++++ ก็แค่บอกว่ารัก...มันยากนักเหรอ ++++ >>จบแล้ว ย้ายได้เลยครับ [09/02/12]<<
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ++++ ก็แค่บอกว่ารัก...มันยากนักเหรอ ++++ >>จบแล้ว ย้ายได้เลยครับ [09/02/12]<<  (อ่าน 93927 ครั้ง)

artit

  • บุคคลทั่วไป
โห หวานซะขนาดนี้ ตอนไปหยิบพลั่วมา นึกว่าจะตักกินเองซะแล้ว  :laugh:

tawan

  • บุคคลทั่วไป
ตกลงโมจะมีกี่ผัวอะ

มันไม่ชัดเลยอะ :m16:

 :call:

ออฟไลน์ ● MaYa~Boy ●

  • ฉันมันคนขี้อิจฉา
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-2
 มาอ่านแล้วนะครับ

yayee2

  • บุคคลทั่วไป
555 เผลอไม่ได้เข้ามาอ่านแป๊บเดียว ที่นี่เขาใช้พลั่วแทนช้อนป้อนข้าวกันเล้วเว้ยเฮ้ย
555 พลั่วอาบน้ำผึ้งเคลือบน้ำตาลปะคะโม

ออฟไลน์ GeTOuTNoW

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 415
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1

ออฟไลน์ IöLIKE

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 993
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-6

Violet_Melon

  • บุคคลทั่วไป
ตอน 35: แอบ

   ตอนนี้แผลไอ้เวอร์เริ่มจะหายสนิทแล้ว ช่วงนี้ผมยังไปไหนมาไหนกับมันอยู่ ตามดูมัน กลัวว่ามันจะแอบบไปเล่นบาสอีก เดี๋ยวได้เข้าโรงพยาบาลอีกรอบ แค่นี้ตัวมันก็รุ่งริ่งเต็มที คงไม่มีที่ว่างตรงไหน จะไปให้หมอลงมีดได้อีกแล้ว
เรื่องที่มีสาวๆทั้งรุ่นน้อง รุ่นพี่ มาชอบไอ้เวอร์มากมาย เป็นเรื่องปกติธรรมดา มีขนมมาฝากมันบ้าง ของฝากอื่นๆอีกมากมาย ส่วนตัวพวกผมเองก็พลอยได้อานิสงค์ จากความฮ็อตของมันอยู่เป็นระยะๆ ตัวผมเองก็เห็นว่ามันไม่ได้สนใจใครเป็นพิเศษ ก็เลยสบายใจไปได้เปลาะหนึ่ง แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าวันหนึ่งมันเกิดไปชอบใครคนใดคนหนึ่งขึ้นมาแล้วผมจะเป็นอย่างไร


   อย่างที่บอกเกือบทั้งหมด ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายเข้ามาหามันเองเสียมากกว่า แล้วมันก็มีนิสัยที่ปฏิเสธคนอื่นไม่เป็นเสียด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าชอบหรือไม่ชอบใคร ถ้าเค้าเข้ามาหามันก็จะคุยกับเค้าได้ซะทุกคนไป แต่ก็มีอยู่สองคน ที่ผมเห็นว่าจะมาแรงเป็นพิเศษ คือเพื่อนร่วมห้องชื่อเหมียว และน้องจั๊กจั่นที่อยู่ ม.1 ที่บอกว่ามาแรงเพราะผมสังเกตว่าสองคนนี้แสดงออกอย่างมากมายเกินงาม โดยเฉพาน้องจั่นกล้าเอาจดหมายมาให้เอง ตอนไอ้เวอร์ป่วยก็เห็นมาหากันแทบทุกวัน แถมผมเคยแอบเห็นว่าเกาะแขนไอ้เวอร์เดินด้วย ผมสังเกตว่าหลายครั้งเห็นไอ้เวอร์เป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาไปคุยกับน้องจั๊กจั่นเอง และหลายครั้งที่ผมอดจะคิดไม่ได้ว่ามันจะชอบน้องเค้าจริงๆ บางวันก็เห็นเดินไปหน้าโรงเรียนด้วยกัน อย่างเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ก็เห็นว่ามันไปช่วยน้องเค้ายกถุงปุ๋ยหมักอยู่ที่แปลงเกษตร หรืออย่างวันนี้ที่ทำให้ไอ้โมของขึ้นขนาดหนัก
ตอนช่วงก่อนพักเที่ยงผมเห็นว่ามีเพื่อนน้องจั๊กจั่นมายืนคุยอะไรกับมันอยู่ข้างหลังห้อง เห็นมันยิ้มๆ พยักหน้า แล้วน้องก็กลับไป


   จนถึงช่วงพักเที่ยง


   ไอ้เวอร์ : “เด๋วกินข้าวเสร็จเมิงไปสนามบาสกันก่อนนะ เดี๋ยวกุตามไป”


   ไอ้ตุ๊ : “อาราย นัดสาวไว้เหรออออ อ๊ะๆๆๆ หรือว่าเป็นน้องจั๊กจั้น”


   ไอ้โม ปรี๊ดดด ใจเต้นตุ๊บๆๆ แต่ยังเก็บอาการไว้อยู่ ทำเป็นไม่สนใจที่มันคุยกัน แล้วแกล้งหันมาคุยกับไอ้อุ้ย


   ไอ้เวอร์ : “รู้ดีนะเมิง เดี๋ยวนี้ แสนรู้ยิ่งกว่าไอ้โมอีก ฮ่า ฮ่า”


   ไอ้โมปรี๊ดดดด หนักว่าเดิม แต่ก็ยังเก็บอาการไว้ได้ (กัดฟัน) เมิงจะแอบไปหาผู้หญิงอื่น แล้วยังมาหลอกด่ากูเป็นหมาอีก เจ็บอ้ะ ปรี๊ดด้วย


   ไอ้ตุ๊ : “อ่าว ไอ่ห่านี่ หลอกด่าว่ากุเป็นแมว เดี๋ยวปั๊ดโบก”


   ไอ้เวอร์ :”ฮ่า ฮ่า”


   ไอ้สองคนนี่ยังไม่รู้สึกถึงรังสีอำมหิตที่ไอ้โมปล่อยออกมา ยังคงหัวเราะเริงร่ากันนต่อไป แต่ตอนนี้ข้างในไอ้โมเดือดปุดๆ


   ไอ้อุ้ย : “อ่าวไอ้โม เมิงมากระทืบตีนกุทำไมเนี่ย เจ็บนะโว้ย”


   อ่าวไอ้โมลืมตัว


   ไอ้โม : “ป่าว กุนึกหมั่นใส้เมิงขึ้นมา วันก่อนเมิงเสือกมองหน้ากวนตีนกุ” อูยยย แถซะแสบสีข้างเลยกู มันสามคนมองผมอย่าง งงๆ


   ไอ้เวอร์ :”งั้นกุไปละ” ไปเลยชิ้วๆ ผมไม่สนใจแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วนั่งคุยกับไอ้อุ้ยต่อไป แต่ในใจนี่เต้นตุบๆ ผมเห็นมันเดินหายไปทางด้านข้างอาคารเรียนสาม ฝั่งที่ติดกับรั้วโรงเรียน ส่วนพวกผมสามคนก็เดินกันไปยังสนามบาส แต่ระหว่างทางนั้นไอ้โมก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา
   “พวกมึงเดินกันไปก่อนนะ เด๋วกุไปเข้าห้องน้ำก่อน เดี๋ยวตามไป” ไอ้โมไม่ทันให้ไอ้สองคนนั้นตอบกลับมา รีบวิ่งไปทางห้องน้ำ แต่พอมาถึง ก็รีบวิ่งอ้อมกลับไปอีกทาง เพื่อไปที่.........ด้านข้างของอาคารเรียนสาม


   ผมไปถึงก็แอบซุ่มๆดูอยู่ที่ข้างตึก สังเกตเห็นว่ามีเพื่อนน้องจั่น 2-3 คนยืนอยู่ห่างๆเหมือนคอยดูลาดเลาให้ ส่วนไอ้เวอร์กับน้องก็ยืนคุยกันอยู่ หน้าระรื่นเชียว เห็นมันยื่นคุยกันอยู่ซักสิบนาทีได้ ก็เลิกคุยกันแล้วเดินออกมา แต่ทันใดนั้น ก่อนที่จะเดินมาพ้นมุมตึก ผมก็เห็นน้องเค้าโดดห้อมแก้มไอ้เวอร์เอาดื้อๆซะงั้น (ใช้คำว่าโดด เพราะน้องเค้าสูงแค่ไหล่ไอ้เวอร์เอง) แรงงงงงงมากเด็กคนนี้นึกว่าจะใสซื่อบริสุทธิ์ ที่ไหนได้ ไอ้เวอร์ดูอึ้งๆไป แต่เพื่อนๆน้องนี่กรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ ฮึ่มมมมม แต่ว่ามึงไอ้เวอร์ไม่คิดจะขัดขืนหน่อยรึ คงจะชอบล่ะสิท่า ไหนบอกรักกุนักรักกุหนา แล้วเมิงมาทำอย่างนี้กับคนอื่นอ่ะนะ เจ็บอ่ะ ใจผมเต้นตุบๆ มือที่กำแน่น แต่ขาแทบจะหมดเรี่ยวแรง จะว่าโกรธก็ไม่เชิง มันแน่นๆหน้าอก หายใจไม่ออก รู้สึกลำคอมันตีบ กลืนน้ำลายลำบาก (พิษสุนัขบ้าป่าววะ ฮา) น้ำตาจะไหลก็ไม่ไหล  ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร รู้แต่ว่ามันอึดอัดมากๆ ไอ้โมไม่กล้าอยู่ดูต่อ รีบเดินถอยหลังออกมาโดยไว เดินอย่างหมดแรงขึ้นไปบนชั้นเรียน ตอนนี้พักเที่ยง คงไม่มีใครอยู่ ขอไปนั้งเงียบๆคนเดียวละกัน โดยลืมไปเสียสนิทว่าผมนัดกับไอ้ตุ๊ แล้วก็ไอ้อุ้ยไว้


   ตลอดบ่ายนั้น คงไม่ต้องเล่าว่าไอ้โมนั่งเหม่อ ไม่คุยกับใคร ผมย้ายมานั่งด้านหลังห้องคนเดียว ทำเป็นแกล้งอ่านหนังสืออะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่จริงๆคิดถึงเรื่องที่ได้เจอมา มันสามคนคงงงว่าเมื่อเช้าผมก็ร่าเริงอยู่นี่หว่า แล้วไหงบ่ายมา ทำท่าอย่างกับหมาหงอย


   หลังจากวันนั้น ผมเห็นไอ้เวอร์หายไปพบน้องเค้า อีกหลายต่อหลายครั้ง ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ที่มันไปพบกับน้องเค้า ผู้ชายยังไงก็คงต้องคู่กับผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ ผมพยายามหลบหน้าไอ้เวอร์ตลอด มันเองก็คงรู้ถึงความผิดปกติของผม พยายามเข้ามาคุย มาถามว่าผมเป็นอะไร แต่ผมก็หลบหน้ามัน ผมเลือกที่จะปลีกตัวออกมาอยู่ตามลำพังบ่อยครั้ง ทำเป็นตั้งใจอ่านหนังสือ แต่จริงๆแล้วกลับใช้เวลาเหล่านั้น วนเวียนคิดถึงแต่เรื่องผมกับมัน ถึงแม้ผมไม่อยากรับรู้เรื่องราวใดๆของมันกับน้องจั๊กจั่น แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังมีเรื่องราวของมันกับน้องจักจั่น ลอยมาเข้าหูผมอีกเป็น ระยะๆ ซึ่งทุกครั้งที่ผมได้ยินเรื่องราวเหล่านั้น คงไม่มีคำใดมาอธิบายได้ดีไปกว่าคำว่า....เจ็บ

Violet_Melon

  • บุคคลทั่วไป
   ตอน 36: น้ำตกและน้ำตา

   1 เดือนก่อนสอบปลายภาค เพื่อนในห้องก็รวมกลุ่มกัน ชวนกันไปเที่ยวน้ำตก ด้วยว่าหลังจากนี้อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ช่วงสอบปลายภาคแล้ว จะไม่ได้มีเวลาว่างที่จะอยู่ด้วยกันแล้ว ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดจะไป เพราะไม่รู้ว่าไอ้เวอร์จะไปด้วยหรือเปล่า เพราะยังไม่อยากเห็นหน้ามันตอนนี้ แต่ก็โดนเพื่อนๆในห้องคะยั้ยคะยอให้ไป เพราะทุกคนก็ไปกันหมด อีกหน่อยจะไม่ได้เจอกันพร้อมหน้าแบบนี้อีกแล้ว ผมเลยขัดไม่ได้ จำต้องไปด้วย


   สรุปว่าวันเสาร์แปดโมง เจอกันหน้าโรงเรียน มอเตอร์ไซต์ เกือบ 20 คัน รถกระบะอีก 2 คับ เรียกว่าแว๊นบอย สก๊อยเกิร์ล เต็มถนนกันเลยที่เดียว จนเกือนสิบโมงก็มาถึงน้ำตกกัน


   มาถึงก็ตั้งวงกินข้าว กันเลยทีเดียว เป็นอาหารที่เตรียมกันมาบ้าง ซื้อจากแถวนี้บ้าง กินกันจนอิ่ม ก็แยกย้ายกันไปเล่นน้ำตก ช่วงนี้ไม่ใช่หน้าท่องเที่ยว จึงมีนึกท่องเทียวไม่เยอะมากนัก ทำให้ส่วนใหญ่ก็มีแต่พวกผมและเพื่อนๆ ที่มีกันอยู่ 40 กว่าคน


   ตอนนี้ผมมองไอ้เวอร์กำลังนั่งคุยอยู่เหมียว แล้วก็เพื่อนอีกกลุ่มหนึ่ง ผมเลยแยกออกมา ไม่อยากเห็นภาพบาดตา แล้วก็อยากจะหลบหน้ามันด้วย ทั้งเรื่องน้องจั่น เรื่องเหมียว ทำให้ผมเจ็บปางตายจริงๆ ผมไม่อยากจะเจอหน้ามันเลยจริงๆ เจอทีไร เจ็บไปทั้งหัวใจ  เห็นเพื่อนๆกำลังลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน น้ำตกที่นี่มีหลายชั้นครับ (กี่ชั้นจำไม่ได้แล้ว ไม่ได้ไปมานานมากแล้ว) เห็นบางส่วนก็เดินขึ้นไปกันบนชั้นถัดๆไป เพราะลชั้นล่างๆก็มีคนเริ่มเยอะแล้ว ผมนั่งตรงโขดหินข้างล่างอยู่ได้ครู่นึง ก็ได้ยินเสียงไอ้ตุ๊ ไอ้อุ้ย โบกมือเรียกชวนขึ้นไปชั้นบนๆ ตอนแรกก็ไม่คิดจะไป แต่คิดไปคิดมาก็ดีเหมือนกัน ได้หลบหน้าไอ้เวอร์ด้วย ก็เลยเดินตามมันขึ้นไป จนถึงประมาณชั้น 3 หรือ 4 ไม่แน่ใจ ก็เห็นว่าคนน้อยแล้ว เห็นมีแต่เพื่อนผู้ชายเล่นกันอยู่ไม่ถึงสิบคน ส่วนผู้หญิงคงไม่มีใครขึ้นมาเพราะชั้นนี้ไกลพอดู ทางชันด้วย ส่วนไอ้พวกที่เล่นกันอยู่ เนื่องจากไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยน ก็เลยถอดเสื้อผ้ากองไว้ แล้วใส่กางเกงในตัวเดียวเล่นน้ำกันสนุกสนาน ไอ้ตุ๊กับไอ้อุ้ย ก็ไม่ฟังเสียงมาถึงก็ถอดเสื้อผ้า โดดน้ำเสียงดังตูมม จนน้ำกระเดินมาโดนผมซะเปียกโชก


   “เชี่ยยยยยยยยย” ให้พรมันซะหน่อย ไอ้สองคนนั่นหัวเราะ เอิ๊ก อ๊าก พร้อมกับเพื่อนๆคนอื่นหัวเราะกันลั้น ผมชี้นิ้วใส่มัน ว่า เดี๋ยวเมิงจะโดนมีใช่น้อย


   “ลงมาเด้ แน่จริงก็ลงมาเลย มาเอากูคืนนี่มา ฮ่า ฮ่า” ไอ้ตุ๊หันหลังเอามือตบตูดท้าให้ผมลงไป ส่วนไอ้อุ้ยก็วิดน้ำใส่ผมใหญ่ สนุกสนานเชียวนะพวกเมิง


   “เชี่ยยย พวกมึง เดี๋ยวมึงเจอกูแน่” ผมวิ่งหลบ ปากก็ตะโกนด่าพวกมันไป ใจไม่อยากลงน้ำ ไม่มีอารมณ์จะเล่น ไม่ใช่ว่ากลัวเปียกหรือกลัวอายอะไร ผมหลบพวากมันมานั่งข้างๆ โขดหิน ดูมันเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน มองดูต้นหญ้า ต้นไม้ไปเรื่อยเปื่อย อากาศที่นี่สดชื่นดีมาก ได้มาสูดอากาศ สดชื่นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน คิดอะไจนเพลิน รู้ตัวอีกอีกที ก็ตอนที่ผมโดนใครบางคนอุ้มจนลอย


   “เฮ้ย! อย่า”


   ตูมมมมมมมม!!! ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไร ไอ้ตุ๊ก็อุ้มผมขึ้น แล้วโดดลงมาสู่แอ่งน้ำด้านล่างพร้อมกัน แล้วเสียงเพื่อนๆ ที่อยู่ข้างล่างก็ เฮ กันยกใหญ่

   
   “ไอ้ตุ๊ เชี่ยยยยยย” ผมพยายามจะว่ายน้ำไปหามัน แต่ด้วยผมใส่กางเกงยีนส์ ทำให้มันหนักมาก ว่ายน้ำก็ไม่ถนัด จึงต้องหันเข้าหาตลิ่งแทน ขึ้นมาได้ผมก็จัดแจงถอดเสื้อผ้าอย่างเร็ว พร้อมกับโดดตูมลงน้ำ


   “ไอ้ตุ๊ มึงตายยยยยยยยยยยย” ผมพุ่งเข้าหามันอย่างรวดเร็ว เสียงพื่อนๆ เชียร์กันลั่น หัวเราะกันสนุกสนาน ผมตามไอ้ตุ๊เท่าไรก็ไม่ทันซะที จนผมเหนื่อยแฮ่ก เริ่มหนาวๆแล้วด้วย จึงหันเข้าหาตลิ่งขึ้นมาริมตลิ่ง ขึ้นมานั่งสั่นเป็นนกตะกรุม


   “หนาวหราาาาาาา” ไอ้ตุ๊มานั่งยองๆข้างหน้าผม พร้อมกับทำเสียงล้อเลียน


   “อื้อ หยิบเสื้อข้างหลังให้หน่อยจิ” ไอ้ตุ๊หันกลับไปหาเสื้อ ทำท่าจะหยิบเสื้อให้ แต่.....มันมีซะที่ไหนล่ะ เสื้อผมอยู่โขดหินข้างบนโน่น กว่าไอ้ตุ๊จะรู้ตัวอีกที มันก็โดนผมโถมเข้าใส่ จนล้มเลงไปนอนหงายแล้ว  ผมโดดคร่อมมันได้ ก็คว้าหมับที่คอมัน (คอบน นะไม่ใช่คอล่าง หุหุ) แต่ว่า....กำไม่รอบง่ะ แล้วจัดการบีบคอมันซะเลย


   “เมิงตายยยยยยย นี่แน่ะๆแกล้งกูเหรอ ตายแน่เมิง ฆ่าหมกน้ำตกแถวนี้แหละ” เพื่อนๆหัวเราะกันลั่น เพราะขำผมกับไอ้ตุ๊


   “อ่อก หายใจไม่ออก จะตายแล้ว หายใจไม่ออก” ไอ้ตุ๊ ทำท่า ดิ้นๆ กระแด่วๆ แอ๊คติ้งดีจริงๆนะเมิง น่าได้รางวัลตุ๊กตาทองนะเมิง แสดงดีขนาดนี้ ผมก็บีบคอมัน มันก็ดิ้นๆ จนกว่าจะรู้สึกตัวอีกที่ ก็มีบางอย่างผิดปกติ


   สิ่งที่ผิดปกติน่ะเหรอ ลองนึงสภาพผมกับไอ้ตุ๊ ตอนนี้ สภาพเหลือแต่กางเกงในทั้งคู่ แล้วผมยังนั่งครอมมันอยู่อีก ก้นผมไปลงที่เป้ามันพอดี แล้วมันก็ทำท่าดิ้นแด่วๆ เนื้อตัวผมกับมันก็แนบชิดกันอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วแถวมันมีบางอย่างโป่งขึ้นกลางลำตัวไอ้ตุ๊น่ะสิ ที่ผมรู้ได้ก็เพราะมันโป่งจนมาดันก้นผมอยู่ ผมก็คลายมือที่บีบคอมันออก ทำท่าจะลุกออกจากมัน ไอ้ตุ๊ก็เหมือนเริ่มรู้สึกตัว ก็จะลุกขึ้นนั่ง เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมจะลุกออกจากตัวมันพอดี ทำให้ผมเซ จะหงายหลัง(ภาษาที่บ้านเรียกหงายเงิบ ฮา...) ไอ้ตุ๊มันรีบคว้าแขนผมไว้ แต่คว้ามันไม่คว้าเปล่าน่ะสิ รั้งเข้าหาตัวมัน แล้วหอมแก้มผมไปซะฟอดใหญ่ ผมด้วยความที่ไม่ทันตั้งตัวจะหลบก็ไม่ทัน เลยได้แต่หน้าแดงไปตามระเบียบ ได้ยิ้นเสียงมันหัวเราะ หึ หึ ในลำคอ ไอ้เลววว หลอกแต๊ะอั๋งกูอีกละ เปลืองเนื้อเปลืองตัวตลอด แต่ไอ้โมก็ได้รู้สึกตัวจากภวังค์(อีกที่) ก็เพราะมีปืนใหญ่อาเซนอลจ่อตูดอยู่น่ะเอง


   “ไอ้บ้ากาม” ไอ้โม หน้าแดง ผลักมันกลับไปนอนหงายแผ่หราอีกรอบ พร้อมด่ามันไปอย่างอายๆ แล้วรีบลุกจากมันโดดลงน้ำอย่างรวดเร็ว ได้ยินเสียงมันหัวเราะหึๆ ตามมา พร้อมก็บเห็นมันเอามือกุมเป้าโดดตามลงมาในน้ำอย่างไว แต่เดี๋ยวก่อนไอ้โมรู้สึกแปลกๆอะไรอีกอย่าง พร้อมกับเหลือบไปมองทางโขดหินที่ถอดเสื้อผ้าไว้ หัวใจไอ้โมแทบหยุดเต้น เมื่อผมเห็นไอ้เวอร์ยืนอยู่ มันมองมาที่ผมสีหน้ามันไม่ได้แสดงออกไดๆทั้งสิ้น ซึ่งแปลกว่าปกติ มันคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ลงมาลากผมขึ้นจากน้ำ เอาไปกินตับไปแล้ว (ฮาาาาา) แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิด ทั้งกลัวมันโกรธ ทั้งอายด้วย นี่อย่าบอกนะว่ามันเห็นมาตั้งแต่ต้น มันมองผมด้วยหางตาแบบนั้น แล้วก็หันหลังเดินมุ่งหน้าขึ้นไปด้านบน


   ผมก็ได้แต่นึกในใจว่า เฮ้อ นี่มันความซวยอะไรของผมนะ สถานการณ์ระหว่างผมกับไอ้เวอร์ช่วงนี้ยิ่งไม่ค่อยดีอยู่แล้วด้วย มาเจอแบบนี้เข้าไปมีหวัง เฮ้อ.. ไม่อยากจะคิดเลย ไอ้ตุ๊ก็นะ หื่นมากขึ้นทุกวัน นึกว่ามันไปชอบอาจารย์เก้แล้ว มันจะหยุดหื่นใส่ผมซะที แต่ที่ไหนได้ เป็นหนักกว่าเดิมซะอีก ผมรีบขึ้นมาจากน้ำ ใส่กางเกงแล้วถือเสื้อเดินมองหาไอ้เวอร์ แต่ก็ไม่เจอมันแล้ว ผมยืนคิดครู่หนึ่งว่าจะเอาอย่างไรดี สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเดินขึ้นไปข้างบนน้ำตกชั้นถัดไป


   ผมเดินขึ้นมาเรื่อยๆ สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าไผ่ สังเกตว่าได้ยินเสียงพวกไอ้ตุ๊อยู่ไกลๆ ข้างบนเงียบมาก ผมเดินมาจนถึงแก่งหินด้านบน ไม่เห็นว่ามีใครอยู่เลย ผมพยายามมองหาไอ้เวอร์ว่ามันไปอยู่ ผมเดินเที่ยวหามันอยู่นาน แต่ก็หามันไม่เจอ หรือว่ามันจะเดินกลับลงไปแล้ว ตอนนี้เนื้อตัวผมก็โดนทั้งใบหญ้า ใบไผ่บาดตัวจนแสบไปหมด ผมจึงตัดสินใจเดินกลับลงมา แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เดินถึงสิบเก้า ก็มีคนมาคว้าแขนผมไว้


   “ไอ้เวอร์ อยู่นี่เอง ตามหาซะทั่......” เย้ยยยย เผลอหลุดปากไปซะได้


   “ตามหาทำไม” มันยังทำท่านิ่ง


   “คือ.........” พอไอ้โมนึกไปถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นสักครู่นี้ ก็เกิดหน้าชาขึ้นมาในบัดดล ผมมาตามหามัน ก็เพื่อจะอธิบายเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ


   “คือ........” ไอ้โมยังพูดไม่ออก เห็นสีหน้าเฉยชา แบบนี้แล้วใจแป้วอ่ะ


   “หรือว่าจะตามให้ไปดู ว่ามึงกับไอ้ตุ๊กับลังจะได้กัน หน้าด้านกันจริง จริ๊ง คนตั้งแยะ หัดอายกันซะมั่งเหอะ จะทำอะไรก็ให้มันลับหูลับตาคนซะมั่ง” มันพูด ไอ้โมเจ็บจี๊ดๆ แต่ก็ไม่ได้คิดจะโกรธมัน ครั้งนี้เป็นความผิดผมจริงๆ เล่นจนเลยเถิด ไม่ทันระวังตัว แต่จริงๆแล้วนั่นก็เป็นเพราะผมไม่ได้คิดอะไรกับไอ้ตุ๊ต่างหาก ผมถึงเล่นกับมันแบบนั้นได้


   “คือ มันไม่ใช่แบบที่มึงคิดนะ กูก็แค่...”


   “เหรอ แล้วแบบไหนล่ะ ต้องให้กูเห็นตอนมึงเอากันเลยมะ จะได้รู้ว่าเป็นอย่างทีกูคิดหรือเปล่า” โห ไอ้โมน้ำตาหยดแหมะเลยอ่ะ บ่อน้ำตาตื้นจริงกรู พูดไม่ออกอ่ะ ผมแค่อยากให้มันเข้าใจผมบ้าง ว่าผมไม่ได้คิดจะทำอะไรกับไอ้ตุ๊แบบนั้นนะ เหตุการณ์มันพาไปต่างหาก


   “กูก็แค่... กูก็แค่...ฮึก ....” ผมสะอื้น พยายามจะบอกมันไปว่าแค่เล่นกันนะ ผมไม่ได้จะทำอะไรแบบที่มันคิด


   “ตลอดเวลา กูรักมึงมาตลอด กูเคยคิดเข้าข้างตัวเองนะ ว่ามึงก็คงมีใจให้กูบ้าง แต่พอมาเห็นวันนี้ กูก็ได้เข้าใจว่าทำไม มึงถึงไม่เคยคิดจะรักกูเลย” ผมยิ่งสะอื้นหนัก นี่มันจะไปกันใหญ่แล้ว มันยังไม่เข้าใจอีกหรือว่าผมแคร์ มันยิ่งกว่าใครๆ มันจะต้องให้ผมพูดออกมาเลยเหรอ ว่าผมคิดกับมันอย่างไร


   “กูผิดที่คิดเข้าข้างตัวเอง คิดว่ามึงจะรักกูบ้าง แต่เปล่าเลย กูพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้มึงสนใจกูบ้าง ที่กูต้องแกล้งมึงสารพัด ก็เพราะกูแค่อยู่ในสายตามึงบ้าง กูอยากให้มึงสนใจกู” ไอ้โมได้แต่ก้มหน้าปล่อยให้น้ำตาหยกลงพื้นแหมะๆ มึงอยู่ในสายตากูตลอดแหละ ถ้าจะพูดให้ถูกมึงอยู่ในใจกูต่างหาก ผมได้แต่คิดนะ ไม่กล้าจะพูดออกไป


   “ตอนที่มึงบอกว่าเกลียดกู กูก็คิดว่า ซักวันกูจะทำให้มึงรักกูได้ แต่จนถึงวันนี้แล้ว กูก็รู้ว่ามันไม่มีทางเลย แต่ไม่เป็นไรหรอก อดทนอีกนิดเดียว เดี๋ยวมึงก็จะไม่ต้องทนเห็นหน้ากูอีกต่อไปแล้ว” อะไรนะมันหมายความว่าอย่างไร ตอนนั้นผมพูดอะไรไม่ออกอีก จะพูดอะไรมันก็กลายเป็นเสียงสะอื้นไปหมด หลายคนคงจะหมั่นไส้ รำคาญผม ก็แค่บอกออกไปสิว่าผมก็รักมัน มันจะยากเย็นอะไรกันนักหนา แต่ ณ ตอนนั้นผมไม่สามารถพูดออกไปได้จริงๆ ผมจะพูดออกไปได้ยังไง ในเมื่อผมยังไม่รู้เลยว่าความรักมันคืออะไร เป็นแบบไหน ผมกลัว กลัวไปหมดทุกสิ่ง กลัวว่าวันหนึ่งมันจะต้องจากผมไป กลัวว่าวันหนึ่งถ้ามันเลิกรักผมแล้วไปรักคนอื่นผมจะทำอย่างไร ตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมไอ้เวอร์มันถึงพูดคำว่ารักออกมาได้ง่ายดายนัก มันรู้แล้วเหรอว่าความรักคืออะไร มันถึงกล้าพูดคำว่ารักออกมาอย่างมั่นใจ (ตอนนี้ผมมองกลับไปรู้สึกอิจฉามันจัง ที่มันได้รู้จักความรักตั้งแต่ยังเด็กๆ)


   “มึงรักไอ้ตุ๊ใช่ไหม” ผมเงยหน้ามองมันทั้งน้ำตา รักอีกและ อยากจะบอกว่ากูไม่รู้ๆๆๆ รักเริกคืออะไรอย่ามาบังคับถามกูได้ม้ายยยย


   “กู...ฮึก..” พอจะพูด ไอ้โมก็สะอื้นฮั่กๆ ออกมา


   “กู...”ผมแค่พยายามจะบอกว่า ผมไม่ได้คิดอะไรกับไอ้ตุ๊ มึงต่างหากเป็นคนที่กูแคร์มาตลอดนะ มันต่างหากที่ไปแสดงท่าที สนิทสนม กับคนโน้นทีคนนี้ที จนผมแทบจะทนไม่ได้ ... แต่ทันใดนั้น ก่อนที่ผมจะได้ทันพูดอะไร ก็มีเพื่อนในห้องคนนึง เดินขึ้นมา


   “เฮ้ย ไอ้เวอร์ ไอ้โม เค้าจะกลับกันแล้ว เหลือมึงอยู่สองคนเนี่ย เร็วๆ เพื่อนๆเค้ารอกันอยู่” ยังไม่ทันที่เพื่อนคนนั้นจะพูดจบ ไอ้เวอร์มันก็เดินจ้ำอ้าวลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว ส่วนผมก็รีบเอาเสื้อที่ถืออยู่มาเช็ดนำตา แล้วรีบก้มหน้าเดินลงมาข้างล่างอย่างไว


   จนกระทั่งเพื่อนๆมารวมตัวกันก่อนกลับ จึงได้รู้ว่ามันกลับไปก่อนแล้ว ผมก็ได้แต่มองตามหลังมันไป เรื่องของผมกับมันจะเลวร้ายไปไหน ของเดิมก็เลวร้ายจะแย่อยู่แล้ว ยังมาเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก ขากลับผมเลยไปซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อนอีกคันนึง ไม่ได้นั่งคันไอ้ตุ๊(ขามาผมมากับมัน) มันก็งงๆว่าเกิดอะไรขึ้น จริงๆผมรู้สึกอายมันอยู่เหมือนกัน ยังไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น อยากรีบกลับบ้านนอน







ขอโทษที่หายไปนานครับ  เข้ามาต่อให้จบตามสัญญาแล้วครับ (เหลืออีกประมาณ 5 ตอน)

สวัสดีปีใหม่ มีความสุขกันทุกๆคนนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-01-2012 13:42:25 โดย Violet_Melon »

ออฟไลน์ ujen

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-13

Violet_Melon

  • บุคคลทั่วไป
ตอน 37: ใจแข็ง 


           ตลอดปลายเทอม ของมอสามเทอมสอง ผมย้ายมานั่งกับกลุ่มไอ้เก ไอเนียร มันสามคนยังนั่งกันอยู่ที่เดิม ตั้งแต่เกิดเรื่องที่น้ำตกคราวนั้น ผมไม่ได้คุยกับไอ้เวอร์อีกเลย เป็นเพราะผมเองแหละ ที่หลบหน้ามันตลอด พอผมเห็นมันเข้ามาผมก็หลบ มันมาขวา ผมไปซ้าย มันเข้าหน้าห้อง ผมออกหลังห้อง ยิ่งช่วงนี้ไกล้จะจบเทอมแล้ว หลายวิชาก็ปิดคอร์สไปแล้ว ทำให้ผมหลบหน้ามันได้ง่ายขึ้น อาจารย์ก็ไม่ค่อยได้เข้าสอน ปล่อยให้นักเรียนอ่านหนังสือเตรียมสอบกัน ที่ต้องรีบปิดคอร์สเพราะอาจารย์รีบสอนให้จบ นักเรียนจะได้ไปสอบเข้ามอปลายที่อื่นได้ ช่วงนี้ก็เห็นหลายๆคนวุ่นๆ ว่าจะไปเรียนต่อที่ไหนดี จะเรียนต่อสายสามัญ หรือสายอาชีพดี ส่วนผมเนื่องจากปัญหาทางเงิน ก็คงได้เรียนต่อมอปลายที่นี่ เพราะไกล้บ้าน และประหยัดค่าใช้จ่าย




           อาจารย์หลายท่านก็เสียดายโอกาส อยากให้ผมได้ไปเรียนต่อโรงเรียนชายนครสวรรค์ เพื่อจะได้มีโอกาสดีๆ เป็นการปูทางในการเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย เกลี้ยกล่อมผมเป็นนานสองนาน โดยเฉพาะอาจารย์อ๋อย (อาจารย์สอนภาษาอังกฤษ) ถึงกับจะออกทุนการศึกษาให้ผมจนจบมอปลายเลยที่เดียว แต่ไอ้โมก็ปฏิเสธไปด้วยหลายๆเรื่องอย่างที่บอก ทั้งเรื่องทางบ้าน ไหนจะการต้องไปปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนใหม่อีก และที่สำคัญอีกเรื่องที่ไอ้โมไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไร แต่มันก็เป็นความจริงคือ ไอ้เวอร์ มันน่าจะเรียนต่อมอปลายที่นี่เพราะ แม่มันเองก็สอนอยู่โรงเรียนประถมไกล้ๆกัน




           บ่ายวันนึงขณะที่ผมกำลังนั่งอยู่หลังห้อง อ่านหนังสืออยู่หลังห้อง ก็มีเด็กมอหนึ่งวิ่งเข้ามาตะโกนลั่นห้อง




           “พี่ศุภชัย คนไหนค้า จดหมายจากอาจารย์ปิยวัฒน์ ค่ะ อาจารย์รุ่ง (อาจารย์พี่เลี้ยงของอาจารย์ปิยวัฒน์) ให้เอามาส่ง” โห ตะโกนซะลั่นห้องเชียวน้องเอ๊ย กลัวเค้าไม่รู้กันรึไง ว่าแฟนพี่ เค้าส่งจดหมายมาให้ (แหวะ อาจารย์เค้าไปเป็นแฟนมึงตอนไหนวะ)



           “ทางนี้ครับน้อง ขอบคุณนะครับ” ไอ้โมยิ้มให้ น้องอายแก้มแดงไปเลยทีเดียว เครียดกับเรื่องไอ้เวอร์มานาน พอมาได้จดหมายจากอาจารย์วัฒน์ ก็ทำให้ผมยิ้มออกได้เลยทีเดียว ผมแอบชำเลืองมองไปที่ไอ้เวอร์ ก็เห็นว่ามันกำลังมองผมอยู่ ไม่หลบตาด้วย เหมือนมันกะจะให้รู้ว่า กุมองเมิงอยู่นะ จนผมต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาจากมันเสียเอง




           ผมแกะจดหมายอาจารย์ออกอ่าน ไม่ได้มีอะไรมากมาย ก็แค่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ เล่าว่าอาจารย์กำลังจะสอบปลายภาคแล้ว แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าผมเองก็น่าจะกำลังเตรียมตัวสอบเหมือนกัน แล้วก็อวยพรให้ผมได้เกรดสี่ทุกวิชา ผมเองได้อ่านก็ยิ้มดีใจ ขอให้สมพรปากเถอะ ส๊าธุ



           หลังจากที่อาจารย์ฝึกสอนกลับไปแล้ว ผมเองกับอาจารย์วัฒน์ก็ยังได้เขียนจดหมายติดต่อกันเป็นระยะๆ จนกระทั่งอาจารย์ได้รับการบรรจุไปสอนแถวโรงเรียนทางภาคเหนือ ส่วนผมก็สอบเข้าเรียนได้ที่มหาวิทยาลัยที่จังหวัดพิษณุโลก ก็เลยขาดการติดต่อกันไป




           ผมอ่านจดหมายเสร็จก็เก็บลงกระเป๋า กะว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยตอบจดหมายอาจารย์ ผมแอบชำเลืองดูที่โต๊ะไอ้เวอร์ก็เห็นว่า มันไม่อยู่ที่โต๊ะแล้ว และตลอดช่วงเช้าจนถึงบ่ายสอง ผมก็ไม่เห็นไอ้เวอร์เลย แอบเป็นห่วงมันลึกๆ แต่ในใจก็ยังแอบดีใจ หรือว่ามันจะหึงผมเรื่องจดหมายเมื่อเช้า แสดงว่ามันยังแคร์เราอยู่สิเนี่ย คิดไปก็แอบยิ้มในใจ หรือว่าจะไปลองง้อมันดีนะ อึดอัดจะตายอยู่แล้ว ไม่มีมันมาคอยกวนใจ รู้สึกเหงายังไงก็ไม่รู้ เฮ้ออออ




           ผมเดินคิดอะไรเพลิน จนเดินใจลอยมาถึงหน้าห้องพยาบาล ก็เห็นน้องจักจั่นกับเพื่อนอีกสองคนเดินหัวเราะคิกคักกันออกมา ด้วยความสงสัยผมก็เลยลองแอบเดินเข้าไปในห้องพยาบาล พอเข้าไปถึง ก็เจอไอ้เวอร์กำลังนอนหลับอยู่ หึ แอบมาพลอดรักกันอยู่นี่เองนึกว่าหายไปไหน กุมันโง่เองแหละที่หลงคิดเข้าข้างตัวเอง ว่ามึงยังแคร์กุอยู่ ผู้ชายยังไงมันก็ยังต้องคู่กับผู้หญิงวันยังค่ำ มึงจะมาสนใจคนอย่างกุทำไม ระหว่างที่ไม่ได้คุยกับกุ มึงสองคนคงไปถึงไหนต่อไหนกันแล้วสินะ คิดไปน้ำตาก็ไหลเอ่อขึ้นมา บ่อน้ำตาตื้นจริงกู ต้องเอามือปิดปากเพราะกลัวเสียงสะอื้นจะเล็ดลอดออกมา ผมรีบเดินออกมาจากห้องพยาบาลให้เงียบที่สุด แต่ตอนปิดประตู ลมเจ้ากรรมดันพัดประตูปิดซะเสียงดัง ปัง! ผมต้องรีบวิ่งมาให้พ้นจากตรงนั้น ผมหันไปดู ก็เห็นว่ามันเปิดประตูออกมา .. มันมองมาที่ผม มันมองเห็นผมแล้ว แต่..... หวังว่ามันคงจะไม่เห็นน้ำตาของผม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






artit

  • บุคคลทั่วไป
เฮ้อ จะลงเอยยังไงเนี่ย  :m16:

tawan

  • บุคคลทั่วไป
น่าเบื่อวะ

ปากแข็งกันเกิน


ออฟไลน์ ujen

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-13
 :serius2: จะเกิดอะไรขึ้นอีกนี้

 :L2: :L2:

ออฟไลน์ GeTOuTNoW

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 415
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
อยากจะร้องไห้เย ไม่รู้ทั้งคู่จะสมหวังป่าว

ออฟไลน์ meiji

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 284
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
หวังว่าจะไม่เศร้านะคะ
รออ่านเรื่องพี่โมอยู่นะคะ

Violet_Melon

  • บุคคลทั่วไป
ตอน 38: อนาคต

              หลังจากวันนั้นที่ห้องพยาบาลผมก็ซึมไปเลย เฝ้าคิดแต่เรื่องของมันก็น้องจักจั่น อดคิดไม่ได้ว่ามันกับน้องเค้า คงไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว ไหนจะเพื่อนในห้องที่ชื่อเหมียวอีก คงจบกันแล้วเรื่องราวระหว่างผมกับมัน ผมก็ไม่เป็นอันทำอะไร ยิ่งช่วงนี้ไม่ค่อยมีเรียนด้วยแล้ว ผมก็ได้แต่หลบมุมมานั่งซึมอยู่คนเดียว หนังสือหนังหา ไม่ค่อยได้อ่านหรอก เฝ้าแต่คิดวนเวียนถึงเรื่องของไอ้เวอร์ ไอ้ตุ๊ ไอ้อุ้ย ก็จับกลุ่มติวหนังสือกับเพื่อนๆคนอื่นอยู่


              ช่วงที่ผมกำลังนั่งซึมอยู่โต๊ะหินอ่อนใต้ร่มเฟืองฟ้านั้น ก็มีใครบางคนเดินเข้ามาทัก


              “ไง นะโม ไม่ได้คุยกันนานเลย มานั่งทำอะไรคนเดียวเนี่ย”


              “อ่ะ พี่โอ๊ค หวัดดีครับ” ตอนนี้พี่เค้าอยู่มอห้าแล้ว หล่อขึ้นกว่าเดิมอีกเยอะเลย กำลังแตกเนื้อหนุ่มเปรี๊ยะๆเลย กลิ่นเนื้อหนุ่มนี่หอมมาแต่ไกลเลยล่ะ


              “ว่าไง มานั่งทำไรคนเดียวครับ”


              “อ่อ มาอ่อนหนังสือน่ะครับ”


              “เหรอ ครับ แต่พี่เห็นว่าเราถือหนังสือกลับหัวอยู่นะนั่น”


              “>///< ฮ่า ฮ่า จริงด้วยครับ”


              “เครียดล่ะสิ แล้วนี่จะไปเรียนต่อที่ไหนล่ะเรา”


              “คงได้เรียนต่อที่นี่ล่ะครับ ไม่อยากไปอยู่ไกลบ้าน”


              “เหรอครับ ดีใจจัง”


              “แหะๆ” ผมยิ้มเขินๆ แล้วพี่ก็ชวนคุยอะไรอีกมากมาย ผมก็รู้สึกดีนะ มีคนมาชวนคุย ถ้าไม่มีคนมาชวนคุยนี่ คงต้องนั่งเหม่อถึงไอ้เวอร์อีกแน่เลย เราคุยกันไปก็หัวเราะกันไป พี่โอ๊คเป็นคนคุยสนุกครับ จนกระทั่งเสียงออดดังเตือนให้ไปเรียนคาบต่อไป พี่เค้าจึงขอตัวไปเรียน เห็น     เค้าเดินไปทางห้องคหกรรม คงจะมีเรียนที่นั่น ผมก็เลยได้ฤกษ์เปิดหนังสืออ่านจริงๆซะที แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปทางอาคารเรียนตรงห้องเรียนผม แล้วผมก็ได้เห็นใครบางคนยืนอยู่หน้าห้อง แล้วมองมาทางที่ผม... ไอ้เวอร์นั่นเอง เฮ้อ.. ว่าจะไม่คิดถึงมันแล้วเชียว ดันโผล่มาให้เห็นหน้าซะอีกนี่ ไม่ต้องอ่านหนังสือกันแล้ววันนี้


              ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่จะเป็นช่วงที่ มีสถาบัน โรงเรียน และมหาวิทยาลัยต่างๆ (ส่วนใหญ่จะเป็นเอกชน) จะเดินทางมาแนะแนว และเชิญชวนให้ไปศึกษต่อที่สถาบันการศึกษาของตอน อาจารย์ก็จะส่งนักเรียนมอสาม มอหก ไปนั่ฟังการบรรยาย เพื่อให้นักเรียนได้เลือกว่าอยากจะไปเรียนต่อที่ไหน ซึ่งดูนักเรียนจะตื่นเต้น และดูกระตือรือร้นกันมาก แล้วบางสถาบันที่มีนักเรียนเก่าของเราไปศึกษาต่อ ก็จะพาศิษย์เก่าของเรากลับมา แนะแนวและเชิญชวนเราด้วย บางสถาบันก็พาคนแนะแนวมาหล่อๆ สวยๆ ทั้งนั้นเลย พวกนักเรียน ก็กรี๊ดกร๊าด ดี๊ด๊า กันใหญ่เลย ผมแอบชำเลืองดูไอ้เวอร์เป็นระยะๆ ดูมันไม่ค่อยสนใจสักเท่าไร เอ๊ะ หรือว่ามันตัดสินใจว่าจะเรียนต่อที่นี่ มันเลยไม่สนใจ ผมคิดไปก็แอบดีใจ ที่จะได้เจอได้เรียนกับมันที่นี่ อีกตั้งสามปีแน่ะ


              ตลอดเวลาช่วงนี้ ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่านะ ผมแอบชำเลืองมองดูมันบ่อยๆ แล้วผมก็เห็นมันเองก็แอบมองผมอยู่เสมอๆ ไม่ว่าผมจะทำอะไรอยู่ตรงไหน ผมก็ยังเห็นมันแอบมองดูอยู่ไกลๆ ผมก็รู้สึกดีนะ ที่ดูเหมือนว่ามันยังสนใจผมอยู่ ถึงแม้จะไม่ได้คุยกันเลย แต่ยังไงก็ตามที่ ผมก็ยังไม่กล้าจะเดินเข้าไปคุยกับมันอยู่ดี ทั้งๆที่ตอนนี้ผมอึดอัดใจจนจะบ้าตายอยู่แล้ว

Violet_Melon

  • บุคคลทั่วไป
ตอน 39: สอบครั้งสุดท้าย

          และแล้วก็ถึงช่วงการสอบปลายภาค ซึ่งเป็นการสอบครั้งสุดท้าย ในชีวิตการเรียนมอต้นของผม ช่วงนี้เพิ่งจะเป็นปลายเดือนกุมภาฯ อากาศจึงยังหนาวอยู่ โดยปกติแล้วนักเรียนชั้นอื่นๆ จะสอบกันกลางเดือนมีนาคม แต่ชั้นมอสาม กับมอหก จะต้องรีบสอบให้เสร็จก่อนเพราะจะต้องเอาผลการเรียนไปสมัครเรียนที่อื่นต่อ



          ช่วงนี้แลดูทุกคนจะวุ่นวายกันไปหมด ไปที่ไหนก็มีแต่คนคุยกันว่าจะไปเรียนต่อที่ไหน ทำข้อสอบไดหรือเปล่า อย่างที่บอกผมรู้ตัวแล้วล่ะ ว่ายังไงก็ต้องเรียนต่อมอปลายที่นี่ เลยไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าไร ส่วนเรื่องสอบไม่ได้กังวลอะไร ไม่ได้โม้ครับ แต่ในระดับมอต้น ผมสอบได้ที่หนึ่งตลอด ส่วนถ้าเทียบทั้งโรงเรียนก็ติดหนึ่งในสาม ไอ้ตุ๊จะไปสอบเข้าโรงเรียนกีฬา ไอ้อุ้ยจะเรียนต่อที่นี่ก่อน แล้วจะไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร ส่วนไอ้เวอร์นี่ยังไม่รู้ว่ามันจะเอายังไง ช่วงนี้เพื่อนๆก็จะจับกลุ่มกันอ่านหนังสือ พอสอบเสร็จก็เห็นรีบกลับบ้านกันไปอ่านหนังสือ บางคนก็จับกลุ่มติวหนังสือให้กัน แต่ผมไม่ค่อยถนัดติวให้ใคร แล้วก็ไม่ชอบอ่านหนังสือหลายๆคนด้วย ชอบมานั่งอ่านคนเดียวมากกว่า เพราะต้องใช้สมาธิเยอะ จะเพราะอะไรซะอีกล่ะก็เพราะมีเรื่องใครคนนึงวนเวียนอยู่ในหัว เผลอนิดหน่อยเป็นไม่ได้ ต้องใจลอยไปหามันทุกที อย่างวันนี้ผมก็มานั่ง         

          อ่านหนังสืออยู่คนเดียว ใต้ร่มชงโค ที่ปลูกเรียงรายข้างสนามกีฬา(กลางแจ้ง) ที่เลือกที่นี่ก็เพราะเงียบ และคงไม่มีใครมาเล่นกีฬากันในช่วงสอบแบบนี้


          ผมอ่านหนังสือไปได้นานแค่ไหนก็ไม่รู้ (กำลังเข้าสู่โหมดสมาธิ ฮ่า ฮ่า) รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงลูกบาสกระทบกับแป้น หลายต่อหลายครั้ง ดังมาจากสนามกีฬา ก็ได้แต่นึกในใจว่าใครกันวะ มาเล่นบาสตอนนี้ ไม่อ่านหนังสือหนังหากันรึไง ผมเกิดสงสัยขึ้นมา เพราะเสียงฝีเท้าการวิ่งแบบนี้มันคุ้นๆ อดรนทนไม่ได้ผมเลยเดินไปดูที่สนามบาสว่าใช่คนที่ผมคิดไว้หรือเปล่า ..... แล้วก็ใช่จริงๆด้วย เป็นไอ้เวอร์ แลวมันมาทำห่าไรที่นี่ ไม่ไปอ่านหนังสือ ฉลาดนักเหรอ ไม่อ่านหนังสือเนี่ย แล้วจะทำข้อสอบได้ไหม อ่อนทุกวิชา เค้าจับกลุ่มติวกันน่ะ ไม่ไปเข้ากลุ่มกับเค้า หรือจะเอาเกรด 4 พละศึกษา เค้าตัดเกรดไปแล้วเว้ย ผมสังเกตว่ามันเล่นจับลูกยัดห่วง วิ่งอยู่คนเดียว อย่างกับไปเก็บกดอะไรที่ไหนมา อดคิดไม่ได้นะว่าเป็นเพราะตัวผมหรือเปล่า อยากจะเดินเข้าไปหาไปคุย ไปกอดมันนะ ไปถามมันว่าเป็นอะไร ไปให้มันแกล้งก็ยังดี แต่คิดไปคิดมา ไม่เอาดีกว่า ไม่อยากหน้าแตก เพราะหลายครั้งแล้วที่คิดเข้าข้างตัวเองแบบนี้ แล้วต้องหน้าแหกกลับมา ผมเลยเดินหันหลังเลี่ยงมาอีกทาง แล้วไปหาที่อื่นเงียบๆ ที่อื่น เพื่อที่จะได้อ่านหนังสือ....เหรอ เพื่อที่จะได้คิดเรื่องไอ้เวอร์ต่างหาก เจอมันไปแบบนี้ เลยไม่มีสมาธิจะอ่านหนังสือแล้ว หาที่เงียบๆนั่งเหม่อดีกว่า



เป็นตอนสั้นๆ 2 ตอนนะครับ เหลืออีก 3 ตอนก็จะจบแล้ว จะพยายามลงให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้นะครับ

อ่านแล้วก็อย่าลืมคอมเมนต์กันด้วยนะครับ จุ๊ฟๆ

artit

  • บุคคลทั่วไป
ใกล้จะจบแล้ว แต่ยังคลุมเครืออยู่เลย ดูจะมืดมนซะแล้วมั้งคู่นี้ รออ่านต่อ

ออฟไลน์ ujen

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2455
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +183/-13

gay_love

  • บุคคลทั่วไป
 :sad4: :sad4: ไมได้เข้ามาอ่าน เข้ามาอีกที ใครทำนะโม ฉันนนนนน!
มาเป็นกำลังใจต่อน่ะค่ะ... :L2: :L2: :L2:
***เวอร์นี้เยอะ!นะ!

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






Violet_Melon

  • บุคคลทั่วไป
ตอน 40: เสียดาย

        เหลืออีกสองวัน การสอบปลายภาคก็จะเสร็จแล้ว วันนี้เรามีสอบ สังคมศึกษาตอนเช้า กับภาษาอังกฤษตอนบ่าย อาจารย์คุมสอบให้ผมลงไปช่วยยกข้อสอบที่ห้องพักครู ทันทีที่ผมเดินลงมาถึงห้องพักครู ก็เจออาจารย์ที่ปรึกษาเรียกเข้าไปหา

        “นายศุภชัย เธอรู้หรือเปล่าว่านายเฉลิมพล เป็นอะไร”

        “อ่า เป็นอะไรเหรอครับ ผมก็เห็นเค้าปกติดี ไม่ได้ป่วยอะไรนี่ครับ”

        “อาจารย์ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น คือเค้ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า ดูสิเนี่ยคะแนนสอบออกมา 6 วิชา ตกซะครึ่งหนึ่ง วิชาที่ผ่านก็นะ ร่อแร่” โห แล้วงี้ มันจะจบมอสามมั้ยวะเนี่ย คะแนนเก็บมัน ก็ใช่ว่าจะเยอะอะไรมากมาย

        “ผมก็ไม่แน่ในเหมือกันครับ ช่วงนี้ผมก็อ่านๆหนัง ไม่ได้มีเวลาคุยกันเลยครับ”

        “อ้าว เหรอ ช่วยๆดูเพื่อนหน่อยสิ ปกติครูก็เห็นว่าเค้าไม่ได้เรียนแย่อะไร ทำไมตอนนี้คะแนนสอบออกมาเป็นแบบนี้ล่ะ”

        “มีปัญหากับทางบ้านหรือเปล่าครับ อาจารย์”

        “ไม่น่าใช่นะ ครูเพิ่งเจอกับอาจารย์เยาว(แม่ไอ้เวอร์) ก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาทางบ้านอะไร แล้วแบบนี้จะเอาคะแนนที่ไหนไปสมัครเรียนต่อที่อื่นได้ล่ะ” เรียนต่อที่อื่น?!? อะไรยังไง

        “แล้วเพื่อนคนอื่นละ มีใครรู้ไหม เอางี้เธอไปตามนาย วีระพงษ์ 2 คนนั่นมาหาครูที (ไอ้ตุ๊ กับ ไอ้อุ้ยครับ ชื่อเหมือนกัน แต่ขนาดตัวต่างกัน ราวยีราฟกับมด)”

        “ครับ” ผมเดินออกมา ก็คิดแต่เรื่องมันตลอดทาง ว่ามันจะอะไรนักหนา ไม่รักอนาคตตัวเองเลยหรือไง เรื่องผู้หญิงเรื่องอะไร ก็น่าจะเอาไว้ก่อน ตอนนี้ต้องตั้งใจสอบก่อนสิ เรื่องอื่นๆค่อยว่ากัน ผมคิดเรื่องมันจนเพลิน จนเกือบจะเดินชนกับไอ้เวอร์ที่เดินสวนมาเข้า ผมกับมันสบตากัน มันดูโทรมลงไปเยอะเลย ขอบตาเขียวเชียว เหมือนคนไม่ได้นอน แววตามันดูหงอยๆยังไงก็ไม่รู้ ไอ้โมเห็นแล้วใจหายวาบเลยจริงๆ

        “เดี๋ยวช่วย” มันพูด ส่วนตัวผมเองก็ไม่อยากอึดอัดต่อไป ตลอดสามเดือนที่ผ่านมาไม่ได้คุยกันเลย นี่เป็นคำพูดแรกที่มันพูดกับผม ผมก็ยื่นซองข้อสอบให้มันถือโดยดี มันเดินนำไปห้องสอบก่อน เป็นเวลาเดียวกับที่ไอ้ตุ๊กับไอ้อุ้ยเดินมาพอดี

        “เออ ตุ๊ อุ้ย อาจารย์เก้เรียกใหไปหาแน่ะ ทีห้องพักครู”

        “เดี๋ยวนี้เลยเหรอ”

        “อื้อ” ไอ้ตุ๊หน้าระรื่นเชียว อดไม่ได้เลยซัดมันไปหนึ่งโป๊ก! โดนอาจารย์ตอกหน้ากลับมา ยังไม่เข็ด

        “โอ๊ย! เชี่ย เจ็บนะเนี่ย หึงกุหราาาาาาาา” มันทำหน้าทะเล้น แล้วยื่นหน้ามาหาผม จมูกเฉียดแก้มผมไปนิดเดียว เพราะผมหลบทั้น

        “หึงพ่อมิงเส่ รีบไปเลยเมิงงง”

        “ฮ่า ฮ่า” ไอ้ตุ๊หัวเราะร่วน แล้วเดินนำไอ้อุ้ยไปห้องพักครู

พอมันสองคนกลับมาก็เห็นมันมาเรียกไอ้เวอร์ให้ลงไปพบอาจารย์บ้าง โห เรียกพบทุกคนเลยนี่หว่าเนี่ย มันหายไปประมาณสิบนาทีก็กลับมาทันสอบสังคมพอดี แต่รอบนี้เห็นมันดูเอาจริงเอาจังกับการทำข้อสอบมาก ผมเห็นแล้วก็รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก พอสอบเสร็จผมก็ช่วยอาจารย์ยกข้อสอบกลับมาที่ห้องพักครูอีกรอบ พอดีกับที่อาจารย์ที่ปรึกษาผมลงมาจากคุมสอบพอดีก็ได้เรียกผมเข้าไปหาอีกรอบ

        “เธอไม่รู้จริงๆเหรอว่านายเฉลิมพลเค้าเป็นอะไร”

        “ไม่รู้ครับ”

        “ตะกี้ครูคุยกับนายเฉลิมพล เค้าบอกว่า หลังจากเรียนจบจากที่นี่แล้ว แม่เค้าจะให้ไปเรียนต่อที่โรงเรียนจังหวัดระยอง” ผมใจหายวาบ ระยอง ไปเรียนทำไมที่ระยอง เท่าที่ผมทราบมา มันเกิดที่กำแพงเพชรนี่ พอกับแม่มันก็เป็นคนที่นี่ ญาติๆก็อยู่ที่กำแพงเพชรหมด แล้วทำไมมันต้องไปเรียนซะไกล แล้วมันจะไปเมื่อไร แล้วผมจะได้เจอกับมันอีกมั้ย คำถามมากมาย ยิงเข้ามาในหัวผมเต็มไปหมดทันที แต่ก่อนที่ผมจะฟุ้งซ่านมากไปกว่านี้

        “อาจารย์เยาว(แม่ไอ้เวอร์) ท่านสอบได้เป็น ผอ. ที่โรงเรียนในจังหวัดระยอง เพื่อความก้าวหน้าของแม่เค้า และตัวนายพาวเวอร์เอง เค้าก็ต้องไป”

        “แล้วไปกันหมดเลยเหรอครับ เห็นน้องไอ้เวอร์ก็เรียนอยู่ป.4 ที่โรงเรียนที่แม่มันสอนด้วยนี่ครับ แล้วจะทำยังไง”

        “ก็ย้ายไปหมดน่ะแหละ ตะกี้อาจารย์ก็เพิ่งได้คุยกับนายเฉลิมพล เค้าก็บอกเค้าไม่อยากไปเลย เค้าอยากอยู่ที่นี่ อยากเรียนต่อที่นี่”

        “ก็อยู่ก็ได้นี่ครับ หอพักโรงเรียนก็มี”

        “เค้าก็ว่าอย่างนั้น แต่แม่เค้าก็ห่วงสิ อยากให้ไปอยู่ด้วยกัน นายเฉลิมพล ก็ขัดแม่ไม่ได้ อาจารย์เยาวท่านก็พยายามมามาก กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้”
       ผมพอจะเดาเหตุผลจริงๆของแม่ไอ้เวอร์ออกแหละ ว่าทำไมท่านอยากจะไปจากที่นี่ เหตุผลนึงก็คงเพราะพ่อไอ้เวอร์ แม่ว่าพ่อของมันจะเสียไปเป็นสิบปีแล้ว แต่แม่มันก็ไม่ได้คิดจะแต่งงานใหม่เลย คงจะยังลืมพ่อไอ้เวอร์ไม่ได้ โดยเฉพาะแม่มัน ทั้งสาวทั้งสวย ขนาดนั้น จะหาแฟนใหม่เป็นเรื่องง่ายนิดเดียว แม่มันก็คงอยากจะลืมเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นที่นี่ ไปเริ่มชีวิตใหม่ ออกจากที่เดิมๆ จะได้ลืมเรื่องร้ายๆได้เร็วขึ้น ณ จุดนี้ผมก็เดาว่าไอ้เวอร์ก็คงจะเข้าใจแม่มัน ว่าทำไมท่านถึงอยากไปจากที่นี่นัก เพราะถ้ามันยืนกรานคำเดียวว่าจะอยู่ที่นี่ จะเรียนที่นี่ แม่มันก็คงตามใจมัน แต่มันก็ไม่ทำ คงเพราะมันรักแม่มาก ....
      ... แล้วผมล่ะ มันจะคิดบ้างไหมนะ ว่าผมจะอยู่อย่างไร ผมจะอยู่โดยไม่มีมันได้ไหม จะมีเรื่องของผมอยู่ในหัวมันบ้างหรือเปล่า ผมหวนคิดไปถึงคราวที่มันบอกรักผม มันเป็นความจริงเหรอ มันรักผมจริงๆเหรอ ถ้ามันรักผมจริงแล้วมันจะทิ้งผมไปแบบนี้น่ะเหรอ แต่ก็นั่นแหละ นึกไปนึกมาก็รู้สึกสมน้ำหน้าตัวเอง ทั้งๆที่มันบอกรักผมตั้งหลายครั้งแล้ว ตัวผมเองกลับไปเคยจะยอมรับ ตัวผมเองกลับไม่เคยจะบอกว่าผมรู้สึกอย่างไรกับมัน ยิ่งไปกว่านั้นหลายต่อหลายครั้งที่ผมกลับพูดจาทำร้ายจิตใจมัน ผมคิดไปน้ำตาก็จะไหล รู้สึกเจ็บแปลบๆที่อกข้างซ้าย จนต้องเงยหน้าขึ้นกลืนน้ำตาให้มันไหลกลับเข้าไป

        “อีกเรื่องนึง ครูเห็นว่าเธอสองคนน่ะสนิทกันมาก มีอะไรก็ควรจะคุยกันให้เรียบร้อย เดี๋ยวก็จะไม่ได้เจอกันแล้ว เธอสองคนน่ะยังเด็ก ไม่รู้หรอกว่าเรื่องที่ดูเหมือนเล็กน้อยในวันนี้ ในอนาคตอาจจะมีผลอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของเธอ เป็นเพื่อนกันเธอก็ต้องให้อภัยกันสิ เธอก็รู้นี่ว่านาย เฉลิมพล ก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร” อาจารย์คงรู้เรื่องที่ผมกับไอ้เวอร์ไม่คุยกันจากไอ้อุ้ย กับไอ้ตุ๊แหละ

        “ส่วนตัวเธอเอง ครูก็อยากให้ลดธิฐิลงบ้าง ไม่ใช่เฉพาะกับเรื่องนี้เรื่องเดียว กับเรื่องทุกเรื่องน่ะแหละ อย่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่มีใครจะทำอะไรถูกใจเราไปซะทุกอย่างหรอก ในทางตรงกันข้าม ก็ใช่ว่าเราจะสามารถทำอะไรให้ถูกใจคนอื่นๆไปได้ซะหมด”

        “ครูไม่อยากให้นิสัยไม่ยอมแพ้ใครของเธอ ติดตัวเธอไปในอนาคตหรอกนะ มันจะเป็นปัญหาต่อการใช้ชีวิตของเธอได้ การขอโทษก่อนน่ะไม่ใช่เรื่องที่ต้องน่าอาย หรือเสียศักดิ์ศรีอะไร ตรงกันข้ามมันแสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน ใครเห็นก็เอ็นดู เราสามารถขอโทษได้ก่อนไม่ว่าเราจะผิดหรือไม่ก็ตาม” ผมน้ำตารื้นเลยครับ ทั้งเรื่องที่อาจารย์อบรม แล้วก็เรื่องที่ไอ้เวอร์จะไปอยู่ระยอง ผมก้มหน้าลงไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้อีกต่อไปได้ ปล่อยให้น้ำตามันไหลหยดลงพื้น

         หลังจากคุยกันเสร็จผมก็เดิน เคว้งออกมาจากห้องอาหาร เหมือนหัวใจมันหวิวๆ เหมือนหลุดลอยออกไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ ไม่มีสติใดๆ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เดินมาหยุดหน้าห้อง คหกรรมแล้ว มองไปไม่เห็นมีใครอยู่ ผมจึงเปิดประตูเดินเข้าไป พอได้อยู่คนเดียวน้ำตามันก็ไหลพรากๆ ออกมาอย่างสุดกลั้น นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย ทรมานมันโดยการไม่พูด ไม่คุย ไม่เจอหน้ามันน่ะเหรอ ผมทำเหรอ ผมทรมานมันเหรอ แต่ทำไม ทำไม ผมถึงได้รู้สึกเจ็บอย่างนี้ เหมือนผมกำลังทำร้ายตัวเองอยู่ ความเจ็บที่คิดว่ามันจะเป็นฝ่ายได้รับ กลับสะท้อนกลับมาหาผมเป็นสิบเป็นร้อยเท่า ทำไมผมโง่อย่างนี้นะ ช่วงที่มันต้องเผชิญกับเรื่องต่างๆมากมายขนาดนี้ ผมกลับเอาเรื่องไร้สาระของผมไปเพิ่มให้มันต้องทุกข์ใจหนักขึ้นไปอีก ผมนี่มันเลวจริงๆ ทั้งเลวทั้งโง่อย่างไม่น่าให้อภัย ผมอยู่ในนั้นได้ไม่นานนักก็ต้องออกมา เพราะเลยช่วงเที่ยงมากว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว ได้ยินเสียงคนหลายคนกำลังเดินตรงมาทางนี้ ผมเลยแอบไปหลบมุมใต้ร่มชงโค จนเผลอหลับไป ตื่นมาอีกทีก็ได้ยินเสียงออดดัง เป็นการบอกเวลาว่าได้เวลาเข้าห้องสอบภาษาอังกฤษแล้ว

        ผมเดินไปห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา พอได้โดนน้ำเย็นๆก็ค่อยรู้สึกดีขึ้น กว่าจะเดินมาถึงห้องสอบก็เห็นว่า ทุกคนเข้าห้องสอบกันครบและอาจารย์แจกข้อสอบเสร็จแล้ว ผมเดินอ้อมเข้าด้านหลังห้อง ผ่านด้านหลังไอ้เวอร์ ผมนั่งถัดจากมันไปสองแถว ตอนผมนั่งลงก็แอบชำเลืองไปมองมันเห็นมันกำลังพลิกข้อสอบไปมา เอามือเกาหัว (อย่างที่เคยบอกว่า ไอ้เวอร์ ไอ้ตุ๊ ไอ้อุ้ย อ่อนภาษาอังกฤษมาก แต่จะเก่งคณิตศาสตร์กัน) ผมเห็นทุกคนเริ่มลงมือทำข้อสอบกันแล้ว ผมเองสูดหายใจลึกๆ สองสามครั้ง เพื่อทำสมาธิ พยายามเอาเรื่องราวต่างๆออกจากหัวให้หมด แล้วเริ่มทำข้อสอบ

         เวลาผ่านไปได้ราวสัก 15 นาทีได้ สำหรับผมข้อสอบไม่ได้ยากอย่างที่คิด แต่สำหรับเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆกว่าครึ่ง คงโหดหิน มิใช่น้อยแต่ละคนเกาหัวแกรกๆ พลิกข้อสอบกันไปมา เพื่อจะหาข้อง่ายๆ ทำก่อน แต่ว่าข้อง่ายมันคงไม่ค่อยมี จึงเห็นว่าคนอื่นๆ ได้แต่พลิกข้อสอบกันซ้ำไปซ้ำมา ผมเหลือบไปมองทาวไอ้เวอร์ (ผมนั่งเยื้องด้านหลังมัน ถัดมา 2 แถว) เห็นในกระดาษคำตอบ ยังทำได้ไม่ถึง 5 ข้อ (จาก 40 ข้อ) แล้วจึงได้สังเกตว่า มันไม่ได้เอาดิคชันนารีมา วันนี้อาจารย์ให้นำดิคชันนารีมาด้วย เพราะข้อสอบส่วนใหญ่เป็นข้อสอบอ่าน แล้วให้ตอบคำถาม หากใครไม่มีดิคชันนารีมาด้วยล่ะก็ ข้อสอบจะเข้าขั้นโหดหินมากๆ โดยเฉพาะคนที่อ่อนภาษาอังกฤษแบบมัน สอบตกแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย ผมเห็นสภาพมันจากการที่พลิกข้อสอบไปมาแบบนั้น บวกกับกระดาษคำตอบทำได้ไม่ถึง 5 ข้อ สุดท้ายผมก็ตัดสินใจทำบางอย่าง

        “อาจารย์ครับ ขอนุญาตครับ”ผมลุกขึ้นยืน เห็นมีเพื่อนๆหันกลับมามองกับแว่บนึง แล้วก็ก้มหน้าก้มตาทำข้อสอบต่อไป

        “มีอะไรนายศุภชัย”

        “คือข้อสอบของผมไม่ชัดน่ะครับ ผมข้อเปลี่ยนข้อสอบหน่อยนะครับ”

        “เดินมาหยิบด้านหน้า”  อาจารย์บอก พร้อมกับที่ผมเดินเอาข้อสอบไปเปลี่ยนด้านหน้า และไม่ลืมที่จะหยิบบางอย่างในมือติดมาด้วย ตอนเดินกลับผมจงใจเดินผ่านหน้าโต๊ะไอ้เวอร์ พร้อมกับวางดิคชันนารี่ที่ถืออยู่ในมือบนโต๊ะมัน มันเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม ผมพยักหน้าบอกให้มันเอาไปสิ มันทำหน้างง ผมพยักหน้าให้มันเอาไปพร้อมกับเดินกลับมาที่โต๊ะนั่งทำข้อสอบ ตอนผมกลับมานั่งที่โต๊ะ เห็นว่ามันมองมา แล้วยิ้มไห้ ผมก็ยักคิ้วกลับไป แล้วนั่งทำข้อสอบจนเสร็จ


        สุดท้าย ถึงแม้ว่าผมจะไม่มีดิคชันนารี่ ผมก็ยังทำข้อสอบเสร็จก่อนคนอื่นๆอยู่ดี(ไม่อยากจะโม้ว่าได้ท็อปด้วยล่ะ ฮ่า ฮ่า) ผมทำเสร็จก็ออกมาก่อน เหลือเวลาตั้งอีกเกือบชั่วโมงก่อนที่จะหมดเวลา ผมนั่งทำทีว่าอ่านหนังสือภาษาไทยอยู่หน้าห้องสอบ(พรุ่งนี้สอบภาษาไทยเป็นวิชาสุดท้าย) และเพื่อนั่งรอไอ้อุ้ยกับไอ้ตุ๊ไปพลางๆ แต่ในใจจริงๆผมอยากเจอไอ้เวอร์ต่างหาก อยากคุยกับมัน แต่ผมนั่งอยู่ได้ไม่นานก็เป็นเวลาเดียวกับที่อาจารย์สอนภาษาอังกฤษเดินผ่านมาพอดี(แกคงเดินมาดูลาดเลา วิชาสอบของแกเอง)

        “เป็นไงบ้างนาย ศุภชัย ทำเสร็จคนแรกเลยนะ”

        “อ่า ครับ แหะๆ”

        “ข้อสอบครูง่ายไปเหรอ คราวหลังต้องออกไห้ยากๆกว้านี้หน่อย” ง่ายกับผีอะไรล่ะ ‘จารย์ โหดมหาหินเลยล่ะ แต่ผมมันอัจฉริยะ ยากแค่ไหนก็ บ่ ยั่น ฮ่า ฮ่า (อันนี้คิดในใจ)

        “อาจารย์กลับห้องพักครูเหรอครับ”

        “ป่าว เดี๋ยวจะกลับบ้านพักครูน่ะ เธอช่วยถือของไปให้ครูหน่อยสิ ลงไปเอากระเป๋าที่ห้องพักครู ไปที่บ้านพักนะ”

        “อ่า ครับผม” ขัดไม่ได้ เดี๋ยวอดเกรดสี่ ทั้งที่ใจจริงๆอยากรอเจอไอ้เวอร์มันก่อน

        บ้านพักครูก็จะอยู่ด้านหลังของโรงเรียนครับ ห่างพอสมควรไปกลับรหว่างอาคารเรียนก็ราวๆ 15-20 นาที ผมเดินลงมาด้านล่างก็เห็นว่าอาจารย์เก้คุยกับแม่ไอ้เวอร์อยู่ สงสัยจะรีบมารับไอ้เวอร์กลับบ้าน ผมยกมือไหว้ทั้งสองคน แล้วก็ถือกระเป๋าไปที่บ้านพักอาจารย์ แต่กว่าเดินไปห้องพักครู ไปบ้านพักอาจารย์ กลับมาที่ห้องสอบ ก็เห็นว่าทุกคนออกมาจากห้องสอบเกือบหมดแล้ว ผมเห็นไอ้อุ้ยยังอยู่หน้าห้องสอบ ก็เดินไปหามัน

        “ไอ้ตุ๊ล่ะ” จริงๆอยากถามหาไอ้เวอร์ต่างหาก

        “ไปเฝ้าอาจารย์เก้เหมือนเดิม” ไม่กลับไปอ่านหนังสือรึงาย ถึงเป็นภาษาไทย ก็ไม่ใช่ง่ายๆนะว้อย

        “แล้ว...”ยังไม่ทันจะได้ถาม ไอ้อุ้ยก็ยื่นดิคชั่นนารี่ของผมคืนมาให้

        “ไอ้เวอร์ฝากคืนมึง เห็นมันมาถามหามึงอยู่ แต่ตอนนี้มันกลับไปแล้ว แม่มันมารับ เห็นว่าต้องรีบไปธุระนครสวรรค์ (ผมมารู้ทีหลังว่า รีบไปเพื่อจะไปเอาประวัติการรักษาพยาบาลของมันน่ะเอง)” ไอ้อุ้ยสาธยายซะยาวเดียว ราวกับว่ารู้ว่าผมจะถามอะไร

        “อือ ขอบใจ งั้นกูกลับละ” ผมซึมทันที อุตส่าห์ว่าจะได้คุยกับไอ้เวอร์แล้วเชียว เฮ้อ...

        “อ้าว ไม่รอไอ้ตุ๊เหรอ”

        “ไม่อ่ะ กุจะรีบกลับไปอ่านหนังสือ”

        “อ้าว เออ งั้นกุกลับด้วย” จริงๆบ้านไอ้อุ้ยมันอยู่ตรงข้ามกับโรงเรียนนี่เอง แต่มันเห็นสภาพผมแล้ว มันก็คงอยากอยู่เป็นเพื่อน ตอนเดินออกมาหน้าโรงเรียนมันก็พยายามชวนคุย พยายามทำให้ผมหัวเราะ แต่ ณ ตอนนั้นมันขุดไม่ขึ้นจริงๆ ผมได้แต่ยิ้มๆกับมัน

Violet_Melon

  • บุคคลทั่วไป
ตอน 41/1: โอกาสสุดท้าย


          วันนั้นกลับมาถึงบ้าน สรุปว่าผมไม่ได้อ่านหนังสือเลย ได้แต่นั่งซึม น้ำไตไหล คิดทบทวนเรื่องราวต่างๆนาๆ ที่ผ่านมา นึกโทษตัวเอง นึกโทษในความทิฐิของตัวเอง จริงๆผมรู้มาตั้งนานแล้วว่าผมรู้สึกอย่างไรกับมัน แต่ผมกลับไม่ยอมรับตัวเองซะที ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งๆที่ทุกอย่างมันชัดเจนขนาดนั้น


          ตัวมันเองก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่ามันคิดอย่างไรกับผม คงไม่มีคนบ้าที่ไหนหรอก จะเข้ามากอด มาหอม คนที่ตัวเองไม่ได้รัก ในตอนนั้นผมกลับโง่ ที่จะคิดไปว่า มันทำแบบนั้นเพราะต้องการแกล้งให้ผมอายต่างหาก และในหลายครั้งที่มันบอกผมว่ามันรักผม ผมกลับไม่เชื่อ คิดว่ามันพูดไปอย่างนั้น ไม่ได้จริงจังอะไร ผมกลับไม่เคยจะฉุกคิดเลยว่า สิ่งที่มันพูด มันทำเหล่านั้น ได้แสดงถึงความรู้สึกที่มันมีกับผมจริงๆ แล้วตัวผมล่ะ ผมได้ทำอะไรเพื่อที่จะแสดงความรู้สึกที่ผมมีต่อมันบ้าง มีแต่ทำร้ายจิตใจมัน ไม่ว่าคำพูด หรือการกระทำ ผมหลอกมัน หลอกตัวเอง ว่าจริงๆแล้วผมไม่ได้รักมัน ผมทำตรงกันข้ามกับความรู้สึก เพียงเพราะความคิดโง่ๆ เพราะทิฐิที่จะเอาชนะ ทิฐิที่ทำให้ตาผมมืดบอด จนมองไม่เห็นความรักที่มันมีให้กับผม



          คืนนั้นทั้งคืน ผมนอนคิด ว่าจะทำอย่างไรดี ถ้าพรุ่งนี้ผมบอกรักมัน ผมขอร้องให้มันอยู่ต่อ ขอร้องให้มันเรียนต่อที่นี่ มันจะยอมทำตามที่ผมขอไหมนะ มันจะยังทันอยู่หรือเปล่าถ้าพรุ่งนี้ผมบอกรักมัน มันจะยอมฟังคำข้อร้องของผมไหมน่ะ ตลอดเวลาที่เรียนที่นี่ ผมยอมรับเลยว่า มันเป็นคนเดียวที่ทำให้ผมอยากมาโรงเรียนทุกวัน เป็นคนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกว่าช่วงเวลาปิดเทอมแต่ละครั้งทำไมมันนานอย่างนี้ นานเสียจนไม่อยากให้มีวันปิดเทอม ไม่อยากให้มีแม้กระทั่งวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ ผมอยากมาโรงเรียนทุกวัน มาเพื่อที่จะได้เห็นหน้ามัน ได้ทะเลาะกับมัน ได้โดนมันแกล้งก็ยังดี ผมกล้าพูดได้เลยว่า จากวันที่ผมเกิด จนถึงปัจจุบันของผม ช่วงการเรียนมอต้น ช่วงที่ผมได้อยู่กับไอ้เวอร์  มันเป็นช่วงที่ผมมีความสุขที่สุดในชีวิต เป็นช่วงความทรงจำที่มีความหมายที่สุด


          ในที่สุดผมก็ตัดสินใจได้ ยังไงๆ พรุ่งนี้ผมต้องบอกมันให้ได้ว่าผมรักมัน ผมจะขอให้มันอยู่และเรียนที่นี่ต่อ จนจบมอปลาย ผมมั่นใจว่ามันจะต้องทำตามที่ผมขอ เพราะมันรักผม มันบอกว่ามันรักผม ต่อไปนี้ผมจะเชื่อที่มันพูดทั้งอย่าง เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้ ได้โปรด ได้โปรดให้มันเชื่อ และทำตามที่ผมขอร้องด้วยเถอะ


...


...



...


TBC

gay_love

  • บุคคลทั่วไป
 :กอด1:
มารอค่ะ เป็นกำลังใจค่ะ :L2:

ออฟไลน์ MoMoRin

  • I am Fujoshi! (・∀≦)ゞ
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-2

Violet_Melon

  • บุคคลทั่วไป
ตอน 41/2: โอกาสสุดท้าย

             เมื่อคืนผมนอนไม่หลับทั้งคืน มาได้หลับนิดหน่อยก็เกือบจะสว่างแล้ว นอนไปได้ 2-3 ชั่วโมง นาฬิกาปลุกก็ดัง ผมรีบลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินออกไปรอรถรับส่งนักเรียน

             โดยปกติแล้วถ้าเป็นวันสอบ จะไม่ต้องเข้าแถวเคารพธงชาติ แต่เนื่องจากมีแค่ มอสาม กับมอหก เท่านั้นที่เพิ่งจะสอบปลายภาค ทำให้วันนี้ยังต้องเข้าแถวเคารพธงชาติอยู่ ผมมองหามันแต่ก็ไม่เห็นไอ้เวอร์มันจะมาเข้าแถว จนกระทั่งอาจารย์ปล่อยเดินขึ้นห้อง จึงเห็นว่าแม่มันขับรถเข้ามาส่งมันที่ด้านหน้าอาคารเรียน ผมก็ค่อยโล่งใจ หลังจากนั้นผมก็เห็นแม่มันเดินขึ้นไปที่ห้องพักครู


             ข้อสอบภาษาไทยวันนี้ มีทั้งข้อสอบอ่าน และข้อสอบเขียน ซึ่งมีการเขียนเรียงความด้วย(เกลียดมากกกกกกกก) ให้เก่งแค่ไหน มาเจอข้อสอบภาษาไทยละก็ จอดสนิท ผมก็ทำไปเรื่อยๆ แอบหันมามองไอ้เวอร์มันอยู่เป็นระยะๆ  เห็นมันตั้งอกตั้งใจทำมาก แล้วผมก็หันกลับมาทำข้อสอบตัวเองบ้าง ทำจนเพลินรู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงอาจารย์ก็ปรากาศว่า เหลืออีก 5 นาทีจะหมดเวลา ให้นักเรียนตรวจทานข้อสอบให้เรียบร้อย นี่ผมทำข้อสอบจนเพลินไปเลยเหรอเนี่ย ดูนาฬิกาที่ข้อมือก็เกือบจะเที่ยงแล้ว ผมหันไปดูรอบๆก็เห็นว่าเหลือเพื่อนๆอยู่ในห้องอีกอยู่ไม่กี่สิบคน หันมาดูด้านข้าง ก็ไม่เห็นไอ้เวอร์แล้ว ผมจึงรีบเก็บข้อสอบ แล้วเดินเอาไปส่งอาจารย์ แล้วจึงรีบวิ่งลงมาข้างล่าง


             ผมพยายามเดินหาไอ้เวอร์จนทั่ว มันไปอยู่ไหนนะ ไปดูที่ห้องพักครูก็ไม่มี หน้าห้องสอบก็ไม่มีใครอยู่แล้ว ตอนนี้ก็หมดเวลาสอบแล้ว และก็พักเที่ยงแล้ว คนเริ่มเยอะขึ้น ผมกระวนกระวายใจมาก เดินหามันไปทั่ว จนผมเดินมาเจอไอ้อุ้ยกับไอ้ตุ๊


             “มึงเห็นไอ้เวอร์หรือเปล่า กูออกจากห้องสอบมาไม่เห็นมันเลย มีเรื่องจะคุยกับมัน”


             “โม...” ไอ้ตุ๊เรียกชื่อผม มันทำหน้าเศร้า เอื้อมมือมาจับไหล่ผม


             “ไอ้เวอร์... ไอ้เวอร์มันไปแล้ว”


             .


             .


             .


             .


             .


             .


             .


             .


             .


             .


             .


             .


             ตอนที่ผมได้ยินนั้น หัวของผมว่างเปล่า ได้ยินแค่เสียงวิ้ง....อยู่ในหัว สติผมหลุดลอยออกไปไหนแล้วไม่รู้ ถ้าคนที่ตายแล้วหัวใจจะหยุดเต้น ผมก็คงได้ตายไปแล้ว เพราะผมไม่ได้ยินเสียงใดๆอีกแล้ว ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวใจของตัวเองเต้น ใช่แล้วจะได้ยินเสียงหัวใจเต้นได้อย่างไร หัวใจผมมันไม่มีอีกต่อไปแล้ว หัวใจของผมได้หายไปแล้ว หายไปพร้อมกับไอ้เวอร์ หายไปเพราะผมไม่เคยใส่ใจดูและมันให้ดี ไม่เคยให้ความรัก ความถนุถนอมไดๆกับมัน ภาพความหลังของผมกับมัน ผุดขึ้นมาในหัวมากมาย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับการฉายหนังเรื่องเดิมซ้ำๆ หลายพันหลายหมื่นครั้งในหนึ่งวินาที


             ผมไม่รู้ว่าไอ้ตุ๊ กับไอ้อุ้ย พูดอะไรกับผมอีก ผมเห็นแค่ปากมันขยับ แต่ไม่ได้ยินเสียงออกจากปากมัน ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวหยุดนิ่งราวกับว่ามีเพียงผมคนเดียวที่เคลื่อนไหวอยู่ ราวกับว่ามีผมคนเดียวที่จะได้รับรู้ความเจ็บปวดนี้ ราวกับว่าจะให้ผมจดจำวินาทีนี้ไปจนตาย ใช่แล้วตาย เค้าบอกว่าคนที่กำลังไกล้จะตาย จะมองเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างช้าลง แต่เวลาภายในจิตใจจะเดินเร็วกว่าเวลาภายนอก หลายร้อยหลายพันเท่า ภาพเก่าๆจะผุดขึ้นมาในหัว ให้เราได้ระลึกถึงคุณงามความดีก่อนจะตาย คนที่ระลึกถึงคุณงามความดีก่อนตายก็จะได้ไปจุติในภพภูมิที่ดี คนที่ละลึกถึงแต่สิ่งเลวร้ายก็จะต้องตกนรก หรือไปอยู่ในภพภูมิที่ต่ำกว่า


             ผมก็คงเหมือนกัน ต่อจากนี้ไปถึงจะไม่ได้ตกนรกเสียทีเดียว แต่ก็คงจะไม่มีวันเวลาไหน ที่ผมจะมีความสุขได้อีกต่อไปแล้ว คงไม่มีวันเวลาไหนที่ผมจะสามารถยิ้มได้ หัวเราะได้อีกต่อไปแล้ว คนที่ไม่มีหัวใจ มันจะยิ้มได้ จะหัวเราะ จะมีความสุขได้อย่างไร


             ผมเดินหันหลังให้สองคนนั้นมา ไม่ได้ยินแม้เสียงเรียกที่มันสองคนเรียก ผมเดินจากโรงเรียนกลับมาบ้าน(รถรับส่ง จะมาตอนเย็น ตอนนั้นเพิ่งเที่ยง) ไม่รู้สึกถึงความร้อนจากแสงอาทิตย์ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามาถึงบ้านได้อย่างไร (ระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร) ขึ้นห้องไปได้ผมก็ปิดประตูทันที ผมก็นั่งลงทรุดตัวลงหน้าประตู น้ำตาพรั่งพรูออกมาราวกับว่า รู้สึกเหมือนกับว่าวันนี้น้ำตาคงไหลออกจากตัวผมจนหมดเป็นแน่ ภาพเก่าๆผุดขึ้นมาในหัวผมอีกครั้ง ภาพที่ผมเคยหัวเราะ เคยร้องไห้ ภาพที่มันเคยกอดผมไว้ ภาพที่มันจูบผม ภาพวันแรกที่ผมได้เจอกับมัน ภาพเหล่านั้นมันผุดขึ้นมามากมาย ผมไม่อาจหยุดคิดถึงมันได้ แต่จะโทษใครได้เล่า เป็นเพราะตัวผมเอง เป็นเพราะความทิฐิ เป็นเพราะความโง่ของผมเองที่ทำให้มันต้องจากผมไปแบบนี้ ทำให้ผมต้องเจ็บปางตายแบบนี้ ผมปล่อยโฮออกมา อย่างที่ไม่กลัวว่าจะมีใครมาได้ยิน ถ้าผมไม่ร้องออกมาแบบนี้ ผมคงต้องตายจริงๆ อึดอัดมันทรมานมากๆ ไม่เคยทรมานขนาดนี้มาก่อนเลยในชิวิต ถ้าวันนึงต้องเล่าเรื่องประสบการณ์เฉียดตายในชีวิต ผมคิดว่านี่แหละคือประสบการณ์เฉียดตายของผม


             นึกสมเพชตัวเองที่เคยประกาศต่อหน้ามัน “ว่าผมไม่มีวันเสียน้ำตาให้คนอย่างมัน” แล้วนี่มันเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วเล่าที่ผมต้องเสียน้ำตาให้มัน


            “ก็แค่บอกว่ารัก มันยากนักเหรอ” ใช่ ก็แค่บอกว่ารัก มันจะยากอะไรนักหนา ผมนึกโกรธตัวเอง ที่ปากหนักไม่ยอมบอกมันสักทีว่าผมเองก็รักมัน นึกเกลียดตัวเองที่ผมไม่เคยยอมรับตัวเองว่าผมรักมันมาตั้งนานแล้ว ใช่ผมรักไอ้เวอร์มาตั้งนานแล้ว แต่ผมไม่เคยจะยอมรับตัวเอง ผมเอาแต่วิ่งหนีใจตัวเอง จนมาถึงวันนี้ที่ดูเหมือนว่าทุกสิ่งมันคงจะสายไปเสียแล้ว


             ไอ้เวอร์ ...ไอ้เวอร์มันทิ้งผมไปแล้วจริงๆ  ผมยังไม่ทันได้บอกความในใจของผมให่มันได้รู้เลย อย่างน้อยได้โปรด ได้โปรดให้ผมได้บอกมัน บอกมันว่าผมรักมัน ถ้ามันจะต้องจากผมไปจริงๆ ของให้ผมได้บอกรักก่อน หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรผมก็จะยอมรับได้ทุกอย่าง ไม่ใช่ให้มันทิ้งผมไปแบบนี้ น้ำตาของผมไหลออกมาไม่ขาดสาย มือผมก็กุมหน้าอกไว้ รู้สึกเจ็บหัวใจ เจ็บเหมือนมีใครกำลังเอามือมาบีบขยำหัวใจผมอยู่ มันอึดอัดเหมือนจะระเบิดออกมา ผมร้องไห้จนหลับคาประตูอยู่ตรงนั้น รู้ตัวอีกที่ก็ได้ยินแม่มาเคาะประตูให้ลงไปกินข้าว ผมล้างหน้าล้างตาแล้วก็เดินลงมหาแม่ข้างล่าง


             แม่เห็นผมเข้าก็ตกใจมากว่าไปทำอะไรมา ตาถึงได้บวมแดงขนาดนั้น จะพาไปหาหมอ ผมก็ได้แต่บอกไปว่านอนดึกน่ะ อ่านหนังสือมาก เดี๋ยวพักผ่อนก็หาย


             แล้วผมก็คิดอะไรบางอย่างออก ถ้าขืนผมยังอยู่ที่นี่ต่อมีหวังผมได้เป็นบ้า หรือไม่ก็คงได้คิดสั้นอะไรไปเป็นแน่


             “แม่ พรุ่งนี้เดี๋ยวหนูว่าจะไปอยู่กับแป๋ว(พี่สาวผม) ที่โคราชซักพักนะ”


             “หือ จะไปพรุ่งนี้เลยเหรอ แล้วโทรบอกพี่เค้ารึยัง แล้วไม่ต้องไปสมัครเรียนก่อนเหรอ หรือว่ายังไง หรือจะไม่เรียนต่อแล้ว”


             “ไม่รู้แม่ นี่ก็ว่าจะลองหางานทำเลย ถ้าได้งานดีก็อาจจะไม่เรียนแล้ว”


             “เอ้า จะเอายังไงก็ ... ตามใจ คิดให้ดีๆแล้วกัน”


             สรุปว่า ผมตัดสินใจไปอยู่โคราช เพราะอย่างที่บอก ถ้าขืนผมยังอยู่ที่นี่ต่อไปผมคงเป็นบ้า ไม่ก็คงฆ่าตัวตายไปซะก่อน ไปอยู่ไกลๆ หางานทำไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน เรื่องเรียนต่อค่อยว่ากันอีกที





ตอนหน้าเป็นบทสรุปของเรื่องราวแล้วครับ เป็นตอนจบจริงๆเสียที ขอบคุณที่ติดตามกันนะครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-02-2012 15:14:42 โดย Violet_Melon »

artit

  • บุคคลทั่วไป
ทำไมเป็นแบบนี้อ่ะ ก็แค่บอกว่ารัก... มันยากนักเหรอ แล้วโอกาสที่จะบอกว่ารัก ไม่มีแล้วเหรอ  :m15:

ออฟไลน์ GeTOuTNoW

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 415
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
อยากแล้วเจ็บปวดมากกกเลยครับ  :m15: :m15: :m15:

Violet_Melon

  • บุคคลทั่วไป
บทส่งท้าย

             สองตอนสุดท้ายนี่เล่นเอาคนเขียนเครียด ตอนที่เล่าตอนสนุกๆนี่ง่ายกว่ากันเยอะเลย กว่าจะเขียนสองตอนสุดท้ายเสร็จนี่เล่นเอาหมดทิชชู่ไปหลายม้วนเหมือนกัน เอาไปซับน้ำลาย เอ๊ย!ซับน้ำหมาก เอ๊ย! ซับน้ำตา เอ๊ย! ถูกแล้ว!!! ซับน้ำตาครับ ไม่ใช่ซับน้ำอย่างอื่น ฮ่า ฮ่า
ใจจริงผมก็อยากจะเขียนเรื่องนี้ให้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งเหมือนกัน ผมเองก็ไม่ค่อยชอบอ่านอะไรที่มันแซดเอนดิ้งซักเท่าไร แต่มันก็เลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้ อีกอย่าง ผมก็อยากแชร์ประสบการณ์เผื่อใครต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นจะได้ไม่ต้องทำอะไรที่ผิดพลาดเหมือนกับผม อยากจะเก็บความผิดพลาดนี้ไว้เป็นบทเรียนของชีวิต


   เรื่องราวหลังจากนั้น



         ไอ้ตุ๊ มันไปสอบเข้าโรงเรียนกีฬาไม่ได้ ทำให้ตอนนมอสี่มันต้องเรียนอยู่ที่โรงเรียนเดิมกับผม อยู่ห้องเดียวกัน นั่งด้วยกันเหมือนเดิม ตอนมอปลายมันสูง 196 ได้แล้ว แบบว่ายักษ์มากที่สุดในโรงเรียน แต่พอขึ้นมอห้ามันก็ได้โควตานักกีฬา ไปเรียนโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง ในตัวเมืองจังหวัดกำแพงเพชร
         หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วความสัมพันธ์ของผมกับไอ้ตุ๊เป็นแบบไหน มีอะไรมากกว่านั้นอีกหรือเปล่า ยอมรับว่ามีหลายครั้งก็เคลิ้มไปกับไอ้ตุ๊มันเหมือนกัน เพราะไอ้นี่มือไม้มันก็ใช่ย่อย ยั้วเยี้ย ราวกับปลาหมึก ไม่แพ้ไอ้เวอร์เหมือนกัน อยู่ไกล้กับมันก็เปลืองเนื้อเปลืองตัวได้ตลอด แต่ผมรู้ตัวเองดี ว่าจริงๆแล้วรู้สึกกับมันอย่างไร มันมีส่วนคล้ายกับพี่ชายของผมมากกว่า ผมเลยห้ามใจได้เสมอ ก่อนที่อะไรๆมันจะเลยเถิดไปมากกว่าที่ควรจะเป็น
          ผมลองมองย้อนกลับไปก็ทำให้คิดได้ว่าจริงๆแล้วไอ้ตุ๊มันไม่ได้เป็นเกย์อยู่แล้ว มันอาจจะอยู่แค่ในช่วงที่สับสน มันเองก็กำพร้าพ่อเหมือนกัน ทั้งบ้านก็มีมันเป็นผู้ชายอยู่คนเดียว (ที่บ้านมันมียาย แม่ น้าสาวสองคน แล้วก็น้องสาว)พอมาเจอผมก็เลยเข้ากันได้ดีเป็นพิเศษ เพราะผมกับมันก็ชอบอะไรคล้ายๆกัน แต่แล้วพอมันโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น มันก็จึงได้นพบว่า จริงๆแล้วมันชอบอะไรกันแน่ 
          ตอนที่มันจะย้ายไปเรียนที่อื่น ผมก็เคว้งเหมือนกัน ราวกับว่าคนที่เรารักค่อยๆหนีหายจากผมไปทีละคน  ตั้งแต่อาจารย์วัฒน์ ไอ้เวอร์ แล้วยังมาไอ้ตุ๊อีก แต่ก็ยังดีที่เวลามันกลับมาบ้าน มันก็แวะมาเยี่ยมผมตลอด พอให้หายคิดถึงมันได้บ้าง พอตอนมหาวิทยาลัยมันก็ได้ไปเรียนต่อที่เดียวกับผม แต่ของมันเรียนภาคพิเศษ(ภาคค่ำ) เพราะสอบเข้าไม่ได้ ผมก็ได้เจอกับมันบ้าง แต่ตอนนั้นมันอยู่กับแฟน(ซึ่งคือภรรยาคนปัจจุบันของมัน) เลยไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันมากนัก ปัจจุบันมันมีลูกชาย 1 คนอายุ 4-5 ขวบได้แล้วครับ วัยกำลังน่ารักเชียว


           
          ไอ้อุ้ย น่าเสียดายครับ ตอนขึ้นมอสี่มันได้อยู่คนละห้องกับผม แล้วก็ไปคบกับเพื่อนไม่ดีเยอะ ทำให้มันไปพัวพันกับยาเสพย์ติด จนกระทั่งขึ้นมอห้าอาจารย์ก็จับได้ว่ามันไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพย์ติด เลยโดนไล่ออกตอนที่กำลังจะขึ้นมอห้าพอดี หลังจากนั้นมันก็ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดนครสวรรค์ แต่จนแล้วจนรอดก็เรียนมอปลายไม่จบอยู่ดี เมื่อประมาณปีที่แล้ว ผมกลับไปเยี่ยมบ้าน ขับรถผ่านไปแถวบ้าไออุ้ย ก็เลยแวะไปเยี่ยมมัน ถึงได้รู้ว่ามันแต่งงานแล้ว ตอนนี้ก็เปิดร้านเล็กๆ อยู่แถวบ้าน ไม่กล้าถามว่ามันเลิกติดยาหรือยัง แต่ดูท่าแล้วมันก็น่าจะเลิกได้แล้ว ดูมีน้ำมีนวลขึ้น หน้าตาสดใส กลับมาหล่อเหมือนแต่ก่อนแล้ว



          อาจารย์วัฒน์หลังจากที่อาจารย์กลับไปเรียนต่อ เราก็เขียนจดหมายคุยกันเป็นระยะๆ หลังจากเรียนจบได้ไม่นาน ก็ได้รับบรรจุ เป็นอาจารย์สอนโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ส่วนผมจบเมื่อมัธยมปลาย และสอบเข้าได้ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก ผมก็ได้ขาดการติดต่อกับอาจารย์ไป
           เพื่อนๆหลายคนอาจจะแอบเชียร์ผมกับอาจารย์วัฒน์ ผมลองมองกลับไปถึงตอนนั้น ยอมรับว่าผมรู้สึกดีกับอาจารย์มากๆ มีอาการใจตุ๊มๆต่อมๆ เหมือนกันเมื่อได้อยู่ไกล้กับอาจารย์ จนผมก็เกือบเข้าใจผิด คิดว่าผมชอบอาจารย์แบบคนรัก แต่อย่างที่บอกอาชีพอาจารย์เป็นอาชีพที่มีเสน่ห์ แล้วยิ่งเป็นอาจารย์วัฒน์ด้วยแล้ว มันยิ่งเพิ่มความมีเสน่ห์เป็นสองเท่าสามเท่า แต่เมื่อพิจารณาดีๆ ก็พบว่าจริงๆแล้วน่าจะเป็นการชื่นชมและชื่นชอบมากกว่า คล้ายๆกับการที่เราชื่นชอบศิลปิน หรือดารา ที่เราไม่จำเป็นต้องได้เขามาครอบครอง แค่ขอได้ชื่นชมอยู่ห่างๆ เราก็มีความสุขแล้ว 
           ส่วนตัวอาจารย์วัฒน์เองผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอาจารย์คิดอย่างไรกับผม เพราะอาจารย์จะวางตัวดีมากๆ ไม่เคยแสดงทีท่าล่วงเกินอะไรผม ไม่ว่าจะด้วยคำพูด หรือการแสดงออก อาจเป็นเพราะด้วยฐานะศิษย์กับอาจารย์ด้วย ทำให้อาจารย์ไม่อาจจะแสดงอะไรที่ไม่ดีไม่ควรได้ คงมีแต่ความห่วงใย เอาใจใส่ ให้คำปรึกษาที่ดี ผมยังนึกขอบคุณอาจารย์ที่ทำให้ผมเป็นผมมาจนทุกวันนี้ ตอนที่ผมไกล้จะเรียนจบมหาวิทยาลัย เคยเขียนจดหมายไปหาอาจารย์ แต่ก็ไม่ได้รับการติดต่อกลับมา คาดว่าอาจารย์อาจจะย้ายไปสอนที่อื่นแล้ว


          ไอ้เวอร์ ผมไม่ได้ข่าวคราวอะไร จากมันอีก ตัวผมเองก็ไม่ได้เข้าที่โรงเรียนที่แม่มันเคยสอน ถึงเข้าไปก็ไม่รู้จักใคร แล้วผมเองก็คงจะไม่กล้าไปถามข้อมูลของมันและแม่มัน จากครูที่โรงเรียนนั้นหรอก ก็คงทราบแต่จากอาจารย์ที่ปรึกษาบ้างว่า ตัวไอ้เวอร์เองคงจะเรียนที่โรงเรียนเทคนิคในจังหวัดระยอง เพราะมันเองก็หัวไม่ค่อยดี คงไม่เหมาะที่จะเรียนต่อสายสามัญ ส่วนตัวแม่มันเองก็เป็นผู้อำนวยการอยู่ในโรงเรียนในจังหวัดชลบุรี ผมเองตอนนั้นก็ไม่ได้ติดตามข่าวมันต่อ ด้วยก็เข้าใจว่าเป็นการตัดสินใจของมันเองที่จะจากผมไปแบบนั้น มันคงคิดไตร่ตรองดีแล้ว เป็นผม ผมก็คงต้องเลือกครอบครัวก่อน ยิ่งพ่อมันไม่อยู่ด้วยแล้ว มันเองก็เป็นลูกชายคนโต ก็คงต้องเป็นเสาหลักของครอบครับมันต่อไป


           ตัวผมเองได้เรียนต่อมอปลายที่เดิม เป็นสามปีที่ทรมานมาก ผมต้องกลับมาเรียนสถานที่ที่เดิม เพื่อนกลุ่มเดิมๆ อาจารย์คนเดิม โดยที่ไม่มีไอ้เวอร์อีกแล้ว ช่วงแรกๆก็ทำใจไม่ได้ เกือบจะได้เลิกเรียนกลางคันอยู่แล้ว มันเป็นที่ๆมีความทรงจำระหว่างผมกับไอ้เวอร์เต็มไปหมด แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงผมคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ที่นี่ ยังดีที่ได้อาจารย์เก้กับอาจารย์อ๋อย คอยตามอยู่ตลอด และนั่นก็ทำไห้หลายๆอย่างในชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงไป ผมไม่ค่อยได้สนใจเรียนเหมือนแต่ก่อน ผลการเรียนก็ไม่ใช่ที่หนึ่งเหมือนที่เคยเป็นมาอีกต่อไป เกเร กินเหล้า โดดเรียน สูบบุหรี่ แต่ก็ไม่เคยเอาตัวเองไปพัวพันกับยาเสพย์ติด ดีที่โดนอาจารย์คอยเคี่ยวเข็น ไม่ให้ชีวิตผมมันตกต่ำลงไปมากนัก จนกระทั่งผมสอบเข้าได้ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก หลังจากที่มาเรียนต่อที่นี่แล้วตัวผมเองก็ไม่ได้ข่าวคราวของไอ้เวอร์ และครอบครัวของมันอีกเลย

          จบแล้วครับ ตอนจบอาจจะขัดใจหลายๆคน ต้องขอโทษด้วยครับ ทำอย่างไรได้ ชีวิตจริงไม่ใช่นิยายครับ จะได้กำหนดตอนจบอย่างที่เราต้องการได้ ถ้ามองย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีต พยายามนึกถึงแต่เรื่องดีๆที่มันทำให้กับผม เวลาดีๆที่ผมได้อยู่กับมัน มันก็ทำให้ผมยิ้มได้ รู้สึกอิ่มใจ ที่ครั้งหนึ่งในชิวิตผมก็เคยมีช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิต ช่วงเวลาที่ผมมีความสุขที่สุด ช่วงเวลาที่ผมจะไม่มีวันลืมไปเลยตลอดชีวิต ผมรู้สึกขอบคุณไอ้เวอร์ทุกครั้งที่คิดถึงมัน ขอบคุณที่มันได้เข้ามาในชีวิตผม ขอบคุณที่มันทำให้ผมรู้จักการให้ รู้จักนึกถึงคนอื่นก่อนที่จะนึกถึงตัวเอง ขอบคุณที่มันทำให้ผมรู้จักความรักเป็นครั้งแรก....และสอนให้รู้จักการอกหักในเวลาเดียวกัน ผมจะไม่มีวันลืมชื่อนี้ได้เลย “(พาวเวอร์) เฉลิมพล ศ...”






ออฟไลน์ MoMoRin

  • I am Fujoshi! (・∀≦)ゞ
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1749
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +229/-2
T.T saw nor tae penkamlangjai hai kha,,suu suu tor pai naa~~!!!!

ออฟไลน์ GeTOuTNoW

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 415
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
ตอนจบเสียน้ำตาให้เรื่องนี้เลย

อยากให้โมกับเวอร์ได้มีโอกาสได้เจอกัน ถึแม้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปแล้ว ถึงจะไม่ได้รักกันแล้ว แต่อยากให้ให้ได้เจอกันสักครั้งก็ยังดี ให้โมได้บอกรักเวอร์

ผมเศร้าใจจัง :m15: :m15: :m15:

 :L2: :L2: :L2: :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด