FLIGHT 29 : คำพูด “สุดท้าย” ก่อนจากลา
เช้าวันใหม่…มันยังคงเป็นเช้าที่ทิมมี่รู้สึกย่ำแย่ไม่ต่างจากวันวานทิมมี่หอบกระเป๋าสัมภาระลงมาจากชั้นบนพร้อมกับน้องสาว โดยอาศัยรถคันหรูของน้องสาวโดยสารไปถึงศูนย์ฯลูกเรือ ...ทิมมี่ ดรอว์เยอร์ตรงเข้าลงชื่อเปลี่ยนเวรกับเทลิซ่าที่ห้องคุณซินดี้ แต่แล้วก็มีอุปสรรคเล็กน้อยที่หนุ่มหน้าหยกพอจะรับได้
“คือว่าคุณเทลิซ่า..คุณจะมาทำหน้าที่แทนคุณทิมมี่ก็ได้นะจ้ะ แต่ว่าคุณทิมมี่..เที่ยวบินไปแอลเอที่คุณขอลงวันนี้ มีลูกเรือเต็มแล้วล่ะ...อย่างไรจะลำบากมั้ยถ้าดิฉันอยากให้คุณรอลงไฟลท์ไปญี่ปุ่นค่ำนี้” แม้จะต้องดักดานอยู่ที่นี่ตลอดทั้งวันและหลายชั่วโมง แต่มันก็คงจะดีกว่าลางานไปให้เสียหน้าและยังคงดีกว่ามากที่จะต้องโดยสารไปเที่ยวบินออสเตรียร่วมกับกัปตันลูคัส
ซึ่งเทลิซ่าได้ถูกลงทำหน้าที่แทนไปเรียบร้อยแล้ว...
“โอเคครับ..ผมไม่มีปัญหา” คุณซินดี้ทำหน้าเหมือนยังคาใจ
“เอ่อ... ความจริงแล้วนะคุณทิมมี่...เที่ยวบินที่คุณขอเปลี่ยนเนี่ย มันก็ไปแค่ออสเตรีย...เป็นเที่ยวบินระยะสั้นเท่านั้นเอง... เย็นนี้ก็คงกลับมาได้ ทำไมคุณถึงขอเปลี่ยนล่ะ?...ทั้งๆที่หน้าตาคุณบอกดิฉันว่าคุณไม่ไหวกับเที่ยวญี่ปุ่นแท้ๆ” เหตุผลที่ทิมมี่บอกไม่ได้ แต่คุณซินดี้กลับถามดักขึ้นมาอีก
“คุณมีปัญหาอะไรกับใครหรือเปล่า?...ให้ดิฉันเปลี่ยนคนๆนั้นออกจากผังออสเตรียก็ได้นะ ดิฉันแคร์คุณนะตัวเอง” คุณซินดี้เป็นห่วงแบบติดน้ำเสียงตลก หล่อนดูเหมือนจะไม่เคยเครียดเลยจริงๆ.. หากแต่คำพูดที่ทิมมี่ได้ยินนั้นมันทำให้ทิมมี่รู้สึกว่าคุณซินดี้ไม่มีวันทำได้อย่างที่ปากพูดแน่.. เพราะคนที่ทิมมี่ต้องการให้เปลี่ยนนั้นเป็นถึงผู้ขับเครื่องบิน...หากจะแค่เปลี่ยนสจ๊วตหรือแอร์โฮสเตสธรรมดาๆก็คงทำได้ไม่ยาก แต่หากจะถึงกับว่าบอกหล่อนให้เปลี่ยนกัปตันล่ะก็... งานใหญ่แน่ๆ
“ไม่มีอะไรหรอกครับ... คุณซินดี้ถามเหมือนว่า...ผมเป็นคนที่มีปัญหาอะไรกับใครง่ายๆอย่างนั้นแหล่ะ” คำหยอกกลับของหนุ่มหน้าหยก พาให้สีหน้าของคุณซินดี้เจื่อนลงและยิ้มแหยๆ..เทลิซ่าเริ่มรู้สึกว่าสองคนนี้นอกเรื่องก็เลยขอตัวออกมา เพราะเธอต้องรีบบรีฟงานกะทันหัน และยังมีอีกหลายเรื่องที่เธอจะต้องใช้เวลาคิดทำอีกด้วย..ไม่นานหลังจากที่เทลิซ่าขอตัวออกมา
ทิมมี่ก็เดินตามออกมาเช่นกัน..หนุ่มหน้าหยกตรงไปที่ห้องพักผ่อนของเหล่าลูกเรือ นั่งลงที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่ง...กดปุ่มหาเกมส์เล่นเหมือนเด็กปัญญาอ่อน เกมส์ติ๊งต๊องที่มีมาในตัวเครื่อง ทิมมี่ก็ยังเล่นไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์กับสิ่งที่ทำเสียเท่าไหร่นัก... เทลิซ่าเดินออกมาจากล็อกเกอร์หญิงชนโครมเข้ากับคู่ปรับหน้าอกโตอย่างชอริต้า
“ต๊ายตาย... ไม่คิดว่าจะได้ป๊ะกันอีกนะหล่อน” ชอริต้าเดินหน้า(อก)เด้งผ่านไปหลังจากที่ทักเหยียดๆแล้ว...เทลิซ่าเริ่มปลงและไม่ถือคนอย่างเธอ แต่แล้ว...ใครบางคนที่กำลังเดินเลี้ยวเข้ามาจากมุมทางเดินตรงหน้าก็ทำให้เธอหยุดชะงัก..ชายหนุ่มมองหล่อนด้วยสายตาตกใจเล็กๆไม่คาดคิดว่าจะเห็นเธอในเวลานี้..
“...เท..ลิซ่า?...” บาเรลล์พึมพำออกมาในลำคอ.. ราวกับนึกไม่ถึงจริงๆ
“...ง..ไง”
“...เธอ... วันนี้เธอต้องบินไปแอลเอตอนบ่ายไม่ใช่เหรอ?” บาเรลล์ถามอย่างรู้ดี เทลิซ่านึกพอใจเล็กน้อยที่เขาเอาใจใส่ตารางงานของเธอ...แต่ก็ไม่ต่างกับเธอที่คอยดูตารางงานของเขาในช่วงหลังๆนี้เช่นกัน
“อ..อืม... พ..พอดีว่าทิมมี่ขอเปลี่ยนน่ะ...แต่เขาก็กลับไม่ได้ไปแอลเออีก..เพราะมีลูกเรือสำรองอยู่” แม้นั่นเป็นเหตุผลที่ไม่น่าจะมีเบื้องหลัง บาเรลล์ซึ่งพยักหน้าอย่างไม่ติดใจอะไร และเขากลับยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นที่มีหญิงสาวมาร่วมเที่ยวบินเดียวกัน
“ขอเวลาก่อนบรีฟสักพักได้หรือเปล่า... ครู่เดียวเท่านั้น” นี่อาจจะเป็นคำพูดที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนมากที่สุดที่บาเรลล์จะเคยได้เอ่ยต่อใคร... และเทลิซ่าก็พยักหน้ารับคำอย่างยินดี...
++++++++++++ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา++++++++++++
กระจกบานใหญ่มองออกไปเห็นหิมะขาวร่วงมาดูแรงกว่าเมื่อวาน...หนุ่มสาวสองคนกำลังยืนนิ่งมองเหล่าละอองสีขาวเหล่านั้นร่วงลงแปะพื้นให้เกิดสีขาวจนค่อยพูนหนาขึ้น บาเรลล์ถอนใจอย่างรู้สึกสังหรณ์ชอบกลกับอะไรบางอย่างที่กำลังจะใกล้เข้ามาในเวลาข้างหน้านี้
“ไม่รู้ทำไมนะ... เที่ยวบินนี้... ฉันรู้สึกว่า...มีสังหรณ์ประหลาด... ยังไงไม่รู้..” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า เทลิซ่ากลืนน้ำลายเหนียวอย่างรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน
“นั่นสิ... แต่ว่า...มันคงไม่มีอะไรมั้ง...” บาเรลล์ค่อยพยักหน้าช้าๆ สายตาหลุบต่ำ ก่อนที่จะตัดสินใจหันมาไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกัน ความรู้สึกบางอย่างมันทำให้เขากล้าที่จะพูดอะไรบางอย่าง..ออกมาจากปากของคนหัวดื้อเช่นเขาคนนี้
“ฉันรู้สึกว่า... ฉันรักเธอแล้วล่ะ...” มันช่างเป็นคำพูดที่ “ตรง” ดีเสียจริง..และตรงเกินไปสำหรับหญิงสาวหัวรั้นอย่างเทลิซ่าอีกต่างหาก
“...พูดบ้าอะไร... ทำอย่างกับจะไปไหน... ทั้งๆที่ก็ไปด้วยกันแท้”
“....ไม่รู้สิ...ก็คนมันอยากพูด..เธออย่าเพิ่งขัดเลยน่ะ!” แม้น้ำเสียงตอกกลับจะเข้าสู่ภาวะนิสัยเดิม แต่มันก็ช่างเป็นอารมณ์ที่ทำให้เสียงของเขาควบคุมให้อ่อนลงอยู่ได้โดยที่หญิงสาวไม่รู้สึกกวนประสาทเช่นแต่ก่อน
“อืม...”
“อืมบ้าอะไร... เธอจะไม่บอกอะไรฉันหน่อยรึ?...” หญิงสาวรู้สึกอึดอัดเป็นที่สุด พลางคิดในใจว่าคนอย่างฉันน่ะเหรอจะยืนตอบรับคำรักจากใครง่ายๆแบบนี้? แล้วคนอย่างฉันจะหน้าหนาถึงขนาดบอกรักผู้ชายพรรค์นี้ด้วยนะเหรอ..เหอะๆ ไม่อ่ะ... ไม่ใช่ฉัน..
“...บอก...บอกอะไรอ่ะ?...ไม่รู้ว่าจะบอกอะไรเหมือนกัน?” เทลิซ่าพูดโดยไม่สบตาเขา บาเรลล์รู้สึกน้อยใจพิกล แต่มีความรู้สึกน่าเป็นห่วงมากกว่าคำพูดของเทลิซ่า
“ฉันรู้ว่า... เที่ยวบินเที่ยวนี้...มันจะเป็นเที่ยวบินสุดท้าย ของฉันยังไงอย่างนั้นน่ะ..”
"หุบปากน่ะ!” เทลิซ่าหลุดเสียงหนักออกมา เพราะความตกใจในคำพูดของชายหนุ่ม
“นายก็แค่ถูกพักงานเดือนเดียวเท่านั้น! และฉันก็ไม่เชื่อด้วยว่านายจะเป็นคนทำ! ต่อให้นายพักงานไปฉันก็ยังเชื่ออย่างนั้นอยู่ดีนั่นแหล่ะ!! นายอย่าพูดอะไรบ้าๆหน่อยเลยน่ะ! นายชอบพูดบ่อยไปไม่ใช่เหรอ ว่ารู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร! ... แล้วยังไงล่ะ... ทำไมทีอย่างนี้ไม่พูดกับตัวเองบ้าง! นายเป็นถึงระดับไหนทำไมถึงจะไม่ได้กลับมาทำอีก...โถ่เอ้ย! คิดมากแล้วพูดบ้าๆแบบนี้! รู้งี้ไม่...!” หญิงสาวสะดุดคำพูดของตัวเองเอาไว้.. เมื่อสติในก่อนหน้ากำลังเผอเรอไปกับอารมณ์ขุ่นๆของตัวเอง ชายหนุ่มที่ยืนนิ่งชะงักไปกับคำพูดที่ขาดตอน..ความหมายที่ยังไม่กระจ่าง เกิดคำถามตามมา..
“รู้งี้ไม่อะไร...?” บาเรลล์ใช้สายตาคมกริบเพ่งมองหล่อนราวกับจะต้องมนต์ใส่หล่อน
“..ม..ไม่มีอะไร...”
“รู้งี้ไม่อะไร!! พูดมา!!”
“ก็บอกว่าไม่มีอะไรไงเล่า! ปัดโถ่!”
“แต่ฉันไม่เคลียร์! เธอพูดมาเดี๋ยวนี้! ว่าเธอจะพูดอะไร!”
ติ๊ง... ติง...ติ่ง... “ขอเชิญกัปตัน ผู้ช่วยกัปตัน สจ๊วต แอร์โฮสเตส และเหล่าลูกเรือบริการของเที่ยวบิน DNS 7069 ขอเชิญรวมตัวที่ห้องบรีฟวิ่ง ในเวลานี้ด้วยค่ะ...ขอแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะคะ...ขอเชิญ..” เสียงประกาศขัดจังหวะบรรยากาศขุ่นๆของคนทั้งคู่ เทลิซ่าได้ทีรีบเผ่นออกมาจากตรงนั้น...บาเรลล์รู้สึกหงุดหงิดฉุนเฉียวที่ไม่ได้ยินคำพูดของหล่อนให้จบประโยค.. เกิดความสงสัยและความค้างคา ที่เขาตั้งใจไว้ว่าอย่างไรก็ตาม..ก่อนลงเครื่องกลับปารีสในเย็นนี้ เขาจะต้องรู้ให้ได้! ว่าหล่อนนั้น...พูดออกมาเพื่อสื่อถึงความหมายใด...และมันจะเป็นไปอย่างที่ใจเขาคิดเข้าข้างตัวเองเอาไว้..ใช่หรือเปล่า?
++++++++++++ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา++++++++++++
ทิมมี่กระแทกคีย์บอร์ดอย่างหนักหน่วงจนปุ่ม Numlock บนแป้นเสีย กดตัวเลขอะไรก็ไม่ติด..เท่านั้นเขาก็แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบแล้วเดินหน้าเซ็งออกมาจากห้องนั้น เขาไม่รู้ว่าจะไปสถิตอยู่ที่ไหนในเวลานี้ หากเพราะว่ากว่าจะเตรียมตัวบรีฟงานที่ญี่ปุ่นก็ช่วงค่ำ เวรกรรมเขาจริงๆหากแต่ไม่นานเท่าไหร่นัก.. บริเวณห้องดื่มกาแฟที่มีเก้าอี้นั่งยาวไปตลอดแนวกำแพงกระจกขนาดใหญ่ที่สามารถนั่งชมวิวทิวทัศน์ที่หนาวเหน็บด้านนอกได้อย่างเพลิดเพลิน แต่ทว่าทิมมี่กลับไม่ได้รู้เป็นเหมือนเช่นคนอื่น สักพักความเงียบก็ปกคลุม ทำให้โสตประสาทรับรู้ว่ากำลังมีใครจะเดินเข้ามา เงาสะท้อนจากกระจกใสตรงหน้า
ทำให้ทิมมี่ไม่จำเป็นที่จะต้องหันกลับไปมอง “เขา” ...ชายหนุ่มที่เดินหน้าเศร้าในชุดกัปตันหนุ่มที่สะอาดสะอ้านและน่าหลงใหลไม่สร่าง แต่สำหรับทิมมี่นั้นกำลังจะพยายามมองผ่านให้เป็นเฉกเช่นคนที่ไม่เคยรู้จักกัน
“...ฉันกะว่า... จบเที่ยวบินนี้เมื่อไหร่... ฉันจะขอพักยาวทันที...” คำพูดของกัปตันหนุ่ม.. พาให้ทิมมี่อดคิดในใจว่า แล้วมันเรื่องอะไรที่เขาจะต้องมาบอกด้วย หากแต่ความเป็นจริงส่วนลึกก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะพักยาว เพื่ออะไร?...
“...บอกตามตรงนะ...ทิมมี่....” เสียงอ่อนล้า พลางกลืนน้ำลายลงคอที่แหกผากเพราะอากาศที่ปรับเปลี่ยนจนร่างกายของคนทำงานหนักรับสภาพอาการเหล่านี้ไม่ทัน
“...ฉัน... ไม่อยากเจอหน้านาย... ฉันไม่อยากจะเจอ..ตลอดไป...” คำพูดที่เขาหลุดออกมาจากลมปากอุ่น ดวงตารื้นตื้นตันกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทิมมี่พยายามหันหน้าไปอีกทางเพื่อหลบเลี่ยงการมองเห็นของเหลวที่พร้อมจะไหลออกมาในไม่ช้านี้..
ความอ่อนแอที่ทำให้ทิมมี่เกลียดตัวเองว่าเพราะอะไร...จนป่านนี้ก็ยังตัดใจจากความรู้สึกบ้าๆเหล่านี้ไม่ได้เสียที
“ผม...ก็ไม่อยากจะเจอคุณเหมือนกัน... คุณลูคัส” กัปตันหนุ่มรับฟัง เขานึกในใจว่าโชคดีเหลือเกินที่ทิมมี่ไม่หันกลับมาในเวลานี้... เพราะหากทิมมี่กระทำเช่นนั้น...หนุ่มหน้าหยกคงได้เห็นน้ำตาของเทวดาหนุ่มผู้อ่อนแอเช่นเขาคนนี้อย่างแน่นอน
“คุณเป็นคนแรก..คุณดรอว์เยอร์......คุณเป็นคนแรก........ และคนเดียว....... ที่ทำให้ผม...ร้องไห้....” ในที่สุด ความอ่อนแอที่เขาควบคุมไม่ได้...มันก็เผยออกมาให้หนุ่มหน้าหยกรับรู้อย่างหน้าไม่อาย.. แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ที่ยืนหันหลังให้ก็อยู่ในอารมณ์เดียวซึ่งมันไม่ได้แตกต่างกันเลย
“....คุณก็เหมือนกัน... คุณกาโรล..” คำพูดที่ต่างคนต่างเปล่งออกมา มันส่อแววให้เห็นถึงความห่างเหินต่อกันมากขึ้น.. กัปตันหนุ่มค่อยๆก้าวถอยหลังช้าๆ โดยที่ยังไม่หันหลังและเบี่ยงสายตาให้พ้นไปจากแผ่นหลังของคนที่เขารักไปเสียได้... ระยะห่างระหว่างคนสองคนเริ่มไกลมากขึ้นเรื่อยๆ และท้ายที่สุดก่อนที่กัปตันหนุ่มจะหันหลังกลับไป! คำพูดสุดท้ายที่หลุดออกมา... ทิ้งไว้ให้เหลือเป็นคำพูดของ “คนๆหนึ่ง” ที่พร้อมจะฝาก “คำพูดสุดท้าย” เอาไว้... ให้ทิมมี่ระลึกไว้ในความทรงจำตลอดกาล
“.......ผมรักคุณ..... คุณดรอว์เยอร์....”
++++++++++++ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา++++++++++++
เที่ยวบินไป-กลับระยะสั้น ปารีส-ออสเตรียเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการปฏิบัติหน้าที่ที่ต่างคนต่างพึงกระทำ ..ในขณะที่คนที่ยังอยู่เบื้องล่างอย่างหนุ่มหน้าหยกในเวลานี้กลับได้แต่แหงนมองน่านฟ้าที่มีเครื่องบินลำนั้น... ลำที่เขาคิดว่า “มีคนที่เขารัก” ซึ่งกำลังรับหน้าที่ฝากชีวิตผู้โดยสารทุกคนอยู่บนเวหา... เขาจะมีโอกาสได้รู้หรือเปล่า... ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ ก็ต้องการที่จะพูดคำว่า “รัก” ออกจากปากของตัวเองเช่นกัน...
บนเครื่องบิน.. คาบินที่สองของชั้นประหยัด เทลิซ่ากำลังทำหน้าที่เข็นรถอาหารกลับเข้าห้องเตรียมครัว พลันเจอกับผู้ร่วมงานระดับชั้นเดียวกันอย่าง ‘เควิน’...หล่อนรู้สึกย่ำแย่แต่ก็ไม่ได้สร้างสีหน้าหรือท่าทีน่าเกลียดอะไรออกมาให้เขาเห็น...
แต่เควินก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ใจเธอ
“เธอรักไอ้หมอนั่นมันแล้วใช่มั้ย?” คำถามที่มาพร้อมกับน้ำเสียงสั่น มันไม่ใช่อารมณ์เศร้าและเป็นน้ำเสียงและสายตาของคนที่กำลังเจ็บใจต่อเรื่องที่เขากำลังจะพูด...หญิงสาวหันมามองเขาด้วยสายตาราบเรียบราวกลับไม่มีความรู้สึกยินดียินร้ายกับคำถามที่ได้รับ
“....มันเรื่องของนายรึไง?...”
“มันไม่ใช่หรอก... แต่มันก็ไม่เชิง”
“หมายความว่าไง” หญิงสาวถามกลับทันทีอย่างจับผิดจับถูก
“เธอทำให้ฉันเสียหน้านะเทลิซ่า...ตอนแรกฉันคิดว่าฉันรู้สึกดีกับเธอแล้วแท้ๆ...” เทลิซ่ารู้สึกอึดอัดและอยากจะหาอะไรแถวๆนี้เขวี้ยงใส่หน้าที่เย้ยหยันเธอในยามนี้
“แต่เธอมันโง่น่ะสิ...”
“นายนั่นแหล่ะโง่! คิดว่าตัวเองมีดีอะไร?...”
“ยังไงฉันก็ดีกว่าไอ้เสเพลนั่น!” เควินพาดไปนั่น
“นายเอาคำพูดอะไรมาใช้เนี่ยเควิน...คนอย่างนายต่างหาก! ฉันไม่รู้หรอกนะว่าไอ้เรื่องผิดพลาดเมื่อไฟลท์ก่อนมันเป็นความผิดของใครกันแน่! แต่ฉันมั่นใจเป็นอย่างยิ่งเลยว่า..... ตัวนายเอง... ก็ต้องมีส่วนอยู่ไม่มากก็น้อยล่ะ!” เควินสะอึก...
“เธอพูดบ้าอะไร”
“แล้วสักวัน ไม่ช้าหรอกนะ... นายก็จะรู้ดี...ว่าฉันพูดบ้าอะไร!” เทลิซ่าเดินสะบัดก้นออกมาจาก GALLEY ทิ้งให้เควินยืนกำหมัดแน่น ก่อนที่จะกระแทกมันไปตู้ไมโครเวฟอย่างคนเจ็บใจไม่น้อย และผลจากการกระทำของเขาก็คือ..กระจกเตาไมโครเวฟร้าวเป็นแนวยาวคากำมือ..
++++++++++++ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา++++++++++++
ความเวิ้งว้างในศูนย์ฯลูกเรือในช่วงบ่าย พาให้ทิมมี่ ดรอว์เยอร์ เผลองีบหลับบนโซฟาหลังนุ่ม.. คุณซินดี้เดินผ่านไปผ่านมาก็ทำได้แค่ชำเลืองมองห่างๆอย่างห่วงๆ ขณะที่คุณโรสรอยด์เดินย้ายก้นเข้ามาเพื่อเตรียมตัวไฟลท์ไปสิงคโปร์ตอนสี่โมงเย็น เขารู้สึกดีเหลือเกินที่ไม่ต้องประสบพบเจอร่วมบินกับทีมเดิมๆที่ในเวลานี้เหินเวหาไปก่อนล่วงหน้าแล้ว..สามชั่วโมงที่ทิมมี่เผลอหลับไป...มีความฝันมากมายที่ดลขึ้นในหัว..แต่ล้วนในทุกๆความฝันนั้นต้องมีใบหน้าของคนที่ชื่อ ลูคัส กาโรล
อยู่ทุกฉาก ทั้งช่วงเวลาที่เขายิ้ม..ช่วงเวลาที่เขามีความสุข...ช่วงเวลาที่เขาพาไปเที่ยวในครั้งก่อน... และช่วงนาทีที่เขาเสียใจ... ทุกความรู้วนเวียนตามมาหลอกหลอนให้ทิมมี่รู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมแม้แต่เวลาพักผ่อน ฝันร้ายพาให้หนุ่มหน้าหยกผวาลุกขึ้นออกมา เพราะภาพสุดท้ายก่อนตระหนก
...ภาพที่เห็นกัปตันหนุ่มยิ้มเศร้าๆ ภายในห้องค็อกพิท...
และภาพเครื่องบินลำเดียวกันนั้น.. ร่วงลงสู่ผืนดิน!
หากแต่ฉับพลันที่ลืมตาตื่น!! เสียงอะไรบางอย่าง... ก็ดังเซ็งแซ่... ปลุกให้หนุ่มหน้าหยก หลุดจากภวังค์!
หวอ...หวอ...หวอ...หวอ..หวอ...~!!!!!++++++++++++ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา++++++++++++
พอจะเดากันออกมั้ยคะว่าเกิดอะไรขึ้น....
ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายแล้วนะคะ....เหล่าเทวดากำลังจะถึงจุดหมายแล้ว...
เตรียมผ้าขนหนูซักคนละผืนสองผืนก็คจะพอ.....