีก สงสัยแดกเพื่อย้อมใจมั้ง

“ เออดิ แต่พอตอนเที่ยงคืนหน่อยๆ มันก็กลับบ้าน สงสัยหลังจากนั้นหล่ะ ” พี่สิดบอก

“ เอ๊ะ … ” ผมเผลอครางออกมาเหมือนนึกอะไรออก พี่โจ้หันมาทางผมแป็บนึง แล้วก็เดินไปส่งพี่สิดที่บอกว่าต้องกลับไปจัดการทั้งงานศพสิงห์อีกคน สายฝนยังคงกระหน่ำตกแบบไม่ลืมหูลืมตา ผมเลยเดินกางร่มไปส่งพี่สิดที่รถ พอดีกับจ๋ากะไอ้โค้กเดินสวนมาพอดี โค้กมันเห็นพี่สิด รู้สึกว่ามันตกใจนิดหน่อย

“ ไปไหนของมึงมานานมากเลยโค้ก ไปทำไรน้องเค้ามาล่ะซิ ” ผมกระซิบถามมัน

“ ป่าว จะบ้าเรอะคิดไรเนี่ยพี่ ” โค้กมันบอกแบบไม่สบอารมณ์ แต่ก็ยืนรอผมส่งพี่สิด ก่อนจะไปพี่สิดเปิดหน้าต่างแล้วก็ไขกระจกพอให้ผมได้ยินเสียงแก แต่ก็ไม่ชัด

“ เค้าพูดไรของเค้าวะ ” ผมหันหน้าไปถามโค้ก แล้วก็ยื่นหัวไปฟังในรถ ปรากฏว่าแกบอกว่า พรุ่งนี้ให้บอกที่บ้านพี่โจ้ ว่าจะวานให้ช่วยงานศพที่วัดหน่อย เพราะดูเหมือนจะขาดคน ผมก็ตอบตกลง แล้วก็ชวนไอ้โค้กจะเข้าบ้าน แต่มันก็ยื่นอึ้งทั้งๆที่กางร่มอยู่

“ เป็นไรมึงเนี่ยโค้ก ” ผมเขย่าตัวมันจากเบาไปจนแรง มันยืนแข็งค้างตาแป๋ว จนผมเห็นว่ามันไม่ขยับก็เลยไปตบหน้ามันเบาๆ

“ เฮ้ย .. ”

“ อะ อะไร มาตบหน้าผมทะไมเนี่ย ” มันได้สติลูบแก้มเบาๆ แล้วก็เลยชวนกันเดินเข้ามาในบ้าน พี่โจ้กลับไปบ้านตัวเองแล้วก็เหลือแต่ไอ้คิวนั่งคนเดียว พอเห็นพวกผม มันก็บ่นอีกว่าหายไปไหนมาปล่อยให้มันอยู่คนเดียวอีกแล้ว

“ รู้เรื่องแล้วใช่เป่า ” ผมถามโค้ก มันก็พยักหน้า แถมมันบอกว่า มันเดินไปดูกะน้องจ๋ามาเห็นกะตาแล้วด้วย โห ดูมันอัพเดท

“ ทีนี้ก็หมดเรื่องซะที เฮ้ออ น่ากลัวชิบหาย ” คิวบอกแบบโล่งอก “ กรุยังนึกเลยว่ายังจับคนร้ายม่ะได้นี่ สงสัยกรุอาจจะโดนฆ่าไปด้วย ดีนะ ”

“ พี่ ผมว่า - - ” โค้กมันเหมือนจะพูดไรบางอย่าง

“ ว่าไร” ผมถามด้วยความสงสัย “ ตั้งแต่ม่ะกี้ที่เมิงยืนอึ้งก็ด้วย มีอะไรโค้ก ”

“ ผมว่า คนร้าย ไม่ใช่สิงห์ ” มันพูดพึมพำหันหน้าไปทางอื่น

“ เมิงบ้าป่ะ ไอ้โค้ก อย่าเพ้อเจ้อดิ หลักฐานทุกอย่างมันก็บอกอย่างงั้นอยู่แล้ว เมิงจะมา - - ”

“ เพ่คิว ไอ้กระเป๋าตังค์ที่ตกอยู่อ่ะ ถ้าฆาตรกรมันต้องการจะใส่ร้ายสิงห์มันก็ทำได้อยู่แล้วล่ะ ” ไอ้โค้กเถียง

“ แล้วจดหมายล่ะ ได้ยินว่า มันก็เป็นลายมือของสิงห์มันจริงๆม่ะใช่เหรอ ” ผมพูดบ้าง ทั้งๆใจจริงผมก็ตะหงิดๆล่ะว่า ทำไมเหตุผลแค่ไม่ชอบหน้า แค้นเรื่องงานแค่นี้ ถึงกับต้องมาวางแผนวิปริตขนาดนี้เชียวเหรอ

“ เท่าที่ผมได้ยินหมวดเค้าอ่านอ่ะ ในจดหมายไม่ได้บอกว่าระบุว่า สิงห์เป็นคนทำนะครับ มีแต่คำแทนตัวเองว่า ผม ผม ผม ทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้น - - - ” โค้กมันยังพูดไม่จบไอ้คิวก็เถียงกลับมา เหมือนเบื่อเรื่องนี้เต็มทน

“ เมิงจะบอกว่า ไอ้สิงห์มันโดนผีสั่งให้เขียนจดหมายสารภาพเหรอไง คนบ้าอะไรจะทำ แล้วถ้ารู้ว่าคนร้ายมันฆ่ายังไง ทำไมไม่ไปบอกตำรวจล่ะวะ จะได้ไม่โดนฆ่า ”

ไอ้โค้กถอนหายใจ

“ พี่คิว พี่ปริ้น เมื่อกี้ตอนผมแวะไปบ้านป้าดากับจ๋า - - อย่าหาว่าผมเสียมารยาทเลยนะคับ ผมก็ดูของอะไรไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะพวกหุ่นอะไรที่พี่มุกเค้าชอบเนี่ย ”

ผมกะไอ้คิวฟังโค้กมันพูด แล้วก็เหมือนจะถามเป็นนัยๆว่า “แล้วไง”

“หุ่นบางตัวก็มีแผ่นกระดาษแปะข้อความไว้ ว่าใครเป็นคนให้ พี่มุกไม่ได้ซื้อของพวกนี้มาเองทุกอันหรอก”

“แล้วไง แล้วมันเกี่ยวไรกะพี่มุกที่ตายไปแล้วด้วยวะ !? ” คิวมันดูเหมือนจะเหลืออดที่โค้กมันไม่พูดให้กระจ่างซะที

“ส่วนใหญ่แล้ว รู้สึกว่า พี่สิด จะเป็นคนซื้อหุ่นพวกนี้ให้พี่มุก”

“เอ๊ะ” ผมครางออกมา แล้วก็เก็ทว่าโค้กมันคิดไรอยู่ ไอ้คิวก็เหมือนกัน แต่ดูเหมือนจะไม่เชื่อ

“เมิงบ้าไปแล้ว กรุไม่คิดว่ามันเกี่ยวกันหรอก”

“พี่สิดกับพี่มุกเคยคบกันเป็นแฟนด้วยครับ” โค้กมันบอกในสิ่งที่มันรู้ในที่สุด “ผมถามป้าดา เพราะว่าสงสัยว่าทำไมหุ่นแต่ละตัวมีชื่อพี่สิดทั้งนั้น”

“อ๊ะ” ผมสะอึก แต่ไอ้โค้กก็เล่าต่อ

“แต่พี่สิดกับพี่มุกไม่ได้แต่งงานกันหรอก เพราะว่าพี่มุกจะไปแต่งงานกับพี่ม่อนแทน”

“เอ๋” คราวนี้เป็นคิวที่พ่นเสียงออกมา

“เรื่องมันเป็นยังไงวะ กรุชักมึนแล้วดิ ถ้าเค้ากำลังจะแต่งงานจะพี่ม่อน แล้ว แล้ว แล้ว - - -” คิวมันดูเหมือนจะคิดออก

“เมิงจะบอกว่า พี่สิดเป็นคนฆ่าพี่ม่อนเพื่อแก้แค้นเหรอวะ แล้วไอ้สิงห์อ่ะทำไม - -” คิวมันพูดไม่ออก

“ผมว่าสิงห์มันคงร่วมมือกับพี่ม่อนทำอะไรซักอย่าง พี่สิดก็เลยจัดการไปด้วย ส่วนที่ต้องฆ่าสารวัตร ก็คงเป็นเพราะว่าสารวัตรคงจะรู้ว่าใครเป็นคนร้ายน่ะล่ะ ”

“เด๋วๆ ที่พูดมาเนี่ย มึงคิดเองทั้งนั้นเลยนี่หว่า มันไม่มีหลักฐานอะไรเลยนะว้อย ไม่มีหลักฐานว่าพี่สิดเป็นคนฆ่าพี่ม่อน เมิงอย่าลืมดิ เมิงจำได้เป่า เค้าจะไปฆ่าพี่ม่อนตอนไหน หลังจากเจอที่ท่าเรือ แล้วก็ข้ามมาที่เกาะเนี่ย พี่สิด พี่ม่อน ก็อยู่กันครบ แล้วเมิงจะมาบอกว่า เค้ามาหั่นในเกาะเนี่ยนะ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด อย่าลืมดิ พี่ม่อนลงเรือ พร้อมๆกับเรา (คิดว่า) แล้วจากนั้นพี่สิด ก็อยู่กับพวกเรามาตลอด มากินเหล้าที่บ้านพี่โจ้ แล้วก็กลับบ้านไปไม่ถึงชั่วโมง ก็เจอศพไอ้พี่ม่อนแขวนอยู่บนต้นไม้ ยังไงก็ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน”

ผมอยากจะเชื่อที่โค้กมันพูด แต่ผมก็พยายามลำดับเหตุการณ์แล้วก็ข้อแก้ต่างของพี่สิด ที่มีทั้งหลักฐาน ทั้งพยานบุคคล

“เรื่องที่ฆ่าพี่ม่อน ไม่ได้ฆ่าบนเกาะนี่หรอกคับ พี่ปริ้น” โค้กบอกผมใจเย็น

“เอ๋ ” ผมกะไอ้คิวครางออกมาพร้อมกันอีกแล้ว

“ถ้าพี่สิดจัดการกับศพพี่ม่อนที่อื่น ที่ม่ะใช่บนเกาะนี้ ในวันที่เราเดินทางมาล่ะคับ ? ”


ผมมองหน้าคิว แล้วมันก็หันหน้าไปทางโค้กอีกทีนึง

ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่ฟังไอ้โค้กมัน



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
« ตอบ #39 เมื่อ: 23-10-2006 05:25:23 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #40 เมื่อ23-10-2006 05:26:00 »

**************************************************************************************************
ไม่เสียใจที่รักเธอ ของสุเมธ  & เดอะปั๋ง
[wma=300,50]http://www.switchpod.com/users/keepidea/ไม่เสียใจที่รักเธอ.MP3[/wma]
**************************************************************************************************


วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีที่สดใสมากขึ้น พายุได้เคลื่อนผ่านพ้นเกาะไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข่าวดีที่ได้ในเช้าวันที่สี่คือ โอ้ตโทรมาบอกว่า พรุ่งนี้มันจะได้เรือมาซะที อาไรว้า นี่กว่าจะเจอมันก็ต้องวันพรุ่งนี้เหรอเนี่ย … แต่ก็ม่ะเป็นไร ค่ำนี้ มีบางอย่างที่พวกผมต้องทำกัน เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่า ใครเป็นฆาตรกรกันแน่

ตลอดทั้งวัน วัดที่เป็นที่เก็บศพทั้งสามกำลังจะมีการสวดตั้งอภิธรรมเป็นวันแรก หลังจากที่ตลอดสามวันที่ผ่านมา มีการฆ่ากันถึงสามศพ ชาวบ้านต่างมาช่วยกันคนล่ะไม้คนล่ะมือ ถึงแม้ว่า ทั้งพี่ม่อน สิงห์มันจะเป็นคนที่ไม่ชอบของชาวบ้านเท่าไร แถมครอบครัวก็ไม่มีอีก แต่คนแถวนี้ก็เต็มใจที่จะช่วย ผมสามคนก็เช่นกัน

“แน่ใจเป่าวะ ไอ้โค้ก ถ้าไม่เป็นอย่างที่มึงบอกเนี่ย พวกกรุอาจจะโดนซิ่งเข้าคุกฐานหมิ่นประมาทได้เลยนะ”

“55 กลัวเหรอพี่ปริ้น” มันยังมีหน้ามาถาม จากนั้นมันก็จ้องหน้าผมแบบจริงจัง โคตรเท่ห์เรย

“พี่ม่ะเชื่อผมเหรอคับ” มันพูดไปแล้วก็จ้องตาผมแป๋ว จนต้องหลบสายตา

“เมิงมาจีบห่าไรกันตอนนี้เนี่ย ม่ะได้ดูสถานการณ์เรย”

“จีบพ่องมึงดิ” ผมบ่น


***************************


ดวงอาทิตย์ตกดินไปไม่นาน บรรยากาศรอบๆวัด มีเพียงคนที่รู้จักของสองคนนั่น แล้วก็เจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนมาดูแลเท่านั้น ส่วนศพของสารวัตรจะมีการทำพิธีตอนหลัง เพราะต้องมีขั้นตอนอะไรอีกเยอะ

ภายในบ้านพักของพวกผม กลับมาเงาร่างของใครบางคนเดินเข้ามาเงียบๆ เจ้าตัวคงคิดว่า คนที่อยู่ในบ้านไปที่วัดกันหมด จากนั้นจึงส่องไฟฉายหาอะไรบางอย่าง

“ห่าเอ้ย อยู่ในวะ กูว่ามันหายไปอันนึง น่าจะอยู่แถวนี้นี่หว่า” เจ้าตัวบ่นไปหาบางอย่างไป

กริ๊ก

เสียงสวิตเปิดไฟ พร้อมกับแสงสว่างสาดส่องไปทั่วห้อง ดูเหมือนเจ้าตัวจะตกใจเหมือนกัน

“หาไรอยู่เหรอคับพี่สิด ” โค้กค่อยๆเดินเข้าไปในบ้านที่พี่สิดกำลังส่องไฟหาของบางอย่างอยู่

“เออ เออ … พี่ว่า เมื่อคืนตอนที่เข้ามาที่บ้านนี้ จะทำแหวนตกที่นี่อ่ะ หาไงก็หาไม่เจอ” พี่สิดพูดเหมือนแก้ตัว แถมทำท่าทางลุกลี้ลุกล้นไม่สมกับเป็นแกเลย

“พี่ใส่แหวนด้วยเหรอคับ ผมไม่ยักสังเกต” ไอ้โค้กถาม พี่สิดหันมามองโค้กมันสายตาไม่เป็นมิตรขึ้นมาทันที เหมือนจะรู้ว่า ไอ้โค้กกลับมาเพราะรู้ว่าพี่สิดมาที่นี่

“แหวนที่พี่บอกทำตกเนี่ย เป็นแหวนแต่งงานเหรอครับ” โค้กมันพูดเหมือนจะยั่วให้พี่สิดโกดมากขึ้น ซึ่งก็ได้ผล ดูท่าทางและสายตาของคนๆนี้ในตอนนี้แล้วเหมือนกับเปลี่ยนเป็นคนล่ะคน

“ผมว่าพี่ทำไอ้นี่ตกไว้มากกว่ามั้ง” โค้กมันพูดขึ้นมาพร้อมกับชูตะขอเกี่ยว ขึ้นมา พี่สิดมองตาค้าง

“มึงอยากจะพูดอะไร ไอ้เด็กบ้า” น้ำเสียงและสรรพนามบอกถึงอารมณ์ที่เริ่มประทุของพี่สิด ไอ้โค้กกลืนน้ำลายนึงอึ๊ก แล้วก็กลั้นใจพูดออกไป

“พี่สิดเป็นคนฆ่าพี่ม่อน สารวัตร แล้วก็สิงห์ใช่มั้ยครับ ” ไอ้โค้กมันถามโต้งๆไปซะอย่างงั้น

“5555555” เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของชายที่อยู่ตรงหน้าของไอ้โค้กทำให้มันรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาแบบบอกไม่ถูก ซักพัก ใบหน้าพี่สิดก็กลับมาเป็นแบบเดิม ไม่มีอารมณ์โกดเหลือให้เห็น

“พูดอะไรออกมาระวังปากมั่งนะไอ้หนู อย่าคิดว่าเป็นเด็กแล้วจะเข้าคุกไม่ได้ พูดแบบนี้แจ้งข้อหาหมิ่นประมาทได้เลยนะโว้ย”

“พี่หลอกให้สิงห์เขียนจดหมายลาตายสารภาพว่าตัวเองเป็นฆาตรกร ฆ่าทั้งพี่ม่อน ทั้งสารวัตร” โค้กมันพูดต่อไปแบบไม่หยุด พี่สิดมองหน้าไอ้โค้ก พลางยิ้มกริ่ม

“มึงคิดว่า ไอ้โง่หน้าไหนจะเขียนจดหมายลาตายให้ตัวเองวะ ” พี่สิดพูดพลางเริ่มขยับเท้าเข้ามา

เป็นทีไอ้โค้กยิ้มบ้าง

“สิงห์มันไม่รู้ซะหน่อย ว่าจดหมายที่เขียนอ่ะ มีไว้สำหรับมัน”

ดูเหมือนว่าจะมีอะไรทำให้ใบหน้าของสิดกระตุกเล็กๆ แต่ก็ยังมีรอยยิ้มอยู่ในที

“พี่บอกว่าคืนที่สิงห์ตาย มันไปกินเหล้ากับพี่ใช่ป่าว พี่อาจจะพูดอะไรซักอย่าง เกลี้ยกล่อม บังคับ หรือทำทีสารภาพว่าพี่สิดเป็นคนร้ายต่อหน้าสิงห์ก็ได้ พี่ขอให้สิงห์เขียนจดหมายลาตาย สารภาพทุกอย่างที่ทำลงไป ซึ่งก็เป็นเรื่องที่พี่โม้ขึ้นมา สิงห์มันก็เออออ ก็จริง ถ้าเป็นคนปกติ ก็คงไม่มีใครยอมเขียนจดหมายนั่นแน่ๆ เพราะลายมือมันพิสูจน์กันได้ แต่ถ้าเหล้าเข้าปาก หรือไม่ก็โดนบังคับ หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของสิงห์ก็เหอะ พี่ก็ทำให้เค้าเขียนได้ - - ”


“หึ พูดเป็นตุเป็นตะ ที่พูดมามีหลักฐานเหรอเปล่าล่ะ ว่ากูเป็นคนบังคับให้มันเขียน ฮ้า ” พี่สิดตวาดเสียงดัง ไอ้โค้กถอยหลังไปก้าวนึง แต่ก็ยังดูมั่นคงกับความรู้สึกตัวเอง

“มันไม่มีหลักฐานก็จริง แต่สิ่งที่พี่พูดมันขัดแย้งกับสิ่งที่ผมเห็น ” ผมเดินตามเข้ามาในบ้านเผอิญหน้ากับพี่สิดอีกคน

“อะไร มึงด้วยอีกคนเหรอไอ้เด็กต่างถิ่น” พี่สิดเห็นผมเดินเข้ามา

“พี่บอกว่า สิงห์กะพี่นั่งกินเหล้ากันจนถึงเที่ยงคืนใช่มั้ย ผมได้ยินพี่พูดเมื่อคืน” ผมถามเหมือนจะท้าต่อยซะอย่างงั้น

“อะ เออ” พี่สิดตอบเหมือนจะไม่ค่อยแน่ใจ แต่ก็ยังจ้องหน้าพวกผมสองคนเขม็ง ตอนนี้ถ้าพี่แกจะจัดการทำไรกะผมสองคนย่อมไม่รอดแน่ๆ ถึงมีกันสองคน แต่ก็ไม่ได้เป็นข้อได้เปรียบอะไรเลย

“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ” ผมพูดขึ้นมา

“มึงว่าไรนะ” พี่สิดถามผมเสียงแปร่ง

“พี่บอกว่า พี่กินเหล้ากะสิงห์ตั้งแต่หัวค่ำ ยันเที่ยงคืนก็ออกไป แต่ผมเห็นสิงห์มันมาด้อมๆมองๆแถวๆงานตอนสี่ทุ่มนะ”

สิดยืนนิ่งไม่พูดอะไรออกมา แต่สายตากลับแฝงด้วยความเกรี้ยวกราดอีกครั้ง

“กูจะจำเวลาผิดไปมั่งไม่ได้เหรอไงวะ” เสียงที่ตะคอกกลับมานั้น เหมือนเป็นเสียงที่จะหลบเลี่ยงความผิดมากกว่า

“แล้วกูจะไปฆ่าไอ้สิงห์ไอ้ม่อนทำไมกัน แล้วก็สารวัตรนั่นอีก กูจะทำไปทำไม ”

“เรื่องของเรื่องทั้งหมด ก็เพราะเรื่องพี่มุก ถูกใช่มั้ย” โค้กบอกในสิ่งที่ทำให้พี่สิดหน้าซีดเผือด

“พะ พวกมึง …” เสียงพี่สิดขาดไป แต่กลับมาด้วยเสียงหัวเราะที่เย็นยะเยือก

“หึหึหึ มึงพูดบ้าๆ กูจะไปฆ่าไอ้ม่อนได้ตอนไหน ทุกคนก็เห็นว่ากูอยู่ที่ไหน จนกูกลับบ้านไป ไอ้ม่อนมันก็เป็นศพ มึงคิดว่ากูจะไปฆ่ามันตอนไหน ? ” สิดพูดขึ้นมา พร้อมกับขยับตัวเข้ามาหาเราสองคนมากขึ้น ผมสังเกตเห็นความผิดปกติ แต่ดูเหมือนไอ้โค้กจะตั้งหน้าตั้งตาเผยความจริงมากกว่าเลยไม่เห็น

ผมเอาแขนไปสะกิดกับมันนิดหน่อย แต่มันก็ไม่รู้สึก

“ชั่วโมงเดียว อาจจะทำไม่ได้ แต่ถ้ามีเวลาสามสี่ชั่วโมงก็เหลือเฟือ” โค้กมันว่า ผมก็หันไปมองมันด้วยความแปลกใจ เมื่อคืน มันยังไม่ได้บอกผมเรื่องข้อแก้ต่างข้อนี้ของพี่สิดหรอก

พี่สิดมองหน้าไอ้โค้กเงียบ เหมือนจะอยากรู้ว่าไอ้โค้กมันรู้ดีแค่ไหน ระยะห่างระหว่างพวกเรากะพี่สิดดูเหมือนจะเหลือน้อยลงเต็มที

“ดูเหมือนว่าถ้าข้อแก้ต่างข้อนี้มันหมดไป พี่ก็คงยอมรับใช่มั้ย ว่าพี่เป็นคนทำจริงๆ ”

“ไอ้เด็กเหี้ยเอ้ย !!! ” สิ้นเสียงเท่านั้นแหละ พี่สิดก็กระโจนเข้ามาที่ไอ้โค้กทันที ดูเหมือนว่าไอ้โค้กก็ไม่ทันสังเกต ทำให้โดนตะคลุบตัวไปนอนแอ้งแม่งบนพื้น

“เฮ้ย ไอ้เชี่ย ทำไรเพื่อนกู” ผมตะโกนอย่างตกใจ เมื่อเห็นไอ้พี่สิดตะบันหมัดเข้าไปที่หน้าไอ้โค้กทีนึงแล้ว ผมวิ่งเข้าไปหมายจะใช้เท้าเตะเต็มแรง แต่ดูเหมือนมันจะเห็นก่อนหลบไปได้ทัน ทำให้ผมเสียศูนย์ถ่วงเล็กน้อย ไอ้พี่สิดวิ่งพลวดเข้ามากระแทกตัวผมล้มไปนอนหมดท่าบนพื้นอีกคน พี่สิดย่างสามขุมเข้าไปหาไอ้โค้ก

“พูดมากดีใช่มั้ยไอ้เด็กเหี้ย เดี๋ยวกูจะทำให้มึงพูดไม่ได้อีก” ไอ้พี่สิดพูดพลางง้างขาจะเตะไอ้โค้ก แต่มันพลิกตัวหลบได้ทัน ฉับพลันกับประตูบ้านก็ถูกกระแทกเปิดออก พี่หมวดคนที่จัดการคดีวันก่อน ใส่ชุดครึ่งท่อนโผล่พลวดเข้ามาล็อกตัวพี่สิดไว้ได้ก่อน มีไอ้คิว พี่โจ้ วิ่งเข้ามาติดๆ

“ปล่อยนะหมวด ทำไมหมวดมาจับข้าแบบนี้ ต้องจับไอ้เด็กเหี้ยนี่ซิ มันใส่ร้ายผมนะ”

“เฮ้ย มึงใจเย็นๆซิไอ้สิด ถ้ามึงไม่ได้ทำอย่างที่น้องเค้าบอกแล้วมึงจะโกดทำบ้าอะไร” หมวดสวนกลับเข้าไปทำให้พี่สิดสะอึกขึ้นมา ไอ้คิวพยุงตัวผมขึ้นมา (ผมด่ามันเบาๆว่าทำไมไม่เข้ามาเร็วกว่านี้วะ แอบฟังกันอยู่ตั้งนาน แสด)

“พูดอะไรนะ หมวด” พี่สิดร้องเสียงหลง หมวดเชื่อไอ้เด็กพวกนี้มันกล่าวหาข้างั้นเหรอ

“ฟังพวกน้องมันพูดให้จบก่อน แล้วค่อยฟ้องหมิ่นฯก็ไม่สายไปหรอก” พี่หมวดฯพูดขึ้นมาแล้วก็หันไปทางไอ้โค้ก

“เอ้า จะอธิบายยังไงว่ามา ถ้ามันไม่ใช่เรื่องจริงเนี่ย โดนเค้าฟ้องติดคุกหัวต่อแน่”

ไอ้โค้กมันเหมือนจะยิ้มสะใจนิดนึงก่อนจะเริ่มอธิบายในสิ่งที่มันเห็น

“พี่สิดไม่ได้ฆ่าพี่ม่อนบนเกาะนี่หรอกครับ แต่พี่สิดจัดการพี่ม่อนที่ท่าเรือ ระหว่างที่เรารอเรือข้ามฟากมากันอยู่ ”

ไม่บอกก็ต้องรู้ว่า ทุกคนยกเว้นพี่สิดกับไอ้โค้ก ที่ดูเหมือนจะตกตะลึง

“หึ ไอ้โง่ มึงก็เห็นตอนที่อยู่บนเรือ ไอ้ม่อนมันก็นั่งมาในรถ หรือว่ามึงคิดว่ากูฆ่ามันแล้วก็เอาตัวไปใส่ในรถเหรอไง แบบนั้นตอนขนออกมา คนเค้าก็เห็นกันหมดแล้ว” พี่สิดหัวเราะเยอะไอ้โค้ก แต่ดูเหมือนมันจะไม่สะทกสะท้าน (ไอ้คิวกระซิบบอกผมเสียงสั่นว่า โอ้ย กรุหมดกัน ต้องเข้าคุกแน่ๆ)

“ใช่พวกผมเห็นพี่ม่อน ในรถอ่ะนะ แล้วพี่ก็ไม่ได้ฆ่าพี่ม่อนบนเรือแน่ๆ” ไอ้โค้กสารภาพ

“แต่ที่พวกผมเห็นอ่ะ พวกผมเห็นแค่หัว ที่ติดอยู่กับพนักพิงแค่นั้น ” โค้กมันพูดเน้นบางคำ ผมถึงกะสะอึก

“ไอ้น้องๆ พูดอะไรออกมานะ ” พี่หมวดหันมาหาไอ้โค้ก พลางทำหน้าตาเหมือนจะไม่เชื่อ

“พี่สิดต้องการให้พวกผมเห็น - - เอ หรือไม่ก็ตาม แค่ใครก็ตามที่ผ่านไปตอนนั้นเห็นว่า พี่ม่อนอยู่ในรถพี่สิดแน่ๆ เพื่อยื่นยันว่าพี่ม่อนหายไปหลังจากที่กลับมาถึงเกาะแล้ว” โค้กมันหยุดพูดแป็บนึง

“ผมจำได้ว่า พี่ทำทีเป็นเข้าไปถามว่าพี่ม่อน แต่ก็บอกว่าพี่ม่อนหลับอยู่ อีกอย่างฟิล์มที่ติดที่กระจกรถมันก็มืดมากๆ พี่คงจะใช้ลูกโป่งทำเป็นตัวแล้วก็เอาผ้าห่มคลุมให้แค่หัวที่มัดหลวมๆอยู่กับพนักพิงยื่นออกมา แค่นี้ พวกเราก็คิดว่า พี่ม่อนตอนนั้นอยู่ในรถพี่จริงๆ”

“เมิงกำลังจะบอกว่า ที่เราเห็นในรถนั่น มันคือแค่หัวของพี่ม่อนเหรอวะ โค้ก” คิวถามเสียงหลง เพราะมันก็เห็นอยู่ โค้กมันพยักหน้าตอบ

“ทีนี้ ถ้าเหลือแค่ส่วนหัว หลังจากที่พวกผมเดินออกไปแล้ว พี่ก็แค่หยิบหัวพี่ม่อนลอดผ่านกระจกแล้วก็เก็บไว้ในกระเป๋าใบไหนซักใบของพี่ที่อยู่ท้ายรถก็ได้ ส่วนตัวที่เป็นลูกโป่งยิ่งทำลายหลักฐานได้สบาย”

พี่หมวดฟังไอ้โค้กอธิบายเป็นฉากๆ ก่อนที่จะหันหน้าเหมือนจะถามกับพี่สิด

“หมวด อย่าไปเชื่อมันนะ ถ้าข้าตัดหัวมา แล้วตัวมันจะหายไปได้ยังไง 55 อย่าลืมซิ ตอนที่มันแขวนอยู่บนต้นไม้ มันก็อยู่ครบไม่ใช่เหรอไง”

“พี่อย่าลืมซิ .. ท้ายรถของพี่อ่ะมีอะไร” โค้กมันเหมือนจะรู้ทุกอย่าง สิ้นเสียง ไอ้พี่สิดก็เงียบ ไม่พูดอะไรอีก

“ท้ายเป็นลังที่ใส่ปลา พวกพี่บอกว่า เอามาขาย ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ลังมันคงโล่ง ถ้าแค่ชิ้นส่วนของคนที่โดนตัด คงยัดเข้าไปในลังได้แน่ แล้วก็คิดว่า คราบเลือดพี่ม่อน ก็ยังมีอยู่ในลังแน่ๆครับ”

“เลือดคนกับเลือดปลายังไงก็ดูไม่ออกอยู่แล้วใช่ม่ะ อืมม แบบนี้นี่เอง ” พี่หมวดพูดเหมือนจะเชื่อในสิ่งที่ไอ้โค้กอธิบาย

“เหตุผลที่พี่ต้องทำศพให้เหมือนกับหุ่นกระบอก ก็เพราะว่า ถ้าแค่เอาตะขอเกี่ยวเข้ากับส่วนตัว มันก็จะประกอบเข้ากันได้ง่ายนั้นล่ะ พอมาถึงศพสารวัตร ซึ่งไม่ได้มีอยู่ในแผนการของพี่ พี่ฆ่าสารวัตรเพราะว่าเริ่มสงสัยในตัวพี่ แล้วก็รู้ว่ามาสารวัตรต้องออกจากเกาะไปทำธุระ ยิ่งทำให้ยืดเวลาให้การตรวจสอบทำลายหลักฐานมากขึ้น อีกอย่าง ศพที่เผาไฟแล้วอ่ะ การจะหั่นเป็นท่อนๆ มันง่ายกว่าตอนสดๆมากนักล่ะ ” โค้กมันอธิบายเป็นฉากๆ ในขณะที่พี่สิดกลับนิ่งเงียบไม่พูดอะไร

“หลังจากนั้น พี่สิดก็จัดการล่อให้สิงห์มันมาหาพี่ แล้วก็จัดการบังคับมันเขียนจดหมาย แล้วก็ฆ่าทีหลัง นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าพี่ทำ” มันพูดจบก็มองแน่วไปที่ร่างพี่สิดที่ยังยืนก้มหน้าเงียบเชียบ

“แต่พี่ก็ทำพลาด โค้กมันยื่นตะขอขึ้นมาให้กับหมวด วันที่พี่จะเอาศพพี่ม่อนไปแขวน พี่เข้ามาหาพวกผมที่บ้าน ไม่รู้ว่าจะมาดูพวกผมเหรอเปล่า ว่าอยู่ในบ้านไม่ได้เพ่นพ่านที่ไหน พี่ไม่เห็นพวกผม ก็เลยทำทีเป็นเปิดไฟในบ้าน พี่ปริ้นเห็นไฟเปิดอยู่ก็เลยรีบกลับ แต่พี่ก็ทำไอ้นี่ตกเอาไว้”

“มึงจะแก้ตัวอะไร มึงบอกมา ไอ้สิด” พี่หมวดค่อยๆพูดเสียงหวาดหวั่น มึงจะพูดว่าไม่จริง มึงก็รีบพูดขึ้นมา

พี่สิดเงยหน้าขึ้น ไม่มีท่าทีจะโกรธเกรี้ยวเหมือนตอนแรก พร้อมกับยิ้มที่มุมปาก

“มึงแค้นไอ้ม่อนที่ไปแต่งงานกับมุกเหรอ ใช่มั้ย ไอ้สิด” พี่หมวดถาม

“ห่ะ ห่ะ มันสมควรแล้ว สมควรแล้ว” พี่สิดพูดพึมพำเบาๆ แต่พอจับใจความได้

“จะ เรื่องจริงเหรอเนี่ย ไอ้สิด มึง - - หรือว่ามึง มึง ที่มุกตาย ที่ฆ่าตัวตาย มึงก็เป็นคน - - ”

“อย่าพูดบ้าๆนะหมวด ไม่งั้นข้าเอาตาย” พี่สิดตะคอกใส่หมวดถึงกับสะดุ้ง

“ที่มันสมควรตาย ก็แค่ไอ้สัดม่อน ไอ้สิงห์ แล้วก็ไอ้สารวัตรเฮงซวยนั่นต่างหาก สมควรแล้ว ห่ะ ห่ะ” พี่สิดเหมือนกับพูดกับตัวเองไปมา

“ที่มุกต้องฆ่าตัวตายก็เพราะไอ้พวกสารเลวนั่นต่างหาก” พี่สิดพูดเสียงเจ็บแค้น

“มึงหมายความว่ายังไง” หมวดถามเสียงหลง

“คุณมุกไม่ได้โดนมึงฆ่าเหรอ แล้วเค้ากำลังจะแต่งงานแล้วแท้ๆ ทำไมถึง - -”

“ก็เพราะว่า มุกไม่ได้อยากแต่งงานกับไอ้เดนนรก ไอ้ม่อนนั่นไง พี่สิดตะโกนใส่ด้วยความเจ็บแค้น” พลางทรุดตัวลงกับพื้น

“ไอ้เหี้ย ม่อน มัน มัน มันขมขื่นมุก ไอ้สิงห์ก็ร่วมด้วย - - ”

สิ่งที่ได้ยินทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นช็อกกันเป็นแถบๆ

“มุกเค้ามาบอกข้าทีหลัง แล้วก็บอกว่า ไปแจ้งความกับไอ้สารวัตรเหี้ยคนนี้แล้วมันก็ทำเฉย มารู้ทีหลังว่ามันสนิทกับไอ้ม่อน - -”

พี่สิดเริ่มเล่าเสียงสะอื้น

“- - หลังจากนั้น ไอ้ม่อนก็ขู่ว่า ถ้าไม่แต่งงานกับมัน มันจะเอาเรื่องไปโพทนาให้หมด มุกเค้าถึงได้ยอม ยอมไอ้เลวนั้น แล้ว … แล้ว มุกก็” พี่สิดไม่พูดอะไรต่อ มีแต่เพียงน้ำตาที่ค่อยๆไหลหยดลงบนพื้น


***************************


พายุร้ายได้ผ่านพ้นเกาะไปแล้ว เหลือแต่เพียงเศษซากความเสียหายที่ยังคงมีให้เห็นทั่วทั้งเกาะ ไม่นานสิ่งเหล่านั้นมันก็จะค่อยๆถูกฟื้นฟูให้กลับมาเป็นแบบเดิม เพียงแต่จิตใจของคนที่เหมือนโดนพายุของความเคียดแค้นโหมซัดเข้ามา เมื่อถึงเวลาที่ความเกลียดชังหมดไป สิ่งที่เหลืออยู่ กลับเป็นเพียงความว่างเปล่า … ไม่มีทั้งความหวัง ความฝัน หรือความรู้สึกที่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป


.
.
.
.
.
.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-11-2006 22:51:49 โดย b|ue B[o]Y hUb »

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #41 เมื่อ23-10-2006 05:26:41 »

หตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี อาจจะเป็นเพราะอย่างงี้ล่ะมั้ง ทำให้คืนนี้ผมหลับตาลงได้แบบไม่ต้องกังวลอะไรซะที


“ZzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzzZzzzz”


“เอ๊ะ …” ผมรู้สึกตัวเพราะรู้สึกว่าอากาศภายในบ้านเริ่มจะร้อนขึ้นจนรู้สึกเหนียวตัว พร้อมกับส่ายหัวด้วยความงงๆนิดหน่อย ตามสไตล์คนพึ่งตื่นนอน ก็รู้เอาว่า ตอนนี้มันบ่ายโมงกว่าแล้วนี่หว่า หันไปข้างๆ เห็นไอ้คิวนอนหงาย เอ้เตไม่ตื่นอยู่เหมือนกัน แต่โค้กมันไม่อยู่แล้ว

ผมเกาหัวแกร๊กๆ แล้วก็เดินเข้าห้องน้ำ ทำธุระจนเสร็จ ก็เดินออกมา ไม่เห็นรถกระบะ พี่โจ้คงไปรับพวกพี่ต่ายแล้วล่ะมั้ง ผมคิดในใจ พร้อมกับเสียดายเล็กๆ ว่าไม่น่าจะตื่นสาย (บ่าย) เลย ว่าจะไปรับไอ้โอ้ตซะหน่อย

“เฮ้อ …” ผมถอนหายใจ

ความรู้สึกปนเปไป ดีใจที่จะได้เจอโอ้ตมันซะที ตั้งแต่คบกันมา ผมยังไม่เคยห่างกับมันได้ถึงสามสี่วันแบบนี้เลย ไม่อยากจะคิดตอนมันไปเรียนที่ มช.

“เฮ้อ ..” ผมถอนหายใจอีกที แล้วก็เดินออกไปนั่งเล่นที่ชายหาดหน้าบ้านพัก ใกล้ๆนั้นมีต้นไม้ชายทะเลอยู่หลายต้น ผมเลือกต้นนึงแล้วก็โหนตัวขึ้นไปนั่งบนกิ่งไม้เตี้ยๆ แล้วก็ทอดสายตาไปที่ทะเล

ผมควรจาอารมณ์ดีใช่เป่า … ผมจะได้เจอโอ้ตแล้วนี่นา

สายตาที่มองไปข้างหน้า ทำให้รู้สึกว่า มันกว้างใหญ่ แล้วมันก็อ้างว้างเหลือเกิน

คิดอะไรเพลินๆ ไปนานเท่าไรก็ไม่รู้ ก็มีมือมาจี้เอวข้างหลัง ดีนะที่มือกรุไวพอควร เกือบตกต้นไม้แล้วม่ะล่ะ

“ เฮ้ยย … เชี่ย ”

ผมสบถ พร้อมกับหันไปหาที่ต้นตอ แต่พอเห็นหน้าคนแกล้งแล้วผมโกรธม่ะลงวะ

“ ไอ้โอ้ต .. เดี๊ยะเหอะ ”

โอ้ตมันใส่หมวกยืนยิ้มแป้นแล้น ข้างหลังก็สะพายเป้ซะเท่เชียว มองท่าทางผมแล้วก็ยิ้มเยาะซะงั้น ด้านหลังผมเห็นพี่ๆ บางคนค่อยๆเดินเข้าไปเอาของเก็บในบ้าน พร้อมกับเสียงเจี้ยวจ๊าวกันเลยทีเดียว

ใจจริงเห็นหน้ามันนะ ผมแทบจะวิ่งเข้าไปกอดมัน แต่ต้องเก็บอาการนิดนึง เด๋วมันรู้ว่าผมคิดถึง แล้วจะโดนล้อ

“ ตกไป คอหักตายจะทำไงวะเนี่ย รู้อยู่ว่าบ้าจี้ ” ผมพูดไปก็พยายามไม่มองหน้ามัน แปลกแฮะๆ แค่ไม่เจอมันแค่สามสี่วัน กลับรู้สึกเหมือนไม่ได้เจอกันมาหลายปีอย่างงั้นแหละ แถมพอได้เจอมันก็เขินแบบบอกไม่ถูก

กรุเขินอาไรวะเนี้ยย

“ ตกมา โอ้ตก็ยืนรับอยู่นี่ไง ” มันพูดไม่อายฟ้าดิน … ขนาดผมได้ยินเสียงมันข้างหลัง ยังรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงอ่ะ

“ พูดไร โคตรเน่า..” ผมแกล้งทำม่ะรู้ม่ะชี้ แต่ในใจเขินชิบหาย “ แล้วนั่นไม่เอากระปงกระเป๋าไปเก็บเหรอไง ”

“ โห่ ก็รีบมาอยากเจอปริ้นนี่นา ” พูดงี้อีก “ เห้อออ ” ไอ้โอ้ตมันแกล้งทำถอนหายใจ

“ ลงมาได้แล้ว มันพูดเสร็จก็เอื้อมมือมาให้ผมจับ ” จะได้ลงง่ายๆ

“ ม่ะต้องๆ ลงเองได้ ” ผมพูดเสร็จ ก็กระโดดลงจากต้นไม้ แต่รู้สึกจะผิดท่าไปหน่อย ก้นเลยจ้ำเบ้ากับพื้นเต็มๆ

“ แอ๊กก ….”

โอ้ตมันค่อยๆเดินมาดูน้ำหน้าผมชัด

“ เป็นไง ” พูดเสร็จมันก็ทำหน้ายิ้มๆ แล้วก็ยื่นมือพยุงตัวให้ผมลุกขึ้น

“ ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นทราย ” ผมพูดดีไปงั้นแหละ แต่ในใจก็เจ็บอยู่หน่อยๆ

“ นี่แหละ ต้องให้ช่วยอยู่เสมอเลยน้า ” มันพูดเสร็จแล้วก็หันมามองผม แล้วก็เอามือมาขยี้หัวผมด้วยความมันเขี้ยว

“ เออ ทีหลังม่ะอยากช่วยก็ม่ะต้องช่วยหรอก ” ผมแกล้งงอนมันอ่ะ แต่ก็โกดอยู่หน่อยๆเหมือนกัน

“ ไปอยู่สมุยกันตั้งหลายวัน ม่ะมีบอกเลยนะ ”

“ เหอะๆ ก็ตัวเองแหละ ตอนเค้าคุยกัน ก็เดินไปไหนกันก็ไม่รู้ ” โอ้ตมันเถียงผมคับ

“ เออๆๆ ผิดเองแหละ ” ผมพูดเสร็จ ก็ปัดมือมันออก

“ เป็นไรอีกเนี่ย ”

“ เป่า ”

“ ปริ้น ..!! ”

“ ก็ไม่ได้เป็นราย ” ผมพูดเสร็จก็ค่อยๆมองหน้ามัน เออ รู้สึกว่าตัวเองผิดเต็มๆอ่ะ งอนงี่เง่าอีกแระ

เรายังไม่ทันพูดไรกัน ไอ้พี่ท็อปก็เดินเข้ามาก่อนซะงั้น

“ เอ่า เป็นไงปริ้น มาอยู่ก่อน ได้เล่นน้ำทุกวันเลยดิ สนุกม่ะ ”

“ สนุกกะผีดิพี่ ” ผมพูดเชิงล้อเล่น

“ อ่า เป็นซะงั้น ” แล้วพวกพี่ๆก็เดินมาแถวๆหาดกันสามสี่คนเลย บางคนก็โผวิ่งลงทะเลไปสนุกสนาน หันมาอีกที อ้าว โอ้ตมันหายไปไหนแล้วม่ะรู้

เวนแระ โอ้ตมันงอนผมซะแหล่ว

รู้สึกตัวได้ยังงั้น ก็เลยรีบเดินเข้าไปในบ้าน เพราะคิดว่ามันต้องเอาของไปเก็บแหละ ก็เจอมันนั่งจัดของอยู่ข้างในแหละครับ

ผมค่อยๆเดินเข้าไปหา แบบดูท่าทีมันก่อน มันก็คงดูเหมือนรู้ล่ะว่าผมเดินเข้ามา แต่ก็ทำไม่สนใจ หันไปคุยกะพี่อีกคนนึงที่กะลังนอนอยู่ ทำเป็นไม่สนใจผมเลย

อ่า ชัดเลย มันโกรธผมแน่ๆ

เป็นแบบนี้ ผมก็เดินป้วนเปี้ยน อยู่แถวนั้นอ่ะคับ โอ้ตก็หาเรื่องคุยกะคนโน้นทีคนนี้ที ไม่ยอมให้ผมเข้าไปใกล้รัศมีเลย จนผมชักเริ่มเซ็งแล้ว

“ พี่ปริ้น ไปเล่นน้ำป่ะ ” มาทีนี่ยังไม่ได้ลงเลย โค้กเดินมาชวนผม ดูท่าทางมันก็คงอยากเล่นเต็มที่แล้วอ่ะ

“ อ่ะ เด๋วดีกว่าวะ มันยังร้อนอยู่เลย เด๋วกรุดำ ”

“ ไรมึงวะ กัวดำเหรอ ” ไอ้คิว ซึ่งดูพึ่งตื่นได้ซักพัก พูดแขวะ แล้วมันกะไอ้โค้กก็จับตัวผมลากออกไปข้างนอก

1
.
.
.

2
.
.
.

3
.
.
.


ตู้มมมมม

เสียงตัวผมกระแทกกับน้ำทะเลคับ กินน้ำไปหลายอึกเลยทีเดียว ด้วยความที่ขี้เกียจง้อไอ้โอ้ตมันแล้ว ก็เลยมาเล่นน้ำกะไอ้สองตัวนี่เลย ก็ดีเหมือนกัน หึหึ

ก็ตามประสาคับ ช่วงแรกๆเล่นกันไปก็ปล้ำกันไปปล้ำกันมา ลำพังไอ้คิวอ่ะไม่เท่าไรคับ เพราะว่ามันมาจับตัว มาอะไรกับผมก็ชิวๆ เพราะว่า ม่ะมีอารมณ์กะมันแระ (มั้ง) แต่กะไอ้โค้กนี่ดิ ดันใส่เสื้อยืดขาว กางเกงบอลลงทะเล

อ๊ากก ..

ไม่ต้องบอกคับ ก็เห็นอะไรต่อมิอาไร ตัวมันก็ใหญ่ใช่ย่อย เป็นลำเป็นดุ้นอ่ะ เหอๆ แล้วเวลามาโดนทีก็นะ เป้ามันก็ชอบมาถูด้านหลังผม

ไอ้เด็กเวน …

หลังๆเลยเปลี่ยนไปเล่นลิงชิงบอล ในน้ำ กับพวกพี่ๆเค้าดีกว่าคับ ทั้งเหนื่อย ทั้งสนุก จนผมลืมไปเลยว่า ไม่เห็นไอ้โอ้ตมันลงมาเล่นเลย

เล่นเสร็จก็ทยอยกันขึ้นไปล้างหน้าล่างตัว อาบน้ำคับ ตอนเย็นพวกพี่ๆก็ช่วยกันเอาหมูที่ซื้อมาเสียบไม้ แล้วก็มาย่างกัน

อร่อยโคตร ! ความรู้สึกตอนนี้มันต่างกันกับที่มาอยู่กันแค่สามตัวอย่างลิบลับ

ไปๆมาๆ ผมก็ยังไม่ได้ไปง้อไอ้โอ้ตมันซะทีครับ วันนั้น แต่ผมก็เห็นมันคุยหนุกหนานกับพวกเพื่อนๆตามปกติ มันไม่ปกติอยู่อย่างเดียวคือ มันไม่ยอมเดินมาคุยกะผมเลย

แต่ตอนนั้นผมก็คิดว่า คงไม่เป็นไรหรอก ไว้หาโอกาสดีๆล่ะกัน ตอนนี้คนเยอะ เด๋วเค้าจะสงสัยหมด เหอๆ
คืนนั้นก็ต่างคนต่างหลับครับ โอ้ตมันดันเลือกที่นอนคนล่ะซีกโลกกับที่ผมนอนเลย

กำ สงสัยจะ go so big ซะแล้ว

.
***************************

.

บะ โบล่วววววววว (เสียงหมาหอน)

เกือบจะตีสองแล้วครับ แต่ผมก็ยังนอนไม่หลับ รู้สึกกระสับกระส่ายยังไงชอบกล ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้ไงวะ ทั้งๆที่จะได้มีโอกาสได้สนุก ได้เที่ยวกะโอ้ตทั้งที แถมยังอาจจะอีกนานเลยกว่าจะได้มากันแบบนี้ ทำไมกรุถึงทำตัวแบบนี้ว้า

ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งโมโหตัวเอง ที่ยังทำตัวแล้วก็นิสัยเป็นเด็กแบบนี้

สวบบบ

มีเงาใครบางคนลุกออกไปข้างนอก ด้วยความที่คืนนี้ไม่ได้มืดมาก แล้วก็เป็นทิศเดียวกันกับที่โอ้ตมันนอนอยู่ ทำให้ผมพอจะคาดเดาได้ว่า เป็นมันแน่นอนที่ลุกออกไป ผมก็ค่อยๆย่องลุกตามไป คนอื่นๆก็หลับกันหมดแล้วล่ะครับ เพราะว่าวันนี้ก็เดินทางมากันเหนื่อย เล่นน้ำก็เหนื่อย นอนกันระเกะระกะเลยทีเดียว

ผมเห็นมันเดินออกไปนั่งที่กิ่งไม้ที่ผมไปนั่งเมื่อตอนกลางวันตรงหาด ก็เลยเดินตามมันออกไป มันคงไม่รู้ตัวหรอกครับ เพราะว่าเดินบนทราย มันไม่มีเสียงไง ผมก็เลยเดินมาอยู่ข้างหลังมัน แต่ก็ยังไม่ได้พูดไรหรอกนะ

โอ้ย ผมได้แต่มองมันจากข้างหลังครับ ไม่กล้าเข้าไปสะกิดคุย เห็นแผ่นหลังกว้างของมันแล้ว ผมแทบอยากจะเข้าไปซุกกอด ผมยืนอยู่นาน จนมันเมื่อย ก็เลยเปลี่ยนท่านั่ง แล้วก็ดันมาป๊ะหน้ากับผมพอดี ทั้งผมทั้งมันต่างก็อึ้งอ่ะ

แล้วมันก็ทำหันหน้ากลับไปนั่งต่อ ไม่พูดไร

เออ ในเมื่อมันรู้ว่าผมมาแล้ว ก็ง่ายกว่าเดิมนิดหน่อย ก็เลยเอื้อมมือไปจับที่เอวมัน (ไม่กล้าจี้มันเด๋วเคืองกว่าเดิม)

“ ขี้นไปนั่งด้วยได้เปล่า ” ผมถามมัน

“……”

มันไม่พูดไร ผมก็เลยถือวิสาสะปีนไปนั่งกะมัน ปีนยากนิดหน่อยเพราะกิ่งมันต้องรับน้ำหนักเพิ่มไปอีกคน

“ โอ้ต .. อย่าโกรธเค้าเลยนะ ขอโทด ” กว่าผมจะคิดได้ว่าผมควรจะแทนตัวเองว่าไง ก็อายสัด ไม่เคยคิดว่าต้องมาพูดแทนตัวเองว่าเค้าเลยว้อยย แต่เอาวะ !! ดูน่ารักสุดแระ แล้วก็ค่อยๆเอามือไปจับมือมันมากุมไว้

“ เค้าก็แค่อยากให้โอ้ตใส่ใจเค้าแค่นั้นแหละ ” ผมพูดเสร็จก็เอาหน้าไปพิงกับที่ไหล่มัน (โปรดระวัง ทำบนต้นไม้อาจจะตกมาได้)

แล้วมันก็พูดมาคำแรก

“ แล้วที่โอ้ตทำมานี่ โอ้ตไม่ได้ใส่ใจปริ้นเลยใช่ป่ะ ”

“ ก็ .. ม่ะช่ายอ่ะ ก็เค้ามันงี่เง่าเองล่ะ ขอโทดนะ นะ ” ผมพูดไปก็ไม่ได้มองหน้ามันหรอกครับ แล้วก็ค่อยๆยกนิ้วก้อยขึ้นมา

“ ดีกันนะ นะ ”

โอ้ตมันก็ไม่ได้พูดไรครับ แต่ก็เอานิ้วก้อยมันมาเกี่ยวกันกับนิ้วผมไว้ เหอๆ แค่นี้ผมก็โล่งใจ พร้อมกับหน้าบานแล้วล่ะ

แล้วโอ้ตมันก็เอามือมาจับหน้าผมไว้ให้หันไปมองมัน

“ ปริ้น โอ้ตอยากให้ปริ้นรู้นะครับ ว่าโอ้ตรักปริ้นมากแค่ไหน ” พูดเสร็จ มันก็ยื่นหน้ามาประกบปากกับผม !

“ เอ้ย ..” ผมยังไม่ทันตั้งตัว ไม่คิดว่ามันจะใจร้อนขนาดนี้ แต่ก็ไม่ทันแล้วล่ะ โอ้ตมันเปลี่ยนจากจูบเป็นค่อยๆดูดปากผมจากด้านบน แล้วก็เปลี่ยนมาด้านล่างคับ แล้วก็เปลี่ยนมาดูดลิ้นผมช้าๆ

“ อ๋อยยยยย ..” ตัวผมสั่นเลยเสียความควบคุม พลัดตกลงมาเป็นรอบที่สอง ไอ้โอ้ตมันก็เลยตกลงมาด้วย

“ อุ๊บ …… แอ๊กกก ”

“ โอ้ยยย … เจ็บบบ ”

“ อ้าว ไหนเมื่อตอนกลางวันบอกว่าไม่เจ็บนี่นา ” โอ้ตมันแซวผม

“ ก็นั้นมันลงมาคนเดียวนี่หว่า ไม่ได้ตกมาแล้วโดนทับแบบเน้ ” ผมพูดแล้วก็พยายามดันตัวไอ้โอ้ตที่มันทับผมให้ลุกขึ้น แต่มันก็ไม่ยอมลงจากตัวผมอ่ะ

“ อ่ะ ลุกดิ จาไปนอนแล้ว ” ผมส่งเสียง

“ ปริ้นอยากเข้าไปนอนข้างในเหรอ คนเยอะแยะ ” โอ้ตมันพูดเหมือนบอกความนัยอะไรบางอย่าง

“ อ่า แล้วจะให้นอนตรงทรายนี่เหรอไง ” ผมถามแบบไม่ได้เอาจริงจัง

“ เดี๋ยวนะ ” มันยิ้มก่อนที่จะรีบผุดลุกวิ่งเข้าไปในบ้าน จริงๆระหว่างบ้านกับที่ผมตกมาใต้ต้นไม้มันก็ห่างกันประมาณ ยี่สิบสามสิบเมตรได้แหละ แล้วตอนนั้นตีสองแล้ว ซักพัก โอ้ตมันก็วิ่งกลับออกมา พร้อมกับเสื่อผื่นนึง

“ เฮ้ย จานอนตรงนี้เจงอ่ะ ”

“ จริงซิ ในบ้านร้อนจะตาย นอนกันเข้าไปได้ไง ปูเสื่อนอนตรงนี้แหละ เย็นดี ” ว่าแล้วมันก็จัดการปูเสื่อเสร็จสรรพ เอาหินมาวางทับสี่มุมไม่ให้ปลิว ลมทะเลพัดโครมๆ คนรอบคอยอย่างมันก็เอาผ้าห่มมาด้วยผื่นนึง

“ ผืนเดียว ? ” ผมถาม

“ ก็ห่มด้วยกันไง ” พูดเสร็จมันก็พลิกตัวผมให้นอนหงาย แล้วก็ขึ้นมาทับตัวผมเหมือนเดิม

“ มาต่อม่ะกี้มา ” .. โอ้ตมานพูดน่าทะเล้น

“เหะ จะบ้าเหรอ นี่มันริมทะเลนะว้อย ”

“ ป่านนี้แล้ว .. ม่ะ ไม่มีใคร ม่ะ มาเห็นหรอก ” มันพูดไปเสียงก็สั่นไป แล้วผมก็โดนมันจุ๊บเข้าที่ปากอีกเหมือนเคย

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #42 เมื่อ23-10-2006 05:27:01 »

เอาวะ เป็นไงเป็นกัน เปลี่ยนบรรยากาศ !!!

ลมทะเลพัดเข้ามา เย็นมาก โอ้ตมันก็กอดผมไว้ ปากก็ดูดปากผมไปเรื่อยอ่ะ ตอนนี้ผมตัวสั่งระริกระริก เหมือนลูกไก่ในกำมือมันแระ ว่าเข้านั่น ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่โอ้ตมันดูหงี่เป็นพิเศษอ่ะ ปากก็จูบไป ด้านล่างมันก็มาถูไถผมจน แข็งกันทั้งสองคน เสียวโคตร

ทั้งถูกันทั้งนัวเนียกันไปมา ตอนนี้ไฟราคะลุกจนควบคุมไม่อยู่แระคับ เหอๆ โอ้ตมันจัดการถอดเสื้อผมโยนไปทิศไหนไม่รู้ แล้วก็ค่อยๆแก้กางเกงตัวเองออก เคมันแข็งตั้งตะหง่าน จนผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก

“ อมให้หน่อยดิ ” โอ้ตมันพูดเสียงสั่นกระเส่า สงสัยจะอยากจัด ผมทนไม่ไหวครับที่มันสั่งผมแบบนี้ ก็เลยรีบคว้าเจี้ยวมันเข้าปากทันที แล้วก็ด้วยความที่ไม่ค่อยจะได้อะไรกันเท่าไร รู้สึกว่าฟันผมก็ไปครูดกับเคมันหลายที แต่มันก็ไม่ได้บ่นอะไรครับ ผมได้ยินแต่เสียง ซี้ดของมัน มือมันนี่ก็มาจับหัวผมโยกแทนแล้วอ่ะ

กรุเมื่อยนะโว้ย

“ ซี้ดดดด ปริ้น โอ้ตเสียวจังหว่ะ ” ก็ต้องเสียวดิ กรุอุตสาห์ใช้ลิ้นให้ขนาดนี้ ม่ะใช่มันผมไม่ทำให้หรอกนะ(มั้ง) ผมก็อารมณ์ขึ้นจนไม่ไหวแล้ว เลยจัดการช้อนเจ้าบอลแฝดไอ้โอ้ตมาดูดเข้าไปในปากทีละลูก คราวนี้ไอ้โอ้ตร้องครางอู้เลยครับ เหอๆ ผมจัดการพลิกตัวมันให้กลับมานอนหงายแทน แล้วก็จัดการสนองมันซะ (หลังๆดูหนังโป๊บ่อย ทฤษฏีแน่นปั๊ก)

ไอ้โอ้ตมันเสียวจนขนมันลุกทั่วตัวตอนที่ผมเอามือลูบไปที่แขนมัน ปากก็ยังคงสนุกกะน้องชายมัน ปกติผมไม่สันดานแบบนี้นี่หว่า สงสัยบรรยากาศพาไป แฮะๆ ผมหยุดการกระทำของตัวเองแป๊บนึง เงยหน้ามาดูมัน หุหุ หมดสภาพหนุ่มหล่อเมืองคนดุเลยคับ ตรงปลายเคมันมีน้ำใสๆไหลย้อย ลงมาเป็นสาย โอ้ตมันเห็นผมหยุดกระทำการ ก็เลยเงยหน้ามองผมตาเยิ้ม กรุรู้นะเมิงคิดไรไอ้โอ้ต เพราะว่ามือมันสั่นระริกๆ ทำท่าจะกดหัวผมให้จัดการต่อให้ได้เลย

ผมก็ไม่ปฏิเสธครับ จัดการดูดเลียต่ออย่างเมามันส์ แล้วก็ไม่ลืมเอามือไปเล่นไข่มันด้วย ไอ้โอ้ตบิดตัวเร่าๆ แล้วผมก็นึกอยากลองอะไรบางอย่าง มืออีกมือที่ว่างอยู่ ก็เลยไปแหย่ตูดโอ้ตเล่นคับ เอาน้ำหล่อลื่นที่ปลายเคมันนี่แหละ ค่อยๆแยงเข้าไปทีละนิดๆ ม่ะให้มันรู้สึกตัวคับ

โห ตอดชิบ อยากแล้วดิกรุ

ปากผมเล่นข้างหน้า แต่หัวผมคิดแล้วล่ะว่าวันนี้ผมจะต้องเล่นข้างหลังโอ้ตมันคืนให้ได้ เพราะทุกครั้งที่มีไรกัน
มันชักแล้วก็ดูดให้ผมอย่างเดียว ม่ะยอมให้ผมรุกมันบ้างเลย คราวนี้แหละ !

ผมลองแหย่ลึกลงไปเกือบครึ่งข้อครับ คราวนี้ไอ้โอ้ตมันร้อง โอ่ะ ผมก็รีบเนียนๆ ค่อยๆถอนออกมา แล้วก็ดูดเจี้ยวมานแรงขึ้น มันก็กลับไปครางเหมือนเดิม แต่ผมว่ามันอึดชิบเป๋งเลย น้ำม่ะยอมแตกซะทีวะ ผมก็พยายามดูดมันเร็วขึ้น แล้วก็ไม่ลืมเอานิ้วควานไปรอบๆก้นมัน ให้มันผ่อนคลาย จนสามารถเอานิ้วเข้าไปได้เกือบนิ้วนึงแล้วครับ

โอ้ตมันตัวสั่นเลย

“ อ่ะ ซี้ดดดด ปริ้น อย่าแหย่เข้าไปซิ ” มันพูดแล้วก็พยายามจะลุกขึ้นมาครับ แต่ผมก็ดันมันให้นอนลง

“ โอ้ตคับ ” ผมหยุดการใช้ปากให้มันแล้วก็ขึ้นมาคร่อมตัวมันแทน แต่มือผมก็ยังเอื้อมไปชักให้มันอยู่ เด๋วมันหายเสียวจะอด

“ โอ้ต ” ผมพูดเสียงหวาน โอ้ตมันก็ยิ้มแหยงๆ ให้ เหมือนกับรู้ว่าผมจะขออะไร

“ โอ้ตรักปริ้นใช่เป่า ”

“ อะ อือ อ่า ” มันทั้งรับปาก ทั้งส่งเสียงเสียว

“ ปริ้นขอเอาโอ้ตได้ป่ะ “ ผมพูดแบบหน้าด้านๆแบบนี้เลยฮะ ม่ะไหวแล้วคับ แข็งจะระเบิดอยู่แล้ว

หน้าโอ้ตซีดเลยคับ ยิ้มให้ผมแบบบอกไม่ถูก

“ ปริ้น โอ้ตว่า - - ” ผมม่ะยอมให้มันพูดจบคับ โน้มตัวลงไปดูดปากกะมัน มือก็สาวหนักขึ้น แล้วก็เลื่อนเอาลมหายใจอุ่นๆไปเป่าข้างหูมัน

“ โอ้ต ปริ้นขอโอ้ตนะ ” เหอๆ มาไม้นี้เข้า โอ้ตมันก็ต้องจำยอมผมโดยดี มันพยักหน้าน้อยๆ เป็นอันว่ายินยอม (เป็นเมียผมซะที)

ผมรีบเลื่อนตัวลงไปจัดการกับหนอนน้อยของโอ้ตต่อให้กลับมาผงาดเป็นมังกรยักษ์อีกรอบ แต่คราวนี้ ผมดันสะโพกให้มันยกสูงขึ้นด้วย เห็นรูสวรรค์รำไรชัดเจนกว่าม่ะกี้

ผมทำใจอยู่แป็บนึง เพราะมะเคยเลียคับ เลยเอาลิ้นแผล่บไปนึงทีก่อน

เออ ม่ะมีกลิ่นหว่ะ สงสัยมันเตรียมตัวมาให้ผมเอาเป่าวะ (คิดเล่นๆ) พอเห็นว่ามันปลอดกลิ่นผมก็จัดการลงลิ้นเต็มที่อ่ะ เพราะไม่อยากให้โอ้ตมันเจ็บกะครั้งแรกของมัน หึหึ

“ อึ๊กก อึ๊กกก ” ผมลงลิ้นแต่ละที โอ้ตมันก็ร้องทีนึง ไม่รู้ว่ามันเสียวหรืออะไร ร้องแปลกๆ เหอๆ ระหว่างที่จัดการกะช่วงล่างของมัน ผมก็ค่อยๆถอดกางเกงตัวเองบ้างคับ ยากลำบากนิดหน่อยเพราะว่า มันชูชัน แต่แป๊บเดียว เกงผมก็ลงไปกองข้างๆกะเสื่อ

คราวนี้ผมตั้งใจบรรเลงลิ้นอย่างเต็มที่ครับ มือผมก็จัดการชักให้โอ้ตไปเรื่อยๆ ม่ะให้มันตื่นตกใจคับ ขนโอ้ตมันลุกกว่าม่ะกี้อีก ผมว่าพร้อมแล้วล่ะ(มั้ง) ก็เลยลองเอานิ้วแหย่ไปทีละนึง เหมือนกะที่มันเคยทำให้ผมทุกครั้ง มันคงม่ะคิดว่า วันนี้สิ่งที่มานทำ มันจะย้อนมาหาตัวเอง นิ้วแรกผ่านไป โอ้ตมันก็บ่นเลยครับ ว่าเจ็บ โหย เคกรุใหญ่ก่านิ้วนี้หลายเท่านัก อย่าพึ่งบ่นเซ่ะ

พอนิ้วแรกผมไปได้ ตอนนี้ผมก็ใจจดจ่อ จัดการเพิ่มนิ้วไปอีกนิ้วนึงครับ คราวนี้โอ้ตมานร้องซี้ดดดซ้าดด ปน โอ้ย อ๊อก ไปตามเรื่อง เหอๆ พอนิ้วที่สองเข้าไปได้ คราวนี้ตูดโอ้ตมันตอดใหญ่เลยคับ นิ้วผมจะขาดเป่าวะ ผมค่อยๆควานนิ้วไปมา ให้รูมันขยาย แล้วก็เอื้อมไปจับเคโอ้ต โอ่ ยังแข็งปั๊กอยู่เลยครับ ใช่ได้ แสดงว่ามานก็มีอารมณ์เหมือนกัน แบบนี้คงโอเคแล้วล่ะ

ผมจัดการเอานิ้วออก แล้วก็ยกขาโอ้ตให้ขึ้นมาพาดบ่า ตื่นเต้นสัดๆคับ ครั้งแรกเลยนี่หว่า ผมชะโงกหน้าไปมองเห็นโอ้ตมันมองหน้าผมแบบแปลกๆ ผมก็ยิ้มให้มานทีนึง แล้วก็เอื้อมมือไปจับมือให้มันจัดการชักเองก่อน แล้วก็จัดการจับเคตัวเอง ค่อยๆยัดเข้าไปที่รูสวรรค์รำไรทีละนิดๆ ผมรู้สึกได้ว่าโอ้ตมันตัวเกร็งขึ้นเรื่อยๆ มือมันข้างนึงก็ชักไปเบาๆ อีกมือนี่กางเยียดไปนอกเสื่อกำทรายเข้าเต็มๆ ตอนนั้นผมลืมไปครับว่า ผมกะลังเยกะไอ้โอ้ตสดๆนี่หว่า แต่ม่ะเป็นไรมั้ง เพราะมันไม่มั่วกะใครแน่ๆ ( ลป. เด็กดีไม่ควรเอาอย่าง)

ผมรู้สึกว่ากว่าที่ส่วนหัวจะผ่านเข้าไปได้มันยากเย็นมหาศาล แล้วตูดโอ้ตมันก็แน่นมากครับ เข้าไปได้แต่ละทีก็ตอดแทบน้ำแตก โอ้ตมันหายใจติดๆขัดๆคราง อื้อ อ่า ไปตามเรื่อง ตอนนั้ผมรู้สึกว่าถ้าปล่อยไว้แบบนี้ กรุน้ำแตกแน่นอนเลยตัดสินใจ จับสะโพกโอ้ต แล้วก็ดันตัวเองแบบสุดแรงอ่ะคับ ทีเดียวป๊าบบบ มิดด้าม โอ้ตมันหยุดครางเลยครับ

“ อ๊ากกกกก ”

มันร้องดังมากจนผมตกใจรีบเอามือไปปิดปากมัน

“ โอ้ย เจ็บนะว้อยปริ้นนนน ”

“ ขะ ขอโทด แต่ปริ้นโคตรเสียวเลยโอ้ต ซี้ดดดดด ” มันเสียวจริงๆครับ ตอนที่เข้าไปหมดแม๊กเนี่ย ภายในตัวโอ้ตมันร้อนมาก แถมตอดแบบสุดๆอีกตะหาก ผมรอให้มันหายใจหายคอ แล้วก็ค่อยๆกระดกเอวไปเรื่อยๆ โอ้ตมันก็บ่นเจ็บไปเจ็บมา ปนครางครับ แปลกว้อย บ่นว่าเจ็บแต่เคแมร่งแข็งเป๊กไม่เห็นหดเลยนี่หว่า กรุงง เหอๆ ตอนนี้พอเริ่มเข้าที่ ผมก็ปัดมือโอ้ตที่เคมันออก แล้วก็จัดการรูดให้มันแทน ให้มานนอนรับความเสียวเฉยๆ (ทั้งหน้าและหลัง)

คราวนี้โอ้ตมันคงชินแล้วล่ะ มันก็ไม่บ่นเจ็บแล้วครับ ร้องครางอย่างเดียว เห็นแล้วน่าฟัดชะมัด ผมเลยก้มลงไปไซร้คอมัน ก้นก็กระดกไปเรื่อยๆครับ เออ คราวนี้มันมีเด้งรับด้วยอ่ะ สงสัยจะชอบ อิอิ

ผมกระแทกไปได้ซักพัก ก็รู้สึกว่าจะไม่ไหวแล้วครับ ก็เลยบอกโอ้ต มันก็เปลี่ยนมาชักของตัวเองเอง ผมก็จัดการกระแทกอย่างเดียวครับ จนได้ยินเสียงโอ้ตมันครางดังมากเลย ดีนะที่มันไม่มีคน มือข้างที่ว่างอยู่ก็ขยุ้มพื้นทรายไปเต็มๆ เหมือนกะจะหาหลักยึด แล้วก็ร้อง อ๊อกกก มา น้ำขาวขุ่นก็กระฉูดออกมาเต็มหน้าท้อง เลยไปถึงหน้าอกของมันเลย โห ผมเห็นแล้วก็ไม่ไหวแล้วครับ จับสะโพกแน่นขึ้น แล้วก็กระแทกไปเต็มๆแม๊กอีกสองสามที ก็ไปรอดครับ แตกตาม แต่ดันเอาออกมาไม่ทันครับ เลยเข้าไปในตัวโอ้ตมันหมดเลย

พอเสร็จเท่านั้นแหละ ผมหมดแรงข้าวต้มเลยครับ เหนื่อยกว่าให้โอ้ตทำให้อีกอ่ะ แต่ก็โคตรมันส์เลย หลังจากค่อยๆถอนออกจากตัวมันแล้ว ก็ก้มลงไปจูบปลอบขวัญโอ้ตทีนึง แล้วก็เสยผมที่ปิดหน้าผากมันให้ เหงื่อมานแตกพลักเลย ทั้งๆที่ลมพัดโครมๆ

“ เจ็บมากเป่า ”

โอ้ตมันก็สั่นหน้า “ ไม่ค่อยเท่าไรอ่ะ ” แล้วมันก็ยิ้ม โน้มตัวผมไปจูบอีกที

“ งั้นคราวหน้าเอาอีกนะ ” ผมยิ้มแบบได้ใจ ไอ้โอ้ตรีบร้องว๊ากออกมาเลยว่า คราวหน้าเป็นตามันบ้างครับ ซะงั้นอ่ะกรุ ผมกะมันก็นอนนัวเนียไม่อายฟ้าดินกันพักนึงแล้วก็รีบจัดการลงทะเลแล้วก็รีบเข้าไปอาบน้ำทีละคน แล้วก็ออกมานอนข้างนอกต่อ (คราวนี้นอนจริงๆนะ)

“ พรุ่งนี้จาตื่นไหวม่ะนี่ เหนื่อยโคตรๆเลยอ่ะ โอ้ต ” ผมบอก แล้วก็นอนหนุนที่อกมัน

“ ถ้ารู้ว่าเหนื่อย เดี๋ยวคราวหลังโอ้ตก็ทำให้ตลอดดีกว่า จะได้ไม่เหนื่อย ” มันพูดแล้วก็เอามือลูบหัวผมไปมา เพลินจังวะ

“ โอ้ต …”

“ ฮื้อ ”

“ ไม่ไปเชียงใหม่ไม่ได้เหรอ ” ในที่สุดผมก็พูดความรู้สึกจริงๆออกมา ผมรักมันมากจริงๆ จนไม่รู้ว่าถ้ามันหายไปจากชีวิต ผมจะเป็นยังไง

“ ….. ”

“ โอ้ตรู้เป่า แค่โอ้ตไม่อยู่แค่สามสี่วัน มันทรมานแค่ไหนอ่ะ ” ผมพูดไปแล้วก็ลูบท้องมันไป (ผมนอนตะแคง ไม่ได้หันหน้าไปหามัน เพราะเด๋วมันจะเห็นว่าผมกะลังร้องไห้)

“ โอ้ตก็เหงาเหมือนกัน ” โอ้ตพูดขึ้นมา

“ ถ้าโอ้ตไปเรียน โอ้ตก็คงคิดถึงปริ้นมากเหมือนกัน ไม่ซิ ต้องคิดถึงแทบบ้าแน่ๆ ” ผมได้ยินมันพูดแค่นี้ น้ำตามันก็เริ่มไหลอีกแล้วอ่ะ ขี้แยจังกรุ

“ อือ งั้นก็ไม่ต้องไปดิ เอนฯใหม่ก็หมดเรื่อง อย่างโอ้ตอ่ะ ต้องเอนฯได้อยู่แล้ว ” ผมพูดโดยพยายามไม่ให้มีเสียงสะอื้นออกมาให้รู้ว่าร้องไห้

โอ้ตเอามือลูบหัวผมอีกรอบ ผมว่ามันรู้แหละว่าผมร้องไห้ เพราะว่าน้ำตามันก็ไหลไปโดนหน้าอกมันแหง่มๆ

“ โอ้ตอยากไปเรียนจริงๆนะ โอ้ตอยากไปตามหาฝันบางอย่างที่โอ้ตยังไม่ได้ทำ ”

“ โอ้ตมีฝันอะไรที่เชียงใหม่เหรอ ” ผมถาม แล้วก็ไม่ได้มองหน้าโอ้ตเหมือนเดิม

“ ไว้ให้ถึงวันนั้นก่อนแล้วโอ้ตจะบอกปริ้นคนแรกเลย ” โอ้ตมันพูดแล้วก็หยุดลูบหัวผม กลับจับหัวผมหันมานอนหงายบนหน้าอกมันแทน

“ ร้องไห้จริงๆด้วย ไอ้เด็กขี้แยเอ้ย ”

“ อือ ก็ใช่ดิ เค้าก็ต้องให้โอ้ตช่วยทุกเรื่องล่ะ อยากให้โอ้ตอยู่กับเค้า อยากให้โอ้ตไม่ทิ้งเค้าไปไหนอ่ะ ไม่รู้เหรอไง ” ผมพูดไปน้ำตาไหลไป ไม่คิดจะปิดมันแล้ว

“ แล้วถ้าโอ้ต ถ้าโอ้ตทิ้งเค้าไปอ่ะ แล้วไปเจอใครคนใหม่ … แล้วเค้าจะเหลือใครอ่ะ ” ผมพูดแบบไม่อายปากอ่ะ ผมอยากจะรั้งโอ้ตไว้จริงๆ แม้จะรู้ว่า เมื่อโอ้ตมันตัดสินใจอะไรแล้ว มันไม่เคยเปลี่ยนใจ แต่ผมก็อยากที่จะได้พูดบ้าง

โอ้ตมันไม่พูดไร จนผมค่อยๆหยุดสะอื้นไปเอง แล้วมันก็เอามือมาจับมือผมไว้ยกมาวางที่หน้าอกมัน แล้วก็ค่อยๆฮัมเพลงขึ้นมา


.
.
.


ฝากหัวใจให้กันเอาไว้ก่อน ที่เราจะต้องห่างเหินไป

เผื่อว่าเราลำบากอยู่หนใด หัวใจก็ยังมีคนดูแล

อาจจะมีบางคราว เราพบใครใหม่

เกิดหวั่นไหวไปตามประสาคนไกลกัน

แต่เรายังมีใจ กันไว้ไม่หวาดหวั่น

จะไม่เหลือดวงใจที่คิดเผื่อใคร

สิ่งที่ฉันต้องการก็คือ ให้เราคอยดูเสมอ

หากเราเผลอลืมไป แล้วดวงใจจะหาย

หมั่นคอยดูแลและรักษาดวงใจ

เก็บเอาไว้จนวันที่ฉันเคียงคู่เธอ

“ โอ้ตคิดว่า ปริ้นดูแลตัวเองได้ แล้วก็ได้ดีด้วย อาจจะไม่ได้เจอกัน อาจจะได้คุยกันน้อยลง แต่โอ้ต … ”

โอ้ตดึงตัวผมให้ไปมองหน้ามัน

“ โอ้ต อยากให้ปริ้นรู้ว่า หัวใจของโอ้ต ฝากไว้กับปริ้นแล้วนะ แล้วมันจะอยู่กับปริ้น จนกว่าปริ้นจะทิ้งมัน ” โอ้ตพูดชัดถ้อยชัดคำ ทั้งๆที่น้ำตาของโอ้ตไหลเหมือนกับผม

“ โอ้ตฝากมันไว้กับปริ้นนะ แล้วโอ้ตจะกลับมารับมันคืน ” พูดเสร็จ โอ้ตมันก็สวมกอดผมแน่น เรากอดกันนับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้ ผมอยากกอดมันไว้ให้นานที่สุด ผมไม่รู้ว่าอนาคตรจะเป็นยังไง ไม่รู้ว่าความรักของเรามันจะไปได้ถึงแค่ไหน ผมรู้แค่เพียงว่า วันนี้ มีใครคนนึงฝากสิ่งที่สำคัญที่สุดของเค้าไว้กับผม แล้วผมก็จะต้องรักษาสิ่งนั้นไว้ จนกว่าจะถึงวันที่กลับมารับมัน … กลับมาหาความรักของเราอีกครั้งนึง

.
.
..
.
.
.
.
.
.
.
.
.

.
.
.
.

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #43 เมื่อ23-10-2006 05:28:22 »

บ้านพักอลเวง4 - คิมหันต์นิรันดร

ครืดด ครืดด

เสียงตัวผมไถลอยู่บนเตียง หลังจากลืมตามาได้ซักพักนึงแล้ว จำได้ว่าวันนี้เป็นวันเปิดเทอมๆใหม่
ของปีการศึกษาใหม่


วันนี้สถานภาพของผมเปลี่ยนจากพี่รองฯ มาเป็นพี่ใหญ่ของโรงเรียนแห่งนี้แล้ว ผมไม่อยากลุกไปไหนเลย
รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยมีแรงชอบกล (เมื่อคืนไม่ได้ทำอะไรนะ) เพราะผมรู้ตัวว่า ต่อจากนี้ไป ผมต้องเดินทางไป
กลับโรงเรียนคนเดียว โดยที่ไม่มีไอ้โอ้ตแล้ว


เมื่ออาทิตย์ก่อน โอ้ตมันขึ้นไปอยู่ที่เชียงใหม่แล้วครับ ผมก็ไม่รู้ว่าต้องรีบไปทำไม ในเมื่อคณะเภสัชฯมันก็มี
หอของคณะอยู่แล้ว หอก็ไม่ต้องรีบร้อนจองเหมือนคนอื่น แต่พ่อกะแม่มันอยากให้ขึ้นไปเตรียมตัวอะไรก่อนล่ะมั้ง
ก็เลยอพยพกันไปส่งถึงโน่นเลย ผมก็อยากไปนะ แต่คิดอีกที ในพ่อแม่ลูกเค้าได้อยู่ด้วยกันจะดีกว่า หลังจากนั้น
ช่วงค่ำๆ มันก็จะโทรมาหาผมทุกวันคับ เพราะว่าลุงแกซื้อมือถือให้มันเครื่องนึง อยู่ไกลจะได้ติดต่อกันได้สะดวก
แต่ก็โทรคุยกันได้แป๊บเดียว สมัยนั้นค่าโทรฯมานแพงอ่ะ แต่ก็ดีใจคับ ที่มันไปแล้วก็ยังมีกะใจจะโทรมาหาผม


ผมค่อยๆ เหยียดตัวลุกขึ้น ตอนนี้เวลาเกือบจะเจ็ดโมงแล้วคับ ท่าเป็นเมื่อก่อน โอ้ตมันก็คงจะวิ่งมาเคาะประตูห้อง
บอกว่าสายแล้วๆ ผมก็ต้องกระวีกระวาดรีบอาบน้ำแต่งตัว แต่ตอนนี้ไม่ต้องรีบคับ เลยค่อยๆลุกขึ้น รู้สึกเหมือน
จิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว


เข้าห้องน้ำแล้วก็หยิบหลอดบีบๆแล้วก็แปรงฟัน เอ๊ะ ทำไมรสชาติยาสีฟันมันแปลกๆไปกว่าวันก่อน เหลือบไปมอง
ตายห่า กรุดันหยิบโฟมล้างหน้ามามาบีบแทนยาสีฟัน เฮ้อ …


ออกจากห้องน้ำ ก็หยิบเสื้อผ้ามาใส่ รู้สึกว่ามันคับๆไปกว่าเดิมนิดหน่อย แล้วก็คว้ากระเป๋าวิ่งออกจากบ้าน
เพราะเริ่มรู้ตัวว่าจะสายตั้งแต่วันแรก(อีกแล้ว)


เคยเป็นม่ะครับ เวลาบางทีที่เราอยู่กับบ้านเป็นเวลานานๆ ไม่ค่อยได้ออกไปไหน เหรอว่ารู้สึกว่าตัวเองไม่อยู่
กับร่องกับรอย แล้วก็เราก็จะเบลอๆ ทำอะไรไม่ค่อยมีสติ วันนี้ผมก็เป็นแบบนี้ทั้งวัน เริ่มจากตอนเช้าหลัง
จากวิ่งออกมานอกบ้านรอรถ พอขึ้นไปแล้วก็จ่ายตังค์ค่ารถ พี่ที่เก็บเงินก็ทอนเงินมาให้ ผมดันไปไหวเค้าเฉยเลย
เค้าก็ทำหน้างงๆครับ ผมมารู้ตัวทีหลังก็ทำเนียนไม่สนใจ แต่ในใจ กรุอายโคด..
,
,
ติ้ง ต่อง ต๊อง ต่อง ต่อง ต๊อง ต้อง ต่อง
,
,
เดินเข้าไปถึงแค่หน้าประตูโรงเรียน ก็ได้ยินเสียงอ๊อดมาแต่ไกล ทำให้ผมต้องรีบจ้ำเข้าไปใหญ่ สุดท้ายผมก็
มาเข้าแถวทันคับ กระป๋งกระเป๋า ก็ไม่ได้เอาขึ้นไปเก็บไว้บนห้องหรอก วิ่งพลวดไปที่แถวเลย


“มาสายวันแรกเลยเหรอวะ” ซังมันหันมาถาม มันเป็นคนที่เลขที่อยู่ข้างหน้าผมคับ เลยคุยกันได้สะดวก


“เออ…”ผมตอบโดยไม่ได้สนใจ


“เมื่อคืนได้นอนมั่งป่าว ทำไมดูเซือยๆ” ซังมันก็ถาม ชวนคุยโน่นนี่ มันก็รู้แหละครับว่าผมกะลังอยู่ใน
ช่วงเวลาของการปรับตัว ก็เลยคอยอยู่เป็นเพื่อนตลอด แต่ผมก็ไม่ค่อยจะตอบรับเท่าไรนี่ซิ แต่มันก็ดีนะ
ไม่ค่อยพูดถึงเรื่องโอ้ตให้ผมต้องมาคิด แต่ …


“ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าคิดถึงไอ้โอ้ตมันดิ” เสียงใครบางคนมันตอกย้ำความรู้สึกผม แล้วมันก็ม่ะใช่ใคร
ที่ไหนคับ ไอ้คิวเจ้าเก่านั้นเอง พอดีเราสามคนกินข้าวเสร็จแล้วก็เลยขึ้นมาอยู่บนห้องก่อน


“ปริ้น เมิงแมร่งก็เว่อร์ แค่มันไปเรียนเชียงใหม่แค่เนี้ย เมิงก็ทำเป็น...”


“คิว มึงพูดไรให้น้อยๆหน่อย” ซังปราม


“ก็เห็นแล้วกรุรำคาญนี่หว่า ทำเหมือนจะเป็นจะตาย” คิวมันพูดเสร็จก็เดินมาชนตัวผมจนเซแซ่ดๆ
แล้วก็เดินออกไปนอกห้อง


ผมก็พูดไม่ออกคับ เจอมันตอกหน้าแบบนี้ ก็มันไม่เป็นผมนี่หว่า แล้วผมก็เดินเนือยๆไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง


“ปริ้น อย่าไปสนใจคิวมันเลย” มันพูดพลางเอามือมาตบไหล่ให้กำลังใจ


“มันก็พูดได้หนิ มันไม่ได้มาเป็นกรุนี่หว่า” ผมพูดไปเสียงสั่นๆ น้ำตาคลอ เหมือนจะน้อยใจที่
ไอ้คิวมันไม่เข้าใจ แถมยังมาด่าอีกตะหาก


“กรุก็ไม่อยากเป็นแบบนี้หรอก กรุก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน กรุก็เกลียดที่ตัวเองเป็นแบบนี้เหมือนกันแหละ”
ผมพูดไปพลางเอามือปาดน้ำตาตัวเองไม่ให้มันไหล คิดแล้วมันเจ็บใจจริงๆ ซังมันก็พูดไรม่ะออกคับ ได้แต่เอา
มือตบไหล่ผมอยู่นั่นหล่ะ จนเพื่อนบางคนมันขึ้นกันมาก็เลยรีบไปนั่งที่กันโดยไม่ได้พูดไรอีก


ยอมรับคับว่า วันนั้นเรียนไม่ค่อยรู้เรื่องทั้งวันเลย โชคดีที่วันแรกก็ไม่ค่อยได้เรียนอะไรเท่าไร ตอนเย็นไอ้ซัง
มันก็เลยชวนผมไปเดินเที่ยวบิ๊กซีกัน (ตอนนั้นพึ่งเปิด)


“อ้าว ไหนเมิงบอกว่า วันนี้จะไปเตะบอลกะกรุไง ซัง” คิวมันถามแฟนด้วยความเคืองๆ


“เออ ผลัดไปวันอื่นล่ะกัน” ซังมันว่าพลางเก็บหนังสือลงกระเป๋า


“ไปด้วยกันเปล่าล่ะ หรือจะไปเตะบอล”


คิวทำท่าทางคิดนิดหน่อย


“ไปดิ เมิงไม่เตะ กรุก็ไม่มีรมณ์จะเตะเหมือนกัน” คิวมันว่า แล้วก็ทำเดินไปถือกระเป๋าให้ไอ้ซังมันแล้วก็
เอาหนังสือมันยัดๆเข้ากระเป๋า (ไอ้คิวมันถือหนังสือมาโรงเรียนประมาณสี่ห้าเล่มคับ)


“เด๋วกรุเดินไปรอที่รถนะ”


“เออ ไอ้คิวไปด้วยไม่เป็นไรนะ” ซังมันหันมาถามผม


“เออ อืม …” ผมก็ได้แต่พูดแบบนี้อ่ะ จะเป็นไรได้ล่ะ ก็มันเป็นแฟนกันนี่หว่า แล้วมีหวานถือกระเป๋าให้กัน
ด้วยนะ อิจฉาว้อย


ซักพักผมกะซังก็เดินลงมาที่รถ


“ซังเด๋วเมิงซ้อนกรุนะ ปริ้นเด๋วเมิงไปกะไอ้โค้ก” มันสั่งการณ์แล้วก็เดินจูงรถแน่วๆไปเลย ซังมันก็วิ่งตามไป


“แล้วไอ้โค้กมันอยู่ไหนวะ” ผมตะโกนถาม


“อยู่ข้างหลังพี่” เสียงคุ้นเคยดังมาแต่ไกล ไอ้โค้กมันพึ่งจูงรถมอไซต์ออกมา ขึ้นม.5 แล้วตัวมันก็โตกว่าเดิมมาก
เหมือนกันคับสูงร้อยเจ็ดสิบปลายๆได้แล้วมั้ง

“อ้าวแล้ววันนี้เค้าไม่ซ้อมบาสเหรอไง” ผมถามพลางเดินตามมันไป


“ไม่หรอก วันแรกเค้าไม่บ้าพลังกันขนาดนั้นหรอก” มันบอก พอจะออกจากโรงเรียน มันก็ต้องผ่านสนามบาสไง


“เฮ้ย ไอ้โค้กเมิงไปไหนวะ อู้อีกแล้วนะมึง” เสียงไอ้เด็กที่มันเป็นหัวหน้าทีมตะโกนมาจากสนามบาส
ผมก็มองหน้าโค้ก มันก็ยิ้มแหะๆ แล้วก็บอกให้ผมรีบซ้อนท้าย ยังไม่ทันได้นั่งดีเลยมันก็ออกรถอย่างเร็ว


“พี่ เด๋วแวะปั้มเติมน้ำมันก่อนนะ จะหมดแล้ว” มันว่าแล้วก็เลี้ยวเข้าปั้ม


“เติมไร เด๋วเติมให้” ผมว่า แต่มันทำท่าปฏิเสธ ผมก็เลยบอกมันว่า ถ้าไม่ให้ผมออกให้ก็ไม่ต้องพาไป
มันก็เลยยอม พอดีที่ปั้มมีร้าน 7 อยู่ก็เลยชวนมันไปหาอะไรกระแทกปากก่อนคับ ชักหิวๆ


ผมก็จะซื้อไส้กรอกชีส เดินไปดูๆ ชี้ๆ ไส้กรอกชีสที่หมุนวนอยู่


แล้วบอกพนักงานไปว่า “91 เต็มถังน้อง”


อ๊า กรุยังไม่หายใจลอย


ซักพัก พนักงาน 2 คนกะ คนซื้อข้างๆ แล้วก็ไอ้โค้ก ขำขี้แตกขี้แตนเลย -*-


พอมาถึงบิ๊กซี ซังมันก็โทรเข้ามือถือผมบอกว่ารออยู่ เคเอฟซี ไอ้โค้กก็ดันเสือกเล่าเรื่องที่ทำหน้าแหก
มันก็ขำกันยกใหญ่


“ปริ้น เมิงเป็นเอามากหว่ะ ” คิวมันกัดผม


“ไรมึงไม่เคยเป็นเหรอไง” คนมันเบลอๆ ผมแก้ตัว พลางดูดน้ำ กัดไก่กรวมๆ


เราสี่คนก็คุยๆอะไรกันซักพัก โค้กมันก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ


“ปริ้น ตอนที่โอ้ตมันไม่อยู่ เมิงก็หาคนคบไปพลางๆแก้เหงาไปก่อนเด๊ะ” ไอ้เชี่ยคิวมันเสนอแนะ
ซังมันเหลือบไปมองแฟนตัวเอง


“มึงอย่าไปแนะนำเรื่องชั่วๆให้ไอ้ปริ้นมันทำตัวเหมือนมึงได้ม่ะ กรุขอร้อง” ซังมันด่าไอ้คิวไป
มันก็ทำหน้าทะเล้นไม่ใส่ใจ


“เมิงไม่รู้สึกเหรอ ว่าไอ้โค้กอ่ะมันสนใจเมิงเหมือนกันนะว้อย ” ไอ้คิวพูดทำเอาผมสำลักน้ำเป๊ปซี่


“พูดไร จะบอกว่าไอ้โค้กก็เป็นเกย์เหรอ” ซังมันพูดแต่คราวนี้ทำเสียงค่อยแทบไม่ได้ยิน


“เหี้ย เมิงไม่สังเกตเหรอไง โดยเฉพาะเมิง ไอ้ปริ้น โค้กมันเกาะเมิงแจเลย ตั้งแต่กีฬาสีโน่นแล้ว”
คิวมันบอกผม จริงๆผมก็รู้สึกเหมือนที่มันพูดอะแหละ แต่ตอนนั้นผมมีโอ้ตอยู่นี่นา ก็เลยไม่ได้สนใจ
อะไรจริงๆจังๆ แถมบางที อาจจะดูเหมือนโค้กมันสนใจผมก็จริง แต่เวลาปกติ ก็เห็นมันไปเหล่สาว
กะเพื่อนมัน บางทีมันก็ยังเอาเรื่องที่จะจีบคนนั้นคนนี้มาเล่าให้ฟังบ่อยๆ


“ไม่รู้ว้อย กรุไม่ได้ชอบไอ้โค้กแบบนั้น” ผมรีบตอบ


“เจงอ่ะ” คิวมันมองผมเหมือนจะจับผิด พลางยิ้มแบบมีเลสนัย ไอ้ซังมันกระทุ้งศอกเป็นเชิงให้รู้ว่า
โค้กมันเดินมาแล้ว มันก็มองๆว่าคุยเรื่องไรกัน


“เปล่า เออ จะไปดูหนังกันเปล่า” ซังมันพูดไปเรื่องอื่น


“ไม่ดูอ่ะ เด๋วกรุกลับบ้านค่ำ” ผมบ้านไม่ได้อยู่ในอำเภอเมืองเหมือนมันทั้งสามตัว ก็เลยต้องรีบกลับ


“โห จะรีบกลับไปทำไมวะ ฟงแฟนก็ไม่ได้อยู่ด้วย” ไอ้คิวมันหลุดปากพูดแทงใจดำอีกแล้ว


“โอ้ย …” เสียงซังมันเหยียบเท้า


“เฮ้ย ดูด้วยกันดิ ปริ้น” ซังมันก็พยายามชวนผม แต่ผมหมดอารมณ์แระไม่อยากดู แล้วก็ไม่อยากทนปากหมา
ไอ้คิว ก็เลยบอกว่า ไม่ดู แล้วก็ขอตัวออกมาก่อน


“พี่ปริ้น เด๋วผมไปส่ง”


“ไม่ต้องหรอก เด๋วรอตรงข้างหน้าห้างมันก็มีรถผ่าน” ผมบอกมัน เพราะผมก็ไม่อยากจะให้ความรู้สึก
ที่ไอ้คิวบอกมันเกิดขึ้นกับตัวผมจริงๆ


“ขืนรอตรงนี้ ก็ไม่ได้นั่งกันพอดีดิคับ มาเหอะ ไปขึ้นหน้าโรง’บาลดีกว่า” มันไม่พูดเปล่า ฉุดมือผม
มาด้วย ผมก็เลยไม่อยากต้านทาน เดินตามมันต้อยๆ (ใจง่ายม่ะกรุ)


“พี่โอ้ตไปเรียนแล้ว เหงาอะดิ” มันพูดขึ้นระหว่างที่กะลังมาส่งผม


“ก็นิดหน่อยว่ะ” ผมก็ตอบแบบเลี่ยงๆ ผมก็คิดว่ามันก็คงรู้มั้งว่าผมกะไอ้โอ้ต คบกัน แล้วก็คงรู้ว่า
ไอ้คิวกะไอ้ซังคบกันมากกว่าเพื่อน แต่เราสามคน ก็ไม่เคยคุยเรื่องแบบนี้กันต่อหน้าไอ้โค้กเลย เพราะ
ต่างคนก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นหรือไม่เป็น


“ขอบใจนะที่มาส่ง” ผมบอกตอนลงจากเบาะ


“ไม่เป็นไรคับ ผมเต็มใจ” มันพูดพลางยิ้ม ดวงตามันยังคงมีเสน่ห์ที่ใครเห็นแล้วก็อดหลงไปกะมันไม่ได้
พอดีเหลือบไปเห็นรถมาพอดี ผมก็เลยรีบลา แล้วก็กระโดดขึ้นรถ


ไม่ได้ๆ กรุจะมาใจอ่อนกะเด็กม่ะวานซืนได้ไงวะ(ห่างกันปีเดียว) กรุมีแฟนอยู่แล้วนะว้อย ผมคิดตอนอยู่บนรถ


มืดวันนั้น โอ้ตมันก็โทรมาหาผมตามปกติคับ ก็คุยๆกันไปเรื่อยๆ กว่ามหาลัยมันจะเปิดก็ตั้งต้นเดือนมิถุนา
ช่วงนี้มันก็เข้าหอแล้วคับ แต่โดนพวกรุ่นพี่นี่ดิ รับน้องกันแบบโหดๆทั้งนั้น ผมก็ถามว่าเค้ารับยังไงบ้างล่ะ
โอ้ตมันก็ได้แต่หัวเราะหึหึ แล้วก็ไม่ยอมบอกผม


“อย่าไปชอบใครที่โน่นล่ะ” ผมพูดดักคอ


“โห จะไปชอบใครล่ะ แล้วใครจะมาชอบเห้อะ” โอ้ตทำเสียงขำ


“ไม่รุ จะไปรู้เหรอไง ไปอยู่หอเอง จะทำอะไรก็ได้หนิ” ผมพูดประชดๆ


“แหม ไม่ไปมีใครหรอก ก็โอ้ตมีเด็กต้องดูแลที่เพชรอยู่ทั้งคนนี่นา” มันว่า


“เออ รู้ก็ดีแล้ว”


“เหอะๆ เป็นไร ดูทำเสียง ”


“ก็คิดถึงนี่หว่า”


“… หวงด้วย”


“ตอนเราอยู่ด้วยนี่น้า ไม่เห็นจะมาหึงเหิงแบบนี้เลย” โอ้ตมันว่า


“ก็มัน …” ผมพูดม่ะออกคับ เหอๆ


“ไม่รู้ล่ะ ตัดสินใจแล้วอ่ะ”


“ตัดสินใจว่าอะไร ? ”


“ปีหน้า ปริ้นจะเอนฯเข้า มช”


“ห๊า..!! ว่าอะไรนะ”

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #44 เมื่อ23-10-2006 05:28:49 »

หลังจากวันที่ผมคุยกับโอ้ตเรื่องที่ตัดสินใจจะเอ็นฯ เข้า มช แล้ว ตัวเองกลับต้องกลับ
มานั่งคิดหนัก เพราะว่า หัวสมองผมไม่ได้ดีเหมือนโอ้ตมัน แล้วอีกอย่างคือ ผมยังไม่
ได้ตัดสินใจด้วยซ้ำว่า จะเลือกเรียนอะไรดี (ทั้งๆที่อยู่ ม.6 แล้วอะนะ) เลือกไปเลือกมา
ซักพัก ก็เลือกมาได้คณะนึงครับ ....


แต่คะแนนปีที่แล้วโคตรสูงเยยย T-T อธิบายก่อน คือ ตอนที่ผมเอ็นฯ มันพึ่งเปลี่ยน
จากระบบเอ็นฯแบบเก่า ที่เป็นแบบ สอบครั้งเดียว เป็นแบบ สอบสองรอบ เดือน ตค
แล้วก็ มีค จริงๆแล้วมันเปลี่ยนตั้งแต่รุ่นโอ้ตแล้วล่ะครับ แต่มันเจือกล่ม รุ่นผมก็เลย
เหมือนกะเป็นรุ่นแรก (ม่ะมีแอดมิดนะ) เลยทำให้ผมต้องเครียดหนัก พอใกล้ถึงเดือน
ต.ค. ก็ต้องไปสมัครที่ศูนย์สอบที่ศิลปกร นครปฐมคับ เป็นครั้งแรกที่ได้มาที่นี่เลย


ผมก็มาสมัครสอบพร้อมๆกะพวกซัง แล้วก็ไอ้คิวน่ะล่ะ นั่งรถบขส มาลงหน้ามหาวิทยาลัย
จำได้ว่า มันเป็นวันที่เกือบจะปิดรับสมัครแล้ว คนเลยน้อยโคตรๆ แล้วก็เป็นครั้งแรกที่ได้
สัมผัสกับคำว่า รั้วมหาวิทยาลัย ต่างจังหวัดจริงๆ เพราะเคยไปเดินใน จุฬาฯ หรือว่า มธ
ตอนที่เรียน ม ต้น ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย


“เฮ้ยๆ ... ปริ้น เค้าว่ากันว่า ถ้าเมิงเห็นเหี้ยที่นี่นะ เมิงจะสอบติดด้วยล่ะ” ไอ้คิวบอกคำร่ำลือ


“แล้วกรุจะหาทำแพะอะไรล่ะ กรุไม่ได้จะเข้าทีนี่นี่หว่า” ผมว่ามันไป


“อ้าว แล้วจะเข้าไหนอ่ะ ปริ้นยังไม่เคยบอกเลยนี่หว่า ว่าจะเอ็นเข้าที่ไหน” ซังถาม ผมลืมไปว่า
ผมยังไม่เคยเล่าเรื่องที่ผมตัดสินใจอะไรไปเพียงชั่ววูบที่จะเอ็นเข้ามช เพราะผมไม่อยากโดน
ใครๆด่าว่า เพ้อเจ้อ เอาชีวิตตัวเองไปผูกติดกะไอ้โอ้ตมัน


“อ่อ ยังไม่รู้เลยวะ” ผมพูดปด


“เหรอว่าเมิงคิดจะเอ็นฯเข้าเชียงใหม่ว่ะ” คิวมันแสล่นมองหน้าผมแบบจับผิด


อี๊ ... มันมีพลังจิตเป่าวะ


“บ้าดิ กรุไม่มีปัญหาเข้าหรอก ห่ะ ห่ะ ห่ะ” ผมบอกมันแล้วก็หัวเราะกลบเกลื่อน ซึ่งตอนนี้มา
คิดดูก็ไม่รู้ว่าจะกลบเกลื่อนไปเพื่ออะไร - -;


“แล้วมึงอ่ะ จะเลือกอะไร ” ผมเปลี่ยนไปถามฝ่ายมันบ้าง


“ไม่รุหวะ กรุคงไม่ติดอยู่แล้ว คงเรียนเอกชน” มันว่าพลางหันไปยิ้มแป้นทางไอ้ซัง ซึ่งทำหน้าบอกว่าสมควร


“ก็กูจะติวให้มึง ก็เล่นโน่นเล่นนี่ ขี้เกียจสันหลังยาว เอ้ย ไอ้ ... บลาๆๆๆ ” ซังมันหันไปพูด
กระทบกระแทกแฟน แล้วก็หันมาบอกผมว่า มันจะเลือก เรียน นิติ มธ คับ โห เพื่อนกรุ


ผมเห็นมันคุย(ทะเลาะ) กันหนุงหนิง ก็อดกลับมาคิดถึงตัวเองไม่ได้ ผมกะลังทำอะไรอยู่นะ
ซังมันก็เลือกที่จะเรียนตามที่มันชอบ คิวมันก็รู้จักประมาณตัวเอง แต่ผมนี่ดิ อยากไปมช เพราะ
ว่า จะได้ไปเจอไอ้โอ้ต !


หวนกลับมาคิดแล้ว ทำเอาผมเสีย self ไปนิดหน่อย แต่ ... พอผมคิดถึงตอนที่ผมบอกกะโอ้ต

.......

...


“ปริ้นตัดสินใจแล้วอ่ะ ว่าจะเอ็นฯเข้ามช”


“ห๊า”


“ทำไมต้องตกใจด้วยอ่ะ”


“ก็ตกใจนะซิ แล้วจะมาเรียนอะไรเหรอ”


“คือ ...... ยังไม่รู้เลย”


“อ้าว แล้วจะมาเรียนแต่ยังไม่รู้จะเรียนอะไรเนี่ยเหรอปริ้น คิดดีๆนะ”


“เราอยากจะไปเรียนที่เดียวกะโอ้ต ระ .. เราคิดถึงโอ้ตอ่ะ” ผมพูดเสียงสั่นๆ


“โอ้ตไม่อยากให้ปริ้นไปเหรอ ? ”


โอ้ตมันเงียบไปจบผมต้องทักมันอีกครั้ง


“มะ ไม่ใช่ครับปริ้น โอ้ต ... โอ้ตดีใจต่างหาก ถ้าปริ้นได้มาเรียนที่นี่ ก็คง...”


“โอ้ตก็คงมีความสุขมากแน่ๆ เพราะจะได้ดูแลปริ้นได้ไง” โอ้ตมันพูดเสียงมีความสุขจริงๆ


“อือ .. ”


“พยายามเข้านะครับ เจ้าชายของโอ้ต ”โหย มันพูดคำนี้ทำเอาผมสะท้าน


“ครับ โอ้ต - - คิดถึงนะ ”


“เหมือนกันคับ”


.....

.........

ผมสั่นหัวไปมา กลับมาคิดอีกที ผมก็มีจุดมุ่งหมายนี่หว่า ถึงแม้ว่ามันจะแตกต่างจากคนอื่นก็เหอะ
ถึงแม้ว่ามันจะดูไร้สาระสำหรับคนอื่นก็เหอะ


.. แต่ว่ามันสำคัญสำหรับผม แล้วก็ โอ้ต ก็พอแล้ว ..

.
.
.
* * * * * * * * * * * * * * *

.
.

ปิดเทอมเดือนตุลาคม แต่สำหรับเด็ก ม.6 ทุกคน ไม่มีคำนี้อยู่ในหัวจนกว่าจะสอบเอ็นฯเสร็จ

สนามสอบที่ผมต้องไปสอบคือโรงเรียน ที่อยู่ใกล้ๆกัน ม่ะก่อนตอนที่ผมเรียน ยังเป็นโรงเรียน
หญิงล้วนครับ แต่ ม ปลายก็จะเป็นสห เหมือนโรงเรียนผมที่ ตอนม ต้นจะเป็นชายล้วน แล้วก็
ม ปลายจะเป็นสห. ฉะนั้น โรงเรียนนี้ ผู้หญิงจะเยอะมากๆ เพื่อนผมมันก็กระดี้กระด้ากันสุดชีวิต


ส่วนผมก็ไม่ค่อยสนใจครับ (เหมือนเป็นคนดี) เพราะว่า วันแรกผมก็มีสอบตั้ง 3 วิชา วิชาละสอง
ชั่วโมง ก็แทบบ้าแล้ว


“เป็นไงปริ้น ทำได้เปล่า” ซังมันเดินหน้าเครียดมาถามหลังจากเสร็จวิชาสุดท้าย


“ม่ะค่อยได้หว่ะ เรื่องตรีโกณอ่ะ ม่ะรู้เรื่องเลย” ผมบอกมันแบบหน้าไม่รับรู้ความรู้สึก


“ห่ะ ตรีโกณมันเกือบจะทั้งหมดเลยนะนั่น ตะ แต่มันก็ไม่ได้ยากไรมากนี่หว่า ” ซังมันบอกผม


“เออ ก็เอ็งเก่งนี่นา” ผมชักเริ่มหงุดหงิด


“แล้วจะไปไหนต่อป่ะ”


“ไม่อ่ะ จะรีบกลับแล้ว ปวดหัว” ผมว่า ม่ะรืนนี้ก็มีสอบอีกสามตัว ผมตายแน่ แล้วทีสอบไปวันนี้
ก็รู้สึกว่าทำไมค่อยได้เลย เซงๆ ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสสอบใหม่อีกในเดือน ตค ก็เหอะ ก็ยังวางใจ
ไม่ได้


“เด๋วไปส่งที่ท่ารถ ” ซังบอกผม


“ไม่เป็นไรอ่ะ ซังอยู่รอไอ้คิวเหอะ” ผมบอกมัน เด๋วนี้ไอ้คิวไม่ขี่รถมาเองแระ ไปไหนมาไหน
กะไอ้ซังบ่อยขึ้น คงเป็นเพราะมันรู้ล่ะมั้งว่า เวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ มันจะเหลืออีกไม่
มาก แต่มันก็วางแผนกันนะ ว่า ไปกทม แล้วมันก็จะเช่าหออยู่ด้วยกัน ถึงจะเรียนคนล่ะที่ก็
เหอะ (เหมือนคิวมันจะรู้ชะตากรรมว่า ไม่ติด)


หลังจากสอบเสร็จ ผมก็ไปเที่ยวทะเลกับเพื่อนที่ห้องบ้าง ไปเที่ยวที่นู่นที่นี่ โอ้ตมันเรียนไปได้
เทอมนึงแล้ว เห็นบ่นทางโทรสับว่ายากงั้นยากโง้น แถมช่วงหลังๆ ก็โทรมาหาน้อยลง หรือคุย
ได้แป็บเดียวก็ต้องวาง ม่ะรู้มันจะยุ่งอะไรนักหนา ... เรื่องกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ หรือว่าแฟน ไม่มี
ในหัวมันเลย สงกะสัยเจงๆ


พอใกล้ๆจะเปิดเทอม ผลสอบก็ส่งมาครับ ... เกณฑ์ก็อยู่ในมาตรฐาน(ต่ำ) แต่มีวิชานึงที่ผมได้
เกิน 70 !!


วิชาวัดแววความเป็นครูครับ ผมม่ะได้อ่าน ไม่ได้อะไรเลย แต่พอสอบผมก็สมัครไว้เผื่อๆ ดันได้
เยอะสุด - -‘’ งงกะตัวเองมากมาย

ผ่านเข้ามาในเทอม 2 เป็นเทอมสุดท้ายที่จะได้อยู่ในรั้ว น้ำเงิน – ชมพูแห่งนี้แล้ว การเรียนการสอน
ก็ไม่ค่อยเข้มงวดเหมือนกับเทอมแรกอ่ะ อยากอาจารย์คณิตเค้าก็ขอแค่มีงานส่ง ก็ให้เกรดดีๆแระ
(ไม่ควรเอาอย่าง) แต่ก็มีบางวิชาที่อาจารย์ยิ่งตั้งใจสอนมากขึ้น โดยเฉพาะวิชาอังกฤษ ช่วงนั้นผมก็
บ้าเรียนพิเศษครับ ภาษาอังกฤษวิชาเดียวเลย ไปเรียนทั้ง speaking listening บลาๆๆ ไม่อยาก
ให้ตัวเองอยู่ว่างๆอ่ะครับ ก็ช่วยได้ระดับนึง


ในห้องเรียน ผมก็สนิทอยู่ไม่กี่กลุ่ม แต่จะสนิทมากๆอยู่แค่ 2 คน คือ ไอ้ซังกะไอ้คิว เรียกว่าไปไหน
มาไหนก็ไปกัน 3 คนอยู่บ่อยๆ แล้วก็จะมีกะไอ้โค้กนี่ล่ะครับ ที่มักจะหาเวลาไปไหนมาไหนกะพวก
ผมอยู่เรื่อยๆ มาพักหลังๆ มันก็ไม่ค่อยมีเวลามาสุงสิงกะพวกผมบ่อยๆ เพราะว่า ตัวมันติดเป็นนักกีฬา
บาสฯระดับจังหวัดเลย เจ๋งจริงๆ มันก็ไปแข่งงานโน้นงานนี้ แถมสาวๆ และไม่สาวก็ติดมันตรึม


แต่ ... มีอยู่วันนึง ในเดือนพฤศจิกายน มันก็บอกว่า จะต้องไปแข่งกะทีมจังหวัดใกล้ๆนี่ล่ะครับ วันนั้น
ผมก้มาเรียนตามปกติ ตอนบ่ายแก่ๆ ก็ได้ข่าวว่า ไอ้โค้กมันประสบอุบัติเหตุตอนแข่งอ่ะ ขามันเหมือน
จะหัก


ผมก็ตกใจดิ เพราะว่า มันเป็นคนเล่นกีฬา แล้วก็มีสิทธิที่จะเข้ามหาลัยโดยใช้โควตานักกีศาได้อยู่แล้ว
พอตอนเย็นผมก็เลยรีบไปเยี่ยมมันที่โรงพยาบาลกะซัง ไปถึงก็เห็นมันนอนหลับอยู่ ไปเจอแต่พี่เลี้ยง
มันเฝ้าอยู่ (บ้านมันออกจะไฮโซหน่อย ไม่สมกะหน้าตามัน) พี่เลี้ยงมันก็ส่งซิกให้ผมกะซังออกมา
ข้างนอกก่อน แล้วพี่เค้าก็บอกว่า มันม่ะได้แค่กระดูกหักอย่างเดียว แต่มันมีปัญหาถึงเอ็นขาด้วย ไม่รู้
ว่าไปโดนอะไรมาแรงขนาดนี้ คือ สรุปง่ายๆ มันจะไปลงแข่งอะไรแบบนี้ม่ะได้แล้วอ่ะคับ แต่ตอนนี้
มันยังม่ะรู้หรอก ม่ะมีใครกล้าบอก แล้วพี่เค้าก็ขอร้องอย่าให้พวกผมบอกมันตอนนี้ เด๋วมันจะยิ่งแย่ .


“น่าสงสารโค้กหว่ะ ” ซังบอกเบาๆ หลังจากที่เดินเข้ามาในห้องคนป่วยแล้ว


“อือ ... ” ผมก็สงสารมันเหมือนกัน ม่ะน่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเลย อนาคตมันกำลังสดใสแท้ๆ เรื่องโควต้า
นักกีฬาที่จะเรียนต่อมหาลัยก็แห้วไปเลย ... แต่เรื่องเข้ามหาลัยคงไม่มีปัญหาเท่าไร เพราะว่าหัวมันก็ดี
พอควร


ผมเดินเข้าไปใกล้ๆเตียง เห็นมันกำลังนอนหลับปุ๋ย ไม่รู้เรื่องรู้ราว ขาข้างนึงใส่เฝือกยกขึ้นสูง ผมเผลอ
เอามือไปลูบหัวเบาๆ เหมือนกับที่แม่เคยทำให้เวลาที่ผมกำลังป่วย


“หายเร็วๆนะ มึง ไอ้โค้ก...”
.
.
.
* * * * * * * * * * * * * * *

.
.
.

ประมาณไม่ถึงอาทิตย์ มันก็เสือกออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว ด้วยความทีมันถึก แล้วก็ขี้เกียจ
อยู่ในโรงพยาบาลไม่ไหว ประมาณวันศุกร์มันก็มาโรงเรียนโดยใช้ไม้ค้ำกระเตงๆมา ดูหน้าตา
มันยังสดใสเหมือนเดิม ดูท่าทางจะยังไม่รู้เกี่ยวกะขาตัวเองมั้ง ...


เท่าที่ผมแอบดูอยู่ห่างๆ ตอนนี้มันยิ่งเด่นกว่าเก่าอีกอ่ะ มีแต่สาวๆ มาช่วยมันถือของ เอาใจสารพัด
มาช่วยป้อนข้าว ? .... บีบนวดสารพัด ตอนเย็น ก็ไม่ต้องขี่รถมอไซต์กลับเอง เพราะว่ามีคนใช้ที่
บ้านมารับ เป็นแบบนี้อยู่หลายอาทิตย์เหมือนกัน จนเข้าเดือนธันวา ขามันก็ถอดเฝือก แต่ก็ยังต้อง
ใช้ไม้ค้ำอยู่ ลืมบอกไปคับว่าปีนี้ นอกจากอากาศจะหนาวเย็นมากกว่าปีก่อนๆ ถึงขนาดบางคาบต้อง
ปิดประตู หน้าต่าง เพื่อไม่ให้ลมพัดเข้ามา กันเลยทีเดียว (ไม่ได้เว่อร์ และอยู่ในเมืองนะคับ ) ตอน
กลางวันก็จะวิ่งไปกลางสนาม แล้วก็ไปนั่งแช่แป้งตากแดดอุ่นๆกัน สนุกสนาน


ขณะที่ผมกำลังนอนอาบแดดบนสนามหญ้าเพลินๆ


“พี่ปริ้น ๆ ” เสียงใครหว่า คุ้นจัง


“พี่ปริ้นนนน” มันเรียกดังขึ้น เหมือนเสียงจะอยู่บนหัว พอลืมตา ก็เห็นไอ้โค้กยืนขาเดี้ยงๆ อยู่บนหัวผม
หน้าตายังคงเบิกบานอยู่เหมือนปกติ


“เออ ว่าไง อยู่แค่นี้ ไม่ต้องตะโกนก็ด้ายย” ผมบอกพลางผุดลุกขึ้นมานั่ง


“เย็นนี้ว่างป่ะคับ”


“ก็ว่างอยู่ มีไรเหรอ”


“พอดีมีเรื่องปรึกษาหน่อยครับ งั้น ห้าโมงเย็น เจอกันที่สระมรกต นะครับ ” มันบอกผมพลางกระเตงร่าง
ตัวเองออกไปนอกสนาม


“อ้าว เฮ้ย แล้วทำไมไม่พูดตอนนี้อ่ะ”


มันหันมายิ้มให้กวนๆ แล้วก็ทำท่าทางกวนตีน เดินขึ้นตึกไป


ผมเก่าหัวแกร็กๆ พอดีกับเสียงออดของโรงเรียนดังขึ้นพอดี

.
.
.
* * * * * * * * * * * * * * *

.
.
.

ติ้ง ต่อง ต้อง ต่อง ... ต่อง ตอง ต้อง ต่อง


“ปริ้น ไปกินสปาเก็ตตี้โรงบาลกัน .. ” (หมายเหตุ – ร้านอาหารที่ขายในโรงพยาบาลแถวโรงเรียนที่อร่อย
มากๆ) ซังบอกผม พลางสะกิดไอ้คิวที่งีบหลับ ตั้งแต่ต้นคาบ ยันเรียนเสร็จก็ไม่มีทีท่าจะตื่น


“เออ .. ไปกันก่อนเหอะ เด๋วไปหาไอ้โค้กมันก่อน” ผมบอก


“ไอ้โค้กมีไรเหรอ ? ”


“ไม่รู้มานดิ บอกว่ามีปัญหา ปรึกษา - - อ่ะ เหรอว่า มันจะรู้เรื่องที่ขา - -”


“ขามันทำไมฟะ ”ไอ้คิวสอดขึ้นมา


“ขามันเจ็บไง .. ”ซังมันแก้ตัวแทน แล้วก็ผลักไสให้มันไปรอข้างนอกก่อน แล้วก็คุยอุบอิบกับผม


“เหรอว่า มันรู้เรื่องขามันแล้ว ... แล้วมันทำใจไม่ได้ ก็เลยมาลาปริ้นวะ” ซังพูดเสียงเบา


“มาลาทำแป๊ะอะไร”


“มาลาตายอ่ะดิ !? ”


ผมตบหัวไอ้ซังมันทีนึง แล้วก็ว่ามันปากไม่เป็นมงคล ซังมันก็หัวเราะเรื่อยเปื่อยว่าล้อเล่น


“หรือว่า ... !? ”


“หรือว่าอารายอีก” ผมทำหน้าเบื่อๆ


“มันจะ ... สารภาพรักกะปริ้น !? ”


ฉึก ... <----------------- เสียงมีดแทงใจดำเล็กๆ


“พะ พูดไร เพ้อเจ้อ”


“อ้าว ม่ะแน่นา - - - เฮ้ยๆ พูดเล่น ม่ะต้องทำท่าจะชกก็ได้ว้อยย ” ซังมันพูดเสร็จ ก็รีบเดินหนี
ทันที


พูดไรให้คิดมากฟะ ไอ้บ้าเอ้ย ผมคิดไปบ่นไป จนรู้ตัวอีกที ก็เดินมาถึงแถวสระมรกตแล้ว ก็มอง
หาโค้ก ก็เห็นมันนั่งอยู่แถวน้ำตก เลยเดินเข้าไปหา


“ว่าไง มานั่งอ่อย เล่น MV อะไรอยู่ตรงนี้อ่ะ ม้านั่งมีก็ไม่นั่ง ” ผมบอกมัน


“ก็ต้องนี้มันไม่ค่อยมีคนนี่หว่า ”


“ว่าแต่มีอะไรอ่ะ ซีเรียสเป่าเนี่ย” ผมถามก่อน เพราะชักเกรงๆ


“นิดนึง”


“เหรอ แล้วเรื่องอะไรอ่ะ”


“พี่ปริ้น - - อีกไม่กี่เดือน ผมก็คงไม่ได้เจอพวกพี่ๆ อ.6 แล้วใช่ป่ะ” อยู่ๆมันก็ถามอะไรงงๆขึ้นมา


“ก็เออดิวะ ถามไรแปลกๆ”


“- - ผมก็เลยคิดว่า ถ้ามันมีเรื่องอะไรที่มันติดค้าง คาใจ ไม่ได้พูด ไม่ได้ทำอะไรไปแล้ว มันก็คงเสียใจ
น่าดูเลยเนอะ”


มันจะพูดถึงอะไรฟะ


“อืม เออ ..แล้วไงอ่ะ”


“- - ก็ .. ผมน่ะ ผม ....... ” มันเริ่มพูดแบบตะกุกตะกักไม่สมกะเป็นมัน หน้าเริ่มแดงๆ จนผมทำให้เริ่มแดง
ตามไปด้วยแล้น


หรือว่า ... มันจะ ... สารภาพรักกะปริ้น !? กะปริ้น กะ ปริ้น กะ ปริ้นนนนน เสียงซังมันลอยเข้ามา
ในใจ


“ผม - - แอบชอบคนๆนึงอยู่อ่ะครับ เป็นคนที่อยู่ในรุ่นเดียวกับพี่ปริ้นน่ะแหละคับ” มันพูดแล้วก็เกาพลางไป
ด้วย น่ารักน่าชัง


“เฮ้ออออ ... ” ผมรู้สึกโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก


“ก็บอกเค้าไปเลยเด๊ ... จามามัวงึมงำๆ ทำอาไรอยู่ เด๋วก็โดน ม ค ป ด หรอก” ผมเริ่มแนะนำมันอย่าง
สบายอกสบายใจ


“อยู่ๆจะไปบอกเค้าเลยได้ไงเล่า เผื่อเค้าไม่ชอบผมขึ้นมา ก็หน้าร้าวกันพอดี แถมยังเป็นไอ้เป๋ แบบนี้อีก”


“เง้ย ปกติ มึงไม่ได้เป็นคนหงอย แบบนี้นี่นา ออกจะมั่นใจตัวเอง” ผมพูดพลางตบบ่ามัน


“กล้าๆ หน่อยดิ ถึงมันจะไม่สำเร็จ แต่เราก็จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง - - ว่าทำไมเราถึงไม่ทำ” ผมจ้องตามัน

มันก็มองตาผมแป๋วเลย


“ครับพี่ผมจะลองดู แต่ - - -”


“แต่อะไร !? ”


“แล้วผมต้องทำยังไงบ้างอ่ะ” ผมได้ยินมันพูดแล้วแทบจะเดินตกสระ หน้าอย่างมันเนี่ยนะจะจีบคนอื่นไม่เป็น
แสดงว่าคนๆนี้ต้องทำให้มันรักแบบหัวปักหัวปำแน่ๆ ถึงหงอ ไม่กล้าพูดกล้าจา


“ก็ .. - - เดินเข้าไปแบบนี้” ผมก็ทำท่าทำทางให้ดู


“แล้วก็บอกว่า ผม ชอบ คุณ นะครับ แล้วก็ เวลาพูด ก็มองหน้าเค้าไปด้วยเซ่ - - แล้วถ้า เค้ายอมให้จับมือ
ก็จับมือเค้าเบาๆ (เด็กดีไม่ควรเอาอย่าง) แล้วก็มองหน้าเค้า” ผมเริ่มพล่ามในสิ่งที่เป็นไปไม่ค่อยได้ให้ฟัง


“อ่อ คับ คับ คับ ” มันมองโดยไม่วิจารณ์อะไร (ก็ลองวิจารณ์เซ่ะ -*- )


“งั้นผมลองกะพี่ได้ป่ะ” โค้กถามผม


“เอ๋ ..!? ” <----------------- เริ่มรู้สึกแปลกๆ


“จะได้ชินๆไง นะครับ” มันอ้อนผม


“เออ แต่พี่เป็นผู้ชายนะ(วะ) มันจะม่ะได้ฟิลล์หรอก” ผมพยายามเลี่ยง


“ไรวะ แล้วบอกว่าจะช่วยน้อง ช่วยน้อง บอกให้กล้า แค่เรื่องสมมุติแค่เนี้ย ยังปอดเลย” มันประชด


“เออๆๆ ก็ด่ะๆ ” ผมยอมแพ้


“งั้น เด๋วพี่ปริ้นทำเป็นเดินมาทางผมนะ แล้วผมจาแอบอยู่ตรงหลืบหินตรงนี้” มันชี้ๆ แล้วพี่ก็ทำ
เป็นตกใจอ่ะ


“เออๆๆ... ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ด้าย” แล้วผมก็ต้องเป็นหนูทดลองให้มัน โดยการเดินกลับไปที่
อาคาร 5แล้วก็ทำเป็นเดินมาทางสวนน้ำตก


“หวัดดีครับพี่ ” มันเอาไม้ค้ำวางไว้ตรงหิน ทำเป็นเดินยะโหยกขะเหยกออกมา เจอผมพอดี ส่งยิ้มพิมพ์
ใจให้เต็มเหนี่ยว


“หวัดดีคับ” ผมยิ้มให้มันนิดๆ


“ผมมีเรื่องอยากจะบอกพี่อ่ะครับ”


“เรื่อง ? ... เรื่องอะไรเหยอ ” ผมพูดตามบท (กรุกะลังทำอะไรอยู่เนี่ย - -‘’ )


“คือ ผม - -” มันพูดแล้วก็ยื่นมือมาจับมือผมเบาๆ


เฮือก <----------------- แอบคิดนิดนึง


มือมันเย็นมากเลยคับ


“คือ ผม - -” มันค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ตัวผมมากขึ้น


“ผม - - ชอบ คุณ นะครับ” ในทีสุดมันก็หลุดปากพูดออกมา หน้าตามันแดงก่ำ


เฮ้ . . เฮ้ .. เฮ้ ทำไมผมต้องใจเต้นด้วยฟ่ะ มันแค่สมมุติ สมมุติ ตะ แต่ ..... โค้กมันยัง
ไม่ปล่อยมือผม แถมยังยิ่งเข้าขยับเข้ามาติดตัวจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนๆ


ผมต้องหลบสายตามัน


“อือ ... ”โค้กมันค่อยๆเลื่อนหน้ามันลงมาที่หน้าผม (เผอิญผมเตี้ยกว่ามัน)


“โค้กชอบพี่นะ ... ”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #45 เมื่อ23-10-2006 05:29:22 »

“โค้กชอบพี่นะ ... ”


“ปริ้น- - รอโอ้ตนะ”


ตึก .... มันคงม่ะได้ตั้งใจหรอก


ผมเอาพลิกมือให้หลุดออกจากที่โค้กมันจับ แล้วก็เอามือยันอกมันไว้เบาๆ จนตัวมันก็สะดุ้ง


“เฮ้ย .. เป็นไร อินจัดขนาดจะจูบเลยเหรอ ไอ้เด็กหื่น” ผมพยายามยิ้มใส่มัน คิดว่าหน้าคงแดงก่ำ
พอๆกะหน้ามันตอนนี้ มันสะดุ้งที่ได้ยินเสียงผม แล้วก็ผละตัวออกไป เกาแก้มเหมือนกะที่มัน
ชอบทำตอนเขิล


“ขะ ขอโทษครับ แฮะๆ เกือบไปแล้วดิ ” มันว่า


“ก็ทำได้ดีนี่หว่า .. ทำเอาเกือบเชื่อแน่ะ นึกว่ามาบอกรักจริงๆ ” ผมเอ่ยปากชม


โค้กมันยืนยิ้มๆ ไม่พูดไร


“งั้นก็ทำตามนี้ล่ะ เอาใจช่วยนะเฟ้ย” ผมบอกพลางตบบ่ามันแล้วก็แยกกับมัน


เกือบแล้วซิกรุ


.
.
.
* * * * * * * * * * * * * * *

.
.
.

“ปริ้น .. ปริ้นนน ”


“ห่ะ ว่าไง อะไรนะ” ผมสะอึก นึกขึ้นมาได้ว่ากะลังคุยกะโอ้ตอยู่นี่นา


“ฟังเสียงเหมือนเหม่อลอยชอบกล ” มันพูดเหมือนมีตาทิพย์ส่งตรงจากเชียงใหม่


“อ่อ รู้สึกง่วงๆอ่ะ ”


“อ่อ งั้นก็รีบไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้วันเสาร์ ก็นอนให้เต็มอิ่มล่ะกัน อย่ามัวไปเที่ยวกะเพื่อนอยู่”


“คร๊าบๆ”


ผมวางหูจากโอ้ตเสร็จ ก็นอนหงายตึง เอามือหนุนหัวไว้


อยู่ๆหน้าโค้กมันก็ลอยเข้ามาในพวัง ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนรู้สึกเหมือนอยู่กับมันเมื่อตอนเย็น
สายตาโค้กมันมองมา ทำเอาผมหวาดหวั่น


“โค้กชอบพี่นะ ... ”


อยากรู้จังมันจะไปสารภาพกับใคร(วะ)


สองวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ผมก็ทำตัวเป็นเด็กดี ไม่ไปไหน เอาแต่อ่านหนังสือเตรียมสอบรอบ 2
เพราะหลายวิชาคะแนนยังไม่ดี ถ้าลองเทียบคะแนนเอนฯปีที่แล้ว ระดับคะแนนแค่นี้ ผมไม่ติด
แน่นอน


ไฟโตะๆ (สู้ว้อยๆ)


ผมลืมเรื่องที่อยากรู้อยากเห็นว่าโค้กมันจะชอบใครไปสนิท จนกระทั่งเข้าสู่เดือนธันวาคม เดือนสุดท้าย
ของปีนี้ แต่สิ้นปีนี้ แอบพิเศษนิดนึง .. นั่นก็คือ เป็นปีที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ศตวรรธใหม่ ปี 2000 นั่นเอง
วันนึงจำได้ว่ากำลังจะไปกินข้าวกลางวัน กะไอ้คู่รักสองตัวนั่น ที่โรงอาหาร ก็เห็นโค้กมันเดินมากับเพื่อน
ในห้อง (หลังจากที่มันมาให้ผมเป็นหนูทดลองวันนั้น มันกะผมก็ไม่ได้คุยกันเรื่องนี้อีก ก็เลยไม่รู้ว่า
มันสารภาพรักสำเร็จเป่า) มันเห็นพวกผมก็ยิ้มให้ ขามันก็ยังไม่ดีนัก แต่ก็ไม่ต้องใช้ไม้ค้ำแล้วล่ะ


“นั่นไอ้โค้ก” คิวบอกผม


“เออ กรุเห็นแระ” ผมตอบ


“มันยิ้มให้เมิงด้วยแน่ะ ”


“แล้วมันแปลกตรงไหนฟะ ” ผมชักฉุน


“ม่ายมีรายยยย~ย แต่มันกำลังเดินมาทางนี้แล้ว” คิวมันบอก แล้วก็ลากซังเดินไปอย่างเร็ว ไม่รอผมเลย


“พี่ปริ้น บ่ายมีเรียนป่ะ ? ”


“เออ - - ก็มีล่ะ ”


มันทำหน้าเศร้าแว่บนึง


ผมแอบอ้ำอึ่งนิดหน่อย “เออ แต่มีคาบ 7 – 8 อ่ะ คาบหน้าว่างอยู่ ”


“งั้นกินข้าวเสร็จแล้ว ไปหลังตึก 1 หน่อยซิพี่ ”


“เอ๋ ... ปายทำไมอ่ะ คงไม่ได้ให้ทำอะไรแปลกอีกใช่ม่ะ” ผมถามเผื่อไว้ก่อน


มันส่ายหน้า


“มันจบแล้วล่ะพี่ ... ” (ผมทำหน้างง) “ เด๋วผมเล่าให้ฟังล่ะกัน” ไปก่อนนะ ว่าแล้วมันก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปหาเพื่อน
มันที่ยืนรออยู่


มันแห้วเหรอ เนี่ย


ผมคิดแล้วก็หันกลับไปแต่ปรากฏว่าไอ้ซังกะไอ้คิวมันเดินเข้าไปต่อคิวซื้อข้าวเรียบร้อยแล้ว โหย ไอ้ห่าน ไม่รอ
เพื่อนฝูงเรย แสด


“ซัง เด๋วช่วยลอกเลขส่งให้หน่อยดิ” ผมวานมัน กะว่า คาบว่างจะปั่นส่งซะหน่อย แต่ต้องไปหาโค้กก่อน เด๋วไม่ทัน


“อ้าว จะไปไหนอีกอ่ะ”


“ธุระ”


“ไปธุระระหว่างเรียนเนี่ยนะ ! ”


“เออน่า ” ผมบอกแล้วก็เดินนำหน้ามันไป โดยมีไอ้สองตัวเดินตามหลังมาห่างๆ


“กรุว่าแอบไปจี๋จ๋ากะไอ้โค้กแหง่มๆ” ไอ้คิวว่าเบาๆ (แต่กรุได้ยิน)


ฉึก ... <----------------- อีโต้ปักกลางใจดำ


“สงสัยม่ะกี้นัดไปอิ๊อ๊ะกันชัวว์” มันยังคงซุบซิบกะไอ้ซังต่อไป


อุบอิบๆ


“ไม่หรอกมั้งปริ้นมันก็มีพี่โอ้ตอยู่ทั้งคน” ซังบอก


อุบอิบๆ


“เมิงม่ะเคยได้ยินเหรอ รักแท้แพ้ใกล้ชิด ”


ปั้งๆๆ เคว้กๆๆ <----------------- ล่อด้วยปืนเอ็ม 16 กระหนำใจดำ


อุบอิบๆ


“เฮ้ย !! มึงสองตัวอ่ะ คุยอุบอิบอะไรเรื่องกรุอยู่ได้ เห็นกรุเป็นคนยังไงกันวะ”


“เมิงก็เป็นคนดี แต่ว่า ชอบหว่านเสน่ห์ กับคนอื่นไปทั่ว ไม่เว้นไม่ว่าผู้ใหญ่ หรือเลี้ยงต้อยกะเด็ก
ไอ้คิวบรรยาย


“เออ .. อืม ขอบพระคุณรุนช่อง - - - อ๊ะ !? ... แย๊กกก แล้วกรุจะขอบใจมึงทำไมเนี่ย ไอ้สาดคิว ด่ากรุเหรอ ! ”


ผมไล่กวดเอากระเป๋าไล่เขวี้ยงมันไปมา จนเหนื่อย ถึงจะเดินไปหาโค้กตามที่นัดไว้หลังตึก 1 (ในโรงเรียน
จะเรียกว่า ไปเจอกันหลังเขา)


“มาตรงเวลาจังเนอะ” มันพูดประชดผม ซึ่งสายไป 20 นาที


“เออน่า ... ว่าแต่มีอะไร”


มันไม่ตอบ แต่เงยหน้าไปบนเขา แล้วก็ชี้


“ชี้ไรวะ ” ผมทำเป็นมอง


“ไม่ได้ให้ดูว่ามีอะไร ชี้ให้ขึ้นไปด้วยกันตะหาก”


“อี๊ .. จะให้ขึ้นไปทำไม เด๋วก็โดนจับไปห้องปกครองหรอก”


“น่า ไม่เห็นหรอกคับ ผมขึ้นไปบ่อย เหอะๆ” เมิงอย่าทำเสียงหัวเราะแบบภาคภูมิใจได้ม่ะฟ่ะ


“ไม่เอาหรอก แล้วอีกอย่าง มึงก็ขาเจ็บอยู่ เด๋วก็ได้หักอีกรอบหรอก”


“ไม่เป็นไรคับ ผมจะระวัง ” มันบอกแล้วก็ฉุดมือผมให้เดินขึ้นไปกับมัน อย่างที่บอกไว้ว่า
มันเป็นเส้นทางลึกลับในตำนาน ที่พวกเด็กนักเรียนใช้กันมาหลายรุ่นต่อหลายรุ่น ทางมันก็
เลยดูเหมือนขึ้นไปได้โดยง่ายดาย ประมาณ 10 กว่านาทีผมก็ขึ้นมาถึงบริเวณป้อมๆนึง ซึ่ง
เมื่อก่อนจะเป็นป้อมปืนครับ บนพระราชวังบนเขาแห่งนี้


ฮ้า ...........................


แม้ว่าจะเดินมาค่อนข้างไกล แต่ด้วยอากาศที่เย็นของเดือนธันวา พอมาอยู่บนเขาแบบนี้ พักแป็บเดียว
ให้ลมหนาวโกรกก็หายเหนื่อย


“ขึ้นไปบนเจดีย์แดงกันพี่ปริ้น” มันยังชวนเดินไปต่อ ผมดูแล้วมันเหมือนจะเริ่มเจ็บๆขาแล้ว
ก็เลยจะห้ามมัน


“ไม่เป็นไรหรอกคับ แค่นี้เอง ผมอยากไปนั่งบนโน้นอ่ะ” (ไปนั่งบนโน้นคนยิ่งสังเกตเห็นเข้าไปใหญ่นะ)


ผมก็ตามใจมันคับ ไม่รู้เพราะอะไร แต่ก็มีความสุขแล้วก็สบายใจที่ได้อยู่กับมันนิดๆ


ซักพัก ก็เดินขึ้นมาถึงจุดสุดยอด (เขา) ชาวบ้านก็จะเรียกว่าเจดีย์แดงคับ ร.5 ท่านได้ทรง
สร้างวัดเล็กๆ จำลองจากวัดพระแก้ว ชื่อ " วัดพระแก้วน้อย " มีเจดีย์เป็นสีเทาๆ
โค้กบอกว่าชอบมานั่งบนนี้เพราะว่ามันเย็นดีแล้วก็เห็นวิวได้เกือบทั่วเมืองเลย วันดีคืนดี
ถ้าท้องฟ้าแจ่มใส จะมองไปเห็นทะเลที่ชะอำเลยก็มี วันนี้ก็เช่นกัน ลมเย็นน่าหนาว ท้องฟ้าแจ่มใส
บรรยากาศดีสุดๆ แม้จะเป็นตอนบ่ายแล้วก็เหอะ


“เจ็บขาอยู่แน่เป่าเนี่ย ” ผมแซวมัน ที่เห็นพยายามเดินขึ้นมาเหลือเกิน


“เวลาเซงๆ เครียดๆ ผมก็ขึ้นมาบนนี้ประจำล่ะ พอเจ็บขา ก็ไม่ได้ขึ้นมาเลย เนี่ย พึ่งได้ขึ้น
มาวันนี้ เลยชวนพี่มาด้วยไง”


“อ่ะ มีเรื่องเครียดไรว่ามา” ผมขึ้นมานั่งข้างๆมัน


“อกหัก รักคุด ตุ๊ดเมิน หุหุ”


.
.


“ผมว่า ผมอกหักล่ะพี่ปริ้น ” มันค่อยๆบอกผม แต่เสียงก็ยังแจ่มใสเหมือนเดิม


“ว่าแต่ เอ็งยังไม่ได้บอกพี่เลย ว่าไปแอบชอบสาวคนไหนวะ อยากรู้จัง” ผมซักไซ้


“บอกไม่ได้หรอกพี่ ของแบบนี้” มันหัวเราะ


“พอพี่ติวให้ผมวันนั้นเสร็จ ผมก็รู้สึกว่าอกหักดังเป๊าะเลย”


“โห บอกหลังจากนั้นเลยเหรอฟะ ลองวิชาเร็วจริงๆ - - - แล้วเค้าว่าไงบ้างอ่ะ”


“ไม่ได้ว่าราย เค้าไม่ได้พูดไรเลยด้วย - - - แต่ผมก็รู้ล่ะว่า เค้าอ่ะ ไม่ได้ชอบผมหรอก สงสัยเค้ามี
แฟนอยู่แล้วด้วยล่ะ”


“อ่อ ไปชอบคนมีเจ้าของ” ผมว่า แล้วก็ไปกอดคอให้กำลังใจมัน


“เอ็งตัวแค่นี้ ไม่ต้องรีบร้อนมีหรอก หน้าตาแบบนี้อ่ะ จะหาตอนไหน ก็หาได้” ผมว่า


“หึหึ ไม่หรอกพี่ปริ้น หน้าอย่างผม เค้ายังไม่สนใจเลย” รอยยิ้มโค้กมันหายไป เหลือแต่
ความรู้สึกว่างเปล่า


“ผมอยากให้คนที่เค้ามารัก ไม่ได้รักผมที่หน้าตา แต่อยากให้รักผมข้างในนี้ต่างหาก
ผมจะรู้ได้ไง - - - ถ้าเผื่อวันไหน ผมเจ็บปางตายขึ้นมา เค้าจะยังอยู่ข้างๆผมเหรอเปล่า”


“ - - ทะ ทั้งๆ ผมคิดว่า ผมหาคนที่คิดว่าใช่เจอแล้วแท้ๆ แต่เค้าก็มีคนที่เป็นของเค้าอยู่แล้ว”


ผมม่ะเคยเห็นมันเศร้าขนาดนี้มาก่อนเลยอึ้ง ทำไรไม่ค่อยถูก ได้แต่นั่งฟังน้องมันพูดไปเรื่อยๆ
อย่างน้อย ก็คงทำให้มันได้ระบายมั่ง


“ผมดีใจนะ ตอนที่ผมเจ็บนอนที่โรงบาลน่ะ ตื่นมาก็เห็นพี่กับพี่ซัง มาเยี่ยมผม ผมนึกว่าจะไม่มี
ใครมาหาผมซะแล้ว ” โค้กยังคงพูดเรื่อยๆ


“ทุกคนเค้าก็ไปเยี่ยมทั้งนั้นล่ะ ทำไมคิดมากจัง”


“ห่ะห่ะ พี่รู้เปล่า - - - ทั้งๆที่ผมอยู่โรงบาลเกือบอาทิตย์ มีแต่พี่นวล(พี่เลี้ยงที่บ้านมัน) มาเฝ้าผม
ที่บ้านผมม่ะเคยมีใครมาหาเลย”


“โค้ก .. ”


ผมไม่เคยรู้มาก่อนจนกระทั่งเด๋วนี้ ว่ามันมีปัญหากับที่บ้านเหรอเนี่ย มันไม่เคยแสดงว่าตัวเองมีปัญหา
หรือว่า ขาดความอบอุ่นเลยนี่หว่า จนมาถึงตอนนี้ ...


“ถ้าพวกพี่จบไป ผมคงเหงาน่าดู - -”


“เพื่อนในห้องออกเยอะแยะ โค้ก” ผมปลอบ


“พี่รู้เปล่า - - บางคนที่รู้ว่าผมเดี้ยงแบบนี้ แล้วกลับไปเล่นบาสไม่ได้อีกแล้ว เค้าก็หายหน้าหายตาไปเลย”
โค้กบอกผม


“ง่ะ ... ระ รู้แล้วเหรอ”


“55 ผมรู้ตั้งแต่ก่อนออกจากโรงบาลแล้วคับ ขู่หมอ” โห ตกลงมึงใจแข็งหรือใจอ่อนกันแน่วะ


“- - แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่า มีใครบ้าง ที่เป็นคนที่รักผมจริงๆ ห่วงผมจริงๆ ใช่ม่ะคับ”


“มองโลกในแง่ดี สมกะเป็นตัวเองดีแล้ว เข้มแข็งดีมาก” ผมบอกมัน


ผมสังเกตว่าโค้กมันนั่งนิ่ง ไม่พูดอะไรอีก พอหันไป ก็ตกใจ เพราะว่ามีหยดน้ำใสๆค่อยๆไหลออกมาจาก
ดวงตาแป๋วๆของโค้ก ทั้งๆที่ตัวมันก็ยังนั่งเฉยเหมือนเดิม


“คะ โค้ก .. ”


“ผมไม่ได้เป็นคนเข้มแข็ง เหรอว่ามองโลกในแง่ดีอะไรนักหรอกครับพี่ปริ้น - - - ผมไม่ได้เป็นคนแบบนั้นจริงๆนะ”


“เฮ่ .. จาร้องไห้ทำไม - - - ” ผมพูดแล้วก็จับหัวมันมาลูบ แล้วก็คว้ามาซบที่ไหล่ตัวเอง อารมณ์นั้นไม่คิดว่าใคร
จะมาเห็น หรือว่านินทาไรเลย ผมไม่อยากเห็นเด็กที่ร่าเริง แจ่มใส ต้องมาร้องไห้แบบนี้เลย


“พี่ - - ปริ้น - - - - - - ทำไม ทุกๆคนต้องคิดว่า ผมต้องเป็นคนร่าเริง เข้มแข็ง อยู่ตลอดเวลาด้วยคับ
บางที ผมก็อยากจะร้องไห้ ผมอยากจะอ่อนแอ แต่ - - ผะ ผมก็ ไม่อยากให้เค้าต้องเสียความรู้สึกกับผม”


ผมปล่อยไม่ขัดปล่อยให้เจ้าโค้กมันพูดระบายไปเรื่อยๆ บางทีมันคงเป็นวิธีเดียวที่ทำให้มันสบายใจ
ดูเหมือนยิ่งปลอบ มันก็เหมือนยิ่งทำให้โค้กร้องมากขึ้น แต่เอาเถอะ


“โค้ก เอ็งอ่อนแอตอนนี้ได้ แต่พอลงไปแล้ว ต้องกลับเป็นคนเดิม แล้วก็ต้องเข้มแข็งมากขึ้นนะ
จำไว้ .. อย่าให้ใครมาดูถูกได้ เป็นไอ้เป๋แล้วไง สมองก็ยังมี อย่างอื่นก็มี ใช่ม่ะ”


โค้กมันพยักหน้ารับคำในอ้อมกอดผม


“จำไว้นะโค้ก ถึงจะคิดว่าไม่มีใคร แต่แกก็ยังมีพี่อยู่นะว้อย” ผมลูบหัวมันไปมา แล้วดูเหมือนมันคงจะ
ชอบใจเล็กๆล่ะมั้ง


“ขอบคุณครับ พี่ปริ้น” โค้กค่อยๆผละออกจากตัวผม แล้วก็เอามือขยี้ตา เหมือนเด็กๆ


.
.

“ฮู้ .........ฮฮฮฮ........... ”
.
.


“เห้ย ตะโกนไม่อายชาวบ้านบ้างไง” ผมตลกมากกว่าที่จะดุมัน


“ไม่อาย ผมหน้าหนาอยู่แล้ว - - เฮ้อออ ผมไม่ชอบหน้าหนาวแบบนี้เลย มันอึมครึมๆ แถมหนาวอีกตะหาก”


“แต่พี่ชอบหว่ะ - - - พี่ชอบหน้าหนาว”


“ทำไมล่ะ”


“ก็มีวันหยุดเยอะดี 55 - - - แล้วเราอ่ะ ชอบหน้าไหน” (อย่าตอบว่าน่ารักจังนะ กรุจะโบ้หัวให้)


โค้กมันยืนขี้น ที่ฐานของเจดีย์ ซึ่งถ้าใครขวัญอ่อน หรือกลัวความสูงมากๆเนี่ย ลุกขึ้นยืนไม่ได้นะครับ
เพราะว่า มันไม่มีที่จับ หรืออะไรเลย แต่มันก็กล้ายืน


สายลมเย็นพัดโชยมากระทบใบหน้า ผมสั้นๆของไอ้โค้กมันปลิวไปปลิวมาจนปิดหน้าผากมันหมด


“ฮ่ะ ฮ่ะ - - - พี่ปริ้น ... ชื่อผมก็บอกอยู่แล้วนี่นา ว่าผมน่าจะชอบฤดูไหน”


ผมคิดแป็บนึง ...แล้วก็หัวเราะออกมา


“ค๊าบบบบ .. พ่อหนุ่มฤดูร้อน”

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #46 เมื่อ23-10-2006 05:29:50 »

“ ปริ้น ตกลงเมิงจะเอนฯเข้าที่ไหน ? ”


ผมทำเป็นไม่สนใจเสียงที่เพื่อนหลายต่อหลายคนถาม นั่งก้มหน้าก้มตาปั่นการบ้านต่อไป


“ ยังไม่รู้หว่ะ .. ”


.....


..


ติ้ง ต่อง ตอง ต่อง ... ต่อง ตอง ต้อง ต่อง


..


.....


เสียงออดคาบสุดท้ายของปี 1999 ตรงกับวันพฤหัสฯที่ 30 ธันวาพอดี ปีนี้ได้หยุดยาว 4 วันรวดคับ ปีนี้แตกต่างจากปีที่ผ่านมา ตรงที่เมื่อปีที่แล้ว ผมกับโอ้ตอยู่ส่งท้ายปีเก่าด้วยกัน แต่ปีนี้ ผมคงได้แต่รอนับถอยหลัง เพื่อก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่คนเดียวกับหมาๆแมวๆที่บ้าน


หยุดยาวปีใหม่ โอ้ตมันก็ไม่กลับมาครับ .. เกือบ 7 เดือนแล้วที่เราห่างกัน ตั้งแต่ไปเรียนมช โอ้ต มันก็ไม่กลับมาเยี่ยมบ้านบ้างเลย พ่อแม่มันก็เข้าใจเพราะว่า สมัยก่อน ไม่มีสายการบินโลคอร์สแบบตอนนี้ แถมการเดินทางก็ยาวนานกว่าตอนนี้แยะ ผมกะมันก็ได้แต่คุยโทรสับกันแค่นั้นเอง


เฮ้อ ... ผมเหงาจัง


.....


..


โอ้ตมันไม่คิดถึงผมบ้างเหรอไงนะ ไปอยู่ที่โน่นคนน่ารักๆคงเยอะแยะซินะ ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งหวาดหวั่น ม่ะใช่ว่าไม่เชื่อใจมันหรอกนะคับ แต่ของแบบนี้ ยิ่งใจคนแล้ว จะห้ามไม่ให้คิดมันก็คงยาก


ผมก็เป็นคนๆนึงนี่นา มันก็ต้องมีเหงา เศร้า กังวล บ้างล่ะ.


.....


..


****************


..


.....


คืนนั้น โอ้ตโทรมาคุยกับผมแป็บนึง ก็คุยปกติทั่วไป เหมือนทุกๆวันล่ะคับ ทำไรอยู่ กินไรยัง เรียนเป็นไงบ้าง ผมก็ถามมันกลับไปคล้ายๆแบบนี้เหมือนกัน


“ แล้ว ไม่คิดจะกลับมาบ้านมั่งเหรอ ” ผมตัดสินใจถามมันไปในที่สุด


“ ...... ก็ ” มันอ้ำอึ้ง


“ ก็ ... เรียนหนัก ม่ะมีเวลา อีกล่ะซิ ”


“ ก็มันเป็นยังงั้นจริงๆนี่นา ” เสียงมันดูมีม่ะโหเล็กน้อย “ แถมลงไปที แล้วขึ้นมาที มันก็เปลืองเงินเยอะเลยนะ โอ้ตไม่มีตังค์ใช้ฟุ่มเฟือยหรอก ” มันพูดเสียงขุ่น


“ กลับมาหาพ่อ แม่ บ้าง เค้าเรียกว่าฟุ่มเฟือยเหรอไง ” ผมถามแบบสงสัย


“ โอ้ตคุยกับพ่อ แม่โอ้ตแล้วล่ะ เค้าก็ไม่เห็นจะว่าอะไรเลย ” โอ้ตบอกผม แสดงว่ามันคิดว่าผมเอาพ่อแม่มันมาอ้างให้กลับมาอะดิแบบนี้ ( ก็จริงมั้ง )


“ โอเค ! ไม่กลับมาก็ไม่กลับ ไม่เห็นต้องขึ้นเสียงแบบนั้นเลยนี่นา ” ผมตอบกลับด้วยความน้อยใจ


“ ไม่รู้ซิ ปริ้นพูดเหมือนกับว่า โอ้ตไม่กลับเนี่ย เพราะว่าโอ้ตไปทำตัวเหลวไหล ไปมีใครใหม่หยั่งงั้นล่ะ ” โอ้ตว่าผม


“ เฮ้ย .. ไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ ทำไมพูดงั้นอ่ะ ” ผมถามเสียงสั่นๆ


“ อืม ช่างมันเหอะ โอ้ตร้อนตัวไปเองล่ะมั้ง ถึงคิดแบบนี้ ? ” มันพูดเสร็จ เราก็ต่างคนต่างเงียบซักพัก


“ งั้นโอ้ตไปนอนก่อนนะ พรุ่งนี้ต้องเตรียมตัวรายงานส่งวันจันทร์อีก เหนื่อยๆไงไม่รู้ครับ ”


“ อือ งั้นก็ฝะ - - - ”


ตี้ด ตี้ด ตี้ด


ผมค่อยๆ ทิ้งตัวลงบนที่นอน เอามือก่ายหน้าผาก


ผมคงหวง คงห่วง มันมากไปล่ะมั้ง ผมคงงี่เง่าใส่มันล่ะมั้ง แต่แค่รอให้ผมพูดให้จบก่อนแล้วค่อยตัดสายไปไม่ได้เหรอ ?


ตลอดระยะเวลา 7 เดือน ที่ผ่านไปแล้ว วันนี้ เริ่มเป็นวันแรกที่ทำให้รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า อะไรๆที่เคยคิดไว้ มันจะไม่ใช่อย่างนั้นอีกแล้ว


ติ้ด ตี้ดด ติ้ด ตี้ดดดดดด


ผมรีบคว้าโทรสับมา เผื่อว่าจะเป็นโอ้ตโทรมาอีกรอบ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่


“ หวัดดี ว่าไง ? ” ผมเริ่มบทสนทนาด้วยอารมณ์เซงๆ


“ ไมทำเสียงเหมือนคนโดนทิ้งแบบนั้นล่ะพี่ สดใสหน่อยดิ จะปีใหม่ทั้งที ” เสียงเจี้ยวแจ้วคุ้นหูกวนประสาทนั่นไม่มีใครอื่นอีกแล้ว


“ เออ.. มาทำเป็นรู้มาก โทรมาไมเนี่ย จะหลับจะนอนอยู่แล้ว ไอ้โค้ก ” ผมโกหกไปทั้งๆที่ยังไม่ได้รู้สึกง่วงหงิดซักนิด


“ โห ไล่ๆ เออ งั้นแค่นี้นะ ” มันพูดเสร็จก็ทำเป็นจะวางสาย ( ไอ้นี่ติดสันดานแบบนี้มาจากใครฟะ )


“ เออๆ โอ๋ๆ แค่นี้ทำเป็นน้อยจาย สาดดด - - ว่าแต่มีไร ” ผมง้อมันเล็กๆ แล้วก็ทำเสียงหาวหวอด


“ ทำง่วงๆ ” มันยังกวนตีนไม่เลิก


“ เออ เฮ้ย ถ้าไม่พูดนี่จาวางจริงๆแระนะ ”


“ อ่าๆ อย่าขู่เด่ะ คืองี้ - - พรุ่งนี้ผมจะขึ้นกรุงเทพฯอ่ะพี่ จะไปเที่ยวเมืองกรุงซะหน่อย แล้วจะไปงานเคานท์ดาวน์ด้วยอ่ะ พี่อยากได้ไรม่ะ ”


โห มันพูดเหมือนจะไปต่างประเทศแล้วจะซื้อของกลับมาฝากซะงั้น


“ อ้ายเวน กรุเด็กกรุงเทพนะ จะไปฝากซื้อไรล่ะฟะ เออ ขอบใจหว่ะ ที่นึกถึง แล้วถ้าอยากได้ไรจะโทรไปล่ะกาน ” ผมว่า


“ แล้วนี่จะไปอยู่กี่วันอ่ะ แล้วไปกะที่บ้านเหรอ ”


มันเงียบไปแป็บนึง


“ อะ อ่อ ช่าย ไปกะแม่อ่ะคับ คือจริงๆจะไปจัดการธุระอ่ะล่ะ แล้วเรื่องเที่ยวเป็นผลพลอยได้ หุหุ ”


“ อ่าหะ งั้นก็ไปกะที่บ้านเหอะ ม่ะอยากรบกวนสตุ้งสตางค์เด็ก ”


“ เด็กไรว้า ห่างจากตัวเองแค่ปีสองปีเอง มาว่าคนอื่นเด็ก เด๋วเหอะๆ ”


“ เด๋วเหอะไร ”


“ ป่าวคับเพ่ งั้น ถ้าอยากได้ไร ก็โทรมาบอกผมล่ะกัน ”


“ เครๆ ”


“ งั้นก็บายคับ ฝันดีน้อ ” โค้กมันกล่าวทิ้งท้าย


“ คับ ฝะ - - - -------- คิดว่ารู้สึกแปลกๆว่าผู้ชาย เค้าบอกฝันดีกับเพื่อนผู้ชายด้วยเหรอวะ


- - อืม ฝันดีคับ ”


พอคุยกะมันจบก็ไม่ได้คิดไรครับ ไอ้ที่บอกว่าไม่ได้คิดอะไรนี่ คือมันรวมไปถึงอาการที่ผมน้อยใจไอ้โอ้ตก่อนหน้านี้ด้วย เหมือนกะว่าพอได้คุยกะไอ้โค้กมันแล้ว เจอความกวนตีน ก็ทำให้ผมอารมณ์ดีขึ้นมาได้แฮะ


.....


..


****************


..


.....


เช้าวันสิ้นปี อีกไม่กี่ชมก็จะก้าวข้ามสู่ปีใหม่แล้วซินะ ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองเหรอเป่า เพราะว่าปีนี้ มีการเฉลิมฉลองมากกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนๆทั่วโลก แล้วก็ที่เมืองไทยเนี่ย ถือเป็นปีแรกที่มีการจัดเคานท์ดาวน์แบบเต็มรูปแบบจริงๆ ( ซึ่งปีต่อๆมาก็เริ่มจัดการนับถอยหลังเป็นประเพณีมาเรื่อยๆ ) ความรู้สึกเมื่อคืนที่รู้สึกแย่ๆ ก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง


ก็อย่างว่า ผมเป็นพวกลืมง่าย หายเร็วอยู่แล้วนี่นา หุหุ


ช่วงสายๆ ผมก็เปิดทีวีดูเรื่อยเปื่อย เห็นที่กรุงเทพมีการเตรียมงานฉลองกันเยอะแยะ ก็รู้สึก ...


“ ฮัลโหล พี่ท็อป ปริ้นนะ ” ผมรีบโทรสับไปหาพี่ท็อป แล้วก็ถามว่ามันอยู่ที่ไหน


“ อยู่บนรถเมล์ กะลังจะกลับเพชรฯหว่ะ คนเยอะชิบหาย ไมเหรอ ? ” มันพูดมาเป็นชุดๆ


“ อ้าว - - นึกว่าจะอยู่เคานท์ดาวน์ ”


“ อยู่ทำหอกไร คนเยอะชิบ ไปก็ไม่หนุก ไมอ่ะ อยากมาเที่ยวเหรอ ”


“ ก็เออดิ ”


“ แล้วนี่อยู่ไหนล่ะ ”


“ อยู่ชะอำ ”


“ จะมางานที่นี่เนี่ยนะ !! ”


“ เออดิ นั่งรถไปสามชั่วโมงเอง นี่ยังไม่ทันเที่ยงเลย ”


“ เออ แล้วมีที่อยู่แล้วเหรอ เออ ลืมไปบ้านมันอยู่กรุงเทพนิ ” เสียงพี่ท็อปอู้อี้ไปมา สงสัยกะลังยืนอยู่แหง่มๆ


“ ไม่มีแล้วคับ พ่อกะแม่ผมขายบ้านที่โน่นแล้วอ่ะ ”


“ อ้าว แล้ว - - อย่าบอกนะ ” พี่ท็อปยังพูดไม่ทันจบ


“ ก็ช่ายดิ พี่ท็อปรอผมอยู่สายใต้ได้ม่ะ สามชั่วโมงเอง นะนะ ไงกว่าพี่จะถึงสายใต้ กว่าจะได้ขึ้นรถ ก็อีกชาตินึงล่ะ กลับวันนี้เนี่ย ”


“ อาไรว้า เสียงพี่ท็อปโอดครวญ เออ รีบๆมานะเมิง ”


ไม่รู้นึกไง อยู่ๆผมก็อยากจะไปงานปีใหม่ขึ้นมา แถมแรดอยากไปกรุงเทพซะด้วยซิ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า พี่ท็อปน่าจะให้ไปอยู่หอเค้าได้ เพราะพวกผมก็เคยมาค้างหอเค้าครั้งสองครั้ง ตอนที่มาสมัครเอนท์ฯคราวก่อน ( ไม่ได้เล่า ) พี่ท็อปเรียนอยู่ มก คับ หอเค้าก็อยู่แถวพหลฯอ่ะ


กว่าผมจะขออนุญาตยายแบบปัจจุบันทันด่วน กว่าผมจะจับรถขึ้นกรุงเทพได้ ก็ล่อเข้าไปเกือบสี่ห้าชม. มาถึงสายใต้ ( ซึ่งคนแน่นขนัด ) ก็บ่ายสาม อืม...


“ วะ หวัดดีคับพี่ท็อป ” ผมเห็นหน้าพี่ท็อปบูดหยั่งกะตูด นั่งรออยู่ที่สถานี


“ รู้เปล่าวะ กรุเปลี่ยนตั๋วมาสองรอบแล้วนะเนี่ย ถ้าเมิงมาช้ากว่านี้อีกนะ กรุไม่รอแม่งล่ะ ” พี่ท็อปโวยใส่ผมอย่างบ้าคลั่ง


“ เออ ขอโทดๆพี่ อ่ะ ขอกุญแจหน่อย ” ผมยิ้มไถ่โทษแล้วก็ยื่นมือขอกุญแจ


“ อย่าทำห้องรกนะเมิง จำทางไปได้ใช่เปล่า ”


“ ได้คับ ”


“ เออ ถึงจำไม่ได้ก็ไม่ไปส่งว้อย - - แล้ว อย่าพาใครมานอนห้องกรุนะ ” พี่ท็อปสั่งแบบเข้มงวด


“ เออน่า จาพาใครมานอนเล่า ” ผมว่า


“ แล้วไอ้โอ้ตมันกลับมาเปล่านี่ ” พี่ท็อปถามคำถามแทงใจ


“ ไม่ได้กลับคับ ” ผมพูดเสียงเฉย


“ เหอๆ สงสัยไปติดหญิงอยู่โน่น บ้านช่องม่ะยอมกลับ ” พี่ท็อปหัวเราะหึหึ แล้วก็แยกกับผมไปขึ้นรถ หารู้ไม่ว่า เป็นคำพูดโคตรแทงใจเลย ( จริงๆ แล้วเบาใจนิดหน่อยตรงที่ไม่ได้บอกว่า ไปติดหนุ่มอยู่โน่น )


พอผมแยกกับพี่ท็อป ก็เริ่มโทรหาเพื่อนแต่ละคนที่เคยเรียนสวนฯด้วยกัน ซึ่งก็โคตรซวย เพราะที่สนิทๆ ก็ไม่อยู่บ้าง เปลี่ยนเบอร์บ้าง หรือไม่ก็ออกไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง


“ เชี่ยเอ้ย ไอ้อ้นอ่ะ กรุอุตสาห์มากรุงเทพ มึงจะไปเที่ยวกะแฟนใช่ป่ะ ” ผมด่าใส่เพื่อน


“ โหย ไอ้ปริ้น ขืนกรุไม่ไปกะมันดิ แฟนกรุฆ่ากรุแน่ๆ กว่ากรุจะจีบติดนะว้อย ไว้คราวหลังนะๆๆ บลาๆๆๆ ”


เซงคับ เซงพวกที่เห็นแฟนดีกว่าเพื่อน !

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #47 เมื่อ23-10-2006 05:30:30 »

ติ้ด .............ติ้ด............... ติ้ด....................ติ้ด............... ติ้ด


ผมรอเสียงรับสายอีกประมาณ 5 – 6 ที จนเข้าสู่ระบบฝากข้อความ โค้กมันก็ยังไม่ยอมรับโทรสับ
มันเป็นอะไรกันไปหมดนี่ ทั้งเพื่อนเก่าก็ไม่ว่าง โทรหาโค้กก็ไม่รับ นี่ผมขึ้นมากรุงเทพเพื่อมางาน
ปีใหม่คนเดียวเหรอเนี่ย …!


ผมเดินวนเวียนอยู่เซนทรัลปิ่นเกล้า ไม่รู้ที่จะไปไหนต่อ ใจนึงก็คิดว่าจะกลับบ้านดีมั้ยหนอ นี่ก็เกือบ
สี่โมงเย็นแล้วด้วย ... แต่ถ้าจะกลับไปตอนนี้ กว่าจะได้รถก็เที่ยวทุ่มสองทุ่มแน่ คิดแล้วผมก็เปลี่ยนใจ
คืนนี้กรุตะลุยราตรีส่งท้ายปีเก่าคนเดียวก็ได้ฟ่ะ แง่ง ..


คิดได้ดังนั้นผมก็เลยคิดว่า ขึ้นรถไปเดินๆแถวเวิร์ลเทรดก่อนดีกว่า แล้วก็เนื่องจากเป็นวันสิ้นปีคับ หยุด
ยาว ก็เลยมีแต่รถขาออกที่ติด ส่วนรถขาเข้าม่ะค่อยติดเท่าไร ประมาณห้าโมงเย็นกว่าๆ ก็ถึงที่หมาย ผู้คน
ค่อนข้างเยอะแยะพอสมควรเลย ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว อากาศเริ่มเย็นตามธรรมดาของฤดูหนาวแบบนี้
ผมเหลียวมองทั้งคนที่มาเป็นกลุ่ม ทั้งมาเป็นคู่ มาเป็นครอบครัว ทุกคนมีแต่รอยยิ้มสนุกสนาน มองไป
ลานเบียร์ ก็เห็นผู้คนเริ่มทยอยกันมาจับจองที่นั่ง


ลานหน้าห้างถูกประดับตกแต่งพร้อมกับจอทีวีขนาดยักษ์ถูกตั้งขึ้นมาประดับตกแต่งเพื่องานเฉลิมฉลอง
สหัสวรรษใหม่ ท่ามกลางความสนุกสนานของคนรอบข้าง ผมดูเหมือนโดนดูดกลืนความสุขที่มีอยู่ รู้สึก
เหงาอย่างบอกไม่ถูก มองไปทางไหนก็เห็นหน้าคนที่ไม่รู้จัก ไม่รู้จะพูดคุยกับใคร ได้แต่มองคนเค้าคุยกัน


เป็นอีกครั้งที่ผมคิดถึงโอ้ต ...


อยากโทรไปหามันจัง ..... แต่ผมกลัวว่ามันจะว่าผม กลัวว่าโทรกวนมันกำลังทำงาน กลัวไปหมดทุกอย่าง
ไม่รู้ว่าป่านนี้กะลังนั่งทำงานงกๆ หรือว่านั่งดื่มเบียร์กะเพื่อนอยู่กันนะ ....


ผมค่อยๆเดินไปเรื่อยๆ ผ่านหน้าเวิร์ลเทรด เลยไปจนถึงท้าวมหาพรหม ตามพื้นฟุตบาทมีแผงขายของซึ่ง
ปกติจะไม่ได้เห็นในบริเวณนี้มากมาย ความมืดเริ่มโรยตัวปกคลุมตัวบริเวณ แสงไฟรอบๆก็ส่องสว่างขึ้น


อ่า .. ข้างหน้าผม มีขบวนสิงโตอยู่กลุ่มนึง กำลังเชิดแสดงอยู่หน้าห้างเพนนินซูร่า ข้างๆมีต้นคริสมาสขนาด
มหึมา หลายๆคนเก็บภาพความประทับใจด้วยกล้องถ่ายรูปที่เอามาด้วย

มือผมเริ่มเย็นเพราะอากาศเริ่มหนาว แล้วก็ไม่ได้ใส่เสื้อกันหนาวมาเหมือนคนอื่นๆ ปีนี้มันหนาวกว่าทุกปีจริงๆ
ก็ได้แต่ยกมือเย็นเจี้ยบ เอาปากเป่าเบาๆให้ความร้อนในตัวช่วยทำให้บรรเทาไปบ้าง สายตาผมก็เหลือบไปเห็น
ผู้หญิงสาวคนนึงกำลังทำท่าทางเดียวกับผมเลย แล้วผมก็ชะงักกึก เพราะมีชายหนุ่มที่คงจะเป็นแฟน ค่อยๆ
เอื้อมมือไปจับแล้วก็กุมมือเอาไว้


ภาพที่เห็นข้างหน้าทำให้ผมค่อยๆเอามือที่อังอยู่ลงช้าๆ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกับว่ากลัวเค้าทั้งคู่จะหันมา
มองผม แล้วทำท่าทางสังเวชยังไงบอกไม่ถูก ผมหยุดเดินแต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองจนเค้าทั้งคู่เดินลับไปท่ามกลาง
กระแสของผู้คนที่มาอยู่ ณ ที่นี้


-เซนซิทีฟชะมัดกรุ ... อิจฉาเค้าอะเซ่ะมึง ... แค่เรื่องแค่นี้ .... ระ ... เรื่อง... แค่นี้ ..ทำไม ... กรุต้องอิจฉาด้วยวะ-


ผมก้มหน้าลงเพราะรู้สึกว่าขอบตาเริ่มร้อนผะผ่าวเป็นสัญญาณอะไรบางอย่าง


-แค่ความเหงาแค่นี้เอง ... เรื่องแค่นี้เอง ผมสัญญากะโอ้ตมันแล้ว ว่าจะไม่เสียน้ำตากับเรื่องงี่เง่า-


ขาผมเริ่มก้าวต่อไป เพราะมีความรู้สึกว่าถ้าหยุดเดินแล้ว รู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นส่วนเกินของสถานที่นี้
ยังไงก็ไม่รู้


ติ้ด ...ติ้ด ติ้ดดด ติ้ดด ------------------- เสียงโทรสับที่มีให้เลือกได้ไม่มากนักสมัยนั้น


“หวัดดีคับ” ผมรับโทรสับโดยที่ไม่รู้ว่าใครโทรมา รู้แต่เพียงเป็นเบอร์ที่โทรจากตู้โทรสับในกรุงเทพเท่านั้นเอง


“ครึกกก ครืดดดด ..... ฮัลโล ฮัลโล ครึกกก ครืดดดดดดดด.............” เสียงปลายสายอู้อี้ๆชอบกล ไม่แปลก
กับการโทรสับมือถือในวันเทศกาลแบบนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีคนจะใช้โทรสับมากขนาดไหน เสียงมัน
ก็เลยออกมาเป็นแบบนี้ แม้จะโทรจากตู้เข้ามือถือก็เหอะ (หรือมือถือกรุห่วย ?)


“คับ ฮัลโหล ได้ยินเป่า ... ” จากที่เดินไม่มีจุดหมายตอนนี้ผมกลับเดินเพื่อหาสัญญาณมือถือแทน - -‘’


“ครึก ... ได้ยินคับ ...ครืดด พี่ปริ้น นี่โค้กนะ .. ครึก” ในสายบอกว่าที่โทรมาคือไอ้โค้ก


“อ้าว โค้กเหรอ ทำไมกรุโทรเข้ามือถือม่ะเห็นรับเลย” ผมต่อว่ามันไป


“ตอนนั้น ครึก .... ผมทำ ครืดดด ....... ธุระอยู่อ่ะพี่ เลยไม่ได้เอาโทรสับ ครึกกกกกกกกกก ติดตัวไป” มันว่า
พลางได้ยินเสียงหยอดเหรียญกึกๆ


“โทรกลับก็ ครึกกก ....โทรม่ะติด ทำไมมันครึกกๆๆ ไม่มีสัญญาณก็ม่ะรู้” มันบ่น


“เออ แถวนี้คนใช้สัญญาณมันเยอะอ่ะ เลยโทรเข้าม่ะติดมั้ง”


“ครึกก แล้วพี่อยู่ไหนอ่ะ ครืดด ดถึงม่ะมี ตี้ด - - ตี้ด - - ติ้ดดดดดดดดดดดดดดด” อ่า สายตัดคับ ผมเลยรีบเดิน
ไปหาตู้โทรสับโทรเข้ามือถือมันจะดีกว่า


“ฮัลโหลคับ”


“เออ .. ได้ยินชัดยัง ? ”


“โอ้ว ชัดแล้ว อยู่ไหนนิ เอ ... ว่าแต่ เด๋วนะ” มันเงียบไปแป็บนึง ...


“เอ๋ ทำไมเบอร์ที่โทรมาเป็น 02 หว่า - - พี่ปริ้นอยู่กรุงเทพเหรอ ? ” มันถามเสียงระคนตกใจ


“เออดิ เนี่ยอยู่แถวเวิร์ลเทรด”


“เอ้าเจง .. แล้วนี่อยู่กะใครล่ะ มากับเพื่อนเหรอคับ” มันเริ่มถามซอกแซก


“มาคนเดียวหว่ะ แม่ง เพื่อนมันหนีไปกะแฟนหมด เซงอยู่เนี่ย” ผมบอกมัน


“แล้วนี่เมิงอยู่ไหนอ่ะ ” ผมถามมันเผื่อว่าจะมาเดินเป็นเพื่อนได้บ้าง แต่ก็ต้องผิดหวัง


“ว้า ... แบบนี้ก็เหงาตายดิ โดนคนเดียว โย่วๆ” มันยังมีกะใจมากวนติง -*-


“จะอยู่ถึงนับถอยหลังขึ้นปีใหม่เลยเปล่าเนี่ย” มันถามผม


“ก็คงงั้นล่ะ เดินๆ รอๆ เด๋วคงหาไรกินไปก่อง แล้วเด๋วค่อยกลับ”


“แล้วค้างไหนอ่ะ”


“หอพี่ท็อป”


“อ่อ อืมมม ”


“แล้วนี่อยู่กับที่บ้านอ่ะดิ” ผมถามมัน เพราะได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายไม่แพ้กัน


“อ่าหะ .. แล้วนี่พี่ปริ้นอยู่ตรงไหนของเวิร์ลเทรดล่ะ คนม่ะเยอะเหรอนั่น”


“เยอะเหมือนกัน แต่ตอนนี้เดินเลยมาตรงเพนนินฯแล้ว คนน้อยกว่าตรงโน้น มึเชิดสิงโตด้วย แปลกดีหว่ะ”
ผมพูดพลางมองไปที่เค้ายังเชิดอยู่


“อืม งั้นเพ่ไม่กวนแระ อยู่กับพ่อแม่เหอะ หวัดดีปีใหม่ล่วง- - -” ผมยังพูดไม่เสร็จเหรียญที่ตู้โทรสับมันก็ตัดพอดี


แกร๊ก .....


“เฮ้อออ ... ” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ความหวังสุดท้ายคือไอ้โค้กมันก็มาไม่ได้แล้ว .... ผมแหงนหน้ามองไปบน
ท้องฟ้าที่มืดมิดแล้วก็ยิ้มให้กะตัวเอง


-อืมม . กรุลืมไรไปเป่าวะ- ผมคิดอะไรได้ก็เลยทิ้งตัวนั่งลงบนพื้นสนามหญ้าบริเวณนั้น แล้วก็
พยายามกดโทรสับไปหาคนๆนึง


“ฮัลโหล สวัสดีคะ”


“มีฮัลโหลแล้วทำไมต้องมีสวัสดีอีกล่ะแม่ ? ” ผมโทรกลับไปหาคนที่ผมเกือบลืมว่ามีคนที่รักผมมาก
ที่สุดในโลกอยู่อีกคนนึง

“นี่ เจ้าปริ้น นานๆทีโทรมา ก็กวนชั้นเลยนะ” แม่เริ่มจะว่าผม แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกผิดแม้แต่น้อย


“แล้วทำไมโทรมาหาได้ล่ะ อ้อ .. จะปีใหม่แล้วซินะ นึกว่าจะลืมคนแก่ๆไปซะแล้วซิ ” แม่ผมยังพูดประชดต่อ
มันน่านักเชีย


“โอ๋ๆๆ ไม่ลืมหรอกน่า แหม แม่ก็ เออ แล้วป๊าสบายดีป่ะ” ผมถามถึงพ่อ ม่ะเข้าใจตัวเองว่า ทำไมเรียกว่าแม่ แต่
เรียกพ่อว่าป๊าวะ -*- กรุสับสนในชีวิต


“สบายดี ก็เหมือนเดิมแหละ แล้ว - - - บลาๆๆๆๆๆ” แม่ผมก็ซักไซ้อีกหลายเรื่อง สัญญาณก็ขาดๆ หายๆ ผมก็นั่ง
จ้อลืมโลกไป สายตาผมมองไปเรื่อยเปื่อย แต่ตอนนี้ความรู้สึกที่ว่า -ไม่มีใคร- มันหายไปบ้างแล้วคับ


“คุณ คุณ .... เค้าห้ามนั่งที่พื้นสนามไม่เห็นเหรอ(วะ) ” ระหว่างที่กะลังคุยก็ไม่ไอ้บ้า รปภ ที่ไหนม่ะรู้มาสะกิด
เรียกให้ผมลุกออกจากที่นั่งอยู่


“เออ คับๆ ผมทำทีเป็นว่าโทรสับอยู่ เด๋วก่อนซิว้อย”


“เออ แม่ๆ เด๋วไงแค่นี้ก่อนนะคับ ฝากบอกป๊าว่า แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะ”


“แฮปปี้นิวเยียร์ยะ”


“ค๊าบ หวัดดีปีใหม่ด้วยนะแม่” ผมพูดเสร็จก็กะลังจะลุก สายตาก็มองหาข้างๆว่า ไหนป้ายห้ามนั่งวะ ไอ้ฟาย


เมื่อผมแน่ใจว่าไม่มีป้าย ก็เลยหันไปจะเม้งซะหน่อย


“อุ๊กก . ”. หน้าผมไปสัมผัสเข้ากับปุยสายไหมนุ่มๆเข้าเต็มรัก


“นั่น ... นั่งที่ห้ามนั่งแล้วยังซุ่มซ่ามอีกคนเรา” พอผมได้ยินเสียงคนพูดเต็มหู ก็นึกได้ว่าคุ้นเคยสัดๆ


“เฮ้ย ! ... ”. ผมอึ้งไปแป็บนึง เพราะว่ามีไอ้โค้กยืนถือขนมสายไหมสองอันอยู่ข้างหลัง


“ม่ะ มาได้ไงอ่ะ นึกว่าอยู่กับที่บ้าน” ผมถาม แต่ก็รุ้สึกว่าดีใจโคดๆเลยนะ


“โห ยืนรอคุยโทรสับอยู่ตั้งชาติแล้ว ไม่ได้รู้สึกตัวบ้างเลยเหรอพี่” มันบ่น เลี่ยงที่จะตอบคำถามผมซะงั้น


“ก็ไม่รู้นี่หว่า ก็ไม่นึกว่าจะมาได้ อ้าว - - แล้วมาเจอพี่ถูกได้ไงวะ” ผมถามด้วยความสงสัย


“ไม่ได้สังเกตเลยเหรอ ก็ตอนที่พี่โทรมา ผมก็อยู่แถวสยามอ่ะ เสียงมันก็ดังพอๆกัน แล้วไอ้ที่เชิดสิงโต
โวยวายๆแบบนี้ ก็มีอยู่ตรงนี้ที่เดียว” มันอธิบายพลางเลียสายไหมไปในตัว


“แถมพี่ก็หาง่ายจะตาย ท่าทางคนโดนทิ้งให้อยู่คนเดียวอ่ะ หาไม่อยาก” มันมีเหน็บ


“แล้วม่ะกี้คุยกะแฟนเรอะไง หัวเราะหน้าหมั่นไส้หว่ะ”


“คุยกะแม่ว้อย”


“โดนแฟนทิ้งดิ”


ฉึก ------------- แทงใจดำ


“พูดไรปัญญาอ่อน ดูตัวเองบ้างเหอะ” ผมย้อนมัน “ตัวเองแห้วตั้งแต่ยังไม่ได้บอกเค้าทำมาเป็นว่า”


“ไม่ได้แห้วโว้ย แค่ไม่ได้บอก” แน่ะมาทำขึ้นเสียง


“เออๆ มาเพื่อทะเลาะเหรอเนี่ย” ผมว่ามันแล้วก็แย่งสายไหมมันมากินอันนึง


“ไรว้า ยังไม่ได้ให้เลย เอาไปซะงั้น”


“กินคนเดียวหมดเหรอไง โธ่”


“อ่ะ ไม่เถียงแล้ว ยอมวันนึง” มันบอก แล้วก็ชวนผมเดินกลับไปทางเวิร์ลเทรด พอข้ามฝั่งไป ก็จะมีศาลเทวรูป
อยู่ด้านมุมตรงกันข้ามกับศาลท้าวมหาพรหรม


“อ่ะ พี่ปริ้น” มันว่าพลางยื่นธูปแดง ดอกไม้แดงให้ผมกำนึง ของตัวเองกำนึง


“ไหว้พระขอพรก่อนปีใหม่ ” มันว่า


“แต่นี่ม่ะใช่พระซะหน่อย” ผมชี้


“เอาน่า ผมขี้เกียจข้ามไปไหวศาลพระพรหมอ่ะ คนเยอะจะตาย” มันว่า แล้วก็ชี้ให้ผมดู ซึ่งก็เห็นว่าจริง
แม้ตรงนี้คนก็เยอะ แต่ด้านโน้น คนมหาศาลมากกว่า แถมตอนนี้ ก็ทำการปิดถนนตรงหน้าห้างไปนานแล้วด้วย


“รับดิพี่” มันว่าแล้วก็ยื่นกำดอกไม้แดงให้


ผมรู้สึกตะหงิดๆอยู่เล็กๆ เอ ... เพื่อนมันเคยบอกผมว่าอาไรหว่า ศาลที่อยู่ตรงเวิร์ลเทรดนี่เรียกว่าเทวรูปไรน้า
คิดแล้วมันเหมือนติดอยู่ตรงปากคับ คิดม่ะออก แต่ก็ช่างเถอะ จะปีใหม่แล้วคิดไรมากมาย


ผมก็ขึ้นไปสักการะ แล้วก็อธิฐานในเรื่องดีๆในชีวิต ขอให้คุณพระคุ้มครองพ่อแม่ ครอบครัว
ไอ้โอ้ต แล้วก็คนที่ผมรู้จัก


เนื่องจากคนเยอะมาก ผมก็เลยลงมารอข้างล่างก่อน ซักพัก โค้กก็เดินตามลงมา ผมก็ซื้อน้ำผลไม้ปั่น
ให้มัน (น้ำปั่นตรงนี้อร่อยมากนะคับ ลองมาทานดิ)

“อ้าว .. ลืม ”


“ลืมไรคับ”


“ลืมขอพรให้ตัวเอง - -‘’”


“เป๋อหว่ะ ไม่เป็นไรหรอกคับ ผมขอแทนให้แล้ว”


“ห่ะ ... ขอไรวะ”


“ผมขอรวมๆอ่ะคับ” คนที่รู้จัก มันแก้ตัว “ว่าแต่ - - ”


“ว่าแต่ไร” ผมถามมัน ดูพักนี้ชอบอ้ำๆอึ้งๆพิลึกเด็ก


“ว่าแต่ - - คิดไงมาไหว้กับผมล่ะ” มันถามอ้อมแอ้มๆ


“หมายถึงไหว้เนี่ยเหรอ” ผมนึกชื่อไม่ออกเลยชี้แทน


“อือ”


“อ้าว แล้วทำไมไหว้ไม่ได้เหรอ”


“อ่อ ไม่มีอะไร ช่างมันเถอะครับ ไปหาไรกินกันดีกว่า เด๋วออกมานับถอยหลังกะเค้าไม่ทัน” มันว่า
พลางมองนาฬิกา


ผมพึ่งสังเกตว่า ผมไม่ค่อยได้เห็นมันในชุดไปรเวตเลย ส่วนใหญ่ก็เห็นมันแต่ในชุดนักเรียนๆ แต่ตอนนี้
มันใส่คล้ายๆเสื้อหนาว มีฮู้ดด้วย น่ารักซะไม่เมี้ย


เนื่องจากว่าด้านนอกไม่มีอะไรกินเลย แถมถึงมีก็เต็มไปหมด ผมก็เลยชวนมันไปกินข้าวกันในห้างดีกว่า
ซึ่งแตกต่างจากข้างนอกมากมาย ปกติมันจะปิดสามทุ่มคับ แต่นี่ข้างนอกมีงานก็เลยยังไม่ปิด แต่คนก็น้อย
มากๆ ผมกะมันก็ไปนั่งกินแบล็คแคนย่อนกัน แล้วก็นั่งคุยโน่นนี่ เรื่องอนาคตบ้าง เรื่องเรียนบ้าง เรื่องสอบ
บ้าง จนจะเกือบ ห้าทุ่มครึ่ง ก็ชวนมันออกมานอกห้าง


โอ้ว แม่จ้าววว คนแสนแปดเลยครับ ท่วมไปจนถึงฝั่งโรงแรมอโนมาโน่น


“โหหห จะไปข้างหน้าได้ม่ะเนี่ย” ผมถามมัน


“ก็ไม่ต้องไปข้างหน้ามากหรอกพี่ เอาแค่มองเห็นก็พอ” มันว่า แล้วก็พยายามเดินแทรกๆเข้าไป เนื่องจากกว่า
มันตัวใหญ่เลยไม่โดนเบียดมากนัก ผมก็ไม่ได้ตัวเล็กนะ แต่ก็เล็กกว่ามันล่ะเลยลำบากหน่อย


“พี่ปริ้น เฮ้ย ทางนี้ อย่าไหลไปดิ” มันตะโกนเมื่อเห็นผมเกือบจะพลัดไป


“เออ พยายามอยู่ว้อยยย”


ยอมรับว่าคนแน่นจริงคับ ครั้งแรกที่มาที่นี่ตอนมีงานด้วย แต่ก็หนุกดีคับ ได้บรรยากาศ จากเดิมที่ดูเหมือน
จะเบื่อๆ ตอนนี้กลับตรงกันข้ามแล้ว


ปั๊กก


แสด เหยียบเท้ากรุ ใครว้า


พลั๊กก


โดนกระแทกอีก


โห กรุเข้ามาในสนามรบเหรอไงฟ่ะ -*-


“พี่ปริ้น .. ” เสียงโค้กตะโกน


“ห่ะ - -” ผมกะลังจะถามว่ามีอะไร ก็เห็นว่ามันยื่นมือมาหาผม


“จับไว้ จะได้ไม่หลง เร็ว .. จะนับถอยหลังแล้ว”


วินาทีนั้น ผมเอื้อมมือไปจับมือมัน ความอบอุ่นที่สัมผัสได้แล่นผ่านเข้ามาถึงตัวผม โค้กมันดึงมือผมฝ่าผู้คน
เข้าไปเรื่อยๆ จนดูเหมือนจะติดแล้ว ก็หยุดยืนอยู่แบบนั้น ผมรู้สึกว่ามันยังลืมตัวกุมมือผมไว้อยู่


วูบนั้น ผมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้


สมัยตอนม ต้น ผมมาเที่ยวกะพวกไอ้อ้นสยามบ่อยมาก แล้วก็เดินเลยมาถึงเวิร์ลเทรดก็มี แล้วพวกมัน
ก็เคยพูดถึงเทวรูปเคารพที่อยู่ในย่านนี้ เทวสถานที่ตั้งอยู่หน้าเวิร์ลเทรดคือ รูปเคารพของพระตรีมูรติ


“ช่วงเวลา 3 ทุ่มนะ พวกเมิงจะเห็นพวกคู่รักเนี่ย เอาพวกดอกไม้แดง ธูปแดงไรเนี่ย มาไหว้กันเป็นคู่ๆ
มาขอให้ประสบความสำเร็จในเรื่องความรัก ขอให้ได้เป็นแฟนกัน เยอะแยะ ” ไอ้อ้นบอกพวก


“แล้วเป็นไงบ้างอ่ะ สำเร็จเปล่าวะ เพื่อนคนนึงถาม”


“………………. ”


ผมสะดุ้งตัวมาอีกที ตอนที่ไอ้โค้กมันเขย่ามือผมเบาๆ ชี้ให้ดูที่จอทีวีขนาดมหึมาที่ตั้งนับถอยหลังตรง
ลานหน้าห้าง


ผมเหลือบหันไปมองไอ้โค้กแว่บนึง แล้วก็คิดถึงตอนที่มันถามผมม่ะตะกี้


“ว่าแต่ - - คิดไงมาไหว้กับผมล่ะ”


“มองไร” มันหันมาถามหน้าเปื้อนยิ้ม ดวงตากลมโตของเจ้าโค้กมันยังคงเสน่ห์เหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง


ผมส่ายหน้าให้มัน แล้วก็ยิ้มให้กับบรรยากาศรอบๆที่พร้อมที่จะระเบิดความสุขได้ทุกชั่วขณะ
โดยที่ไม่รู้ตัวหรอกว่า มือขวาที่กุมอยู่กับมือซ้ายของไอ้โค้กมันผสานกันแน่นกันแค่ไหน


“จะข้ามปีแล้วนะ”


“คับ .. ”


1 นาทีสุดท้ายก่อนการก้าวย่างเข้าสู่สิ่งใหม่ๆ หลังจากนั้น เสียงแห่งความสุขก็แซ่ซ้อง ไปทั่วบริเวณ
ทั้งเสียงพลุ เสียงผู้คนโห่ร้องด้วยความชื่นมื่น


ผมกะโค้กก็ลืมตัวกระโดดโลดเต้นไปกับผู้คนเหล่านั้น ก่อนที่โค้กมันจะหยุดกระโดดแล้วก็หันมาพูดกับผม


“หวัดดีปีใหม่คับพี่ปริ้น จากนี้ไป ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ” มันพูดเสร็จก็โค้งให้ผมทีนึง


“คับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ” ^^


..

.

.

.

.

.

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #48 เมื่อ23-10-2006 05:31:00 »

หลังจากต้องฝ่าฟันบรรดาผู้คนที่เบียดเสียดเยียดยัดมาได้ ผมก็เลยชวนโค้กเดินไปกินข้าวมันไก่
(ที่เคยเป็น)เจ้าประจำแถวๆประตูน้ำ ตอนแรกนึกว่าจะไม่มีที่แล้ว พอดีเป็นโชคดีเลยได้นั่งเบียดๆ
ไปกะคนอื่น


ช่วงระหว่างนั้น ผมก็พยายามโทรไปหาไอ้โอ้ตคับ กะว่าจะ แฮปปี้นิวเยียร์มันซะหน่อย แต่ผลปรากฏ
ว่า เครือข่ายดันล่ม โทรติดยากมาก ผมเลยใช้วิธีส่ง sms ไปหามันแทน กว่าจะได้รับก็คงนานโข
(เคยส่งให้เพื่อนตอนเที่ยงคืน แต่กว่าจะได้บางคนเกือบเที่ยง - -‘’) หวังว่ามันคงเข้าใจผมนะว่าไม่ได้
ลืมมัน แต่ ...


มันก็ไม่เห็นจะโทรมาหาผมบ้างเลยนี่หว่า ผมก็พยายามคิดว่า มันคงโทรติดยากเหมือนกันล่ะ


“พี่ปริ้น ได้ข่าวว่าจะเอ็นฯ ที่เชียงใหม่เหรอ ?” โค้กถามผมระหว่างกะลังกินข้าว


ผมชะงักนิดหน่อย


“เอาข่าวมาจากไหนวะ”


“ไม่บอก”


“ก็เลือกๆไว้หลายที่ล่ะ” ผมเลี่ยงที่จะเจาะจง


“เหรอ ก็ดีนะครับ เรียนตจว อากาศดีกว่าในกรุงเทพเยอะ” มันว่า (พูดเหมือนตัวเองเคยเรียนกทมซะงั้น)


“อืม”


ผมพูดได้แค่นั้น แล้วต่างคนก็ต่างเงียบกินข้าวในจานตัวเองไป


ก่อนจะแยกกันผมก็เดินไปส่งมันขึ้นรถเมล์ก่อน เพราะว่าท่าทางว่าบ้านมันไกลจากผมพอสมควร


“พี่ปริ้นจะกลับเพชรเมื่อไรครับ ”


“คงวันจันทร์ วันอังคารอ่ะล่ะ ว่าจะไปหาเพื่อนเก่าด้วย” ผมว่า “โค้กอ่ะ”


“ผมคงกลับพรุ่งนี้เลยครับ ทำธุระเสร็จแล้ว ” มันพูดเสียงเศร้าๆ


“งั้นก็เดินทางดีๆล่ะ คนคงเยอะ”


“คับ แล้วไงเจอกันพี่” มันพูดพลางโบกมือหย่อยๆ แล้วก็รีบวิ่งขึ้นรถเมล์ที่อัดแน่นไปด้วยผู้คน


ผมยืนยิ้มให้กะมันที่หันมาทำหน้าเป็นใส่ ประมาณว่า รถเมล์โคตรแน่นเลย ผมอมยิ้มให้มัน
จนเห็นรถเมล์ค่อยๆเคลื่อนลับตาไป


- ปีใหม่แล้วซิ ... ขอบคุณนะเว้ยไอ้โค้กที่อุตสาห์มาเที่ยวเป็นเพื่อน -


ผมคิดไปโดยที่ไม่รู้สึกตัวหรอกว่า กะลังยิ้มให้กะตัวเองอย่างมีความสุข


เช้าวันต่อมา ผมก็ได้ผมก็พบว่า ได้ sms มามากมายอยู่ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพื่อนในกทม
แหละครับ เพราะว่าเพื่อนที่อยู่ รร ม่ะค่อยมีมือถือกัน แล้วหนึ่งในนั้นก็มีของคนที่ผมรอ
คอยอยู่

.

.

* โทรกลับไปบ้านแล้ว แอบมาเที่ยวกรุงเทพเหรอ .. แฮปปี้นิวเยียร์นะครับ มีความสุข
มากๆ คิดถึงเสมอครับ -------> โอ้ต

.
.

วันนั้นทั้งวันก็หน้าบานล่ะคับ แล้วก็นัดเจอเพื่อนเก่าๆ ตอนม ต้น คุยกะคนโน้นทีคนนี้ที
เรื่อยเปื่อย พอผ่านพ้นปีใหม่ไม่กี่วัน ก็ต้องมาเครียดกับการสอบมิดเทอม เทอม 2 อาจารย์
ก็บ้าเลือดออกข้อสอบยากมหาศาล คะแนนผมก็ไม่ค่อยดีนักหรอก แต่นอกเหนือจากนั้น
แล้ว ช่วงเวลาในเทอม 2 ของผมก็นับว่ามีความสุขมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนที่อยู่รอบๆข้าง
ไอ้โอ้ตที่แม้ว่าจะไม่ค่อยมีเวลาโทรมาหานัก แต่หลังๆก็ไม่ค่อยมีอะไรทะเลาะแล้ว แล้วก็ไอ้โค้ก
คับ ที่ผมค่อนข้างสนิทกับมันมากขึ้น เรียกว่า มากๆเลย แต่ทั้งผมกับมันก็ไมได้มีอะไรเกินเลย
ไปมากกว่าคำว่า พี่น้อง


เหมือนกับเราสองคนก็รู้กันอยู่ในใจครับ ว่าตอนนี้ เราต่างคนต่างมีจุดที่เราต้องยืนอยู่ ไม่ถล่ำลึก
กันมากไปกว่านี้ ไอ้โค้กมันก็ดีคับ เวลามันมีปัญหาไร หรือผมมีปัญหาไร ก็ต่างคนต่างปรึกษากัน
แต่ผมก็ยังไม่เคยบอกกับมันหรอกว่า ผมเป็นเกย์แล้วก็คบกะไอ้โอ้ต แต่ก็เหมือนๆว่ามันก็คงรู้ล่ะ
แต่ก็ไม่พูดไร


ผ่านพ้นไปจนถึงปลายเทอม ก็เหมือนกับที่โอ้ตมันกำลังจะจบปี 1 ซึ่งมันก็แทบไม่ค่อยได้โทรมา
หาผมเลย จนวันนึงsหลังจากที่สอบปลายภาคเสร็จ ก็เป็นเวลาของการเตรียมตัวสอบเอ็นรอบ 2 คับ
ต่างคนต่างก็หัวหกก้นขวิดอ่านหนังสือกันตะบัน (โทษฐานที่ไม่ค่อยได้เอาเวลาไปใส่ใจตอนเรียน)
จนสอบเสร็จทั้งสามวัน ก็เป็นเวลาที่เด็กเตรียมเอ็นฯต้องรอผลคะแนน แล้วก็เตรียมสมัครสอบทาง
ไปรษณีย์


“ปริ้น ตกลงว่าเราจะเลือกเรียนอะไรที่ไหนล่ะ” ยายผมถามขึ้นมา


“กะว่าจะคงจะเลือกเอ็นคณะเกี่ยวกะคอมๆอะไรทำนองนี้อ่ะคับ” ผมบอก


“ก็เลือกไว้หลายที่ล่ะยายแต่คงจะต้องรอคะแนนแล้วก็เทียบๆกับคะแนนปีที่แล้วก่อนอ่ะคับ ”


“ก็เลือกให้ดีๆแล้วกัน แต่ถ้าไม่ติดก็ไม่ต้องไปเสียใจนะ” ยายผมให้กำลังใจ แต่ทำไมรู้สึกเป็นลางๆ
ก็เลยกะว่าจะโทรไปปรึกษาเรื่องเรียนต่อซะหน่อยดีกว่า


ตี้ดด .... ตี้ดดดด.. ตี้ดดดดดดดด .... ตี้ดดดด.. ตี้ดดดดดดดด


- ไมม่ะรับวะ –


ผมกดตัด แล้วก็โทรใหม่ แล้วก็เหลือบดูเวลา


- พึ่งจะสองทุ่มเองนี่หว่า ? –


ตี้ดด .... ตี้ดดดด.. ตี้ดดดดดดดด .... ตี้ดดดด.. ตี้ดดดดดดดด


“สวัสดีครับ ... ”


เสียงไม่คุ้นหูรับสาย ได้ยินก็รู้ได้เลยว่าคนรับต้องน่ารักแน่นอน (เกี่ยวม่ะฟะ)


ผมนอนอึ้งกับเสียงอยู่แป็บนึงเหมือนไม่รู้จะพูดอะไร


“สวัสดีครับ ...? ”


ผมมองทวนดูหมายเลขอีกรอบนึง ไม่ได้โทรเบอร์ผิด


“อ่อ ขอสายโอ้ตครับ” ผมนึกขึ้นได้ว่า คงเป็นรูมเมทของโอ้ตมันมั้ง เพราะมันอยู่หอ
ก็เคยบอกว่ามีรูมเมท 3 คนที่ห้อง


“เพื่อนเหรอครับ รอเดี๋ยวนะครับ” พูดเสร็จก็ได้ยินเสียงลุกขึ้นเดิน แล้วก็ได้ยินเสียงเคาะ


“ไอ้โอ้ต” โทสับ


“ตอนนี้มันอาบน้ำอยู่ครับ อีกซักพักค่อยโทรมาได้มั้ยครับ หรือว่าจะฝากบอก - -”


“ไม่เป็นไรครับ เด๋วผมโทรมาอีกทีล่ะกัน” ผมพูดตัดบท แล้วก็วางโทรสับไป ก็ไม่ได้คิดไร
มากนะครับ คงเป็นรูมเมทมันจริงๆล่ะ สรุปว่า คืนนั้นผมก็นอนเพลิน ไม่ได้โทรไปหาไอ้โอ้ต
อีกรอบ เลยไม่ได้คุยเรื่องจะเลือกคณะเลย


แต่ก็แปลกเนอะ มันไม่ยักกะโทรกลับ ... หึหึ


หลายวันผ่านไป ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับเรื่องของคนที่รับโทรสับ ผมยังคงจมกับ
ความเชื่อที่ว่า โอ้ตมันยังเหมือนเดิม และผมก็ยังเหมือนเดิม หลังจากผมตัดสินใจ
เลือกคณะที่ต้องการลงในใบสมัครแล้วสองสามวัน ก็เหมือนมีข่าวดีคับ


อย่างที่เคยบอกไว้ว่าพ่อกะแม่ผมย้ายไปทำงานที่จังหวัดนึงแถวภาคเหนือ (แต่ม่ะใช่เชียงใหม่)
เค้าก็เลยอยากให้ผมไปหาบ้าง เพราะคิดว่า พอเข้ามหาลัยแล้วก็คงไม่มีเวลามากกว่านี้แน่ๆ


เราก็ขึ้นเครื่องมาลงเชียงใหม่ แล้วก็นั่งรถทัวว์จากอาเขตมาอีกทีนึง แล้วกัน” แม่ผมบอก


“โห ให้ขึ้นเครื่องบินคนเดียวเลยเหรอ !? ” ผมออกจะตกใจอยู่นิดนึงเพราะว่าเกิดมาไม่เคยขึ้น
เครื่องมาก่อน (บ้านนอก) แถมต้องขึ้นคนเดียวด้วย


“อะไร ไม่กล้าเหรอ ? ” แม่ผมเหน็บ


“แล้วเงินล่ะ”


“แม่โอนบัญชีเราแล้ว”


“โอเค แล้วเด๋วปริ้นจองตั๋วได้วันไหนแล้วปริ้นจะบอกไปอีกที” ผมบอกแม่ ก่อนที่จะคิดว่า
ไหนๆก็ต้องลงเชียงใหม่แล้ว ผมไปหาโอ้ตดีกว่า (โดยที่ไม่บอกให้มันรู้ กะ เซอร์ไพร)


วันก่อนวันเดินทาง ไม่รู้อะไรดลใจให้ไอ้โอ้ตโทรมาหาผม


“ไงคับ เป็นไงบ้าง ”


“ก็เหมือนเดิมอ่ะ เด็กรอผลเอ็นฯจะมีอะไรให้ทำฟะ”


“แล้วปิดเทอมนี้ โอ้ตคงไม่กลับบ้านนะ”


“เทอมที่แล้วก็ไม่กลับ เทอมนี้ก็ไม่กลับเหรอ”


“อือ ก็เรียนหนักด้วย แล้วโอ้ตก็ไม่อยากจะกลับไปกลับมาด้วยอ่ะครับ”


“อือ”


“ไม่โกรธโอ้ตใช่มั้ย”


“จะโกรธทำไมอ่ะ ไม่เป็นไรหรอก ตั้งใจเรียนนะ” ผมบอก


“จริงๆแล้ว - - ”


“เออ เพื่อนมันเรียกไปกินข้าวแล้ว เดี๋ยวแค่นี้ก่อนนะครับปริ้น ว่างๆเดี๋ยวโทรมาหาใหม่ ”
มันว่าก่อนที่ผมจะบอกเรื่องที่จะขึ้นไปหาแม่ แล้วก็จะไปหามันด้วย


- เด๋วไปก็คงเจอเองล่ะ – ผมคิดในใจ


วันต่อมาก็รีบตื่นแต่เช้าครับ แล้วก็รีบขึ้นกรุงเทพไปดอนเมือง ตอนนั้นยังไม่มีโลคอสแอร์
ก็ขึ้นการบินไทยก็เปลืองนิดหน่อย แต่ไม่ได้ออกเองอยู่แล้วนิ กัวไร นั่งประมาณชั่วโมงเดียว
ก็ถึงเชียงใหม่ครับ ไปถึง ก็แบบเปล่าเปลี่ยวมากๆ เพราะว่าเป็นครั้งแรกที่มาถึง แถมมันไม่
เหมือนกรุงเทพด้วยดิ ที่มีรถเมล์ ที่นี่มีแต่รถแดง รถตุ๊กๆ


“พี่ครับ ไปอาเขตคับ”


พี่เค้าทำหน้าคิดนิดหน่อย ก่อนที่จะบอกว่า ไม่ไป ...


โห มีงี้ด้วยอ่ะ ไม่อยากไปก็ไม่ไป เคืองๆๆๆๆ ผมก็โบกรถคันต่อไป คันนี้ไปครับ


“กี่บาทอ่ะคับ”


“ซาวบาท”


“ห่ะ ? ”


“สามบาท”


พี่คนนั้นทำหน้างงเล็กน้อย ก่อนที่จะชูนิ้วสองนิ้ว


“อ่อ 20 ”


นั่งซักพัก ก็ถึงอาเขตคับ แล้วก็เลือกขึ้นรถทัวว์ไปตามที่แม่บอก กว่าจะถึงบ้านก็ล่อไปซะเกือบสี่ทุ่ม


บลาๆอยู่กับที่บ้านสองสามวัน รู้สึกว่าป๊าจะป่วยๆ ไม่ค่อยสบาย แม่ผมก็บอกว่า ไม่ได้เป็นไรมาก
เด๋วก็หาย ตอนนี้ก็ขอทำเรื่องย้ายกลับไปที่เพชรฯให้ได้อ่ะ ก็ไม่รู้ว่าจะสำเร็จเหรอเปล่า


“แล้วถ้าย้ายไม่ได้อีกล่ะ”


“ไม่ได้แม่ก็อยู่ที่นี่ไปเรื่อยๆนะซิ”


“ก็ลาออกดิแม่ ไปทำงานอย่างอื่นที่บ้านยายไง”


“แหม จะให้ชั้นลาออกตอนอายุปูนนี้แล้วนี่นะ ”


แม่ผมยิ้มๆให้ คงรู้แหละที่ผมพูดอ่ะ ก็เพราะอยากให้เรากลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเหมือนเดิม


“แล้วพรุ่งนี้จะกลับบ้านแล้ว เรื่องต๋ง ตั๋วเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย” แม่ผมถามโดยที่คิดว่าผมจะกลับเพชรฯพรุ่งนี้
แต่ผมจองตั๋วเครื่องบินไว้ในอีก สองวันข้างหน้า เพราะว่าตั้งใจจะไปอยู่เชียงใหม่วันสองวันก่อนนั่นเอง

ตี้ดด .... ตี้ดดดด.. ตี้ดดดดดดดด .... ตี้ดดดด.. ตี้ดดดดดดดด

“ฮัลโหล ว่าไงปริ้น ” เสียงโอ้ตแว่วมาตามสาย ผมกะโทรไปหามันก่อนเจอ


“เป็นไงบ้าง สบายดีเป่า ”


“อือ สบายดีครับ แล้วปริ้นล่ะ ? ”


“ก็เหมือนๆเดิมอ่ะ รอผลเอ็นฯอยู่เนี่ย ตื่นเต้นหว่ะ”


“ถ้าติดเชียงใหม่ก็ดีสิ จะได้มาอยู่ด้วยกัน” มันว่า ทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้น


“อยากเจอเค้าอะดิ”


“ทำไมจะไม่อยากล่ะครับ คิดถึงจะตาย อยู่ที่นี่น่ะ เค้ามีแฟนกันทั้งนั้นเลย เหงา” มันว่า


“น่าๆ เด๋วก็ได้เจอกันแระ”


“โห มั่นใจว่าติดชัวว์ดิ” มันแซว


“ไม่มั่นหว่ะ 55” ผมหัวเราะ


เราคุยกันพักนึงก่อนจะวางไป แต่ก็ไม่ลืมถามมันว่า พรุ่งนี้ไม่ได้มีธุระอะไรใช่เปล่า
แต่ผมก็ยังไม่ได้บอกมันว่าจะไปหามันหรอกนะ


รุ่งขึ้นผมก็ขึ้นรถทัวว์มาอาเขต มาถึงก็แทบจะมืดแปดด้านครับ แล้วก็คิดว่าตัวเองโง่จริงๆ
แต่ก็เปิดแผนที่ของเชียงใหม่ซึ่งใหญ่มากมาย แล้วก็ดูโบชัวโรงแรมที่ดูๆไว้ก่อนมา ก็มาได้
ที่พักแถวๆถนนนิมมานเหมินต์คับ โชคดีที่ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวก็เลยพอมีที่พัก


“เออ .. 2 วันครับ”


“มาคนเดียวเหรอคะ ”พี่ที่เคาเตอร์ถามด้วยความแปลกใจ


“ครับ คนเดียว”


“งั้นกรอกข้อมูลตรงนี้นะคะ ”เธอบอกผม แล้วก็จัดการเช็คอินเข้าห้องไป ห้องดูโอ่โถงกว่าที่
เด็กรอผลเอ็นอย่างผมจะนอนคนเดียวไหว - -‘’ ผมมองดูนาฬิกา เกือบบ่ายสามแล้ว พรุ่งนี้
ค่อยไปหามันล่ะกัน แล้วก็เอนตัวหลับไปบนที่นอนอันแสนนุ่มด้วยความอ่อนเพลีย


ผมมารู้สึกตัวอีกทีก็เกือบทุ่มนึงแล้ว รู้สึกหิวชะมัด


“พี่ๆ แถวนี้มีอะไรกินบ้างอ่ะ” ผมเดินลงมาถามพี่ยามของตึก พี่แกก็บอกซะหลายที่เชียว
ติดอยู่ที่ว่าผมไปไม่ถูก


“เออ งั้นกาดสวนแก้วไปยังไงอ่ะคับ”


พี่ยามก็อธิบายทาง แล้วก็บอกว่านั่งรถแดงไปก็ได้ จริงๆก็เดินไปก็ถึงครับ แต่มันมืดๆ
แล้วแกก็ชี้ไปที่ตึกใหญ่ๆ


โอ้ว ใกล้กว่าที่คิดอ่ะ


ผมก็เลยลองเดินไปทางที่เค้าบอก ซักพัก พี่เค้าก็ใจดีขี่มอไซต์ไปส่งผมถึงที่หลังห้างเลย
พี่แกบอกว่า แกออกกะพอดีเลยมาส่งได้


ผมก็เดินๆเข้าไป แต่ดันเข้าไปทางโรงแรมคับ หาทางออกอยู่ตั้งนานกว่าจะเข้าตัวห้างได้
ก็ลองหาของกินดู ก็มาหยุดหน้าเชสเตอร์


- ไรวะ อุตสาห์มาเชียงใหม่ แต่ดันมานั่งกินเชสเตอร์ หอกเอ้ย . ...- ผมคิดแล้วก็ส่ายหัว เดินเข้าไป


“เอาข้าวอบไก่ย่างคับ” เป็นเมนูเดียวที่กินในเชสเตอร์ กำลังจะตักเข้าปากคำแรกเลยคับ สายตาก็
เหลือบไปเห็นกลุ่ม นศ. กลุ่มนึงเดินผ่านร้าน (4 คน)


“อะ โอ้ตนี่หว่า .. ” ผมเห็นเด็กหนุ่มคนนึงที่คุ้นตามากที่สุด แม้ว่าจะไม่ได้เจอตัวเป็นๆมาเกือบปี
แล้วก็เหอะ มันดูน่ารักขึ้น ผมหน้ามันตัดสั้น แต่ก็ยาวกว่าม่ะก่อนเยอะ แถมด้านหลังมันก็ไว้รากไทร
น่ารักกว่าเก่าเยอะเลย เดินผ่านไปกับเพื่อนอีก 3 คน (ชายอีก 2 หญิง 1) กำลังเดินไปทางบันไดเลื่อนแหล่ว


ผมใจนึงก็เสียดายข้าว แต่ใจนึงก็อยากตามไอ้โอ้ตไปมากกว่า ตอนนั้นคิดไรไม่รู้คับ อยู่ๆ ก็ไม่กล้า
ไปทักมันซะอย่างงั้น ผมตักจ้วงข้าวไปสามสี่คำ แล้วก็รีบกินน้ำอั๊กๆ วิ่งตามโอ้ตไปแบบห่างๆ


พวกโอ้ตเดินขึ้นไปจนถึงชั้นโรงหนังคับ สงสัยจะไปดูหนังกันแน่ๆ


- หน็อยย .... แล้วบอกว่า เรียนหนักม่ะค่อยมีเวลาเรอะ - ผมคิดพลางเดินแบบรักษาระยะห่างไว้
พอพวกเค้าซื้อตั๋วเสร็จ ก็เดินไปนั่งรอที่ที่หน้าโรง ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันดูเรื่องไรกัน แล้วก็คง
ไม่คิดจะตามไปดูด้วยหรอก


ซักพัก ผมก็เห็นคู่เพื่อนผู้ชายกะผู้หญิงเดินไปทางที่ขายน้ำกะป็อบคอน ก็เหลือโอ้ตกะเพื่อนมันอีกคนนึง
นั่งรออยู่ บอกตามตรงว่าที่ตามไปเนี่ย ไม่ได้จะจับผิดอะไรมันเลยนะครับ แต่เป็นเพราะผมไม่รู้จะเข้าไปทัก
อะไรมันต่างหาก พอคิดว่าแล้วผมจะถ่อมาเชียงใหม่ทำซอกตึกอะไรถ้าไม่กล้าไปหามัน ก็เลยคิดได้ ควัก
โทรสับขึ้นมาจะโทรบอกมันก่อน จะได้ไม่ตกใจเกินไป


ตี้ดด .... ตี้ดดดด.. ตี้ดดดดดดดด ....


ผมเห็นมันหยิบโทรสับขึ้นมาดูก่อน แต่ก็ยังม่ะยอมรับ


- ทำไมไม่รับวะ ? - ผมคิดฉุนเล็กๆในใจ


มันก็หันไปพูดกับเพื่อนข้างๆอะไรซักอย่าง ไอ้เพื่อนคนนั้นมันก็แบบยกมือขึ้นมาทำท่าต่อยแก้มโอ้ตเบาๆ
แล้วก็หัวเราะ


อึ๊ก ..


วินาทีนั้นผมรู้สึกแปล็บเข้าไปในใจเลยอ่ะ


“ฮัลโหล ว่าไงปริ้น”


“. ............ ”


“โหล ปริ้น ได้ยินเหรอเปล่า ”


“อ่ะ อ่อ ได้ยินๆ ” ผมได้สติ


“ว่าไง”


“อ้อ....” ผมเผลอทำเสียงสูงขึ้นแบบผิดปกติ “ก็คิดถึงอ่า ก็เลยโทรมาหา แล้วนี่ทำไรอยู่อ่ะ”


“ออกมาเดินเล่นกะเพื่อนอ่ะ”


“มืดป่านนี้แล้วยังมาเดินเล่นอีกเนี่ยนะ ไม่กลัวโดนฉุดเหรอไง”


“มืดอะราย โธ่ อยู่ในมอไม่มีใครมาฉุดหรอก” ผมเห็นมันพูดเสียงฟังชัด ทั้งๆที่สายตาก็จับจ้อง
ดูตัวมันอยู่หน้าโรงหนังแท้ๆ


“โกหกตกนรกนา ... ” ผมแกล้งทำเสียงล้อเล่น แต่ในใจนี่แบบ เหอๆ สับสนนิดๆ มาดูหนังก็บอก
มาดูหนังดิ ทำไมต้องหลอกกูวะ งง ผมคิด


“โกหกไรเล่า เนี่ย เดี๋ยวก็เข้าหอแล้ว” มันว่า แถมไอ้คนข้างๆมันเหมือนจะได้ยินว่ามันโกหก ก็แกล้ง
จี้เอวมัน จนหลุดขำออกมา


“ฮ่ะ ฮ่ะ หะ อย่าเล่น - -” เสียงไอ้โอ้ตมันหลุดออกมา


“...................- - เล่นไรอยู่ฟะ ดูหนิดหนมกันจัง” ผมเผลอพูดออกไป


“เพื่อนมันแกล้งอ่ะ อืม เดี๋ยวไงแค่นี้ก่อนนะปริ้น โอ้ตไปหาข้าวกินก่อน”


“...................”


“ปริ้น - - ปริ้น ได้ยินเปล่า ” มันทวนเมื่อเห็นผมไม่ตอบกลับ


“อือ .. ”ผมชักพูดไม่ออกแล้ว


“เป็นอะไรเหรอเปล่า ” เสียงมันพูดออกได้ยินทางโทรสับ เหมือนใส่ใจผมนะ แต่ภาพทีเห็น
มันกำลังใช้อีกมือนึงที่ว่างอยู่พยายามไล่จับมือเพื่อนข้างๆที่กำลังจี้เอวมันอยู่


แล้วตอนนี้มันก็จับมือเพื่อนมันกุมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ..


ไม่ว่าสิ่งที่ผมเห็นจะจับเพื่อหยุดการกระทำ หรือจับเพื่ออะไรก็ตาม แต่ภาพนั้นมันก็ติดตา
ผมจนรู้สึกว่าตัวเองสั่นน้อยๆ


“ปริ้น ...? ” เสียงมันถามผมอีกรอบ


“เออ - - ขะ ขอโทด” ผมพูดออกไปโดยไม่ทันได้คิดว่า กูจะขอโทษมันทำแป๊ะอะไร


“งั้นก็ ระ รีบไปกินข้าวล่ะกัน เด๋วเป็นโรคกระ - - อ๊ะ ” ผมหลุดบางคำออกมา ระหว่างที่กำลังพูดอยู่
เมื่อเห็นไอ้คนข้างๆมัน ดิ้นรนปัดมือไอ้โอ้ตออกได้แล้ว ก็ทำเหมือนเอาหน้าไปกัดที่คอมัน


“พูดว่าอะไรนะ ปริ้น” เสียงมันเหมือนกำลังฝืนพูด (ผมก็เห็นแล้วล่ะว่าทำไมต้องฝืน)


“ไม่มีอะไร ”เสียงที่พูดเหมือนว่ามันล่องลอยไปกลางอากาศ


“งั้นก็แค่นี้ก่อนนะปริ้น” เสียงมันบอกอีกรอบ


“ครับ - - แค่นี้ - - - ละกัน” ผมค่อยๆพูดออกมาทีละคำ


“โ . .ชค . .ดีน. ..ะ.....โ....อ้ต ” คำพูดสุดท้ายรู้สึกสั่นเต็มทน

ผมวางหูไปเรียบร้อย แล้วก็หันไปมองเค้าทั้งสองคน ซึ่งตอนนี้เพื่อนอีก 2 คนก็เดินมาหา
พลางชวนกันเดินเข้าไปในโรงหนัง แต่ไอ้เพื่อนที่อยู่กับโอ้ตม่ะกี้ จะอยากซื้ออะไรเพิ่ม ก็เลย
ปล่อยให้อีก 3 คนเข้าไปก่อน แล้วก็รีบวิ่งมาซื้อน้ำอีกแก้ว


ม่ะรู้คิดอะไรอยู่ หรืออยากเห็นหน้ามันชัดๆ อะไรก็แล้วแต่ ผมเดินเข้าไปต่อแถวซะงั้น
มองจากข้างหลัง ไอ้พี่คนนี้มันสูงกว่าผมนิดหน่อย ไว้ผมประมาณเดียวกะโอ้ต แต่ตัวขาว
กว่าโอ้ต แล้วก็ผมมากคับ เนียนเลยล่ะ ผมจ้องนานไปหน่อยจนเค้าซื้อเสร็จก็หันหลังกลับ
มาเจอผมพอดี เค้าสะดุ้งนิดหน่อย แล้วก็ยิ้มให้ผมทีนึง แล้วก็วิ่งเข้าไปในโรง


ผมค่อยๆหันไปมอง พนักงานก็ค่อยๆปิดประตูไปแล้ว ก็ไม่รู้จะทำอะไร เลยเดินลงมา
แล้วก็ไม่รู้จะกลับทางไหนครับ มืดก็มืดแล้ว คราวนี้รู้สึกว่าตัวเองอยู่คนเดียวจริงๆแล้วครับ


ทั้งสับสน ทั้งน้อยใจ ทั้งเสียใจ ปนๆกันไปจนมันเหมือนด้านชายังไงไม่รู้ เดินมาจนออกนอก
กาด ก็โบกรถแดงกลับโรงแรม กว่าจะถึงรู้สึกว่าขาที่ก้าวแต่ละก้าวมันหนักจังวะ


พอมาถึงที่นอน ก็ล้มตัวนอนคว่ำหน้า ไม่มีความรู้สึกอยากจะทำอะไรเลย พอหลับตาลงก็เห็น
ภาพที่เค้าสองคนกำลังยืนอ้อล้อกันอยู่ มันก็ยิ่งเจ็บ


- มันอาจจะแกล้งกันก็ได้ –


ในหัวผมกลับแย้งอยู่ลึกๆ


- แล้วทำไมต้องโกหกด้วย –


ใจอีกด้านผมตอบกลับมา


“..................................”


ผมรู้สึกทรมานทั้งใจทั้งร่างกาย ท้องเริ่มร้องประท้วงที่ได้กินข้าวแค่สี่ห้าคำ แต่ผมไม่มีแรงจะลุก
ไปไหนแล้วอ่ะ เหมือนกับที่เค้าบอกล่ะ ว่าถึงกายจะพอแข็งแรง แต่ถ้าใจมันกำลังจะตาย ก็ไม่มีประโยชน์
ที่จะทำอะไร


ผมกำลังรู้สึกแบบนั้น สิ่งที่ผมพยายามอดทนเก็บไว้ที่หน้าโรงหนัง มันกำลังจะทนไม่ไหวอีกแล้ว
ทำไมนะ ....


“โอ้ต . . . ไอ้โอ้ตตต ทำไม - -” ผมซุกหน้าลงกับหมอนแล้วก็ตะโกนใส่ มือกำแน่น
อยากจะต่อยมันอยากจะกระทืบมัน อยากจะแก้แค้นมันจริงๆ


- ปริ้น .... รอโอ้ตนะ -


“ไอ้โอ้ต มึงหยุดพูดซะที” ผมตะโกนแข่งกับเสียงที่จิตใต้สำนึกเปล่งออกมา


- ปริ้น .... รอโอ้ตนะ - ยิ่งผมไม่อยากนึก แต่มันกลับตรงกันข้าม


“กู - - บอก - - ให้ - - หยุดดด หะ ฮึกก ฮือออ”


ร่างกายผมหยุดดิ้นรนทุกสิ่งทุกอย่าง ได้แต่นอนสงบนิ่ง มีแต่เพียงน้ำตา ที่มันยังคงไหลออกมา
เรื่อยๆ เหมือนว่าไม่มีท่าทีจะหยุดทั้งคืน

.
.
.
.

* * อย่ากลับไปหาเค้าอีกเลย ถ้าเค้าไม่ต้องการ

สิ่งที่เค้าได้ทำ มันเกินให้อภัย

อย่ากลับไปรักเค้าอีกเลย แม้เพียงซักครึ่งใจ

เจ็บและจำเอาไว้ ขาดเค้าไปซักคน ..... ไม่ตาย * *

.

.

.

.

.

.

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #49 เมื่อ23-10-2006 05:31:22 »

“ ปริ้น ... มันจะอาจจะไม่ใช่อย่างที่เห็นก็ได้ ทำไมตอนนั้นไม่เดินไปหาเลยวะ ” ซังพูดออกมาด้วยความ
หงุดหงิดใจ เมื่อเห็นท่าทีซังกะตายของผม


หลังจากที่ผมไปเจอไอ้โอ้ตะวันนั้นแล้ว วันต่อมา ก็ไม่มีกะจิตกะใจจะออกไปไหนเลย ความรู้สึกตอนนั้น
บอกไม่ถูกคับ ทั้งโกรธ ทั้งเกลียด ทั้งผิดหวัง ผสมปนเปกันไป แต่ที่สุดแล้ว ความรู้สึกเสียใจที่ไม่เคยคิดว่า
จะเกิดขึ้นกับตัวเอง มันมากมายจนทำให้ได้แต่นอนร้องไห้อยู่ 1 วันเต็มๆ ในโรงแรม รุ่งขึ้นก็มาสนามบิน
ด้วยอาการสลึมสลือ


จนวันต่อมา ซังมันก็โทรมาหา แล้วก็สังเกตได้ มันเซ้าซี้ซักไซ้จนผมต้องเล่าให้มันฟัง วันต่อมา มันก็ บึ่ง
มาหาผมถึงบ้านเลย ( เพื่อนที่แสนดีซะงั้น )


“ มันโกหกเรา ... ” ผมนั่งกอดเข่า พูดเสียบเรียบเฉย


ซังมันมองผมหน้าตาเวทนามาก


“ ปริ้นเอ้ย .... แล้วตั้งแต่กลับมาเนี่ย พี่ - - เออ โอ้ตโทรมาหามั่งเหรอเปล่า ”


ผมพยักหน้า


“ แต่เราไม่อยากรับ ”


“ อ้าว . . . แล้วทำไมไม่คุยให้มันเคลียร์ไปเลยล่ะ เงียบอยู่แบบนี้ เค้าจะรู้มั้ย ” ซังว่า


ผมค่อยๆเงยหน้าหันไปหามัน


“ ถ้าเป็นซัง .. . ซังกล้าเหรอ ? ” ผมตอบมันพลางรู้สึกว่ามีของเหลวใสปริ่มๆอยู่ที่ขอบตา


ซังไม่ตอบคำถาม แต่กลับเดินเข้ามาหากอดตัวผมไว้ แต่ด้วยที่ผมนั่งอยู่บนเตียง แล้วมันยืนอยู่
หัวผมก็ซบไปตรงพุงมันพอดี


“ ซังก็คงไม่กล้าเหมือนกันล่ะมั้ง . . . แต่ถ้ามันถึงเวลาต้องทำ - - ”


ซังเว้นช่วงระยะแล้วก็ค่อยๆลูบหัวผม


“ ปริ้นก็ต้องทำให้ได้ ”


ผมได้ยินมันพูด แต่ก็เหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอยู่ดี ตอนนี้ก็ทำได้แต่เพียงกอดเอวไอ้ซังไว้ แล้วก็
ซุกหน้าที่พุงมัน ร้องไห้เงียบๆ


“ เราเกลียดไอ้โอ้ต ... เกลียดมัน เกลียดด ........ - - หะ ฮือ ฮือออ ซะ ซัง เราเกลียดมัน ”


ครั้งนี้ดูจะเป็นครั้งเดียวที่ผมร้องไห้ฟูมฟายเพื่อคนอื่น ร้องให้กับความผิดหวัง ผมจะไปทำอะไรได้
มากไปกว่านี้


คนเรา เมื่อหมดรักกันแล้ว .... ต่อให้จะดึง จะรั้งไว้ยังไง มันก็ไม่มีประโยชน์


ตอนนั้นผมเชื่อว่า โอ้ตมันคงหมดรักผมไปแล้วจริงๆ

.
.

* * * * * * * * * * * * * *

.
.

ถ้าใครคิดว่าเรื่องโอ้ตเป็นเรื่องเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกถึงความสูญเสีย คงจะคิดผิดแล้ว ต้นเดือนพฤษภาคม
ซึ่งเป็นช่วงใกล้จะถึงวันส่งผลเอ็นฯมายังบ้าน หรือว่าใครอยากไปลุ้นผลส่วนใหญ่ก็จะไปดูที่กระดาน
ติดผลที่เกษตรฯ ก็หลังจากที่ผมไปเจอไอ้โอ้ตได้ 2 – 3 สัปดาห์แหละ น่าแปลกที่ผมก็ยังคุยกะมันผ่าน
โทรศัพท์หน้าตาเฉย แต่ทุกครั้งที่มันโทรมาคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ในใจผมกลับคิดไปในทางอื่นซะแล้ว
และทุกครั้ง มันเป็นฝ่ายโทรมาหาผมซะมากกว่า


แปลกเนอะ คนเรา เจ็บ แต่ไม่รู้จักจำ ...


“ ปริ้น ... ปริ้น ” เสียงลุงสน พ่อไอ้โอ้ตเรียกผมที่หน้าประตูบ้านแต่เช้าตรู่


“ ครับ ลุง ” ผมเปิดประตูทำหน้างัวเงียออกไปรับ


“ ปริ้น พรุ่งนี้ คุณxxx ( แม่ผม ) จะพาคุณ yyy ( พ่อผม ) มาหาหมอในกรุงเทพนะ เราจะไปหาเหรอเปล่า ”
ลุงสนบอก


ผมก็ออกแนวงงเล็กน้อย ว่าป๊าไม่สบายถึงขนาดต้องเดินทางมารักษาถึงกรุงเทพเลยเหรอ


“ อ้าว ป๊าไม่สบายมากเลยเหรอครับ ลุง ” ผมถามด้วยความลุกลี้ลุกลน ตาสว่างขึ้นมาทันที


“ ไม่ใช่หรอกครับ คือ เห็นคุณแม่คุณบอกว่า ให้เข้ามาตรวจประจำปีเท่านั้นแหละ ” ลุงสนบอก


“ อ่อ แล้วไป ” ผมถอนหายใจ เพราะว่าตอนที่ผมขึ้นไปหา ก็ยังเห็นดูแข็งแรงดีอยู่นี่หว่า เหอๆ


“ ครับ งั้นผมไปด้วยแล้วกัน อยู่นี่ก็ไม่มีไรทำ ” ผมว่า อีกอย่างก็ใกล้วันประกาศผลสอบแล้วด้วย
จะได้ไม่ต้องอยู่รอจดหมาย ไปดูที่มหาลัยเลยดีกว่า ( ผมเลือกคณะที่มชไป 3 แล้วก็เกษตร 1 )


วันรุ่งขึ้น ลุงสนก็ขับรถโดยมียายแล้วก็ผมนั่งไปด้วย ออกจะแปลกใจหน่อยๆว่า ร้อยวันพันปี
ไม่เคยเห็นยายไปไหน วันนี้แค่ไปเยี่ยมป๊ามาตรวจร่างกายแค่เนี้ยนะ แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดไร
เท่าไรครับ เชื่อในสิ่งที่ได้ยินมา แล้วก็มีเรื่องไอ้โอ้ตอยู่แล้วด้วย


เนื่องจากขับรถมาเอง ประมาณสองชั่วโมงก็มาถึงโรง’บาลครับ รถก็เลี้ยวเข้าไปจอดใน
โรงพยาบาลรามาธิบดี แล้วก็พากันเข้าไปที่ห้องที่ป๊านอนอยู่ แม่ผมก็นั่งๆดูทีวีเพลินๆล่ะ


“ อ้าว ปริ้นมาด้วยเหรอ ” แม่ผมทักแบบประหลาดใจ


“ ชั้นนึกว่าจะอยู่เที่ยวปิดเทอมกับเพื่อนซะอีก ”


“ แหม ป๊าป่วยก็มาเยี่ยมบ้างเหอะนะ เป็นลูกที่ดีเหมือนกัน ” ผมย้อนกลับ แล้วก็เดินไปหาป๊าที่นอน
อ่านหนังสืออยู่บนเตียงคนป่วย


“ หวัดดีคับป๊า เป็นไง ” ผมถามแล้วก็สังเกตดู จะซีดๆลงกว่าเดิมนิดหน่อย


“ จะเป็นไร ดูป๊าแข็งแรงขนาดนี้ ” ป๊ายกหนังสือลงแล้วก็เอามือลูบหัวผม


“ แล้วนี่รู้เหรอยังว่าจะได้เข้าที่ไหน ” ป๊าถาม


“ ยังเลยครับ อีกสามวันก็ประกาศผลแล้วอ่ะ ปริ้นคงไปดูผลที่เค้าแปะที่เกษตรเลย ขี้เกียจรอจม. อ่ะ ”
ผมบอก


“ แล้วนี่ป๊ามาตรวจกี่วันอ่ะคับ ต้องรอคิวยาวเป่า ” ผมหันไปถามแม่


“ ก็วันสองวันล่ะ คงทันที่จะรู้ว่าเราเอ็นติดไม่ติด ” แม่ผมบอก


“ โห ไม่ได้มีให้กำลังใจลูกตัวเองบ้างเลยล่ะเค้าอ่ะ จะไม่ติดได้ไงล่ะ ติดดิ ” ผมกล้ำกลืนพูด ทั้งๆที่ในใจ
รู้สึกคิดผิดจริงๆที่เลือกเอ็นเข้าที่มชซะ 3 อันดับ ตอนนี้ชักรู้สึกไม่อยากเข้าแล้วดิ


“ อ้าว แล้วนี่จะพักที่ไหนล่ะ เดี๋ยวยายเค้าก็จะกลับวันนี้แล้วนะ ”


“ ผมว่าจะไปค้างที่หอพี่ท็อปอ่ะคับ ไม่อยากนอนโรงบาลอ่ะ ไม่ชอบ ”


“ อืม ... อย่าไปกวนเพื่อนมากล่ะกัน ” แม่ผมบอก


“ ป๊า ถ้าป๊าตรวจเสร็จแล้ว แวะไปบ้านยายก่อนนะ อยากให้ป๊าเห็นทะเลอ่ะ ไม่ได้เล่นน้ำมานาน
แล้วม่ะใช่เหรอ ” ผมจับมือป๊าแล้วเรื่อยเฉื่อย


“ เอาซิลูก .. เดี๋ยวพอเอ็นติดก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนกับป๊ากับม๊าบ่อยๆแล้วนี่นะ ” ป๊าผมหันไปมองแม่ยิ้มๆ


“ คะคุณ ” แม่ผมตอบ


ช่วงระยะเวลาสั้นๆที่ผมได้มาอยู่กับครอบครัว พ่อ แม่ ลูก ทำให้ลืมเรื่องบางอย่างที่เฝ้าหลอนอยู่ในใจ
ไปได้อย่างชะงัด .... ไม่มีใครที่ปลอบใจได้ดีเท่าครอบครัวเราจริงๆ


ไม่มีใครที่รักเราได้มากเท่ากับพ่อ กับ แม่เราจริงๆ

.
.

* * * * * * * * * * * * * *

.
.

“ ก็อย่างที่เล่าให้ฟังอ่ะพี่ท็อป เพราะงั้น ผมขอไปค้างหอพี่ซักคืนสองคืนนะ ” ผมโทรศัพท์ไปหาพี่ท็อป
พร้อมกับคาดคั้นแกมบังคับ


“ เออ ... เห็นห้องกูเป็นอะไรวะเนี่ย ” พี่ท็อปบ่นๆ


“ น่าๆ ผมไม่ไปรบกวนเวลาพี่ทำไรกะแฟนหรอกน่า ”


“ เฮ้ย .. ไม่มีโว้ย ฟงแฟนไร ” พี่ท็อปรีบแก้ตัว พร้อมๆกันกับได้ยินเสียงกระแอมของผู้หญิงดังข้างๆ


“ โอเคๆ ไม่มีก็ไม่มี แล้วเด๋วซักมืดๆ ผมไปหานะครับ ”


ผมพูดเสร็จก็วางหูไป ยายจะกลับกะลุงสนเย็นๆ ตอนนี้พวกผู้ใหญ่ก็ไล่ให้ผมออกมาอยู่นอกห้องก่อน
เพราะคุยปัญหาอะไรกันไม่รู้ ... เลยทำให้หงุดหงิดเล็กๆ เลยเดินไปเดินมาอยู่ในโรงพยาบาล


“ แม่ครับ ผมขอไปเดินเล่นแถวเสารีย์หน่อยนะ เด๋วกลับ ” ผมต่อสายตรงไปที่เบอร์แม่ ก่อนที่จะขึ้นรถ
เมล์จากหน้าโรงบาล แล้วก็แวะไปกินมิลค์พลัสหน้าเซ็นเตอร์วัน


พอออกมาอยู่คนเดียว ก็ทำให้ผมกลับมาฟุ้งซ่านอีกแล้วคิดไปเรื่อยเปื่อยไปถึงว่า แล้วถ้ากูติดที่โน่นจริงๆ
แล้วกูจะไปอยู่ในฐานะอะไรของไอ้โอ้ตวะ คิดไปคิดมาแล้ว ที่ผมยอมเลือกเรียนที่โน่น ก็เพราะมันอย่าง
เดียวเลยจริงๆ ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลย


โง่ชิบเป๋งเลย ... เฮ้อ


นั่งได้ซักพัก ผมก็โทรไปหาไอ้โค้กคับ ผมไม่ได้เล่าเรื่องที่ไปเจออะไรๆมา เพราะว่าไอ้โค้กไม่ได้รู้เรื่อง
ราวของผมดีเหมือนไอ้ซังกะคิว ก็คุยกันเรื่อยเปื่อย แล้วผมก็นั่งรถกลับโรงบาล ป๊าก็หลับแล้วล่ะ
แม่ผมก็ไล่ให้รีบกลับไปหอพี่ท็อปเพราะว่า แถวนั้นมันรถเมล์ผ่านก็จริง แต่มันค่อนข้างเปลี่ยว เลยรีบ
ให้กลับไปเร็วๆ


การที่ผมออกมานอกบ้าน ได้มานั่งเฝ้าป๊า นั่งคุยกะแม่ ทำให้รู้สึกว่าตัวเองยังมีอะไรที่ต้องทำอีกเยอะ
เลย โดยเฉพาะวันพรุ่งนี้ ที่ผลเอ็นออกแล้ว ( จริงๆจะต้องออกมะรืน แต่ปกติแล้ว เค้าจะมาติดคะแนน
ไว้ช่วงค่ำๆมืดๆก่อน ) ถึงตอนนี้ผมจะยังไม่หายเสียใจ แต่อารมณ์ความตื่นเต้น แล้วก็ลุ้นเรื่องผลสอบ
มันมากกว่าอีกครับ ไอ้ซังมันก็โทรมาพล่ำบอกว่า ช่วยดูให้กูด้วยๆๆ ดูเหมือนมันก็ตื่นเต้นเหมือนกัน
มีแต่ไอ้คิวแหละที่ทำทองไม่รู้ร้อน เพราะว่ามันสมัครเข้าเรียนที่มหาลัยเอกชนที่นึงไปแล้วครับ สบาย
จัง


“ ป๊า วันนี้ผลเอ็นฯออกแล้วอ่ะ ตื่นเต้นฟะ ” ผมนั่งปอกแอ็ปเปิ้ลไปพลาง คุยไปพลาง ดูท่าทางป๊าจะซีด
ลงกว่าเมื่อสองวันก่อนอีก


“ แล้วคิดว่าจะเอ็นฯติดไหมล่ะเรา ” ป๊าถามผมพลางหัวเราะ


“ ป๊า ... อีกคนแระ ไม่ได้เห็นความฉลาดของลูกมั่งเลยนะ ” ผมทำเป็นงอน แต่พอเห็นท่าทีของผมเท่านั้นแหละ
ก็หัวเราะท้องขดท้องแข็ง


“ ป๊าไม่ได้ไม่เชื่อใจปริ้น ป๊าแค่อยากให้ปริ้นคาดหวังอะไรไว้สูงมากนะ คนเราเวลาปีนขึ้นที่สูงๆ พอตกลง
มา มันจะเจ็บมากนะ ”


“ ป๊า ถึงปริ้นจะตกมากี่รอบ ปริ้นก็จะปีนขึ้นไปเรื่อยล่ะคับ ไม่ต้องห่วงหรอก ” ผมบอกแล้วก็ยิ้มให้ ป๊ายิ้มตอบ
มาแบบเซือยๆ


“ เออ ว่าแต่เค้าจะให้ป๊าตรวจวันไหนกันแน่อ่ะ ทำไมนานจัง ” ผมถาม เพราะว่านี่ก็ปาไปวันที่สามแล้ว


“ ลองถามแม่เค้าดูนะ แม่เค้าเป็นคนจัดการ ” ป๊าบอก แล้วก็ยืนมือมาจับมือผม


“ ถ้าออกจากที่นี่แล้ว เราสามคนไปทะเลกันเลยไหม ”


“ เอาดิครับ รอมานาน ไมได้เที่ยวกันสามคนมาตั้งนานแระ เกือบจะจำไม่ได้เลย ” ผมว่า


ป๊าทำท่าทีหัวเราะ ช่วงจังหว่ะนั้น ผมรู้สึกว่ามือป๊ากระตุกหน่อยๆ


“ ปริ้น ”


“ ครับ ”


“ ไปเรียกแม่มาหน่อยไป ... เออ แล้ว - - ”


ตัวป๊ากระตุกอีกรอบ จนผมชักผิดสังเกต


“ ป๊าเป็นไรเป่า ตัวกระตุกๆ ”


“ ม่ะ ไม่เป็นไร ไปเรียกแม่มาหน่อยไป แล้วจะไปรอดูผลสอบไม่ใช่เหรอ ” ป๊าบอกผม พลางกลับมา
สู่ภาวะปกติ


“ ก็อีกพักนึงล่ะครับ ”


“ ไงก็รีบๆไปล่ะกันปริ้น ไปช้ากว่านี้ เดี๋ยวรถติด แล้วจะกลับค่ำ ” ป๊าบอก


“ อ่า งั้นก็ได้ครับ เด๋วปริ้นไปตามแม่มาล่ะกัน ไม่รู้ป่านนี้ซื้อของเสร็จยัง ” ผมว่า พลางโทรสับไปหาแม่
ซักพัก แม่ก็รีบขึ้นมา


“ งั้นเด๋วผมไปก่อนนะครับ ประมาณสามทุ่มผลคงออกแล้วล่ะ แล้วจะรีบมาบอก ” ผมว่า


“ ถ้าไม่ติดก็อย่าไปร้องไห้ให้ใครเค้าเห็นล่ะ ”


“ โห แม่อ่ะ ....” ผมว่าพลางทุบแม่เบาๆทีนึง

.
.

* * * * * * * * * * * * * *

.
.

ช่วงระยะเวลาที่นั่งรถจากโรงบาลมาเกษตรนี่มันช่างยาวนานกว่าที่คิดไว้จริงๆ - -" อารมณ์นั้น
ตื่นเต้นจนต้องโทรไปหาไอ้ซัง เพราะดูเหมือนมันก็ตื่นเต้นเหมือนกัน


“ เออ รหัสซังอะไรนะ ” ผมถามเป็นรอบที่ 10


“ ถามอีกแล้ว xxxxxxxxxxx จดไว้ซิวุ้ย ”


“ เออ รู้แล้วๆ ”


“ แล้วถ้าได้รีบโทรมาบอกเลยนะ แต่ถ้าไม่ได้ ก็ไม่ต้องโทรมา ” มันบอกผม


อะไรวะ -*-


“ งั้นเราไม่โทรไปหาเลยดีกว่า ” ผมแกล้งมัน


“ เฮ้ย ไรฟร้า เอาดีๆเด๊ะ เครียดนะเครียด ”


“ เออน่า แล้วเด๋วโทรบอก ”


ผมนั่งรถไปถึงก็ปาเข้าเกือบ 6 โมงเย็นแล้ว ก็เลยหาที่กินข้าวก่อน แล้วก็เดินไปที่บริเวณเค้ากำลังจะติด
ผลคะแนน มีนักเรียนจากหลายๆที่มาเฝ้ารอกันละลานตาเลย พวกพี่ๆนิสิตก็เตรียมที่ติดกันวุ่นวานน่าดู
รอประมาณชั่วโมงนึงได้ ก็เห็นเด็กบางคนเริ่มเดินไปที่ประกาศผล ตอนนี้ผลประกาศพร้อมขึ้นกระดาน
แล้วล่ะ


ผมค่อยๆเดินไป ตาก็มองแผ่นกระดาษที่เป็นเลขรหัสที่สมัครสอบของผม ต้องฝ่าฝูงชนเข้าไปยากพอ
สมควร ตอนนั้นสมองก็คิดแต่ว่า จะดูของไอ้ซังหรือของตัวเองก่อน เอาวะ ...


ดูของซังมันก่อนล่ะกัน ผมคิดได้ก็เลยจำรหัสมัน แล้วก็ค่อยๆกวาดตามองไปเรื่อยๆ แล้วในที่สุดก็เจอคับ
ไอ้ซังเทคโนฯสื่อสารของ มศว. โอ้ว มันไม่จะเข้าอีกคณะเหรอไงฟ่ะ แต่ก็ดีใจกะมันไปด้วย คราวนี้ก็ถึง
คราวตัวเองแล้ว


สูดหายใจลึกๆ .....


ค่อยๆกวาดตาแบบละเอียดกว่าม่ะกี้นิดหน่อย อันดับ 1 อันดับ 2 อันดับ 3 อันดับ 4 .........................


ตี้ดดดด ตี้ดดดดดดด ..................... ติ้ดดดดดดดดดดดดดด


“ ฮะ ฮัลโหล ว่าไงปริ้น ” เสียงซังละล่ำละลักมาตามสาย


“ เนี่ย เราเข้าตรวจในเว็บ แม่ง ล่มตลอดเลย ( เหมือนสมัยนี้เลยเนอะ ) แล้ว เราติดเป่าวะ โทรมาแกล้ง
เปล่าว้า ... ”


“ เออ ใจเย็นๆดิ ” ผมว่า


“ ติดคณะเทคโนฯสื่อสารอ่ะ ” ผมพูดไม่ทันเสร็จ มันก็หันไปตะโกนบอกกะที่บ้าน ดูท่าทางดีใจกัน
ยกใหญ่เลยทีเดียว


“ เย้ๆ ....... ติดแล้วว้อยยยย - - -555 เออ แล้วปริ้นอ่ะ ติดที่ไหน ได้ที่มช เปล่า ”


“ ไม่ได้อ่ะ ...” เสียงผมตอบ


“ ... อะ อ้าว เหรอ แล้ว ติดไหนล่ะ ” เสียงมันลดระดับความดีใจ


“ ก็ - - ไม่ติดที่ไหนเลยอะดิวะ เหอๆๆๆๆ ” ผมแสร้งทำเสียงปกติ ...


“ เออ แค่นี้ก่อนนะ แล้วเด๋วไงซังคงได้จม พรุ่งนี้แหละ ” ผมบอกแล้วก็รีบตัดสายไป เหอๆๆๆๆ นี่กูเอ็นไม่ติดเหรอว้า ความรู้สึกตอนนั้นแบบว่า เอ๋อไปเลยอ่ะครับ พอรู้ว่าไม่มีชื่อตัวเอง แล้วแทบอยากจะวิ่งออกมาจากมหาลัยเลยก็
ว่าได้ ไม่ใช่ไรหรอกครับ มันทนเห็นคนที่เอ็นติดแล้ว พวกพี่ๆเค้ามารับ มาแสดงความยินดีไม่ได้อ่ะ


บางคนเอ็นไม่ติดก็ร้องไห้กันตรงนั้นเลยก็มี .... แต่ผมนี่ดิ ผมจะทำไงดีอ่ะ ทั้งๆที่บอกกับป๊าไว้แล้ว ว่าเอ็นฯติด
แล้วจะไปทะเลด้วยกัน ผมจะไปบอกกับป๊าว่าไง ...


“ ฮัลโหลคะ ...” เสียงแม่รับสาย ผมใช้โทรสับตู้โทรมาแทนที่จะใช้มือถือโทรมา แม่ก็เลยไม่รู้ว่าใครโทรมา


“ ฮัลโหล สวัสดีคะ .....” แม่ผมทวน

“ แม่เหรอ ”


“ อ้าว ปริ้น ว่าไงลูก ”


“ แม่ ฮะ ฮึกก ...” เสียงผมสั่นตามเคย


“ ปริ้นอยู่ที่ไหน ... ” แม่ผมไม่ถามผล


“ อยู่แถวเกษตรนี่ล่ะครับ ”


“ จะมาหาแม่ไหม ? ”


“ พะ พรุ่งนี้ ผมไปหาแล้วกันนะแม่ ...” ผมพูดแล้วก็วางสายไป แม่ก็คงรู้แหละว่า ผมคงเอ็นไม่ติด ซึ่งที่แม่ไม่ถาม
ผมก็รู้สึกเป็นพระคุณอย่างมากมายแล้ว


ขาผมค่อยๆก้าวขึ้นรถเมล์ไป แล้วก็พาลงมาที่หน้าหอพี่ท็อปตั้งแต่ม่ะไรก็ไม่รู้ รู้แต่เพียงว่า พรุ่งนี้ ผมจะทำหน้า
ยังไง จะบอกป๊ายังไง แล้วต่อไปมันจะเป็นยังไง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
« ตอบ #49 เมื่อ: 23-10-2006 05:31:22 »





ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #50 เมื่อ23-10-2006 05:31:50 »

**************************************************************************************************



พี่ท็อปยังไม่กลับมาถึงห้อง สงสัยคงเตรียมตัวจะรับน้องกันพรุ่งนี้ที่มหาลัยเค้ามั้ง พอเดินมาถึงเตียง ตัวผมก็ล้มลง
ไปกองอยู่บนนั้น แล้วก็พลิกตัว เอามือทุบตัวเองจากเบาๆ แล้วก็ค่อยๆแรงขึ้น แรงขึ้น ....


“ ไอ้โง่ ... ”


“ ไอ้ควายเอ้ย ”


“ แค่นี้ .. - - แค่นี้ กูก็ทำให้ป๊าไม่ได้ หะ ฮึกก .. - - ไอ้โง่ปริ้น ” ผมทุบตัวเองไปก็ร้องไห้ไป


“คนเราหวังอะไรไว้สูง พอหล่นลงมา ก็จะเจ็บมากเท่านั้นนะปริ้น” เสียงป๊าผมดังก้องอยู่ในสมอง


“ ป๊าคับ - - ปริ้นมันไม่ได้เรื่องอะไรซักอย่าง ...... ทั้งเรื่องเรียน - - ทั้งเรื่องรักเลย ”

.
.

* * * * * * * * * * * * * *

.
.

อื้ดดดด อื้ดดดดดด.............. อื้ดดดดดดดด อื้ดดดดดดดดดดดดดดดดด


อึก ...


- หิวน้ำจังว้อย - เสียงแรกที่ดังมาในใจผม ทำให้เริ่มควานหาน้ำมาดื่ม


เหลือบไปมองนาฬิกา เกือบ 10 โมงแล้ว สงสัยเมื่อคืนร้องหนักไปหน่อย น้ำเลยหมดตัว แล้วผมก็สังเกตว่า
มีใครโทรมาหาม่ะเช้านี้ เพราะว่า เห็นเป็นเบอร์มิสคอลปรากฏ ม่ะคืนหลังจากที่รู้ผลสอบ ผมก็ตั้งโทรสับเป็น
สั่นแทน เพราะรู้แน่ว่าต้องมีคนโทรมาหา โทรมาถามมากมาย ครั้นจะปิดเครื่องไปเลยก็คงไม่ดีแน่


เสียงสั่นสุดท้ายดับลงไป ผมดื่มน้ำเสร็จ ก็เดินมาดูเครื่อง ปรากฏว่าเป็นเบอร์ไอ้โอ้ตโทรมา


- สงสัยโทรมาถามดิว่า เอ็นติดเปล่า คงดีใจที่กูเอ็นไม่ติดมช แน่ๆ ถ้าบอกไป –


แล้วผมก็ต้องตกใจ เพราะพอเครื่องมันหยุดสั่น ก็ปรากฏสายไม่ได้รับถีงร้อยกว่าสาย ผมกดด้วยมือ
สั่นเล็กๆ มันมีทั้งเบอร์ของแม่ เบอร์ของลุงสน แล้วก็เบอร์ของโอ้ตปนๆกันไป


อื้ดดดด อื้ดดดดดด..............


ไอ้โอ้ตโทรมาอีก


“ ฮัลโหล โอ้ต ...” ผมรับ


“ ปริ้น ทำไมโทรติดยากจัง เป็นอะไรเหรอเปล่า ” เสียงโอ้ตดูเป็นกังวลมาก


“ ม่ะ ไม่เป็นไรหรอก พอดีตั้งสั้นไว้อ่ะ เออ แต่ว่ากะ- - - ” ผมยังไม่ทันจะได้ถาม


“ ปริ้น ไปโรงบาลตอนนี้เลยนะ - - ตอนนี้โอ้ตกำลังหาเที่ยวบินกลับอยู่ ”


“ ม่ะ หมายความว่าไงอ่ะ ” ผมพยายามไม่คิดไปในทางที่เลวร้ายที่สุด


“ ปะ ปริ้น - - - ทำใจดีๆไว้นะ ” เสียงโอ้ตมันสั่น


“ มีอะไร ” ผมชักขึ้นเสียง


“ แม่ปริ้นโทรมาบอกโอ้ตเมื่อเช้านะ ว่า - - เออ - - คือ พ่อปริ้นเสียแล้ว แม่ปริ้นโทรมาหาปริ้นแล้ว
แต่ปริ้นไม่รับ เลย ................... ” เสียงต่อจากนั้นผมแทบจับไม่ได้ว่ามันพูดว่าไร


“ เกิดไรขึ้น ม่ะจริงอ่ะ โอ้ต ” ผมถามย้อนกลับไปหามัน


“ โอ้ต - - ม่ะคืนเรายังไปคุยกับป๊าอยู่เลย ล้อเล่นแบบนี้มันไม่ตลกนะว้อยยยย ” ผมแผดเสียงเข้าไปในโทรสับ


“ ปริ้น ใจเย็นๆ โอ้ต - - โอ้ตไม่ได้โกหกนะ ”


จริงๆแล้วผมไม่ได้ตั้งใจจะตะคอกอะไรใส่โอ้ตมันเลย แต่มันเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้อ่ะ มันทำให้เหมือน
โลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ เหมือนประสาทมันไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น


“ ปริ้น รีบไปโรงบาลนะ ขึ้นแท็กซี่ไปเลย ” โอ้ตสั่งผม แล้วก็ไม่ยอมวางหูไปจนผมไปถึงโรงบาล


พอถึงปั๊บ ผมรีบวิ่งไปที่ห้องที่ป๊าเคยนอนอยู่ แต่บัดนี้กลับว่างเปล่า ไม่มีใครเหลืออยู่ในห้องแม้แต่คนเดียว


“ พี่คับ พี่ๆ ” ผมเหลือบไปเห็นพยาบาลที่เดินผ่านมา


“ คนป่วยห้องนี้ไปไหนแล้วอ่ะ ”


พี่เค้ามองดูผมแป็บนึง แล้วก็เลยพาเดินไปที่หน้าห้อง ICU ซึ่งบัดนี้ไฟที่หน้าห้องดับลงเรียบร้อยแล้ว


“ ผม ขะ เข้าไปได้ใช่มั้ยครับ ” ผมถามพยาบาลข้างๆ เธอพนักหน้า แล้วก็เปิดประตูให้ ผมเดินเข้าไปเจอแม่
ลุงสน แล้วก็ยายยืนอยู่ล้อมรอบเตียง สองคนนี่คงมาตั้งแต่เช้าแล้วมั้ง ผมเดินขาแข็งเข้าไป ยายเรียกผม
เบาๆ แม่ผมก็ผุดลุกจากที่นั่งกุมมือป๊าอยู่ ผมสังเกตเห็นแม่ปาดน้ำตา แล้วก็หันมาหาผม


“ ปริ้น ... ไหว้ป๊า ไหว้ป๊าซิลูก ” แม่เดินมาจับมือผมเบาๆ แล้วก็เลื่อนตัวให้ผมไหว้ที่เท้าป๊า แม่ลูบหัวผมเบาๆ
แล้วก็พูดไปพลาง


“ ป๊าไปดีแล้วนะลูก ป๊าเค้าไปดีแล้ว ” แม่ผมพูดพลางสะอื้นเล็กๆ พยายามไม่แสดงความอ่อนแอให้ผมเห็น
ตอนนั้น น้ำตาผมไม่ออกซักกะหยดเดียว มีแต่ความงงงวยในหัวมากกว่า ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น มันเกิดอะไร
กับชีวิตที่ผ่านมาไม่ถึงเดือนนี้ ทุกอย่างมันเร็วเกินกว่าที่ผมจะรับรู้ได้


อีกพักใหญ่ๆ แม่ ยาย แล้วก็ลุงสน ก็เดินออกไปนอกห้องเพื่อที่จะจัดการเรื่องของป๊า แต่ผมบอกว่า ขออยู่
ในนี้อีกพักนึง


ผมขยี้ตาเหมือนเด็กๆ พยายามตบหัวตัวเอง เหมือนกับตอนที่ผมฝันบ่อยๆ แต่ป๊าก็ยังนอนสงบอยู่บนเตียง
เหมือนกับกำลังหลับอยู่ ผมค่อยๆเดินไปข้างๆตัวป๊า แล้วก็จับมือไว้ มือเริ่มลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็ว
แต่ความกร้านของมือ ที่เคยลูบหัวผมเมื่อวาน มันทำให้ผมรู้สึกได้ว่า ป๊ายังไม่ได้ไปไหน


“ ป๊า ... ” ผมพูดเสียงเบา แล้วก็เขย่าตัว


“ ป๊า - - - ป๊ายังไม่รอฟังผลสอบปริ้นเลยอ่ะ ป๊า ฮึก.. ” น้ำตาหยดแรกไหลรินออกมา อย่างยากจะควบคุม
มือก็ยังคงเขย่าไม่เลิกลา


“ ไหนป๊าบอกว่า เราสามคนจะไปเที่ยวทะเลกันไง - - นะ - - ไหนป๊าบอกว่า อยากจะพาแม่ กับปริ้นไป
เล่นน้ำกันไง - - เหรอว่า เพราะปริ้นเอ็นฯไม่ติด - - ป๊าเลยไม่รอปริ้น อึกก ฮือออออ ....... ”


น้ำตาผมหยดเป็นสายลงบนร่างที่ไม่ไหวติงของป๊า ผมค่อยๆลดตัวลงสวมกอดท่าน


“ ป๊า - - ปริ้นขอโทษนะ - - - ปริ้นมันโง่ ..... ถ้าปริ้นไม่เลือกอะไรโง่ๆ ปริ้นก็คงเอ็นติด แล้วป๊าก็ไม่ต้องเสียใจ
แบบนี้ ป๊า - - ปริ้นขอโทดนะ ......... ป๊า - - - ตื่นมาคุยกับปริ้นเซ่ ”


ผมเริ่มพูดเหมือนคนบ้าแล้ว อารมณ์ทั้งตกใจ เสียใจ มันเกินจะควบคุมจริงๆ จนถึง ณ ขณะนี้ ผมยังคิดอยู่
แล้วก็ภาวนามาตลอด ว่าห้วงเวลาที่สูญเสียคนที่รักเรามากที่สุดไป มันทรมานแค่ไหน แม้ว่าผมจะร้องไห้
เท่าไร เสียใจเท่าไร ตอนนี้ มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาแล้ว


ป๊าครับ - - ถ้าชาติหน้ามันมีจริงๆเหมือนกับที่ป๊าเคยเล่าให้ฟังสมัยเมื่อผมเด็กๆอยู่ ผมขอให้ผมได้เกิดมา
เป็นลูกของป๊าตลอดไปนะครับ .......

.
.

* * * * * * * * * * * * * *

.
.

ฤดูร้อนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมจากครอบครัวมาแค่ชั่วคราว ชีวิตผมเริ่มเปลี่ยนแปลงในหลายๆอย่าง
เปลี่ยนทั้งเพื่อน ทั้งครอบครัว แต่มันก็เป็นฤดูร้อนที่ดูสดใส


ฤดูร้อนทีทำให้ผมได้เจอกัน คนที่เรียกว่า “ รักครั้งแรก ”


ผมได้เจอคนมากมาย ทั้งเพื่อน พี่ น้อง มันเป็นฤดูร้อนที่สดใส แล้วก็เหมือนกับเป็นการเริ่มต้นอะไร
ใหม่จริงๆ


2 ปีต่อมา มันเหมือนกลับตาลปัตรยังไงก็ไม่รู้ ฤดูร้อนที่ยังร้อนเหมือนเดิม เป็นปีที่ผมต้องเปลี่ยนแปลง
ชีวิตอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ มันกลับมาพร้อมกับความเศร้าโศกเสียใจ ความผิดหวังที่มากมายมหาศาล ....
ทั้งเรื่องเรียน เรื่องครอบครัว แล้วก็เรื่อง “ คนรัก ”


แม่ตัดสินใจย้ายกลับมาอยู่กับยายที่เพชรบุรี โดยยอมย้ายจากโรงเรียนรัฐบาลมาสอนที่โรงเรียนเอกชนใน
จังหวัดแทน ก่อนหน้านั้น ก็จัดการเรื่องของป๊าโดยที่นำมาเผาที่วัดที่นี่ แล้วก็เป็นครั้งแรกในรอบเกือบปี
ที่โอ้ตกลับมาบ้าน


หลังจากที่พาป๊ากลับมาสวดคืนแรก โอ้ตมันก็กลับมาถึงบ้านพอดี ผมพยายามที่จะทำตัวตามปกติให้
มากที่สุดแล้วนะ


โอ้ตเดินมาหาผม มันยังเหมือนเดิม ดูตัวโตขึ้น ดูมีเสน่ห์ ไม่เหมือนกับเด็กม ปลายเมื่อก่อนอย่างที่บอกไป


“ ปริ้น ไม่เป็นไรนะ ” มันเดินเข้ามากอดผมไว้ แล้วก็ลูบหลังเบาๆ


“ อะ อือ ” ผมตอบ แล้วก็รีบผลักตัวมันออกไป โอ้ตทำหน้างงหน่อยๆ


“ เดี๋ยวมีคนมาเห็นเข้า ” ผมตอบเหตุผลไป ไม่มองหน้ามัน ภาพที่ผมเห็นมันกระหนุงกระหนิงกับไอ้ผู้ชาย
คนนั้นมันยังติดตาผมอยู่


“ แล้วเรื่องเอ็น เป็นยังไงมั่ง ” มันถามผมเพราะว่ายังไม่ทราบ


“ คงไม่ได้ไปเรียนด้วยแล้วล่ะ ” ผมตอบแบบไม่สบอารมณ์


“ เราเอ็นไม่ติด ”


โอ้ตทำหน้าเหมือนสงสารผมเต็มประดา แต่ตอนนั้นในใจผมอคติมันไปเรียบร้อยแล้ว มันทำหน้ามายังไง
ผมก็ไม่เชื่อมัน


“ ปริ้น เป็นอะไรเหรอเปล่า ทำไม - - ” โอ้ตถามผม


“ ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น .... ” ผมขึ้นเสียงใส่มัน


“ ปริ้น .. ” มันเรียกผม เมื่อเห็นผมกะลังเดินไปอีกทาง


“ โอ้ต - - ปริ้นถามจริงๆนะ ” ผมถามโดยยืนหันหลังให้มัน


“ โอ้ตยังรักเราเหมือนเดิมเหรอเปล่า ”


................ โอ้ตมันเงียบไป ส่วนตัวผมนั่น บอกตามตรงว่า พอถามไปแบบนั้น ใจมันสั่นๆเหมือนกัน


“ รักสิ .. โอ้ตยังรักปริ้นนะ ” โอ้ตตอบ ผมจึงค่อยๆหันไปหา เห็นมันเกาแก้มเหมือนเดิม เหมือนทุกครั้งที่
เวลามันเขิน


“ โอ้ต ..... ขอบใจนะ ” ผมพยายามฝืนยิ้มให้กับมัน ทำไมผมไม่ได้รู้สึกยินดีกับคำตอบที่เหมือนจะบังคับ
ให้มันตอบแบบนั้นเลยนะ


สองวันต่อมา หลังจากที่เผาป๊าเสร็จ ก็ถึงเวลาที่โอ้ตมันต้องกลับไปเชียงใหม่แล้ว ลุงสนก็มาส่งลูกชาย
ผมก็ติดรถมาด้วย เพราะไอ้โอ้ตมันคะยั้นคะยอให้มา แต่ถึงมันไม่ให้มา ผมก็กะว่าจะมาอยู่แล้ว เพราะ
ตอนแรกกะว่าจะไปสมัครเรียนที่รามฯด้วยคับ


พอมาถึงดอนเมือง โอ้ตมันก็จัดการเช็คอินเรียบร้อย พอถึงเวลาใกล้ๆมันจะเข้าประตู


“ โอ้ต ... ” ผมเรียก มันก็หันมาหา ทำหน้างงๆ


“ มีใครรออยู่ที่เชียงใหม่เหรอเปล่า ? ” ผมถามมันโต้งๆ โอ้ตเป็นคนที่ไม่ค่อยโกหกครับ ผมถึงรู้สึกเสียใจ
ไงที่ไปเห็นมันคราวก่อน แล้วมันดันโกหกผมต่อหน้าต่อตา


โอ้ตมันอึ้ง


“ มีใครรออยู่ที่โน่นเหรอเปล่า ตอบมาดิ ” ผมถามหน้าตาเรียบเฉย


“ เออ ... ปริ้นจะพูดไร ” มันถามย้อน


“ เต นี่คือใครเหรอ ” ผมถาม ชื่อๆนี้ผมแอบเห็นในมือถือมัน เมื่อวันก่อน เป็นข้อความที่ดูแล้ว
ไม่น่าจะเป็นเพื่อนผู้ชาย ส่งให้เพื่อนผู้ชายหรอก


ผมเลยใช้เบอร์โอ้ตโทรกลับไปหา เบอร์คนๆนี้ แล้วก็ปรากฏว่าเป็นเสียงเดียวกับที่เคยรับ
โทรสับคราวก่อนโน้น


ได้ยินผมถามแบบนั้น หน้ามันเหวอเลยครับ


“ ปะ ปริ้น คือ - - ” มันทำเสียงตะกุกตะกัก


“ โอ้ต ... อย่าโกหกเราได้มั้ย ขะ ขอร้อง ” ผมเริ่มถามเสียงสั่น แต่หน้าผมยังคงเรียบเฉย


โอ้ตมันก้มหน้านิ่ง มือที่ถือกระเป๋ามากำแน่น


ผมค่อยๆเดินไปหามัน แล้วก็กอดมันหลวมๆ พูดตามตรง ผมยังทำใจให้เลิกรัก เลิกชอบมันไม่ได้หรอก


“ โชคดีนะ ” ผมพูดแล้วก็ก้มหน้าไปซุกที่หน้าอกมันเป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาที่ปริ่มๆอยู่มันไปติดกับที่
อกเสื้อเป็นรอยเล็กๆ


“ แล้วกลับมาเยี่ยมกันบ้างนะ อย่าเอาแต่เรียน ” ผมยิ้มให้มัน ( พระเอกเจงๆกูเนี่ย )


“ ปริ้น - - คือ ” โอ้ตดึงมือผมไว้ไม่ยอมให้เดินออกไป


มือโอ้ตมันยังอุ่น เหมือนเดิม เหมือนกับที่มันเคยจับ เคยกุมกันไว้ แต่ ... ตอนนั้นมันเป็นอดีตต่างหาก


ผมตัดสินใจเอามืออีกมือดันมือมันออก


“ โอ้ต ... ปล่อยเราไปเถอะ - - นะ ” ผมไม่สามารถมองหน้ามันได้ต่อไป แต่ผมรู้ว่าโอ้ตน้ำตาไหล แล้วมันก็ไม่
ยอมที่จะปล่อยมือซะที


“ คะ เครื่องจะออกแล้วนะ ” ผมว่าพลางใช้กำลังดันอย่างแรงจนมือมันหลุดจากมือผมจนได้


“ ปริ้น - - ” มันพูดอยู่ในลำคอ แต่ผมไม่รอให้มันพูดอะไรได้มากกว่านั้น รีบผละออกมาเลยดีกว่า ซักพัก มัน
เห็นว่าผมเดินออกไปไกลแล้ว ก็เดินหง่อยๆเข้าประตูไป


- โอ้ต ....โชคดีนะ –


ผมคิดแล้วก็ก้าวขาออกไปที่รถ ที่ลุงสนจอดรอผมอยู่นานแล้ว

.
.

* * * * * * * * * * * * * *

.
.

“ พี่ปริ้น พี่จะไปเรียนรามจริงๆเหรอ ” เสียงๆนึงถามผม


“ ไมอ่ะ เรียนรามฯไม่ดีตรงไหนวะ ” ผมถามไอ้โค้ก ในวันแรกที่เปิดเรียนของมัน ที่ได้เป็นพี่ใหญ่สุดของ
โรงเรียนแล้ว


“ ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ค๊าบ แล้วกะว่าปีหน้าจะลองเอ็นใหม่อีกรอบป่ะ ” มันถามผม


“ ไม่รู้เด๊ะ ดูก่อน ถ้ามันเรียนได้ดี ก็เรียนไปเรื่อยๆอ่ะ ” ผมว่า


“ แต่เรียนตั้งบางนาโน่นแน่ะ เหนื่อยชิบ ” ผมบ่นกะมัน


“ ยั่งงี้ก็แสดงว่า ถ้าเรียนไม่ไหว ก็จะลองเอ็นฯใหม่ใช่ป่ะคับ ” มันว่าแบบกระตือรือร้น


“ อะดิ ก็คะแนนเอ็นมันยังใช้ได้ตั้ง 3 ปี แถมถ้าเลือกดีๆ ก็คงติดซักที่ล่ะมั้ง ”


“ จะเอ็นเชียงใหม่อีกเปล่าล่ะ ” มันแซว


“ ไม่แล้วว้อย เบื่อ ... เอ๊ะ ว่าแต่รู้ได้ไงว่า กูเอ็นเข้าเชียงใหม่วะ ”


“ 555 ไม่บอก... ถ้าจะเอ็นใหม่จริงๆ ก็รอผมด้วยล่ะกานนน ” มันพูดทีเล่นทีจริง


ผมหันไปยิ้มให้มัน ... แล้วก็ตบหัวมันทีนึง


“ ไม่อ่ะ กูไม่รอใครแล้ว เข็ด 55 ” ผมเห็นมันทำหน้าหมาหงอยจนอดสงสารไม่ได้


“ พี่นะว้อย ไม่คิดจะรอใครแล้วจริงๆนะโค้ก - - แต่ถ้ามันจะพยายามวิ่งมาให้ทันพี่อ่ะ ก็อีกเรื่องนึง ”


“ อะ เจงดิ ”


“ โกหกได้โล่เหรอ ” ผมได้ยินเสียงมันหัวเราะคิกคักไปตามเรื่อง


ปลายฤดูร้อนปี 2000 ที่แสนเศร้าสร้อยเหมือนพายุหลงฤดูผ่านเข้ามาในชีวิตผมก็จริงอยู่
แต่มันก็เหมือนกับทุกๆครั้งที่เค้าพูดกันบ่อยๆ หลังซากปรักหักพัง ก็จะมีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นได้เสมอ


หลังพายุที่เลวร้าย มันก็จะตามมาด้วยท้องฟ้าที่แจ่มใส รอเราอยู่ ...


.

.

.

.

.

.

.

บ้านพักอลเวง 4 คิมหันต์นิรันดร --------------------------------------------------------------> จบ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-01-2007 20:14:29 โดย b|ueBoYhUb »

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #51 เมื่อ23-10-2006 05:33:01 »

บ้านพักอลเวง5 - SeasonsChange#1
.
.
.
.

แปะ ....... แปะ...... แปะ ..................

.

ฝนค่อยๆ ลงเม็ดมาเสียงดังเปาะแปะ ผู้คนต่างพากันวิ่งวุ่นหลบฝนกันเป็นทิวแถว
ร่มหลากสีสันถูกกางออกเป็นที่กำบังไม่ให้ตัวเองเปียกฝน


“สาดด ทำไมต้องมาตกตอนนี้ด้วยวะ” ผมบ่นพึมพำ พร้อมกับเอามือปาดหยดน้ำที่หล่น
มาโดนหน้าผาก (ดีไม่ใช่ขี้นกนะ)


- คันไหน คันไหน คันไหนวะ -


ผมมองหารถเมล์สายที่จะผ่านหน้าราม ยอมรับตามตรงว่า ไม่ค่อยคุ้นเคยกับพื้นที่
แถบหัวหมากซักเท่าไร ซักพักรถสาย 168 ก็ปาดเข้ามาจอด ผมถึงกะตาแหกเพราะ
ว่าคนที่ไหนก็ไม่รู้ วิ่งพร่างพรูกันขึ้นรถ ซักพัก ก็เต็มซะแล้ว


สรุป ผมต้องยืนไปจนถึงราม 1 ใช้เวลาสุทธิ เกือบ 2 ชั่วโมง ซึ่งถ้าฝนไม่ตก ก็ประมาณ
ชั่วโมงเดียวก็ถึง (ในเวลาสายๆแบบนี้)


พอมาถึงเหมือนฟ้าฝนเป็นใจ เพราะตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว แต่กลับมีแดดแรงมาแผดเผา
แทน เฮ้อ ... ! อากาศเมืองไทย


“จะไปเรียนรามจริงๆเหรอปริ้น” แม่ผมขัดขึ้นมาทันที


“อือ ทำไมเหรอ”


“ก็ไม่ทำไมหรอก แต่แม่คิดว่าแกจะเรียนไม่จบนะซิ เรียนรามเค้าต้องรับผิดชอบตัวเองมากกว่า
ที่อื่นนะ”


“อ้าว พูดแบบนี้แสดงว่าปริ้นไม่รับผิดชอบอ่ะซิ” ผมเคือง


“ก็ใช่นะซิ”


แป่ว ...


ผมเสีย self เล็กๆ พลางอธิบายเหตุผล แล้วก็ชักแม่น้ำทั้ง 5 เกลี้ยกล่อม จนยายผมก็เข้ามาพูดด้วย


“ปริ้นมันโตแล้ว ให้เด็กมันตัดสินใจเองบ้างเถอะ ยัย xxx(แม่ผม) ”


“แม่ก็ชอบให้ท้ายเด็กนะ” แม่ผมหันไปต่อว่า


“เอาน่า แม่ไม่ได้ให้ท้ายมัน” ยายบอก แล้วก็หันมาทางผม


“ถ้าไปเรียนแล้ว เห็นว่าไม่ดีก็กลับมานะ เรียนที่บ้านเราก็ได้ จะได้อยู่ใกล้ๆแม่เราเค้า ”


ยายผมหมายถึงให้เรียนที่ราชภัฏเพชรบุรีอ่ะคับ


“คับยาย” ผมยิ้มแป้น แล้วอีกสองวันก็มาสมัครทันที โดยที่กริ้งกร้างไหว้วานให้เพื่อน
ที่กทม. ซื้อใบสมัครให้


“มึงจะไปสมัครพร้อมกูป่าววะ” ผมถามเพื่อนทางโทรศัพท์


“ป่าว กูสมัครวันนี้ไปแล้ว” เพื่อนบอก


“อ้าว เชี่ย แล้วไมไม่รอกูวะ ไม่รอเพื่อนฝูง”


“ก็ตอนแรกก็ว่าจะรอ แต่ตอนไปซื้อใบสมัคร กูเห็นคนน้อย กูเลยซื้อแล้วก็สมัครเลย” มันว่า


ด้วยเหตุนี้เลยต้องมาสมัครแต่เพียงผู้เดียว ในอีกสองวันข้างหน้า


หลังจากที่ใช้ความโง่ของตัวเองอย่างเต็มสตรีมลงป้ายบิ๊กซีราม แทนที่จะรอลงอีกป้ายนึง ทำให้
ต้องเดินหอบหนังสือสมัครขวาขวิด มิหนำซ้ำผมยังลืมเอาใบตรวจร่างกายที่ขอไว้เรียบร้อยแล้ว
มาจากบ้านอีก เลยต้องไปรอคิวตรวจที่มหาวิทยาลัยอีกชาตินึง


- เออ ... แล้วต้องทำไงต่อวะ- ผมคิดพลางเดินหาตึกที่จะต้องไปลงทะเบียน เดินเวียนอยู่ซักพักนึง
ก็จ่ายเงินลงทะเบียนเรียบร้อย (เค้าบริการดีเลยทีเดียว) พอผมผลุบออกมาจากตึกที่รับใบเสร็จ
ยังไม่ทันได้เดินออกมาซักกี่ก้าว


“น้องคะ น้องคะ มีซุ้มอยู่ยังคะ”


“น้องๆ อยู่ซุ้มนี้ดีกว่า”


“น้อง มาจากจังหวัดไหน ไปซุ้มพี่เลย”


บลาๆๆ จนผมถึงกะเหวอแดก หันไปมองคนที่เดินตามมาข้างหลัง ก็โดนคล้ายๆกับผมเหมือนกัน
ผมพยายามกวาดสายตามองหารุ่นพี่ที่รับสมัครซุ้มที่หน้าตาดีที่สุด(กาม) แต่ก็ยังไม่ถูกสเป็ค


“เออ .... พี่คับพี่ คือผมสมัครซุ้มเพื่อนที่รู้จักแล้วอ่ะคับ” เป็นเหตุผลที่ผมบอกไป


เท่านั้นหละ พี่ๆที่เหลืออยู่ก็รีบกระจัดกระจายไปดักคนที่โผล่หัวออกมาทีหลังต่อไป


จริงๆแล้วผมก็อยากจะเข้าซุ้มนะครับ แต่ตอนนี้ยังไม่มีอารมณ์หายังไงก็ไม่รู้ แถมซุ้มแต่ละ
ซุ้มมันก็ยังไม่ค่อยถูกใจผมอ่ะ ค่อยมาเข้าวันอื่นดีกว่า ผมคิดพลางรีบจ้ำออกจากบริเวณ
มหาวิทยาลัยทันที เพราะตั้งใจจะกลับเพชรฯเลย


- หิวน้ำฟะ – ผมคิดแล้วก็มองไปเห็นมีร้านขายน้ำอยู่ใกล้ๆ


“น้ำเปล่าขวดนึงคับ ”


คนขายหยิบน้ำมาส่งให้ผม แล้วก็เหมือนมีคนมาสะกิดที่ไหล่


“คับผม” ผมหันไปเจอผู้หญิงน่ารักคนนึงยิ้มให้อยู่


“สวัสดีคะ” เธอคนนั้นทัก


“คับ” ผมตอบกลับแล้วก็พยายามนึกว่า กูจำคนรู้จักไม่ได้อีกแล้วเหรอ


“น้องลงทะเบียนเสร็จแล้วใช่มั้ยคะ” เธอถามแล้วก็เอียงคอนิดๆ โอ้ยน่ารักหว่ะ


“คับ เสร็จแล้วคับ” ผมยังไม่กล้าเรียกเค้าว่าพี่เลย เพราะว่าดูหน้าเด็กมั๊กๆ


“แล้วมีซุ้มอยู่เหรอยังคะ ถ้ายังไม่มีสนใจอยู่ซุ้มพี่มั้ย” พี่เค้าว่าพลางยื่นใบสมัครให้ผม
ซะตรงนั้นเลย


“พี่ชื่อกวางนะคะ น้อง..... ? ”


“ปริ้นครับ” ผมบอกไปแล้วก็มองที่ชื่อซุ้มที่เกี่ยวข้องอะไรกับห้องสมุดนี่แหละ - -‘’


“สนใจมั้ยคะ” พี่กวางถามผมอีกรอบ แล้วก็ส่งยิ้มพิมพ์ใจให้


“เออ ... ” ในสมองประมวลผลอย่างหนัก ต่อมเกรงใจผมเริ่มกำเริบขึ้นมา มองเห็น
สภาพพี่เค้าเหงื่อออกหน่อยๆ หอบกระเป๋าสะพายซึ่งดูๆแล้วมีแต่ใบสมัครเต็ม
กระเป๋า แถมยังกล้ามาสะกิดผมซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อนอีก


“เออ - - ก็ได้คับ” ผมตอบกลับไป


“งั้นน้องปริ้นตามพี่มาทางนี้นะคะ เดี๋ยวพี่พาไปนั่งเขียนใบสมัครร่มๆ” พี่กวางบอก
แล้วก็พาผมเดินลัดเลาะไป ตอนเดินก็ถามไปพลางว่ามาจากไหน ลงคณะอะไร
ลงวิชาอะไรบ้าง


“เรียนมนุษย์ สื่อสารเหรอคะ” (ตอนนั้นคณะเทคโนฯสื่อสารโดยตรงยังเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์คับ)
พี่กวางทำหน้าครุ่นคิด


“เอ พี่น่าจะมีเพื่อนเรียนคณะนี้นะ”


“แล้วพี่เรียนคณะไรคับ”


“พี่เรียนบริหารคะ เดี๋ยวพี่นึกก่อน ถ้ามีเพื่อนเรียนคณะนี้ จะได้ฝากให้อะคะ หนังสือจะได้ใช้ฟรี”
พี่กวางบอก


ผมหูผึ่งเพราะว่าชอบของฟรี อิอิ ม่ะช่าย


ซักพักพี่เค้าก็พามานั่งกับอีกหลายๆคนที่ดูเหมือนจะพึ่งโดนพามาเหมือนกัน ให้มานั่งเขียนใบสมัคร
ตอนนั้นยังไม่ได้สนใจคนที่อยู่แถวนั้นอ่ะคับ ชักอยากเขียนให้เสร็จๆ จะได้รีบกลับ กลัวฝนตกอีกรอบ


พอเขียนอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ยื่นให้พี่แถวนั้นที่เดินมาพอดี แล้วพี่กวางกูหายไปไหนวะ


“20 บาทครับน้อง”


“จ่ายเงินด้วย !! ” ผมทำหน้าตกใจเล็กๆ เพราะว่าไม่เห็นบอกเลยนี่หว่า


“คับ เป็นค่าทำกิจกรรมของชมรมน่ะคับ ”


ผมทำหน้างอเล็กๆแล้วก็ควักแบงค์ 500 ให้เค้าไป


“ไม่มีแบงค์ย่อยเหรอคับ 20 เองนะ”


- เอ๊ะ ถ้ากูมี ก็ให้ไปแล้วเซ่ะ - อันนี้ผมคิดในใจ


“ไม่มีคับ ไม่มีเศษเลยอ่ะ”


พี่เค้าก็ทำหน้าไม่ค่อยพอใจ แล้วก็เดินหาคนโน้นคนนี้ที ว่าใครมีทอนบ้าง


- หุหุ พอหาเงินทอนไม่ได้ก็เสร็จกู - ผมคิดด้วยความสะใจ

“ไม่มีเงินทอนนะครับตอนนี้ รอให้คนเก็บเงินมาก่อนนะ” พี่แกพูดหน้าตาเฉย


“แล้วอีกนานมั้ยล่ะ”


“เอ คงประมาณชั่วโมงนึงได้ล่ะครับ ”


แค่ครึ่งชั่วโมงกูก็ไม่รอแล้ว นี่ตั้งชั่วโมงนึง หน้าผมหงิกขึ้นมาทันที


“งะ - - งั้นผมไม่สมัครแล้วดีกว่าครับ จะรีบกลับ” ผมบอกพลางจะยื่นมือไปหยิบใบสมัครแล้ว
ก็เงินคืน


“เด๋วซิครับ” พี่แกดึงเอาใบสมัครไว้ ไม่ยอมคืนให้ “รอแป็บน่ะนะ”


“พี่คืนผมมานะ" ผมชักขึ้นเสียง จนคนที่อยู่รอบๆหันมามอง


“นี่ นี่ นิค แกไปมีเรื่องอะไรกับน้องปริ้น” เสียงพี่กวางเอ็ดมาแต่ไกล


“ก็ เออ ... ” พี่แกหยุดพูดไปแป็บ มองดูใบสมัครผม


“ก็น้องปริ้นคนนี้ซิ แกล้งเอาแบงค์ 500 ให้อ่ะ นิคไม่มีเงินก็เลยบอกให้รอแป็บ เค้าก็ไม่รอ” พี่เค้าพูด


-อ้าว โบ้ยขี้ให้กูเต็มๆเลยนะมึง- ผมคิดในใจ กำมือแน่น เดือดสุดๆ


“แล้วทำไมแกไม่คืนเงินให้น้องเค้าไปก่อน แล้วแค่ 20 แกจะออกให้ก่อนไม่ได้เหรอไง” พี่กวางขึ้นเสียง


“ไม่ได้” มันตอบเสียงหนักแน่นมากกก


“ผมไม่ใช่เป็นเจ้าของเอไอเอสนะ จะได้มีเงินแจกให้คนอื่น” มันว่า (จริงๆบรรทัดนี้ไม่ต้องเขียนก็ได้)


“งั้นชั้นออกให้เองก็ได้” พี่กวางพูดแล้วก็คว้าใบสมัคร พร้อมกับคืนเงินให้ผม แล้วก็หยิบกระเป๋าตังค์
ออกให้ผมก่อน


“เออ พี่ครับ ไม่ต้องก็ได้ ผมรอแป็บก็ได้ครับ” ผมชักเกรงใจพี่กวาง


พี่กวางยิ้มให้ผม


“20 เอง แล้ววันหลังน้องปริ้นค่อยเลี้ยงข้าวพี่หนึ่งมื้อแล้วกัน” ว่าแล้วก็จัดแจงเดินเอาใบสมัครกับเงิน
ไปให้พี่ที่เก็บรวบรวม


“รอแป้บบบบบ .... ก็ได้คับ” เสียงไอ้คนที่ชื่อนิคพูดกระแนะกระแหน ผมเลยหันควับไปหาด้วยความมะโห


“จะเอาไงกับผมเนี่ย”


“ปล่าวนี่ครับ ” มันพูดแบบไม่ใยดี แล้วก็เดินไปทางพี่กวาง


โอ้ย กูหงุดหงิดที่ซู้ดดดดดดดด เจอคนกวนตีน

* * * * * * * * * * * * * * * * *

ผมขึ้นรถเมล์ได้ซักพักนึง พระพิรุณก็กระหน่ำตกมาอีกรอบ พอไม่มีอะไรจะทำ
ก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดดูเบอร์ไปเรื่อยเปื่อย จนไปเจอเบอร์ๆนึง


-... ไม่ได้คุยกันตั้งเดือนนึงแล้วนี่นะ - ผมคิด


ตี้ดดดด ............ ติ้ดดดดดดดดด........... ติ้ดดด


“สวัสดีครับ” เสียงใครคนนึงดังมาตามสาย


“สวัสดีครับ ? ” มันทวนคำ เมื่อเห็นว่าไม่มีเสียงพูด


“หวัดดีโอ้ต” ผมทัก


“อ่ะ ปริ้นเหรอ ปริ้น !!! ” เสียงมันดูตื่นเต้น ก็แน่อะดิ ตั้งแต่วันที่มันกลับเชียงใหม่ พอไปถึง
มันก็รีบโทรมาหาผม เราคุยกันพักนึง แล้วผมก็บอกกับมันไปว่า ตั้งแต่นี้ อย่าโทรหาเรา
อีกเลยนะ


ผมพูดไปแบบนั้น แล้วจากนั้นผมก็จัดการเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ใหม่ แล้วก็ดูเหมือนว่า
โอ้ตจะโทรมาถามแม่ตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่มันถามเพียงว่า


“ปริ้นเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์เหรอครับ”


มันก็คงรู้แหละว่า ผมไม่อยากคุยกับมันเรื่องอะไร แล้วถึงจะถามเบอร์จากแม่มันแล้วก็
ยังทู่ซี้โทรมาหา ผมก็จะไม่มีวันคุยกับมันแน่ๆ มันถึงไม่ถาม แล้วหลังจากนั้นเป็นเดือน
เราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย


แต่วันนี้ ทำไมผมถึงคิดโทรไปหามันอีกนะ ทั้งๆที่ตอนแรกอยากจะตัดใจซะที - - - ไม่ดิ
ถ้าผมคิดตัดใจจากมันจริงๆ แล้วทำไมผมถึงยังเมมเบอร์มันไว้ในเครื่องอยู่อีกอ่ะ


“ปริ้น ... ” เสียงมันทักอีกรอบ


“เออ ไม่ต้องเสียงดังขนาดนั้นก็ได้” ผมแหวใส่


“เปลี่ยนเบอร์แล้วเหรอ อันนี้เบอร์ปริ้นใช่เปล่า” มันยังถามซอกแซก


“ก็ใช่ดิ ถ้าไม่ใช่จะเอาเบอร์ใครโทรมา”


มันก็ไม่ตอบ ได้แต่หัวเราะ


ผมตัดสินใจเล่าให้มันฟังว่า จะมาเรียนรามแล้ว เรียนคณะนี้นะ เป็นยังงี้ ยังโง้น
ก็คุยแบบเพื่อนธรรมดาอ่ะคับ (พยายามจะ) ยังไงเสีย ก็ต้องมีวันนึงที่มันเรียนจบ
กลับมา แล้วยังไงเสีย มันก็อยู่ที่บ้านผม เราต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน ถ้าขืนทำเป็นไม่
รู้จักกันอีกแบบนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น


แต่ ... ก็คงแค่กลับไปได้แค่เป็นพี่กับน้องเหมือนเดิมล่ะมั้ง ?


เราคุยกันได้อีกซักพักนึง โดยต่างคนต่างไม่เอ่ยถามเรื่องที่สนามบินวันนั้น
จนผมจะวางสายแล้ว


“งั้นเด๋วแค่นี้ก่อนนะ จะถึงเสารีย์แล้วอ่ะ” ผมว่า


“อือ กลับดีๆนะ - - - เออ”


“อืม ? ”


“เออ - - - คิดถึงนะ ” มันพูดออกมา แต่คำๆนี้ทำมันบาดแทงเข้าไปในหัวใจผมเลยทีเดียว


“แค่นี้นะโอ้ต ” ผมพยายามบอกมันให้บอกลาซะที


“ปริ้น - - โอ้ตขอโทษ” เสียงมันเครือๆ


ผมอ้าปากจะพูดอะไรออกไป แต่เสียงมันก็ไม่ออกซะที ความรู้สึกตอนนี้ สิ่งที่มันพูด
ทำให้ผมเริ่มจะใจอ่อนแล้วก็สับสน ฝ่ายโอ้ตมันก็ยังไม่พูดอะไรต่อ


“จะขอโทษทำไม - - - เราเข้าใจ” ผมพูดฝืนเสียงให้เป็นปกติ


“จะลงรถแล้วอ่ะ แค่นี้ก่อนนะ” ผมพูดแล้วก็กดตัดสายไปเลย เพราะไม่งั้นผมต้องมานั่ง
น้ำตาตกบนรถเมล์อีกแน่ๆ


- โอ้ต มึงจะมาขอโทษกูตอนนี้ทำไมนะ ? –


ผมรอให้รถเมล์ค่อยๆจอดสนิท ผู้คนมากมายต่างพากันไปยืนอออยู่หน้าประตูรถ บางคน
ก็เตรียมร่มไว้เสร็จสรรพ เผื่อว่าตอนออกไปจะได้ไม่เปียกปอน ผมรอให้จนถึงคนสุดท้าย
จึงค่อยลง (ขี้เกียจเบียด)


คำขอโทษของโอ้ต มันก้องอยู่ในหัวผมวนไปวนมา จนผมต้องสะบัดหัวไปมาจนผมที่เริ่ม
จะยาวมาได้ซักหน่อยมันหล่นมาปรกที่หน้าผาก


- โอ้ตไม่ได้ผิดที่จะต้องมากล่าวคำขอโทษผมนี่ . . . . ชีวิตของใคร เค้าก็ต้องมาสิทธิ์ที่จะเลือก
ทำ เลือกที่จะกำหนดนี่นา เลิกโทษคนอื่นได้แล้ว –


ผมสะบัดหัวเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมๆกับเมฆฝนที่ค่อยๆเคลื่อนตัวผ่านพ้นไป


.

.

.

.

*~ อดทนเวลาที่ฝนพลำ

อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง

เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง

ฟ้าก็คงสว่างและทำให้เราได้เข้าใจ

ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ
~*

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #52 เมื่อ23-10-2006 05:33:41 »

ตี้ดดดด....... ติ้ดดดดด .......


“โหล..”


“สวัสดีคะ น้องปริ้นใช่มั้ยคะ”


“ครับ”


“พี่กวางเองนะคะ ”


“อ้อ พี่กวาง ว่าไงครับ”


“วันที่ 1 นี้ น้องปริ้นอย่าลืมมาปฐมนิเทศด้วยนะคะ จะได้มาทำความรู้จักเพื่อนใหม่ๆด้วยแล้วที่ซุ้ม
ก็มีกิจกรรมด้วยนะ”


“จริงๆวันปฐมนิเทศไม่ต้องไปก็ได้ม่ะใช่เหรอพี่”


“โถ น้องปริ้นมาเหอะ จะได้รู้จักพวกพี่ๆ เพื่อนๆด้วยล่ะ” บลาๆๆๆ พูดไปอีกประมาณ 5 นาที


“โอเคคับๆ ไปก็ไปคับ”


“จ้า ... แล้วเจอกันที่ซุ้มนะคะ อยู่ตรงข้าง bnbxx อ่ะคะ อ่อ พออธิการบรรยายจบแล้วค่อยออกมา
ก็ได้นะ”


“คับผม”


“งั้นก็นอนหลับต่อเถอะคะ พี่ไม่กวนแล้ว ........ ” พี่กวางพูดก่อนที่จะตัดสายไป ปล่อยให้ผมนอนมึน
อยู่บนเตียง เพราะเธอโทรมาซะหัววันยังไม่แปดโมง


“ขี้เกียจปายยยยว้อยยยยย” ผมตะโกนพลางบิดขี้เกียจไปพลาง


อ่า ใกล้จะเปิดเทอมใหม่แล้วล่ะครับ หลังจากที่ผมตัดสินใจที่จะไปสมัครเรียนราม แล้วก็จับพลัดจับผลู
ได้เข้ามาอยู่ซุ้มxxxx โดยมีรุ่นพี่ผู้หญิงน่าตาน่ารักเป็นคนชวนเข้ามา


“ปริ้น เปิดเทอมวันไหนนะ” แม่ผมตะโกนเสียงดังเข้ามาในบ้าน


“วันที่ 1 นี้อ่ะ ” ผมเดินไปเปิดประตูให้แม่เดินเข้ามา


“แล้วเรื่องที่หยงที่อยู่ หาได้เรียบร้อยแล้วเหรอ ” แม่ผมบอกพลางสายตาสำรวจห้องไป


“ก็ให้พี่เค้าหาให้อยู่อ่ะ” ผมบอกพลางหาว


“พึ่งตื่นเหรอเนี่ย สายโด่งป่านนี้แล้ว” แม่ผมเอ็ด “ทำความสะอาดบ้านซะมั่งซิเรา รกจัง”


“รู้แล้วน่า” ผมรับคำไปส่งๆอย่างงั้นแหละ จริงๆมันก็ไม่ได้รกมากมายนี่หว่า


“หาที่มันใกล้ๆกับที่เรียนหน่อยแล้วกัน” แม่ผมบอก


“อือ”


แม่ผมมองๆ แล้วก็เขกกะโหลกผมทีนึง


“โอ้ย..! ”


“นี่ เวลาชั้นพูดก็หันหน้ามามองซิ มัวแต่ทำอะไรอยู่นั่นแหละ - - ออกมานี่ เร็ว”


ผมทำหน้าตาหงุดหงิด สงสัยจะใช้ให้ทำไรอีกแน่เลย แล้วทำไมต้องมาใช้ตอนสายๆแบบนี้ว้า
แดดก็ออก ดำหมดกู


“ไปล้างรถไป” แม่สั่ง


“โห อีกแระ” ผมบ่นเบาๆ พลางเดินอ้อยอิงไปหยิบสายฉีดน้ำ พร้อมกับน้ำยาล้างรถ


“พูดนั่นพูดนี่อยู่นั่นแหละ เดี๋ยวก็ไม่ให้ใช้ซะเลย” แม่พูดเสียงดังพอให้ได้ยิน


ผมผงะนิดหน่อย พร้อมกับหันไปมองประมาณว่า พูดว่าไรนะ พูดใหม่อีกทีดิ๊


“แม่จะให้ปริ้นเอารถไปใช้เหรอ” ผมพูดด้วยความตื่นเต้น (แต่แอบเก็บอารมณ์ไว้เด๋วเสียฟอร์ม)


แม่ไม่ตอบอะไร แต่ก็โยนกุญแจมาให้


“ไปขอบคุณยายเราโน่น เจ้ากี้เจ้าการให้หลานรัก”


“อ้าว แล้วแม่จะไปโรงเรียนไงอ่ะ” ผมถาม เพราะว่าตั้งแต่แม่ย้ายมาอยู่ที่บ้านยายก็จริง แต่โรงเรียนเอกชน
ที่แม่มาสอนก็อยู่ในอำเภอเมือง


“ก็ให้สนเค้าขับไปส่งไง”


“อ่อ เหรอคับ แต่ก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องเหนื่อยขับเอง” ผมพูดพลางลิงโลดรีบเอาสายยางฉีดน้ำ ใช้น้ำยาล้างรถ
แถมด้วยขัดเงารถอย่างพิถีพิถันสุดๆ ตอนนี้เป็นของผมแล้วนี่หว่า จะมาฉีดๆ แล้วล้างส่งเดชเหมือนแต่ก่อนได้ไงล่ะ หุหุ


ผมขัดไปพลางก็นึกถึงตอนที่หัดขับรถครั้งแรกไป

.
.

“เออ ค่อยๆเหยียบคลัชนะ เหยียบค้างแบบนั้นไว้ก่อน” เสียงป๊าที่นั่งอยู่ที่เบาะข้างๆคนขับบอกผม
ด้วยความระแวดระวัง


“ค่อยๆเปลี่ยนเป็นเกียร์ 1 ” ป๊าค่อยๆบอกผม มือนึงก็จับไว้ที่เบลกมือ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน


แกร๊กกก ...


“ค่อยๆปล่อยคลัช แล้วก็เหยียบคันเร่งเบาๆ เบาๆๆ”


แกร๊กกกก ครืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


รถไม่ขยับ แต่เป็นเสียงครืดคราดดังยาว เป็นผลมาจากการเข้าเกียร์ผิดนั่นเอง


“เฮ่อ เวลาเปลี่ยนเกียร์ ดูด้วย ให้มันลงล็อกแบบนี้ ” ป๊าว่าพลางปรับเกียร์ให้ผม


“เอ้า .. ค่อยๆปล่อยคลัช เหยียบคันเร่ง เออ ... แบบนั้นแหละ ค่อยๆ - - - - - - -”


รถมิตซูบิชิ แลนเซอร์ สีแดงแอ็ปเปิ้ล ค่อยๆแล่นไปอย่างเชื่องช้า ติดๆดับๆ ภายในหมู่บ้าน
ผ่านไปราวเดือนนึง มันก็ค่อยๆแล่นออกถนนใหญ่แถบเมืองนนทบุรี ป๊าผมสอนให้ขับรถ
ตั้งแต่ราวม. 2 ได้มั้ง จากนั้นเป็นต้นมา ก็ได้ขับเล่นอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ค่อยได้ขับออกถนน
ในกรุงเทพเท่าไร หลังจากที่จบ ม. ต้น ป๊ากับแม่ก็ย้ายบ้าน ผมก็ไม่มีโอกาสได้ขับรถคันนี้
อีกเลย


จนมาถึงวันนี้ ผมค่อยๆลูบรอยครูดเป็นทางยาวบริเวณกันชนหน้ารถ


แคร๊กกกกกกกกก กึ่ง กึ่ง กึ่งงง


“ขับภาษาอะไรให้ไปครูดประตูบ้านได้ห่ะ” ป๊าเอ็ดผมพลางเดินลงจากรถไปดูสภาพว่าเสียหายแค่ไหน


“ขะ ขอโทดคับ ป๊า” ผมพูดหน้าซีด


“ช่างมัน ... คราวหลังดูดีๆก่อน ให้แน่ใจก่อนแล้วค่อยเลื่อนรถ เข้าใจไหม ปริ้น ”


“คับ ... ”


ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกแล้วก็ครั้งสุดท้ายที่ผมทำให้รถเสียหาย ผมลูบไปพลาง ยิ้มไปพลาง สงสัยกูจะบ้าแฮะ
ยิ้มไรอยู่กับรถอยู่ได้

.

.

< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >

.

.

ปรี้นนนนนนนนน ปรื้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน


“โห่ว้อยย บีบอยู่ได้ กูรู้แล้วว่าเข้าผิดเลน” ผมสบถในรถอยู่คนเดียว ระหว่างที่กำลังจะหาทางเข้าเลนซ้าย
อย่างรีบด่วน จนโดยรถคันหลังบีบแตรไล่


วันนี้เป็นวันปฐมนิเทศที่มหาวิทยาลัยครับ แล้วผมก็ดันรับปากพี่กวางไว้ ก็เลยต้องบึ่งรถจากชะอำตั้งแต่
ก่อนรุ่งสาง ง่วงก็ง่วง ส่วนหอพักที่ผมให้พี่ท็อปช่วยดูให้ ก็ยังไม่ได้เรื่องเลย ผมก็เลยต้องอาศัยห้อง
พี่ท็อปที่อยู่แถวพหลโยธินเป็นแหล่งกบดานไปซักพัก ท่ามกลางเสียงก่นด่าของพี่แก


ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง จากปากทางเข้ามาราม 2 แลนเซอร์สีแดงแอ็ปเปิ้ล ก็มาจอดสงบนิ่งอยู่ที่ลานจอดรถ
ผมเลื่อนกระจกข้างหน้าสำรวจตัวเองอีกรอบ นอกจากเป็นวันแรกที่มีกิจกรรม แล้วก็เป็นวันแรกที่
ผมต้องเปลี่ยนจากการใส่ชุดนักเรียนขาสั้น มาเป็นชุดนักศึกษาแบบนี้ รู้สึกเขินๆยังไงก็ไม่รู้


ผมเดินลงจากรถแล้วก็เดินมาถึงตึก bnb อะไรซักอย่าง ก็เข้าไปนั่งเนียนๆปนกับนักศึกษาใหม่คนอื่น
ตอนที่กำลังเดินเข้ามา ก็เห็นพวกรุ่นพี่ ตั้งซุ้มกันเกลื่อนกลาด แต่ในช่วงเช้าต้องเข้ามานั่งฟังอธิการ
แล้วก็รองฯท่านอื่นๆพูดคุยก่อน ตอนนี้ต่างคนก็ต่างจ้องมองที่ทีวีที่ถ่ายทอดภาพแล้วก็เสียงของท่านๆ
เหล่านั้นออกมา


“ฮ้าววววว ....... ง่วงชิบ นี่ตูมานั่งฟังเค้าพูดอะไรเนี่ย”


ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง นักศึกษาบางคนก็เดินออกไปข้างนอกกันบ้าง ผมก็นั่งรอจนอธิการพูดจบ
เค้าก็อวยพรประมาณว่า ใครที่มาเข้าปฐมนิเทศวันนี้ จบทุกคนแน่นอน (ไม่จริง) ผมยกมือสาธุทีนึง
แล้วก็เดินออกมาพร้อมกับหลายๆคน


“แล้วซุ้มพี่แกอยู่ไหนวะ” ผมเดินไปที่ตึกที่พี่กวางเคยบอกไว้วันก่อน ก็เห็นว่ามีซุ้มตั้งอยู่บานตะไท
แต่มีอยู่ซุ้มนึงค่อนข้างใหญ่พอสมควร เห็นมีเด็กๆนั่งกันอยู่เต็ม แล้วก็มีรุ่นพี่พูดคุยอะไรอยู่ด้านหน้า
อีกหลายคนก็ง่วนอยู่กะการเขียนชื่อบนกระดาษแล้วก็เอามาคล้องคอน้องๆ


“ทะไมคนเยอะจังวะ ” ผมชักเกรงๆ


“อ้าว น้องคับ มีซุ้มอยู่เหรอยัง ” พี่ผู้ชายคนนึงเห็นผมยืนเก้ๆกังๆ อยู่ก็เลยเข้ามาถาม


“เออ .... ” ผมกะลังคิดว่าอยู่ หรือว่ากูจะไม่เข้าไปดีวะ


ระหว่างที่กำลังคิดที่จะหลบฉากมาอยู่นั้นเอง ผมก็ถอยไปเหยียบเท้าคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง


“โอ้ย ไอ้เหี้ยเอ้ย เหยียบมาได้ ” ไอ้คนที่โดนเหยียบสบถออกมา


ผมกะว่าจะขอโทษแต่หันไปดันเป็นไอ้รุ่นพี่ที่ชื่อคลับคล้ายคลับคราว่านิคเองหรอกเหรอ


“แล้วมายืนอยู่ข้างหลังทำไม” แทนที่จะขอโทษผมกลับถามไปด้วยความแปลกใจแทน


“ก็กูยืนอยู่ตั้งนานแล้ว มึงนั่นแหละถอยมาเหยียบ” มันว่าพลางทำหน้าตาโกรธมหาศาล (ก็น่าอยู่)


ผมมองดูรูปการณ์แล้ว ถ้าจะไปเถียงกับมันมากๆ เด๋วมันจะต่อยเอาได้ ยิ่งดูเถื่อนๆ อยู่ด้วย แถม
ยังไงมันก็เป็นรุ่นพี่วะ


“งั้นผมขอโทษ ... ”


มันยังมองผมแบบไม่ยอมยกโทษให้ แต่ขอโทษทีสำหรับคนที่ไม่ได้รู้จักกัน แค่นี้ก็คงพอแล้วล่ะ
ก็เลยรีบเดินกะว่าจะหลบออกมา ไม่เข้าแม่งแล้วซ้งซุ้ม


“เฮ้ย แล้วจะไปไหนวะ ไม่เข้าไปล่ะว้อย” มันหันมาดึงที่คอเสื้อทำเอาตัวผมกระตุก


“แค่ก ... เอ้ย ดึงทำบ้าไรวะ” ผมหันไปปัดให้มือมันหลุดออก


“นี่ ตรงนั้นนะ หยู้ดดดดดดด ทะเลาะอะไรกันค้า ” พี่กวางเดินเข้ามาหาพร้อมพี่ผู้ชายตัวล่ำๆอีกคนนึง
ที่แท้ซุ้มนี้ก็คือซุ้มที่ผมตามหาอยู่นี่เอง


“ไอ้นี่มันมาแล้วจะไม่เข้าอะซิ ” ไอ้หอกนี่รีบฟ้อง “แถมมาเหยียบเท้าด้วย เจ็บชิบหาย”


เท่าที่ฟังๆดูแล้ว ไอ้นี่พูดจาไร้สกุลรุนช่องจริงๆให้ตายเหอะ


“ผมไม่ได้จะโดดคับ ผมแค่หาพี่ไม่เจอ” ผมแก้ตัว


“ก็เลยกะว่าจะเดินไปดูที่อื่น”


พี่กวางมองหน้าเราทั้งคู่สับไปสับมา แล้วก็หันมายิ้มให้ผม


“นี่แหละคะ งั้นน้องปริ้นเข้ามาเขียนชื่อก่อน” ผมก็รีบเดินตามพี่เค้าไป หลังจากพี่กวางเขียนป้าย
ชื่อให้ผมคล้องแล้วก็ให้ผมไปนั่งรวมกลุ่มอยู่กับพวกที่นั่งอยู่ ผมแทบจะไม่ได้คุยอะไรกับใคร
เลยเพราะว่าดูเค้าจะรู้จักกันอยู่แล้ว ได้แต่นั่งเงียบ


“เหยิบไปหน่อยดิ๊ นั่งกินที่หว่ะ” ผมเงยหน้าไปตามเสียงคุ้นหูที่แสนกวนตีน ก็เห็นไอ้รุ่นพี่นิค
มันยืนค้ำหัวอยู่ ผมก็ทำทีขยับให้มันแบบไม่ค่อยพอใจ


“ที่ตั้งเยอะแยะมานั่งเหี้ยไรตรงนี้วะ” ผมบ่นเบาๆ “โอ้ย .. ”


มันทิ้งตัวนั่งเอาเข่ามากระแทกเข่าผมอย่างจัง พอหันไปก็เห็นมันทำหน้ายิ้มเยาะเป็นเชิงเอาคืนอยู่ในที
แต่ผมตกใจไปกว่านั้นคือ คอมันก็แขวนป้ายชื่อแบบเดียวกะผม


“มองไร อยากเจ็บตัวเหรอไง ”


“นายอยู่ปี 1 เหรอ ? ” ผมถามแบบไม่ค่อยแน่ใจ เพราะถ้ามันเป็นอย่างงั้นจริง ผมก็ปล่อยไก่ต่อหน้า
มันตัวเบ่อเริ่มตั้งแต่วันลงทะเบียนแล้วไง เพราะคิดว่ามันเป็นรุ่นพี่ซะอีก


เหมือนมันรู้ว่าผมคิดอะไร ก็ยิ้มแบบกวนตีนขึ้นมาทันที


“เออ ... คงไม่มีรุ่นพีที่ไหนมั้ง มานั่งแขวนป้ายห้อยคอแบบเนี้ย .. เหรอมึงคิดว่ามีหมาตัวไหนคิดแบบนั้น
หึหึ”


อุ๊ก ได้ยินแค่นั้นแหละ ผมหันหน้ากลับมาทันที ทั้งโกรธทั้งอาย หน้าแดงก่ำไปหมด แต่ก็ทำไรมันไม่ได้คับ
เพราะผมเป็นฝ่ายเข้าใจผิดไปเอง


ซักพักนึง ผมก็เห็นมันหันไปคุยกับคนข้างๆ คนข้างหน้า คนข้างหลังบ้าง อัตถยาศัยดีเหลือเกิน อู้ย แล้วกู
มานั่งหงุดหงิดไรกะมันด้วยเนี่ย จนมันคุยจนเกือบรอบวงแล้ว มันก็หันมาสะกิดผม แต่ขอโทษมันใช้ตีน
สะกิดกับเท้าผมนะ


“ไร... ” ผมพูดแต่ไม่ได้หันไปหามัน


“ชื่อไร” มันจะถามทำอะไรนะ ทั้งๆที่ก็เคยได้ยินพี่กวางเรียกผมแล้วไม่ใช่เหรอไง


ผมหยิบป้ายแขวนคอแล้วก็ชูให้มันอ่าน


“แม่งชื่อแปลก - - - แล้วเวลาปริ้นออกมาเป็นขาวดำหรือสีวะ หึหึ ” มันตอบกวนตีนอีกรอบ
ผมล่ะเกลียดมุกแป้กอัปยศแบบนี้ที่สุด แล้วก็ไม่ชอบให้ใครมาล้อชื่อด้วย


“ปริ้นบ้านพ่อมึงล่ะกันขาวดำ” ผมบอกให้พอมันได้ยิน ได้ผลคับ มันถึงกับกระชากคอเสื้อเกือบ
ขาด


“เล่นพ่อเลยเหรอมึง ”


“เฮ้ยยยยย ... ไอ้น้องสองคนนั่นน่ะ ออกมานี่เลยยย ” เสียงไอ้รุ่นพี่ล่ำตะโกนเรียก สงสัยเห็นท่าจะ
ไม่ดีล่ะมั่ง


“ทะเลาะอะไรกันครับ ”


“เปล่าครับ ” ผมกะไอ้นิคตอบแทบจะพร้อมกัน


“ก็เมื่อกี้เห็นกระชากคอเสื้อกันเลยไม่ใช่เหรอไง ไอ้นิค” ดูเหมือนพี่ล่ำคนนี้จะรู้จักคนข้างๆผม
มาก่อน


“แค่ล้อเล่นกันเฉยๆน่า ไม่มีอะไรหรอก” มันพูดพลางส่งสายตาให้ผมเออออด้วย ทีอย่างงี้ล่ะมา...


“อือคับ ก็อย่างที่มันบอกแหละ ”


พี่ล่ำแกเห็นว่าไม่มีเรื่องกันแล้วก็ทำท่าจะปล่อยกลับไปนั่งเหมือนเดิม แต่มันมีรุ่นพี่คนอื่นๆ
บอกว่าไหนๆก็ออกมาแล้ว ก็เลยให้สาธิตการเต้นให้ดูซะเลย


“เฮ้ย ผมเต้นไม่เป็น” ผมโวยออกมาทันที นี่มันซุ้มห้องสมุดม่ะใช่เหรอไงวะ มีต้งมีเต้นด้วย บ้า..


“เต้นไม่เป็นก็หัดได้น่าน้อง ทำตามพี่น่านะ ดูเพื่อนน้องดิไม่เห็นว่าไรเลย” พี่แกบอกให้ผมดู
ไอ้นิคเป็นตัวอย่าง


ผมส่ายหัวลูกเดียว


“น้องปริ้นเต้นหน่อยน่า” พี่กวางเดินเข้ามาขอร้องผม เพราะกลัวงานกร่อย อย่างที่รู้ๆกันครับ
ซุ้มที่รามเนี่ยส่วนใหญ่เด็กจะสมัครใจเข้ามาเองไม่เหมือนกับรับน้องตามมหาลัยทั่วๆไปที่
จะเป็นลักษณะของการบังคับมากกว่า


“อะ อือ” ผมพยักหน้า แล้วก็เดินออกมายืนคู่กะไอ้นิคที่ยืนยิ้มชอบใจในท่าทางของผมอยู่


“ก็แค่เนี้ย ทำเป็นลีลาอยู่ได้” มันแดกดันต่อจนต้องถลึงตาใส่มันถึงจะยอมหุบปาก


“เอ้า ไอ้น้องสองคนเนี้ย ดูตัวอย่างพี่สองคนนี้นะ ” พูดเสร็จก็เห็นไอ้พี่ล่ำบงการให้พี่ผู้ชาย
สองคนคล้ายๆกับลงไปนอนหงายคนนึง ส่วนอีกคนนึงก็ทำท่าเหมือนจะขึ้นคล่อม


เย้ย ..... กูรู้สึกคุ้นๆวะ


พอเตรียมท่าเสร็จ พวกรุ่นพี่ที่เหลือก็พากันร้องเพลง แมงมุม กันสนั่นหวั่นไหวเป็นที่ชอบ
อกชอบใจ แล้วก็เรียกเสียงตลกโปกฮาของน้องๆได้เป็นอย่างดี


เชี่ย แต่กูไม่ตลก ..... เอาไงดีวะ กูจะวิ่งหนีออกไปจากแถวนี้เลยดีเป่าวะ ผมเริ่มไตร่ตรอง
อยากหนีออกไปจากบริเวณนี้จังเลย


พอไอ้รุ่นพี่สองคนนั้นทำท่าทางประกอบเพลงเสร็จ ก็ลุกขึ้นมายืนปัดฝุ่น แล้วก็หันมาทาง
ผมสองคน


“อ่ะ พี่ให้น้องเรียกว่าใครจะเป็นตัวผู้ตัวเมีย” ไอ้พี่ล่ำพูดตะโกนผ่านไมค์


ไอ้นิคใช้สายตามองหน้าผมแบบหยั่งเชิง แล้วก็เป็นฝ่ายลงไปนั่งบนพื้นซะเอง แล้วมันยัง
กวนตีนด้วยการกวักมือเรียกผมให้ไปขึ้นคร่อมเร็วๆซะงั้น ไอ้สาดดด


“เอ้า น้องไรเนี่ย... เออ น้องปริ้นรอไรอยู่ครับ จัดการเลยดิ ”


ผมเลยต้องเอามือยันพื้นไว้ พยายามประคองตัวให้อยู่ห่างจากไอ้เถื่อนมากที่สุด ท่าทาง
ผมตอนนี้เลยเหมือนกะลังวิดพื้นอยู่ซะมากกว่า - -‘’


“แมงมุม ขยุ้มหลังคา พอถึงศาลา กระดึ๊บ กระดึ๊บ ”บลาๆๆๆ...........................................................................................


-_-*


ตอนที่กะลังสะด๊วบอยู่กะไอ้นิค ผมก้มหน้าก้มตาทำ ไม่กล้าเงยหน้าไปมองรอบๆตัวเลยอ่ะ
ในใจก็คิดว่า ม่ะไรจะเสร็จซะทีว้า จนเที่ยวสุดท้าย ดูไอ้นิคมันมันส์ไปหน่อยหรือเป็นขาแดนซ์
เก่าก็ไม่รู้ เสือกยกเอวขึ้นมาซะสูง ผมก็กะจังหว่ะไม่ทันเลยชนเข้าเต็มๆ


“โอ๊ก ... ” ผมลงไปนอนกองอยู่กับพื้นพร้อมๆกับเพลงจบพอดี ได้รับเสียงกรี้ดกร๊าดจากเพื่อนๆ
พี่ๆที่อยู่รอบวงมากมายมหาศาล


“มึงจะลุกจากตัวกูได้ยัง” เสียงไอ้นิคบ่น เพราะผมไปกองทับตัวอยู่


“ทะ โทด” ผมรีบลุกทันที แต่ยังจุกอยู่เล็กน้อย


“เต้นเก่งมากน้องปริ้น อ่ะน้ำ ” พี่กวางส่งน้ำให้ผมแล้วก็ยื่นให้ไอ้นิคด้วย


“ผมนึกว่าไอ้นี่เป็นรุ่นพี่ซะอีก” ผมกระซิบถามพี่กวางที่หัวเราะร่วน


“หน้ามันแก่กว่าอยู่ปี 1 ใช่ม้า คือมันเป็นน้องของเพื่อนพี่เองคะ” พี่กวางอธิบาย
มันเอ็นไม่ติด ก็เลยลงมาเรียนที่นี่ พี่มันก็เลยฝากให้พี่ช่วยดูแลน้องมันให้


“ดูมันกวนๆแบบนี้ มันก็มีดีอยู่บ้างล่ะนะ”


“ดีกะผีอะเด๊ะ”


“ค่ะ ? ”


“อ่อ เป่าพี่”


ผมทำกิจกรรมจนเลิกก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว ตอนนี้ก็ได้เพื่อนใหม่อีกหลายคนเลย
แต่ที่(ดูเหมือนจะ)สนิทกันก็มีอยู่ 4 คนคับ กิ้ป จูน โบ กอร์ฟ สามคนแรกเป็น
ผู้หญิง คนท้ายสุดเป็นชายคับ ที่สนิทกันเพราะว่านั่งอยู่แถบเดียวกันไง เหอๆ
ไอ้กอร์ฟเป็นเพื่อนโบ มันก็เลยลากมานั่งด้วย ใน sec มีกอร์ฟอยู่หลายกอร์ฟคับ(ชิ่อโหล)
แต่ไอ้นี่เพื่อนจะเรียกว่ากอร์ฟใส มันดูดีเลยทีเดียว เพียงแต่มันสูงน้อยไปหน่อย ไม่
ถึงร้อยเจ็ดสิบ แล้วผมจะเรียกมันว่ากอร์ปลิน เพราะมันเตี้ย


“พวกน้องสมัครไปเข้าค่ายด้วยใช่เปล่า” พี่โก๋(พี่ล่ำเดิม) ถามกลุ่มพวกผมเป็นกลุ่มสุดท้าย
ก่อนจะเสร็จกิจกรรม ไอ้สี่คนนั่นสมัครไปแล้ว ส่วนผมไม่ได้สมัคร เพราะค่ายที่บอกนี่ต้อง
ไปเมืองกาญ ผมขี้เกียจ


“อ้าวแล้วทำไมเราไม่ไปกับเพื่อนล่ะ ”


“พอดีไม่ว่างอ่ะคับ”


“สามวันเอง แล้วน้องจะได้อะไรกลับมาอีกเยอะแยะเลย” พี่เค้าพยายามเกลี้ยกล่อม


“ไปซิปริ้น เป็นเพื่อนกัน” กิ้ปสนับสนุนพร้อมๆกับไอ้จูน


“เออ.... ”


“ไปเหอะปริ้น ”ไอ้กอร์ปลินจับบ่าผมเขย่าๆ เตี้ยแล้วยังมาจับบ่ากูได้อีกนะ


“อือ ก็ได้คับพี่ ” ผมตอบตกลงเพราะว่าผู้ชายขอร้องนะคับ - - มะช่าย เพราะว่าเพื่อนขอร้องตะหาก


“แล้วกลับกันยังไงอ่ะ ” ผมถามเพื่อนอีก 2 คนที่เหลือ จูนกะกิ้ปมันอยู่หอหน้ามหาลัยนี่เอง ถึงว่า
ดูสนิทกันไวจัง


“ว่าจะขึ้นรถเมล์ไปลงเสารีย์อ่ะ ” โบบอกผม บ้านมันอยู่แถวอารีย์อ่ะ ส่วนไอ้กอร์ฟล่ออยู่แถวแยก
เกษตร


“ยังอุตสาห์ดั้นด้นมาเรียนเนอะ ” ผมแซวมัน


“เออน่า”


“งั้นไปพร้อมเราก็ได้ เด๋วไปส่ง”


“ปริ้นมีรถเหรอ แอบหรูนะ ” โบแซว


“เฮ้ย รถของแม่อ่ะ” ผมแก้ตัว แล้วก็พากันไปที่รถ


“บ้านปริ้นอยู่เพชรฯเหรอ” โบถามเมื่อมองเห็นทะเบียนที่ติดอยู่ที่รถ


“ช่าย”


“ไม่เห็นพูดเหน่อเลยอ่ะ ”


“กำ เป็นคนเพชรฯไม่ต้องพูดเหน่อก็ได้ ” ผมว่า


“แล้วบ้านโบอยู่ตรงไหนของอารีย์อ่ะ ”


“ปริ้นส่งเราตรงเสารีย์ก็ได้ เดี๋ยวเราต้องซื้อของเข้าบ้านก่อน ”


“โอเค ”


ผมก็ขับมาเรื่อยๆ ออกมาจากประตู เกือบจะออกถนนบางนาแล้ว กอร์ฟมันก็ทัก


“เฮ้ย ปริ้นช้าๆหน่อย ข้างหน้านั่นเพื่อนที่อยู่ซุ้มเดียวกันเปล่า”


“ไหนวะ” ผมมองตามที่กอร์ฟชี้ ก็เห็นน.ศ. คนนึงกะลังงุ่มง่ามจูงมอไซต์เดินด้อกแด้ก
อยู่ข้างทาง


“สงสัยรถเสียหว่ะ ” กอร์ฟบอก เออ กูรู้


“ใช่คนที่เต้นแมงมุมกะปริ้นเหรอเปล่า” โบทักเมื่อรถเข้าไปใกล้


“จิงดิ .. ”ผมได้ยินโบพูดแบบนั้น ก็เลยรีบขับรถปาดหน้าแม่งเลย


เอี้ยดดดดด ....


ผมให้กอร์ฟเดินลงไปคุยกะมันแทน เพราะว่ามันต้องด่าอยู่แน่ๆ


“ไอ้เหี้ยเอ้ย ขับรถพ่อมึงเหรอไง เหี้ยยยยยย” มันคงเห็นว่าเป็นไอ้กอร์ฟมันเลยด่าได้


“ขอโทษๆ แล้วรถเป็นไร”


“ก็เห็นอยู่ว่ามันเสีย มึงจะถามทำไม” ผมได้ยินเพราะว่ากอร์ฟมันไม่ได้ปิดประตูข้างคับ
แหมพูดแบบนี้ไม่น่าเห็นใจเลยซักนิด


“แล้วบ้านนายอยู่แถวไหนอ่ะ ”กอร์ฟมันยังใจดีไปถามอีก


ไอ้นิคเหล่ตาดูด้วยท่าทางกวนตีนเหมือนเดิม


“ไม มึงจะไปส่งกูเหรอไง”


กอร์ฟมันทำหน้าเหวอนิดหน่อย แล้วก็เดินกลับมาถามผม


“เออ ได้ยินแล้ว บอกมันว่า จะไปเหรอเปล่า” ผมบอก


กอร์ฟมันก็เดินเกาหัวแกร็กๆ ไปบอกไอ้นิค


ซักพักมันก็รีบวิ่งจูงรถไปฝากไว้ที่โลตัสข้างหน้าปากทางเข้า แล้วก็เดินกลับมา


“อ้าวก็นึกว่ารถมึงซะอีก” ไอ้นิคมันชี้ไอ้กอร์ฟ แล้วก็ทำหน้าตกใจ


“ไม เห็นเป็นรถกูแล้วไม่อยากนั่งเหรอ ” ผมชักไม่พอใจ ดูท่าทางโบกะกอร์ฟมันก็
ออกตกใจนิดหน่อยที่ผมพูดแบบนี้ โดยเฉพาะโบที่นั่งข้างหลังกะมัน


“ไม่ได้ว่าอะไรนี่หว่า ขับๆไปเหอะ กูเหนื่อยแระ” มันบอก แล้วก็เอนนอนสบาย
ผมได้แต่กัดฟันกรอดๆ แล้วก็ดูเหมือนมันจะหลับไปจริงๆซะงั้นล่ะ จนโบมัน
ลงรถแล้ว มันก็ยังไม่รู้สึกตัว


ติ้ดดด ... ติ้ด ........


“ฮัลโหลคับ”


“ปริ้นเหรอวะ จะกลับหอกี่โมง ” เสียงพี่ท็อปแว่วมาตามสาย ตอนนี้ผมยังต้องอาศัยอยู่กับพี่ท็อป
อยู่คับ เพราะยังหาหออยู่ไม่ได้เลย ไม่อยากอยู่แถวรามด้วย มันไกล


“ประมาณทุ่มนึงได้คับพี่ จะไปส่งเพื่อนก่อนด้วย”


“เออ พี่จะออกไปข้างนอกอ่ะ เอากุญแจไปแล้วใช่มั้ย”


“คับพี่ ไม่ต้องห่วง” ผมพูดเสร็จก็วางสายไป


“พี่โทรมาตามกลับเหรอ” กอร์ฟถาม


“อืม ”


“ไมไม่หาหออยู่แถวหน้ารามอ่ะ ใกล้ดีออก”


“ไม่ชอบหว่ะ มันไกลอ่ะ” ผมบอก เพราะว่ายังมีเพื่อนที่รู้จักอยู่แถวนี้เยอะกว่า
แล้วมันก็ไม่สะดวกสบายเท่าไรด้วย


“แล้วนายอ่ะ ทำไมไม่อยู่หอ” ผมถามกลับ


“แม่ไม่ให้อะดิ ”มันว่า


“โห โตเป็นฟายแระ แม่ยังหวงลูกอีกเว้ย ” ผมหยอก


“แฮะๆ เวลามันเขินมันจะเอามือเกาหัวคับ น่ารักดีหว่ะ


บ้านไอ้กอร์ฟเลยเกษตรฯไปนิดเดียวก็ถึง พอมันลงจากรถ มันก็สะกิดเตือนผมว่า
ข้างหลังยังมีไอ้นิคอีกคนนะ


“เออลืมไปเลยหว่ะ แม่ง ดูมันหลับสบายใจชิบ” ผมบ่นกะกอร์ฟ


“เฮ้ย ... ”


“เฮ้ยยยย”


“อาราย มึง กูนอนอยู่เบาๆดิ”


“มึงลุกมานั่งข้างหน้าเลย กูไม่ใช่คนขับรถมึงนะ” ผมว่ามัน


“เออ .. แม่งคนจะหลับจะนอน” น่านกูผิดอีก


มันเดินลงจากรถ แล้วก็มานั่งเบาะข้างคนขับ แล้วก็เสือกจะนอนต่ออีก


“เฮ้ยยยย”


“เป็นเหี้ยไรมึงเนี่ย เสียงดังอยู่ได้” มันว๊ากใส่


“แล้วกูจะตรัสรู้มั้ยว่าที่ซุกหัวมึงอยู่ไหน”


“มึงขับๆไปเรื่อยๆก่อนล่ะกัน”


“กูไม่ใช่แท็กซี่นะ”


“มึงอย่าตีค่ารถมึงสูงขนาดนั้น - - ขับไปทางลาดพร้าวอ่ะ”


ห่า หลอกด่ารถกูอีก ผมคิดในใจ


“แล้วทำไมมึงไม่บอกตั้งแต่ตอนแรกวะ ให้ย้อนไปย้อนมาอยู่ได้” ตอนนี้สติผมชักจะหลุดแล้ว
อารมณ์ไม่ดีมาก ในใจได้แต่คิดว่าทำไมกูต้องมาเจอมันด้วยนะ ซวยชิบ


คร่อกกกก ...... Zzzzzzzzz


เสียงกรนมันน่ารำคาญมาก นั่นไม่เท่าไหรเท่ากับ ผมเห็นเม็ดฝนมันตกเปาะแปะๆ ลงที่หน้ากระจกรถ
ซึ่งเริ่มแรงขึ้นจนต้องเปิดที่ปัดน้ำฝน เห้อ ฝนตกรถติดอีก เป็นตรรกะงี่เง่าที่สุดในกรุงเทพ


คร่อกกกก .....


ผมเหลือบตาไปมองมัน หลับสบายเชียวนะมึง ผมคิดไรไปเรื่อยๆ แล้วก็เลยหันไปเปิดวิทยุดีกว่า
มานั่งหงุดหงิด

.
.

.

- ไม่เคยได้รู้ว่าเธอเป็นไง ข่าวคราวเงียบหายเมื่อจากกัน


เธอมีใครมาแทนที่ฉัน แล้วเค้าดีเหรอเปล่า


มีฉันมั้ยเวลาที่ฝัน หรือว่าลืมทุกเรื่องราว


คิดถึงฉันเหรอเปล่า เมื่ออยู่คนเดียว


.

ตั้งแต่ครั้งนั้น ที่เธอไม่อยู่


ชีวิตดูเปลี่ยนไป


ยังอ้างว้างยังเสียใจ เหลือเพียงแต่ความเงียบเหงา

ยังคิดถึงวันที่ผ่าน วันที่มีแต่เรา


วันนี้มันว่างเปล่า เหงาจนจับใจ คิดถึงเธอรู้ไหม

คิดถึงเธอทุกที ที่อยู่ - - แกร๊ก

เปิดเพลงบ้าไรวะ แต่ผมก็นั่งฟังไปจนเกือบจะจบเพลงอ่ะ คิดถึงมันเหลือเกิน
คิดถึงเวลาที่อยู่ด้วยกัน ทำไมคิดว่าลืมได้แล้ว แต่พอมีอะไรมาสะกิดนิดหน่อย
มันก็เจ็บขึ้นมาอีก3


“ปิดไม ยังฟังไม่จบเลย ” เสียงข้างๆทักขึ้นมา ผมก็หันไปไม่รู้หรอกว่าตาตัวเอง
มันแดงเรื่อๆ


“สงสัยเพลงจะโดน หึหึ” มันเห็นตาผมก็ปากหมาอีกตามเคย


“โดนเหี้ยไรมึง หยุดพูดไปเหอะ” ผมด่ามันที่เข้ามายุ่งเรื่องส่วนตัว


“โดนแฟนทิ้งมาเหรอไง” มันเดาถูก ตอนนี้มือผมกำพวงมาลัยไว้แน่นโดย
ไม่รู้ตัว อยากจะซัดหน้ามันจริงๆ


“ทำไมมึงชอบเสือกเรื่องคนอื่นจัง” ผมว่ามันโดยไม่หันหน้าไปหา


“มึงด่ากูเหรอ โห่ว้อย กูก็นึกว่าแม่งมีน้ำใจ ถ้ารู้ว่าขึ้นมาแล้วโดนด่าแบบนี้กูไม่ขึ้นมาหรอก”
มันก่นด่าไม่เลิก กูซิต้องเป็นคนพูดคำนั้น


ผมหันไปมองหน้ามันด้วยความม่ะโหสุดๆ


“กูก็ไม่ได้เป็นคนอยากช่วยมึงตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว ถ้ามึงไม่หยุดพูด มึงก็ลงไปเลยป่ะ”


ไอ้นิคมันพูดไม่ออกคับ แต่ดูจากสายตามันก็แสดงให้เห็นว่าโกรธผมอย่างแรงเลยอ่ะ
ตอนแรกนึกว่ามันจะด่าผมกลับตามเดิม แต่มันกลับหยิบของของมัน แล้วก็เปิดประตูรถ
ออกไปทั้งๆที่อยู่กลางแยก แถมฝนก็ตกหนักอีกตะหาก

เสียงประตูรถกระแทกกลับเข้ามาดังสนั่น แล้วร่างไอ้นิคก็วิ่งตากฝนไปอีกฝั่งนึง ผมยังไม่ทัน
ตั้งตัว สัญญาณไฟมันก็เขียวพอดี เลยต้องออกรถไปเลยตามเลย


“แม่ง มาโทษกูไม่ได้นะว้อย เสือกปากหมาเอง” ผมบ่นอยู่ในรถงึมงำ

.

.

.

.

.

.

.

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #53 เมื่อ23-10-2006 05:38:04 »

 

.
“ ห๊า ... พูดแบบนั้นกับเค้าไปจริงๆเหรอ ” เสียงโบถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อผมเล่า
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ฟัง ส่วนกอร์ฟก็หันไปทางที่ไอ้นิคนั่งเหมือนจะจดงานอยู่
ด้วยความกังวล


“ ทำไม กลัวมันจะมาหาเรื่องเหรอ ? ” ผมถามเพื่อนๆที่นั่งเรียนอยู่ด้วยกัน


“ เปล่าหรอก แค่ไม่คิดว่าปริ้นจะพูดแบบนั้นกับเค้าจริงๆ ” กิ้ปว่า


“ ก็มันทำนิสัยแบบนั้นกับเราก่อน เราก็ทำไม่ดีตอบแค่นั้นเอง ช่างมันเหอะ ต่อไปนี้ก็ต่างคน
ต่างอยู่อยู่แล้ว ” ผมสรุปก่อนที่จะหันความสนใจไปที่หน้าจอทีวีคอนเฟอเรน ที่แสดงเนื้อหา
วิชาที่ต้องเรียนรวมกับคนอีกหลายพันคนโดยไม่ได้สนใจสายตาที่จ้องมองเป็นระยะๆ


วันเวลาผ่านไปเกือบสองอาทิตย์ครับ ผมก็เริ่มสนิทกันกับเพื่อนในกลุ่มมากขึ้น จนทำให้
ลืมเรื่องบางเรื่องที่อยู่ในใจลึกๆไปได้บ้างเหมือนกัน แถมนอกจากการเรียนที่ดูเหมือนง่าย
แต่จริงๆยากมากแล้ว ผมยังต้องเหนื่อยกับการต้องขับรถจากหอพี่ท็อปมาเรียนถึงบางนา
อีก


“ เฮ้ย ปริ้น เย็นนี้พี่ให้ไปที่ซุ้มด้วยอ่ะ ” ไอ้กอร์ฟบอกหลังจากเดินมาเจอมัน


“ มีไรอ่ะ ”


“ เห็นเฮียโก๋บอกว่าจะจับคู่บัดดี้ ”


“ อาไร ทำไมต้องมีด้วยอ่ะ ”


“ ที่อื่นก็มีกันทั้งนั้นแหละ มีไรจะได้ช่วยเหลือกันไง ”


“ อ้าว แล้วงี้ถ้าเราไม่ได้คู่บัดดี้กะกอร์ฟก็จะไม่ช่วยอะดิ ”


“ ก็ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น ไอ้นี่นี่ ” ไอ้กอร์ฟส่ายหัว แล้วก็เดินนำไปหาโต๊ะนั่งเรียนคาบแรก


“ วันนี้ว่าจะชวนพวกไปดูหนังซะหน่อย อดเลย ”


พอเรียนตัวสุดท้ายเสร็จ พวกผมสี่ห้าคนก็เดินมาหาพี่ๆที่ซุ้มคับ ซึ่งตอนนี้ก็ต่างคนต่างมีกลุ่ม
เป็นของตัวเองแล้วล่ะ เวลาเจอหน้ากันบางคนก็แค่พนักหน้าให้กันเฉยๆ พอเป็นพิธี วันนี้
คนก็มาไม่ค่อยเยอะเท่าไร เพราะว่าบางคนหลังจากวันแรกก็ไม่เคยมาเข้าซุ้มอีกเลยก็มี นับๆ
ดูแล้ว ตอนนี้ก็มีประมาณสามสิบกว่าคนล่ะนะ (ก็เยอะอยู่) ผมเห็นไอ้นิคเดินมากับเพื่อนอีก
สองคนนั่งอยู่คนล่ะฟากกัน พอมันเห็นว่าผมมองอยู่ก็ทำเป็นเมินไม่สนใจคับ ก็ไม่แปลก
เพราะว่าตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง ผมกะมันก็ต่างคนต่างอยู่จริงๆ ไม่ได้มีการพูดคุยกันอีกเลย
ใจจริงลึกๆ(มาก) ก็รู้สึกผิดนะคับ ที่ทำไปวันนั้นเพราะอารมณ์เสียแท้ๆ


“ เดี๋ยวจะให้น้องๆ จับคู่บัดดี้กันนะคับ ” พี่โก๋ตะโกนผ่านไมค์ตัวเดิมอีกเช่นเคย


“ การที่มีบัดดี้เนี่ย จะทำให้น้องรู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีไรก็แบ่งปันกันนะคับ รู้ๆอยู่
พวกน้องเลือกมาเรียนที่นี่ ก็ต้องตั้งใจกว่าที่อื่นมากหน่อย บลาๆๆๆ ”


วิธีการจับบัดดี้ซุ้มนี้มีอะไรแปลกๆนิดหน่อยคือพี่เค้าจะมีถังใส่ดอกกุหลายอยู่เต็มไปหมด
ให้แต่ละคนเลือกไปคนล่ะดอก ผมกะไอ้กอร์ฟก็เลือกดอกที่มีสีเดียวกัน(ซึ่งก็มีสีเดียวกัน
หลายคน)


“ ทำไมต้องทำไรให้ซับซ้อนยุ่งยากด้วยฟ่ะ ” ผมกระซิบกะไอ้กอร์ฟ


“ ไม่รู้หว่ะ แต่ตื่นเต้นหว่ะ จาได้ใครเป็นกิ๊กว้า ”


“ บัดดี้ว้อย ม่ะใช่กิ๊ก ” ผมกระทุ้งมันไปทีนึง มันก็ทำเป็นขำ


ผมเห็นว่ามีคนไปหยิบดอกไม้แค่ครึ่งเดียว ก็หมดซะแล้ว ยังเหลือคนที่ยังไม่ได้อีกครึ่งนึง
พี่โก๋ก็แก้ข้อสงสัยด้วยการบอกว่า ที่ดอกกุหลาบจะมีกระดาษพันไว้อยู่ แล้วในกระดาษ
จะบอกคำใบ้ว่า เราจะได้ใครเป็นบัดดี้คับ


สรุปก็คือจะมีคนอีกครึ่งนึงเป็นคนที่ถูกเลือกจากคนที่หยิบดอกกุหลาบ ใครคิดวะเนี่ย
ดูม่ะค่อยใช้สมองเลย


“ อ้าว งี้ก็ไม่ได้เป็นบัดดี้กันอะดิ ดันเสือกไปหยิบด้วยกันทั้งคู่ ” ผมพูดกับกอร์ฟ ซึ่งมันก็
พยายามจะแกะกระดาษที่พันอยู่


“ น้องที่ไม่มีดอกกุหลาบให้นั่งลงอยู่กับที่นะคะ ส่วนคนที่แกะกระดาษแล้ว มายืนข้างหน้านี่
แล้วบอกข้อความดังๆ ” พี่กวางเป็นคนพูดใส่ไมค์


“ ใครที่คิดว่าเป็นตัวเองแล้วให้ยืนขึ้นมาหาเพื่อนข้างหน้านะคะ ” พี่เค้าอธิบาย


“ แต่ถ้าวันนี้ยังไม่รู้อีก - - - ” พี่กวางแกล้งทำท่าถมึงทึง “ พวกพี่ๆก็จะให้เวลาน้องหาจนกว่า
จะถึงวันออกค่ายนะคะ ถ้าไปออกค่ายแล้วยังไม่รู้ว่าบัดดี้คือใครอีก มีเฮคะ ”


“ ได้ข้อความอะไรวะ ” ผมหันไปถามกอร์ฟที่ทำหน้าปั้นยากอ่านอยู่


“ - AV - ”


“ อะไรคือเอวีวะ ” ผมถามแล้วก็หันไปมองหน้า


ไอ้กอร์ฟส่ายหัว


“ คงไม่เกี่ยวกะหนังเอ็กซ์หรอกมั้ง ” มันว่า


“ กามนะมึงเนี่ย ” ผมพูดแล้วก็ตบหัวมันเบาๆ


“ เป็นผู้ชายชัวว์เลยวะ ผู้หญิงคงไม่ดูหนังเอวี 55 ” มันหัวเราะสำทับ


“ ไม่แน่ๆ ” แล้วผมกะมันก็หัวเราะซะเสียงดัง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่กล้าคิดว่าเป็นใคร


“ แล้วของปริ้นล่ะ ”


“ ยังไม่ได้แกะเลย แป็บนึง ” ผมบอกแล้วก็หันไปแกะของตัวเอง ซึ่งลำบากกว่าของ
กอร์ฟเพราะว่ามีหนามเต็มเลย


“ โอ๊ะ .... ”


“ แกะภาษาไรวะ ให้หนามตำ ” มันบอกพร้อมกับล้วงไปหยิบผ้าเช็ดหน้ากำลังจะมาซับเลือดที่นิ้ว


“ เฮ้ย ม่ะเป็นไร เด๋วมันเปื้อนเลือด ” ผมจะชักมือออก แต่มันก็ดึงไว้


“ ไม่เป็นไรเดี๋ยวก็ซักได้ ” ไอ้กอร์ฟบอกผมแล้วก็เอาผ้าเช็ดหน้ากดลงไปตรงที่เลือดไหล


“ ขะ ขอบใจ ” ผมยิ้มตอบแทนไป


มันก็ยิ้มตอบกลับแล้วก็เอื้อมไปหยิบดอกกุหลาบของผมมาแกให้แทน


“ - ละอ่อนเหนือ - ”


ผมกะมันเงยหน้าขึ้นมามองตากันด้วยความสงกะสัย


“ แปลว่าไรอ่ะ ” ผมถามมัน


“ อืมมมมม ... เด็กเหนือมั้ง ” มันว่าแล้วก็ส่งกระดาษให้ผม


“ ที่นี่มีคนเหนือมาเรียนด้วยเหรอเนี่ย ”


“ เค้าก็มากันได้ทุกภาคแหละ ” ไอ้กอร์ฟบอก


.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.


เย็นนั้นสรุปว่าทั้งผมทั้งไอ้กอร์ฟก็ยังหาบัดดี้ไม่ได้ แต่ก็มีบางคนที่หาได้แล้ว บางคนก็กั๊กไม่ยอม
บอกว่าเป็นตัวเองก็มีคับ เซงไปเลย พอเลิกจากที่ซุ้มก็ยังไม่ได้แยกย้ายไปไหน เพราะว่าพวกพี่โก๋
นัดพวกน้องๆผู้ชายไปเลี้ยงเหล้ากันที่ร้านแถวๆนั้น


“ ไม่ไปได้ป่ะพี่ ” ผมปฏิเสธพี่เค้า


“ เฮ้ย ไปหน่อยเด๊ะ พวกพี่เลี้ยง ไม่ต้องจ่ายหรอก มันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ” พี่โก๋ว่า


“ มันไม่ใช่แบบนั้นพี่ แต่ผมไม่กินเหล้า ” ผมบอก


“ จริงดิ ” พี่แกมองหน้าผมแบบไม่ค่อยเชื่อ ผมก็พยักหน้า


“ งั้นไปหัดกินกะพวกพี่เลย ” พี่โก๋พูดพลางกอดคอบังคับผมเดินไปจนได้


“ พี่ ... ผมต้องขับรถกลับด้วยนะ ”


“ ไม่เป็นไรหรอกน่า ไปด้วยกัน กินนิดๆหน่อยๆ ก็อย่าให้เมาเด๊ ” พี่แกยังไม่ลดละ


“ ไปแป็บเดียวก็ได้ปริ้น ” ไอ้กอร์ฟแทนที่จะช่วยห้าม ดันมายุให้ไปซะงั้น


ผมมองหน้ามันแบบหมดหวัง แล้วก็ได้แต่เดินตามพวกเพื่อนๆไป ราว 6 โมงเย็น ก็มากันนั่งกันพร้อมหน้า
พร้อมตาคับ ถึงแม้จะไม่มีพวกผู้หญิงมา แต่ก็มีรุ่นพี่ผู้หญิงบางคนก็มากับแฟนเค้าหลายคน


“ น้องกอร์ฟนี่น่ารักจังเนอะ มีแฟนยังคะ ” พี่ผู้หญิงคนนึงทำทีเป็นเข้ามาจีบเพื่อนผม


“ นี่มึงน้อยๆหน่อย เด๋วน้องเค้าตื่นหมด ” พี่อีกคนนึงแซว พร้อมกับเสียงหัวเราะเฮฮา บรรยากาศดูครื้นเครง
ดีครับ ซักพักผมก็เห็นพวกกลุ่มไอ้นิคเดินเข้ามา


“ อ้าวนึกว่าไม่มาซะแล้ว ” ไอ้กอร์ฟดันไปทักมันอีก


“ มาดิ ของฟรีนี่หว่า" มันว่าพลางยักคิ้วให้ทีนึง "เฮ้ย ว่าแต่หน้าอ่อนๆแบบนี้จะแดกเหล้าได้เหรอวะ
เด๋วก็เมาเป็นหมาไม่มีใครช่วยนะเฟ้ย ” มันพูดแต่สายตามันถ้าเผื่อผมไม่ได้มีอคติจนเกินไป ผมว่ามัน
จ้องมาที่ผมมากกว่าที่คุยกะไอ้กอร์ฟ


“ เฮ้ย กินได้ดิ สบายๆ ” กอร์ฟตอบพลางคบไหล่ไอ้นิคทีนึง


“ เออ ”


คุยเสร็จแล้วมันก็เดินไปกรอกเหล้าเข้าปากเลยคับ ไอ้นี่ดูท่าทางคอทองแดงไม่ใช่เล่น แต่ว่าผมไปเสือกอะไร
เลือกของมันล่ะเนี่ย ก็เลยหันกลับมาคุยกะกอร์ฟต่อ เรื่องโน้นเรื่องนี้ คุยไปก็เห็นมันกระดกไป อืม ไอ้นี่
เห็นหน้าใสๆ แต่กระดกเหล้าเป็นน้ำเหมือนกันวะ


“ เอาซักแก้วดิ ” มันพูดพลางกรอกเหล้าผสมโซดาที่ปริมาณมากกว่าปกติยื่นให้


“ ไม่กิน ” ผมทำท่าจะปัดแก้วออกไป


“ จาเมาได้ไง ใส่โซดาไปตั้งค่อนแก้ว เอ้าเอ้า กินๆ ” แล้วมันทำเป็นจะยัดแก้วเข้าปากผม
ให้ได้ จนต้องบอกมันว่าเด๋วกินเอง


เอื้อกๆๆๆๆ


เชี่ย ขมชิบเป๋ง กินกันไปทำไมวะ ผมคิดในใจ


“ ก็กินได้นี่หว่า ” ไอ้กอร์ฟมองแล้วก็หยิบแก้วกลับไปกรอกมาให้ใหม่


“ อีกแก้วดิ ”


ผมขี้เกียจขัดใจมัน ก็เลยคว้าไปกินอั๊กๆๆ


“ พอแล้วนะเว้ย เด๋วต้องขับรถกลับอีก ”


มันไม่ได้ว่าอะไร แล้วก็หยิบแก้วกลับไปกรอกกินเองใหม่ คราวนี้ดูหน้ามันเริ่มแดงเรื่อๆ
แล้วดิ น่ารักชิบ


“ เออ งั้นกินอีกแก้วเป็นเพื่อนกูหน่อย ” กอร์ฟบอกผมด้วยท่าทีแปลกๆ สงสัยคงเริ่มเมาแล้ว
มั้ง ก็อย่างทีเค้าบอก พอเหล้าเข้าปาก คนเราก็มักเปลี่ยนไป ...เจงๆ


“ อีกแก้วเดียวพอนะ ” ผมบอก มันก็พยักหน้ายิ้มๆ แล้วก็ด้วยความที่คิดว่ามันยังผสม
โซดาค่อนแก้วเหมือนเดิม ผมก็รีบคว้าไปกินให้หมดๆไป


โอ๊กก .... เชี่ยนไอ้กอร์ฟ แม่งไม่ได้ผสมอะไรเลยดิเนี่ย สาดด ผมด่ามันเข้าให้
เพราะว่ามันใส่เหล้าให้เพียวๆเลยคราวนี้


“ 555 อ่ะ อ่ะ ไม่กินก็ไม่กินแล้ว เด๋วไปชวนคนอื่นกินต่อดีกว่า ” มันว่าพลางเดินโซซัด
โซเซไปโต๊ะอื่น ผมก็นั่งมึนอยู่ที่โต๊ะคนเดียวคับ เพลงในร้านก็เริ่มเปิดให้คนเต้นกันแล้ว


เฮ้ย แม่งตาลายวะ ผมคิดในใจ เพราะรู้สึกเห็นอาไรมานพล่ามัวไปหมดแว้ววว


อึ๊ก อี๊ก ...


“ เอ้า น้องปริ้น มานั่งไรตรงนี้คนเดียว มาชนแก้วกะพี่หน่อยป่ะ ” เสียงพี่โก๋ได้ยินรำไร
พร้อมกับใส่แก้วเหล้าให้แก้วนึง


“ เอ้า ชนหน่อย ”


ตอนนั้นรู้สึกว่าสติสตังค์ผมเริ่มจะหลุดแล้ว ก็เลยชนกะพี่เค้าไปอีกสองสามแก้ว


อึ๊ก อี๊ก ...อึ๊ก อี๊ก ...


“ ม่ายหวายแล้วเพ่ ผมชากมึนมึนหัวหว่า ”


“ อ้าวเหรอวะ งั้นนั่งพักก่อนล่ะกัน ไม่เป็นไรนะ ” พี่โก๋บอกพลางตบไหล่ผมทีนึงแล้วก็เดิน
จากไป คราวนี้ผมนอนฟุบไปกับโต๊ะเลย เพราะรู้สึกมึนคว้างไปหมด แถมยังปวดมวน
ในท้องอีก


ผมทำท่าจะขยอนของเก่าออกจากท้อง แต่ก็ระงับเอาไว้ โคตรทรมานเลย จนพอเริ่มรู้สึก
ดีขึ้น ความง่วงก็ถาโถมเข้ามาหาแทน ผมเริ่มฟุบหลับไปตรงนั้นนั่นหละ ใครจะทำไม

.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

“ ปริ้น ปริ้น ”


ครายเรียกว้า


ผมค่อยๆลืมตาขึ้น อาการปวดหัว แถมอยากอ๊วกมันกลับมาอีกรอบแล้ว ผมรู้สึกมีมือมาจับที่
ไหล่เพื่อพยุงตัวผมไว้ ผมก็มองหน้า แล้วก็ต้องชะงักเล็กๆ


“ โอ้ต .. ”


“ รู้ว่ากินเหล้าไม่เป็นทำไมยังมากินอีก ” เสียงไอ้โอ้ตว่าผม


ตอนนั้นอารมณ์ผมฉุนกึกขึ้นมาเลย มันมีสิทธิ์อะไรมาว่าผมเนี่ย


“ ผมจะกินอะไรมันเกี่ยวอะไรกับพี่โอ้ตละวะ อย่ายุ่งได้ป่ะ ” ผมพยายามจะดันตัวให้หลุดจาก
ไอ้โอ้ต แต่ยิ่งขยับมันยิ่งรัดแน่นขึ้น


“ อย่าดื้อได้ป่ะ แล้วนี่มาเรียนหนังสือไม่ใช่ให้มากินเหล้า ไม่รู้เหรอไง
ว่าคนเค้าเป็นห่วงแค่ไหน ทำไมทำตัวเหลวไหลแบบนี้ ” มันว่ามาเป็นชุด


“ เป็นห่วงแล้วไงล่ะ ไปเป็นห่วงคนที่เชียงใหม่โน่นเถอะไป๊ ” ผมกระชากเสียงใส่


“ ก็ทำตัวแบบนี้ซิ โอ้ตถึงอยากไปมีคนอื่น ” คราวนี้เป็นไอ้โอ้ตตะคอกใส่หน้าบ้าง


“ ว่าเอาแต่โทษคนอื่นเลยปริ้น ดูตัวเองบ้างเหอะ ตัวเองทำตัวดีพอสำหรับโอ้ตเหรอเปล่า
ที่บอกว่าโอ้ตไปมีคนอื่น แล้วทีไอ้โค้กล่ะ อย่าบอกนะว่าไม่เคยคิดอะไรกับมัน”


โอ้ตจ้องตาผมเขม็ง สายตาแฝงไปด้วยอารมณ์จับผิด


“ พะ พูดอะไรบ้าๆอ่ะ เราไม่เคยคิดอะไรกับไอ้โค้กเกินพี่น้องนะโว้ย ” ผมรีบแก้ตัว รู้สึกว่าน้ำตา
เริ่มปริ่มๆที่ได้ยินโอ้ตมันดูถูกหัวใจผมแบบนี้


“ ถามจริงๆ ถ้าไอ้โค้กมันกล้าบอกชอบปริ้นขึ้นมา โอ้ตไม่คิดว่าปริ้นจะตอบปฏิเสธมันหรอก ”
โอ้ตพูดแทงใจดำ จนผมทนไม่ไหวแล้ว


“ ไม่เจงอ่ะ เราม่ะ ไม่เคย ไม่ - - ฮึก ไม่เคยลืมสัญญาที่ให้ไว้กับโอ้ตเลย ไม่เคย ” ผมเถียงกลับไป
พร้อมๆกับความรู้สึกอุ่นๆที่ไหลลงมาข้างแก้ม


โอ้ตปล่อยมือออกจากที่พยุง จนร่างผมลงไปกองอยู่บนพื้น ผมเงยหน้าไปมองมันหวังจะให้มันช่วย
พยุงอีกครั้ง แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นรอยยิ้มที่ดูแคลน


“ ปริ้นรู้ว่าโอ้ตทำถึงขนาดนี้แล้ว ก็ยังรักโอ้ตอยู่อีกเหรอ - - หึ ปริ้น โง่จังนะ ”


คำๆนั้นที่ผมได้ยิน ทำให้ตัวเองรู้สึกจุกจนพูดไม่ออก ผมอยากจะห้ามไม่ให้ความเสียใจมันไหลออก
มาจากตาทั้งสองข้าง แต่มันก็อดทนไม่ไหว ทำไมมันต้องว่าผมถึงขนาดนี้ ใช่ดิ ก็ผมมันโง่จริงๆ
รู้ทั้งรู้ว่าเค้าไปมีคนอื่นแล้ว แต่ทำไมผมถึงยังรักมันอยู่


ผมอยากจะบอกมันคำเดียว ว่าผมใช้หัวใจรักมัน ไม่ได้ใช้สมองรักมัน ....


......................


.........


.....


..

“ ฮึก อึกก - - โอ้ต โอ้ต อย่าปาย ”


“ โอ้ต อย่า - - อึ๊ก ”


ผมสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาทันที เพราะเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังจะพุ่งออกมาจากปาก
เร็วเท่าความคิด ถึงแม้เรี่ยวแรงจะมีไม่ค่อยมาก ขาผมก็พาก้าวเข้าไปที่ที่คิดว่าเป็นห้องน้ำ
แล้วก็พ่นเอาสิ่งที่ค้างเก่าเมื่อคืนที่โถส้วม หมดสภาพจริงๆเลยกู


นั่งอ๊วกไปจนหมด แรงจะยืนแทบจะไม่มี ผมเลยต้องคลานออกจากห้องน้ำแทน พอสายตา
ชินกับความมืดได้บ้าง ก็เริ่มใช้สมองลำดับเหตุการณ์เมื่อคืน ผมแทบจำอะไรไม่ได้เลย แล้ว
ก็รู้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ที่ร้านเหล้าแล้วล่ะ แต่มาอยู่ที่ห้องห้องนึ่งซึ่งไม่คุ้นตาเลยพับผ่าซิ


ผมนั่งแบบหมดท่าอยู่ด้านล่างเตียงซักพักให้หายมึน พลางคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้


เฮ้อ ฝันไปเองนี่หว่ากู ไอ้โอ้ตมันจะมาได้ไง ผมคิดพลางรู้สึกโล่งใจว่า โอ้ตมันไม่ได้ว่า
ผมแบบนั้นจริงๆ แต่ในฝันมันก็ทำให้ผมรู้สึกตัวเองได้ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
เหมือนกับว่าผมสามารถลืมมันไปได้เพียงชั่วคราว แต่มันยังอยู่ในหัวใจผมตลอด นี่
ผมจะไม่สามารถลืมมันได้จริงๆเหรอเนี่ย ?


อ๋อย หิวน้ำ ผมพึมพำ พลางกวาดสายตาภายในห้อง โชคดีที่พอมีแสงไฟลอดเข้ามาได้บ้าง
ดูสภาพแล้วแลดูรกพอสมควร เบาใจได้ว่า กูคงไม่โดนรุ่นพี่ผู้หญิงคนไหนฉุดมานอนด้วย
แน่นอน แล้วก็เหลือบไปเห็นขวดน้ำอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ ก็เลยค่อยๆคลานสี่ขา พยุงตัว
ขึ้นไปหยิบ สายตาก็ดันไปเห็นกรอบรูปตั้งโชว์อยู่ เป็นรูปเหมือนทะเลสาบ หรืออ่างเก็บน้ำ
อะไรซักอย่าง ด้านล่างรูปมีตัวอักษรเขียนด้วยลายมือไว้ว่า อ่างแก้ว ตามด้วยวันเดือนปี
ที่ถ่ายล่ะมั้ง


ผมเลิกสนใจรูปนั้นแล้วก็ไปคว้าขวดน้ำมาดวดแก้กระหาย แล้วก็พยุงตัวเองมาที่เตียงนอน
ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกเลยคับว่า มีคนอีกคนนอนอยู่บนเตียงด้วย จริงๆแล้วต้องบอกว่า ไม่ได้เอะ
ใจด้วยซ้ำว่า ที่นี่คือที่ไหน สงสัยเป็นเพราะสติมันยังกลับมาไม่สมบูรณ์ ในหัวคิดอย่างเดียว
ว่าอยากนอนต่อเท่านั้นเอง ก็ล้มตัวลงไปนอนตามปกติ


สติผมเริ่มเลื่อนลอยคล้ายกับเหมือนจะฝันอีกรอบ รู้สึกเหมือนกับว่ามีคนมาโอบกอดอยู่ข้างๆ
อ่า ความรู้สึกอุ่นๆแบบนี้ มันหายไปจากตัวเองนานเหลือเกิน ตั้งแต่ไอ้โอ้ตไป ก็ไม่ได้รู้สึกเหมือน
โดนกอดแบบนี้มาตั้งนาน(ของมันแน่อยู่แล้ว) ผมเหมือนจะซุกตัวเข้าหาอ้อมกอดนั้น พร้อมๆกับ
ได้ยินเหมือนเสียงฝนจะตกแว่วๆ ผ่านหน้าต่างที่หัวนอน


ผมรู้อย่างเดียวในคืนนี้ ความอบอุ่นที่มันหายไปนาน มันกลับมาหาอีกครั้ง อย่างน้อยที่สุด
ก็ในราตรีนี้แหละ



.

.

.

.

.

.

.

.

.

.


ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #54 เมื่อ23-10-2006 05:39:15 »

เอ๊ะ ! นี่กูมานอนอยู่ที่ห้องใครวะ
นั่นเป็นความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาหลังจากที่เริ่มรู้สึกตัว เพียงแต่ว่าตัวผมเองยังไม่ได้ขยับเขยื้อนตัวไปไหนก็เท่านั้น


ผมเปิดเปลือกตาอย่างช้าๆ สภาพห้องดูจะเห็นชัดเจนมากกว่าเมื่อคืนที่ตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย เพียงแค่
จะขยับตัวแค่เล็กน้อยเท่านั้นแหละ หัวผมก็รู้สึกเหมือนหมุนคว้าง อาการแบบนี้คงเรียกว่ายังเมาค้าง
ไม่หายแน่ๆ มือข้างนึงยกขึ้นออกจากผ้าห่มมาบีบขมับตัวเองหวังจะไล่ความวิงเวียนนี้ออกไปได้


“ โอ้ยยย... ไอ้กอร์ฟนะไอ้กอร์ฟ เมื่อคืนกูไม่น่ากินกะมึงด้วยเล้ยยย ” ผมบ่นกับตัวเองเบาๆ แล้วก็พยายาม
ชันตัวเป็นกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง หันไปรอบๆห้อง ถึงแม้จะดูรก แต่ก็ไม่ได้ซกมกอะไรมากมาย
มีเหรียญรางวัลอะไรซักอย่างห้อยอยู่สามสี่เหรียญตรงมุมห้อง พร้อมกับรูปคนยืนรับรางวัล แต่ผมก็มอง
ไม่ชัดหรอก ช่วงหลังๆนี้ชักรู้สึกว่าตัวเองชักจะสายตาสั้นซะแล้ว ว่างๆผมคงต้องลองไปตัดแว่นดูซะที


ติ้ดดด ติ้ดดดด ติ้ดดดดดดด


จำได้ว่าเป็นเสียงมือถือของตัวเอง แต่ผมก็ต้องหันไปหารอบห้อง ด้วยความที่ไม่ชินพื้นที่


“ หวัดดีคับ ”


“ เออ ปริ้น เป็นไงหายเมายัง ” เสียงที่ไม่ค่อยคุ้นหู แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเป็นพี่โก๋


“ พี่โก๋เหรอคับ ยังมึนๆอยู่เลยพี่ ” ผมบ่นให้ฟังพลางนวดที่ต้นคอตัวเองไปพลาง


“ สงสัยที่ว่าคออ่อนจะจริงวะ เมื่อคืนเมาหมดสภาพเลยรู้เหรอเปล่า เอ็งอ่ะ ” เสียงตามสายทำให้ผมรู้สึก
แย่กับตัวเองมากกว่าเดิม


“ ละ แล้วผมไปทำอะไรน่าเกลียดบ้างเป่าพี่ ” ชักเป็นห่วงภาพพจน์ใสซื่อของตัวเอง


“ 555 เยอะแยะวะ ไอ้ปริ้นเอ้ย ไปม.แล้วจะเล่าให้ฟังล่ะกัน ” พี่โก๋ว่า


“ เฮ้ย แล้วผมทำอะไรเหรอพี่ ” ผมละล่ำละลักถาม


แต่พี่แกก็ไม่ยอมพูดอะไร เอาแต่หัวเราะร่วน แล้วก็วางสายไป แม่ม -*-


ม่ะคืนกูต้องทำอะไรขายขี้หน้าชาวบ้านแน่ๆ แสดด หมดกานนนน ผมคิดในใจ แล้วก็รีบพยุงตัว
ลุกขึ้นมาเก็บผ้าห่ม พอดีกับที่รู้สึกทำไมเสื้อผ้าที่ตัวเองใส่มันหลวมโคร่งๆวะ


อ้าว กูไม่ได้ใส่ชุดนศ. นี่หว่า เป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นที่ไม่คุ้นตาเลย สติผมกลับคืนมาเกือบเต็มร้อย
แล้ว นั่นซิ ผมก็ว่าตอนตื่นขึ้นมา ถึงได้กลิ่นคล้ายๆกับน้ำหอมจางๆเหมือนเคยได้กลิ่นมาก่อนที่ไหนวะ


ผมก้มลงไปดมเสื้อที่ใส่อยู่ จริงๆด้วยกลิ่นนี้มันเหมือนเคยได้กลิ่นจากที่ไหนนี่แหละ ! แล้วผมจะโง่อยู่ใย
ในเมื่อในห้องนี้ก็มีรูปแขวนไว้อยู่ตั้งเยอะแยะ ผมเลยเลือกไปดูรูปนึง ไม่ผิดแน่ ดูถึกๆ เถื่อนๆแบบนี้


กริ๊กก .... <------- เสียงเปิดประตู


“ ดูไรของชาวบ้านนั่นน่ะ ” เสียงแฝงความกวนส้นตีนตั้งแต่วันแรกที่ผมมาเรียนที่แห่งนี้ ดังขึ้นมาจากตรงประตู
ห้อง ผมสะอึกกึก แล้วก็ค่อยๆหันไปทางมัน พร้อมกับปรับสีหน้าไม่ให้ดูตื่นกลัวเกินเหตุ (เจอโจทย์เก่านี่หว่า)


เป็นไอ้นิคยืนถือถ้วยเนสกาแฟมองมาที่ผมด้วยสายตาไม่พอใจเท่าไร


“ ดะ ดูรูป ” ผมตอบแบบขวานผ่าซาก แต่เสียงดูจะแหบๆ


“ เออ รู้ เห็นอยู่ว่าดู แต่ดูทำไม ใครให้ดู มารยาทน่ะมีมั้ย ” ดูมันว่าผมเป็นชุด ยากที่จะตอบโต้ในภาวะแบบนี้
ผมก็เลยอดใจไม่ตอบโต้มันไปก่อน


“ มารยาทกูจะมีเฉพาะคนที่สมควรจะมี ” ผมก็ไม่วายนะ เผลอพูดออกไปจนได้ มันทำท่าจะเอากาแฟสาดใส่ผม
แต่ถ้ามันสาด ก็เลอะห้องมันด้วยล่ะ เหอๆ


“ แม่ง เมาเหมือนหมาเมื่อคืน ยังปากดีอยู่ได้นะ ” มันทำหน้าเหมือนจะเยาะเย้ย แล้วก็เดินย่างสามขุมเข้ามาหา


“ เอ้า แดกซะ ไม่แดกจะสาดหน้าให้ ”


ผมจำใจต้องรับไว้ ทำไมมันไม่พูดดีๆวะ คำขอบคุณจะได้หลุดจากปากผมบ้าง พร้อมกับรับแก้วกาแฟมาทื่อๆ
แบบนั้นล่ะ


“ โอ๊ะ ขมชิบ ” ผมบ่นให้มันได้ยิน


มันเหลือบสายตามาแป็บนึง แล้วก็ส่ายหน้าไปมา ทำทีเป็นว่าผมม่ะรู้อะไรซะเลย แต่พอจิบไปได้ซักพัก
ก็รู้สึกว่าอาการแฮ้งๆม่ะกี้เริ่มจะค่อยยังชั่วบ้างแล้ว ระหว่างที่ผมนั่งจิบกาแฟอยู่บนเตียง ไอ้นิคก็ทำเป็น
รื้อเสื้อผ้าอยู่นั่นแหละ สงสัยมันเตรียมจะออกไปเที่ยวนอกบ้าน


“ ถามไรหน่อยดิ ” มันพูดขึ้นมาลอยๆ แต่ผมก็ทำเป็นไม่สนใจ นั่งจิบกาแฟต่อ


มันเห็นผมไม่รับรู้อะไร เลยหันมาตะคอก


“ เฮ้ยย ! ฟังกูอยู่เหรอเปล่า ”


“ อ้าว พูดกับกูเหรอ ” ผมทำเป็นหน้าตาใสซื่อกวนโอ้ย ในใจคิดว่าสันดานนี่มาตะคอกกูอยู่ได้


“ เออ พูดกะมึงแหละไอ้เกย์ ” มันย้ำคำหลังเสียงดังฟังชัด


“ แค่ก แค่กก ” ผมถึงกับสำลักกาแฟไอค่อกแค่ก


“ มะ มึงว่าอะไร ใครเป็นเกย์ ” ผมค่อนข้างตกใจพอสมควร จริงอยู่ผมก็ไม่ได้คิดจะปิดบัง
ใครเรื่องแบบนี้ แต่นี่ทำไมไอ้นิคมันรู้ได้ไงวะ


มันหันมามองผมเหยียดๆ


“ อ้าว ก็มึงไง ไม่ใช่เหรอ ? ”


ผมกัดฟันกรอด วางแก้วกาแฟที่โต๊ะบนหัวนอน ทำท่าจะลุกไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับมัน
สายตาที่มันมองดูผมเหมือนกับว่าเป็นตัวอะไรซักอย่างแบบนี้ ผมแทบทนไม่ได้


“ ตกลงมึงเป็นจริงๆใช่ป่ะ ? ” มันยังเซ้าซี้ไม่เลิก แถมยังเดินมากันท่าไม่ให้ผมออกจากห้องอีก


“ เสื้อกูอยู่ไหน ” ผมถามเสียงแข็งไม่ยอมสบตามัน


“ อ้าว กูถามมึงก็ตอบกูมาก่อนเด๊ ” มันกระชากเสียงใส่ผมอีกแล้ว มันเป็นบ้าไรของมันวะ


“ กูจะเป็นอะไรมันก็ไม่เกี่ยวไรกะมึงนี่ไอ้นิค ” ผมด่าสวนมันกลับ แล้วก็ผลักตัวมันให้ถอยออกไป
อ่า เสื้อนศ ผมแขวนไว้ตรงราวระเบียงข้างนอก ดูท่าทางเหมือนพึ่งซักไปหยกๆ


“ เกี่ยวเด๊ะ ทีเมื่อคืน มึงยังมานอนกอดกูกลม กูยังไม่ว่าอะไรมึงซักคำ ”


มันพูดทำให้ผมเกือบขำ


“ เหอะ กูเนี่ยนะ จะไปกอดมึง ฝันกลางวันแล้วล่ะ ” ผมยังไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่มันพูด


“ เอ้า ... มึงอาจจะคิดว่ากูเป็นพี่อ้ง พี่โอ้ตอะไรนั่นก็ได้ เลยละเมอมากอดกู จริงเปล่า ” มันย้อนทำเอา
ผมสะอึกขั้นรุนแรง จริงๆด้วย เมื่อคืนผมฝันถึงไอ้โอ้ตนี่หว่า หรือว่าผมละเมอคิดว่าไอ้นิคคือโอ้ต
แล้วเผลอกอดมันไปวะ เสียแล้วกู


“ พูดไม่ออกเลยดิ ไอ้เกย์เอ้ย ”


“ มึงหยุดเรียกกูแบบนั้นนะ ”


“ ทำไมล่ะ กูจะพูดแบบนี้อ่ะ กูชอบ ” มันว่าพลางทำหน้ายียวน


อารมณ์ผมตอนนั้นพุ่งจี้ดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไม่เคยเจอคนเชี่ยอะไรได้มากถึงขนาดนี้มาก่อน
ในชีวิต แต่คนพรรณนี้ พูดอะไร อธิบายอะไรก็คงไม่ฟังแน่ๆ อคติมันมีเยอะ ทางที่ดีควรหลีกห่าง
ไปซะดีกว่า


ผมเก็บท่าทีที่จะตอบโต้มันทุกอย่าง พลางเดินไปหยิบกระเป๋าตังค์กับมือถือ แล้วก็เดินไปที่ระเบียง
จะเก็บผ้ากับห้อง


“ จะไปไหน ? ” มันถามเสียงขุ่น


“ กลับห้อง ”


“ กลับไปได้ไง นั่นมึงใส่เสื้อผ้ากูอยู่นะ ”


ผมอึ้งไปเลย มันจะอะไรนักหนากับกูว้อยยย


“ เด๋วกลับห้องไปซักให้ แล้วจะเอามาคืน ของโหลแบบนี้กูซื้อใหม่ให้ยังได้ ”


“ เออ ไอ้เก่ง ไอ้รวย - - - แต่กูไม่ให้ใส่กลับ ” มันว่า


ผมหันไปมองมันทำหน้าอาฆาตสุดกู่


“ ถ้ามึงอยากกลับ มึงก็คืนเสื้อผ้ากูมาก่อน มันพูดพลางมาจับขยับคอเสื้อที่ผมใส่อยู่ ”


“ ไปนั่งแดกกาแฟให้หมดไป๊ ” มันพูดเสร็จก็เดินหัวเราะหึหึ ออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมยืน
อยู่ภายในห้องที่ดูเหมือนว่าไฟโทสะมันปะทุจนถึงเกือบขีดสุด

.

.

.


ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #55 เมื่อ23-10-2006 05:40:04 »

.

.

ไอ้นิคปิดประตูคล้อยหลังไป ปล่อยให้ผมนั่งจุ้มปุกอยู่บนเตียงที่นอนเมื่อคืน ในมือก็ถือ
แก้วกาแฟรสขมจัดแต่ก็ส่งกลิ่นหอมกรุ่นโชยออกมา


- ทำไมเราต้องมาเจอแต่คนแบบนี้ด้วยวะ- ผมเฝ้ารำพันกับตัวเอง พร้อมกับค่อยๆจิบกาแฟ
ไปเรื่อยๆในห้องสลัว มองไปข้างนอกหน้าต่าง เมฆฝนเริ่มก่อตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อนดำ
ได้ซักพักแล้ว


- ฝนจาตกอีกแล้วเหรอเนี่ย -


คิดได้ไม่ทันขาดคำ ก็ได้ยินเสียงเม็ดฝนตกดังเปาะแปะๆ กลิ่นดินที่ถูกน้ำฝนค่อยๆตลบ
อบอวลขึ้นมา ผมพยุงตัวขึ้นมา อาการมึนหัวหายไปข้างค่อนข้างจะสนิทแล้ว มองไปนอก
หน้าต่างที่มีเม็ดฝนเกาะอยู่ บ้านไอ้นิคปลูกต้นไม้ไว้เยอะจนดูเหมือนมีบ้านผุดขึ้นมากลาง
ป่าซะอย่างงั้น ไม่น่าเชื่อว่าในกรุงเทพจะมีบ้านที่ปลูกต้นไม้ได้เยอะขนาดนี้อยู่อีก


อากาศที่เริ่มเย็นลง พลอยทำให้อารมณ์ของผมเย็นลงตามไปด้วย


- ค่อยๆพูดดีๆกับมันดีกว่า - ผมคิดได้ดังนั้นก็เดินกะจะออกไปนอกห้อง ไอ้ตัวร้ายก็เปิดเข้ามา
พอดิบพอดี


“จะไปไหน”


“กะ - - กินหมดแล้ว ว่าจะออกไปล้างอ่ะ” ผมบอก มันทำท่าชะโงกหน้ามาดูที่แก้วเหมือนจะ
ไม่เชื่อ แล้วก็คว้าแก้วจากมือผมไป


“เดี๋ยวเอาออกไปเอง ไปนอนป่ะ ”


“ไม่เป็นไรอ่ะ ไม่ค่อยง่วงแล้ว”


“เออ .. แล้วอยากแด - - เอ๊ะ อยากกินอะไรเหรอเปล่าล่ะ” ได้ผลแฮะ พอพูดเสียงดีๆกับมัน
ก็ลดความดุดันแล้วก็แดกดันผมได้เหมือนกัน


“อืม.. ก็นิดหน่อย ”


“หิวเหรอไม่หิวล่ะวะ”


“หิว”


“เออ ก็แค่นั้น ตามมาดิ” มันผลักประตูให้เปิดออก


“ระวังบันไดนะ มันลื่น ”


ผมเดินลงมาก็พบว่า บ้านมันก็กว้างอยู่พอควร ไอ้นิคเดินนำไปทางห้องครัว(มั้ง) แล้วก็จัดการ
เปิดตู้กับข้าว แล้วก็เดินเอาห่อขนมปังฟาร์มเฮ้ามาให้โยนให้บนโต๊ะ


“เอาแย้มเปล่า” มันถาม


“เอา”


“ไม่มีแย้ม มีแต่นม” มันพูดแล้วก็คว้าเอากระป๋องนมข้นหวานมาตั้งไว้ตรงหน้า ไม่มีแย้ม แล้วเมิง
จะถามทำเพื่อ ?


“จะเอาอะไรอีก ? ” โห มันถามผมเหมือนว่าตูหาเรื่องมันซะงั้น


“ไม่อ่ะ” ผมตอบแล้วก็เอาช้อนลงไปกวาดนมข้นมาทาบนขนมปัง


“ทำให้ขนาดนี้ คำขอบใจนี่ไม่มีเลยนะมึง” มันนั่งลงเริ่มพูดกวน


“ออบใอ” ผมบอกมันเต็มปาก


มันก็มองหน้าผมแล้วก็ยิ้มกริ่ม ไม่ยักกินด้วยแฮะ


ผมเห็นหน้ามันยิ้มแล้วรู้สึกฝืดคอยังไงก็ไม่รู้


“ไม่กินเหรอ ? ”


“เอาเหอะ มึงกินไปเหอะ” มันพูดเสร็จก็เดินออกจากครัวไป


ผมสวาปามไปอีกประมาณ 5-6 แผ่น ก็จัดการเอาช้อนล้าง แล้วก็เอานมไปเก็บในตู้เย็น
นั่งรอมันที่ครัวซักพักก็ไม่เห็นมันเดินเข้ามาซะที ก็เลยเดินออกมานั่งอยู่ที่เหมือนจะเป็น
ห้องรับแขกของบ้าน


“หายหัวไปไหนของมันวะ” ผมคิดในใจ แต่ได้แค่แป็บเดียว มันก็เดินลงมาพร้อมกับเสื้อผ้า
ของผมเอง


พอมันเห็นผมก็โยนเสื้อให้


“อ่ะ แห้งแล้วกูไปอบมาให้”


“เหะ” ผมอุทาน


“ทำไม ? ”


“เป่า” ผมตอบเพราะไม่ค่อยจาอยากเชื่อว่านี่คือไอ้นิคเมื่อเช้าเหรอ ดีเหมือนกับเป็นคนล่ะคน


“ว่าแต่อยู่คนเดียวเหรอ” ผมเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่น


“เปล่า อยู่กับพี่สองคน” มันตอบ พลางเดินไปเปิดทีวี


“ผู้หญิงผู้ชายอ่ะ” ผมถามโดยไม่มีเจตนาอะไร


มันเหลือบมองผมนิดนึง


“คนโตผู้ชาย คนกลางผู้หญิง - - ไมจะจีบพี่ชายกูเหรอ นิสัย ! ”


“กูพูดซักคำเหรอยัง” ผมชักฉุน เห็นตูเป็นอะไรวะ


“เอาเหอะ กูเข้าใจ” มันตอบแล้วก็หันไปสนใจทีวีต่อ ผมได้แต่คิดว่า มึงเข้าใจเอี้ยอะไร
ของมึงคนเดียวอะดิ


ผมก็นั่งดูทีวีกับมันไปได้ซักพักนึง ก็มานึกขึ้นได้ว่า นี่กูนั่งทำอะไรอยู่วะ ทำไมไม่
กลับห้องตัวเองฟ่ะ


“นิค ”


“ไร”


“กูว่าจะกลับแล้ว”


“กลับไปไหน ? ”


“ห้องกูดิ”


มันหันมามองหน้าผมทำหน้าแบบสงสัย


“อ้าว จะกลับก็กลับซิ เสื้อผ้ากูก็คืนให้แล้ว จะมาบอกทำไมวะ”


เอ้า มันพูดแบบนี้ผมหน้าชายังไงก็ไม่รู้ครับ พูดเหมือนกูอยากจะอยู่บ้านมันซะงั้น
ผมลุกพรวดเดินขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบนห้องมัน ในใจก็คิดว่า แม่งไอ้เอี้ยนี่ผีเข้าผีออก
ชัดๆ ตอนแรกบอกว่าไม่ให้กูกลับ ตอนนี้ดันมาพูดเหมือนไล่ๆอะไรก็ไม่รู้ หวนให้นึก
ถึงคำพูดที่มันพูดแล้วก็ทำสายตาดูถูกผมเมื่อตอนเช้า


มันอยากแกล้งผมเป่าวะ !?


“กูไปนะ เออ...”


“อะไร” มันตอบก็จริงแต่ดูมันจะสนใจรายการทีวีที่อยู่ตรงหน้ามันมากกว่า


“ขอกุญแจรถกูด้วย เมื่อคืนมึงขับมาใช่เป่า ”


“ถ้ากูไม่ขับแล้วหมาที่ไหนจะขับกลับมา ” มันยั่วยวน(ตีน) ผมเกือบจะตอบกลับ
ไปแล้วว่า ก็หมาที่นั่งดูทีวีอยู่นี่ไงล่ะ


“เฮ้ย อย่ากวนดิ รีบ”


มันไม่พูดอะไร แต่ก็ปิดทีวี แล้วก็เดินไปเปลี่ยนกางเกงเป็นกางเกงยีนส์ แล้วก็ควัก
กุญแจออกมา แต่มันไม่ได้ให้ผมคับ มันกลับเดินนำผมไปที่รถแทน


“เฮ้ย จะไปไหน เอากุญแจมา” ผมรีบวิ่งตามมันไป


“เด๋วกูขับไปส่ง ” มันพูด


“เฮ้ย ไรมึงอ่ะ จะไปส่งทำไม ก็นี่มันรถกู ขับเองได้” ผมงงหรือมันมึนกันแน่วะ


มันก็ทำเดินไปเรื่อยไม่สนใจฟังเสียงผมบ้างเลย แล้วก็ด้วยความที่ตัวมันใหญ่กว่าผม
ทำให้การเข้าไปแย่งกุญแจทำไมสำเร็จ


“มึงทำไรเนี่ย” มันเอ็ด


“เอากุญแจคืนกูมาเด๊ ” สุดท้ายก็เลยต้องแบมือขอมันโดยดี


“เอ้า ก็บอกว่าจะไปส่ง”


“นี่มานรถกู ” ผมพูดย้ำทุกคำชัดๆอีกทีอย่างหมดความอดทน


“นี่ มึงรู้ใช่ป่ะ ว่ามอไซต์กูเสีย - - ”


“เออ ไม่รู้ แล้วไง ”


“- - แล้วรถมึงขับง่ายดี”


“เออ แล้วไง”


“กูก็เห็นว่า จะใช้รถเมิงไปก่อนจนกว่ามอไซต์กูจะซ่อมเสร็จ” มันว่าแล้วก็ยิ้ม


“เหอะๆ พูดบ้าไรมึงอ่ะ” ผมจะขำก็ขำไม่ออก


“นี่มึงจะยึดรถกูเหรอเนี่ย ”


“เปล่า แค่ยืม”


“ใครให้ยืม ! ”


“ก็มึงไง”


“กูบอกตอนไหน วันไหน เวลาไหน กี่โมง กี่นาที กี่วินาที ไอ้บ้า ไม่ให้ ! ”


“เฮ้ย ไรวะ แค่นี้มาหวง มะคืนก็ยังแบกมึงมาดูแลเลยนะ”


“ไม่ต้องมาทวงบุญคุณเลย เอาคืนมาไอ้นิค ”


มันยังทำเฉย


“นี่มันรถแม่กูนะ ไม่ใช่รถกู”


คราวนี้มันยังเดินต่อไปจนถึงรถ แล้วก็ไขกุญแจเข้าไปนั่งเลย ผมต้องรีบวิ่งตามไป
เคาะกระจก


“เฮ้ยๆ มึงอย่าทำแบบนี้ดิ กูไม่ได้พูดเล่นนะ”


“ก็ไม่ได้พูดเล่นเหมือนกาน - - เอ้า จะกลับห้องมั้ยเนี่ย เด๋วกูไม่ไปส่งเลย” ดูมันพูดซิ


ผมจนปัญญา เลยต้องรีบขึ้นไปนั่งทางด้านคนขับแทนก่อน สงสัยต้องค่อยๆพูดกับ
มันเหมือนเดิมซะแล้ว


พอผมขึ้นไปนั่งยังไม่ทันได้ปิดประตูสนิท มันก็ออกรถพรวดพลาดแล้ว


“นิค..”


“ฮือ”


“มึงฟังนะ ถ้ากูไม่มีรถ กูจะไปมหาลัยได้ไง”


“กูก็ขับไปรับมึงไง”


“เหอะๆ มึงไม่รู้จักบ้านกูแล้วจะไปถูกได้ไง”


“ก็นี่ไง กำลังไปส่งมึงอยู่เนี่ย อ่ะ บอกทางมาซิ” ดูมันหน้าด้าน


“นี่รถแม่กูนะ ! ” ผมยังพูดคำเดิม


“เออ รู้แล้ว มึงบอกสองรอบแล้ว”


“แล้วถ้าแม่รู้กูจะบอกเค้าว่าไง ให้คนอื่นมาขับรถอ่ะ ” ผมบอกเสียงเครียด


“มึงอยู่กับแม่เหรอ” มันถามอารมณ์ดี


“เปล่า”


“เออ ถ้ามึงไม่บอก แล้วแม่มึงเค้าจะรู้มั้ย ? ”


“ม่ะช่ายว้อยยย ... ไม่ได้หมายถึงแบบนั้น”


“เอาน่า กูไม่ขับไปชนใครเค้าหรอก - - แล้วถ้ากูไม่ใช้รถมึง แล้วกูจะไปมหาลัยยังไง
คิดดูดิ มึงคงไม่ขับมารับหรอกใช่ม่ะ”


ผมพยักหน้า


“เออ” มันทำหน้ามึน “งั้นกูถึงจะยืมรถมึงก่อนไง เข้าใจป่ะ ! ”

.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

“นี่ตกลงจะเอารถกูไปจริงๆเหรอ” ผมถามระหว่างนั่งรอรถติด ไม่ต้องบอกก็รู้ กรุงเทพมหานคร
ถ้าวันไหนฝนตก รถก็จะติดมโหฬารแบบไร้เหตุผลใดๆทั้งสิ้น


“อือ”


“ถ้าชนขึ้นมารับผิดชอบด้วยนะ - - มึงรับผิดชอบคนเดียวนะ ” ผมกล่าวทวนคำ เมื่อเห็นมันหัน
มามองหน้า


“อ้าว - - ให้จริงดิ”


“กูยังไม่ได้บอกเลยว่าจะให้” ผมบอกพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ได้ยินเสียงมันหัวเราะหึหึอยู่ในลำคอ


หลังจากนั้นผมกับมันก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก ได้ยินแต่เสียงของแอร์รถยนต์ครางเสียงเบาๆ
พร้อมกับล้อรถที่หมุนทีหยุดที


“นิค - - มึงไม่ชอบเกย์เหรอ ? ” อยู่ๆผมก็พูดทำลายความสงบขึ้นมา


“ฮื้อ .. ”


“ตอนที่มึงรู้ว่ากูเป็น - - เออ เกย์ มึงก็ทำไม่ดีพูดไม่ดีกับกู”


“หึ หึ ตกลงว่ายอมรับแล้วดิ ถามตอนแรกทำเป็นอ้ำอึ้ง” มันกระแนะกระแหน


“กูจะเป็นอะไรทำไมต้องป่าวประกาศให้ใครรู้วะ ” ผมพูดเสียงแบบไม่สบอารมณ์


“- - แล้วอีกอย่างที่กูถามก็เพราะว่าเห็นสายตามึงเวลามองแล้ว เหมือนกูเป็นตัวอะไรซักอย่าง”


มันหันมามองผมเป็นระยะๆ ผมเดาแววตาไม่ออกจริงๆว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่

“กูอึดอัด” ผมบอก
“- - แล้วแค่ตอนกูถามเรื่องพี่น้อง มึงทำหยั่งกับว่ากูจะเข้าไปแดกพี่มึงซะงั้น จะให้คิดยังไง”


“เฮ้ย กูไม่ได้พูดถึงขนาดนั้น” มันเถียง


“กูรู้ว่ามึงคิดแบบนั้น สายตามึงมันฟ้อง”


“กูไม่ได้คิดแบบนั้น” เสียงมันดังข่ม


“ที่กูถาม - -” ผมตะเบงเสียงให้ดังขึ้นอย่างหมดความอดทน “- - เพราะว่าถ้ามึงไม่ชอบเกย์อย่างกู
มึงก็ไม่จำเป็นต้องมาแกล้งแบบนี้ ”


“ใครว่ากูแกล้งมึง” มันสวนกลับ


โครมมมมม


“แล้วที่ทำอยู่ทุกวันนี่ คิดว่าทำอะไรอยู่เหรอวะ ! ” ผมโกรธจัดเอามือทุบไปที่คอนโซลรถเสียงดัง


มันเงียบไปทันที


“กูก็ไม่รู้ว่าทั้งๆที่ก็ไม่ชอบหน้ากู แล้วทำไมมึงต้องมายุ่งกับกูด้วย - - เหรอว่ามึงอยากแกล้ง
ให้กูอายวะ เหรอว่า ต่อไปมึงจะเอาเรื่องที่กูเป็นอะไรๆ ไปบอกเค้าให้ทั่ว - - ห่ะ”


ข้างนอกฝนยังคงตกพลำๆ รถราบนถนนต่างติดแหง่ก ไม่ยอมขยับเขยื้อนไปไหนซะที
พอๆกันกับที่ทั้งผมทั้งไอ้นิคต่างก็เงียบงัน ผมได้บอกสิ่งที่ผมคิดให้กับมันไปหมดแล้ว
อยู่ที่มันแล้วล่ะตอนนี้ ว่าอยากจะแก้ตัวอะไรให้ฟังอีก หรือว่าอยากจะยังคงแกล้งผม
โดยที่ไม่ยอมรับรู้ในสิ่งที่มันทำต่อไป


“ปริ้น - -”


มันเรียกครั้งแรก ผมไม่หันไปทางมัน รอฟังที่จะพูดก็พอ


“ไอ้ปริ้น - -”


มันเรียกเสียงดังขึ้น คราวนี้ผมถึงหันไปมองหน้ามัน ดูดิ๊ว่ามันจะแก้ตัวอะไรของมันอีก
พอผมหันไปเจอสายตาของมันถึงกับชะงักคับ เพราะตามันแดงเรื่อๆ จากนั้นมันก็ค่อยๆ
พูดไม่ตะคอกเหมือนเคย


“มึงมองตากูดิ - - ”


“- - กูรู้ ว่ากูเป็นคนแบบนี้ - - กูเป็นคนเหี้ยๆ แบบนี้แหละ เพราะงั้น เวลากูทำอะไร
กูคิดอะไร กูพูดอะไร ใครๆก็บอกว่ากูเป็นคนเหี้ยแบบนี้ ทุกคนแหละ - - ”


มันพูดเสร็จก็รีบหันกลับไปเปิดประตูทางที่นั่งคนขับทำท่าจะออกไป


“เฮ้ย นิค” ผมรีบเอื้อมตัวจะคว้าตัวมันก่อนที่มันจะออกจากรถไปเหมือนครั้งที่แล้ว แต่ครั้งนี้ก็
ไม่ทันอีกเหมือนเดิม ไอ้นิคมันยกแขนขึ้นมาข้างนึงปาดเข้าที่หน้าตัวเอง


“- - ทุกคน แม้แต่มึงก็คิดว่ากูเป็นแบบนั้น ”


ขาดคำประตูรถด้านคนขับก็ปิดเสียงดัง ไอ้นิคหนีลงจากรถผมเป็นรอบที่สองแล้วคับ
ครั้งแรกผมยังไม่ค่อยรู้สึกผิดเท่าครั้งนี้ ทำไมวะ สายตาของมันที่ผมเห็นก่อนที่มันจะ
ลงรถไป ทำไมมันเศร้าเสียใจขนาดนั้น


ผมไม่เข้าใจ ?


ผมไม่เข้าใจสายตาของไอ้นิคเลยจริงๆ


ปี้นนนน ปี้นนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน


อ้าว อิ๋บอ๋ายแล้ว รถเสือกขยับตามกันแล้ว ผมเลยต้องละทิ้งสายตาไอ้นิตรีบกระโดดมานั่งที่
คนขับ แล้วก็รีบเคลื่อนรถออกไปด้วยความรวดเร็ว ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมา


ผมกลับห้องมาโดนพี่ท็อปด่าเป็นวักเป็นเวร เพราะว่าผมดันไม่ได้บอกพี่เค้าว่าไปไหน
หายไปทั้งวันทั้งคืน


“จะไปไหนมาไหนก็บอกกันซักคำสองคำก็ยังดี แม่งปล่อยให้เป็นห่วง ”


“คับพี่ ผมขอโทษ”


คืนนั้น ความคิดผมยังคงวนเวียนอยู่กับสายตาคู่นั้น ทั้งคืน


“ใครๆก็บอกว่ากูเป็นคนเหี้ยแบบนี้ ทุกคนแหละ - - ทุกคน แม้แต่มึงก็คิดว่ากูเป็นแบบนั้น”


- ก็มึงไม่ได้เป็นคนแบบนั้นเหรอไงวะ นิค - ผมคิดในใจก่อนที่จะปล่อยให้ความง่วงถาโถมเข้ามา
.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

เช้าวันจันทร์พวงมาลัยรถของผมก็พามายังสถานที่นึงที่คุ้นตา


- งืมๆ ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าจะอยู่แถวนี้นี่หว่า ? -

ผมจัดการดับเครื่อง จัดการเปิดหน้าต่าง ให้ลมเย็นพัดเข้ามา แล้วก็จอดรถเฝ้ารออยู่อย่างสงบ
เหลือบไปมองนาฬิกา พึ่งจะ 7 โมงกว่าๆ วันนี้มีเรียน 9 โมงเช้า คงไปทันล่ะน่า


ซักพัก ประตูบ้านก็เปิดออก รถเก๋งฮอนด้าสีเทาก็ค่อยๆแล่นออกจากบ้าน แล้วก็มีผู้หญิงคนนึง
เลื่อนประตูมาปิด แล้วก็เดินมาขึ้นที่นั่งข้างคนขับ ก่อนที่รถจะค่อยๆแล่นออกไป โดยไม่ได้
สังเกตว่ามีรถผมจอดอยู่ข้างๆบ้านตัวเอง


ผมเหลือบมองเข้าไปในรถ แล้วก็สังเกตว่าในรถมีแค่ผู้ชายไม่คุ้นตา แล้วก็แค่ผู้หญิงคนที่ปิด
ประตูบ้านเท่านั้น ก็ถอนหายใจโล่งอก


- ว่าแล้ว เช้าขนาดนี้คงยังไม่ตื่นหรอก -


ผมคิดแต่ในใจตอนนี้ก็เริ่มจะตื่นเต้นขึ้นมาหน่อยๆ จะเริ่มคุยยังไงดีวะ


7 โมงห้าสิบ ประตูบ้านเปิดอีกครั้งนึง พร้อมๆกับไอ้ตัวร้ายโผล่ร่างออกมา พอมันปิดประตูปั๊บ
ก็หันหน้าเตรียมจะเดินออกมา ผมเห็นมันหยุดชะงัก เพราะไม่คิดว่าจะเจอผม คนที่ทะเลาะกับ
มันจนต้องเดินลงมากลางถนนถึง 2 รอบแล้ว


“ขึ้นมาดิ” ผมโผล่หัวออกตะโกนเรียกมันผ่านหน้าต่าง


นิคมันปรับสีหน้าจากที่ชะงักอยู่เมื่อกี้ กลายเป็นนิ่งเงียบ ทำเป็นไม่เห็นผมเดินจ้ำอ้าวผ่าน
ไปซะงั้น


- ใจเย็นๆเว้ย ปริ้น - ผมคิด


ผมหันหัวกลับไปตะโกนกับมันอีกทีนึง


“งอนเหรอมึง - - ”


“- - เป็นผู้ชายอ่ะ เค้าไม่งอนกันง่ายๆหรอกนะเว้ย ” ไอ้นิคหยุดเดินหันมามองหน้า


ผมนั่งลงในรถเหมือนเดิม แล้วก็เข้าเกียร์ถอยรถไปข้างๆมัน


“มึงจะไม่ขึ้นก็ได้นะ แต่กูคิดว่ามึงไปเรียนไม่ทันหรอก ” ผมว่าพลางทำยกนาฬิกาข้อมือ
ขึ้นมาดูว่าตอนนี้มันจะ 8 โมงแล้ว


คราวนี้มันทำท่าลังเลหน่อยๆ โด่ สำคัญตัวนักนะมึง เห็นกรุง้อเลยเล่นตัวเอาใหญ่ชิมิ
เด๋วขับรถเหยียบซะนี่


“- - เอ้ยเว้ย รีบขึ้นมาเหอะ ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยนะเมิง เมฆดำมาโน่นแล้ว ” ผมชี้ไปที่
กลุ่มก้อนเมฆที่เหมือนจะเริ่มก่อตัวขึ้นด้านทิศตะวันตก


“- - เด๋วพระพิรุณก็เสด็จลงมาให้มึงเปียกอีกหรอก เอ๋ หรือว่ามึงชอบตากฝน ห่ะ”


“มึงจะไล่กูลงกลางถนนอีกป่ะล่ะ” มันพูดทำเอาผมเกือบขำ


“เออ คราวนี้ไม่ไล่หรอก ”


ผมเห็นไอ้นิคยิ้มออกมาแว่บนึง ก่อนที่จะทำลีลาเดินมาขึ้นรถ


“คิดได้เหรอ ถึงมารับกู” ดูมันพูดดิคับ


“คิดไรได้ ? ”


“อ้าว ก็คิดได้ว่า ทำให้กูเจ็บช้ำน้ำใจขนาดไหนไง กูดีกับมึงขนาดไหน แต่มึงกลับมา
ว่ากูอย่างงั้นอย่างงี้ แถมยังไล่กูลงจากรถไปตั้ง 2 ที”


มันบ่น


“กูไล่มึงลงจากรถตอนไหนวะ ”


“มึงไม่ไล่ก็เหมือนไล่แหละ ขับๆไปเหอะ สัด”


“ว่าแต่ทำไมตื่นสายจัง จากนี่ไปบางนา ตื่นแบบนี้ไปไม่ทันเรียนคาบแรกอยู่แล้ว” ผมถาม


มันผิวปากเบาๆ ก่อนจะบอก


“ก็คิดว่ามึงต้องมารับกูอยู่แล้วไง ถึงได้ไม่ต้องรีบตื่น” มันพูดขึ้นมา


“โอ้ย ไอ้ควาย อย่างมึงเนี่ยนะ - -” ผมไม่รู้จะอ๊วกหรือจะขำกะมันดี


“- - กูสงสารหรอก เห็นไม่มีมอไซต์ขี่มา คงขึ้นรถเมล์ไม่เป็น ”


“สงสารหรือว่าชอบกูกันแน่ ฮืมส์ ไอ้เกย์” มันพูดกึ่งหยอก


ผมถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง หันหน้าไปมองสารรูปมัน


“อย่างกูเนี่ยนะ จะไปชอบมึง 555 หลงตัวเองเชี่ยๆๆ ถึงกูเป็นแบบนี้ก็เลือกนะ
ควายๆอย่างมึงอะ กูไม่เอาหรอก ”


ผมด่ามันไปพลางหัวเราะไป คนห่าไรหลงตัวเองชิบ


“ปากดีไปเหอะมึงอ่ะ ไอ้พวกพูดแบบนี้นะ ร้อยทั้งร้อยมาชอบกูทั้งนั้นแหละ
เหอะๆๆๆ”


- งั้นหนึ่งในร้อยนั้นก็คงไม่ใช่กูล่ะ ไอ้นิค - ผมคิดในใจขี้เกียจเถียงกะมันแระ


เปาะ แปะ ๆๆ

“เชี่ยย !! ฝนตกอีกแล้วอ่ะ เย็นนี้ก็ต้องกลับไปล้างรถอีกแล้ว” ผมบ่นกระปอดกระแปด พลางรีบเร่ง
ความเร็วให้มากขึ้น ก่อนที่ฝนจะตกหนัก แล้วทำให้รถติดมากกว่านี้


“เพราะมึงแท้ๆเลยนิค”


“อ้าว แล้วมาโบ้ยขี้ไรให้กูละ” มันสงสัย


“ก็มึงมานั่งรถกูทีไรนะ พระพิรุณแม่งอวยพรให้รถกูเปียกทุกทีเลย ” ผมบอก ทำเอามันขำ


“แล้วมันไม่ดียังไงวะ”


“ถามแปลกๆ ฝนตก แม่งก็เปียกอะดิ - - เออ แต่มึงคงชอบอะดิ เห็นลงไปตากฝนอยู่บ่อยๆ”
ผมพูดพลางหัวเราะเยาะ


มันหันหน้าออกไปดูสายฝนที่เริ่มตกลงมาบางๆ แล้วก็ยิ้ม


“เออ กูชอบ”


แล้วอยู่ๆมันก็พูดขึ้นมาว่า


“ถ้าไม่ติดว่าฝนทำให้มึงเปียกอย่างเดียว มีงจะชอบฝนมั้ยวะ ?”


ถามไรแปลกๆ นะมึง ผมไม่รู้จะตอบยังไง ไอ้นิคก็พูดต่อ


“- - ถ้าไม่มีฝน มึงก็จะไม่มีวันเห็นท้องฟ้าที่สดใส แล้วบางทีก็ - -”


“ก็ ... ” ผมทวนคำพูดมัน


“- - บางที ฝนมันก็ทำให้คนเราชุ่มฉ่ำหัวใจได้เหมือนกัน”


.

.

.

.

มันพูดเสร็จก็เงียบนั่งหันไปมองนอกหน้าต่างต่อไป แต่ในใจผมกลับรู้สึกปั่นป่วนชอบกล
คำพูดของไอ้นิคทำให้ผมคิดถึงบทสนทนาที่คุยกับคนๆ ที่บนยอดเจดีย์แดงเมื่อต้นปีขึ้นมาได้


“ผมไม่ชอบหน้าหนาวแบบนี้เลย” เสียงเด็กหนุ่มที่นั่งข้างๆผมดังขึ้น


“พี่ปริ้นชอบหน้าหนาวเหรอคับ” ไอ้โค้กหันมาถาม


“ช่าย ก็มันหยุดเยอะดีนี่หว่า” ผมตอบมันพลางหัวเราะ แต่ไอ้โค้กไม่รู้หรอก ว่าช่วงเวลาของ
ฤดูหนาว ดูเหมือนจะเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสำหรับผมแล้วก็กับไอ้โอ้ตมากแค่ไหน ผมรู้จัก รักแรก
ในช่วงปลายฝนต้นหนาว ความรักที่ลึกซึ้งบนเกาะ วันเกิดของไอ้โอ้ต ทุกๆอย่าง
ทำให้ผม “รัก” ฤดูหนาว


“แล้วเอ็งอ่ะ ชอบหน้าไหน”


ไอ้โค้กยืนขึ้นบนฐานเจดีย์ ลมพัดใบหน้ามันทำให้ผมมาปรกอยู่ที่หน้าผาก


“ชื่อผมก็บอกอยู่แล้วนี่ครับ ว่าผมชอบฤดูไหน ? ”............................


.......................


...........


...


แล้วอยู่ๆ ความรู้สึกของอดีตที่เริ่มพรางพรูออกมาจากในส่วนลึก ก็หลั่งไหลออกมาอย่างมากมาย
มากจนทำให้ตัวผมรู้สึกสั่นสะท้าน


“เป็นไรวะ ตัวสั่นเชียว หนาวเหรอ” ไอ้นิคเห็นจึงเอามือไปกดเบาแอร์


ผมส่ายหน้า


“ไม่มีไรหรอก ที่มึงพูดเมื่อกี้ทำให้คิดถึงเรื่องเก่าๆขึ้นมาอ่ะ”


ผมยิ้มให้มันเห็นว่าไม่ได้เป็นอะไร สายตาก็ยังจับจ้องอยู่บนถนนที่เม็ดฝนกำลังตกลงมาอยู่เบื้องหน้า
.

.

.

.

อย่าไปกลัวเวลาที่ฟ้า ไม่เป็นใจ

อย่าไปคิดว่ามันเป็นวันสุดท้าย

น้ำตาที่ไหลย่อมมีวันจางหาย

หากไม่รู้จักเจ็บปวด

ก็คงไม่ซึ้ง ถึงความสุขใจ

.

.

อดทนเวลาที่ฝนพรำ ... อย่างน้อยก็ทำให้เราได้เห็นถึงความแตกต่าง

เมื่อวันเวลาที่ฝนจาง ฟ้าก็คงสว่าง และทำให้เราได้เข้าใจ

... ว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนที่เฝ้ารอ



.

.

.

.

.


ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #56 เมื่อ23-10-2006 05:41:12 »

ตี้ดดด ............... ตี้ดดดดดด .................... ตี้ดดดด


เสียงสัญญาณรอสายดังขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง ในใจผมอยากให้คนปลายสายรับซะที ทำไมวันนี้
คิดถึงอยากคุยกับมันขึ้นมาได้นะ ? หรือเป็นเพราะคำพูดของไอ้นิคที่พูดเมื่อเช้า


“หวัดดีคับ” เสียงที่ไม่ได้ยินมานานรับสาย


“เออ ... หวัดดีโค้ก” ผมทักซึ่งออกจะดูขวยไปซักหน่อย


“เฮ้ย พี่ปริ้นเหรอ” เสียงมันจะดูดีใจกว่าผมซักร้อยเท่าได้มั้ง “- - เปลี่ยนเบอร์ใหม่เหรอ”


“อือ ”


“ถึงว่า โทรไปเบอร์เก่าไม่เห็นติด แล้วก็ไม่มีบอกกันบ้างเลยนะ” มันพูดเชิงน้อยใจ


“พอดีเปิดเทอมแล้วมันยุ่งๆอ่ะ โทดทีหว่ะ” ผมรู้สึกผิดที่ช่วงเวลานึงเหมือนกับลืม
มันไปเลย ทั้งๆที่เคยบอกกับว่าจะไม่ทิ้งมัน


“อ่า ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่โทรมานี่มีอะไรเหรอเปล่าครับ ” มันถาม


“ต้องมีอะไรเหรอถึงจะโทรไปหาได้อ่ะ ” ผมไม่รู้เหมือนกันว่าคำพูดที่ออกไปนั่น
เหมือนไม่พอใจอยู่ในตัว


“ม่ายช่าย พี่โทรมาผมก็ดีใจจะตาย - - ว่าแต่ใช้เบอร์นี้แน่นะ ผมจะได้เมมเบอร์ไว้”


“อืม”


“แล้วเรียนเป็นไงบ้างครับ”

“ก็เรื่อยๆอ่ะ สบายดีเหมือนกัน ไม่ต้องมีอาจารย์มาคอยเคี่ยวเข็ญ ว่าแต่เอ็งอ่ะ เป็นไง”


“เซงวะพี่ เรียนก็ยาก งานก็เยอะ ตุลานี่ก็จะเอนฯรอบแรกแล้ว” เสียงมันแสดงถึงความหนักใจ
อยู่พอสมควร มันก็จริงล่ะครับ ม่ะก่อนอย่างไอ้โค้กเนี่ย ใครๆก็ต้องคิดว่ามันต้องได้โควต้า
นักกีฬาแน่ๆ แต่มันดันเกิดอุบัติเหตุขาเดี้ยงซะก่อน ฝันที่มันวาดไว้ ก็พังคลืนลงมา แถมที่
บ้านมันก็ไม่ค่อยจะสนใจมันอีก


“พยายามเข้านะ พี่เป็นห่วง”


“อะไรนะคับ ? ”


“บอกว่าเป็นห่วง ” ผมทวนคำ


“พี่เป็นห่วงผมเหรอ ? ”


“มันแปลกยังไงอ่ะ ? ”


“55 ไม่มีอะไรครับ เออ เนี่ย ผมยังไม่ได้บอกพี่เลยว่า ผมไปเรียนพิเศษที่กรุงเทพทุกเสาร์อาทิตย์
แล้วนะ”


มันพูดอย่างกระตือรือล้น


“เออะ ขยันนี่หว่า ”


“นิดหน่อยพี่ ก็ผมเหลือทางสุดท้ายแล้วนี่หว่า ”


“มันมีทางตั้งหลายทางให้เดินนะเว้ย อย่าคิดมากดิ ” ผมปลอบมัน


“แต่ผมมันเหลือแค่ทางนี้ทางเดียวแล้ว พี่ปริ้นก็น่าจะรู้ - - ถ้าเอนฯไม่ติด ที่บ้านคงไม่พูดกับผม
ไปชั่วชีวิตแน่ๆ ” เสียงมันดูน้อยใจพิกล


“- - แค่ทุกๆวันนี้ก็ไม่ค่อยจะได้พูดอะไรกันอยู่แล้ว ” มันว่าพลางถอนหายใจ


“เอาน่า ก็พยายามเข้าดิ นี่ยังไม่ได้สอบซักครั้งเลยนะเมิง ถ้าปีนี้ไม่ได้ ปีหน้าก็ต้องได้ เชื่อดิ ”


“ขอบคุณพี่ ” เสียงมันดูดีขึ้นมาหน่อย


“เออ แล้วพี่ปริ้นล่ะ ? ”


“ทำไม ? ”


“เออ... กะ ก็ - - ปีหน้าจะสมัครไปเรียน มช อีกเหรอเปล่า”


“ทำไมเหรอ ? ” เสียงผมลดต่ำลงโดยอัตโนมัติ แต่ไม่ได้โกรธมันหรอกนะ


“มะ ไม่มีอะไรครับ ”


หลังจากนั้นผมกะมันก็คุยกันอีกหลายเรื่อง ทั้งเรื่องมันที่โรงเรียน เรื่องของผมที่มหาวิทยาลัย
ไปอีกประมาณ สองสามชั่วโมง ความรู้สึกเก่าๆ เคยห่างหายไปเกี่ยวกับไอ้เด็กคนนี้ มันเริ่มกลับ
เข้ามาสานต่อกับช่วงเวลาที่ขาดหายไปได้อย่างแปลกประหลาด

.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

เสาร์อาทิตย์นี้ไปไหนเปล่าวะ ไอ้กอร์ฟลินถามผมหลังจากที่เรียนวิชาสุดท้ายเสร็จในเย็น
วันศุกร์ต้นเดือนกันยายน สองสามเดือนที่เรียนด้วยกันมาทำให้ผมสนิทมากที่สุดในคณะ
เลยก็ว่าได้


“นัดเพื่อนไว้หว่ะ มีไรเปล่า” ผมถาม


“กิ้ฟมันได้บัตรเกะมาฟรี กะว่าจะไปคืนวันเสาร์กัน ว่าแต่มึงไม่ว่างนัดเด็กไว้เหรอวะ ”
ไอ้กอร์ฟแซว


“เออ กูนัดเด็กไว้” ผมตอบยิ้มๆ เห็นไอ้กอร์ฟหน้าเหวอนิดหน่อย มันคงสงสัยว่า ผมไปมี
แฟนตอนไหนวะ ?


ผมเดินมาถึงรถ ก็เห็นไอ้นิคนั่งรออยู่ที่ริมฟุตบาทข้างๆ ท่าทางโผลเผลน่าดู เหมือนจะพึ่งเตะบอลกะเพื่อน
เสร็จ


“โห ทีหลังมึงเล่นเสร็จก็ผึ่งตัวให้แห้งก่อนได้ป่ะ รถกูเหม็นหมด” ผมด่ามันพลางรีบเปิดกระจกรถ


“ไรวะ เล่นบอลมาเสร็จก็งี้ทุกคนแหละ ไม่ได้มัวมาสำอางเดินไปเดินมาอยู่นิ” มันพูดพลางปรับ
ช่องแอร์ให้สาดไปที่ตัว


“ว่าแต่มอไซต์มึงก็ซ่อมเสร็จตั้งนานแล้วนี่นา ทำไมต้องให้กูมารับมาส่งมึงตลอดเลย
น้ำมันก็เปลืองกูอีก ” ผมบ่น เพราะตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เกือบทุกวัน ผมจะต้องเทียว
รับเทียวส่งมันตลอด พอถึงมหาลัยปุ๊บ มันก็เปิดตูดไปเรียน เวลานั่งในห้อง ก็นั่งคนละกลุ่มกัน
มีเพื่อนก็คนละกลุ่มกัน ดูเผินๆไม่คิดว่าผมกะมันจะเป็นเพื่อนกันได้ แต่พอเวลาเลิกเรียน
มันก็จะมานั่งรอที่แถวๆรถผมทุกที


“บ้านกูก็เป็นทางผ่านอยู่แล้ว มึงอย่างกไปหน่อยเลยน่ะ” มันว่าแบบหน้าด้านๆ


“ทุกทีเลยนะมึง ”


ผมเหยียบคันเร่งออกรถไป ไอ้นิคมันเป็นคนแปลกๆ อย่างที่เคยบอกไป แล้วมันก็เป็นคนหลงตัวเอง
อย่างถึงที่สุด มันมักจะบอกทุกครั้ง(แบบคิดไปเอง)ว่า ผมอะจริงๆแล้วชอบมันก็บอกมันไปเหอะ หรือ
ผมอยากมารับมาส่งมัน แต่ทำเป็นปากแข็งอะไรเทือกๆนั้น


มันบ้าม่ะ


“พรุ่งนี้มึงไปไหนเปล่า” มันถามขึ้นมา


“เออ .. ”


“กูว่าจะชวนไปดูหนังซะหน่อย” มันว่า


“เหรอ .... แต่ถึงกูว่างก็ไม่ไปดูกะมึงหรอก ” ผมตอบ


“ทำไม - - จะสงวนตัวไปดูกะไอ้กอร์ฟใช่ม่ะละ” มันเหน็บ


“- - ใช่ซี่ มันทั้งขาว ตี๋ ดูดี มีชาติตระกูล สเป็คเกย์อย่างมึงเลยนี่”


ผมพยักหน้าประชดที่มันพูด


“ช่าย” ผมบอกแล้วก็หันไปหามัน


“ไม่เหมือนมึงหรอก ทั้งดำ หน้าด้าน สันดานเถื่อน ”


“สัด กูดำซะที่ไหนล่ะ ผิวสีแทนโว้ย สีแทน” มันว่าพลางยกแขนมาบังหน้าผม จนเกือบขับ
รถไปชนคันข้างๆ


“โอ้ย - - ไอ้ห่านี่ เล่นเหี้ยไรเนี่ย ” ผมด่าแล้วรีบปัดแขนมันให้ห่าง


“เพี้ยง ... พรุ่งนี้กูขอให้ฝนตก จะได้ไปไหนไม่ได้” มันว่าพลางยกมือไหว้ไปบนท้องฟ้า

.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

วันรุ่งขึ้น ผมรีบตื่นแต่เช้า อาบน้ำแปรงฟัน แต่งตัวเสร็จ ก็ออกจากหอประมาณสิบโมงเห็นจะได้
เพราะว่าไม่อยากเอารถออกครับ ไปสยามหาที่จอดรถยาก แถมรถติดอีกตะหาก


ปี้บ ๆ ๆ<-------------- เสียงประตูรถไฟฟ้า


– สยาม –


ผมมาถึงสถานีสยามประมาณสิบเอ็ดโมงกว่า ก็ลงมาเดินดูเสื้อผ้าไปพลาง หาขนมกินไปพลาง เพราะว่า
นัดกันไว้ตอนเที่ยงตรง สุดท้ายก็มานั่งรอที่แม็คสยาม โดยสั่งแค่โฟทสไปร์แค่อย่างเดียว (ม่ะชอบกินแฮม
เบอร์เกอร์)


ตี้ดดด ตี้ดดดดด ตี้ดดดดด


“ฮัล - - ”


“มึงอยู่ไหนเนี่ย” เสียงไอ้นิคแว่วมาตามสาย


“สยาม”


“แก่แล้วนะมึง ยังไปที่วัยรุ่นเค้าเดินกันอีกเหรอ”


“แหมถ้ากูแก่นะ มึงก็พ่อกูแระ” ผมชักฉุน “ - - เออ นิค แค่นี้ก่อนนะ มาแระ”


“ใครมาวะ”


“เด็กกู ” ผมตอบ


“เฮ้ย - -” มันยังไม่ทันพูดไร ผมก็ตัดสายมันไปก่อน เพราะตอนนี้เบื้องหน้า เด็กหนุ่มร่างสูงโปร่ง
มายืนเกาหัวรออยู่แล้ว


“อ้าว ยืนทำไรอ่ะ นั่งดิโค้ก” ผมบอกพลางขำในท่าทางของมันพลอยทำให้ตัวเองเก้อเขินไปด้วย
ไม่ได้เจอมันประมาณเกือบห้าเดือน ดูมันเปลี่ยนไปนิดๆ จากที่ผิวมันดูคล้ำเพราะเล่นบาส
ตอนนี้ดูมันขาวขึ้นจมเลย


“ห่ะ ห่ะ ”


“ขำไร” ผมถาม เพราะเห็นมันนั่งอมยิ้ม มองแปลกๆ


“ไม่ค่อยคุ้นไง เดี๋ยวนี้ไว้ผมซะเท่ห์เลยนะ” มันแซว


“มันเป็นอาไรที่แน่นอนอยู่แล้วน้องอ ผมพูดพลางเสยหัวทำหล่อ


“- - ไอ้บ้า มาชมอาไรวะ”


ผมทำท่าจะลุกไปโบกหัวมัน


“แล้วเป็นไง เรียนพิเศษ ? ”


“ก็รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้บ้าง” มันพูดหน้าตาเฉย แล้วก็หยิบโฟร์ทผมไปดูด


“นี่เมิงอย่ามาโง่บริโภค” ผมรีบคว้ากลับคืนมา มันก็หมดซะแล้ว


“555 เดี๋ยวผมไปซื้อให้ใหม่” มันพูดพลางทำท่าจะลุกไป แต่ผมห้ามมันไว้ก่อน


“เฮ้ย ไม่เป็นไร พูดเล่น - - ไปหาข้าวกินดีกว่า” ผมว่าพลางชวนมันเดินข้ามฝั่ง
ไปกินเอ็มเคกัน


“โหย มาตั้งกรุงเทพ เลี้ยงเอ็มเค” มันบ่นกระปอดประแปด ทั้งๆที่พนักงานเสิร์ฟ
ของกินมาแทบเต็มโต๊ะแระ


“ว่าแต่เลิกเล่นบาสมานี่ ขาวขึ้นเยอะเลยนะ” ผมบอก


“ม่ะใช่แค่ขาวนะ ซีดเลย” มันว่า พลางตอกไข่ใส่หม้อ “- - ดีนะ ที่โรงเรียนมีเวทให้เล่นบ้าง
ม่ะงั้น ได้ย้วยกันมั่งแหละ”


“อาไรย้วยวะ ” ผมแซว


“ก็ย้วยหมดหล่ะ 55”


“ว่าแต่จะเอนฯ รอบแรกแล้วนี่หว่า พร้อมยังอะ ”


“จะว่าพร้อมก็พร้อม จะว่าไม่ก็ไม่”


“เด๋วนี้เล่นลิ้นนะมึง”


มันหัวเราะแฮะๆ แล้วก็โยนผักลงไปในหม้อ


“เฮ้ย ! อย่าใส่ผักชีลงไปด้วยนะ มานเหม็น กรุไม่ชอบ”


“รู้แล้ว พูดเหมือนพึ่งรู้จักกันเมื่อวาน” มันว่า แล้วก็ชี้ให้เห็นว่า มันไม่ได้ใส่ลงไป


ตี้ดดด ตี้ดดดดด ตี้ดดดดด


“ฮัล - -”


“อยู่ไหน ? ” ไอ้นิคถามเสียงกวนประสาท


“เอ็มเค - - ว่าแต่มึงจะโทรมาหากูทำไมอยู่ได้เนี่ย ? ”


“กูอยากโทรมาขัดใจคนหว่ะ ”


“ขัดใจห่าไร กูอยู่กับเพื่อน สัด”


“เหรอจ๊ะ ”


“แค่นี้ก่อนนะกูแดกอยู่ - - แล้วถ้ามึงยังโทรมาไร้สาระอีก วันจันทร์กูจะเอาน้ำเอ็มเคไปราดหน้ามึง ”
ผมว่าพลางวางสายไป หันไปมองเห็นไอ้โค้กทำหน้าเจือนๆ


“แฟนโทรมาเหรอพี่ ” มันถาม


“เฮ้ย แฟนที่ไหน เพื่อน ” ผมว่า พลางคีบเป็ดย่างใส่ปาก
“- - แฟนไม่คิดมีแล้ว ”


ผมแอบพึมพำเบาๆ


“อะไรนะคับ”


“แดกไปอย่าพูดมาก ” ผมว่าพลางคีบเป็ดใส่จานมันไปแถบหนึ่ง ดูมันทำท่าทางพออกพอใจ
อยู่พอสมควร


พอกินเสร็จปั๊บ ไอ้โค้กก็ชวนข้ามไปเดินดูของที่สยามดิสฯต่อ มึงจะพากูเดินข้ามไปข้ามมาทำ
ไรวะ ปกติผมม่ะค่อยเดินที่นี่เท่าไร เพราะดูมันหรูหราเกินสถานะที่กระเป๋าผมจะบรรจุเงินซื้อ
ของที่นี่ได้


“มาดูไรวะ” ผมถาม แต่มันก็ไม่ตอบ ให้ผมเดินตามมันต้อยๆไปซะงั้น ผมเหลือบมองที่ขาข้างที่มัน
เคยเจ็บอยู่ ตอนนี้มันไม่กระเผลกแล้วครับ ดูภายนอกไม่รู้เลยว่ามันประสบอุบัติเหตุถึงขั้น วิ่งหรือว่า
ออกกำลงกายหนักๆไม่ได้


ผมมองดูขามันเพลิน จนมันหยุดทำเอาเกือบชนตัวมันแหน่ะ


โค้กเดินมาหยุดที่หน้าร้าน คับ ซึ่งปกติถ้าผมได้มีโอกาสเดินที่นี่ ร้านนี้ผมก็จะผ่านไปเลย ไม่สนใจ
ไรมากมาย


ผมเห็นมันเดินเข้าไปในร้าน music collection แล้วก็มองของในร้านเรื่อยๆ แล้วมันก็เดินมาหยุดที่หน้า
กีต้าร์ไฟฟ้าตัวนึง


“เล่นด้วยเหรอเมิง” ผมถาม


มันพยักหน้า


“ไม่เห็นรู้เลย”


“พี่พูดเหมือนมาอยู่กับผมตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง” มันพูดพลางยิ้ม
“- - ว่างๆ ไปที่โรงเรียนมั่งดิ แล้วเดี๋ยวจะเล่นให้ดู ”


“แหม เลิกเล่นกีฬา ก็หันมาเล่นดนตรีเชียวนะมึง แบบนี้สาวไม่กรี้ดสลบเหรอ” ผมว่าพลางถองที่สีข้างมันเบาๆ


“จะเหลือเหรอ” มันพูดพลางหัวเราะ


“เออใช่ วันเกิดโรงเรียนน่ะ เค้าประกวดโฟร์คซองด้วย ถ้ามาได้ก็มาดิ” มันคะยั้นคะยอ


“ประกวดกะเค้าด้วยเหรอมึง” ผมถาม “- - เล่นกีต้าร์อย่างเดียวเนี่ยนะ”


“เป็นวงเด๊ะเพ่ เป็นวง ผมน่ะเล่นกีต้าร์ ไอ้ต้าร์ร้องนำ ” มันว่า


“ต้าร์ไหนอีกวะ ” ผมงง


“ก็ไอ้ที่มันเป็นลีดสีเขียวปีที่แล้วไง จำไม่ได้เหรอ”


“เหอะไม่ได้ - - เออ ถ้าว่างจาไปแล้วกัน ”


“เฮ้ย ไปจิงดิ”


“เอ้า งั้นกรุไม่ไปแระ”


“ทำเป็นงอน” มันว่าพลางขำ ท่าจะว่าไป วันเกิดโรงเรียนก็ตั้งปลายธันวาโน่น ผมคงจะกลับบ้านพอดี
ล่ะมั้ง แล้วก็อยากไปเยี่ยมอาจารย์ด้วย แล้วเพื่อนๆในห้องก็คงมากัน ผมคิดแล้วก็ยิ้มเมื่อนึกถึงบรรยากาศ
เก่าๆตอนสมัยเรียน ม. ปลาย


เราเดินกันพักใหญ่ จนผมเริ่มเมื่อยแล้ว เพราะว่าเดินเรื่อยมาจนถึงหน้าเวิร์ดเทรด ดีนะที่อากาศวันนี้ถึงฝนไม่
ตก แต่แดดก็ไม่ออกคับ ครึมๆเฉยๆ ผมกะมันหาที่นั่งว่างแถวหน้าห้าง ไอ้โค้กมันก็หยิบการบ้านที่เรียนพิเศษ
วันนี้ออกมาให้ผมช่วยอธิบายให้หน่อย


ผมก็อธิบายไปแบบงูๆปลาๆ อะไรที่เข้าใจก็สอนมันไป ว่าแต่ไอ้โค้กมันออกจะหัวดี ทำไมให้คนโง่ๆ
อย่างผมมาสอนวะ


“ถูกกกกชัวว์” มันว่า


“ผิดดดดดด” ผมตบหัวมันไปที


“เฮ้ย ผิดได้ไงวะ” มันว่าพลางคว้าโจทย์กลับไปดู


“งั้นก็อันนี้” มันชี้ข้อที่คิดว่าใช่


“ถูกกกกก”


“ผิดดดดด ”ผมบอกมันอีกที แต่คราวนี้บ้องหัวไปสองที


“ไรว้า นี่ข้อง่ายๆแบบนี้ยังผิดอีก แกล้งโง่เป่าเนี่ย ไอ้โค้ก” ผมมองมันยังคลางแคลงใจ


มันยิ้มเกาหัวแกรกๆ ทำหน้าไร้เดียวสา ตาแป๋วๆของมันก็ยังคงดูดีไม่มีเปลี่ยน เฮ้อ ..
เห็นแล้วอดดีใจคนที่จะได้มันเป็นแฟนไม่ได้ คงจะเป็นคนที่โชคดีน่าดู


“ว่าแต่ที่เคยบอกว่าไปแอบชอบใครเข้าอ่ะ ได้ไปบอกชอบเค้ายังวะ - -” ผมหันไปถาม


“- - คราวก่อนที่เคยบอกว่า ยังไม่ทันได้บอก ก็คิดว่าแห้วม่ะใช่เหรอ ? ”


มันหัวเราะ


“คงไม่บอกแล้วมั้งพี่ ”


“เหรอ ”


“อืม”


ผมกะมันนั่งต่างคนต่างเงียบ ปล่อยให้เวลาผ่านล่วงเลยไป พร้อมกับลมเย็นๆที่พัดโกรกอยู่
ตลอดเวลา จนเกือบพลบค่ำ ก็เริ่มเห็นมีแม่ค้าหอบเอาดอกไม้เยอะแยะมาตั้งเตรียมวางแผง
ขายตามฟุตบาท


“จำได้ป่ะโค้ก ปีที่แล้วมาไหว้พระตรีมูรติกันที่นี่อ่ะ”


“ได้ดิ”


“........................”


“........................”


“พี่ปริ้น”


“หื้อ”


“ไม่มีไร ”


“........................”


“........................”


“จากลับยังล่ะ เด๋วก็กลับเพชรฯมืดหรอก” ผมว่า พลางชวนมันจะกลับ มันลังเลแป็บนึงก่อนจะ
เดินตามผมมารอรถเมล์ที่ป้าย รออยู่ซักพักรถก็ยังไม่มาซะที จนมีเด็กผู้หญิงคนนึงเดินเตาะแตะ
มาใกล้ๆ


“พี่คะ ช่วยซื้อดอกไม้หนูหน่อย” เด็กคนนั้นมายืนคลอเคลียอยู่ข้างๆ จนผมจนอ่อนซื้อมาสองดอก
เห็นเด็กคนนั้นยิ้มแก้มปริ แล้วก็เดินชวนคนโน่นคนนี้ให้ซื้อไปตลอดทาง


“เอาม่ะ ให้ดอกนึง” ผมว่าพลางยื่นให้มัน


“ขอบคุณคับ ” มันว่า


“อุตสาห์เลือกดอกที่สวยสุดๆให้แล้วนะเนี่ย ทำหน้าดีใจหน่อยเด๊ะ ” ผมแซว มันก็ยิ้มๆแล้วก็ยก
ขึ้นไปดม แล้วก็ทำหน้าปลงๆ


“มันก็สวยดีนะ” มันบอก


“- - แต่มันก็คงไม่สวยเท่าตอนที่มันอยู่กับต้นมันหรอกคับ ถึงเราจะตัดมันมา แล้วใส่แจกัน
ที่ดูดีมีราคาแค่ไหน มันก็คงอยู่กับเราไม่ได้นานหรอกพี่”


โค้กพูดขึ้นแล้วก็ยื่นดอกที่ผมให้คืนกลับมา แล้วก็เอาอีกดอกสลับไปแทน


“ผมเอาดอกที่ไม่สวยนี่ไปล่ะกันคับ ขอบคุณนะพี่ปริ้น” มันว่าพลางยิ้มให้


ตอนนั้นเอง ผมรู้สึกว่าหัวใจเต้นตึกตัก ทั้งๆที่ฤดูฝนที่แสนเปียกปอนยังไม่ผ่านพ้น ทั้งๆที่ลมหนาว
ยังไม่เคลื่อนผ่านมาแท้ๆ แต่กลับรู้สึกว่า ฤดูร้อนที่แสนกระปรี้กระเปร่า ได้พัดผ่านเข้ามาในหัวใจชะแว้บนึง
ซะอย่างงั้น


.

.

.

.

.

.

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #57 เมื่อ23-10-2006 05:42:03 »

.

“ว้อย ๆ ๆ ๆ ร้อนชิบหาย นี่หน้าหนาวแล้วแน่เหรอวะเนี่ย” เสียงไอ้นิคบ่นหลังจากเปิดประตู
เข้ามานั่งในรถผมตามฟอร์มเดิมของมันที่ทำอยู่ทุกวัน

“เน่ ... ที่นี่มันกรุงเทพนะมึง ม่ะใช่ลำปางบ้านมึง - -” ผมบอกก่อนจะสตาร์ตรถออกจากมหาลัย
วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดเทอม 2 ในรั้วพ่อขุนแห่งนี้ ดูเหมือนว่าวิชาที่ลงเรียนไปใน
เทอมแรกเกรดที่ออกมาของผมค่อนข้างจะปานกลางซะส่วนมาก (p p p แล้วก็ p ) มีได้เกรด
g มาแค่ตัวเดียวคือวิชาห้องสมุด -_-‘’

“- - นี่ก็พึ่งพฤศจิกาเอง ถ้าจะหนาวโน่น ธันวา” ผมว่า

“โห แถวบ้านกูป่านนี้เค้าเริ่มหนาวกันแระ มันว่า - - เฮ้ย แล้วนี่จะไปลอยกระทงที่ไหนวะ ? ”

ผมหันไปมองหน้ามัน

“นี่พึ่งต้นเดือนเองนะมึง หาเรื่องเที่ยวยัน”

“ปริ้น มึงก็แปลกคนนะ วันๆ กูม่ะเห็นมึงจะไปเที่ยวไหนกะเพื่อนฝูงบ้างเลย”

“ก็ที่พวกมึงไปมีแต่พวกเธค ผับ กูม่ะชอบนี่นา”

“ไม่ลองไปแล้วจะรู้ได้ไงวะ” มันพูดเหมือนจะชวนเป็นรอบที่ล้านแปด

“มึงคิดดู เข้าไปก็มีแต่ควันบุหรี่ เหล้ากูก็ม่ะกิน เต้นกูก็ไม่เต้น แล้วจะให้เข้าไปทำแบ้วอะไร”

ไอ้นิคเกาหัวแกรกๆ

“เออวะ - - แหม ไอ้ลูกคุณหนู” มันไม่พูดเปล่า เอามือมาผลักหัวอีก ช่างไม่กลัวผมขับรถไปชน
คนอื่นเค้าเลยซิ

“ไปภูเขาทองดิ ”

“ไปทำไมภูเขาทอง” มันหันมาถาม

“อ้าว ก็เมื่อกี้ยังถามว่าจะไปลอยกระทงที่ไหน” ผมท้วง

“ทีหลังพูดก็ให้มันต่อกันหน่อย พูดจบไปชาติหนึ่งแล้ว ใครจะไปเข้าใจมึ้งงง”

“เอาน่า ก็เข้าใจแล้วไง - - ว่าแต่มึงจะไปเป่า ”

“ไปดิ”

“ก็แค่นั้น ”

.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

อีกประมาณ 2 สัปดาห์ต่อมาไวเหมือนตอแหล (มุกเก่า) ถ้าจำไม่ผิดวันลอยกระทงมันดันตรงกับ
วันศุกร์พอดีครับ เลยทำให้รู้สึกว่าสามารถแรด เอ้ย เที่ยวได้นานหน่อย

“แล้วตกลงว่าจะไปเจอกันที่ไหน” โบเพื่อนในกลุ่มพูดสรุปหลังจากถกเถียงกันพอเป็นพิธีกับอีกแค่เรื่อง
จะไปลอยกระทงกันแค่นี้

“ก็เจอกันที่ภูเขาทองไง ” ไอ้กอร์ฟบอก

“ป้าาาา มึงดิ - - จะเจอกันมั้ยนั่น ภูเขาทองวันนี้คนล้านแปด” ผมว่ามัน

“งั้นเจอกันหน้าประตูวัดพระแก้วแล้วกัน” กิ๊ฟเสนอ

“โห วัดพระแก้วกับภูเขาทอง ใกล้กันมากเลยนะเจ๊” ผมว่าอีก

“งั้นก็ที่หน้าธรรมศาสตร์ล่ะกัน” โบบอก

ผมหันหน้าไปหามัน

“ไม่ได้ช่วยให้ระยะทางมันใกล้กว่ากันเล้ยยย”

“แล้วมึงจะไปที่ไหนวะ” เสียงเพื่อนทั้ง 3 ผสานเสียง(ด่า)มาอย่างพร้อมเพรียง

“เออๆๆ หน้าธรรมศาสตร์ก็ได้ หกโมงนะ ” ผมบอกเสียงอ่อย

ตามแผนการที่วางไว้คือมาเจอกันที่หน้าม.ธ. แล้วก็เดินเรื่อยๆจนลอยกระทงแถวๆท่าพระจันทร์ ไม่ก็
ท่าพระอาทิตย์ ไม่ก็ท่าช้างคับ (มีหลายตัวเลือกมากมาย) จากนั้นก็จะเดินให้ขาลากขึ้นไปไหว้พระบน
ภูเขาทองกันก็เป็นอันจบทริป

“ไอ้นิคมันจะไปด้วยนะ” ผมบอกพวกก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันไปก่อน

ตี้ดด ตี้ดดด ตี้ดดดดด

“ฮัลโหล”

“เออ ไมวันนี้ไม่มาเรียนวะ” ผมถามไอ้นิค

“ทำไมเหรอ คิดถึงกูอะดิ”

“งั้นกูวางแล้วนะ ” ผมทำเสียงเซ็งกะมัน

“เออๆๆ ก็กูจะเตรียมตัวไปลอยกระทงคืนนี้อะดิ” มันพูดหน้าด้านๆ

“นะ คนเรามันจะอยากโดดเรียนก็เอาเรื่องเที่ยวมาอ้าง - - เออ เรื่องของมึง”

“แล้วมึงตกลงได้ยังว่าจะไปลอยกะกูที่ไหน ”

“ก็ไปแถวท่าพระจันทร์ ภูเขาทองล่ะ ” เลยโทรมาถามว่ามึงจะไปด้วยเป่า

“ไปเด๊ะ ”

“งั้นหกโมงเจอกันหน้ามธ นะ”

“อ้าว มึงไม่เอารถไปง่ะ”

“กูจะจอดที่ไหนล่ะ ไอ้ฟาย แถมรถติดอีก ผมด่ามัน - - เออ แล้วไปถูกเป่า
ธรรมศาสตร์”

“สาดดด กูไม่ได้บ้านนอกขนาดนั้น”

“เออ ว่าแต่ท่าพระจันทร์นะ ไม่ใช่ รังสิต ” ผมอยากอำมันต่อ

“เหี้ย - - ”

ผมได้ยินแค่นั้นก็รีบวางหูไปก่อนจะโดนมันด่าไปมากกว่านี้ เหอๆ

.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

ก็ดีแล้วที่วันนี้ไอ้นิคไม่ได้มามหาลัย ทำให้ผมไม่ต้องไปส่งมันที่บ้านก่อน พอกลับมาถึงหอ
พี่ท็อปก็ชวนอีกคน

“ไม่อ่ะพี่ ผมไปกะเพื่อนดีกว่า” ผมบอกปัดพี่ท็อปไป เพราะไม่อยากไปเป็นกขค. แกกะแฟน
เด๋วนี้พี่แกมีแฟนแล้วค๊าบ เจ๋งม่ะ


ตี้ดด ตี้ดดด ตี้ดดดดด (ครายโทรมาวะ)

“ฮัลโหล”

“โหลสองโหล”

“โห ใครวะ” ผมบ่นไปทางโทรสับ

“มึงจำกรุไม่ได้เหรอเนี่ย”

- ใครวะเสียงคุ้นๆ - ผมคิด

“คราย”

“ก้อ อดีตสามีมึงงะ - - - โอ้ย” เสียงปลายสายดูเหมือนจะโดนประทุษร้ายอะไรซักอย่าง

“ปริ้น ” เสียงมาเป็นอีกคนนึงที่คราวนี้ผมจำได้แม่น

“เอ้ย ซังเหรอ - - งั้นม่ะกี้ก็ไอ้เหี้ยคิวอะดิ มิน่าเสียงคุ้นๆ”

“เออดิ เป็นไง เปลี่ยนเบอร์โทรแล้วไม่บอกเพื่อนฝูงเลยนะเว้ย ”

“โทดทีๆ พอดียุ่งๆอ่ะ ” ผมแก้ตัว

“ยุ่งเรื่องเรียนหรือเรื่องรักวะ ” เสียงไอ้คิวตะโกนสอดแทรกมาเป็นระยะๆ

“ฝากตบหัวมันทีสองทีดิวะ” ผมว่า

“555 มาตบมันเองเลยดีกว่า”

“แล้วนี่เอาเบอร์มาจากไหนอ่ะ”

“โทรไปถามแม่ปริ้นอะแหละ - - เออว่าแต่ โทรมาชวนไปลอยกระทงกัน ไปเปล่า
ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”

“เฮ้ย ถามเจง” ผมทำเสียงร่าเริง จะว่าไปผมก็ทำตัวห่างเหินจากมันสองคนไปนานพอ
สมควรเลยทีเดียว ไม่ได้เจอกันมาเกือบห้าเดือนได้ยังวะ

“เออ แต่ปริ้นนัดกะเพื่อนแล้วดิ”

“นัดที่ไหนกันล่ะ? ”

“แถวภูเขาทองอ่ะ - - ซังล่ะ”

“ยังไม่รู้ไปไหนเลยหว่ะ แต่ไปที่โน่นด้วยก็ได้ จะได้เจอกัน” ซังว่า

“จิงดิ เออ ไปดิไปดิ เรานัดกับเพื่อนไว้ตอนหกโมงอ่ะ หน้ามธ.”

“เอางี้ ถ้าไปถึงแล้วโทรหาแล้วกัน”

“เออ ก็ได้ แต่ไม่รู้จะโทรยากเป่านา คนเยอะมหาศาล

“ได้อยู่แล้ว ยังไงเด๋วเจอกันล่ะกันปริ้น” ไอ้ซังบอกแล้วก็วางสายไป

ไม่รู้ว่าหลายๆคนเป็นเหมือนกับผมหรือเปล่านะคับ ว่าเวลาที่เราไม่ได้เจอเพื่อนเก่า
นานๆเนี่ย พอถึงเวลาต้องไปเจอกันแล้ว บางทีมันรู้สึกประหม่ายังไงชอบกล ความ
รู้สึกเหมือนกับว่า เพื่อนเรามันจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนวะ ? หรือเพื่อนมันจะเห็น
ว่าเราเปลี่ยนไปมั้ย ? อะไรทำนองนี้แหละ แต่สุดท้ายแล้ว ผมก็รู้สึกดีใจจริงๆ
ที่จะได้ไปเจอเพื่อนรักที่ไม่ได้เจอกันนานอย่างไอ้ซัง (ไอ้คิวเฉยๆ อิอิ)

- 6 โมงเย็น -

ตี้ดดด ตี้ดดดด ตี้ดดดดด

โห .. ตรงเวลาโคดพ่อ

“ฮัลโหล ว่าไงโบ”

“ว่าไงไรยะ นี่หกโมงแล้ว อยู่ไหนเนี่ย” เสียงโบมันตามจิกคับ

“เหะๆ ยังอยู่บนรถอยู่เลยอ่ะ รถโคตรติด ” ซึ่งก็เป็นอย่างงั้นจริงๆ

“แล้วมากันครบแล้วเหรอ ? ”

“ก็กิ๊ฟ กะกอร์ฟมาแล้วล่ะ เหลือแกกะนิคสองคน”

“เอ้า เจง - -” ผมทำเสียงเหมือนเกรงใจ “- - เอางี้ล่ะกาน ก็เดินกันไปเรื่อยๆก่อน แล้วพอถึงแล้ว
เราโทรหาอีกที”

“เอางั้นเหรอ อือๆ แล้วนิคล่ะ ? ”

“ช่างมันเหอะ” ผมบอก

“อ้าว - - ”

“หมายถึงว่า ถ้ามันไปแล้วไม่เจอใคร เด๋วมันก็โทรมาหาปริ้นเองล่ะ อีกอย่างนะอีกนาน
กว่ามันจะมาถึงแน่ๆ”

“อือ งั้นถ้ามาถึงแล้วก็โทรมาล่ะกัน เดี๋ยวเดินไปเรื่อยๆก่อนนะ” โบบอกแล้วก็วางสายไป


- ทุ่มสิบห้านาที -

ผมเดินลงจากรถเมล์สาย 70 หน้ามธ. หันรีหันขวางอยู่ซักพักนึง เห็นว่าไอ้นิคยังไม่มาแน่ๆ

ตี้ดดด ตี้ดดดด ตี้ดดดดด

“ฮัล - -”

“มึงอยู่ไหนเนี่ยยยย” ผมทำทีโทรจิกมัน

“เออ .. อยู่บนรถเมล์อยู่เลย รถติดโคตร ” มันบอก รู้สึกเหตุผลคุ้นๆ นิ

“ไรมึงเนี่ย กูมารอตั้งนานแล้วนะ” (ตอแหล)

“เออ รออีกหน่อยนะ” มันทำเสียงอ้อนวอน

“แล้วอีกนานมั้ยล่ะ”

“อีกพักนึง”

“เออ มึงรีบบอกคนขับให้เหยียบให้มิดเลยนะ” ผมทำเป็นสั่งมัน

“พ่อมึง - - เดี๋ยวกระเป๋าก็เอาบ้องเก็บเงินทุบกบาลแยก”

“เร็วๆนะเว้ย”

“เออ ... ”

ตั้บบบบ

มีมือปริศนามาตบเบาๆที่หัวไหล่ข้างนึงทำเอาผมสะดุ้ง คงไม่ใช่ไอ้นิคมาแกล้ง
อำผมหรอกนะ

“เอ้า เหี้ย” ผมสบถออกไปเบาๆเมื่อเห็นว่าคนที่ตบไหล่เป็นใคร

“อ้าว ด่ากันซะงั้น” ซังบ่นยิ้มๆ

“มานานแล้วเหรอ - - แล้วไอ้คิวอ่ะ”

“เดินไปซื้อลูกชิ้นอยู่โน่น เดี๋ยวมา” ซังบอก

ผมสังเกตดูไอ้ซังมันดูเปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน(ในทางที่ดี) เมื่อก่อนมันตัดสกินเฮด
แต่ตอนนี้ผมมันยาวขึ้นกว่าเดิม ทำให้รับกับหน้าขาวๆใส่เหล็กดัดฟันมันมากกว่าเดิม

“หล่อขึ้นนะเนี่ย” ผมแซว ไอ้ซังทำหน้าอายๆ

“เฮ้ยๆ นั่นมาแซวไรเพื่อนกรุฟ่ะ” เสียงกวนตีนดังมาแต่ไกล เจ้าตัวถือถุงไส้กรอกถุงใหญ่
เดินจิ้มมาตลอดทาง

“ปากเด เนี่ยเพื่อนกู” ผมว่าพลางทำท่าแกล้งโอบกอดซัง ซึ่งมันก็ทำเป็นเล่นด้วย

“เล่นไรกันเด๋วก็ฟ้าผ่าหน้าหนาวหรอก” มันว่าพลางจิ้มลูกชิ้นใส่ปากทำเป็นไม่สนใจ
แต่ผมว่าสายตามันดูหวงไอ้ซังนะเนี่ย ถ้าไม่ใช่เป็นผม ไอ้คนที่มากอดซังแบบนี้คงโดน
อัดไปกองกะพื้นแล้วมั้ง

“ไรวะไอ้คิว ไม่หวงแฟนมั่งไง ” ผมว่าไอ้คิวไปบ้าง

ไอ้คิวยิ้ม

“หวงทำไมวะ - - ดีซะอีก เมียหลวงกะเมียน้อยปรองดองกัน กรุจะได้ไม่ต้องเหนื่อย”
ดูมันพูดเด๊ะ

“เชี่ย ใครเป็นเมียมึง ซังรีบพูด - - มึงอ่า เมียกู ไอ้คิว”

ดูเหมือนไอ้คิวตกใจเล็กน้อยที่ซังมันพูดซะดัง จนทำท่าจุ๊ปาก ผมเห็นแล้วอดขำไม่ได้

“เออ เน่ๆ พวกเมิงเก็บเรื่องผัวๆเมียๆไว้ก่อนได้ม่ะ นานๆได้เจอกันที ” ผมพูดตัดบทขำๆ
ความทรงจำสมัยเรียนม. ปลาย มันผุดขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ยซะอย่างงั้น นานแล้วเหมือน
กันนะเนี่ย ที่ผมไม่ได้มาเที่ยวไรกะพวกมันแบบนี้

“ไปกันได้ยัง” คิวบอก ลูกชิ้นมันแทบจะหมดถุงอยู่แล้ว

“เด๋ว รอเพื่อนก่อนแป็บ” ผมว่า พลางมองนาฬิกา ทุ่มครึ่งแล้ว ยังไม่เห็นหัวไอ้นิคเล - -

ผมพูดยังไม่ทันจะขาดคำไอ้นิคก็โทรศัพท์เข้ามา

“เออ ก็อยู่ที่ป้ายรถเมล์ไง มึงข้ามฝั่งมาดิ ” มันคงไม่เห็นผมเพราะว่าไอ้คิวกะซังยืนบังอยู่

“มาสายนะมึง ทีหลังก็หัดออกจากบ้านเร็วๆหน่อยเด๊ะ เรียนก็ไม่ไปเรียน” ผมเริ่มต้นเทศนามัน
คราวนี้มันไม่เถียงกลับเหมือนทุกทีครับ เพราะว่าอยู่ต่อหน้าคนที่มันไม่รู้จัก

ไอ้นิคหันไปมองเพื่อนผมสองคนแปลกๆ

“เออ นี่ซัง” ผมชี้ไปที่ซัง

“แล้วก็เหี้ยนี่ ไอ้คิว” ผมกระดิกตีนแทบมือ

“ไอ้ปริ้น เด๋วเมิงใช้ไรชี้กรุนะ” ไอ้คิวโวยวาย แล้วก็หันไปมองนิคด้วยสายตากวนๆของมันเหมือนเดิม

“ดี ”ไอ้คิวทักแบบหยาบๆ

“อืม..”

“หวัดดีคับ ” ซังพูดดีกะมันทำมาย

“ครับ หวัดดี ”

ผมยืนอึ้งไปสองวิฯ เพราะว่าได้ยินไอ้นิคพูดดีกับเค้าก็เป็น

“นิคครับ”

“ไปกันได้ยัง” เสียงไอ้คิวพูดขึ้นมาลอยๆ แบบไม่สบอารมณ์ ไอ้นิคเหลือบไปมองแว่บนึง
เห็นมันจะเขม่นกันทำมายยย

“เออ ไปเหอะ เด๋วคนเยอะกว่านี้” ผมพูดแล้วก็รีบดันหลังให้ไอ้นิคเดินนำหน้าไปก่อน มีซัง
กะไอ้คิวเดินตามมาทีหลัง ให้ไอ้นิคกะไอ้คิวอยู่ห่างกันไว้ก่อนเป็นดีที่สุด ถึงนิคมันจะดู
ท่าทางเถื่อนก็เถอะ แต่แค่ท่าทางของมันสู้ตัวตนที่เถื่อนแท้จริงของไอ้คิวไม่ได้หรอกครับ

เกิดมีไรขึ้นมา ไอ้นิคแพ้ราบคาบ

“เพื่อนเหรอ ? ” มันหันมาถาม

“แฟนกูม้าง ... ” ผมบอก

“เฮ้ย จิงดิ สองคนเลยเหรอวะ ไอ้เกย์นี่ ร้ายนะ”

“ห่า กูประชด”

“เป็นเพื่อนมึง งี้ก็เป็นเกย์กันทั้งคู่เลยดิวะ ” มันยังพล่ามไม่เลิก

“กูจะคบคนไม่เป็นเกย์มั่งไม่ได้เหรอไง - - แล้วมึงไม่ต้องเสือกเรื่องชาวบ้าน มาลอยกระทงก็มาลอย”
ผมบอกมันอย่างหงุดหงิด รู้งี้ไม่น่าชวนมันมาด้วยแต่แรกเลย

เราสี่คนเดินเรื่อยมาจนถึงท่าพระจันทร์ ดูลู่ทางแล้วไม่น่าจะสามารถหาที่ลอยได้แน่ๆ เลยเดิน
เลยมาจนถึงท่าช้าง ตลอดสองข้างทางที่เดินมีของขายมากมาย ทำให้สนุกไปอีกแบบ ผู้คนมากหน้า
หลายตาเดินกันจนเต็มถนน

“ปริ้นไปลอยบนเรือข้ามฟากดีกว่า” ซังบอก เมื่อเห็นว่ามีบริการนั่งเรือข้ามฟาก แล้วพอถึงกลางแม่น้ำ
เจ้าพระยา เค้าก็จะหยุดรอให้เราได้ลอยกระทงกัน ผมสี่คนเลือกซื้อกระทงแถวๆมาได้คนล่ะอัน
(ผมกะไอ้นิคคนล่ะอัน ซังกะไอ้คิวอันเดียวกัน -*- ) ก็จัดแจงเสียเงินค่าขึ้นเรือไปลอยกันห้าสิบบาท
(ปกติข้ามฟาก 2 บาท แพงโคด) พอมาถึงตาพวกผมก็พากันขึ้นเรือ พอออกจากท่าปุ๊บ ลมเย็นก็พัด
เข้ามาปะทะตัวทำให้รู้สึกเย็นสบายบอกไม่ถูก

“คิวมึงถือกระทงไว้ เดี๋ยวกูจุดเทียนให้ ” ซังพูดจบ ไอ้คิวก็เดินถือกระทงเอาเทียนมาจ่อที่ไฟแช็คในมือ
ซัง

“ร้อนเปล่า” ไอ้คิวกระซิบ แต่ผมดันสะเออะได้ยิน เห็นไอ้ซังส่ายหน้า โห มันมาหวานอะไรกันนะ เด๋วกู
ผลักตกน้ำ.. ในขณะที่ผมอิจฉาริษยาเพื่อนข้างๆอยู่ ไอ้นิคมันก็ถือกระทงมาหา

“ไร ? ”

“จุดเทียนให้หน่อย ” มันพูดแล้วก็ทำพยักเพยิดให้ผมดูที่ซังทำให้คิว

“ไม่มีไฟแช็ค” ผมบอก แหม มึงเป็นใครมาให้กูจุดให้เนี่ย !? ทำเองเห้อะ

“เอ้านี่” ดูเหมือนซังมันจะได้ยินเสียง ก็เลยโยนไฟแช็คให้ผมซะงั้น

“ขอบคุณค๊าบ ”ไอ้นิคหันไปบอกขอบคุณ ไอ้ซังยิ้มตอบแล้วก็เดินไปดูไอ้คิวลอยกระทงอีกฟากนึง

“เอาจุดเร็วๆดิ มีไฟแล้วนิ”

“เออๆ ทำเป็นสั่ง” ผมว่าพลางกดไฟ

แชะ !!

แชะ ... !!!!

- ไมติดยากจังวะ - ผมคิด พลางเลื่อนสวิตจนสุด

แชะ ...... เออ ติดแระ แต่แม่งเผามือกู

“เอาเทียนมึงมาจ่อเร็วๆ ร้อน” ผมว่า ไอ้นิคก็รีบเอาเทียนมาจ่อ ซักพักก็ติด มือผมก็แทบพอง
ผมเห็นไอ้นิคทำท่าจะเดินไปลอยทางเดียวกะที่ไอ้คิวไป ก็เลยสกัดให้มันไปลอยอีกทาง แม่ม..
คนเค้าจะจู๋จี๋กัน จะไปขัดฟามสุขเค้าซะแหล่ว ไอ้นิคก็เลยเดินบ่นอารมณ์เสียไปอีกทางนึง
ผมมองดูรอบๆ ส่วนใหญ่เค้ามากันเป็นคู่กันแฮะ น่าอิจฉาชะมัด แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่คู่
เพื่อนรักของผม

- เหอะๆ ไม่แคร์คนรอบข้างเลยนะมึง - ผมคิด ถึงแม้ดูไอ้คิวกะซังมันจะหาเรื่องกัดกันได้
ตลอดเวลาก็เหอะ แต่เวลามันหวานกันแล้วเนี่ย มันก็ไม่สนใจคนรอบข้างอยู่เหมือนกัน
ไอ้คิวค่อยๆโยนกระทงลงน้ำไป แสงเทียนกับควันธูปที่ลอยฟุ้งไปมา ทำให้บรรยากาศเป็นใจ
ขึ้นอีกเยอะ กระทงของมันสองคนค่อยๆลอยไปสบทบกับกระทงอีกหลายสิบ หลายร้อยใบ
ที่ส่องสว่างอยู่บนผืนน้ำ

ผมเอื้อมเข้าไปในกระเป๋ากางเกง มือกุมโทรศัพท์ไว้แน่น

- ป่านนี้ มันจะทำอะไรอยู่นะ อยากคุยกับมันจัง - - อยากแค่ได้ยินเสียง มันจะสบายดีเหรอเปล่านะ ? -

ผมได้แค่คิด แต่ก็ค่อยๆปล่อยโทรศัพท์ให้มันซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม เห้อ .. ต้องแข็งใจไว้ดิ
ตัดสินใจที่จะไม่คุย ไม่ติดต่อกับมันเองไม่ใช่เหรอไง ...

แล้วเวลา กับความห่างไกล จะทำให้เราลืมมันได้

“มึงยืนทำมิวสิควีดีโออะไรอยู่ ห๊า เค้าจะกลับฝั่งแล้ว” เสียงไอ้นิคทำให้ผมสะดุ้ง

“เออ ... รู้แล้ว” ผมว่า แล้วก็ใช้มือเดียวถือกระทงไว้ อีกมือก็ทำเป็นจุดไฟ

แชะ .. เย้ยยย

กระทงเกือบหลุดมือ

“แม่ม อวดเก่งนะ ” มันว่าพลางคว้าไฟแช็คไปจุดให้ พอจุดเสร็จ เรือที่หยุดอยู่ก็ทำท่าจะเคลื่อน
พอดี เฮ้ย ไรวะ หมดเวลาแล้วเหรอเนี่ย ผมยังไม่ได้ลอยเลย

“ปริ้น เมิงโยนลงไปเลย” ไอ้คิวเสนอความคิดหยาบๆอีกแระ

“มา... จับมือไว้แล้วค่อยๆหย่อนไป ” ไอ้นิคบอกผม แล้วก็ยื่นมือมาให้ ตอนนั้นผมรู้สึกใจมันโหวงๆ
อย่างประหลาด

..........

.....


..

“ปริ้น อย่ายื่นหน้าลงไปมาก เดี๋ยวก็ตกน้ำหรอก” เสียงโอ้ตเตือนผมอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นผมพยายามจะ
หาที่ปล่อยกระทง

“โห ถ้าลอยตรงนี้ มันก็ไปติดเสาใต้สะพานดิ” ผมว่าพลางชี้มือไปที่เสาที่ค้ำสะพานข้ามแม่น้ำเพชรฯ
เอาไว้ มีกระทงลอยไปติดอยู่เต็มไปหมด

“ดื้อจังแฮะ - - งั้นจับมือไว้ ” โอ้ตบอกพลางยื่นมือให้จับ

ผมหันไปมองมันก่อนจะยิ้มขอบใจ มือผมยื่นไปจับมือโอ้ต มันก็กำแน่นเหมือนไม่ยอมปล่อย
ให้หลุดไปได้

“ค่อยๆลอยนะ ” มันว่า

ผมเลื่อนมืออีกข้างที่ถือกระทงไว้ ค่อยๆวางลงบนผิวน้ำอย่างแผ่วเบา แล้วก็ค่อยๆเอามือวักน้ำ
ให้ลอยไปตามทาง

“แฮะๆ ขอบใจ” ผมบอก

..

.....

........


“ไอ้ปริ้น” นิคเรียกผมอีกที

“เออ .. ” ผมรู้สึกตัว แล้วก็จับมือมันเพื่อพยุงตัวเองไม่ให้เสียหลัก แล้วก็ค่อยๆโยนกระทงลงน้ำไปเบาๆ
กระทงดูเหมือนจะเป๋ไปหน่อย แต่ก็ค่อยลอยทำระดับไม่ให้คว่ำไปได้ ไอ้นิคเห็นผมลอยเรียบร้อยแล้ว
ก็ฉุดผมให้ลุกขึ้น

“ขอบใจ ” ผมว่า

เรือข้ามฟากค่อยๆหันหัวกลับมาที่ท่าช้าง ผมเห็นนิคมันเดินไปท้ายเรือดูกระทงที่มันพึ่งลอย แล้วก็ชี้
มือไปมาเหมือนเด็ก ส่วนไอ้คิวก็ไปนั่งสัปหงกอยู่ที่นั่งของเรือ ไอ้นี่นอนได้นอนดี

“เมื่อกี้ใจลอยไปหาใครฟ่ะ ” ไอ้ซังกระซิบ

ผมทอดสายตาไปที่ผืนน้ำที่ดำสนิทเบื้องหน้า

“ซัง ... จำที่ไปลอยกระทงกันเมื่อสองปีก่อนได้ป่ะวะ” ผมถามมัน

“ปีไหนนะ ? ” ซังทำท่าคิด

“ก็ปีที่เราย้ายมาเรียนที่เพชรฯไง”

“อ่อ เออใช่ ที่ยกโขย่งไปกันเพียบเลยใช่ม่ะ เออ จำได้แล้ว ตอนนั้นคนเยอะชิบเป๋ง
พี่ต่าย พี่ท็อป พี่อะ - - ”

ซังเหมือนนึกไรขึ้นมาได้เลยหยุดพูดไป

“เออ โอ้ตด้วย”

“โทดที ” ซังบอก

“ม่ะใช่ไรหรอก - - แค่ม่ะกี้รู้สึกเหมือนเดจาวู*ซะงั้น ” ผมบอกพลางหัวเราะ
นิคมันทำเหมือนกับที่โอ้ตมันทำเมื่อ 2 ปีก่อนเลย

ดูเหมือนว่าซังมันจะไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่เอามือมากอดคอไว้หลวมๆ ซึ่งผมก็ซาบซึ้งที่สุดแล้ว
ที่มันจะไม่ถามอะไรต่อ

“ซัง”

“หื้อ”

“..........”

“ปริ้น - - ถามจริงดิ” ซังหันมามองหน้าผม

“อย่าโกหกนะเว้ย”

“...........”

“ยังรักพี่โอ้ตอยู่ใช่ปล่าว”

“............”

ผมไม่ได้มองหน้าซัง สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ผืนน้ำดำสนิท ที่ตอนนี้เริ่มจะพล่ามัวเล็กๆ
เหมือนจะมีอะไรบางๆมากั้นสายตาเอาไว้

“ถ้าแน่ใจว่า พี่โอ้ต เป็นแบบนั้นจริงๆ - - - ก็เปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาบ้างเถอะ” ซังค่อยๆพูด
มือที่โอบไหล่กระชับแน่นขึ้น (หวังว่าคงไม่มีคนสังเกตเห็นหรอกนะ)

“แต่ถ้า - - ” ดูเหมือนมันจะระวังคำพูดมากขึ้น

“- - ถ้าคิดว่ายังพอเชื่อ - - เชื่อใจพี่โอ้ตอยู่บ้าง - -” ผมได้ยินเสียงกลืนน้ำลายลงคอของซัง

“- - ก็คุยกับพี่เค้าให้มันเคลียร์ซะ” มันพูดเสร็จก็เอามือตบหัวผมเบาๆ

“จะ .. จะให้คุยอะไรอีก” ผมพูดเสียงเครือ

คราวนี้ผมได้ยินเสียงซังถอนหายใจ

“ปริ้น ... ที่พูดออกมาน่ะ ออกมาจากใจแล้วแน่เหรอ ? - - ถามใจตัวเองดีๆ ล่ะกัน ”

ซังพูดจบ เสียงวี้ดดดดด ดังลั่นที่ด้านท้าย เป็นสัญญาณว่าเรือกำลังจะเทียบท่า ทำเอาไอ้คิวสะดุ้งตื่น
เรือค่อยๆเข้ามาแล่นมาจอดเทียบเบาๆ ทิ้งกระทงที่จุดไฟสว่างไสวบนท้องน้ำอยู่เบื้องหลัง


.

.

.

.


ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #58 เมื่อ23-10-2006 05:42:45 »


“คิดยังไงถึงกลับมาอยู่บ้านได้ล่ะ ?” เสียงแม่ผมถามพร้อมกับยกกับข้าวมาวางไว้บนโต๊ะ พลางทำสีหน้า
แปลกใจที่เห็นลูกชายกลับมาบ้านในตอนเย็นของวันคริสมาสอีฟ

“เอ้า แหม่ จะปีใหม่ทั้งทีก็กลับมาอยู่บ้านมั่งดิ - - เหรอว่าแม่ม่ะอยากให้มาห่ะ ” ผมถามแม่
พร้อมกับตักข้าวเคี้ยวตุ้ยๆ

“ดูพูดเข้า .. เห็นปีที่แล้วชั้นยังเห็นแกไปเที่ยวกับคนโน้นทีคนนี้ทีได้เลย” แม่เหน็บ

“- - นี่ก็อีกตั้งอาทิตย์นึง กว่าจะปีใหม่ ไม่มีเรียนเหรอไง ? ” แม่ยังซักไซ้

“ก็มีแหละ ฝากเพื่อนจดเล็กเชอร์ไว้แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก”

“ทำพูดเหมือนเรียนง่ายๆนะ” แม่บอกแล้วก็เดินเลี่ยงออกไปนั่งดูทีวี ปล่อยให้ผมนั่งกินข้าว
ต่อไป นานๆทีลูกชาย(?) จะกลับบ้านมานั่งกินข้าวด้วย ดันมาว่าซะงั้น รีบกินให้เสร็จ
ดีกว่ากู

“แม่ - - ” ผมตะโกน

“หื้อ”

“ปริ้นว่าปีหน้าจะส่งคะแนนเอนฯใหม่อ่ะ” ผมตะโกนข้ามห้องไป คือห้องกินข้าวกะห้องนั่งเล่น
มันมีแค่กำแพงกั้นไว้เฉยๆ ผมกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ รอลุ้นว่าแม่จะมีปฏิกิริยายังไง

..... เงียบ .....

“แม่ - - คิดว่าไงอ่ะ” ผมถามหยั่งเชิงอีกซักเล็กน้อย โดยที่ตอนถามก็ไม่รู้หรอกว่า คนอื่นฟากนึง
จะทำหน้ายังไง

“ก็ลองดูซิ” เสียงแม่ตอบกลับมา ทำเอาผมโล่งไปเหมือนกัน เพราะตอนแรกก็กลัวจะหาว่าผมจับจด
เรียนที่นี่ไม่ทันเห็นอะไรก็จะเลิกไปเริ่มใหม่อีกแล้ว

“แล้วที่เรียนนี่จะทำยังไงล่ะ ” แม่ถาม

“ก็คงเรียนไปด้วย” ผมตอบแบบลังเล เอาช้อนส้อมเขี่ย วนในจานไปเรื่อยๆ

“แล้วที่รามไม่ชอบหรือยังไง ถึงอยากจะเอนฯใหม่” เป็นคำถามที่ตอบยากลำบากมากมาย แล้วก็ไม่แปลก
ที่จะถามผมแบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้แม่ก็เคยทักท้วงไปทีนึงแล้วตอนที่ผมจะเลือกไปเรียน แม่คงคิดว่า
ผมถอดใจแล้วมั้ง

“ไม่ใช่ไม่ชอบหรอก” ผมตอบ

“ได้เพื่อนไม่ดีเหรอ”

“ดีดิ ดีมากด้วย” ผมตอบแบบไม่นับรวมถึงไอ้นิค พร้อมกับเดินไปล้างจาน แล้วก็เดินเข้าไปที่ห้องนั่งเล่น
ที่แม่ดูทีวีอยู่ แล้วก็ตัดสินใจพูดขึ้นมา

“- - แต่คราวนี้อยากจะเลือกเรียนตามใจตัวเองหน่อย”

แม่ผมหันมามอง

“คราวที่แล้วเลือกตามเพื่อนล่ะซิ ถึงได้พูดแบบนี้”

ผมไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มๆ ถ้าบอกแม่ว่าไม่ได้เลือกตามเพื่อน แต่ว่าเลือกตาม(อดีต)แฟนนี่ จะโดนฟาดหัว
มั้ยนี่


.

.


< - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - >
.

.

“ซัง จะกลับมาเพชรฯวันไหนอ่ะ” ผมโทรไปถามความคืบหน้าถึงเรื่องที่นัดมันไว้ว่าจะไปงานโรงเรียน
ด้วยกันในวันที่ 28 ธันวา

“คงวันพุธหว่ะ” ซังบอก

“ทำไมมาช้าจัง งานมีวันพฤหัสฯนะเฟ้ย นี่ปริ้นกลับมาแล้วนะเนี่ย แม่งม่ะมีเพื่อนเลย” ผมบอกเสียงขุ่น

“เฮ้ย เดี๋ยวนะ” มันว่า พร้อมๆกับผมได้ยินเสียงมันพลิกกระดาษ สงสัยจะเป็นปฏิทิน

“- - วันนี้พึ่ง 24 เองนะเว้ย รีบกลับไปทำมาย”

“ก็กะว่าจะมาอยู่กับแม่นานๆหน่อยอ่ะ ไม่ค่อยได้กลับบ้าน - - เออ..ว่าพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมอาจารย์ด้วย” ผมบอก

“แล้วนี่อยู่ไหนอ่ะ เสียงรถโคตรดังเลย”

“กำลังจะออกจากม. ล่ะ เดินจะไปขึ้นรถไฟฟ้า” มันตอบ นั่นดิได้ยินเสียงมันหอบๆ
ว่าแต่วันอาทิตย์ยังมีเรียนอีกเหรอเนี่ย งง?

“- - เสียดายนะเนี่ย ไม่งั้นจะชวนมาเดินดูไฟวันคริสมาสซะหน่อย”

“โห ไม่ล่ะ ไม่อยากเป็นกขค. กะไอ้คิว”

“กขค. ไรฟ่ะ เพื่อนกันทั้งนั้น” มันว่า

“เอาเหอะๆ แล้วไงเด๋วกลับมาเพชรฯก็โทรมาหาล่ะกัน” ผมบอกมันก่อนจะวางสายไป
แล้วก็ทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มๆอุ่นๆ ไม่ได้นอนเตียงนี้มานานขนาดไหนแล้ววะเนี่ย
ปกติช่วงปลายเดือนแบบนี้ อากาศตามต่างจังหวัดก็จะหนาวเย็นกว่าในกทม. อยู่แล้ว
ทำเอาผมต้องไปรื้อหาเสื้อกันหนาวมาใส่กันหวัดรับประทานก่อน

แกร๊ก แกร็ก .. รื้อไปรื้อมา ดันไปเจอกองหนังสือกองมหึมาที่ไม่ใช่ของผมมาก่อน
ตั้งอยู่ในตู้

“แม่ - - ”

“ว่าไง อยู่กันแค่นี้ทำไมต้องตะโกนด้วยนะ” แม่ผมโผล่หน้าเข้ามา (ดูเป็นคนดีขนาดไหน
ให้แม่เดินมาหา - - ‘’ )

“นี่อะไรอ่ะ ? ”

“หนังสือ !? ”

ผมทำหน้าแบบบอกไม่ถูก เมื่อได้รับคำตอบ (ดีนะที่พูดนี่เป็นแม่)

“รู้แล้ววววว......แต่คือของใครอ่ะ ”

“ไม่รู้ซิ วันก่อนแม่ให้นายสนเค้ารื้อข้าวของที่ห้องข้างล่างขึ้นมา เห็นมีพวกหนังสือ ก็เลย
ไม่อยากเก็บเอาไว้ข้างนอก - - ชั้นก็นึกว่าของแกก็เลยไม่ได้ขนไปไหน”

แม่บอกแล้วก็ทำทีเป็นจับๆดูหนังสือที่ว่า

“คงเป็นของเจ้าโอ้ตมั้ง งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ขนไปที่บ้านเค้าหน่อยล่ะกัน” แม่ผมสั่ง ซวยอีกอยู่ดี
ไม่ว่าดี

“ก็ให้มันมาขนเองล่ะกานนน” ผมบอก “ยังไงตอนนี้มันก็ไม่อยู่บ้านอยู่แล้ว”

แม่ทำหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน

“ไปเรียกโอ้ตเค้าว่ามันตั้งแต่เมื่อไหร่ - - แล้วไม่ต้องพูดมาก พรุ่งนี้ขนไปซะ” บอกเสร็จก็ปิดประตู
ใส่หน้าผมซะงั้น ไอ้โอ้ตนี่มันลูกแม่เหรอไงเนี่ย แค่พูดนิดพูดหน่อยแค่นี้

ผมเดินเซ็งๆไปหยิบเสื้อกันหนาวมาใส่ แล้วก็ลองรื้อๆดูตั้งหนังสือของโอ้ตมัน เผื่อฟลุคเจอ
หนังสือโป๊ เอ้ย หนังสือน่าอ่านมาให้อ่านแก้เซ็งมั่ง

ระหว่างรื้อไปรื้อมา

- เอ๊อะ เล่มนี้คุ้นๆ - ผมคิดแล้วก็หยิบออกมาจากกอง - - ไดอะรี่ของมันนี่นา ทำไมยังกลับมาอยู่ที่
ห้องข้างล่างนี่ได้หว่า ?

ผมคิดในใจ แล้วก็โยนไดอะรี่เล่มที่ว่า ไว้ที่กองหนังสือเหมือนเดิม แล้วก็หยิบหนังสืออ่านนอก
เวลามาสองสามเล่ม แล้วก็โยนตัวเองลงที่นอนอีกครั้ง ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ออกไปเดินเที่ยวอะไร
กับใครในวันอีฟแบบนี้ แต่แค่มีหนังสือเล่มสองเล่ม แล้วก็บรรยากาศดีๆแบบนี้ ก็ทำให้ไม่ต้อง
ไปอิจฉาใครได้เหมือนกัน

หาความสุขกับสิ่งที่เราสร้างได้รอบๆตัวดีกว่า นอนอ่านไปได้ซักพักนึง ผมก็นึกอะไรบางอย่างออก

ตี้ดดดดด ตี้ดดดดดดด ตี้ดดดด

“ว่าไง” ดูมันพูด ไม่รู้เวลารับสายมันพูดแบบนี้กะทุกคนเป่า

“เออ ไอ้นิค กูว่าจะบอกมึงตั้งแต่บ่ายแล้วก็ลืม” ผมว่า

“จะบอกรักกูเหรอ ?”

“เหี้ย - - ไม่น่าโทรมาเลยนะกูเนี่ย ... มึงจะไม่พูดเข้าข้างตัวเองซักวิฯนึงได้ม่ะ”

ผมได้ยินมันหัวเราะชอบใจ

“หัวเราะ - - หัวเราะไปเหอะ กูจะโทรมาบอกว่า พรุ่งนี้มึงไปมหาลัยเองนะ กูไม่อยู่ ” ผมบอก

“เฮ้ย มึงไปไหน ไม่ได้เลยนะ ”

“ทำไม? ”

“กูขี้เกียจตื่นเช้า ขี้เกียจขึ้นรถเมล์”

“โห สันดานนะเนี่ย” ผมด่า “ - - แต่ถึงยังไงมึงก็ต้องไปเอง เพราะว่าตอนนี้กูไม่อยู่กรุงเทพฯ”

“พูดเล่นซิ” มันว่า

“จิง”

“แล้วจะกลับมาวันไหนวะ” เสียงมันดูหงอยลง

“หลังปีใหม่แหละ ” ผมบอก

“เฮ้ย ทำงี้ได้ไงวะ กูอุตสาห์ว่าจะ - - ” เสียงเหมือนมันจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไป

“ว่าจะอะไร ? ”

“เออ เปล่า มึงไม่อยู่ก็ไม่อยู่ ช่างแม่งเหอะ งั้นแค่นี้นะ” พูดเสร็จมันก็ชิงตัดหน้าวางสายไปเลยครับ
สงสัยงอน ผู้ชายห่าไรวะ ขี้งอนชิบหาย สงสัยกลับไปต้องซื้อหนมไปฝากมันซะแล้ว จะได้หาย
ว่าแล้วก็เปลืองกูอีก

ผมคิดแล้วก็สั่นหัวเพราะชักปวดหมอง อ้าว มองไปข้างหน้าผมยังไม่ได้ปิดตู้เสื้อผ้า เลยต้อง
ลุกขึ้นมาด้วยความขี้เกียจมาปิด สายตาก็เหลือบไปเห็นรูปภาพตกอยู่ตรงซอกด้านใน อาจเป็น
เพราะผมรื้อหนักไปหน่อย เลยหล่นลงมา

ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่ารูปใบนั้นเป็นใครกับใคร คนนึงเป็นไอ้โอ้ต แล้วอีกคนนึงก็เพื่อนมัน

อิ๊ ... หรือว่า ?

ผมคิดอะไรออก ก็เลยเดินไปหยิบไดอะรี่โอ้ตจากกองที่โยนไว้เมื่อตะกี้ขึ้นมาพร้อมกับเปิดไปที่
มีข้อความเขียนที่หน้าท้ายๆว่า

“รักตลอดไป”

พร้อมกับยกรูปภาพที่ดูเหมือนโอ้ตจะหวงนักหวงหนาขึ้นมาดูประกอบ รูปเด็กคนที่ยืนกอดคอ
อยู่ข้างๆไอ้โอ้ต กับ คนที่ผมเห็นที่เชียงใหม่วันนั้น ใช่คนเดียวกันเป่าวะ

ผมพยายามหลับตานึกหน้าให้ออก แต่ก็ทำไม่สำเร็จเพราะว่าตอนนั้นเห็นแค่แว่บเดียว
แต่รู้ว่าคนที่เป็นเมทไอ้โอ้ตเนี่ย คลับคล้ายว่าชื่อ เต

อยู่ๆ ผมก็นึกถึงตอนที่เคยสงสัยโอ้ตว่า ทำไมต้องเลือกไปเรียนเชียงใหม่ด้วยนะ
แต่โอ้ตก็ไม่ได้ให้คำตอบผม

หรือว่าไอ้คนที่อยู่ในรูปนี่ คือ เต วะ งั้นก็แปลว่า ไอ้คนชื่อเตนี่ ย้ายไปอยู่เชียงใหม่
แล้วโอ้ตก็ตามไปเรียนต่อด้วยกันเหรอไงวะเนี่ย ผมเริ่มคิดออกทะเลไปเรื่อยๆ ความอยาก
รู้อยากเห็นมันชักก่อเป็นไฟที่ค่อยๆคุขึ้นมา (ไม่ใช่ไฟราคะนะ)

ผมมองไปที่ไดอะรี่โอ้ตที่วางแผ่อย่างหมดท่าอยู่บนเตียง

- ในนี้คงมีเรื่องอะไรที่ผมไม่เคยรู้เกี่ยวกับไอ้โอ้ตอยู่บ้างล่ะ -

ลมหนาวพัดอย่างเอื่อยเฉื่อยผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ ผมจับเอาฮู้ดเสื้อกันหนาว
มาปิดหัวตัวเองเพื่อเพิ่มความอบอุ่น พร้อมกับเอนตัวลงนอน ในมือถือหนังสือไดอะรี่เอาไว้
แล้วก็เริ่มต้นเปิดอ่าน พร้อมๆกับที่เครื่องเสียง แผ่นซีดีเพลงบรรเลง Canon In D ค่อยๆ
เริ่มบรรเลงอย่างแผ่วเบา

.

.

.

.

.

ออฟไลน์ no-reply

  • เซียนเป็ด
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 228
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-2
    • blog พันทิป
Re: [story] บ้านพักอลเวง โดย staying power
«ตอบ #59 เมื่อ23-10-2006 05:44:30 »

ตามอ่านทันแล้วช่วยคอมเมนต์หน่อยนะครับ
ผมจะได้รู้ว่าอ่านทันแล้ว
แล้วผมจะมาลงเพิ่มให้นะครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด