ตอนที่ 13งานวันเกิดของหญิงสาวสวยเพื่อนคนสนิทของกัสจัดขึ้นที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ถูกเนรมิตขึ้นโดยหญิงแม่ของเพื่อนเค้ามีไฟประดับส่องแสงกระพริบตามต้นไม้และพุ่มไม้อย่างสว่างไสว พื้นหญ้าจัดวางโต๊ะอาหารทั้งของคาวของหวานหลายตัวตั้งอยู่ มีซุ้มเครื่องดื่มบริการส่วนใหญ่เน้นไปทางน้ำหวานและน้ำผลไม้ คนที่เพื่อนสาวเชิญมางานนั้นก็มีเพื่อนๆสมัยเรียนที่เจ้าตัวยังติดต่ออยู่ เพื่อนสนิทของครอบครัว ญาติๆ และที่สำคัญเพื่อนสนิท 2 คนที่ยืนอยู่ข้างเจ้าตัวในตอนนี้
“อืม บ้านมายเดียร์ทำอาหารอร่อยมาก อร่อยทุกอย่างเลย”
“แล้วกัสล่ะเงียบจัง บาบีคิวนี่อร่อยมั้ยจ๊ะ”
“อร่อยครับมาย”
เพื่อนสาวสวยถามพร้อมคล้องแขนเค้าอย่างน่ารักเค้าจึงตอบกลับพร้อมรอยยิ้มไปให้ บรรยากาศดีไม่ร้อนมีลมพัดผ่านอาหารก็อร่อยเครื่องดื่มก็เยี่ยมดนตรีก็เพราะ แต่ใจนี่ซิแอบกังวลไม่ได้หลังจากรู้มาว่าเพื่อนหนุ่มข้างบ้านหลังนี้จะมาร่วมงานด้วย กลัวๆว่าเค้าคนนั้นจะตามมาด้วย เค้าอาจคิดมากไปคนเลิกกันไปนานแล้วคงเลิกสนใจเค้าไปแล้วล่ะ เลิกคิดมากแล้วมาร่วมฉลองงานวันเกิดเพื่อนคนสวยดีกว่า
“น้องมายจ๊ะใกล้ได้เวลาเป่าเค้กแล้วลูก ไปเตรียมตัวกันค่ะน้องกัสกับน้องมิคไปด้วยกันค่ะ เร็วเด็กๆ”
เสียงของหญิงแม่คนสวยไม่แพ้ลูกเรียกให้ไปเตรียมตัวเป่าเค้กวันเกิดพร้อมส่งรอยยิ้มสวยมาให้ พวกเราจึงเดินตามหญิงแม่ไปบริเวณที่จัดเตรียมเค้กก้อนใหญ่ตั้งไว้กลางงาน แขกในงานคนอื่นๆเมื่อเห็นเจ้าภาพของงานเดินไปที่โต๊ะกลางงานต่างลุกเดินมาร่วมเตรียมร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้กับเพื่อนสาวของเค้า เจ้าตัวเองดูตื่นเต้นและมีอาการแปลกๆร่วมด้วยเพราะคอยชะเง้อมองไปที่หน้าประตูทางเข้าบ้านเป็นระยะ สงสัยรอเพื่อนข้างบ้านเจ้าของกล่องของขวัญใบสวยนั่นแน่ๆ เฮ้อมายนะมายบอกไม่มีอะไรแต่ตอนนี้ล่ะหาเชียวเพราะนายนั่นยังไม่มานั่นเอง
“น้องมายเป็นอะไรลูก รอใครอีกรึเปล่า”
หญิงแม่ของเพื่อนอดถามไม่ได้คงเพราะเห็นอาการแปลกๆของลูกตัวเอง
“เปล่าค่ะคุณแม่ไม่มีอะไร เราเริ่มกันเลยค่ะ”
เพื่อนสาวปฏิเสธทันทีอย่างมีพิรุธ เค้าหันไปสบตากับมิคซึ่งแววตาเค้ากับเพื่อนคนนี้คงไม่ต่าง คือแอบขำและรู้ทันเพื่อนสาวคนสนิทของเค้าทั้ง 2 เอง เสียงร้องเพลงอวยพรวันเกิดดังขึ้นเป็นเสียงชายหนุ่มเสียงนุ่มและกังวานไพเราะดังออกจากลำโพงที่ติดตั้งไว้รอบงาน เสียงที่ได้ยินนี้มันคุ้นเคยมากเหมือนเคยได้ยินมาก่อน เค้าและคนทั้งงานต่างหันไปมองต้นเสียงที่ตอนนี้เดินถือไมโครโฟนตรงเข้ามายังกลุ่มคนที่ยืนอยู่ เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงไม่หนานักพอมีกล้ามเนื้อและใส่แว่นไร้กรอบใช่แล้วคนนี้คือเพื่อนข้างบ้านของเจ้าของงาน “นายปรัช” เสียงร้องเพลงหลังจากที่เค้าเห็นปรัชไม่ได้เข้าหูเค้าเลยเพราะตอนนี้สายตาเค้าจดจ้องไปยังหนุ่มอีกคนที่เดินมาหลังสุดของกลุ่มที่ตามปรัชเข้ามา ร่างสูงหน้าตาหล่อเหลาไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย ใจเค้าสั่นรัวเมื่อได้เห็นหน้าเหมือนเมื่อครั้งแรกที่เจอ ทำไมนะใจคนเรานี่มันบังคับไม่ได้จริงๆ เค้าไม่รู้ว่าเผลอจ้องตาคมนานเท่าไหร่ มารู้สึกตัวก็ต่อเมื่อเพื่อนหนุ่มน้อยสนิทจับมือเค้ากุมไว้ จึงเบนสายตาออกมาจากสายตาคู่นั้นได้เห็นแววตาแสดงความเป็นห่วงชัดเจนมาจากเพื่อน ต่อมามืออีกข้างถูกกุมจากเพื่อนสาวสวยซึ่งส่งสายตามาไม่ต่างกันเลย
“กัสเราไปนั่งทานเค้กกันนะจ๊ะ เนี่ยมายตัดมาชิ้นใหญ่เลยเรามาแบ่งกันกินดีกว่า”
เพื่อนทั้ง 2 ของเค้าพาเค้าที่เหมือนเดินเท้าลอยๆไม่ติดพื้นมายังห้องรับแขกที่อยู่ภายในตัวบ้านแทนการนั่งโต๊ะบริเวณสนามด้านนอก เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราทั้ง 3 คน
“กัส ไม่เป็นไรนะ อย่าเงียบพวกเราเป็นห่วงกัสนะ”
เค้ายิ้มตอบเพื่อนหนุ่มตัวเล็กเพื่อให้เพื่อนสบายใจ แต่ใจเค้าตอนนี้สิสับสนไปหมดและเกิดคำถามว่า “วิน” มาให้เค้าเห็นหน้าทำไมกันในเมื่อเรื่องมันผ่านมาเป็นปีแล้ว เค้าอยากหนีไปให้ไกลไม่อยากเจอหน้าไม่อยากเห็น ส่วนอีกใจเค้าอยากพูดคุยกันได้แบบเพื่อนก็ยังดีเพราะ “คิดถึง” คิดถึงเหลือเกินอยากรู้ว่าเป็นยังไงบ้างตอนที่ไม่มีเค้าอยู่ข้างๆ
“พวกนายพานายนั่นมาทำไม พากลับไปซะ”
เสียงเพื่อนหนุ่มที่นั่งข้างๆตะโกนออกมาทำให้เค้าหันไปมองทางต้นเหตุ และเค้าก็เจอสายตาที่มองสบตาเค้าทันทีสายตาที่แสดงออกหลากหลายความรู้สึกทั้งความไม่มั่นใจ เสียใจ คิดถึง ทำเอาใจเค้าสั่นขึ้นมาอีกครั้ง เราสบตากันนานและไม่มีใครกล้าส่งเสียงอีกหลังคำถามของเพื่อนเค้า และคงคอยดูว่าเราทั้ง 2 คนจะตัดสินใจทำยังไงต่อ และแล้วเสียงของหนุ่มหล่อก็เอ่ยขึ้นมา
“กัส กัสสบายดีมั้ยครับ”
ไม่มีเสียงตอบกลับเพราะเค้าไม่รู้จะตอบว่ายังไง ตลอดปีที่เราห่างกันเค้าสบายกายแต่ใจนี่ซิไม่เคยลืมคนๆนี้ได้เลยแม้จะเจ็บกับเหตุการณ์นั้นมากขนาดไหนก็ตาม หน้าตาของคนที่เค้ามองอยู่สลดลงทันทีเมื่อเค้าไม่มีทีท่าว่าจะตอบคำถามที่เจ้าตัวส่งมาให้
“เอ่อ ปรัชจ๊ะมายขอบคุณมากสำหรับของขวัญและที่มาอวยพรให้ แต่ตอนนี้มายว่าปรัชพาเพื่อนกลับก่อนดีกว่ามั้ยจ๊ะ ทุกคนคะอย่าว่ามายเสียมารยาทเลยค่ะ แต่พวกเรารู้กันอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร”
เพื่อนสนิทคนสวยคงเห็นใจเค้ามากถึงกับเอ่ยปากไล่ทางอ้อมกับอีกกลุ่มทั้งๆที่มายไม่เคยเป็นแบบนี้
“ผมสบายดีครับ”
หนุ่มร่างเล็กที่เงียบก่อนหน้าเอ่ยตอบหลังปล่อยให้เพื่อนลำบากใจในการพูดกับอีกกลุ่มที่อยู่ในห้อง แค่ตอบไปจะได้ไม่ลำบากใจกับทุกฝ่าย ทุกคนในห้องหันมามองเค้าทันทีแต่ละคนทำหน้ายังไงเค้าไม่รู้แต่ใบหน้าที่เค้ามองอยู่ยิ้มจนแก้มปริ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วซินะที่ทุกคนจะได้สบายใจ
“เดี๋ยวผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”
เค้าเอ่ยขอตัวจากคนทั้งห้องพร้อมลุกขึ้นเตรียมเดินไปทางห้องน้ำ แต่กลับถูกเพื่อนสนิททั้ง 2 คนจับแขนไว้
“มายไปด้วย / เดี๋ยวมิคไปเป็นเพื่อน”
เพื่อนทั้ง 2 คนพูดขึ้นมาพร้อมกันแต่เค้าส่ายหน้าปฏิเสธ เค้าอยากขอเวลาอยู่คนเดียวซักพักตอนนี้ทำตัวไม่ถูกจริงๆ เค้าเดินออกมาหลังถูกปล่อยแขนจากเพื่อน ขณะเดินไปทางห้องน้ำที่อยู่อีกส่วนของบ้านต้องผ่านวินเค้าตั้งใจว่าจะเดินผ่านให้เร็วที่สุดและจะไม่มอง ใจคิดแต่ตากับเงยสบหนุ่มหล่อที่ตนกำลังจะเดินผ่าน เค้าตัดใจหันกลับและเดินตรงไปทางห้องน้ำต่อทันที
.............................................................
จิตใจที่เริ่มสงบลงและใจที่หายสั่นรัวทำให้ใบหน้าที่มองตอบกลับมาจากกระจกตอนนี้ไม่มีรอยกังวลมากนักดีกว่าตอนที่เพิ่งเข้ามาในห้องน้ำแห่งนี้ เค้าพร้อมที่จะออกไปข้างนอกแล้วแม้จะไม่แน่ใจว่าเมื่อได้สบตาคู่นั้นอีกครั้งจะมีอาการกลับมาอีกมั้ย แต่คนเราหนีไม่ได้ตลอด ‘ใช่แล้วเค้าหนีวินมาตลอด’ หลังเหตุการณ์นั้น วันนี้คงถึงเวลาเผชิญหน้ากันแล้วซินะ เค้าสูดหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกกำลังใจให้กับตัวเองพร้อมยื่นมือไปที่ลูกบิดเพื่อเปิดประตูออกเผชิญความจริง
“กัส คุยกับวินนะครับ วินให้เวลากัสนานแล้ว”
ทันทีที่เปิดประตูออกมาความจริงที่เค้าเตรียมใจเผชิญกับยืนอยู่ตรงหน้า แม้จะทำใจแล้วแต่เมื่อมาเจอกันระยะประชิดตัวขนาดนี้ทำเอาอึ้งใจกลับมาเต้นรัวอีกจนได้ เค้าหาคำพูดตอบกลับไม่เจอจึงได้แต่พยักหน้าตอบรับ พร้อมเดินเบี่ยงตัวออกมาจากร่างหนาที่ขวางทางไว้ เค้าเดินนำมาที่สวนหลังห้องครัวที่ตอนนี้เงียบสงบเพราะทุกคนต่างไปช่วยงานกันด้านนอกที่หน้างาน เค้ารับรู้ถึงเสียงฝีเท้าที่ตามหลังเค้ามาไม่ห่างแต่ไม่มีเสียงพูดกันระหว่างทางต่างหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเอง เค้าทรุดตัวนั่งด้านหนึ่งของม้านั่งตัวยาวที่มีพนักพิงหลัง อีกคนที่ตามมานั่งอีกข้างปล่อยให้มีพื้นที่ว่างระหว่างเรา เหมือนความรู้สึกของเค้าตอนนี้ที่รู้สึกมีช่องว่างในใจเหมือนไม่รู้จะเริ่มยังไงแม้มีสิ่งที่อยากพูดอยากถามมากมาย จนกระทั่ง
“กัสครับ วินคิดถึงกัสนะครับ”
เสียงนุ่มจากคนข้างๆกันเอ่ยออกมาเป็นประโยคแรก เค้าคิดไม่ถึงว่าประโยคนี้จะเป็นประโยคแรกที่วินจะพูด เคยคิดบ้างว่าเมื่อเค้ากลับมาเจอวินสิ่งที่วินจะพูดกับเค้าน่าจะเป็นคำอธิบายเหตุการณ์เมื่อ 1 ปีก่อน ที่ตอนนั้นเค้าไม่อยากฟังคำแก้ตัวใดๆทั้งนั้นแม้อีกฝ่ายจะพยายามขนาดไหนก็ตาม ทำเอาอดหัวเราะในคอไม่ได้อีกฝ่ายจ้องกลับมาที่เค้านิ่งตาโตนิดๆคงแปลกใจที่ได้ยินเสียงหัวเราะ
“วินไม่อยากอธิบายเรื่องวันนั้นกับกัสแล้วเหรอ”
“อยากซิครับวินรอวันนี้มาตลอดวันที่กัสจะฟังวิน ถึงแม้จะรอมาเป็นปีก็ตาม”
“ฮึๆ ขนาดรอนะเนี่ยยังมีข่าวว่าวินอกหักเลยนะ”
บรรยากาศแบบนี้เค้าไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อเรากลับมาเจอกันอีกครั้ง คุยแบบสบายๆแม้มีเรื่องที่เราต้องคุยกันและสิ่งที่
วินคงอยากบอกมาตลอดปีที่ผ่านมา แต่กลับเป็นเรื่องรองที่ไม่ถูกหยิบยกมาพูดกัน
“ข่าวไวจริงน้า สงสัยมีสายจากกลุ่มวินไปบอกล่ะมั้ง”
“อืม”
“มันคงเป็นกรรมตามสนองวินน่ะครับ กรรมที่เคยทำให้คนที่รักเสียใจเพราะวิน แม้ไม่ตั้งใจแต่มันก็เกิดขึ้นจริง แต่ที่ว่าอกหักคงไม่ใช่ก็แค่คนที่มาแทนกัสเท่านั้น”
บรรยากาศเบาสบายเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นหนักขึ้นมาเมื่อประโยคที่อีกคนต้องการสื่อว่าจะเข้าเรื่องเพื่ออธิบายถึงความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ทำเอาเค้าต้องเรียกกำลังใจเหมือนที่เคยคือการสูดอากาศเข้าปอดและหันไปสบตาชายหนุ่มที่เค้าคิดถึงมาตลอดทั้งเรื่องดีและไม่ดีของคนๆนี้
“กัสพร้อมฟังวินแล้วมีอะไรก็พูดมาให้หมด”
......................................................................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ ^^
แอบค้างคานะว่ามั้ย มาฟังวินตอนหน้านะคะ หลบการตบตีของคนอ่าน
วินกัสได้มาเจอกันครั้งแรกหลังเลิกกัน 1 ปี สาเหตุที่หลายคนสงสัยว่าทำไมถึงเลิก
เป็นเพราะกัสโดนยัยแนทพ่นพิษร้ายทำลายรักใส่หลงเชื่อจนไม่อยากฟังไม่อยากเจอวิน
กลัวที่จะได้ยินจากปากวินเองว่าไม่รักและหลอกลวงกัน คือ กลัวเจ็บไปมากกว่านี้จึงหนีไป
แอบเลียแผลใจคนเดียว นายวินเลยอกหักทั้งๆที่ยังไม่ได้แม้แต่แก้ตัวค่ะ รักครั้งแรกของทั้ง2คน
อาจอยู่บนความหวั่นไหวเพราะรักมากหวังมากผิดหวังเลยเจ็บจนหลีกหนีไม่อยากจะเผชิญ
ไม่อยากเจ็บกว่านี้เหมือนนางเอกในละครอ่ะค่ะ 5555 อารมณ์ประมาณนี้นะคะ
คนเราไม่มีใครเฟอร์เฟ็คไปหมดโนะ คนอ่านจะผิดหวังมั้ยน้อ
แต่ก็นะชีวิตในละครถูกปั้นแต่งเพื่อความบันเทิง(ของคนเขียน)
อ่านเพื่อบันเทิงแต่อาจไม่เริงรมณ์(ไม่สบอารมณ์)ได้
ติมาค่ะ เม้นมาค่ะ ขอรับไว้ทั้งหมดเอง
สำหรับการติดตามนะคะ :กอด1:และ
แด่คุณที่เม้นให้กันน้า
ปล.เจอกันอีกทีวันจันทร์นะคะ