++++ ก็แค่บอกว่ารัก...มันยากนักเหรอ ++++ >>จบแล้ว ย้ายได้เลยครับ [09/02/12]<<
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ++++ ก็แค่บอกว่ารัก...มันยากนักเหรอ ++++ >>จบแล้ว ย้ายได้เลยครับ [09/02/12]<<  (อ่าน 93917 ครั้ง)

Violet_Melon

  • บุคคลทั่วไป
ตอน 31/2: หวาน 2

    สามอาทิตย์ผ่านไปที่ผมคอยดูแลมัน เสิร์ฟข้าวเสิร์ฟน้ำ ไหนจะต้องพามันไปเข้าห้องน้ำ รวมไปถึงการที่ผมจะต้อง ลอกเลคเชอร์ให้มันเพื่อที่จะได้เอาไปอ่นที่บ้าน ยอมรับว่าเหนื่อยเหมือนกันที่ต้องคอยทำทุกอย่างให้มัน แต่แปลก ช่วงที่เหนื่อยนี้กลับเป็น่วงที่ผมรู้สึกมีความสุขที่สุด ผมได้มีเวลาไกล้ชิดกับมันมากขึ้น เรียกว่า แทบจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ไม่เว้นแม่แต่ตอนเข้าห้องน้ำด้วยซ้ำ



    วันนี้ผมก็ยังคงซื้อข้าวมาให้มันกินบนห้อง หลังจากป้อนข้าว ป้อนน้ำให้มันเสร็จ (ยังกับเลี้ยงลูกเลยแน่ะ)



    “โม..”



    “หือ?”



    “ขอนอนตักหน่อยดิ”



    “หือออออ?” เล่นเอาผมงง อารมณ์ไหนของมันเนี่ย จะมาขอนอนตัก



    “นะๆๆ” มันทำเสียงอ้อน มันรู้ว่าผมเป็นคนใจอ่อน มันจึงชอบเอาจุดอ่อน มาให้ผมทำตามใจมันบ่อยๆ (จริงๆก็อยากทำให้มันนะ แต่เล่นตัวไปงั้น)



    “อือ .... แปบนึง .....” ผมพูดเบาๆ แต่ไม่กล้ามองหน้ามัน อายง่ะ



    ผมไปยกเก้าอีมาต่ออีกตัว รวมเป็นสามตัว แล้วเข้าไปนั่งด้านใน หันหลังพิงขอบหน้าต่าง  เอาขาชิดกัน มันนอนลงมาเอาหัวหนุนมาที่ตักระหว่างขาสองข้างที่ชิดกัน แล้วพาดลำตัวไปบนเก้าอี้ทั้งสาม



    “อืม สบายจัง ขอนอนหลับหน่อยนะ เมื่อคืนก็นอนดึก” มันบอก



    “ทำไมอ่ะ ยังปวดแผลอยู่เหรอ”



    “ป่าว กูนั่งเล่นเกม”



    “-_- เชี่ย หมอบอกให้พักผ่อน เดี๋ยวก็ไม่หายหรอกมึง”



    “ก็ดี มึงจะได้ดูแลก็อย่างนี้นานๆ หึหึ” มันหัวเราะ ขำ



    “อ่อ งั้นก็เป็นง่อยไปเลยสิ”



    “เชี่ย แช่งกู”



    “ฮะ ฮะ” ผมหัวเราะบ้าง



    “กุมีความสุขจัง...” มันพูดทั้งที่หลับตา พร้อมกับยิ้ม มันเอามือมันมาจับมือผมแล้วไปวางบนออกมัน ผมรู้สึกได้ถึงแรงเต้นของหัวใจมัน



    “...” ผมเงียบ ได้แต่ยิ้ม มองหน้ามัน ไม่กล้าบอกว่าผมเองก็มีความสุขเหมือนกัน อยากจะหยุดเวลานี้ไว้นานเท่านาน เวลาที่มีแค่เพียงผมกับมัน


   

    “โม...” มันกระซิบเรียกเบาๆ เซ็กซี่ชะมัด อร๊างงงงง



    “หือ?”ผม อยากจะรู้ว่ามันจะพูดอะไรต่อ หรือจะขอหอมแก้มกูว๊าาาาา ไอ้บ้า กุอายน๊าาาาาา มันเว้นช่วงซะยาว จนผมใจตุ๊มๆต่อมๆ



    .



    .



    .



    .



    .


    “บีบสิวให้หน่อย”


     ~



     ~



     ~




     “....”






     ไอ้เวอร์ ไอ้เลว โดดกันหูแม่งซะเลยดีแมะ คนกะลังซึ้งๆ ทำเสียบรรยากาศหมด นึกในใจอยากจะตบกะโหลกมันซักหนึ่งที แต่ก็ทำได้เพียงเสียงจิ๊จ๊ะ ในลำคอ แล้วก็บีบสิวให้มัน ชิส์



      บีบสิวให้มันจนเพลิน รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงมันกรนเบาๆ ผมมองหน้ามัน เห็นหน้ามันไม่ถนัดนัก เพราะมันนอนกลับหัวเข้าหาตัวผม มองเห็นรอยสิวที่ผมบีบให้มัน เป็นจุดแดงๆเล็กๆตามใบหน้า คิ้วเข้มตัดกับใบหน้าขาวๆเรียวยาวของมัน จมูกที่โด่งเป็นสัน และริมฝีปากอิ่มแดง แบบนี้น่ะเหรอ ที่ผู้หญิงหลายคนหมายปอง แบบนี้น่ะเหรอที่ผู้หญิงหลายคนฝันหาอยากลิ้มรส แบบนี้น่ะเหรอที่เคยสัมผัสกับริมฝีปากของผมมาหลายต่อหลายครั้ง คิดแล้วก็อดนึกภูมิใจไม่ได้ ที่ผมเป็นคนแรกที่ได้ลิ้มรสริมฝีปากคู่นี้ ผมอดไม่ได้ที่จะยกมืออีกข้างลูบผมของมันเบาๆ ผมที่หยักศกเล็กน้อย สีดำสนิท หนา แต่ให้ความสัมผัสที่นุ่มมือ ผมเคลิ้มไปกับมนต์สะกดของมัน จนอดไม่ได้ ผมค้อมตัวลงมา ประทับริมฝีปากลงบนที่หน้าผากขาวเนียนของมัน สูดหายใจเข้าหนึ่งครั้ง พร้อมกับกำลังจะเงยหน้าขึ้น แต่ตากลับเหลือบไปเห็นริมฝีปากสีแดงคู่นั่น จึงเลื่อนใบหน้าหน้าขึ้นไปอีกนิด เป้าหมายคือริมฝีปากที่ปิดสนิทอยู่ของมัน





     ไกล้อีกนิด




     ...






     อีกนิด




     ....





     นิดนึง




     ...





     แต่แล้วสติผมก็กลับคืนมา นึกอายขึ้นมาทันทีทันใด นี่ถ้ามันตื่นขึ้นมาตอนนี้ แล้วมาเห็นว่าผมกำลังทำอะไรกับมันอยู่ล่ะก็ ได้หัวเราะเยาะผมไปยันลูกบวชแน่



     ทำอะไรเนี่ยตู ..... ปากบอกว่าเกลียดมันนักมันหนา แต่กลับแอบมาลักหลับมันซะแบบนี้ รู้ถึงไหนได้อายไปถึงนั่นแน่



     ....ในขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้น ทำให้ผมลืมสังเกตไปว่าเสียงกรนเบาๆนั้น ได้เงียบหายไปแล้ว ผมกำลังจะเงยหน้ากลับมา พลันก็มีมือมาจับด้านหลังศีรษะผมไว้ พร้อมกับกดคืนลงมา จนริมฝีปากของผมประกบลงเข้ากับริมฝีปากสีแดงที่รออยู่ด้านล่าง




     เหมือนไฟช็อตเลยครับ เป็นความรู้สึกแปลกประหลาดที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน เหมือนตัวเบาล่องลอยอยู่กลางอากาศ เหมือนถูกไฟฟ้าช็อต  มันอธิบายไม่ถูก มีหลายความรู้สึกปนกันไป แต่ที่แน่ๆมันรู้สึกดีมาก รู้สึกดีแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต ผมปล่อยให้เป็นไปตามที่ใจต้องการ ขอมีความสุขสักครั้ง เพื่อจะจดจำช่วงเวลานี้เอาไว้ไปนานแสนนาน มันยังจับศีรษะผมไว้ ราวกับว่ากลัวผมจะถอนริมฝีปากออกจากมัน เวลาผ่านไปเนิ่นนาน จนผมต้องเป็นฝ่ายตัดสินใจถอนริมฝีปากออกจากมัน อย่างรู้สึกเสียดาย






     เพราะ......









     เพราะ







     ผมเริ่มจะปวดหลัง



     “ไง ทนความหล่อของกูไม่ไหว ถึงกับต้องลักหลับกูเลยเหรอ” นั่นไง ปากหมาขึ้นมาเลยทีเดียวไอ้นี่ ใครมีเข็มบ้างฟระ มาเย็บปากมันไว้หน่อยซิ ไอ้เวอร์นี่มันจะเพอร์เฟคทุกอย่างเลยล่ะ ขออย่างเดียว อย่าให้มันได้พูดออกมา เพราะสุนัขมันจะวิ่งออกมาจากปากมันเป็นพรวน


     “อึก...” ไอ้โมพูดไม่ออก เพราะที่มันพูดเป็นจริงทุกประการ


     “ลุกได้แล้ว เมื่อย ตัวหนักจะตาย” ผมทำโมโห กลบเกลื่อน ดันมันลุกขึ้นนั่ง ลืมนึกไปว่ามันจะเจ็บแผล แต่พอเห็นมันไม่เป็นไรก็โล่งใจ จึงปีนข้ามโต๊ะออกไป หันมามองมันก็เห็นมันหัวเราะ หึหึ


     “หัวเราะเชี่ยไร ไปห้องน้ำละ” ผมบอก อายโคตรรรรรรร นี่ผมทำอะไรลงไปเนี่ยยยยยยยย อยากจะแทรกแผ่นดีดินหนี ผมพูดเสร็จก็รีบวิ่งปรู๊ด ออกมาเลย ฮืออออ มันได้เอาไปล้อผมยันลูกบวชแน่ เสียฟอร์มชะมัดเลยอ่าาาาาาา >///<



     เขียนถึงตอนนี้ก็นึกไปถึงภาพยนตร์เรื่องสไปเดอร์แมน ฉากที่นางเองจูบสไปเดอร์แมน ที่กำลังห้อยหัวอยู่ ตอนนั้นเข้าใจอารมณ์ผู้กำกับเลยว่าทำไมถึงต้องให้สไปเดอร์แมนห้อยหัวไว้ด้วย คืออยากจะบอกว่า การจูบในท่ากลับหัวเนี่ย มันให้ความรู้สึกดีมากๆ เป็นความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากการจูบแบบปกติ ผมบอกไม่ถูกเหมือนว่าเพราะอะไร  มันรู้สึกเหมือนได้รสสัมผัสที่นุ่มนวลกว่า ตื่นเต้นกว่า ถ้าการจบแบบปกติให้ความรู้สึกเหมือนไฟช็อต การจูบแบบกลับหัวก็คงจะเหมือนโดนฟ้าผ่า (ขนาดนั้นเชียว) ถ้าใครชอบการจูบแล้วล่ะก็ อยากให้ลองท่าจูบกลับหัวดู รับรองติดใจชัวร์รรรรรรรรรร

ออฟไลน์ ujen

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-13
หวานกันใหญ่เลยน่ะ :o8:

 :L2: :L2:

ออฟไลน์ GeTOuTNoW

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 415
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
น่ารักอีกแล้ว ทำให้หลงได้ตลอดเวลา :o8: :o8:

ออฟไลน์ MoMoRin

  • I am Fujoshi! (・∀≦)ゞ
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-2

tawan

  • บุคคลทั่วไป
น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก น่ารัก :impress2:

 :call:


Violet_Melon

  • บุคคลทั่วไป
ตอน 31/3: หวาน 3

       เหมือนจะลืมประกาศผลสอบ Mc Scholar Ships สินะ สรุปว่าผลสอบออกมาตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ไอ้เวอร์มันกลับมาเรียนแหละครับ ผมได้รางวัล 3 รางวัล เป็นในประกาศนียบัตร 3 ใบ กับเงินอีกนิดหน่อย มีรางวัลต่างๆเท่าที่จำได้


       1.ชนะเลิศอันดับ 1 ภาษาอังกฤษ ระดับจังหวัด

       2.รองชนะเลิศอันดับ 1 วิทยาศาสตร์ ระดับจังหวัด

       3.รองชนะเลิศอันดับ 1 คะแนนรวม ระดับจังหวัด

       ส่วนไอ้โย น่าเสียดายที่มันไม่ได้รางวัลใดๆเลย อดสงสารมันไม่ได้ เพราะเห็นมันมีความพยายามมากกว่าผม ขยันมากกว่าผมเสียอีก อาจารย์ประกาศรางวันหน้าเสาธง ตอนเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่มีการส่งใบประกาศฯมาที่โรงเรียน อาจารย์วัฒน์ อาจารย์เก้ อาจารย์อ๋อย แลดูจะดีใจมากกว่าตัวผมเองซะอีก


       หลังจากนั้นคะแนนการสอบ ของผมก็ถูกส่งไปแข่งขันระดับประเทศต่อ คนที่ติดอันดัน 1-100 จะได้เงินเพิ่ม และจะได้ไปเข้าค่ายกับทาง Mc Scholar Ships แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ได้รางวันใดๆในระดับประเทศเลย


       ช่วงนี้ผมต้องดูแลไอ้เวอร์ตลอด ทำให้ไม่ค่อยได้มีเวลาไปขลุกที่ห้องวิทยาศาสตร์เหมือนแต่ก่อน มีบ้างที่ผมแวะไปหาอาจาร์วัฒน์ แต่ส่วนใหญ่ก็เจอกันในห้องเรียนมากกว่า ตอนนี้ไอ้เวอร์เองมันก็สามารถลงมากินข้าวกลางวันข้างล่างกับพวกผมได้แล้ว วันนั้นหลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จ


       “วันนี้เดี๋ยวกูไปหาอาจารย์วัฒน์ที่ห้องวิทย์นะ” เหลือบไปมองไอ้เวอร์ หน้าบูดเป็นตูดลิง จนผมต้องอธิบายเพิ่ม


       “สงสัยจะเรียกไปคุยเรื่องผลสอบแหละ จะไปเล่นบาสกันใช่มะ”


       “อือ” ไอ้ตุ๊ กับ ไอ้อุ้ย พูดพร้อมกัน


       “งั้นไปเจอกันสนามบาส พาไอ้เวอร์ไปด้วย เด๋วกุตามไป” ผมบอก


       “กูไปเองได้ ไม่ได้เป็นง่อย” นั่น มาเต็มๆ อารมณ์ล้วนๆ ไอ้เวอร์ตอบกลับมา แต่ไม่ยอมมองหน้าผม


       “ก็ดี งั้นกูไปล่ะ” ฮะ ฮะ แกล้งมันซะหน่อย พูดเสร็จผมก็รีบเดิบไปห้องวิทย์ทันที


       พอมาถึงห้องวิทย์ ก็เจออาจารย์วัฒน์ นั่งอ่านหนังสือที่โต๊ะอยู่


       “หวัดดีครับ’จารย์” ผมยกมือไหว้


       “เห็นอาจารย์เรียกหาผมครับ มีอะไรใช้ผมช่วยเหรอครับ” ผมถาม


       “อ๋อ เปล่าหรอก เรื่องผลสอบน่ะแหละ ตั้งแต่ประกาศผลอกมา เรายังไม่ได้มีเวลาคุยกันเลย”


       “อ่อ ครับ แหะๆ”


       “เก่งนะเนี่ยเรา ไม่หน้าเชื่อว่าจะได้ตั้งที่สองของจังหวัด” อาจารย์แซว ยิ้มๆ


       “แหะๆ เผอิญอาจารย์ที่มาติวให้เค้าเก่งนะครับ” ผมแซวอาจารย์คืนบ้าง


       “โห ชมกันซึ่งๆหน้าแบบนี้ครูก็เขินแย่” น่าน อาจารย์กู ไม่ค่อยหลงตัวเองเลย


       “ผมหมายถึงอาจารย์เก้ กับอาจารย์อ๋อยน่ะครับ หุหุ”


       “พูดแบบนี้ครูเสียใจนะเนี่ย”


       “แหมมมม ผมล้อเล่น เพราะ ‘จารย์แหละ ผมถึงได้ตั้งที่สอง เอ่อ... แล้วโยธินเค้าว่าไงบ้างอ่ะครับ”


       “ก็คงเสียใจแหละ ครูก็ไม่ได้ไปปลอบใจอะไร เดี๋ยวจะยิ่งเสียใจไปกันใหญ่”


       “อ่อ ครับ”


       “อ่ะ นี่ รับไปสิ” อาจารย์ยื่นกล่องใบนึงให้ผม


       “อะไรเหรอครับ” ผมทำหน้างงๆ


       “ครูให้ เป็นรางวัล ที่เธอพยายามทำได้ดีมาก” เฮ้ยยยย อาจารย์ให้ของขวัญผมเหรอเนี่ย ดีใจโคตรๆ เป็นของขวัญชิ้นแรกในชีวิตผมเลยนะเนี่ย


       “อ่า... ขอบคุณครับ”ผมยกมือไหว้ แล้วรับของขวัญมาจากอาจารย์ มองกล่องของขวัญอย่างดีใจ


       “แกะดูสิว่าชอบไหม”


       “ครับ” ผมค่อยๆบรรจงแกะห่อของขวัญออกมา เอ...จะเป็นอะไรนะ หรือว่า....จะเป็นแหวนหมั้น นี่อาจารย์จะขอเราแต่งงานรึเปล่าเนี่ย อร๊ายยยย (โป๊ก!!! เพ้อเหรอเมิง --> จิตใต้สำนึก) เมื่อผมเปิดของขวัญออกมาก็พบว่า เป็น... เสื้อเชิร์ต แขนยาว สีน้ำตาล ลายดำสลับขาว สวยมากๆ นี่เป็นของขวัญชิ้นแรกในชีวิตผม แล้วยังเป็นเสื้อเชิร์ตตัวแรกในชีวิตผมด้วย โหยยยย โคตรจะชอบ อาจารย์เลือกของขวัญได้ถูกใจดีจริงๆ ผมจับพลิกเสื้อไปมาอย่างตื่นเต้น เห็นมีป้ายเย็บติดกับปกเสื้อ เขียนว่ายี่ห้อ “John Henry” (ตอนนั้นเห็นแล้ว ก็พอนึกได้ว่าเคยเห็นในโฆษนาทีวี)


       “ลองสวมดูสิ” อาจารย์บอก


       “ครับ” ผมเอาเสื้อสวมทับชุดนักเรียน ลองติดกระดุมดู แต่ด้วยเสื้อยังใหม่อยู่ ทำให้ติดกระดุมยาก เพราะรังดุมยังแคบอยู่


       “มานี่สิ” อาจารย์ เดินเข้ามาหา พร้อมช่วยติดกระดุมเสื้อให้ผม ตอนนี้หน้าของผมกับอาจาย์ห่างกันไม่ถึงฟุต ผมได้แต่แกล้งมองไปถึงอื่น เพราะไม่กล้าสบตาอาจารย์ ตอนนี้รู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนผ่าวๆ ได้กลิ่นแป้งกลิ่นเดิมจากตัวอาจารย์ ผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆของอาจารย์ที่อยู่ตรง       หน้า พร้อมกับเสียงหัวใจของอาจารย์ที่เต้นรัวไม่แพ้กับของผม


       อาจารย์ค่อยๆ ติดกระดุมให้ผม จนเสร็จทุกเม็ด แล้วจึงจับผมหมุนตัวเพื่อดู


       “ใหญ่ไปนิดนึงนะ” อาจารย์บอก พร้อมกับมองหน้าผมยิ้มๆ พร้อมกับส่งสายตาพิฆาต มาใส่ผม (อ๊ากกกกก เดี๋ยวโดดกัดซอกคอซะเลยนิ)


       “ครับ” ผมหลบตาอาจารย์ ยิ้มอายๆ


       “แต่ที่จริงครูว่า เธอน่ะผอมไปน่ะ น่าจะกินเยอะกว่านี้อีกซักหน่อย” อาจารย์ยังมองผมไม่เลิก เหมือนจะแกล้งผมซะงั้น


       “แหะๆ กินเยอะแล้วครับ ‘จารย์ สงสัยพยาธิ ในท้องจะเยอะน่ะ”


       “นั่นสินะ ฮะ ฮะ” ผมคุยกับอาจารย์ อยู่อีกครู่หนึ่ง ก็ขอตัวออกมา พร้อมกับของขวัญ วันนี้มีความสุขจัง ของขวัญชิ้นแรก เสื้อเชิร์ตตัวแรก ลัลล้ามากมาย ฮะ ฮะ


       ผมเอาของขวัญไปเก็บที่ห้อง แล้วรีบวิ่งมาสนามบาส สวนกับน้องจั๊กจั่นกับเพื่อนๆ ที่เดินออกมาจากทางสนามบาสพอดี





       “อ้าวพี่นะโม มาเล่นบาสกับเพื่อนๆเหมือนกับเหรอคะ” น้องจั๊กจั่นทักทายผม


       “อ๋อ ใช่ครับ แล้วน้องจั่นกับเพื่อนมาทำอะไรแถวนี้ครับ”


       “อ๋อ มาหาพี่พาวเวอร์น่ะค่ะ แล้วก็ซื้อน้ำมาให้” โห ช่างกล้า ตามมาหาผู้ชายถึงนี่เลยนะน้อง


       “อ๋อ ครับ งั้นพี่ไปหาเพื่อนก่อนนะครับ” ต้องรีบออกมา ก่อนที่จะของขึ้นไปมากกว่านี้ เกิดอาการจี๊ดๆที่หัวใจขึ้นมาอย่างกระทันหัน


        แต่ทันทีที่มาถึงสนามบาส สิ่งที่ผมเห็นเบื้องหน้านั้น ทำให้ผมถึงกับของขึ้น ขึ้นมาจริงๆซะงั้น ผมวิ่งผ่าเข้าไปกลางสนาม ที่พวกเพื่อนๆผมกับลังเล่นกันอยู่ รวมทั้ง








       ...... ไอ้เวอร์








       “มึงทำอะไรเนี่ย!!!” ผมตะคอกอย่างดัง จนเพื่อนทั้งสนาม ต้องหยุดเล่นแล้วหันมามองที่ผมเป็นตาเดียว


       “มึงหยุดเดี๋ยวนี้เลย อยากตายรึไงห๊ะ!” ผมโมโหมาก


       “หมอเค้าบอกให้มึงห้ามเล่นกีฬาอย่างน้อยก็ 1 ปี ไม่ใช่รึ มึงอยากตายรึไง!!!”


       “แล้วพวกมึงน่ะ รู้ทั้งรู้ ยังจะชวนมันมาเล่นอีก ถ้ามันเป็นไรขึ้นมาพวกมึงจะทำยังไง รับผิดชอบกันไหวเหรอ!!! ” ผมใส่เป็นชุด พวกเพื่อนๆในสนามได้แต่เงียบกริบ


       “แล้วมึงสองคน ไอ้อุ้ย ไอ้ตุ๊ ทำไมไม่ดูมัน ยังจะมาชวนมันเล่นอีก”


       “กูป่าวชวนน๊า มันมาแจมพวกกูเอง” ไอ้อุ้ย ตอบเสียงอ่อย ผมหันไปมองไอ้ตุ๊ตาเขียว มันทำหน้าเจื่อน


       “มึงหยุดเล่นเลย ไอ้เวอร์ มากับกูนี่” ผมหันไปหาไอ้ตัวต้นเรื่อง


       “ไม่เล่นก็ได้วะ แม่มมมม”มันบ่น แต่ก็เดินออกมาหาผม ที่ข้างสนาม


       “เออ ลองเล่นต่อสิ กูจะไปบอกอาจารย์เก้ ให้ไปบอกแม่มึง” ผมขู่


       “เออๆๆ ไม่เล่นแล้ว ไม่เล่นแล้ว พูดดีๆก็ได้”


       “พูดดีๆแล้วมึงจะฟังมั้ย รู้ทั้งรู้ ตัวเองเป็นแบบนี้ยังจะไปเล่นอีก ถ้าเป็นไรขึ้นมาแล้วจะทำไง ไม่เจียมสังขารตัวเองเล้ย”


       “เออๆ กูขอโทษๆ”


       “แม่มม ” ผมยังของขึ้นไม่เลิก มันไม่เจียมตัวเองจริงๆ สภาพสังขารแบบนี้ ยังจะไปวิ่งเย้วๆอยู่กลางสนาม ถ้าแผลฉีกแบะ ไส้ไหลออกมาจะทำยังไง (ตอนนี้คิดแบบนั้นจริงๆ ว่าถ้าแผลมันฉีก ไส้มันคงจะไหลออกมา)


       “อย่าให้กูเห็นว่ามึงแอบมาเล่นบาสอีกนะ ไม่งั้นถึงหูอาจารย์เก้แน่”


       “พวกมึงด้วย!  อย่าให้กูรู้นะ ว่ามาชวนมันเล่นบาสอีกอ่ะ” ผมขู่ไปถึงเพื่อนๆที่อยู่ในสนาม


       “เฮ้ย ไอ้เวอร์ เมียมึงดุจังวะ มีลูกขอไปเฝ้าบ้านซักตัวด้วยนะๆ” เพื่อนๆในสนามมันแซว


       “หุบปากไปเลยมึง” ผมชี้หน้าไอ้คนที่แซว จนพวกเพื่อนๆมันเริ่มเล่นบาสกันต่อ ผมอารมณ์เสีย เลยไม่ได้อยู่ต่อ หันหลังแล้วเดินกลับห้องเรียนด้วยอารมณ์เดือดปุดๆ หันกลับไปเห็นไอ้เวอร์ยังนั่งอยู่ข้างสนาม ไม่เห็นมันเดินตามผมมา ห่วงนิดนึงกลัวว่ามันจะแอบไปเล่นบาสอีก คิดไปคิดมาอีกที มันคงไม่กล้าหรอก เพื่อนๆก็ได้ยินผมพูดขนาดนั้นแล้ว คงไม่ยอมปล่อยให้ไอ้เวอร์ลงไปเล่นบาสอีก


       ผมเดินกลับมาถึงห้อง ก็นั่งคิดถึงไอ้เวอร์ ทั้งหึงเรื่องน้องจั่น ทั้งโมโหที่มันไม่รักตัวเอง นี่ถ้ามันแผลฉีกเป็นอะไรไปจริงๆแล้วจะทำยังไง ไม่รักตัวเองบ้างเลยรึไง เข้าใจนะว่ามันรักการเล่นบาสเป็นชีวิตจิตใจ แต่รอให้หายก่อนไม่ได้รึไง เดี๋ยวก็ได้ตายคาสนามหรอก


       ....พอคิดถึงเรื่องตาย แล้วก็อดใจหวิวๆไม่ได้

       ....ตายเหรอ เฮ้ออ ใจหายเลยแฮะ ถ้ามันเป็นอะไรไปจริงๆ ผมจะทำอย่างไรนะ ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย ผมคิดได้ดังนั้น น้ำตาก็ปริ่มออกมา



       ถึงตอนนี้คงต้องยอมรับแล้วว่าไอ้เวอร์ ...





       ไอ้เวอร์มันเป็นคนเดียวจริงๆ ที่ทำให้ผมทั้งมีความสุขมากที่สุด และเสียน้ำตาได้ขนาดนี้


      ระหว่างที่ผมนั่งคิดเรื่องไอ้เวอร์อยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงคนเดินมา ผมรีบปาดน้ำตา คงเป็นไอ้เวอร์แหละ ...แต่ เชอะ! ผมไม่สอนใจ งอนแม่งดีกว่า เสือกทำให้ผมเป็นห่วง ผมแกล้งนั่งเอาคางเกยขอบหน้าต่างไว้ หันหน้าออกไปข้างนอก สักครู่จึงรู้สึกว่า ใครคนนั้นมานั่งลงข้างๆผม


       “มึงห่วงไอ้เวอร์มากเลยเหรอ” เป็นไอ้ตุ๊นั่นเอง มันถาม น้ำเสียงดูตัดพ้อ


       “ห่วงสิ มันเป็นเพื่อนเรานิ” ผมยังนั่งอยู่ท่าเดิม ไม่หันกลับมา ไม่ใช่ไอ้เวอร์ แต่เป็นไอ้ตุ๊งั้นเหรอ ไอ้เวอร์ไม่อยู่ กุงอนไอ้ตุ๊แทนก็ได้วะ ตะกี้ก็เคืองมันจริงๆด้วย ที่ไม่ยอมห้ามไอ้เวอร์


       “ห่วงเพราะมันเป็นเพื่อน หรือห่วงเพราะมันเป็นมากกว่าเพื่อน” มันถามเสียงแผ่ว


       “...” ผมหันกลับมา เห็นไอ้ตุ๊ทำหน้าจ๋อย ง่า ว่าจะงอนมันซะหน่อย เห็นหน้ามันแล้วงอนไม่ลงอีกแระ


       “อะไรอีกเนี่ย ก็มันเป็นเพื่อนเรานิ หรือว่ามึงไม่ห่วงมันล่ะ”


       “ถ้ากูเป็นแบบมันมั่ง มึงจะห่วงกูแบบนี้มั้ย” มันยิ่งทำเสียงอ่อย


       “เอ๊า ไอ้นี่ห่วงสิ ถามได้” ก็ห่วงจริงๆอ่ะ ถ้ามันเป็นแบบไอ้เวอร์บ้าง ผมก็คงทำแบบเดียวกันน่ะแหละ








       ย้อนไปที่วันนั้น







       วันที่อาจารย์เก้เรียกไอ้ตุ๊เข้าไปคุยอะไรไม่รู้หลังเลิกเรียน ไอ้ตุ๊ก็ซึมไปอยู่หลายวัน ผมกับไอ้อุ้ยพยายามถามความจริงอยู่หลายครั้ง กว่ามันจะยอมเปิดปาก สรุปว่าอาจารย์เก้ก็ดูออกว่าไอ้ตุ๊คิดอย่างไรกับอาจารย์ อาจารย์จึงต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลม ไม่อยากให้ไอ้ตุ๊มันถลำลึกไปมากกว่านี้ จึงจำเป็นต้องบอกความจริงกับมันไปตรงๆ ว่าความรู้สึกที่ไอ้ตุ๊มีให้ อาจารย์ท่านก็ทราบดี แต่ยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้ ทั้งด้วยสถานะที่เป็นอยู่(หมายถึงสถานะศิษย์-อาจารย์) อายุที่หางกันถึง 10 ปี ถึงแม้ว่าอาจารย์จะยังไม่ได้มีแฟน ก็ไม่ได้หมายความว่า อาจารย์จะมารักไอ้ตุ๊แบบคนรักได้ จากวันนั้น ไอ้ตุ๊ก็ซึมไปเป็นอาทิตย์ ผมกับไอ้อุ้ยก็พยายามปลอบ จนในที่สุดมันก็ทำใจได้ และ...หันกลับมาเจ๊าะแจ๊ะกับผมเหมือนเดิม T_T จะดีใจหรือเสียใจดีวะเนี่ย



       “กุเห็นช่วงนี้มึงกับบมันตัวติดกันอย่างกับตังเม เห็นมึงป้อนข้าวป้อนน้ำมัน บอกตรงๆว่ากูเห็นแล้วกูอิจฉามันมากเลยนะ”


       “บ้า จะมาอิจฉาอะไร เพื่อนกันทั้งนั้น”


       “จริงๆนะ กูอยากให้มึงทำแบบนั้นกับกูบ้าง” ไอ้บ้า มึงอะได้มากกว่ามันอีก แก้ผ้านอนกอดกูก็เคยมาแล้ว


       “เอ๊า ก็มึงไม่ได้ป่วยแบบมันนิ”


       “...” มันยังทำหน้าจ๋อยไม่เลิก จนผมต้องหันมาหามัน ผมลุกขึ้นหันหน้าเข้าหามัน  เอามือสองข้างมาคล้องคอมันไว้


       “มึงฟังกุนะ ไม่ว่าจะเป็นมึง หรือเป็นไอ้อุ้ย กูก็จะทำแบบเดียวกับที่กูทำให้ไอ้เวอร์แหละ แต่ตอนนี้คนที่ป่วยเป็นไอ้เวอร์ กูถึงต้องดูแลมันเป็นพิเศษไง กูสัญญา ถ้าถึงเวลาต้องดูแลมึงบ้าง กูจะดูแลให้ดีกว่าใครๆเลย”


       “จริงนะ งั้น....” มันพูด พร้อมกับทำตาเป็นประกาย แล้วทันใดนั้น มันก็ดึงเอวผมเข้าหามัน จนผมเซโรงัง ลงไปนั่งตักมัน พร้อมกับ....


       “ฟอดดดด” มันหอมแก้มผมฟอดใหญ่ ยังไม่ทันที่ผมจะได้ทันตั้งตัว มันก็ก้มหน้าลงมาจูบปากผมเข้าให้อีก ....


       “อื้อ...” ผมครางในลำคอ เห็นสีหน้าท่าทางมันตะกี้แล้ว ก็อดทำให้ผมใจอ่อน ไม่ได้ งงเหมือนกัน เห็นมันชอบอาจารย์เก้นักหนา ก็นึกว่ามันจะเลิกคิดอะไรกับผมแล้วเชียว



       ผมปล่อยให้มัน ทำตามใจของมัน อาจจะถือเป็นคำปลอบใจจากผมก็ได้ ปลอบใจที่ผมไม่อาจมอบความรู้สึกให้มันได้ ในแบบที่มันต้องการ จูบของไอ้ตุ๊แผ่วเบา เนิบนาบ แต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถถูก จนได้ยินเสียงคนเดินคุยกันมาทางนี้ ผมจึงผลักมันออก



       “พอแล้ว มีเสียงคนเดินมาทางนี้แน่ะ” มันละปากออกจากผมแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยผมอยู่ดี ผมเงยหน้ามองมันก็เห็นว่า ...มันทำหน้าจ๋อยอีกละ โว้ยยยย กูจะบ้า พวกมึงนี่จะเอาอะไรให้ได้ดั่งใจกันเลยใช่ม้ายยย ขัดใจอะไรนิดหน่อยไม่ได้ พวกคุณหนูคุณชายเนี่ย กูละเบื่อเจรงงงงงง


       “อ่ะ เดี๋ยวตอนบ่ายไปนั่งด้วยก็ด้ะ แต่ตอนนี้นี้ปล่อยก่อน นะ” ผมทำหน้าอ้อนมันมั่ง มันยิ่มเผล่ ขึ้นมาเลยเชียว เฮ้อ... ชักระอากับพวกมันขึ้นมาแล้วเนี่ย กรรมของไอ้โมแท้ๆ มาเจอกับมันสองคนเนี่ย


       “มึงพูดแล้วนะ” มันย้ำ หมายถึงเรื่องที่ผมจะไปนั่งข้าหลังกับมัน หรือเรื่องที่ผมจะดูแลมันล่ะเนี่ย


       “อื้อ”ผมตอบ มันจึงยอมปล่อยผมเป็นอิสระ ผมลุกออกจากตักมัน เป็นเวลาเดียวกับที่ เพื่อนๆทยอยกันขึ้นมาเข้าห้องเรียนพอดี 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-11-2011 09:48:18 โดย Violet_Melon »

gay_love

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ ujen

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-13
น้องโมเสน่ห์แรงจริงๆ :o8:

  :L2: :L2:

ออฟไลน์ IöLIKE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 993
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-6

tawan

  • บุคคลทั่วไป
บอกได้คำเดียวโมแรดวะ

เริ่มไม่ชอบแล้วอะ

  :m16:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






yayee2

  • บุคคลทั่วไป
เพิ่งเข้ามาอ่านเรื่องนี้รวดเดียวจากตอนที่1ถึงตอนปัจจุบัน
เป็นการเล่าเรื่องราวผ่านทางตัวอักษรการได้ดีและสนุกจ้ะ

ออฟไลน์ GeTOuTNoW

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 415
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1

ออฟไลน์ MoMoRin

  • I am Fujoshi! (・∀≦)ゞ
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-2

artit

  • บุคคลทั่วไป
อ้างถึง
กำของไอ้โมแท้ๆ มาเจอกับมันสองคนเนี่ย
กำไรมากกว่ามั้ง  :laugh: :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
เรื่องสนุกดีค่ะ เค้าชอบตุ๊นะ ส่วนเวอร์รู้สึกขึ้นๆลงๆยังไงไม่รู้
ส่วนน้องโมของเรา,,,,น่าจะชัดเจนกว่านี้นะ ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับตุ๊ก็อย่าทำเหมือนกับให้ความหวังเพราะมันน่าสงสาร แต่ถ้าเลือกไม่ได้ก็ทำความเข้าใจกันทั้งหมดแล้วอยู่ด้วยกัน3คนไปเลย 5555555

Violet_Melon

  • บุคคลทั่วไป
ตอน 32:

        กิจกรรมอีกอันหนึ่งที่เด็กนักเรียนทุกคนต้องทำ ก่อนที่จะเรียนจนมอสาม ก็คือการเข้าค่ายลูกเสือ อันเป็นหนึ่งในกิจกรรมภาคบังคับ ของการเรียนลูกเสือ-เนตรนารี โดยใช้พื่นที่ด้านหลังโรงเรียนเป็นที่ตั้งแคมป์ลูกเสือ อาจารย์จะให้นักเรียนมอสามแบ่งกลุ่ม (เรียกว่าหมู่) โดยการสุ่มนับเลข


        ผลจากการแบ่งกลุ่มปรากฏว่า พวกผมสี่คนไม่มีใครได้อยู่หมู่เดียวกันเลย ไอ้ตุ๊พยายามจะมาอยู่หมู่เดียวกับผมโดยการที่พยายามเปลี่ยนหมายเลขกับคนที่อยู่ข้างๆ แต่เนื่องจากที่มันเป็นจุดเด่น เลยทำให้อาจารย์จำมันได้ อาจารย์จึงไม่ยอมให้มันเปลี่ยน พร้อมกับโดนทำโทษไปตามระเบียบ ส่วนไอ้เวอร์มันอยู่ถัดไปจากผมหนึ่งหมู่  ส่วนไอ้อุ้ยอยู่หมู่สุดท้าย


        มีการคัดเลือกหัวหน้าหมู่โดยที่ คนตัวโตสุดที่ยืนหัวแถวก็จะได้เป็นหัวหน้าหมู่ ส่วนคนตัวโตรองลงมาจะได้เป็นรองหัวหน้า


        และแล้วก็มาถึงการเข้าค่ายวันแรก วันนี้อาจารย์ให้เรามารวมตัวกันที่สนามหน้าโรงเรียน โดยกิจกรรมแรกที่จะต้องทำในวันนี้คือการเดินทางไกล เป็นระยะทางราวๆ 11 กิโลเมตร โดยใช้พื้นที่ในหมู่บ้าน ที่อยู่รอบๆโรงเรียน เป็นเส้นทางในการเดินทาง ระหว่างทางก็จะมีฐานต่างๆ ไว้คอยให้เราทำกิจกรรมต่างๆราว 10 ฐาน ขอนุญาตเล่าป็นบางฐานนะครับ เล่าครบหมด อาจจะยาวคนคนอ่านเบื่อซะก่อน การเดินทาง อาจารย์จะให้เดินออกไปทีละสองหมูครับ เว้นระยะเวลา แต่ละหมู่ราวๆ 10 นาที โดยให้ลูกเสือ 1 หมู่ ไปกับเนตรนารี 1 หมู่ เพื่อให้พวกผู้ชายคอยช่วย เผื่อกรณีที่เกิดอันตราย


        ฐานที่ 1: ลำเลียงน้ำ


        ด่านนี้ครับ อาจารย์จะปักหลักสองหลัก หลักกนึ่งไว้บนบก อีกหลักไว้ในคูน้ำข้างทาง แล้วเอา เชือกมาร้อยไขว้กับหูกระทะ ที่เป็นกระทะแบนๆไว้ จากนั้นก็เอาเชือกไปผูกไว้กับปลายเสาทั้งสอง แล้วให้พวกเรายืนเรียงแถว ค่อยๆลำเลี่ยงน้ำผ่านกระทะที่ร้อยเชือกไว้นั้น ให้เต็มถังที่ตั้งอยู่บนบก ให้ได้ภายในเวลา 10 นาที หากทำไม่ได้จะถูกทำโทษ ให้ลงไปแช่น้ำ แล้วลงมานอนคลุกฝุ่น ส่วนผู้หญิง จะโดนปั่นจิ้งหรีด 50 รอบ
ฐานแรกไม่ต้องเดาครับ หมู่ผมทำได้อยู่แล้ว สบาย....ซะที่ไหนล่ะ ตอนแรกนึกว่าหมูๆ ที่ไหนได้ ถึงน้ำโคตรใหญ่ ใครจะไปใสน้ำเต็มได้ แถมกระทะก็แบนแต๊ดแต๋ มันพอเก็บน้ำซะที่ไหน สุดท้ายหมู่ผมก็ต้อง เดินออกมาจากฐานด้วยสภาพตัวเปียกแดงเถือก เนื่องจากโดนทั้งแช่น้ำ และคลุกกับฝุ่นลูกรัง



        ฐานที่ 2: ต่อตัวตีระฆัง


        ด่านที่สอง ให้ขึ้นไปตีระฆังให้ดัง โดยที่ระฆังแขวนอยู่บนยอดเสา ซึ่งเป็นแท่งเหล็กที่ขัดจนมัน แล้วเอาน้ำมันทาเสาไว้ ตอนแรกก็ใช้วิธีปีนขึ้นกันไปทีละคน เผื่อว่าจะมีซักคนที่ปีนขึ้นไปได้สำเร็จ แต่ก็ยังไม่มีใครทำได้  จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีต่อตัว แต่ในที่สุดก็หมดเวลา ก่อนที่จะต่อตัวไปตีระฆังได้ สุดท้าย ก็โดนทำโทษกันไปอีกตามระเบียบ รอบนี้อาจารย์ทำโทษโดยแจกบอระเพ็ดคนละหนึ่งชิ้น .... ให้เคี้ยวแล้วกลืย ทีละคน  !!!  Y_Y อ้วกแตกไปตามๆกันน่ะสิ เหอๆๆ



        ฐานที่ 5: ใต่เชือกข้ามน้ำ



        และแล้วก็มาถึงด่านโหดมหาหิน เบื่องหน้าเป็นสระน้ำ มีเชือกหนึ่งเส้น ผูกไว้บนต้นไม้จากฝั่งหนึ่ง ไปอีกฝั่งหนึ่ง ผมมาถึงที่นี่เร็วกว่ากำหนด ทันเห็นหมู่ก่อนหน้า กำลังตะเกียกตะกายขึ้นจากสระน้ำกันพอดี และแล้ว...


        “เฮ้ย!! ปลิง” ใครสักคนตะโกน


        “ไหนวะ ไหนวะ”


        “ที่ขามึงน่ะ ข้างหลังขา”


        “เฮ้ยยยยย ” ใครคนหนึ่งร้องเสียงดัง พร้อมกับดึงปลิงออกจากขามันเอง พร้อมกับเลือดสาด เต็มขา


        “เชี่ย แล้วววววว ทางนี้ก็มี ที่แขนกูเลยยยยย” พวกที่เหลือในสระ ตะโกน พร้อมรีบกรูกันขึ้นมาจากสระ (น้ำในสระไม่ลึกมาก ประมาณ คอผม)


        หลังจากหมู่ก่อนหน้า ผมผ่านไป ก็ถึงคิวพวกผมต้องให้อาหารปลิงกันบ้างแล้ว


        “เอาล่ะ ถึงคิวพวกเธอแล้ว ฐานนี้เราจะสบายๆนะ ไม่ต้องเครียด ฐานเราจะไม่มีการทำโทษ แต่ หึ หึ พวกเธอคงเห็นหมู่ก่อนหน้าแล้วใช้มะ ถ้าใครตกน้ำไปละก็ หึหึ” เจี๊ยกกกกก อาจารย์ซาดิสม์ หลอกเอาลูกศิษย์ตัวเองมาเป็นอาหารปลิง ผมมองดูเพื่อนๆที่มาด้วยกัน กืนน้ำลายเอื๊อก         กันเป็นแถวๆ เพื่อนๆค่อยยๆ ใต่เชือกข้ามน้ำกันไปทีละคนๆ


        จนเสร็จสินภารกิจปีนเชือก ไม่ถึงครึ่งที่ปีนใต่เชือกผ่านไปได้โดยปลอดภัย ส่วนอีกกว่าครึ่งที่ต้องตกลงไปในน้ำก็แทบช็อคตาย ต้องรีบตาลีตาเหลือขึ้นมาจากน้ำ ใครโชคดีหน่อยก็มีของแถมติดเนื้อติดตัว ขึ้นมาจากน้ำด้วย


        ส่วนไอ้โมน่ะเหรอ ไม่ต้องเดา...ต้องเป็นพวกที่ตกน้ำอยู่แล้วน่ะเส่ะ ดีนะตอนตะเกียกตะกายขึ้นมาจากน้ำ ไม่มีอะไรติดมาด้วย ไม่งั้นละก็ ได้ช็อคตายคาสระแน่ๆ -__-


        ฐานที่ 8: ส่งข้าวสาร



        กว่าจะมาถึงด่านที่แปดได้ ก็ทำเอาพวกผม สะโหลสะเหล ไปตามๆกับ สภาพเยินซะอย่างกับไปออกรบที่ปากีสถานมา โดนทำโทษมันเกือบทุกฐาน วันนี้เหมือนอาจารย์คุมฐานจะสนุกกับการแกล้งพวกผมซะเหลือเกิน สงสัยอาจารย์จะเก็บกดมาจากการเรียนการสอนในห้อง ที่พวกผมดื้อกันน่าดู เพราะฉะนั้นวันนี้ไม่ว่ามีอะไรที่แกล้งพวกผมได้ แกก็จะขนกันมาแกล้งพวกผมสารพัด แล้วก็หัวเราะกันสนุกสนาน ประหนึ่งว่าดูโชว์ละครสัตว์ก็ไม่ปาน ดูซิว่าฐานยี้จะโดนอะไรอีก


        “ฐานนี้ เนื่องจากครูเห็นว่าพวกเธอเหนื่อยกันมามากแล้ว เพราะฉะนั้นครูจะให้พวกเธอทำอะไรเบาๆ” แล้วอาจารย์ก็หยิบถ้วยขึ้นมาหนึ่งใบ


        “นี่คือถ้วย” รู้แล้ว’จารย์ ไม่ได้ตาบอด


        “นี่คือข้าวสาร” แล้วอาจารย์ก็เอาช้อนตักข้าวสารขึ้นมา


        “ครูจะให้พวกเธอลำเลียงข้าวสารทีละเม็ดจากหัวแถว ไปท้ายแถว แล้วเอาใส่ถ้วยไว้” เออ... ง่ายจริงด้วยวุ้ย แค่เอาช้อนตักข้าวสารไปใส่ถ้วย


        “โดยที่ห้ามใช้มือ” หือ ห้ามใช้มือ อ้อสงสัยให้ใช้ปากคาบช้อน ก็ยังพอไหวหวุ้ย


        “ห้ามใช้อุปกรณ์ไดๆช่วย” อ้าวยังไงล่ะเนี่ย


        สรุปว่าฐานนี้ ต้องใช้วิธีคาบคาวสาร ทีละเมล็ด ส่งเป็นทอดๆ ให้เพื่อนจนถึงท้ายแถว แล้วให้คนท้ายแถว เอาใส่ถ้วย พวกผมร้องยี้ ไปตามๆกัน ไม่อยากจะคิด เพราะไม่ว่าจะหาวิธีส่งข้างสารเมล็ดเล็กยังไง ก็คงไม่วายจะต้องจูบปากไอ้คนก่อนหน้า และไอ้คนที่อยู่ถัดไปจากเราอยู่ดี


        และแล้วภารกิจชวนสยิว (หรือว่าชวนสยองวะ) ก็เริ่มขึ้น ข้าวสารเมล็ดจิ๋วถูกส่งมาเป็นทอดๆ จนมาถึงไอ้โม ซึ่งอยู่เป็นคนที่สองรองจากท้าย ไม่อยากจะคิดว่ากว่าจะมาถึงผม เจ้าข้าวสารน้อยเม็ดนี้จะผ่านมือชาย ไม่ใช่สิ จะผ่านปากชาย คนไหนมาแล้วบ้าง น้ำลายใครต่อใคร งืออออ คิดแล้วสยองง่ะ และแล้ว


        “ดีๆนะไอ้ต่อ” ไอ้ต่อคือเพื่อนต่างห้องคนนึง มันใช้ฟันกัดเมล็ดข้าวไว้ แล้วทำท่าส่งมาที่ผม ส่วนตัวผมเองก็พยายามที่จะหามุม ที่จะไม่ต้องไปจ๊วบปากกับไอ้ต่อมันเข้า จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจยื่นหน้าเข้าไปหามัน แล้วก็ใช้ฟันงับข้าวสารเม็ดนั้นเข้าให้ ปากแตะกันไปหน่อยหนึ่ง พอให้ขนลุกขนพองได้ แต่ๆๆ ข้าวสารดันหักครึ่งซะได้ ผมทำท่าจะพ่นข้าวทิ้ง อาจารย์ที่คอยตามเดินมาดูตลอดรีบพูด


        “หักแล้ว ก็ห้ามทิ้งนะ ส่งต่อไปเร็วๆเข้า” เฮ้ยยยย เอางี้เลยเหรออาจารย์ ถ้าต้องส่งข้าวเม็ดนี่ให้ไอ้กร(เพื่อนที่อยู่ท้ายสุด) อาจารย์ให้ผมจูบกับมันซะเลยจะง่ายกว่า ผมทำหน้าเบ้ ลังเล จะสงดี ไม่ส่งดี


        “เร็วๆเข้านายศุภชัย ” อาจารย์เร่ง เพราะข้าวเมล็ดถัดไปกำลังจะภูกส่งมาถึงผมอีกแล้ว ผมตัดสินใจ หลับหูหลับตา กัดเมล็ดข้าวไว้ แล้วหันไปหาไอ้กร


        “อื้อ...” ไอ้กรมันรีบงับข้างสารจากปากผมทันที แต่...อย่าเรียกว่างับจะดีกว่า เพราะมันเอาปากมันมาดูด ดุนเอาเมล็ดข้าวออกไปจากปากผมมากกว่า ดีนะมันไม่เอาลิ้นมันควานเข้ามาในปากผมด้วย


        “...” ผมตะลึงเล็กน้อย ลืมตามาดูมัน เห็นมันเอาข้าวใส่ถ้วย แล้วหันมายักคิ้ว แล้วยิ้มที่มุมปาก (_ _”) อาไรของเมิงงงงง มาเล่นหูเล่นตา กูไม่อยากหาคนมาทำให้ปวดหัวเพิ่มแล้ว แค่ไอ้ตุ๊กับไอ้เวอร์กูก็จะรับมือไม่ไหวแล้ววววว


        กว่าจะลำเลียงเข้าสารมาได้หมด จริงๆแล้วน่าจะพูดว่า กว่าจะได้ชิมน้ำลายเพื่อนๆหมดทุกคน ทำเอาไอ้โมเหนื่อย ลุ้นที่จะระวังไม่ให้ ไม่จูบปากใครเข้า แต่ก็ไม่วาย โดนกันไปคนละหลายจุ๊บ เป็นเกมอะไรที่มันติดเรทจริงๆ ใครนะช่างคิดเกมนี้มาได้ เหอๆๆๆ


        กว่าจะเดินทางไกลครบ 11 กิโล ทำกิจกรรมครับ 10 ฐาน ก็เล่นเอาพวกผมแทบหมดแรง กว่าจะเดินวนกลับมาที่สนามโรงเรียนอีกรอบก็เป็นเวลา ห้าโมงเย็น ผมเดินมาถึงก็เห็นเพื่อนๆนอนบ้าง นั่งบ้าง กันใต้ร่มไม้ข้างสนาม เพราะต้องรอเข้าแถว เพื่อไปตั้งแคมป์ ผมเดินไปหาไอ้ตุ๊ ที่มันมาถึงก่อนผม เห็นมันนอนหลับแผ่สองสลึง อยู่ใต้ต้นมะม่วง สภาพยับเยินยิ่งกว่าผมซะอีก ตัวแดงเถือกไปด้วยลูกรัง หน้าเต็มไปด้วยผงถ่าน ผมถูกจับมัดเป็นจุกไว้ (อาจารย์ยังไม่อนุญาต ให้ไปอาบน้ำ หรือล้างออกครับ)  เอิ่มม อยากจะไปนอนหนุนมันนะ แต่เห็นสภาพมันตอนนี้แล้ว ม่ายไหวอ่ะ เอาไว้ทีหลังละกัน ผมเดินลงมานั่งหมดแรงข้างๆมัน เอาหลังพิงต้นมะม่วงไว้ ไม่นานนักก็เห็นหมู่ของไอ้เวอร์ก็เดินตามเข้ามา แต่ เฮ๊ย!!!!


        อะไรกันเนี่ย ในขณะที่พวกผมสถาพยังกับฝ่าดงระเบิดมา แต่ไหงไอ้เวอร์มันอย่างกับเดินอยู่บนแคตวอล์ค สภาพมันตอนนี้เสื้อผ้ายังเรียบร้อยเหมือนเดิม มีแต่ผมมันเท่านั้นที่ถูกมัดจุกไว้ ก็พอจะเข้าใจอ่ะนะว่ามันป่วยอยู่อาจารย์เลยไม่เล่นงานอะไรมันมาก แต่ทำไมๆๆๆๆ หน้ามันไม่เห็นจะโดนผงถ่านเลยฟระ


        “ไรเนี่ย เด็กเส้นเหรอ” ผมทักมัน ตอนที่มันเดินเข้ามาหา


        “หึ หึ แน่นอน” มันหัวเราะ แล้วยักคิ้ว


        “โห ไหนขอดูซิอะไร เปื้อนหน้าเนี่ย” ผมทำท่าเอื้อมมือ ที่เต็มไปด้วยผงถ่านจะจับหน้ามัน


        “ไม่ต้องมาเนียนเลย ดูสภาพซิเนี่ย อี๋ ไปไกลๆเลย” ง่ะ เมิงกล้าเสือกไสไล่ส่งกูเหรอ


        “รายอ่ะ มานี่ดิ๊ ขอนอนหนุนตักหน่อยจิ ง๊วง ง่วง”


        “อี๋ ไม่เอาอ่ะ ดูสภาพดิ ไปนอนหนุนไอ้ตุ๊นู่น” มีเสือกไสไล่ส่งกูด้วยนะเมิง


        “เออ จำไว้นะเมิง อย่ามาร้องไห้ทีหลังละกาน”


        “ฮ่า ฮ่า ไม่มีทาง ใครกันแน่จะมาร้องไห้เพราะคิดถึงกู” มันหัวเราะร่วน


        หลังจากนั้นพอทุกหมู่เดินทางมาครบ อาจารย์ก็ให้แยกย้ายกันไปกางเต็นท์ และทำอาหาร ที่ทางด้านหลังโรงเรียน ซึ่งอยู่เลยหอชายเข้าไป บริวเณข้างๆสระน้ำ


        หมู่ผมช่วยกันกางเต็นท์จนเสร็จ หลังจากนั้นก็ทยอยกันไปอาบน้ำ โดยอาจารย์จัดที่อาบน้ำไว้ให้สองที่คือ ที่อ่างน้ำด้านหลังหอพักชาย และที่ด้านข้างบริเวณห้องน้ำชาย ส่วนผู้หญิงอาจารย์เอาสังกะสีมากั้นให้เป็นห้องอาบน้ำชั่วคราว


        ผมเองยังไม่ได้ไปอาบน้ำ เพราะกำลังช่วยกันหุงข้าวและทำกับข้าวอยู่ วันนี้มีไข่เจียว ใส่กรอกทอด และต้มมาม่า


        ทำอย่างอื่นก็ราบรื่นหมด จนมาถึงการต้มมาม่า ก็เริ่มมีการเสนอไอเดียแปลกๆกัน


        “เอ่อ กุว่ามันน่าจะใส่ผักลงไปด้วยนะ จะได้เยอะๆหน่อย”


        “อ่อ มีผักคะน้าว่ะ หั่นใส่ไปเลยมะ”


        “เออๆ”


        “ใส่ไข่ไปด้วยดีมั้ยวะ จะได้เพิ่มโปรตีนด้วย”


        “เออๆๆ ดีๆ ตีไข้ใส่ไปเลย” แล้วก็ตอกไขใส่ลงไป แล้วก็คนๆๆ แล้วก็ได้เวลาชิม


        “ซู๊ดดดดด”


        “เป็นไงมั่งวะ”


        “น้ำปลาใส่หน่อยดิ๊ บีบมะนาวลงไปด้วย” แล้วก็ชิม


        “กูว่ามันขาดอะไรบางอย่าง ลองใส่ปลากระป๋องลงไปมะ”


        “หือ? มึงเอาจริงอ่ะ”


        “อือ ลองดู” เอาว่าใส่ก็ใส่ แล้วผมก็เปิดกระป๋องปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศ ใส่ลงไป 2 กระป๋อง คนๆ แล้วก็ชิม


        “เฮ้ย!!! มึงลองชิมดิ” เพื่อนคนแรกชิม แล้วส่งช้อนให้ผมชิมบ้าง


        “เฮ้ย!!! มึงลองชิมดิ” ผมชิม แล้วส่งช้อนให้เพื่อนอีกคน


        “เฮ้ย!!! อร่อยว่ะ” ใช่แล้ว มันอร่อยจริงๆ อร่อยแบบไม่น่าเชื่อ มาม่าต้มยำกุ้ง ผักคะน้า ไข่ไก่ และปลากระป๋อง เข้ากันได้แบบไม่น่าเชื่อ ลองไปทำกันดูนะครับ อร่อยจริงๆ จนเพื่อนในหมู่ผมกลับมาจากอาบน้ำ ก็ลงมือกินข้าวกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันอร่อยจริงๆ หรือเป็นเพราะว่า พวก        ผมหิวกินแน่ ถึงได้กินข้าวกันเกลี้ยงหม้อซะอย่างกับหมาเลีย ฮ่า ฮ่า


        หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็กำลังเตรียมตัวจะไปอาบน้ำ ว่าจะเดินไปหาไอ้อุ้ย ชวนไปอาบพร้อมกัน แต่ก็พลันได้ยินเสียงอาจารย์เป่านกหวีดเรียกรวมพลซะก่อน พวกเราจึงต้องรีบวิ่งไปรวมพลกันรอบกองไฟที่อาจารย์จัดเตรียมไว้ ได้ยินเสียงอาจารย์ร้องเพลง



        “พอ ฤกษ์งามยามได้เวลา เชิญเทพบนฟ้าทุกทิศลงมาช่วยเป็นพยาน ...”



        พอนักเรียนมาครบก็เริ่มกิจกรรมรอบกองไฟ มีทั้งให้เหล่าลูกเสือ-เนตรนารี ออกมาแสดงละครไป เล่นเกม และอีกมากมาย แถมยังต้องคลุกฝุ่นกันอีกรอบ แอบดีใจที่ไม่ได้อาบน้ำมาก่อน เพราะจะได้ไม่ต้องอาบอีกรอบ


        ในระหว่างที่ทำกิจกรรมรอบกองไฟอาจารย์ก็ยังจะมีเรื่องเอามาแล้วพวกผมได้อีก โดยตั้งแต่ช่วงเย็นก่อนที่พวกผมจะมากางเต็นท์กัน อาจารย์ได้เอาบางสิ่งบางอย่างแอบมาฝังไว้ในจุดที่พวกผมนั่งรอบกองไฟกันอยู่


        “ครูมีเรื่องจะประกาศ” อาจารย์ท่านหนึ่ง ที่ประจำอยู่รอบกองไฟ พูดขึ้น


        “ครูคิดว่าที่ค่ายของเรามีขโมย” หือ พวกผมมองหน้ากัน มีขโมยในนี้งั้นเหรอ แล้วข้าวของที่ผมทิ้งไว้ในเต็นท์จะมีอะไรหายไหมเนี่ย


        “ใครรู้ตัวว่าเป็นขโมย ให้รีบยอมรับมา แล้วครูจะยกโทษให้” อาจารย์ประกาศ พร้อมมองไปรอบๆ


        “ถ้าใครยอมรับตั้งแต่ตอนนี้ ครูจะยกโทษให้ แต่ถ้าไม่ยอมรับ แล้วครูจับได้ภายหลังล่ะก็ ครูจะทำโทษขนานหนัก” เงียบ ยังไม่มีใครออกมายอมรับว่าเป็นขโมย


        “ในเมื่อไม่มีใครยอมรับ ครูก็ต้องตรวจค้นทีละคน” แล้วก็มีจารย์ท่านอื่นๆ ออดมาช่วยกันค้นตามบริเวณรอบๆกองไฟ พี่พวกผมนั่งอยู่


        “เจอแล้ว นี่ไงพวกขโมย”


        “เฮ้ย!! ”พวกที่โดนจับได้ ร้องตกใจไปตามๆกัน คือพวกอาจารย์จะแกล้งพวกผมโดยการ นำ มาม่า ปลากระป๋อง ไข่ ขนม มาฝังไว้รอบๆกองไฟ ตามจุดที่พวกผมนั่ง แล้วถ้าใครซวยไปนั่งตามจุดนั้นๆเข้า ก็จะโดนอาจารย์ลากตัวออกไปยืนหน้ากองไฟ โชคดีของผมกับไอ้อุ้ยที่ไม่ซวยไปนั่งในจุดนั้น แต่ไอ้เวอร์ กับไอ้ตุ๊ ซวยครับโดนลากไปกลางวงตามระเบียบ


        “เอาล่ะ ในเมื่อเราจับขโมยเหล่านี้ได้แล้ว ก็คงต้องทำโทษให้สาสม กับที่ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด”


        “ไหน พาผู้ต้องหามานี่สิ” อาจารย์พาหนึ่งในผู้ต้องหามาด้านหน้า เป็นอาจารย์ผู้ชายอีกคน ซึ่งคงได้เตี๊ยมกันไว้ก่อนแล้ว


        “บอกมาซิ ทำไมเธอต้องเป็นขโมย”


        “คือว่าหนู หิวน่ะค่ะ เนี่ยท้องหนูมันร้องไม่หยุดเลย ดูสิคะ” อาจารย์ทำท่าจับท้องให้ดู แล้วเขย่าๆ (อธิบายนิดนึง ว่าอาจารย์ท่านนี้เป็นอาจารย์สอนศิลปะ สูงราวๆ 170 หนักราว 85 ส่วนพุงล้ำหน้าไปซักสองเมตรได้) พวกที่นั่งอยู่รอบๆกองไฟ ก็ฮากันครืน


        “เอาล่ะวันนี้เราจะ แห่ประจานพวกขโมยเหล่านี้ไปรอบๆกองไฟ” โทษเบาไปรึเปล่า อาจารย์


        “แต่ก่อนจะแห่ไปได้ ปู้หญิงให้ใส่นี่เอาไว้ก่อน” อาจารย์หยิบกะลาขนาดใหญ่ที่ทำเป็นรูปยกทรงขึ้นมาให้ดู พวกที่นั่งอยู่รอบๆ ก็โห่ฮากันใหญ่


        “แล้วก็นี่ด้วย” อาจารย์เอา มะละกอลูกขนาดเขื่องสองลูดที่ผูกติดกันเอาไว้ด้วยเชือก พวกที่อยู่รอบๆ ยิ่งโห่ฮา กันยิ่งเข้าไปใหญ่


        “ส่วนผู้ชาย ให้ไปหากางเกงในมาสวมไว้ข้างนนอก แล้วเอานี่ไปแขวนไว้ที่เอว” อาจารย์โชว์ พวงกล้วยและเงาอีกสองลูกที่ถูร้อยติดกันไว้เป็นพวง คราวนี้พวกผมโห่กันลั่นเลยครับ ฮ่า ฮ่า อาจาย์นะ ช่างคิดได้

        แล้วพวกที่ถูกทำโทษก็ต้องเดินไปรอบๆ โดยมีพวกที่อยู่รอบๆกองไฟโห่ฮา กันไปตามระเบียบ เรากิจกรรมรอบกองไฟกันอีกหลายอย่าง จนถึงเวลาเกือบสี่ทุ่ม อาจารย์จึงปล่อยให้ไปพักผ่อน


        ส่วนผมเดินไปหาไอ้อุ้ย เพื่อชวนไปอาบน้ำ เพราะวันนี้ผมยังไม่ได้อาบนน้ำเลย เดินไปหาไอ้เวอร์ กับไอ้ตุ๊ ก็พบว่ามันกำลังจะไปอาบน้ำเหมือนกัน พวกผมเดินกันไปที่อ่างอาบน้ำที่หอพักชาย ก็พบว่ามีคนอยู่เยอะมาก จึงตัดสินใจเดินไปอาบน้ำที่ห้องน้ำชายซึ่งอยู่ไกลออกไปทางอาคารห้องคหกรรม


        พอผมมาถึงก็เป็นไปอย่างที่คาด ไม่มีใครอยู่เลย คงเป็นเพราะที่นี่อยู่ไกลกว่าอ่างอาบน้ำด้านหลัง จึงมีผมอยู่กันแค่สี่คน แล้วก็มีคนมาเข้าห้องน้ำอีกสองสามคน พวกผมจึงได้ถอดเสือผ้าเหลือกางเกงในคนละตัวแล้วก็ลงมืออาบน้ำกัน


        “บรื๋ออออ หนาววุ้ย” ผมอุทาน เพราะค่อนข้างดึกแล้ว อากาศก็เริ่มเย็น แถมมีลมพัดโชยมาอีก


        ซ่า!!! ผมตักน้ำสาดไปที่ไอ้อุ้ย ที่ตอนนี้มันลังเล จะตักน้ำอาบดีหรือไม่ดี


        “เชี่ยยยยยย” มันร้อง พร้อมกับตักน้ำสาดมาใส่ผมคืน จนกระเด็นไปโดนไอ้เวอร์กับไอตุ๊ที่ยืนอยู่ข้างหลังผม


        “นี่แน่ะๆ” ผมกับไอ้อุ้ยสาดน้ำใส่กันไปมา จนไอ้หมีสองตัวข้างหลังพลอยเปียกไปด้วย


        “มึงทำไรกันเนี่ย มันหนาวนะเว้ย” สองคนโวยวาย ในที่สุดมันก็หยิบขันขึ้นมา สาดน้ำกันอย่างสนุกสนาน


        ผมทั้งอาบน้ำ ทั้งเล่นน้ำกัน จนเหนื่อยและหนาว จึงเลิกเล่น หยิบผ่าขนหนู่มากำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน ขณะที่กำลังใส่ผ้าขนหนู และซักกางเกงใน...


        “หนาวเหรอ”ไอ้ตุ๊ถาม


        “อือเส่ะ เล่นห่ากันไรไม่รู้หนาวจะตาย”


        “มานี่มะ กูให้กอด” มันไม่พูดป่าว คว้าเอวผม ....










        เข้าไปกอด .....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-11-2011 21:37:29 โดย Violet_Melon »

Violet_Melon

  • บุคคลทั่วไป
  เข้าไปกอด .....







         เหนือแนบเนื้อ >//< สยิวใช้ได้เลยวุ้ย ไม่ใช่ละ ... ผมอ้าปากจะด่ามัน แต่ก็ได้ยินเสียงไอ้เวอร์ ร้องแหวขึ้นมาซะก่อน


        “เฮ้ย ไอ้ตุ๊ทำอะไร ปล่อยเลย”


        “อะไร ทำอะไร กอดเมียกูผิดตรงไหน มากกว่านี้ก็เคยมาแล้ววว” นั่น ไอ้ตุ๊บังอาจกระตุกหนวกเสือ


        “มึงจะปล่อยดีๆ หรือจะปล่อยทั้งน้ำตา”ไอ้เวอร์เสียงแข็ง ตาเขียว เง้อ มันจะวางมวยกันแล้ว ไอ้อุ้ยช่วยกูที ไอ้เวอร์ไม่พูดเปล่า มันย่างสามขุมเข้ามาหาผมกับไอ้ตุ๊


        “เฮ้ยใจเย็นๆโว้ย มึงจะทำอะไรกัน” ไอ้อุ้ยรีบห้ามทัพ แต่ไอ้ตุ๊ไม่ยอมปล่อยผมง่ายๆ มันกลับอุ้มผมขึ้นจนตัวลอย


        “เฮ้ย!! ไอ้ตุ๊ ทำอะไรปล่อยกูลงนะ” ผมพูด มองไปที่ไอ้เวอร์ก็เห็นมันตาเขียวปัด ที่มันจะวางมวยกันจริงๆเหรอเนี่ย ผมห้ามไม่ไหวนะ หมีควาย กับวัวป่ะจะมาฟัดกันเนี่ย


        “มึงไม่ยอมปล่อยใช่ไหม” ไอ้เวอร์เงื้อมือ ใส่ไอ้ตุ๊


        “เฮ้ย!! ไอ้อุ้ยห้ามมันที” ผมร้องบอกไอ้อุ้ย แต่ยังไม่ทันที่ไอ้อุ้ยจะเข้าไปห้ามไอ้เวอร์ มือไอ้เวอร์ก็มาถึงตัวไอ้ตุ๊แล้ว




        พึ่บ!!!! ผมได้ยินเสียงแค่นั้น ได้แต่หลับตาปี๋ ไม่กล้าดูต่อ มันคงซัดกันนัวแน่



























        “เฮ้ย!!! ไอ้เชี่ยเวอร์ ไอ้ตุ๊ร้อง” รีบทิ้งผมลง ดีนะผมทรงตัวได้ไม่งั้นคงลงไปนอนจ้ำเบ้า เกิดอะไรขึ้นน่ะเหรอ ก็ไอ้เวอร์มันกระตุกผ้าขนหนูไอ้ตุ๊หลุดติดมือมันไป ตอนนี้ไอ้ตุ๊วิ่งโทงๆ ตามไอ้เวอร์ไป ส่วนไอ้เวอร์ก็ถือผ้าขนหนูได้ตุ๊วิ่งไปรอบๆ หัวเราะลั่น


        “เชี่ย เอาคืนมานะเว้ย เฮ๊ย! เอาคืน ม๊า” ไอ้ตุ๊ วิ่งไล่ไอ้เวอร์ไปทั่ว ปากก็ตะโกน ให้ไอ้เวอร์เอาผ้าขนหนูมันคืนมา แต่มีเหรอไอ้เวอร์มันจะยอมคืนง่ายๆ ส่วนผมเห็นว่าไอ้สองคนนี่มันไม่ได้จะต่อยกันจริงๆ ก็เลยโล่งอก แล้วผมก็นึกอะไรดีๆออกมาได้บ้าง



        ฟึ่บ!!!!



        “เฮ้ย!!! เชี่ย!!! ” ไอ้อุ้ยร้อง เมื่อผมเห็นมันยืนเผลอ ผมจึงไปกระตุกผ้าขนหนูไอ้อุ้ยบ้าง แล้วก็วิ่งถือผ้าขนหนู หนีมันไป


        “เอาคืนมา ไอ้เชี่ยโม” ผมได้ผ้าขนหนูมาอยู่ในมือแล้ว มือเหรอจะคืนง่ายๆ ฮ่า ฮ่า


        “ไอ้โม มึงตายยยยยย เอาผ้ากูคืนม๊าาาาาาา” สภาพไอ้อุ้ยกับไอ้ตุ๊ ตอนนี้ ล่อนจ้อน วิ่งเอามือปิดจู๋ ไล่กวดผมกับไอ้เวอร์ไปทั่ว เสียงพวกผมหัวเราะ ตะโกนกันลั่น คงได้ยินกันไปถึงไหนต่อไหน


        กว่าจะได้กลับเข้าเต๊นท์นอน ก็เป็นเวลา เกือบห้าทุ่มแล้ว ผมกลับมาถึงเต๊นท์นอนก็พบว่าเพื่อนๆเข้านอนไปกันเกือบหมดแล้ว คงเพราะเพลียกันมาทั้งวัน ผมล้มตัวลงนอนด้านริมสุด ขณะที่กำลังล้มตัวลงนอนนั้น ไม่รู้ไอ้เวอร์โผล่มาจากไหน มุดเข้าเต้นมาหาผม พร้อมหอบหมอนและผ้าห่มมาเสร็จสรรพ


        “เฮ้ย! มาไงเนี่ย” ผมพูดเสียงเบา


        “นอนด้วยคนนะ เต๊นท์กุมันเต็มแล้ว” เชี่ย แล้วเต๊นท์กูไม่เต็มรึไง มานอนเบียดกูเนี่ย


        “เต๊นท์กูก็เต็ม จะมานอนเบียดอะไรกูเนี่ย”


        “นอนได้แล้วเนี่ย ง่วงจะตายอยู่แล้ว” มันล้มตัวลงนอนข้างๆผม พร้อมดึงผมลงไปนอนข้างๆมัน ไม่วายที่มันจะขโมยหอมแก้มผมไปอีกหนึ่งที


        “ไอ้หน้าด้าน” ผมด่ามันเบาๆ ดีนะตอนนี้มันมืด ไม่งั้นมันคงได้เห็นว่าผมหน้าแดงแจ๋


        “หึ หึ” มันหัวเราะในลำคอเบาๆ พร้อมขยับเข้าหาผม เอามือมากอดผมไว้ ยังไม่ทันจะได้เคลิ้มหลับ ก็มีเรื่องให้ผมปวดหัวอีกรอบ เมื่อมีหมีควายอีกตัวโผล่เข้ามาในเต๊นท์


        “อะไรอีกเนี่ย!!!” ผมโวยวาย แต่พอนึกได้ว่าคนอื่นนอนกันหมดแล้ว ทำให้ผมต้องลดระดับเสียงลงมา


        “มาทำไมมึง” ไอ้เวอร์พูดขึ้นมา น้ำเสียงแลดูว่ามันจะไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไดนัก


        “ก็มานอนกับเมียกู” ไอ้ตุ๊กวนตีนใส่


        “นี่จะนอนกันมั้ย” ผมรีบขัดมันสองคน เมื่อเห็นไอ้เวอร์ทำท่าจะลุกขึ้นมา


        “เข้ามานอนข้างในนี่” ผมบอกไอ้ตุ๊ พร้อมกันกับที่มันเอาหมอนมาวางข้างผมด้านใน แล้วนอนลงข้างๆผม อีกฝั่ง ไอ้เวอร์ทำเสียงฟึดฟัด


        “นอนได้แล้ว” ผมนอนลงตรงกลาง ง่วงจะตายอยู่แล้ว อย่าได้ลุกมาฟัดกันอีกนะพวกเมิง  พอนอนลงได้ไอ้ตุ๊ก็เอามือมากอดผมหมับ ไอ้เวอร์พลิกตัวจะมากอดผมบ้าง พอวางมือมาโดนมือไอ้ตุ๊ มันก็เอามือแกะมือไอ้ตุ๊ออก ส่วนไอ้ตุ๊ก็ไม่ยอม จะเอามือมากอดผมให้ได้ ยื้อกันไปยื้อกันมา จนผมรำคาญ


        “จะไม่ยอมนอนกันใช่มั้ย งั้นกูจะไปนอนกับไอ้อุ้ย ง่วงจะตายอยู่แล้ว” ผมขู่มันสองคน


        “ง่ะ” มันสองคนอุทานพร้อมกัน แล้วจึงหยุดยือแย่งกัน


        “เฮ้ออออ”ผมถอนหายใจ เมื่อเห็นว่ามันหยุดกันได้ซะที ผมจึงนอนตะแคงหันหลังให้ไอ้ตุ๊ แล้วก็จับมือไอ้ตุ๊มาวางไว้ที่เอว ส่วนมืออีกข้างก็ไปกอดเอวไอ้เวอร์ไว้ (วันนี้ขอสองนะ อิอิ) แล้วผมก็หลับตานอน


        วันรุ่งขึ้นตอนเช้า เห็นไอ้สองคนยังนอนกอดผมแน่น จนได้ยินเสียงนกหวีดอาจารย์เป่าเรียก เราจึงรีบตื่นไปล้างหน้า แปรงฟันกัน ช่วงสายเรามีกิจกรรมกันอีกนิดหน่อย จนสิบเอ็ดโมงอาจารย์ก็กล่าวสรุปกิจกรมลูกเสือประจำปี แล้วจึงปล่อยพวกนักเรียนกลับบ้าน ผมกลับถึงบ้านแทบหมดเรี่ยวแรง ถึงบ้านได้ก็นอนหลับเป็นตาย เพราะเหนื่อยกับการเดินทางไกลเมื่อวานนี้ไม่หาย เมื่อคืนก็นอนไม่ค่อยหลับ เพราะมีปลาหมึกยักษ์สองตัว มันมารัดผมไว้ทั้งคืน

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
นี่ :z13:ขอที
ป้าด โม ได้ควบสองตั้งกะเด็กเลยเด้อ ไม่เบาๆนะเราน่ะ

ออฟไลน์ GeTOuTNoW

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 415
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
โมรับศึกหนัก :laugh: :laugh: :laugh:

Violet_Melon

  • บุคคลทั่วไป
ตอน 33: ล่ำลา
       
        ผ่านไปอีกเดือนกว่าๆ วันนี้เป็นวันสอบปลายภาควันสุดท้ายของมอสามเทอมหนึ่ง และเป็นธรรมเนียมของทุกปีที่วันนี้จะเป็นวันที่เราจะต้องทำการอำลา อาจารย์ฝึกสอนที่จะต้องกลับไปเรียนต่อที่สถาบันราชภัฏในตัวเมืองจังหวัด


        หลังจากเข้าแถวเคารพธงชาติเสร็จแล้ว อาจารย์เวร ก็ขึ้นมาประกาศหน้าเสาธง ให้อาจารย์ฝึกสอนทุกท่านมายืนตรงด้านหน้า อาจารย์ให้ตัวแทนชั้นมอต้นและมอปลาย ขึ้นมากล่าวคำอำลา หลังจากนั้นก็ให้อาจารย์ฝึกสอนขึ้นมากล่าวอำลาทีละท่าน จนกระทั่งถึงอาจารย์วัฒน์


        “ก่อนอื่นครูต้องขอขอบคุณอาจารย์ทุกๆท่านที่ให้การต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี ขอขอบคุณอาจารย์รุ่งนภา ที่เป็นอาจารย์พี่เลี้ยง ได้ให้คำแนะนำและความช่วยเหลือผมอย่างดีเสมอมา ตลอดเวลาสี่เดือนที่ได้สอนนักเรียนที่นี่ ถึงจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่นาน แต่ครูก็รู้สีกผูกพันธ์กับพวกเราทุกคน จนไม่อยากจะกลับไปเรียนต่อแล้ว อยากจะสอนอยู่ซะที่นี่เลย นักเรียนทุกคนเป็นเด็กน่ารัก ถึงแม้จะดื้อบ้าง ซนบ้าง แต่ก็ทำให้ครูรู้สึกว่าอยากเจอกับพวกเธอ อยากมาสอนหนังสือทุกๆวัน พวกเธอคือคนที่ทำให้ครูรู้สึกว่า อาชีพครูเป็นอาชีพที่มีเกีรยติ เป็นอาชีพที่น่าภูมิใจ ครูหวังเป็นอย่างยิ่งว่า สิ่งที่ครูได้สอนเธอไป ทั้งในเรื่องการเรียนก็ดี เรื่องชีวิต ส่วนตัวก็ดี จะทำให้พวกเธอ เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีใน อนาคตได้ สุดท้ายนี้ครูขอให้พวกเธอตั้งใจเรียน ได้ประสบความสำเร็จ เป็นคนดีของสังคม ของประเทศชาติ ต่อไป ขอบคุณมากๆครับ” อาจารย์พูดจบทั้งนักเรียน ทั้งอาจารย์ก็ปรบมือกันเกรียว


        หลังจากอาจารย์ฝึกสอนทุกคนกล่าวอำลเสร็จแล้ว ก็ถึงคราวให้นักเรียนทุกคน นำดอกกุหลาบ มามอบให้กับอาจารย์ทีละคน เป็นรุ่นพี่มอหกก่อนครับ ที่เดินมามอบดอกไม้ให้อาจารย์ฝึกสอนก่อน อาจเป็นเพราะว่าอาจารย์ฝึกสอนเกือบทุกคนได้สอนพี่มอหกหมด เลยให้เกียรติพี่มอหกก่อน


        แต่หลังจากที่พี่มอหกมอบดอกไม่เสร็จแทนที่จะเดินแยกย้ายไปห้องสอบ พวกพี่ๆกลับเดินมาเข้าแถวด้านหลังอาจารย์ฝึกสอน เป็นแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง พวกนักเรียน และอาจารย์ฝึกสอนก็แลดูจะแปลกใจไม่น้อย แต่ก็ยังคงทยอยกันเดินมามอบดอกไม้ต่อไป จนกระทั่งพี่มอหก        มอบดอกไม่เสร็จและเดินมาเข้าแถวด้านหลังอาจารย์ครบทุกคน จึงได้มีเสียงนำขึ้นมา



        “ครูบาอาจารย์ที่ท่านประทานความรู้มาให้ ...”
        (เพลงพระคุณที่สาม)



        “สิบนิ้วประนม ก้มลงน้อมไหว้คุณครู ครูเหมือนตราชู ที่ยืนอยู่ในยุติธรรม...”
        (เพลงสิบนิ้วประนม)



        “ธารแห่งใดไหนตรึงเหมือนธารจิตใจ (เหมือนธารจิตใจ)
        ธารจิตใจไหลรินหลั่งรดทรวงเรา (หลั่งรดทรวงเรา)
        ธารนั้นคือคุณครู คอยหนุนเราเรื่อยมา ชั่วชีวามิมีลืมเลือนท่านเลย...”
        (เพลงธารพระคุณ)



        พอได้ยินเพลงขึ้นผมงี้ขนลุกมากๆเลย มันแลดูขลังมากๆ เห็นสีหน้าเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ ก็คงไม่ได้รู้สึกแตกต่างไปจากผม ระหว่างที่นักเรียนที่เหลือนำดอกไม้ไปมอบให้อาจารย์นั้น พี่มอหก ก็ร้องประสานเสียงเพลงทั้งสามนี้ วนต่อเนื่องกันไป
 ตอนนี้เพื่อนนักเรียนหลายคนถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ บางคนก็ขอกอดอาจารย์ จนอาจารย์แต่ละท่านเองก็อดน้ำตาไหลไม่ได้ ผมเองก็น้ำตาไหลเป็นทาง ผมเดินเอาดอกไม้ไปให้อาจารย์ทั้ง 5 ท่าน จนมาถึงอาจารย์วัฒน์


        “โชคดีนะครับ อาจารย์ ขอให้ได้เกีรยตินิยมนะครับ”


        “เราก็เหมือนกัน ตั้งใจเรียนนะ อย่าเกเร ให้มันมากนัก”


        “ขอบคุณครับ” ผมยิ้มทั้งน้ำตา ส่วนอาจารย์วัฒน์เองก็เอามือมาลูบหัวผม


        จนนักเรียนมอบดอกไม้ให้อาจารย์จนครับทุกคน พี่มอหกก็ร้องเพลงธารพระคุณเป็นรอบสุดท้ายจนจบ นักเรียนจึงทยอยกันเข้าห้องสอบ


        ช่วงพักเที่ยงวันเดียวกันนั้นผมขึ้นไปหาอาจารย์ที่ห้องวิทย์ ด้วยกลัวว่าอาจารย์จะกลับสถาบันราชภัฏไปซะก่อน


        “อาจารย์ครับ” ผมเรียกอาจารย์ เมื่อเห็นอาจารย์นั่งตรวจข้อสอบอยู่


        “อ้าว นะโมนะเอง เข้ามาก่อนสิ”


        “ให้ผมช่วยไหมครับ” หมายถึงช่วยตรวจข้อสอบ


        “ไม่เป็นไร ครูตรวจจะเสร็จแล้ว เหลืออีกสองสามคนน่ะ”


        “งั้นอาจารย์ตรวจให้เสร็จก่อนก็ได้ครับ ผมรอได้”


        “อ้อ งั้นรอแปบนึงนะ” แล้วอาจารย์ก็ตรวจข้อสอบจนเสร็จ


        “มีอะไรล่ะว่ามาสิ”อาจารย์ถาม


        “ป่าวครับ แค่คิดถึง’จารย์” นั่น ไอ้โมช่างกล้า


        “ฮ่า ฮ่า ไม่ต้องมาทำปากดีเลย จะมาถามเรื่องคะแนนสอบวิชาของครูล่ะสิ”


        “ง่า อาจารย์อ่ะรู้ทัน”


        “ไม่ต้องห่วงหรอก เธอน่ะได้ท็อปอยู่แล้วหละ”


        “จริงเหรอครับ ‘จารย์” ผมทำท่าดีใจ


        “อื้อ จริงสิ”


        “เย้ๆๆๆ แล้วผมจะได้เกรดสี่ด้วยไหม่เนี่ย แหะๆ”


        “ยังไม่รู้ ครูยังรวมคะแนนไม่เสร็จเลย”


        “อ่อ ครับ แล้วอาจารย์จะกลับราชภัฏวันไหนครับ”


        “ยัง ต้องอยู่ที่นี่อีกเป็นอาทิตย์แน่ะ ต้องตรวจข้อสอบ รวมคะแนน ตัดเกรด อะไรอีกมากมาย”


        “อ้อ งั้นพรุ่งนี้ไปเที่ยว กันไหมครับ เดี๋ยวผมพาไป”


        “หือ? ไปไหน”


        “ก็ขี่มอไซค์เที่ยว แถวๆนี้กันครับ เที่ยวสวน เที่ยวบ้านเพื่อนๆ นี่แหละครับ”



        “อือๆ ดีเหมือนกัน เดี๋ยวชวนคนอื่นๆไปด้วย (หมายถึงอาจารย์ฝึกสอนคนอื่นๆ) ซักบ่ายๆละกัน ไปกลางวันจะร้อน ตอนเช้าครูจะได้รีบตรวจข้อสอบให้เสร็จ”


        “ครับ” ผมรับคำแล้วก็ขอตัวออกมา


        วันรุ่งขึ้น ผมมาช่วยอาจารย์วัฒน์ตรวจข้อสอบตั้งแต่เช้า วิ่งวุ่น ช่วยเอาเอกสารไปให้ผู้อำนวยการเซ็นต์ ช่วยรวมคะแนน และอื่นๆอีกมากมาย จนบ่ายสองโมงเย็น เราจึงได้ฤกษ์ออกแว้นกัน มีผม อาจารย์วัฒน์ อาจารย์ฝึกสอนอีกสองท่าน แล้วก็พี่มอหกอีกสองคน มอเตอร์ไซค์สี่คัน ซึ่งผมแน่นอนที่ผมต้องมากับอาจารย์วัฒน์อยู่แล้ว อิอิ โดยที่ผมเป็นคนขับ ส่วนอาจารย์วัฒน์นั่งเป็นสะก๊อยอยู่ข้างหลัง (ฮ่า ฮ่า) ที่ต้องให้ผมขับเพราะผมชำนาญทางแถวนี้มากกว่า ถ้าต้องให้อาจารย์วัฒน์ขับ ก็กลัวจะไปไม่ถึงจุดหมาย เพราะอาจารย์ ไม่เคยจะออกไปเที่ยวไหนเลย นอกจากโรงเรียน กับร้านกินข้าวแถวๆโรงเรียน


        วันนั้นผมพาอาจารย์ไปไหว้เพราะที่วัด พาไปนั่งกินส้มตำกันที่ฝายกั้นน้ำ พาไปขี่รถกินลมชมวิว ดูทุ่งนา และไรข้าวโพด อาจารย์วัฒน์ดูจะชอบมาก ชมเปาะตลอดเวลาว่า ที่นี่อากาศดี ไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้มานาน ระหว่างทางที่ผ่านบ้านเพื่อนนักเรียน ก็จะแวะชวนให้ไปด้วยกัน จนในที่สุดแก๊งแว้นบอย สก๊อยเกิร์ล ของเราก็รวบรวมคนได้เกือบ 20 คน ซ้อนสอง ซ้อนสามบ้าง คุณตำรวจคงจะไม่ว่าอะไรหรอกนะ ฮ่า ฮ่า
        อากาศตอนนี้กำลังดีทีเดียว ลมพัดเย็นมาก ถึงแม้จะมีฝุ่นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับพวกเรา เจอตลาดนัดก็แวะหาของกินกัน เจอบ้านเพื่อนคนไหนเป็นสวน เป็นไร่ ก็แวะเข้าไปเดินเล่น กินผลไม้กัน เจอตรงไหนเป็นคลองเป็นน้ำก็แวะแก้ผ้าเล่นน้ำกัน...เฮ๊ย!!! ไม่ถึงขนาดนั้น แค่แวะนั่งเล่น นั่งคุยกันริมน้ำเฉยๆ แหม่!


        เราเที่ยวเล่นกันจนเห็นว่าถึงเวลาเกือนหกโมงเย็นแล้ว จึงได้กลับกัน โดย อาจารย์ให้ขี่ย้อนกลับทางเดิม แล้วแวะส่งเพื่อนๆที่ละตนสองคน ด้วยห่วงเรื่องความปลอดภัย เพราะมีเพื่อนที่เป็นผู้หญิงหลายคน อาจารย์ไม่ให้ขับรถเร็ว แต่ให้ค่อยๆขับตามกันไป จนส่งทุกคนครบ ก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่ม ผม อาจารย์วัฒน์ และ อาจารย์ฝึกสอนอีกสองท่านก็มาถึงหน้าโรงเรียน อาจารย์สองท่านนั้นก็แยกย้ายกลับเข้าโรงเรียนไปก่อน ส่วนอาจารย์วัฒน์จะต้องมาส่งผมที่บ้าน โดยตอนนี้อาจารย์วัฒน์เป็นคนขับ แล้วให้ผมเป็นคนซ้อน


        ระหว่างทางทีกลับบ้าน เราไม่ได้คุยกัน อาจารย์วัฒน์ก็ขับรถไปช้าๆ


        “อาจารย์ครับ”


        “หือ?”


        “ขอกอดหน่อยนะ” ผมพูดเบาๆ


        “...” อาจารย์ไม่ตอบ แต่เอื้อมมือมาจับมือผม ที่เกาะเอวอาจารย์อยู่ แล้วเอาไปกอดเอวอาจารย์ไว้ ส่วนผมก็เอามืออีกข้างที่เหลือไปกอดเอวอาจารย์โดยอัตโนมัติ ผมอยากทำแบบนี้มาตั้งแต่กลางวัน แต่ติดที่เพื่อนอยู่เยอะ เกรงใจ กลัวคนอื่นจะมองอาจารย์ไม่ดีด้วย แต่ตอนนี้ก็เป็นเวลาค่ำแล้ว คงไม่มีใครมามองเห็นหรอก ผมจึงได้กล้าขอแบบนี้


        "ผมคงคิดถึง อาจารย์แย่” ผมพูดเสียงเครือ ในขณะที่เอาหน้าซบไว้ที่แผ่นหลังอันอบอุ่นของอาจารย์


        “คิดถึงก็ไปหาอาจารย์สิ หึหึ” อาจารย์พูดที่เล่นที่จริง


        “ไปถูกซะที่ไหนล่ะ”

        “...” อาจารย์ไม่พูด แต่เอื้อมมือมาจับมือผมที่ตอนนี้กอดเอวอาจารย์ไว้แน่น


        “อาจารย์ อย่าลืมผมนะ” ตอนนี้น้ำตาผมไหลออกมา รู้สึกได้ว่ามันไหลออกมา จนเปียกไปถึงหลังของอาจารย์


        “ลืมได้ไง ลูกศิษย์ครูออกจะน่ารัก ซะขนาดนี้...” อาจารย์เว้นช่วง เมื่อเห็นผมสะอื้น


        “ทั้งเรียนเก่ง พูดเก่ง เอ๊ะ! หรือว่าพูดมากล่ะเนี่ย ไหนจะขี้แยอีก ครูลืมไม่ลงหรอก”


        “’จารย์อ่ะ” ผมอดจะหัวเราะไม่ได้ ผมกอดอาจารย์แน่นขึ้นไปอีก ส่วนอาจารย์ก็เอามือข้างหนึ่งมาจับมือผมไว้ จนมาส่งผมถึงบ้าน


        “’จารย์ขับรถดีๆนะ”


        “อื้อ ครูไปละนะ”


        “เอ่อ อาจารย์ครับ”


        “หือ?”


        “ขอกอดอีกที” ผมไม่รอให้อาจารย์ตอบ เข้ากอดอาจารย์อีกครั้ง


        “ตั้งใจเรียนนะ แล้วเดี๋ยวครูจะเขียนจดหมายมาหา” อาจารย์พูด เอามือลูบหัวผมเบาๆ


        “ครับ อาจารย์ก็ด้วยนะครับ (หมายถึงตั้งใจเรียนน่ะ)”


        “คร้าบบบบบ” อาจารย์ทำเสียงล้อเลียนผม


        “ขับรถดีๆนะครับ” ผมละจากอาจารย์ ยืนส่งอาจารย์หน้าบ้าน จนเห็นอาจารย์ขับลับตาไป ลาก่อนนะครับอาจารย์วัฒน์






        ...







        อาจารย์วัฒน์ที่รัก


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ujen

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-13
อ่านแล้วคิดถึงสมัยเรียนจัง

 :L2: :L2:

artit

  • บุคคลทั่วไป
มีขอกอดอาจารย์ด้วย อาจารย์ขาดทุนเห็น ๆ  :laugh: :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ Key Mine

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
นะโม อยู่บ้านเดียวกันเลยนะคะ
ดูเหมือนโลเคชั่นในเรื่องจะคุ้นๆนะ :L2:
55 สนุกมากค่ะ o13

ออฟไลน์ ● MaYa~Boy ●

  • ฉันมันคนขี้อิจฉา
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-2
อยากกลับไปเรียนมัธยมอีก คิดถึงเพื่อนๆและอาจารย์

ออฟไลน์ BeeRY

  • ❤。◕‿◕。ยิ้มเข้าไว้นะ。◕‿◕。❤
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 9404
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +897/-8
ลูกศิษย์เราไม่เห็นมีอย่างนี้บ้างเลย ก๊ากก ไม่ใช่แล้ว :jul3:
แล้วกับเพาเวอร์เป็นยังไงต่อคะ :impress2:

gay_love

  • บุคคลทั่วไป
 :impress2: :impress2:
มาจองรออ่านต่อ หายไปนานไปหน่อย เป็นกำลังใจนักเขียนเหมือนเดิม ..
 :L2: :L2: :L2:ชื่อตอนน่าจะมีน้ำตาไหล พกกระดาษทิชชู้มาด้วยดีกว่า :L2: :L2:

Violet_Melon

  • บุคคลทั่วไป
ตอน 34: ไม่เข็ด

     
      วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดภาคเรียนที่สอง เป็นเทอมสุดท้ายแล้วที่ผมจะใด้ใช้ชีวิตมอต้นอยู่ที่นี่ หลังจากเข้าแถวเคารพธงชาติแล้วผมและเพื่อนๆก็ค่อยๆทยอยกันขึ้นชั้นเรียน จนกระทั่งถึงเวลาเริ่มคาบเรียนแรก ทุกคนมากันเกือบครบแล้ว ขาดก็แต่...



      “ไอ้เวอร์มันไม่เห็นมาเรียนวะ” ไอ้อุ้ยถาม



      “นั่นดิ ไอ้โม มึงรู้มั้ยวะทำไมมันไม่มาเรียน”



      “ไม่นิ เดี๋ยวก็คงมาแหละมั้ง” กูจะไปตรัสรู้ได้เหรอ มันจะมาไม่มา ทำไมกูจะต้องคอยรู้เรื่องมันไปซะหมดด้วยวะเนี่ย .... แต่จริงๆก็แอบห่วงมัน



      “ไปไหนของมันวะ” ผมไม่ต้องสงสัยนาน ว่ามันหายไปไหน เพราะ...



      “นั่นไงมันมาโน่นแล้ว” ไอ้อุ้ยชี้ให้ดู ไอ้เวอร์ที่กำลังเดินกะย่องกะแย่ง เข้าห้องเรียนมา



      “ทำไมมันเดินแบบนั้นวะ” ไอ้ตุ๊สงสัย นั้นสิ ทำไมมันเดินแบบนั้นวะ ผมก็สงสัย จนมันเดินมานั่งที่เก้าอี้ของมัน



      “เฮ้ย เป็นไรวะทำไมเดินแบบนั้น หรือวะแผลปริ ต้องไปนอนให้พยาบาลแวกซ์ขนอีกรอบ ฮ่า ฮ่า ” ไอ้อุ้ยถาม พร้อมหัวเราะขำๆ



      “เออสิ...” ไอ้เวอร์ตอบ



      “เฮ้ย จริงอ่ะ” พวกผมและเพื่อนๆ ในห้อง ได้ยิน ต่างร้องเป็นเสียงเดียวกัน ไอ้เวอร์มันจึงเริ่มเล่าว่า มันต้องไปเข้าโรงพยาบาลอีกรอบ เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วมันเกิดมีอาการแบบเดิม คือท้องบวม จึงไปหาหมอ หลังจากตรวจอย่างละเอียดจึงพบว่า มีฝีเกิดขึ้นอีกไกล้กับจุดเดิม ทำให้ต้องผ่าตัดอีกรอบ มันเปิดแผลให้ดู ก็พบว่า มีผ้าก็อชติดเป็นทางยาว ใต้แผลผ่าตัดเดิม ห่างจากแผลเดิมราวๆ 2 นิ้ว ระยะความยาวของแผลคงพอๆกับรอยเดิม เพื่อนๆที่ได้เห็นต่างทำหน้าสยองไปตามๆกัน



     สรุปว่า ในที่สุด ผมต้องมาคอยป้อนข้าวป้อนน้ำให้ไอ้เวอร์อีกรอบ เฮ้อ เอากะมันสิ จากตรงนี้ไอ้เวอร์มันเลยได้ฉายาจากเพื่อนๆสองฉายาพร้อมกัน ว่า “ไอ้ไส้เน่า” ส่วนรอยแผลเป็นที่ท้องด้านซ้ายของมันทั้ง 2 รอย ดูคล้ายกับว่า มีตะขาบสองตัวเกาะอยู่ที่ท้องของมัน ผมจึงเรียกมันอีกชื่อหนึ่งว่า “ทายาทอสูร”


      รอบแรกที่มันป่วยผมดูแลมันอย่างดี เพราะทั้งสงสาร ทั้งห่วง แลดูว่ามันจะทำอะไรก็ไม่ถนัด แต่รอบสองนี้ผมไม่ได้ตามใจมันเหมือนรอบแรก ไม่ใช่ว่าไม่ห่วงมันเหมือนเดิม แต่ด้วยมีอารมณ์โกรธเข้ามาปนด้วย โกรธที่มันไม่รู้จักระวัง ไม่รู้จักห่วงตัวเอง มันเลยต้องมาเป็นแบบนี้อีกรอบ



      จนผ่านไปเดือนกว่าๆ แผลมันเองก็เริ่มจะหายสนิทแล้ว ดูเหมือนว่ารอบนี้จะหายเร็วกว่ารอบแรก วันหนึ่งขณะที่ซื้อข้าวมาให้มันกินบนห้อง



      “อ่ะ นี่ข้าว นี่น้ำ กินเสร็จแล้วอย่าลืมกินยาด้วย” ผมวางข้าวกับน้ำลงบนโต๊ะ



      “ป้อนด้วยดิ” มันอ้อน


      “เป็นง่อยรึไง แผลก็หายแล้ว จะมาปงมาป้อนอะไร”


      “ง่า กูอยากให้มึงป้อนนี่”


      “ทีเวลาแบบนี้ละมาทำสำออย ทีเวลาหมอเค้าห้าม ไม่เคยจะเชื่อ” ผมพูด ยังโมโหไม่หาย กับความรั้นของมัน จนมันต้องกลับมาเป็นแบบนี้อีกรอบ



      “... กูขอโทษ คราวนี้กูจะไม่แอบไปเล่นบาสอีกแล้ว”



      “แน่ล่ะ ถ้าเป็นอีกรอบ คงไม่มีที่จะให้ผ่าละ”



      “...” มันทำหน้าสลด


     
      “ขนาดตัวมึงเองยังไม่รัก แล้วมึงจะไปรักใครได้” ผมพูดเป็นนัยๆ หมายถึงที่มันเคยบอกว่ารักผมด้วย



      “ทำไมจะไม่ได้ ก็รักมึงนี่ไง” มันกลับมาทำหน้าทะเล้น



      “ไม่ต้องมาพูดดี รักตัวเองให้เป็นซะก่อนเหอะ ค่อยมารักคนอื่น” ผมอดคิดไม่ได้ว่า ถ้ามันเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ผมจะเป็นยังไง คิดได้ดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะใจหาย มันคงเห็นเสียงผมแผ่วลง เสียงเครือๆ มันก็จับเอวผมลงไปนั่งที่ตักมัน ผมก็ยอมนั่งตักมันแต่โดยดี ค่อยๆนั่งลงเบาๆเพราะกลัวว่าจะไปถูกแผลมันเข้า



      “กู ขอโทษ จริงๆ ต่อไปกูจะเชื่อหมอ จะไม่แอบไปเล่นบาสแล้ว” มันจ้องตาผม แล้วพูดออกมาเบาๆ



      “กูดีใจนะที่มึงเป็นห่วงกูน่ะ แต่กูไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก” มันยิ่งพูดไอ้โมน้ำตายิ่งคลอ จนในที่สุดก็ไหลออกมาอาบแก้มผมทั้งสองข้าง



      “ถ้ามึงเป็นอะไรไปจริงๆกูคง...” ผม รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่คอ ไม่ได้พูดอะไรต่อ ได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมานองแก้มทั้งสองข้าง



       มันเอามือมาปาดน้ำตา แล้วจูบตรงหางตาผมเบาๆ



      “มึงอย่าร้องไห้นะ กูไม่อยากเห็นมึงร้องไห้” ... เมิงก็หยุดพูดเส่ อย่ามาบิวด์



      “กูไม่เป็นไรหรอกน่า ดูสิ แผลหายเร็วจะตายไป”



      “ไหนบอกว่าจะไม่มีวันเสียน้ำตาให้คนอย่างกูไง หือ” มันย้อนกับคำที่ผมเคยปรามาสมันไว้



      “อ๋อ หรือว่าหึง ไม่อยากให้พยาบาลมาโกนขนให้กูอีกใช่ป่ะล่า... งั้นเดี๋ยวคราวหน้ากูให้มึงโกนให้นะ ดีป่ะ” มันหมายถึงขนหมออ้อยของมันน่ะแหละ



       “ไอ้บ้า” ผมยิ้ม ทั้งน้ำตา อดขำมันไม่ได้จริงๆ ช่างคิดได้



      “หึ หึ” มันหัวเราะในลำคอ เมื่อเห็นผมยิ้มได้ มันจูบปากผมเบาๆ แล้วเอามือมาปาดน้ำตาให้ผมอีกรอบ แต่....ง่า... อยากจูบอีกอ่ะ จูบกูนานๆหน่อยก็ด้ายยยยยย




      “ป้อนข้าวหน่อยจิ หิวจะแย่แล้วเนี่ย ” มันอ้อนอีก






      “ไม่” ผมเล่นตัว







      “นะๆๆๆๆๆ” มันยังอ้อน แถมทำตาหวานใส่







      “ชิส์” แล้วผมก็ต้องใจอ่อน จึงไปลากเก้าอีมาอีกตัวนั่งข้างๆมัน แล้วก็เอื้อมมือไปหยิบพลั่วขึ้นมาตักข้าวยัดใส่ปากมัน (ฮาาาา)

gay_love

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ ujen

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-13

ออฟไลน์ MoMoRin

  • I am Fujoshi! (・∀≦)ゞ
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-2
วุ่นวายดีแท้...แต่ก็น่ารักดีค่ะ อิอิ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด