ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา BY สุริยาทิศ :: SPECIAL FLIGHT [30/10/54] จบแล้วจ้า
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา BY สุริยาทิศ :: SPECIAL FLIGHT [30/10/54] จบแล้วจ้า  (อ่าน 103985 ครั้ง)

littleFiNgeR

  • บุคคลทั่วไป


FLIGHT 27 : ล้มเหลวรอบที่ 2
             
                       




          ทิมมี่เดินมายืนอยู่หน้าลิฟต์ไม่นานหลังจากที่เขาได้วางสายกับน้องสาวไป..ขณะที่ลิฟต์จากชั้นล่างกำลังจะขึ้นมารับเขาไปยังชั้นบน.. เสียงฝีเท้าของหญิงสาวบางคนดังใกล้เข้ามาที่ชายหนุ่มทางด้านหลัง ทิมมี่หันไปมองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง หากแต่เหลือกตาโพลงขึ้นกว่าเดิมทันทีเมื่อเห็นบุคคลที่เดินมาทางเขา คือ เอลลี่ แซน ดอริช ..คู่กรณีเก่าของเขานั่นเอง


 “ไงทิมมี่..สบายดีเหรอ..” น้ำเสียงเยือกเย็นถามเขา ไม่รู้ว่าจะถามเพื่ออะไร ทั้งๆที่ก่อนนี้หล่อนก็ถามเขาไปแล้ว หากแต่หญิงสาวมีจุดประสงค์ที่จะเข้ามาสนทนาด้วยเพราะมีนัยน์อื่นต่างหาก



 “...ส..สบายดี...”         

                   

“หึ... ฉันยังจำได้ไม่ลืมเลยนะ... ครั้งแรกที่ฉันมาบอสตันกับนายคราวก่อนนั้น... และนั่นก็คงจะเป็นครั้งแรกของนายเหมือนกัน...จำได้หรือเปล่า?” หญิงสาวถามพลางเลิกคิ้วและยิ้มอย่างริษยา
                 

         
“..อ...อืม...จำได้” ทิมมี่ตอบอย่างกระอักกระอ่วนใจ พลางมองไปที่แผงไฟมองตัวเลขว่าเมื่อไหร่ลิฟต์เจ้ากรรมจะขึ้นมารับเขาเสียที
           

               
“ท่าทางว่าจะขึ้นไปล็อบบี้ชั้นดาดฟ้าล่ะสิ...” ทิมมี่ได้ยินคำถาม นึกภาวนาขออย่าให้หล่อนคิดที่จะไปที่นั่นเหมือนกัน..
เพราะหากเป็นเช่นนั้น เขาคงไม่มีสถานที่ไหนอีกแล้วที่จะได้พักผ่อนหย่อนใจอย่างที่ต้องการ
         

                   
“ประมาณนั้นแหล่ะ...”
                           


“ว้า...แย่จัง... ฉันกะจะลงไปผับข้างล่าง.. สงสัยว่าจะต้องลงลิฟต์คนละตัวกับนายแล้วล่ะ” ทิมมี่ยังวางท่าเฉย หญิงสาวเดินถัดไปที่ลิฟต์อีกตัวหนึ่ง แต่สายตาขุ่นเคืองยังจับจ้องหนุ่มหน้าหยกไม่ยอมวางตา ... ทิมมี่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากนัก จนกระทั่งสวรรค์โปรดให้เสียง “กิ๊ง” ดังขึ้น ..นั่นก็หมายถึงว่า ลิฟต์ของเขานั้นมาช่วยพาเขาออกจากบรรยากาศ ณ ตรงนี้ในไม่ช้าแล้ว...หากแต่ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิด... ความปวดหัวที่ยังไม่สิ้นสุด กลับทวีปัญหาที่มีอยู่มากขึ้นไปอีก! เมื่อหนุ่มหน้าหยก มองเห็นคนในลิฟต์... และสภาพของคนด้านในที่ทำให้ทิมมี่ต้องยืนตาค้าง..หากแต่คนในลิฟต์เอง.. ก็ดูจะชะงักตกใจไปเช่นกัน!
                   

       

          ชอริต้า แซดเลอร์ กำลังพยุงร่างไร้สติของกัปตันหนุ่มอย่างลำบากลำบน แต่กลับต้องมาเผชิญหน้ากับผู้ร่วมงานอย่างทิมมี่ ดรอว์เยอร์ เสียอีก!... และไม่เพียงแค่นั้น... เอลลี่ แซนดอริชที่ยืนสงสัยว่าทำไมทิมมี่ไม่ยอมเดินเข้าไป หล่อนจึงเดินตามมาดูอีกคนจนในที่สุด...เรื่องอลหม่านก็เกิดขึ้นจนได้!
                       



“น...นี่หล่อนทำอะไรน่ะ!!” เอลลี่เปิดศึกนางพญา หล่อนไม่ใช่นางฟ้าอย่างที่ใครเข้าใจจริงๆ
                         

   
“....ช..ชอริต้า!?” ทิมมี่อุทานอย่างไม่คาดคิด แต่ความนิ่งขรึมตามบุคลิกของเขาทำให้ไม่ทันเอลลี่ที่บุกเข้าไปกดปุ่มหยุดลิฟต์ค้างเอาไว้ แล้วต่อไปที่ร่างของชอริต้า



“ปล่อยกัปตันนะ!”
                           


“เอ๊ะ! นี่เธอเป็นใคร!” ชอริต้าดื้อดึง ในเวลานี้กัปตันลูคัสไม่ได้แตกต่างอะไรกับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่กำลังถูกเด็กๆยื้อแย้งกันไปมา ในสายตาของทิมมี่..
                           


 “ฉันกับกัปตัน! เป็นอะไรกว่าที่เธอคิดเยอะ.. ปล่อยเดี๋ยวนี้!”
                           


“อ้อ... ฉันรู้แล้วล่ะ คนที่ร่านจนโดนพักงาน..ก็คือหล่อนนั่นเอง!” ชอริต้ากระแทกคำพูดใส่รุ่นพี่อย่างไม่คิดถึงชะตากรรม
                           


“นี่... นี่เธอกล้าพูดแบบนี้กับฉันเหรอ!”


                           
“หน้าเธอเหมือนแม่ฉันหรือไง ทำไมต้องกลัวด้วย! ปล่อยกัปตันนะ!!”


                           
“หล่อนนั่นแหล่ะปล่อย! นังหน้าไม่อาย!!”


                           
“เฮอะ!! ถ้าหล่อนเป็นพวกขี้อาย หล่อนก็คงจะไม่หน้าด้านกลับเข้ามาทำงานเหมือนเดิมหรอก! ฮึ!”
                           


“นังชอริต้า!!”


                           
“อะไร!!”


                           
 “หยุด!!” ในที่สุด หนุ่มหน้าหยกก็หลุดออกจากสมองที่สั่งให้อดทน..ร่างชายหนุ่มที่กำลังย่อมเหนือกว่า พุ่งตรงเข้ามาคว้าร่างของกัปตันลูคัสออกมาจากนางฟ้าหน้าไม่อายสองชีวิตตรงหน้าได้


                       
 “ฉันจะเป็นคนพากัปตันไปที่ห้องเอง!! แล้วถ้าหากพวกเธอไม่อยากมีเรื่องกับคุณโรสรอยด์ล่ะก็! อย่าได้พยายามทำเรื่องวุ่นวายให้มันเกิดขึ้นอีก!” เอลลี่หัวเราะหึออกมาอย่างเจ็บใจ


                           
“เฮอะ! ไอ้เรื่องวุ่นๆทั้งหมดน่ะ มันเริ่มต้นมาจากนายนั่นแหล่ะทิมมี่!! นายคนเดียว!” คำพูดของเอลลี่ พาให้ชอริต้าแอบสงสัย
เพราะหล่อนไม่รู้ว่า..คนที่ทำให้เอลลี่ต้องถูกพักงานไปนอนอืดอยู่ที่บ้านค่อนเดือนนั้น คือทิมมี่ ดรอว์เยอร์คนนี้นี่แหล่ะ!





ทิมมี่อดใจไม่ตอบโต้หญิงสาวเขาพาร่างของกัปตันหนุ่มเดินออกมา แต่ฝ่ามือของเขาที่ว่องไวข้างหนึ่ง ก็กดปุ่มปลดค้างลิฟต์ แล้วกดขึ้นไปยังชั้นบนสุดอย่างรวดเร็ว! ในขณะที่ประตูปิดลงทันทีที่เขาเดินจากไป และทิ้งให้สองนางฟ้าซัดกันอยู่ในลิฟต์จนถึงชั้นเลานจ์โดยไม่ลืมหูลืมตา...





          หนุ่มหน้าหยกสอดมือเข้าไปที่กระเป๋ากางเกงของกัปตันหนุ่มทั้งสองข้าง กว่าจะเจอคีย์การ์ดก็แทบแย่เลยทีเดียว.. ร่างแกร่งถูกร่างบางลากเข้าไปในห้องอย่างลำบากลำบน ที่ต้องใช้คำว่า  “ลาก” ก็เพราะว่าเรี่ยวแรงของทิมมี่ตอนนี้ มันร่อยหรอลงไปทุกทีนับจากที่พยุงกัปตันหนุ่มออกมาจากหน้าลิฟต์ แล้วพาเดินอ้อมทวีปมาอีกฟากของตึก ซึ่งโรงแรมนี้เขาแปลนแบบไว้ไม่ต่างจากเขาวงกตเลยสักนิด..ทิมมี่ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าที่นี่อาจจะเคยถูกก่อการร้ายมาแล้วก็ได้...เพราะทำทางได้น่าหลงเสียเหลือเกิน ร่างแกร่งถูกเหวี่ยงลงบนเตียงหนานุ่ม...หากแต่หนุ่มหน้าหยกจะปลีกตัวออกมาเลยก็ทำได้ แต่ความรู้สึกบางอย่างที่เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันคือความรู้สึกอะไรกันแน่ ที่ทำให้เขาต้องลงมานั่งข้างๆร่างสูงกำยำที่ไร้สภาพของความเป็นบุรุษบุคลิกดีอย่างที่เคยเป็น.. หากแต่ดวงหน้าของกัปตันหนุ่ม ก็ยังไม่สร่างจากความหล่อเหลาและความงดงาม แม้จะอยู่ในสภาพเมาแอ๋อย่างที่น้อยคนจะเคยเห็นมาก่อนอย่างที่เขาเป็นอยู่นี้..
                           




“...ผมเกลียดคุณมาก...คุณรู้หรือเปล่า...” ทิมมี่พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาเริ่มแดงและน้ำใสใสเริ่มเอ่อท่วมเบ้าแล้วในเวลานี้
                           


“...ผมพยายามจะลืมแล้ว... ผมพยายามจะลืม...สิ่งที่คุณทำกับน้องสาวของผม....... ผมพยายามคิดว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่ได้เป็นเพราะคุณ... หากแต่มันคงเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น..... แต่ทำไม.... คุณถึงต้องกลับไปหาเธออีกด้วย!” เวลานี้ หนุ่มหน้าขาวได้หลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้งหนึ่ง... มือสองข้างขยำเสื้อของชายหนุ่มบริเวณอกแข็งพลางก้มหน้าร้องไห้..น้ำตาร่วงหยดลงร่างกายของผู้ที่ไร้สติ ราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกเจ็บปวดนี้ให้แก่ชายหนุ่มได้รับรู้




          ทันใดนั้น...ฝ่ามืออุ่นของกัปตันหนุ่มก็ยกขึ้นพลางเอื้อมมากุมไว้ตรงฝ่ามือเรียวบางของทิมมี่ ดรอว์เยอร์ แม้สมองจะไร้สติ... แต่สัญชาตญาณที่ราวกับเขารู้สึกได้ดีว่า ในตอนนี้...เขาได้มีคนรักกำลังนั่งร้องไห้อยู่ใกล้ๆเขา... เสียงร้องไห้ของคนรัก พาให้เขาต้องสัมผัสได้ถึงบรรยากาศโดยรอบแม้ดวงตาจะไม่มีทีท่าว่าจะลืมขึ้น... แต่ทว่าริมฝีปากของเขา กลับขยับพร้อมกับเปล่งเสียงอันสั่นเครือและแทบฟังไม่ได้ศัพท์ออกมาจากปากของเขาในไม่ช้า
                       



“....ฉัน.... ขอ...โทษ....นะ...” ทิมมี่ ดรอว์เยอร์ อึ้งไปในทันที..คำพูดที่หลุดออกมาจากปากคนที่ไร้สติ หากแต่มันก็คือความจริงที่เขาสามารถรู้สึกดีๆเช่นนี้ต่อหนุ่มหน้าหยกได้แม้ในเวลาที่เขาไม่รู้สึกตัว
                           


“....คุณไม่ต้องขอโทษผมหรอก... เพราะผม...ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่เลย...” การกระทำขัดกับคำพูด น้ำตาที่ไหลพรูออกมามากขึ้น หากใครได้ฟังและได้เห็นก็คงคิดว่าเขาปากไม่ตรงกับความรู้สึกของตัวเองอย่างชัดเจน หนุ่มหน้าขาวดันตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียง แต่กลับถูกท่อนแขนของชายหนุ่มคว้าข้อมือนั้นกลับมาได้... แม้ดวงตาจะยังปิดสนิท แต่หากจะมีใครสังเกตดีๆ..
มีความชื้นแฉะไหลซึมออกมาจากดวงตาคมกริบคู่นั้น
                       


   
“...ฉันรักนาย... ฉันรักนาย...” คำพูดพึมพำออกมาหลายต่อหลาย สะกดให้ทิมมี่ ดรอว์เยอร์ นั่งนิ่งราวกับถูกสาป.. ร่างกายมิอาจขยับหนีให้ไกลจากเสียงเข้มของกัปตันลูคัสไปที่ไหนได้เลย ไม่นานเท่าไหร่นัก ความอ่อนแอผลักศีรษะหนุ่มหน้าหยกให้ค่อยๆวางลงบนหน้าอกแกร่งของชายหนุ่มที่นอนนิ่งอยู่ตรงหน้า.. ความเคียดแค้นและความเจ็บปวดที่ยังคงมี ถูกอารมณ์ปรารถนาต่อสิ่งต้องห้ามให้กระทำในสิ่งที่ตนเองพยายามดื้อดึงเอาไว้ตลอดมา แต่ผลสุดท้ายแล้ว... ทิมมี่ ดรอว์เยอร์... ก็พ่ายแพ้ความจริง..
                       





ความจริงที่ว่า....
                       







เขา... “รัก” ผู้ชายคนนี้... เสียแล้วนั่นเอง








++++++++++++ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา++++++++++++








          ชั่วข้ามคืนเดียว..วันใหม่ที่อะไรต่างๆยังคงค้างคาอย่างไม่มีวี่แววว่าจะสะสางได้.. มันก็มาถึงพร้อมกับหลายความรู้สึก..จากหลายๆชีวิตในดานอสซี่ แอร์ไลน์ กัปตันหนุ่มตื่นขึ้นมาแล้วปวดศีรษะเป็นอย่างมาก ยาแก้ปวดราคาแพงที่มีฤทธิ์ระงับประสาทอาจช่วยได้จริง แต่ทว่าเขาก็ต้องรายงานคุณโรสรอยด์ผ่านทางโทรศัพท์ว่า เขาคงจะต้องทำหน้าที่โคไพลอตแทนเสียแล้ว เนื่องจากยาแก้ปวดหัวยิ่งมันมีสรรพคุณดิบดีมากมายเพียงไร..มันก็เท่ากับความง่วงเข้ามาสมทบมากมายเท่านั้น.. งานนี้ไม่รู้ว่าจะเรียก “บุญ” หรือ “กรรม” หล่นทับคุณอีธานเข้าเต็มๆ เพราะเขาต้องทำหน้าเป็นกัปตันแทนในไฟลท์เที่ยวกลับนี้
                           


ส่วนทิมมี่ที่กลับมาเปิดห้องเป็นของตัวเองกลางดึกร่วมกับน้องสาว...เขากับเทลิซ่าเดินลากกระเป๋าออกมาจากโรงแรม
ข้ามสะพานเชื่อมต่อกับตัวอาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ สีหน้าของคนทั้งคู่ไม่ได้แตกต่างจากกันเสียเท่าไหร่... มันคือสีหน้าที่บ่งบอกได้ว่า คนทั้งคู่กำลังตกอยู่ในความสับสนและคิดอะไรไม่ออก จนอยู่ในภาวะ “ซึมเศร้า” ไปตามๆกัน
                     



     
“ฉันอยากจะบอกนายว่า... หากจบเที่ยวบินนี้... ฉันจะลาพักล่ะ” เทลิซ่าเปรยเสียงคลุมเครือ
                           


“บ้าน่ะ... เธอลาอีกครั้งคราวนี้...เธอได้ลาตลอดชาติแน่เทลิซ่า... เราสองคนลากันมากี่ครั้งแล้วเนี่ย” ทิมมี่เปรยตอบด้วยน้ำเสียงไม่ต่างจากกัน แม้เสียงประชาสัมพันธ์จะเรียกลูกเรือของดานอสซี่ทั้งหมดไปรวมตัวบรีฟงานที่ห้องทำงานชั่วคราวของท่าอากาศยานโลแกนแล้ว.. แต่คนทั้งคู่ก็ยังเดินเอื่อยแบบไม่มีความสะทกสะท้านหรือกระปรี้กระเปร่าต่อคำสั่งใดใด


                           
“ลาออกแบบไม่ถูกเสียค่าปรับก็ดีสิ ฉันจะออกจริงๆนะเนี่ย... ฉันก็ดันไปเซ็นสัญญาระหว่างปีต่อปีเอาไว้ นี่ยังไม่ถึงเดือนเลยมั้ง... ฉันควรจะทำอย่างไรดีนะให้คุณซินดี้ไล่ฉันออกเนี่ย” เทลิซ่าถามหน้าเหม่อลอย
                           


“หากเธอโดนไล่ออก... เธอก็หมดสิทธิ์จะไปสมัครงานที่สายการบินอื่นเหมือนกันแหล่ะ...ประวัติเธอคงงามแน่นอน” ทิมมี่ตอบด้วยน้ำเสียงเดิม แต่ทว่า..อยู่ๆเทลิซ่าก็หยุดฝีเท้าไปชั่วขณะพาให้ผู้เป็นพี่ชายหลุดออกจากภวังค์เหม่อลอยนั้น พลางหันมามองน้องสาวอย่างต้องการความหมาย..กับการกระทำของเธอ


                           
 “ทิมมี่! .... นายคิดว่า.... บาเรลล์ จะกล้าทำอะไรชั่วๆแบบนั้น...หรือเปล่า” ทิมมี่ได้ยินคำถาม ..ความคิดสงสัยแรกคือ น้องสาวของเขาจะถามถึงบาเรลล์ทำไม แต่ความคิดสงสัยที่สองก็คือ...แล้วการแสดงความเห็นของเขาหากมันจะถูกเอ่ยออกไป มันจะมีผลอะไรตามมาแก่เขาและเทลิซ่าหรือเปล่า?


                           
“...เฮ่อ... อย่าให้ฉันพูดเลย.... ไม่มีใครรู้ว่าใครทำทั้งนั้นแหล่ะ...นอกจากตัวคนทำ..หรือไม่ก็ตำรวจ”
                           


 “เรื่องนี้ต้องถึงตำรวจเลยเหรอ!?” เทลิซ่าทำตาโตเมื่อได้ยินทิมมี่กล่าวถึงผู้พิทักษ์สันติราษฎร์


                           
 “อย่างน้อยๆ...ตำรวจท่องเที่ยวในท่าอากาศยานก็รู้แล้วแหล่ะ... แต่เรื่องจะแจ้งเข้าสู่ภาคพื้นดินหรือเปล่า ...อันนั้นก็ต้องดูผลที่สืบเนื่องจากอาการผู้ประสบเหตุก่อน... เฮ่อ.. ขอให้ทุกอย่างมันเกิดจากความผิดพลาดในหน้าที่ก็แล้วกัน”


                           
“จะไปผิดพลาดได้ไง!? คุณวินดี้เธอมีประวัติโจ่งแจ้งชัดเจนอยู่แล้ว ว่าแกแพ้มันกุ้ง! แล้วคนที่ทำหน้าที่เสิร์ฟอาหารตอนนั้น ก็จะมีสักกี่คน... สถานการณ์บอกอยู่แล้วว่าหมอนั่นเป็นคนเสิร์ฟ...อีกอย่างนะ! ไม่มีวันที่ใครจะทำพลาดหรอก เพราะตอนนั้น คุณวินดี้สั่งอาหารนอกเวลา เพราะฉะนั้นก็ต้องมีแกคนเดียวเท่านั้นที่ทานอาหาร! ไม่มีวันที่จะผิดพลาดกับจานคนอื่นได้แน่ๆ”


                           
“แล้วสรุปที่เธอต้องการความเห็นฉันเนี่ย มันคืออะไรเล่า!!” ทิมมี่ตะคอกถามกลับ ด้วยความรู้สึกกรุ่นๆ ซึ่งตัวเองมีมากพออยู่แล้ว และบวกกับความรู้สึกใหม่นี้เข้าไปอีก...
                           


“ทิมมี่!” เสียงของใครบางคนที่มาพร้อมกับร่างสูงที่กำลังวิ่งตามหลังมา ทิมมี่แอบทำตาเหลือกอย่างรู้สึกแย่มากขึ้นเป็นสองเท่า เมื่อเขาได้ยินเสียงโรเจอร์ ซินแคลร์ มาปรากฏอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ ในขณะที่เทลิซ่าเองรับรู้ถึงความวุ่นวายที่จะตามมา ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องของเธอที่เธอจะนำมาใส่หัวอีก..เธอจึงตัดสินใจรีบเดินห่างออกไป


                           
“...มีอะไรเหรอ...ผมนึกว่าคุณจะเข้าบรีฟไปก่อนแล้วเสียอีก?” ทิมมี่ถามโดยที่เท้ายังก้าวเดินต่อ และไม่แม้แต่จะมองหน้าโรเจอร์ที่เดินฉับๆตามหลังมาติดๆ


                           
“ผมรอคุณนะทิมมี่! เมื่อคืนนี้คุณหายไปไหนมาทั้งคืน!”


                           
“เรื่องบางเรื่องคุณไม่จำเป็นต้องรู้หรอก!” ทิมมี่ตัดบทด้วยความรู้สึกรำคาญ หากแต่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามรุกหนักด้วยอารมณ์มากยิ่งขึ้น
                           


“ต้องรู้สิ! หวังว่าคุณคงจะไม่ได้ไปทำอะไรกับไอ้กัปตันคนนั้นอีกนะ!” สิ้นสุดคำพูดหยาบคายนั้น ฝีเท้าของทิมมี่สะดุดหยุดกึก! ความรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน มันทำให้เขารู้สึกมองเห็นโรเจอร์ในอีกมุมได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก


                           
“..ประทานโทษนะคุณซินแคลร์... แต่หากคุณไม่มีจรรยาบรรณที่จะรู้จักเคารพตำแหน่งของคนอื่น.. คุณก็ควรจะมีมารยาทในการใช้คำพูดบ้าง... คุณไม่ยกให้เขาเป็นกัปตันที่ดี แต่คุณไม่จำเป็นที่จะต้องเรียกหน้าชื่อของเขาว่าไอ้! ผมรู้สึกแย่ที่ได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากของคุณ” โรเจอร์อึ้ง.. มองทิมมี่ที่พยายามจะเดินเลี่ยงออกห่าง แต่เขาก็ยังไม่วายตามหนุ่มหน้าหยกมาเรื่อยๆ


                           
“คุณรักไอ้กัปตันเจ้าเล่ห์คนนั้นใช่หรือเปล่า!!” อีกหนึ่งคำถาม ที่ทำให้ทิมมี่ ดรอว์เยอร์... ชะงักฝีเท้าอีกครั้งหนึ่ง... ไม่ช้า ดวงหน้าหม่นก็หันกลับมามองชายหนุ่มผู้มีอารมณ์เหนือสติจนทำให้ภาพลักษณ์ของเขาในเวลานี้ ช่างแตกต่างจากวันแรกที่ทิมมี่ ได้รู้สึกและสัมผัสมากมายเหลือเกิน.. และทิมมี่ ก็ค่อยๆเอ่ยปากตอบ... และคำตอบ.. มันก็มีอยู่ว่า..








                           

 “ผมไม่ได้รักไอ้กัปตันเจ้าเล่ห์ที่ไหน!!.......แต่ผม.... รักกัปตัน..ลูคัส!”








++++++++++++ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา++++++++++++

TBC.





ที่ไม่มาต่อหลายวันนั่นเพราะอยากจะยืดโค้งสุดท้ายและท้ายที่สุดของเรื่องออกไป (เข้าใจหาข้ออ้างเนอะ 55+)
ไม่อยากให้เรื่องนี้จบเร็ว เนอะๆๆ


เหลืออีกไม่กี่ตอนเท่านั้นนะคะ ผ่านตอนหน้าไปก็จะเป็นตอนที่บีบหัวใจทุกคนมากๆเลยล่ะค่ะ

ไหนๆก็ใกล้ฝั่งแล้ว

หากไอ้คนโพสต์ผู้นี้จะขอกำลังใจจากนักอ่านทุกๆท่านแทนพี่โจ้ผู้เขียนเองคงจะไม่ว่ากันนะคะ

เมตตาข้าเถิด อ่านแล้วคอมเม้นท์คนละหนึ่งความเห็นก็เพียงพอ อิอิ

แล้วพบกันใหม่ในตอนที่ 28 นะคะ^^

ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3
อยากให้ลูคัสมาได้ยินประโยคนั้นจัง
 :o8: :o8: :o8: :o8:

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
โอยยยย  นี่ยังไม่แย่ที่สุดอีกเหรอ  แค่นี้ก็หายใจไม่ทั่วท้องแล้วนะ

ออฟไลน์ silverphoenix

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1182
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +347/-3
ว้าววววว  เยี่ยมไปเลยทิมมี่

สุดยอดดดด

+1 จ้า

ออฟไลน์ PlenG

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ถึงจะอยากให้ลูคัสได้ยิน
แต่พูดให้โรเจอร์ฟังสะใจกว่าเยอะ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
สู้ๆๆๆๆๆๆๆ ต่อไป

moriku

  • บุคคลทั่วไป
เงอะ..ยังมีบีบกว่านี้อีกหรอเนี่ย o22
กัปตันไปไหนเนี่ยมีคนบอกรักอยู่น้าาา

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

sunshadow

  • บุคคลทั่วไป



   โหววว แรง
   ถ้ากัปตันมาได้ยินคงดีใจน้ำตาไหลพรากกกกก
   แต่ดูจากสภาพสองพี่น้องแล้ว เหมือนจะอยากออกจากสายการบินนี้ทั้งคู่
   สายการบินนี้มันต้องสาปสำหรับตระกูลดรอว์เยอร์แล้วหรือไร




littleFiNgeR

  • บุคคลทั่วไป


FLIGHT 28 : ความทรงจำ..กับวันเวลาที่เคย “ดี”





          ชั่วโมงบินถูกปรับอัตราให้สูงกว่าอัตราเดิมเกือบเท่าตัว เมื่อภาระหน้าที่ต่างๆของลูกเรือราวกับจะมีเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวตามไปด้วย ..โรเจอร์อยู่ในภาวะของคนตึงเครียดตั้งแต่เริ่มบิน เขาเลยถูกคุณโรสรอยด์ที่โทรศัพท์สั่งการมาจากฝรั่งเศสซึ่งเธอกับบาเรลล์ได้เดินทางกลับไปก่อนหน้านี้แล้ว.. เธอสั่งให้โรเจอร์ร่วมคาบินกับชอริต้า ..ส่วนทิมมี่ขอหน้าที่ให้ทำร่วมกับน้องสาวตัวเอง.. หากแต่บรรยากาศในแต่ละคาบิน ก็ไม่ได้ดีขึ้นจากเดิมสักเท่าไหร่เลย




เทลิซ่า เดินเข้ามาในห้อง GALLEY สายตาคอยสอดส่องมองหาอะไรบางอย่าง ในขณะที่ทิมมี่กำลังนั่งหมดสภาพทางอารมณ์อยู่หน้าโต๊ะเตรียมอาหาร แต่ก็สังเกตเห็นพฤติกรรมของน้องสาวในเวลานี้ เขาจึงถาม



 “เธอหาอะไรน่ะ?” ทิมมี่ถามด้วยน้ำเสียงอึมครึม


 “...ชิ.... นี่... เที่ยวบินนี้มีคนแพ้กุ้งหรือเปล่า?” เธอถามแต่ก็ยังไม่ยอมหยุดหาสิ่งๆนั้นที่ทิมมี่ไม่รู้ว่าอะไร


 “ไม่มีหรอก....ทำไมล่ะ...กลัวพลาดรึไง”


 “บ้าน่ะ... แต่มันแปลกน่ะสิ...”


 “แปลก?... อะไรแปลก?”


 “ก็ไอ้เที่ยวบินเมื่อวานนี้...ห้องๆนี้เป็นห้องที่บาเรลล์กับเควินทำอยู่... แต่แปลกนะ รายการอาหาร เช็คจากเมนูออเดอร์ลิสต์ดู
ทุกคนก็ทานอาหารครบทุกคน... และมีระบุชัดเจนว่ามีคนแพ้กุ้งสองคน... และซึ่งมันกุ้งที่เรามีอยู่ในบอกซ์ มันควรจะมีเหลือสองขวดไม่ใช่หรือ...แต่นี่...เหลือแค่ขวดเดียว?”


 “ก็น่ะ...ที่นายบาเรลล์ทะลึ่งใส่ลงไปในจานคุณนายวินดี้นั่นก็ขวดนึงแล้วไม่ใช่หรอไง”


 “ตลกน่ะทิมมี่... เขาใส่มันกุ้งเพื่อให้มีกลิ่นหอมกับความมันนิดหน่อยเท่านั้นแหล่ะ..แต่นี่มันหายไปทั้งขวดเลยนะ! ถ้าใส่หมดอย่างนั้นนี่.... คนแพ้ถึงตายเลยนะจะบอกให้ อีกอย่าง..มันก็เป็นการจงใจกลั่นแกล้งผู้โดยสารแล้วล่ะ...เราๆก็รู้อยู่ เขาใส่มันกุ้งแค่เอากลิ่นเท่านั้นเอง” ทิมมี่ฟังคำตอบโต้ของน้องสาว พลางยกมือขึ้นมากุมศีรษะตัวเองทั้งสองข้างราวกับไม่อยากจะรับรู้เรื่องนี้เข้ามาสมทบกับเรื่องเก่าๆที่คาราคาซังเข้าไปอีก..


 “พอเถอะ..เรื่องบาเรลล์เราอย่าเอามาใส่หัวเลยนะ”


 “ไม่ใส่หัวได้ยังไงล่ะ!! ก็!....” เทลิซ่าชะงัก... ทิมมี่เองก็สะดุดในคำพูดของเทลิซ่าเช่นกัน


 “....ก็อะไร.....?” เทลิซ่าทำหน้าอึดอัด เดินกระแทกเท้าพลางดึงรถเข็นหนังสือออกไปข้างนอกอย่างหงุดหงิด หากแต่เธอไม่ได้หงุดหงิดพี่ชายหรอก แต่สิ่งที่ทำให้เธออารมณ์ร้อนก็คือ ป่านนี้... บาเรลล์จะถูกโทษทัณฑ์อะไรบ้าง..





++++++++++++ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา++++++++++++





          เมื่อเครื่องบินจอดเทียบท่าอากาศยานในบ้านเกิดแล้ว..ทิมมี่ก็รีบสวมเท้าสุนัขเช่นเคย วิ่งเผ่นสองบุรุษที่ต่างฝ่ายต่างเร่งรีบต่อสิ่งที่ต้องการจะกระทำเช่นกัน เทลิซ่าสงสัยพี่ชายจึงอาสาลากกระเป๋าเข้าศูนย์ฯลูกเรือให้ ทิมมี่เลยได้ที วิ่งอ้อมตึกเพื่อถ่วงเวลาให้กัปตันลูคัสและโรเจอร์ไปถึงศูนย์ฯก่อน และเขาจะได้รอให้สองหนุ่มกลับออกมา แล้วค่อยพาตัวเองเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นเคย…





          ในที่สุดวันเวลาของการเปลี่ยนสีบนผืนดินก็มาถึง...หิมะแรกเริ่มปรากฏลอยล่องลงมาให้ทุกคนเห็น.. ทิมมี่ที่กำลังถ่วงเวลาตัวเอง พลันหันไปมองเห็นหิมะขาวราวกับปุยนุ่น ค่อยๆลอยลงมาปะทะกับไอแดดบางเบาของยามเย็น...รอยยิ้มบางๆเกิดขึ้นบนใบหน้า อาจเป็นเพราะหนุ่มหน้าขาวชื่นชอบฤดูหนาวมากกว่าฤดูไหนๆ... อีกทั้ง มันยังเป็นสัญญาณบอกถึงปีใหม่ที่กำลังใกล้จะเข้ามาในอีกไม่นานนี้อีกด้วย เทลิซ่าฝากกระเป๋าทิมมี่ไว้รวมกับตัวเองที่เคาว์เตอร์ ก่อนที่จะแอบย่องตรงไปที่ห้องคุณซินดี้ เธอรู้สึกแย่กับบรรยากาศที่เงียบเกินไป..ในขณะที่หล่อนกำลังด้อมๆมองๆผ่านกระจกเล็กที่ประตูห้องคุณซินดี้นั้น... ใครบางคนก็เดินเข้ามาข้างหลัง และสะกิดหญิงสาวด้วยนิ้วชี้เบาๆ แต่ทำให้หล่อนสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ แต่เมื่อทันทีที่เทลิซ่าหันไปมองบุคคลที่เข้ามาหาเธอ.. รอยยิ้มบางๆก็ปรากฏให้กับชายหนุ่มตรงหน้าที่ยืนหน้าเศร้าทางด้านหลังทันที..



 “เฮ่! ว..ว่าไง! เป็นไงบ้าง... พวกเขารู้ใช่มั้ยว่านายไม่ได้ทำน่ะ?” เทลิซ่าแสร้งยิ้ม หากแต่ลึกๆแล้วเธอมีความรู้สึกกลัวในคำตอบที่ชายหนุ่มจะตอบเธอในไม่ช้าอยู่เหมือนกัน


 “...อืม.... เขา.... คิดว่าฉันทำ...” น้ำเสียงเรียบเย็นตอบ ขัดกับสีหน้าที่คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน บาเรลล์สูดลมหายใจเข้าปอดลึก แล้วถอนออกมาอย่างแรง สายตากวาดมองไปรอบๆบริเวณอย่างไร้ความหมาย


 “...ต..แต่ฉันเชื่อนะ... ว่านายไม่ได้ทำ...” เทลิซ่าตอบน้ำเสียงสั่น สีหน้ายังอึ้งอยู่ไม่สร่าง พาให้ชายหนุ่มตรงหน้าเหลือบสายตามองมาทางเธอด้วยความแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่ทว่า..มันก็ทำให้เขายิ้มออกมาได้แม้เพียงเบาบางและหากใครไม่สังเกตก็คงจะไม่เห็น...


 “ไปดูหิมะกันมั้ย?...” น้ำเสียงสุขุมของชายหนุ่ม พาให้สีหน้าของเทลิซ่าแสดงอาการสงสัย


 “...หิ....หิมะ?.... หิมะที่ไหน?...”


 “ประสาทรึเปล่า... เมื่อกี้ลงเครื่องกัปตันไม่ได้รายงานรึ?.. ว่าหิมะกำลังจะลงน่ะ ตอนนี้..ข้างนอกเริ่มร่วงลงมาให้เห็นบ้างแล้ว...”


 “....หร...เหรอ... ท..ทำไมฉันถึงไม่ได้ยินกัปตันว่าเลยนะ...” หากเพราะเธอมัวแต่คิดเรื่องของเขาอยู่น่ะสิ
                           


             
++++++++++++ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา++++++++++++




          โรเจอร์ฉุนที่กลับมาที่ล็อกเกอร์และไม่เจอทิมมี่ แต่กลับได้ปะทะความร้อนทางสายตาเล็กน้อยกับกัปตันลูคัส ที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในล็อกเกอร์เช่นกัน... กัปตันหนุ่มหลังจากที่เปลี่ยนชุดเสร็จสรรพก็พาร่างแกร่งที่อิดโรยเพราะหัวใจที่อ่อนล้า
ออกมาจากศูนย์ฯลูกเรือด้วยสีหน้าและท่าทีเศร้าๆอย่างที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อน.. หากแต่ครั้งนี้เขาไม่ได้กระเสือกกระสนที่จะตามหาหนุ่มหน้าหยกเลยแม้แต่นาทีเดียว เพราะเขารู้อยู่เต็มอกว่า ...ทิมมี่ ดรอว์เยอร์ คงจะหนีเขาออกจากที่นี่ไปนานแล้ว..หากแต่มีใครบางคนที่ยังไม่ยอมหลีกหนีไปจากชีวิตกัปตันหนุ่มเสียที.. คนที่กำลังกล่าวถึงเดินย้ายสะโพกพร้อมรองเท้าส้นสูงแหลมสีดำก้าวฉับๆตามชายหนุ่มพร้อมกับสีหน้าร้อนรน ฝ่ามือคว้าศอกกัปตันลูคัสจนชายหนุ่มที่แสนอ่อนล้ายามนี้ต้องหันร่างกลับมาทางหล่อนอย่างหมดเรี่ยวแรงจะแข็งขืน



 “คุณเดินหนีฉันตลอดเลยนะคะคุณลูคัส!” เจ้ากรรมนายเวรที่ชื่อวีว่า เลอคอติส ตะเบงเสียงกร้าวใส่


 “ผมไม่ได้หนีคุณ...แต่ผมแค่เหนื่อย..อยากจะกลับไปพักผ่อน...”


 “คุณจะกลับไปพักผ่อนหรือว่าคุณจะกลับไปตามตื๊อไอ้เด็กหน้าขาวคนนั้นกันแน่!! คุณอย่าทำตัวให้ทุเรศมากไปกว่านี้เลยคุณลูคัส!!” คำพูดเสียดสี พาให้กัปตันหนุ่มแสดงสีหน้าขุ่นเคืองตอบสนอง กระเป๋าใบใหญ่ของเขาถูกเขวี้ยงเข้าไปในรถด้วยอารมณ์โกรธ ก่อนที่จะหันมามองหน้าหญิงสาวอีกครั้งด้วยความแววตาของคนเกลียดชังต่อสิ่งตรงหน้า


 “ผมทำตัวทุเรศ?...ทุเรศอย่างไรไม่ทราบ!”


 “ก็ทุเรศที่จิตใจวิปริต!! ไปคิดคบคิดนอนกับพวกเพศเดียวกันน่ะสิ อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่าทุเรศแล้วจะเรียกว่าอะไร!!” คำตอบโต้พาให้ชายหนุ่มสะอึกนิ่ง..


 “...ค..คุณพูดเรื่องบ้าอะไร!”


 “ฮึ! คุณอย่ามาไขสือคุณลูคัส!! ไอ้หนุ่มนั้นมันไม่มีวันกลับมาหาคุณหรอก! เพราะว่ามันเห็นแล้ว! รูปของเราสองคนที่อุตส่าห์ไปหลับนอนกันถึงชานเมือง..ฮึฮึฮึ น่าสมเพชนังชอริต้าวันนั้นเหมือนกัน คุณรู้มั้ย! ไม่มีใครที่จะเหมาะสมกับคุณเท่ากับคนอย่างฉันอีกแล้วคุณลูคัส!!” กัปตันหนุ่มอึ้งกับสิ่งได้ยิน.. รูป?... รูปอย่างนั้นหรือ.. หรือว่าเรื่องที่ทิมมี่กลับมาโกรธเขาก็เพราะเรื่องนี้?


 “นี่คุณเองรึ! นี่เป็นคนทำให้ทิมมี่ปึงปังใส่ผม!”


 “ไม่ใช่แค่ปึงปังหรอก... ฮึ... ตาเด็กหน้าขาวนั่นคงจะเกลียดคุณไปชั่วชีวิตล่ะ ฮึฮึฮึ... น้องสาวเพิ่งจะฝังไปไม่ทันข้ามวันดี... คุณก็กลับมานอนเปลือยอยู่ในภาพ แถมยังมีฉันอยู่ในรูปนั้นอีกเสียด้วย ฮึฮึฮึ!”


 “วีว่า!! คุณมัน!” กัปตันหนุ่มหน้าแดงเพราะความโกรธจัด น้ำตาของบุรุษเพศคลอเบ้าเพราะความเจ็บแค้น หากเธอเป็นผู้ชาย เขาก็คงจะเสยคางหล่อนให้หงายเก๋งไปแล้ว แต่ทว่า..ท่ามกลางบรรยากาศที่ขุ่นมัวในเวลานี้ กลับใครบางคนเดินเข้ามาเพิ่มอุณหภูมิโดยรอบให้คุกรุ่นมากขึ้นไปอีก





 “นึกไม่ถึงเลยนะคะ...ว่าคุณจะเป็นผู้หญิงหน้าด้านหน้าทนขนาดนี้...” เสียงที่มาพร้อมกับการปรากฏตัวของ “เอลลี่” ทางด้านหลัง รอยยิ้มเย้ยหยันวีว่า เลอคอติส สร้างภาพเลวร้ายในจิตสำนึกของหญิงสาวโดยแท้... วีว่ากำมือแน่นอย่างอาฆาต หญิงสาวที่กำลังเดินมายังไม่เข็ดหรืออย่างไรที่ถูกพักงานจนสร้างประวัติที่ด่างพร้อยในสมุดบันทึกลูกเรือ... หากแต่การกลับมาของเอลลี่ครั้งนี้ เอลลี่...พกความกล้าและความพยาบาทติดตามตัวกลับมาด้วย... “วีว่า เลอคอติส” อาจจะเป็นแค่ชื่อผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้นในความรู้สึกของเอลลี่ยามนี้.. ร่างระหงของหล่อนก้าวเข้ามาใกล้คนทั้งคู่ พร้อมรอยยิ้มเย้ยหยันท้าทายการจองเวรที่ใกล้จะเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง!
                       

  “มันเรื่องของเธอรึไง! ฮึ.. หรืออยากจะกลับไปนอนว่างๆอยู่ที่บ้านอีก... อยากจะโดนพักงานใช่มั้ย!”


 “เก็บปากไว้บอกตัวเองเถอะคุณวีว่า!! ฉันไม่ได้นึกกลัวอะไรคุณมากถึงขนาดนั้นหรอกนะคะ!” การตอบกลับที่กระแทกกระทั้นอารมณ์หญิงสาวพาให้สีหน้าเกิดความตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง


 “นี่หล่อนกล้าดียังไงถึงมาพูดแบบนี้กับฉัน! ฉันเป็นใครแล้วหล่อนเป็นใคร!!”


 “ฉันก็เป็นคนที่อยู่สูงกว่าหล่อน..ตรงที่ฉันสามารถโบยบินไปที่ไหนก็ได้.. ฮึ..ไม่ได้ยืนกับพื้นเป็นไก่กาอยู่ทุกวันนี้เหมือนคุณน่ะสิ! นี่ฉันยังพอให้เกียรติคุณอยู่นะคุณวีว่า... ถ้าฉันทำตัวแย่เท่าคุณล่ะก็... คำนำหน้าสำหรับคุณ.. ฉันขอเรียกว่าอี!”


“นังเอลลี่!! แกโง่มากนะที่พูดกับฉันอย่างนี้!” ไม่ตวาดเสียงเปล่า.. วีว่า เลอคอติสตรงเข้าตบไปฉาดใหญ่จนหญิงผู้ถูกกระทำล้มหงายไปเพราะไม่ทันตั้งตัว.. กัปตันหนุ่มยกมือขึ้นลูบผมและพยายามดึงร่างของวีว่าให้ถอยห่างออกมา แต่กลับเป็นการกระทำที่ทำให้วีว่า ถูกเอลลี่บุกตบอย่างแรง สาสมกับที่เธอเคยถูกกระทำตลอดมา ...ตบเดียวที่แรงกว่าและสร้างความรู้สึกชาให้วีว่ากว่าครั้งไหนๆในชีวิต หากแต่นี่อาจจะเป็นตบแรกต่างหากที่มีใครคิดกล้าทำกับเธอ!


 “นังเอลลี่!! แกตบฉัน!” แม้แต่ร่างแกร่งของกัปตันหนุ่มยังถูกผลักไสจนหงายไปด้านหลัง วีว่าพุ่งเข้าจู่โจมเอลลี่ สองสาวนัวเนียราวกับเป็นไฮยีน่าที่กำลังยื้อแย่งเหยื่อชิ้นโต หากแต่ถ้ามีไฮยีน่าตัวจริงเดินผ่านมาในเวลานี้ที่นี่.. มันก็คงจะหนีไปเพราะความกลัวหญิงสาวสองคนนี้มากกว่าเสียด้วย


          ผลจากการปะทะฝ่ามือของคนทั้งคู่... เหตุการณ์ถูกอย่างจบลงเมื่อกัปตันลูคัสให้ยุทธวิธีเดิมคือการขับรถหนีมารผจญไปอย่างไม่ใยดี ขณะที่สองสาวที่แยกกันแล้วยังไม่วายวิ่งตรงไปที่รถของใครของมัน เพื่อที่จะขับตามชายหนุ่มที่ตัวเองยึดเป็นเป้าหมายเอาไว้ แต่ทว่า..ดูเหมือนโชคชะตาจะขีดชีวิตของวีว่า เลอคอติส และเอลลี่ให้จรดรอยกันอีกครั้ง... ก็เพราะว่าความเร่งรีบของคนทั้งสองทำให้รถของสาวเจ้าทั้งสองนางชนกันโครมบริเวณทางออกของเขตท่าอากาศยานในเวลาต่อมา..นับว่าเป็นเคราะห์ซวยซ้ำซวยซากของวีว่า และเอลลี่ จริงๆ




++++++++++++ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา++++++++++++



          หิมะร่วงโพรยพราย.. หากแต่ยังมีบุรุษหนุ่มยืนอยู่หน้าคฤหาสน์ดรอว์เยอร์ด้วยอาการหนาวเหน็บ... หิมะแรกที่เริ่มสร้างสีขาวให้บ้านเมืองสว่างขึ้นแม้จะเข้าชั่วโมงค่ำแล้ว...ลมหายใจกับไอควันที่รดออกมาจากปากกัปตันหนุ่ม มันคือการสร้างความอบอุ่นให้แก่ตัวเองทดแทนความอบอุ่นที่เขาเคยคิดว่าตัวเองน่าจะมี.. แต่กลับไม่มีในเวลานี้..ฝ่ามือเย็นเฉียบซุกอยู่ในเสื้อนอกของเครื่องแบบกัปตัน..ใครผ่านไปมามองแบบไม่ได้สังเกตอะไรมาก ก็คงคิดว่าเขาเป็นรปภ.ชุดดำที่บุคลิกดูดีก็เท่านั้น หากแต่ชายหนุ่มกลับอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าและเป็นผู้ที่ใครๆต่างฝากชีวิตเอาไว้ยามอยู่บนน่านฟ้าทั้งสิ้น... แต่คนที่เขาต้องการจะให้ “ฝากชีวิต” เอาไว้ตลอดไปนั้นน่ะสิ... เพราะเหตุใด... เขาถึงไม่สมหวังและรู้สึกน้อยใจเพียงแค่คนๆเดียวเช่นนี้...ราวกับถูกใครคนนั้นหลบเหลี่ยมบุรุษผู้มากเสน่ห์ให้หมดสิ้นเสียอย่างนั้น..




เขาไม่กล้าที่จะกดกริ่งที่ประตู...เพราะรู้ว่ามันคงไม่มีความหมายอะไร และคนในนั้นคงจะไม่เดินออกมา... ถึงจะออกมา... เขาก็ไม่อยากจะให้มันเป็นเช่นนั้น...เพราะอากาศที่หนาวเย็นและอากาศที่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน อาจจะทำให้คนที่เขาพึงใจเจ็บไข้ได้...หากออกมาพบกับคนไร้ค่าเช่นเขาในเวลานี้










เทลิซ่ากลับเข้ามาในบ้านก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่ม ผู้เป็นพี่ชายนั่งซึมอยู่ที่ห้องรับแขกส่วนหน้า ผู้เป็นน้องสาวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย



 “เป็นอะไรไปทิมมี่?...ทำหน้าซังกะตายเชียว... ตั้งแต่บนเครื่องแล้วนะ” ผู้เป็นพี่ถอนใจออกมาราวกับเขาเหนื่อยล้าเหลือเกิน จนเทลิซ่านึกสงสัยอีกว่าทำไมพี่ชายถึงไม่ขึ้นไปพักผ่อน


 “..พรุ่งนี้... ฉันขอผลัดเวรกับเธอได้มั้ย... เที่ยวบินไปอิตาลีน่ะ” เทลิซ่าทำตาโต รอยยิ้มบางๆหลุดออกมาราวกับเธอต้องการจะให้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว


 “...ด..ได้สิ!” ทิมมี่เองก็เหลือบมองน้องสาวอย่างสงสัยเช่นกันว่าทำไมหล่อนถึงตอบรับรวดเร็วโดยที่ไม่ถามเหตุผล.. หากแต่ความจริงแล้ว เที่ยวบินไปอิตาลีวันพรุ่งนี้ ...จะมีใครบางคนที่เทลิซ่า “มีใจ” ... ทำหน้าที่เป็นสจ๊วตชั้นประหยัดก่อนถูกพักงานยาวด้วยต่างหาก


 “...อืม..ขอบใจนะ...” แต่พี่ชายก็ไม่ถามเหตุผล.. เป็นไปได้ง่ายๆแบบนี้ก็ดี


 “นายดูไม่สบายเลยนะทิมมี่... เป็นอะไรรึเปล่า? ไปหาหมอดีกว่ามั้ย? นายเป็นภูมิแพ้ด้วยนะ..อากาศก็เปลี่ยนแปลงเร็วเป็นบ้าเลย”


 “....ขอบใจ... แต่ไม่ได้เป็นอะไรหรอก... ไข้นิดหน่อย เดี๋ยวคงหาย...”


 “อากาศเปลี่ยน ดูแลสุขภาพบ้างนะ... นายเหลือฉันเป็นน้องคนเดียว... ส่วนฉัน...ก็เหลือนายเป็นพี่อีกแค่คนเดียวเหมือนกัน...”คำพูดของหญิงสาว พาให้ทิมมี่อดน้ำตารื้นไม่ได้.. เขาไล่ให้น้องสาวกลับขึ้นไปพักผ่อนก่อนที่จะปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น... ปัญหาที่มีในวันนี้มันมากมายนัก.. ต่างคนต่างเป็นผู้ที่เขารักสุดหัวใจ สถานการณ์และบรรยากาศที่กำลังจะพัดผ่านเข้ามา มันดูเหมือนมรสุมลูกใหญ่ที่เขายังคิดไม่ออกว่าจะเดินต่อไปทางไหนได้..




          ใจหนึ่งที่ยัง “รัก” หากแต่เขาไม่มีโอกาสที่จะได้พูดคำว่า “รัก” ให้เขาได้ยินสักครั้ง...แต่อีกใจกลับคิดสมเพชตัวเองและเกิดความรู้สึก “ชิงชัง” ชายหนุ่มร้อยเล่ห์ ที่เข้ามาทำลายชีวิตครอบครัวรวมไปถึงตัวของเขาเอง... หลายครั้งที่ใจคิดไปในทางที่ดีว่าเขาคงไม่ได้เป็นชนวนเหตุให้น้องสาวต้องตายหรอก... หากแต่อีกหลายครั้งเหมือนกันโดยเฉพาะพักหลังนี้ที่เขาได้พบความจริงบางอย่างที่ผู้ไม่ประสงค์ดีหยิบยื่นเข้ามาให้ต้องพบ...มันก็ทำให้ทิมมี่อดคิดอีกไม่ได้ว่า..ทำไมกัน...ทำไมเขาถึงต้องรู้สึกเสียใจมากมาย แทนที่เขาจะหาทางแก้แค้นเฉกเช่นคราวแรกๆที่เขาก้าวเข้ามา... ณ ดานอสซี่ แอร์ไลน์...หากแต่ในวันนี้.. ความเคียดแค้นชิงชังที่มันคงมี..มันกลับถูกอีกความคิดหักห้ามและดื้อดึงไว้ด้วย “หัวใจ” ...ที่มันเต็มไปด้วยคำว่า... “ความรู้สึกดีๆ”





++++++++++++ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา++++++++++++


TBC.



โถ่ๆๆ ทิมมี่ น่าฉงฉารรรร  :o12: :o12:

ตอนหน้าเรามาเปิดฝามาม่ากันนะคะ ได้เวลาแหล่ว อิอิ


 :bye2: :bye2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
วีว่า เหอะๆๆๆ


 :z6:

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
เอิ่มมม  งั้นตอนหน้าจะลาพักร้อนแหละ  รอคนอื่นมากินมาม่าให้หมดก่อน  แล้วค่อยมาอ่านต่อจะดีมั๊ยน๊อ

moriku

  • บุคคลทั่วไป
ไม่น๊าาาาาามาม่า :serius2:

ออฟไลน์ @BUA@

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2602
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +427/-8
ห๊ะ นี่ยังไม่ได้เริ่มเปิดฝาอีกเหรอคะ
หลงคิดว่ากินมาได้ถึงก้นถ้วยแล้วนะเนี่ย  :z3:

sunshadow

  • บุคคลทั่วไป



   อ๋อย เศร้าเชียว
   ทิมมี่กะคุณกัปตันจะผ่านช่วงเวลานี้ไปยังไงนะ



ออฟไลน์ anuruk97

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 476
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-4
ทิมมี่ต้องสู้ๆๆๆนี่อาจเป็นการทศสอบความรักของทั้งคู่ก็เป็นได้ สนุกมากนะจ๊ะไรเตอร์.....

ออฟไลน์ Sorso

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 789
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-3
จะเป็นยังไงต่อไปล่ะนี่

ไม่นะ!! ตอนหน้ามาม่าหรอ สงสัยต้องเตรียมตะเกียบรอซะแล้ว

littleFiNgeR

  • บุคคลทั่วไป


FLIGHT 29 : คำพูด “สุดท้าย” ก่อนจากลา





          เช้าวันใหม่…มันยังคงเป็นเช้าที่ทิมมี่รู้สึกย่ำแย่ไม่ต่างจากวันวานทิมมี่หอบกระเป๋าสัมภาระลงมาจากชั้นบนพร้อมกับน้องสาว โดยอาศัยรถคันหรูของน้องสาวโดยสารไปถึงศูนย์ฯลูกเรือ ...ทิมมี่ ดรอว์เยอร์ตรงเข้าลงชื่อเปลี่ยนเวรกับเทลิซ่าที่ห้องคุณซินดี้ แต่แล้วก็มีอุปสรรคเล็กน้อยที่หนุ่มหน้าหยกพอจะรับได้



 “คือว่าคุณเทลิซ่า..คุณจะมาทำหน้าที่แทนคุณทิมมี่ก็ได้นะจ้ะ แต่ว่าคุณทิมมี่..เที่ยวบินไปแอลเอที่คุณขอลงวันนี้ มีลูกเรือเต็มแล้วล่ะ...อย่างไรจะลำบากมั้ยถ้าดิฉันอยากให้คุณรอลงไฟลท์ไปญี่ปุ่นค่ำนี้” แม้จะต้องดักดานอยู่ที่นี่ตลอดทั้งวันและหลายชั่วโมง แต่มันก็คงจะดีกว่าลางานไปให้เสียหน้าและยังคงดีกว่ามากที่จะต้องโดยสารไปเที่ยวบินออสเตรียร่วมกับกัปตันลูคัส
ซึ่งเทลิซ่าได้ถูกลงทำหน้าที่แทนไปเรียบร้อยแล้ว...


 “โอเคครับ..ผมไม่มีปัญหา” คุณซินดี้ทำหน้าเหมือนยังคาใจ


 “เอ่อ... ความจริงแล้วนะคุณทิมมี่...เที่ยวบินที่คุณขอเปลี่ยนเนี่ย มันก็ไปแค่ออสเตรีย...เป็นเที่ยวบินระยะสั้นเท่านั้นเอง... เย็นนี้ก็คงกลับมาได้ ทำไมคุณถึงขอเปลี่ยนล่ะ?...ทั้งๆที่หน้าตาคุณบอกดิฉันว่าคุณไม่ไหวกับเที่ยวญี่ปุ่นแท้ๆ” เหตุผลที่ทิมมี่บอกไม่ได้ แต่คุณซินดี้กลับถามดักขึ้นมาอีก


 “คุณมีปัญหาอะไรกับใครหรือเปล่า?...ให้ดิฉันเปลี่ยนคนๆนั้นออกจากผังออสเตรียก็ได้นะ ดิฉันแคร์คุณนะตัวเอง” คุณซินดี้เป็นห่วงแบบติดน้ำเสียงตลก หล่อนดูเหมือนจะไม่เคยเครียดเลยจริงๆ.. หากแต่คำพูดที่ทิมมี่ได้ยินนั้นมันทำให้ทิมมี่รู้สึกว่าคุณซินดี้ไม่มีวันทำได้อย่างที่ปากพูดแน่.. เพราะคนที่ทิมมี่ต้องการให้เปลี่ยนนั้นเป็นถึงผู้ขับเครื่องบิน...หากจะแค่เปลี่ยนสจ๊วตหรือแอร์โฮสเตสธรรมดาๆก็คงทำได้ไม่ยาก แต่หากจะถึงกับว่าบอกหล่อนให้เปลี่ยนกัปตันล่ะก็... งานใหญ่แน่ๆ


 “ไม่มีอะไรหรอกครับ... คุณซินดี้ถามเหมือนว่า...ผมเป็นคนที่มีปัญหาอะไรกับใครง่ายๆอย่างนั้นแหล่ะ” คำหยอกกลับของหนุ่มหน้าหยก พาให้สีหน้าของคุณซินดี้เจื่อนลงและยิ้มแหยๆ..เทลิซ่าเริ่มรู้สึกว่าสองคนนี้นอกเรื่องก็เลยขอตัวออกมา เพราะเธอต้องรีบบรีฟงานกะทันหัน และยังมีอีกหลายเรื่องที่เธอจะต้องใช้เวลาคิดทำอีกด้วย..ไม่นานหลังจากที่เทลิซ่าขอตัวออกมา
ทิมมี่ก็เดินตามออกมาเช่นกัน..หนุ่มหน้าหยกตรงไปที่ห้องพักผ่อนของเหล่าลูกเรือ นั่งลงที่โต๊ะคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่ง...กดปุ่มหาเกมส์เล่นเหมือนเด็กปัญญาอ่อน เกมส์ติ๊งต๊องที่มีมาในตัวเครื่อง ทิมมี่ก็ยังเล่นไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์กับสิ่งที่ทำเสียเท่าไหร่นัก... เทลิซ่าเดินออกมาจากล็อกเกอร์หญิงชนโครมเข้ากับคู่ปรับหน้าอกโตอย่างชอริต้า
 

“ต๊ายตาย... ไม่คิดว่าจะได้ป๊ะกันอีกนะหล่อน” ชอริต้าเดินหน้า(อก)เด้งผ่านไปหลังจากที่ทักเหยียดๆแล้ว...เทลิซ่าเริ่มปลงและไม่ถือคนอย่างเธอ แต่แล้ว...ใครบางคนที่กำลังเดินเลี้ยวเข้ามาจากมุมทางเดินตรงหน้าก็ทำให้เธอหยุดชะงัก..ชายหนุ่มมองหล่อนด้วยสายตาตกใจเล็กๆไม่คาดคิดว่าจะเห็นเธอในเวลานี้..



 “...เท..ลิซ่า?...” บาเรลล์พึมพำออกมาในลำคอ.. ราวกับนึกไม่ถึงจริงๆ


 “...ง..ไง”


 “...เธอ... วันนี้เธอต้องบินไปแอลเอตอนบ่ายไม่ใช่เหรอ?” บาเรลล์ถามอย่างรู้ดี เทลิซ่านึกพอใจเล็กน้อยที่เขาเอาใจใส่ตารางงานของเธอ...แต่ก็ไม่ต่างกับเธอที่คอยดูตารางงานของเขาในช่วงหลังๆนี้เช่นกัน


 “อ..อืม... พ..พอดีว่าทิมมี่ขอเปลี่ยนน่ะ...แต่เขาก็กลับไม่ได้ไปแอลเออีก..เพราะมีลูกเรือสำรองอยู่” แม้นั่นเป็นเหตุผลที่ไม่น่าจะมีเบื้องหลัง บาเรลล์ซึ่งพยักหน้าอย่างไม่ติดใจอะไร และเขากลับยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นที่มีหญิงสาวมาร่วมเที่ยวบินเดียวกัน


 “ขอเวลาก่อนบรีฟสักพักได้หรือเปล่า... ครู่เดียวเท่านั้น” นี่อาจจะเป็นคำพูดที่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและอ่อนโยนมากที่สุดที่บาเรลล์จะเคยได้เอ่ยต่อใคร... และเทลิซ่าก็พยักหน้ารับคำอย่างยินดี...



++++++++++++ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา++++++++++++




          กระจกบานใหญ่มองออกไปเห็นหิมะขาวร่วงมาดูแรงกว่าเมื่อวาน...หนุ่มสาวสองคนกำลังยืนนิ่งมองเหล่าละอองสีขาวเหล่านั้นร่วงลงแปะพื้นให้เกิดสีขาวจนค่อยพูนหนาขึ้น บาเรลล์ถอนใจอย่างรู้สึกสังหรณ์ชอบกลกับอะไรบางอย่างที่กำลังจะใกล้เข้ามาในเวลาข้างหน้านี้



 “ไม่รู้ทำไมนะ... เที่ยวบินนี้... ฉันรู้สึกว่า...มีสังหรณ์ประหลาด... ยังไงไม่รู้..” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า เทลิซ่ากลืนน้ำลายเหนียวอย่างรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน


 “นั่นสิ... แต่ว่า...มันคงไม่มีอะไรมั้ง...” บาเรลล์ค่อยพยักหน้าช้าๆ สายตาหลุบต่ำ ก่อนที่จะตัดสินใจหันมาไปมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างกัน ความรู้สึกบางอย่างมันทำให้เขากล้าที่จะพูดอะไรบางอย่าง..ออกมาจากปากของคนหัวดื้อเช่นเขาคนนี้


 “ฉันรู้สึกว่า... ฉันรักเธอแล้วล่ะ...” มันช่างเป็นคำพูดที่ “ตรง” ดีเสียจริง..และตรงเกินไปสำหรับหญิงสาวหัวรั้นอย่างเทลิซ่าอีกต่างหาก


 “...พูดบ้าอะไร... ทำอย่างกับจะไปไหน... ทั้งๆที่ก็ไปด้วยกันแท้”


 “....ไม่รู้สิ...ก็คนมันอยากพูด..เธออย่าเพิ่งขัดเลยน่ะ!” แม้น้ำเสียงตอกกลับจะเข้าสู่ภาวะนิสัยเดิม แต่มันก็ช่างเป็นอารมณ์ที่ทำให้เสียงของเขาควบคุมให้อ่อนลงอยู่ได้โดยที่หญิงสาวไม่รู้สึกกวนประสาทเช่นแต่ก่อน


 “อืม...”


 “อืมบ้าอะไร... เธอจะไม่บอกอะไรฉันหน่อยรึ?...” หญิงสาวรู้สึกอึดอัดเป็นที่สุด พลางคิดในใจว่าคนอย่างฉันน่ะเหรอจะยืนตอบรับคำรักจากใครง่ายๆแบบนี้? แล้วคนอย่างฉันจะหน้าหนาถึงขนาดบอกรักผู้ชายพรรค์นี้ด้วยนะเหรอ..เหอะๆ ไม่อ่ะ... ไม่ใช่ฉัน..


 “...บอก...บอกอะไรอ่ะ?...ไม่รู้ว่าจะบอกอะไรเหมือนกัน?” เทลิซ่าพูดโดยไม่สบตาเขา บาเรลล์รู้สึกน้อยใจพิกล แต่มีความรู้สึกน่าเป็นห่วงมากกว่าคำพูดของเทลิซ่า


 “ฉันรู้ว่า... เที่ยวบินเที่ยวนี้...มันจะเป็นเที่ยวบินสุดท้าย ของฉันยังไงอย่างนั้นน่ะ..”


"หุบปากน่ะ!” เทลิซ่าหลุดเสียงหนักออกมา เพราะความตกใจในคำพูดของชายหนุ่ม


 “นายก็แค่ถูกพักงานเดือนเดียวเท่านั้น! และฉันก็ไม่เชื่อด้วยว่านายจะเป็นคนทำ! ต่อให้นายพักงานไปฉันก็ยังเชื่ออย่างนั้นอยู่ดีนั่นแหล่ะ!! นายอย่าพูดอะไรบ้าๆหน่อยเลยน่ะ! นายชอบพูดบ่อยไปไม่ใช่เหรอ ว่ารู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร! ... แล้วยังไงล่ะ... ทำไมทีอย่างนี้ไม่พูดกับตัวเองบ้าง! นายเป็นถึงระดับไหนทำไมถึงจะไม่ได้กลับมาทำอีก...โถ่เอ้ย! คิดมากแล้วพูดบ้าๆแบบนี้! รู้งี้ไม่...!” หญิงสาวสะดุดคำพูดของตัวเองเอาไว้.. เมื่อสติในก่อนหน้ากำลังเผอเรอไปกับอารมณ์ขุ่นๆของตัวเอง ชายหนุ่มที่ยืนนิ่งชะงักไปกับคำพูดที่ขาดตอน..ความหมายที่ยังไม่กระจ่าง เกิดคำถามตามมา..




“รู้งี้ไม่อะไร...?” บาเรลล์ใช้สายตาคมกริบเพ่งมองหล่อนราวกับจะต้องมนต์ใส่หล่อน




 “..ม..ไม่มีอะไร...”



 “รู้งี้ไม่อะไร!! พูดมา!!”


 “ก็บอกว่าไม่มีอะไรไงเล่า! ปัดโถ่!”





 “แต่ฉันไม่เคลียร์! เธอพูดมาเดี๋ยวนี้! ว่าเธอจะพูดอะไร!”







ติ๊ง... ติง...ติ่ง...





 “ขอเชิญกัปตัน ผู้ช่วยกัปตัน สจ๊วต แอร์โฮสเตส และเหล่าลูกเรือบริการของเที่ยวบิน DNS 7069 ขอเชิญรวมตัวที่ห้องบรีฟวิ่ง ในเวลานี้ด้วยค่ะ...ขอแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะคะ...ขอเชิญ..” เสียงประกาศขัดจังหวะบรรยากาศขุ่นๆของคนทั้งคู่ เทลิซ่าได้ทีรีบเผ่นออกมาจากตรงนั้น...บาเรลล์รู้สึกหงุดหงิดฉุนเฉียวที่ไม่ได้ยินคำพูดของหล่อนให้จบประโยค.. เกิดความสงสัยและความค้างคา ที่เขาตั้งใจไว้ว่าอย่างไรก็ตาม..ก่อนลงเครื่องกลับปารีสในเย็นนี้ เขาจะต้องรู้ให้ได้! ว่าหล่อนนั้น...พูดออกมาเพื่อสื่อถึงความหมายใด...และมันจะเป็นไปอย่างที่ใจเขาคิดเข้าข้างตัวเองเอาไว้..ใช่หรือเปล่า?




++++++++++++ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา++++++++++++





          ทิมมี่กระแทกคีย์บอร์ดอย่างหนักหน่วงจนปุ่ม Numlock บนแป้นเสีย กดตัวเลขอะไรก็ไม่ติด..เท่านั้นเขาก็แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบแล้วเดินหน้าเซ็งออกมาจากห้องนั้น เขาไม่รู้ว่าจะไปสถิตอยู่ที่ไหนในเวลานี้ หากเพราะว่ากว่าจะเตรียมตัวบรีฟงานที่ญี่ปุ่นก็ช่วงค่ำ เวรกรรมเขาจริงๆหากแต่ไม่นานเท่าไหร่นัก.. บริเวณห้องดื่มกาแฟที่มีเก้าอี้นั่งยาวไปตลอดแนวกำแพงกระจกขนาดใหญ่ที่สามารถนั่งชมวิวทิวทัศน์ที่หนาวเหน็บด้านนอกได้อย่างเพลิดเพลิน แต่ทว่าทิมมี่กลับไม่ได้รู้เป็นเหมือนเช่นคนอื่น สักพักความเงียบก็ปกคลุม ทำให้โสตประสาทรับรู้ว่ากำลังมีใครจะเดินเข้ามา เงาสะท้อนจากกระจกใสตรงหน้า
ทำให้ทิมมี่ไม่จำเป็นที่จะต้องหันกลับไปมอง “เขา” ...ชายหนุ่มที่เดินหน้าเศร้าในชุดกัปตันหนุ่มที่สะอาดสะอ้านและน่าหลงใหลไม่สร่าง แต่สำหรับทิมมี่นั้นกำลังจะพยายามมองผ่านให้เป็นเฉกเช่นคนที่ไม่เคยรู้จักกัน
                           


“...ฉันกะว่า... จบเที่ยวบินนี้เมื่อไหร่... ฉันจะขอพักยาวทันที...” คำพูดของกัปตันหนุ่ม.. พาให้ทิมมี่อดคิดในใจว่า แล้วมันเรื่องอะไรที่เขาจะต้องมาบอกด้วย หากแต่ความเป็นจริงส่วนลึกก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะพักยาว เพื่ออะไร?...


 “...บอกตามตรงนะ...ทิมมี่....” เสียงอ่อนล้า พลางกลืนน้ำลายลงคอที่แหกผากเพราะอากาศที่ปรับเปลี่ยนจนร่างกายของคนทำงานหนักรับสภาพอาการเหล่านี้ไม่ทัน


 “...ฉัน... ไม่อยากเจอหน้านาย... ฉันไม่อยากจะเจอ..ตลอดไป...” คำพูดที่เขาหลุดออกมาจากลมปากอุ่น ดวงตารื้นตื้นตันกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทิมมี่พยายามหันหน้าไปอีกทางเพื่อหลบเลี่ยงการมองเห็นของเหลวที่พร้อมจะไหลออกมาในไม่ช้านี้..
ความอ่อนแอที่ทำให้ทิมมี่เกลียดตัวเองว่าเพราะอะไร...จนป่านนี้ก็ยังตัดใจจากความรู้สึกบ้าๆเหล่านี้ไม่ได้เสียที


 “ผม...ก็ไม่อยากจะเจอคุณเหมือนกัน... คุณลูคัส” กัปตันหนุ่มรับฟัง เขานึกในใจว่าโชคดีเหลือเกินที่ทิมมี่ไม่หันกลับมาในเวลานี้... เพราะหากทิมมี่กระทำเช่นนั้น...หนุ่มหน้าหยกคงได้เห็นน้ำตาของเทวดาหนุ่มผู้อ่อนแอเช่นเขาคนนี้อย่างแน่นอน




 “คุณเป็นคนแรก..คุณดรอว์เยอร์......คุณเป็นคนแรก........ และคนเดียว....... ที่ทำให้ผม...ร้องไห้....” ในที่สุด ความอ่อนแอที่เขาควบคุมไม่ได้...มันก็เผยออกมาให้หนุ่มหน้าหยกรับรู้อย่างหน้าไม่อาย.. แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ที่ยืนหันหลังให้ก็อยู่ในอารมณ์เดียวซึ่งมันไม่ได้แตกต่างกันเลย




 “....คุณก็เหมือนกัน... คุณกาโรล..” คำพูดที่ต่างคนต่างเปล่งออกมา มันส่อแววให้เห็นถึงความห่างเหินต่อกันมากขึ้น.. กัปตันหนุ่มค่อยๆก้าวถอยหลังช้าๆ โดยที่ยังไม่หันหลังและเบี่ยงสายตาให้พ้นไปจากแผ่นหลังของคนที่เขารักไปเสียได้... ระยะห่างระหว่างคนสองคนเริ่มไกลมากขึ้นเรื่อยๆ และท้ายที่สุดก่อนที่กัปตันหนุ่มจะหันหลังกลับไป! คำพูดสุดท้ายที่หลุดออกมา... ทิ้งไว้ให้เหลือเป็นคำพูดของ “คนๆหนึ่ง” ที่พร้อมจะฝาก “คำพูดสุดท้าย” เอาไว้... ให้ทิมมี่ระลึกไว้ในความทรงจำตลอดกาล












 “.......ผมรักคุณ..... คุณดรอว์เยอร์....”







++++++++++++ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา++++++++++++






          เที่ยวบินไป-กลับระยะสั้น ปารีส-ออสเตรียเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการปฏิบัติหน้าที่ที่ต่างคนต่างพึงกระทำ ..ในขณะที่คนที่ยังอยู่เบื้องล่างอย่างหนุ่มหน้าหยกในเวลานี้กลับได้แต่แหงนมองน่านฟ้าที่มีเครื่องบินลำนั้น... ลำที่เขาคิดว่า “มีคนที่เขารัก” ซึ่งกำลังรับหน้าที่ฝากชีวิตผู้โดยสารทุกคนอยู่บนเวหา... เขาจะมีโอกาสได้รู้หรือเปล่า... ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ ก็ต้องการที่จะพูดคำว่า “รัก” ออกจากปากของตัวเองเช่นกัน...




บนเครื่องบิน.. คาบินที่สองของชั้นประหยัด เทลิซ่ากำลังทำหน้าที่เข็นรถอาหารกลับเข้าห้องเตรียมครัว พลันเจอกับผู้ร่วมงานระดับชั้นเดียวกันอย่าง ‘เควิน’...หล่อนรู้สึกย่ำแย่แต่ก็ไม่ได้สร้างสีหน้าหรือท่าทีน่าเกลียดอะไรออกมาให้เขาเห็น...
แต่เควินก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ใจเธอ





“เธอรักไอ้หมอนั่นมันแล้วใช่มั้ย?” คำถามที่มาพร้อมกับน้ำเสียงสั่น มันไม่ใช่อารมณ์เศร้าและเป็นน้ำเสียงและสายตาของคนที่กำลังเจ็บใจต่อเรื่องที่เขากำลังจะพูด...หญิงสาวหันมามองเขาด้วยสายตาราบเรียบราวกลับไม่มีความรู้สึกยินดียินร้ายกับคำถามที่ได้รับ



 “....มันเรื่องของนายรึไง?...”



 “มันไม่ใช่หรอก... แต่มันก็ไม่เชิง”



 “หมายความว่าไง” หญิงสาวถามกลับทันทีอย่างจับผิดจับถูก



 “เธอทำให้ฉันเสียหน้านะเทลิซ่า...ตอนแรกฉันคิดว่าฉันรู้สึกดีกับเธอแล้วแท้ๆ...” เทลิซ่ารู้สึกอึดอัดและอยากจะหาอะไรแถวๆนี้เขวี้ยงใส่หน้าที่เย้ยหยันเธอในยามนี้



 “แต่เธอมันโง่น่ะสิ...”



 “นายนั่นแหล่ะโง่! คิดว่าตัวเองมีดีอะไร?...”



 “ยังไงฉันก็ดีกว่าไอ้เสเพลนั่น!” เควินพาดไปนั่น



 “นายเอาคำพูดอะไรมาใช้เนี่ยเควิน...คนอย่างนายต่างหาก! ฉันไม่รู้หรอกนะว่าไอ้เรื่องผิดพลาดเมื่อไฟลท์ก่อนมันเป็นความผิดของใครกันแน่! แต่ฉันมั่นใจเป็นอย่างยิ่งเลยว่า..... ตัวนายเอง... ก็ต้องมีส่วนอยู่ไม่มากก็น้อยล่ะ!” เควินสะอึก...



“เธอพูดบ้าอะไร”



 “แล้วสักวัน ไม่ช้าหรอกนะ... นายก็จะรู้ดี...ว่าฉันพูดบ้าอะไร!” เทลิซ่าเดินสะบัดก้นออกมาจาก GALLEY ทิ้งให้เควินยืนกำหมัดแน่น ก่อนที่จะกระแทกมันไปตู้ไมโครเวฟอย่างคนเจ็บใจไม่น้อย และผลจากการกระทำของเขาก็คือ..กระจกเตาไมโครเวฟร้าวเป็นแนวยาวคากำมือ..





++++++++++++ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา++++++++++++





          ความเวิ้งว้างในศูนย์ฯลูกเรือในช่วงบ่าย พาให้ทิมมี่ ดรอว์เยอร์ เผลองีบหลับบนโซฟาหลังนุ่ม.. คุณซินดี้เดินผ่านไปผ่านมาก็ทำได้แค่ชำเลืองมองห่างๆอย่างห่วงๆ ขณะที่คุณโรสรอยด์เดินย้ายก้นเข้ามาเพื่อเตรียมตัวไฟลท์ไปสิงคโปร์ตอนสี่โมงเย็น เขารู้สึกดีเหลือเกินที่ไม่ต้องประสบพบเจอร่วมบินกับทีมเดิมๆที่ในเวลานี้เหินเวหาไปก่อนล่วงหน้าแล้ว..สามชั่วโมงที่ทิมมี่เผลอหลับไป...มีความฝันมากมายที่ดลขึ้นในหัว..แต่ล้วนในทุกๆความฝันนั้นต้องมีใบหน้าของคนที่ชื่อ ลูคัส กาโรล
อยู่ทุกฉาก ทั้งช่วงเวลาที่เขายิ้ม..ช่วงเวลาที่เขามีความสุข...ช่วงเวลาที่เขาพาไปเที่ยวในครั้งก่อน... และช่วงนาทีที่เขาเสียใจ... ทุกความรู้วนเวียนตามมาหลอกหลอนให้ทิมมี่รู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมแม้แต่เวลาพักผ่อน ฝันร้ายพาให้หนุ่มหน้าหยกผวาลุกขึ้นออกมา เพราะภาพสุดท้ายก่อนตระหนก




...ภาพที่เห็นกัปตันหนุ่มยิ้มเศร้าๆ ภายในห้องค็อกพิท...








และภาพเครื่องบินลำเดียวกันนั้น.. ร่วงลงสู่ผืนดิน!








หากแต่ฉับพลันที่ลืมตาตื่น!! เสียงอะไรบางอย่าง... ก็ดังเซ็งแซ่... ปลุกให้หนุ่มหน้าหยก หลุดจากภวังค์!
             
                           




หวอ...หวอ...หวอ...หวอ..หวอ...~!!!!!







++++++++++++ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา++++++++++++





พอจะเดากันออกมั้ยคะว่าเกิดอะไรขึ้น....  :sad11:  :sad11:


ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายแล้วนะคะ....เหล่าเทวดากำลังจะถึงจุดหมายแล้ว...


เตรียมผ้าขนหนูซักคนละผืนสองผืนก็คจะพอ.....   :o12: :o12:



 :z3: :z3:

ออฟไลน์ PlenG

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
TT^TT
ขอให้ไม่ใช่อยากที่คิด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






sunshadow

  • บุคคลทั่วไป



   ง่า. . . ลางไม่ดีเลย
   ความเศร้าหมองปกคลุมไปหมด
   ถ้าเป็นตามที่ฝันจริงมันจะไม่ใช่แค่คุณกัปตันน่ะสิ
   ก็เทลิซ่าก็ไปด้วยนี่นะ

   แต่จะจบแล้วจริงๆเหรอคะ T T
   


ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้ครับ

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
โอยยยย  อ่านแค่สามบรรทัดสุดท้ายแล้ว  ขอบอกว่า  รอตอนหน้าคับ  ขอยังไม่อ่านตอนนี้ดีกว่า

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:


กัปตันบิยในสภาพไม่พร้อมใด้ไง หม้ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย :m15: :m15:

littleFiNgeR

  • บุคคลทั่วไป


THE LAST FLIGHT : หิมะ...เริงไฟ
             



“ขณะนี้ดิฉัน มอแกน ดรัสปัวรองต์ กำลังอยู่ในพื้นที่ด้านนอกซึ่งติดกับตึกผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ซึ่งไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุก็คือหอสังเกตการณ์อีกประมาณหนึ่งร้อยเมตรข้างหน้านะคะ ในตอนนี้คุณผู้ชมจะเห็นเปลวไฟลูกใหญ่ด้านหน้า และเสียงระเบิดที่ยังดังระงมอยู่ไม่หยุด และเท่าที่ได้ทราบรายละเอียดสดๆร้อนๆจากผู้สังเกตการณ์ด้านในนะคะ สาเหตุที่เครื่องบินดานอสซี่แอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ DNS 7069 ชนกับหอบังคับการบิน เนื่องจากช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่เกิดเหตุ มีกระแสลมแรงและหิมะตกหนักมาก เป็นไปได้ว่าในช่วงเวลาที่เครื่องกำลังจะร่อนลง น่าจะเกิดลมกรรโชกหนัก และทำให้ตัวเครื่องกระแทกพื้นหลุดออกนอกเส้นรันเวย์ จนพุ่งเข้าชนหอบังคับการอย่างที่เห็นด้านหน้าในเวลานี้ล่ะค่ะ อ๊ะ ตอนนี้เราได้พบผู้สื่อข่าวอีกท่านหนึ่งแล้วนะคะ เราจะขอทราบราบละเอียดจากเขากันค่ะ”

เหยี่ยวข่าวสาวพร้อมตากล้องวิ่งฝ่าเสียงตูมตามที่อยู่ไม่ไกล เข้าไปประชิดกับนักข่าวอีกหนึ่งสำนักในขณะที่เจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยต่างออกมาตรึงกำลังกันแทบไม่ทัน เหล่าเหยี่ยวข่าวที่ประจำอยู่ในท่าอากาศยานอยู่แล้ว ว่องไวและลงพื้นที่ต้องห้ามได้เร็วกว่า.. ผลก็คือความโกลาหลที่เกิดขึ้นบริเวณลานกว้างที่นี่




 “ขอถามหน่อยค่ะคุณบีเกิ้ล! ตอนนี้ได้รับข้อมูลจากผู้ที่ติดอยู่ด้านในหรือยังคะ!?”


 “ยังครับผม! ตอนนี้ไฟยังไม่ดับ เราต้องให้คนฉีดน้ำดับไฟก่อน เราถึงจะดำเนินการช่วยเหลือผู้โดยสารและลูกเรือของดานอสซี่ออกมาครับผม!”


 “แสดงว่าตอนนี้ยังไม่ทราบเลยสิคะ! ว่ามีผู้บาดเจ็บสาหัสและผู้เสียชีวิตกี่คนบ้าง!?”


 “อ๋อ! สำหรับการคาดคะเนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของเจ้าหน้าที่ เห็นพวกเขาต่างคาดกันแล้วว่า... กัปตันและนักบินที่2 น่าจะเสียชีวิตคาที่ครับ! เพราะระเบิดมันเกิดขึ้นบริเวณส่วนค็อกพิทด้วย อย่างไรก็ตาม ผมจะไปสอบถามและติดตามรายชื่อของผู้ที่คาดว่าน่าจะเสียชีวิตทันทีนั้นมาให้เร็วที่สุดครับ!!”




++++++++++++ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา++++++++++++

                           

          หนุ่มหน้าหยกรู้สึกปวดหัวกับเสียงไซเรนที่ดังมาจากตึกอาคารผู้โดยสารข้างเคียง สายตาหันไปมองนาฬิกาแล้วมันบ่งบอกเวลาได้ว่าเกือบหกโมงเย็นแล้ว.. เขานึกในใจว่าทำไมเขาถึงได้งีบหลับไปนานเหลือเกิน ดวงตากลมกวาดไปทั่วห้องพักผ่อน ครั้นยังเดินออกมาที่ทางเดินยาว ตรงไปยังเคาว์เตอร์ด้านหน้าศูนย์ฯ ก็ยังไร้วี่แววของใครสักคนที่ทำงานอยู่ที่นี่ น่าแปลก... หายไปไหนกันหมด ทิมมี่นึกสังหรณ์ใจชอบกล แล้วด้วยเสียงไซเรนที่ดังเมื่อครู่นี้ มันเงียบหายไปทิ้งไว้เหลือเพียงความเงียบที่ทำให้ทิมมี่รู้สึกใจคอไม่ดี


          หนุ่มหน้าหยกสังเกตเห็นเงาของคนหลายคน อยู่ในห้องประชุมตรงหน้า... กระจกฝ้าที่มองเห็นเพียงเงาดำๆ แต่ทิมมี่ก็มองออกว่าพวกเขากำลังยืนนิ่งอยู่ในนั้น หากแต่เขาไม่รู้ว่าพวกคนในนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่... ฝ่ามือเรียวขาวจึงผลักประตูเข้าไป ไม่มีลูกเรือคนไหนหันมาสนใจทิมมี่เลยสักคนเดียว ..หากแต่ลูกเรือเกือบห้าสิบชีวิตที่ยืนนิ่ง สีหน้าอึ้งตะลึง ดวงตาเบิกกว้าง...มองขึ้นไปที่โทรทัศน์จอใหญ่ที่ห้อยอยู่ด้านบน ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับข่าวบางอย่าง... และทิมมี่ก็รู้สึกหวั่นไหวตามไปด้วยเมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำของคุณซินดี้และคุณโรสรอยด์... พาให้หนุ่มหน้าขาวในที่สุด.. เขาก็ต้องหันมองขึ้นไปยังหน้าจอโทรทัศน์..



++++++++++++ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา++++++++++++





          ควันโขมงภายในคาบินทุกๆระดับชั้นยิ่งด้วยชั้นเฟิร์สคลาสที่อยู่เหนือชั้นอื่นๆขึ้นไป ได้รับควันและขาดปริมาณออกซิเจนในอากาศมากที่สุด... เหล่าลูกเรือทุกๆคาบินจึงต้องไปรวมตัวกันบนนั้นเพื่ออพยพผู้โดยสารออกมาจากห้องมรสุม



 “...โอ๊ย... ช่วย..ช่วยที...” เสียงใครบางคนดังลอดมาจากกองเก้าอี้ที่ถูกแรงกระแทกจากระเบิดจนพังครืนล้มระเนระนาด อีกทั้งกล่องเก็บกระเป๋าด้านบนยังถล่มลงมาทับใครต่อใคร บางคนแน่นิ่งไป... แต่คนที่รอดก็พยายามส่งเสียง เทลิซ่าบุกเข้าไปในห้องเฟิร์สคลาสที่ย่ำแย่และพังพินาศสันตะโร ควันโขมงพาให้สายตาพร่ามัว แต่เสียงโอดครวญของคนรอดชีวิตยังคงระงมอยู่เบื้องหน้า เธอจึงจำเป็นที่จะต้องปีนป่ายเก้าอี้และชั้นตู้ต่างๆที่พังกองปิดทางเดิน


 “...เท...ลิซ่า...!” เจ้าของน้ำเสียงที่น่าเป็นห่วงนั้น คือชอริต้านั่นเอง... เทลิซ่าตกใจไม่น้อยที่เห็นหล่อนถูกรถเข็นอาหารขนาดใหญ่ทับร่างอยู่ เทลิซ่าพยายามใช้แรงที่มีเข็นรถนั้นให้ออกไปจากร่างชอริต้า...ในขณะที่เอลลี่วิ่งผ่าตรงเข้ามาช่วยด้วยสีหน้าและร่างกายสุดสะบักสะบอม


 “ออกไปจากที่นี่เร็วเข้า! หล่อนไหวไหมเนี่ย!!” เอลลี่ถามชอริต้าที่เทลิซ่ากับเอลลี่เองก็ช่วยพยุงร่างหญิงสาวทรงโต และพากันออกมา แต่ทว่า..





ตูม!!!






          ส่วนหัวของเครื่องบินระเบิดขึ้นอีกครั้งไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว... ควันไฟเลยยิ่งโหมกระหน่ำเข้ามาในห้องคาบินมากขึ้น.. แรงระเบิดพาสามสาวกระแทกล้มลงไปคนละทาง ชั้นประหยัดทั้งสองคาบิน เควินพยายามควบคุมผู้โดยสารให้มีสติ และช่วยพากันนำเฟอร์นิเจอร์ต่างๆในห้องที่พังครืนลงมาออกไปจากร่างของคนเจ็บ.. หากแต่เควินกลับไม่พบวี่แววของบาเรลล์!





โทรศัพท์ภายในตัวเครื่องบินถูกตัดขาด...




          ชอริต้าพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้น เรี่ยวแรงที่ยังหลงเหลือคว้าถังดับเพลิงสีแดงขึ้นมาถือในมือ ก่อนที่จะเดินทุลักทุเลตรงไปยังทางเดินสู่ห้องคอกพิท..ซึ่งในเวลานี้ภายในห้องไม่ต้องพูดถึง...มันถูกไฟไหม้วอดจนใครต่างก็คิดว่า..ผู้ที่อยู่ในนั้น...ไม่มีวันรอดออกมาเสียแล้ว



 “หล่อนจะทำอะไรยะ!! เดินออกมา!!” เทลิซ่าตะเบงเสียงสั่ง ชอริต้ายังคงเดินมุ่งสู่ค็อกพิท แม้ประตูและผนังกั้นจะยังไม่ถูกถล่มเพราะแรงระเบิด หากเพราะมันถูกสร้างให้ทนทานต่อแรงต้องห้ามเหล่านี้ หากแต่ยังมีควันที่ลอยออกมาอย่างไม่ปรานีสิ่งมีชีวิตด้านใน ชอริต้ากดฉีดสารดับเพลิงในตัวถัง เพื่อให้ควันมรณะหยุดการเคลื่อนไหว   แต่ดูจะเหมือนว่ามันไม่ค่อยจะเป็นผลในทางที่ดีสักเท่าไหร่นัก


 “ยัยบ้า!! ถังดับเพลิงนะยะ ไม่ใช่ถังดับควัน! หล่อนมาฉีดหาสวรรค์วิมานอะไร!!”


 “ก็ฉันหายใจไม่ออกนี่ยะ!! ฉันจะเป็นลมตายอยู่แล้ว!!”


 “เราก็ลงไปข้างล่างซี่!! บนนี้ก็ไม่มีคนแล้ว!!”


 “ต..แต่ว่า...” ชอริต้ากลืนน้ำลายเหนียว.. เมื่อหันไปมองประตูห้องค็อกพิท..ที่เธอได้ยินแต่เสียงเปลวไฟคุกรุ่นอยู่ในห้องๆนั้น.. อย่างไร้ซึ่งเสียงสิ่งมีชีวิตที่พวกเธอเรียกว่า “กัปตัน” ส่งเสียงออกมาจากด้านใน..


 “ชอริต้า.......... เขา...ทำดีที่สุดแล้ว...” เทลิซ่าพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ก่อนที่จะคว้าถังดับเพลิงจากมือของชอริต้าไปแล้วโยนทิ้งลงกับพื้น ฝ่ามือของหญิงสาวพาคนอีกคนวิ่งออกมาจากตรงนั้นด้วยสภาพที่ไร้เรี่ยวแรงทุกทีๆ เอลลี่ที่ยืนรออยู่ทางออกคาบินต่างรอปิดทางเดินฉุกเฉิน ทันที่ทั้งสามออกมาจากห้อง เอลลี่ก็ทำหน้าที่นั้นทันที



          สามสาวลงมาถึงชั้นล่าง..ชั้นประหยัดที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายโกลาหล เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่ว..คนขวัญเสียไร้สติต่างโวยวายกลัวความตายกันถ้วนหน้า ส่วนคนที่ได้สติก็ต่างนั่งภาวนานึกถึงพระผู้เป็นเจ้าให้ตัวเองอยู่รอดปลอดภัย เทลิซ่าในสภาพร่างกายที่สะบักสะบอม ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ชุดเครื่องแบบเปื้อนเขม่าควันสกปรก หล่อนยังคงเดินกวาดมองใครบางคนที่หล่อนยังไม่พบ... ทุกชีวิตเกือบร้อยชีวิตที่นั่งรวมกันอยู่ในชั้นประหยัดทั้งสองคาบิน ไร้ซึ่งลูกเรือที่ชื่อ บาเรลล์ คลูเซอร์.. บุรุษที่เทลิซ่ากำลังเดินหาน้ำตารื้นอยู่ในเวลานี้


          ในที่สุด... สุดทางเดินซึ่งมีประตูทางเข้าไปยังคาบินที่สามของชั้นเดียวกันนี้ หรือห้อง Business Class เทลิซ่าพบชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งก้มหน้า วางหน้าผากลงกับฝ่ามืออุ่น สีหน้าซีเรียสอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เทลิซ่าเดินตรงไปหาเขา.. น้ำตาของเธอไหลรินออกมาแล้วในเวลานี้



 “...เค...วิน....” ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกจากน้ำเสียงสั่นเครือ... ค่อยๆเงยหน้ามองหญิงสาวด้วยดวงตาแดงเรื่อ..


 “...น..นายเห็น... บาเรลล์มั้ย.....” เควินถอนใจยาว เขาก้มหน้าลงขนานพื้นคาบินอีกครั้ง... ครู่เดียว.. ฝ่ามือที่ยกขึ้น มันชูนิ้วโปงชี้ไปทางประตูด้านหลัง.. ราวกับจะบอกอะไรหญิงสาว... ให้เธอได้รู้..


 “หม...หมายความว่า..ไง?...” เสียงสั่นถามด้วยใจคอที่ไร้ซึ่งความรู้สึกดี


“.....บาเรลล์............เขา....... เขาอยู่...ข้างใน...” ดวงตากลมโตของหญิงสาวเบิกกว้าง.. มองไปประตูที่นิ่งราวกับถูกปิดตาย.. ความเงียบจากในห้องนั้นทำให้หล่อนขวัญเสีย ครั้นจะเดินตรงไปเปิดแต่เควินตะเบงเสียงห้ามไว้ฉับพลัน!


 “อย่าแตะต้องคันโยกประตูนะ!! มันเป็นสแตนเลส ร้อนมาก!... อย่างในไฟไหม้มากแล้ว...!” ชายหนุ่มหลุดปากพูดเหตุการณ์บางอย่างออกมาพาให้หญิงสาวหน้าถอดสีมากยิ่งขึ้น


 “.....ไม่จริง.....” หญิงสาวยังจะดึงดันที่จะเดินตรงไปที่ประตูบานนั้น ความไม่เชื่อทำให้ฝ่ามือของเธอเมื่อต้องสัมผัสกลับร้อนพองจนขึ้นลูกแดงอย่างรวดเร็ว เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทั้งฝ่ามือและหัวใจ   เควินตรงเข้ามาประคองเธอไว้ ... และในที่สุดหล่อนก็หมดสติไปในเวลาต่อมา...



++++++++++++ร้อยเล่ห์...เหลี่ยมเทวา++++++++++++




          เสียงฝีเท้านับหลายสิบคู่ วิ่งกันดังตุบตับตุบตับออกมาจากตัวท่าอากาศยาน สู่สนามรันเวย์มรณะ... คุณซินดี้และคุณโรสรอยด์รวมถึงทิมมี่ ดรอว์เยอร์ และลูกเรือคนอื่นๆ ต่างวิ่งพากันมุ่งหน้าไปที่จุดเกิดเหตุอย่างไม่มีความรู้สึกกลัวใดใด... ข่าวรายงานว่าไฟเริ่มสงบแล้ว.. เหล่าเจ้าหน้าที่กู้ภัยบุกสถานที่เกิดเหตุทันทีอย่างไม่มีโอกาสได้ใจเย็นหรือรอช้า...ออกซิเจนที่มันอาจจะหมดลงเรื่อยๆภายในตัวเครื่องบินลำนั้น ทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องลุกลี้ลุกลนทำงานกันอย่างไม่คิดชีวิต..เพื่อคนที่รอดชีวิตด้านใน.... และผู้ที่บาดเจ็บสาหัสต้องการการปฐมพยาบาลเร่งด่วน!


          เตียงรถเข็นถูกนำมาจอดเรียงรายไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุ หากแต่ทิ้งระยะห่างไว้ประมาณยี่สิบเมตรเพื่อให้ห่างจากวิถีประกายไฟ ทิมมี่ ดรอว์เยอร์ กระหืดกระหอบจะฝ่าสายโยงสีเหลืองซึ่งขึงกั้นเอาไว้ห้ามให้ผู้ใดย่างกรายเข้าไปใกล้นอกจากเจ้าหน้าที่กู้ภัยเท่านั้น ดวงตากลมของหนุ่มหน้าหยก เบิกกว้าง...มองเห็นส่วนหัวเครื่องบินที่มอดดำควันโขมง... กับตัวตึกหอบังคับการที่พังยับเยิน...น้ำตาไหลพรากออกมาเพราะใจที่นึกหวั่น.. คนที่อยู่ในนั้น...จะรอดชีวิตหรือไม่..เกือบสิบห้านาที
ที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยอพยพผู้โดยสารให้ออกมาได้ แต่ก็แค่ทีละคนเท่านั้น...


          ทุกๆคนที่ก้าวออกมาสู่เตียงรถเข็นพยาบาล ทิมมี่มองอย่างไม่วางตาบริเวณจุดช่วยเหลือ... ความหวังสุดท้ายที่เขาพึงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า..คือการได้เห็นกัปตันหนุ่ม คนที่เขา “รักเต็มหัวใจ” เดินออกมาจากช่องทางนั้นด้วยเช่นกัน... และไม่ว่าจะเป็นคนที่เท่าไหร่ที่จะเดินออกมา หรือไม่ว่าจะเป็นคนสุดท้ายก็ตาม.. ทิมมี่...ขอให้เขาออกมาอย่างมีชีวิตรอดปลอดภัย...คนแล้วคนเล่า... ยังคงเป็นผู้โดยสาร...คุณซินดี้กับคุณโรสรอยด์ต่างกระโดดโลดเต้นและส่งเสียงรับขวัญ


          ลูกเรือคนแรกที่ถูกช่วยเหลือออกมา นั่นก็แสดงว่าผู้โดยสารทุกคนถูกอพยพออกมาจนหมดสิ้นแล้ว...หากแต่ร่างลูกเรือคนแรกนั้น คือชายหนุ่มที่ถูกหามออกมาอย่างไร้ความรู้สึกใดใด.. ดวงตาซีดเผือดแปดเปื้อนไปด้วยเขม่าควัน เขาคือ บาเรลล์ คลูเซอร์ ศีรษะของเขาอาบเลือด ร่างกายส่วนล่างมีแผลฉีกขาด มือข้างหนึ่งมีผ้าอ้อมเด็กเกี่ยวไว้กับนิ้วมือ... เขาคงพยายามจะช่วยชีวิตเด็กคนหนึ่งให้ออกมาจากคาบินนั้น...หากแต่ผลคือเรื่องน่าที่เศร้า เด็กทารกผู้นั้นไม่มีวันที่จะได้ออกมาจากคาบินนั้นอีกเลย...ตลอดกาล...เอลลี่กับชอริต้า พยุงร่างของเทลิซ่า พ้นจากลำเครื่องมรณะ... สามสาวพากันประคองกันและกันออกมา ต่างน้ำตานองหน้าและยังช็อคกับเหตุการณ์ ทันทีที่ทิมมี่เห็นน้องสาว.. เขาวิ่งลอดผืนผ้าเหลืองที่กั้นเอาไว้แล้ววิ่งตรงเข้าไปรับร่างของน้องสาวที่สะลึมสะลือร้องไห้อย่างไม่ได้สติ...



 “ขวัญมาน้องรัก! เป็นยังไงบ้าง! เป็นยังไง!” มีแต่เสียงร้องไห้ตอบกลับ ผู้เป็นพี่ชายโอบกอดร่างน้องสาวไว้แน่น ส่วนชอริต้าและเอลลี่วิ่งไปสวมกอดเพื่อนร่วมงานทั้งที่สนิทและไม่สนิทที่ยืนเป็นกำลังใจอยู่ด้านนอกเส้นกั้นด้านหลัง...คุณซินดี้และคุณโรสรอยด์ปลอบขวัญให้คืนสติ ...ในขณะที่ทิมมี่พาน้องสาวเดินออกมา แต่เทลิซ่ากลับสะบัดตัว แล้ววิ่งตรงไปที่เตียงของบาเรลล์ที่กำลังจะถูกเคลื่อนเตียงมาทางด้านนี้...หญิงสาวตะเบงเสียงเรียกชายหนุ่มที่เธอ “รัก” วิ่งตามรถเข็นคนนี้ไปจนถึงรถตู้พยาบาลที่จอดเรียงรายอยู่เต็มไปหมด... ไม่ช้า...เสียงไซเรนของรถพยาบาลก็พากันเปิดดังระงมให้คนโดยรอบใจสั่นไปกับเสียงนั้นอีกครั้งหนึ่ง..


“คุณคือคนสุดท้ายใช่หรือเปล่า!?” เจ้าหน้าที่กู้ภัยตะเบงเสียงถามใส่โทรโข่ง... ทิมมี่ ดรอว์เยอร์ชะงัก หันไปมองที่ต้นเสียงและจับจ้องไปที่ทางออกของลำเครื่องนั้น... และในที่สุด.. คนที่ก้าวออกมาพร้อมเรี่ยวแรงที่อิดโรยเต็มที... คนๆนั้น ทำให้ทิมมี่ ต้องเหลือกตาโต... ด้วยความไม่คาดคิด!!
             

 “ใช่ครับ! ........ผม...คือคนสุดท้าย....” สิ้นเสียงของบุรุษร่างสูงตรงนั้น...พาให้เข่าของทิมมี่..อ่อนลงอย่างหมดแรง.. ร่างกายล้มลงกับพื้น น้ำตาไหลรินออกมาอย่างสิ้นหวัง...เมื่อคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าที่ประกาศตัวว่าออกมาเป็นคนสุดท้าย..









เขาคือ........ เควิน!







 “ไม่จริง.... ไม่จริง!............. คุณลูคัส!!! คุณลูคัส!!” ร่างของทิมมี่กระแทกลงพื้น... ไม่ช้าก็มีคนรอบข้างสังเกตเห็น... หนุ่มหน้าขาวอีกคนวิ่งตรงเข้ามาประคองเอาไว้... ทิมมี่ที่ดวงตาลืมปรือ...น้ำใสใสไหลรินออกมาเปื้อนแก้ม..มองโรเจอร์ ซินแคลร์
ที่กำลังอุ้มร่างเขาเข้ามาในตัวอาคารผู้โดยสารอย่างทุลักทุเล...สีหน้าหยกบิดเบี้ยว ความเจ็บปวดแน่นเต็มอกของเขา... ผู้สื่อข่าวมากมายวิ่งพรวดพราดสวนกันไปมาโดยรอบ...เสียงของเหยี่ยวข่าวเหล่านั้นที่รายงานสดกันอยู่ไม่ไกล มันดังระงมใส่โสตประสาททิมมี่ ดรอว์เยอร์อย่างชัดเจน...



 “ตอนนี้เจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังทยอยกันเข้าไปในตัวเครื่องบินนะคะ คิดว่าตอนนี้ควันเริ่มจะเบาลงแล้ว และไฟคงดับไปหมดแล้วค่ะ ภารกิจต่อไปของเจ้าหน้าที่ก็คือ การนำศพของกัปตันที่หนึ่งและกัปตันที่สองออกมาค่ะ คาดว่าข้อสันนิษฐานที่ว่าทั้งสองกัปตันเสียชีวิตคาที่น่าจะเป็นเรื่องจริงค่ะ และอีกทั้งข้อมูลจากคุณชอริต้า แซดเลอร์ แอร์โฮสเตสคนหนึ่งที่อยู่เหตุการณ์นะคะกล่าวว่า ก่อนที่จะกัปตันมือที่หนึ่งจะขึ้นเครื่อง เธอเห็นกัปตันมือหนึ่งมีสีหน้าเครียดมากและดูเหมือนคนอดหลับอดนอน ประจวบกับบรรยกาศที่แปรปรวนด้านนอก อย่างไรก็ตามที่มาที่ไป  เราจะรายงานกันให้ทราบเป็นระยะๆ ถึงสาเหตุของโศกนาฏกรรมครั้งนี้... ดิฉัน มอแกน ดรัสปัวรองต์ ...ช่อง C-Channel รายงาน”





END




จบแล้ว....จริงๆนะคะ....  :sad4:


พบกัน.....ในตอนพิเศษ....ตอนสุดท้าย....ของนิยายเรื่องนี้......


T^T


   .

ออฟไลน์ iforgive

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-80
อะไรเนี่ยะ  จบแบบนี้จริง ๆ เหรอ

Kusano ~~ Kawaii

  • บุคคลทั่วไป
อ่านยาวมาจนถึงตอนจบ

ปวดใจสุดๆ

ทั้งกัปตัน ทั้งบาเรล TT^TT


b.w.13

  • บุคคลทั่วไป
จบโหดมาก!!!
ไม่เอานะ อย่าจบอย่างนี้
จะร้องไห้แล้วอ่ะ T^T

sunshadow

  • บุคคลทั่วไป



   แง๊ว. . . จบอย่างงี้เลยเหรอค้าาาาา
   T T
   อย่างเศร้าเลยง่า แงๆๆๆๆ



ออฟไลน์ PlenG

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 136
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
... (TT^TT)

รอตอนพิเศษค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด