ตอนที่ 4 ความซวยมาเสิร์ฟถึงหน้าบ้าน
ปึก!แม่งเอ๊ย!!!
ผมกำลังนั่งลันลาอ่านหนังสือใต้ร่มไม้เย็นฉ่ำชื่นใจ แต่จู่ๆ มีเหตุให้ต้องหัวแทบทิ่มดิน! ผมหันหน้ามามองคนประทุษร้ายหัวที่สวยงามของผม เมื่อรู้ว่าเป็นใครผมก็ทำหน้าบูดทันที อีเจ๊ปาล์มมี่นี่เอง! ได้แต่ทำหน้าหงุดหงิดใส่เพราะทำอะไรมันกลับคืนไม่ได้ ไม่อยากโดนกะเทยแหบหัว อีกอย่างผมเป็นสุภาพบุรุษพอ ไม่รังแกสตรีจริงหรือสตรีปลอมหรอก!
“ไอ้ฟายพรีสต์! หน้าด้านจริงนะมึง!”
“อะไรของมึง?”
“ยังจะมาถามอีก ไอ้แห้ง คนอื่นเขานั่งขุดดินจะเป็นจะตาย มึงมานั่งดูรูปโป๊สนุกอารมณ์เปลี่ยวสยิวกิวสบายใจเฉิบ!” ไอ้ปาล์มหรือเจ๊ปาล์มมี่ถลึงตาใส่ พร้อมกับโวยเสียงดัง ผมหันไปมองเหล่ารุ่นน้องที่นั่งขุดดินในสวน พวกมันแอบมองมาทางผม ส่งสายตามาสนับสนุนเจ๊ปาล์มมี่ของพวกมันกันใหญ่ ฮึ! แล้วไงวะ กูไม่แคร์!
“มึงอยากดูด้วยเหรอ? ทำไมไม่บอก เดี๋ยวกูแบ่งให้” ผมตอบกลับหน้ากวนทีนสุดๆ อีเจ๊ปาล์มมี่ทำหน้าขยะแขยงใส่ ถุย! ก่อนที่มึงจะผ่าเหล่าแบบนี้ มึงก็เคยดูมาก่อนนั้นแหละ ทำเป็นกระแดะไปได้นะอีเจ๊!
“ของแบบนี้เจ๊ดูแล้วอยากจะอ้วก มันต้องแบบนี้สิย่ะไอ้แห้ง!” อีเจ๊ปาล์มมี่จุ๊ปาก ส่ายหน้าไปมา มันควักนิตยสารมาจากกระเป๋าพร้อมนำเสนออย่างภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ผมชะโงกไปดูให้ชัดๆ แล้วถอนหายใจทันที
“ผู้ชาย? อ่า! กูลืมไปว่ามึงเป็น...” ผมไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดใดๆ เห็นแค่หน้าปกก็ไม่กล้าดูเนื้อในต่อแล้ว หน้าปกเต็มไปด้วยผู้ชายกล้ามบึก! ผิวแทนจนดำ! สเปคมึงเหรออีเจ๊ โฮ~ กูรับไม่ได้สุดๆ
“กูไม่เข้าใจจริงๆ มีเหมือนๆ กัน แต่ทำไมมึงถึงชอบนัก ทำไมไม่ชอบแบบตรงกันข้ามแบบนี้ นี่! อกนุ่มนิ่มขย้ำทีโคตรมีความสุข แล้วยังมีปิ๊บอีก! โฮ~ พวกมึงหลงผิดแล้ว!” ผมส่ายหน้าไม่เห็นด้วย เปิดสมุดภาพยืนยันคำพูด สงสัยมานานแล้ว มีผู้หญิงตั้งมากมายทำไมมันไม่ชอบดันชอบผู้ชายด้วยกัน เมื่อก่อนเจ๊ปาล์มมี่จัดได้ว่าเป็นหนุ่มหน้าตาดีมีสาวกรี๊ด แต่ดันเป็นกะเทยไปซะนี่
“มึงจะไปรู้อะไร ไอ้แห้ง ของเหมือนๆ กันน่ะมันจะตายน่ะเฟ้ย”
ดูมัน แหม ทำหน้าเหยียดหยามใส่อีกแน่ะ เหมือนผมเป็นคนผิดแผดแตกต่างไปซะอย่างนั้นแหละ ผมยักไหล่ ไม่มายด์
“เฮอะ มีเหมือนๆ กันไม่นานก็เบื่อ กูยังไม่เคยเห็นว่ามึงจะคบกับใครได้นานเลยนี่”
อีเจ๊ปาล์มมี่เงียบกริบเมื่อพูดแทงใจดำ ไม่แค่นั้น ไอ้สตางค์ที่นั่งเงียบหันขวับมาจ้องผมด้วยสีหน้าซีดๆ อะไรของมันฟะ? ตกใจอะไร? ผมไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมพื้นที่ ไอ้บู๊ลิ้มซึ่งกำลังปิดดูรูปโป๊เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ
“ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย เมื่อมีจุดเริ่มต้นก็ย่อมมีจุดจบ กูก็ยังไม่เคยเห็นมึงคบกับใครนานเลยนี่ไอ้พรีสต์” เมื่อพูดประโยคแสนมาดแมนนั้นออกมา มันก็เงยหน้ายิ้มเท่ โฮ~! ไอ้พระเอกหนังจีน! โคตรเท่เลยมึง! ผมไม่พูดอะไรกลับ ขี้เกียจเถียงไอ้พระเอกหนังจีน
“มึงเป็นเหี้ยอะไร หน้าซีดๆ กินข้าวมาหรือเปล่าวะ?” ผมอดถามไอ้สตางค์ไม่ได้ ไอ้นี่ก็หน้าซีดเอาๆ อย่ามาเป็นลมเป็นแล้งแถวนี้นะ ไม่มีอารมณ์จะช่วยชีวิตคน ไอ้บู๊ลิ้มหัวเราะอวดฟันขาวสะอาดเรียงสวย มันเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนฝัน
“นั้นเพราะมึงยังไม่เคยเจอกับคนที่ใช่ แต่ถ้ามึงเจอกับคนที่ใช่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย มึงจะเข้าใจว่าอะไรคือตลอดไป อะไรคือนิรันดร์”
“อู้วววว~ เน่าเลยสาดดดด!” ไอ้แซมนั่งข้างๆ ผมทนคำพูดเลี่ยนของไอ้บู๊ลิ้มไม่ไหวหอนออกมา สะบัดขนลุกขนพอง ผมเองก็ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว โอ้~! ไอ้เพื่อนนักรักของกู มึงเลี่ยนมากกว่าเดิมอีก ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่วัน ใครไปอัพสกิลเน่าให้มันวะเนี่ย!?
“ต๊ายตาย กดไลค์ค่ะ” อีเจ๊ปาล์มมี่ตรงข้าม กระดี๊กระด๊ารับหน้าบานที่มีคนมาเถียงให้ ชิชะ!
“งั้นมึงเจอคนที่ใช่แล้วเหรอไอ้เหี้ยบู๊?” พอผมถาม ไอ้เวรนี่มันก็ยิ้มรับซะหวานเลี่ยนจนผมกับไอ้แซมพร้อมใจกันอ้วกออกมาอีกรอบ เป็นเอามาก! เพื่อนกูเป็นเอามากเลยน่ะเนี่ย!?
“แล้วมึงรู้ได้ไงว่านั้นเป็นคนที่ใช่ของมึง?”
“ถ้ามึงเจอ มึงก็รู้เองนั่นแหละ อย่าถามมากเลยว่ะ มันอยู่ที่ใจ”
“อู้วววว~ วันนี้กูแดกข้าวไม่ลงแน่!” ไอ้แซมทำปากจู๋แซวไอ้บู๊ลิ่ม ได้ยินจากไอ้แซมว่าไอ้บู๊ลิ้มมันจริงจังขนาดลบเบอร์สาวๆ ในมือถือออกทั้งหมด แถมวันนี้มันยังทำตัวเป็นเด็กดีมานั่งสุมหัวกับพวกผมด้วย ปกติสุดสัปดาห์แบบนี้มันออกไปเที่ยวแล้ว ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อ ครั้งนี้ของจริงแน่ๆ!
“กูอยากจะเห็นน้ำหน้าคนของมึงจริงๆ สวยขนาดไหนถึงทำให้ไอ้เสือบู๊ทิ้งลายได้” ผมพูดพลางหมุนคอไปมาคลายอาการเมื่อย นั่งนานก็เมื่อยได้เหมือนกัน ผมส่งสายตาพิฆาตไปให้พวกเด็กๆ ที่แอบอู้ ตั้งอกตั้งใจเงี่ยนหูฟังว่าหวานใจตัวจริงของไอ้บู๊ลิ้มมันคือใคร หน็อย เผลอไม่ได้เชียวนะไอ้พวกบ้านี่!
“สวยเหรอ? ไม่เฉียดเลยว่ะ” ไอ้บู๊ลิ้มเอ่ยเรียบๆ ไม่รู้ว่าเสียใจหรือไม่เสียใจกันแน่
ผมกับไอ้แซมทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ หน้าตาไอ้บู๊ลิ้มออกจะหล่อแล้วแฟนมันไม่สวยได้ไงวะ!?
“ไม่สวยเหรอวะ?”
มันเสือกพยักหน้า ไอ้สตางค์หันขวับไปมองไอ้บู๊ลิ้มเขม็ง พวกผมจ้องกันตาเขม็ง จะให้เชื่อได้ยังไง ถึงมันจะไม่เลือกแต่ระดับจอมยุทธ์บู๊ลิ้มแล้วมีแต่สาวสวยเข้ามาเจ๊าะแจ๊ะด้วยทั้งนั้น มึงอำเปล่าวะเนี่ย!?
“มึงอำหรือเปล่าวะ?” ขนาดอีเจ๊ปาล์มมี่มันยังไม่เชื่อเลย แล้วพวกผมจะเชื่อเหรอ พวกผมนั่งจ้องกดดันไอ้บู๊ลิ้มที่นั่งดูรูปโป๊อย่างไม่สะทกสะท้าน พวกผมจ้องอยู่นานสองนานจนกระทั่งไอ้บู๊ลิ้มต้องถอนหายใจแล้วพึมพำเบาๆ เสียไม่ได้
“ผู้ชายมันจะสวยได้ยังไงล่ะ”
“...” พวกผมอ้าปากค้างทันที
ผม ไอ้แซมพ่วงด้วยอีเจ๊ปาล์มมี่นั่งให้งองูสองตัวชนกันไปมาในหัว ไม่มีใครพูดอะไรสักคำ ผมรีบแคะหู สงสัยจะไม่ได้แคะนานได้เกาะกันหนาจนฟังผิดพี้ยนแบบนี้ มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน!? คิดดูสิ ไอ้เสือล่าสมันสาวสุดท้ายมางาบตัวผู้เนี่ยนะ? ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ไอ้แซมก็หัวเราะเหมือนกัน ผมกับมันหันมามองกัน พยักหน้าอย่างเข้าใจซึ่งกันและกัน
มึงกับกูฟังผิดแหงๆ!
“มึงล้อเล่นหรือเปล่าวะไอ้ตีบ!?”
“จุ๊ๆ อย่าเสียงดังสิเจ๊ ถึงมันไม่สวยแต่ก็น่ารักดีน่ะโว้ย เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้ว!” ไอ้บู๊ลิ้มปิดสมุดภาพดังปึก มันยกนิ้วมาแตะปากพูดเสียงเบาด้วยใบหน้ากะล่อนใส่พวกผม แล้วหันไปฟาดสมุดภาพใส่หัวไอ้สตางค์เบาๆ ผมกับไอ้แซมนั่งเป็นรูปปั้นนักคิดเลย พวกเราสองคนได้แต่พึมพำว่า ‘เพื่อนกูๆ’
“พวกมึงสองคนก็พอได้แล้ว! มาพึมพำอะไรกัน มันหลอนนะโว้ย!” ไอ้บู๊ลิ้มหันมาโวยวายใส่พวกผมสองคน พวกกูไม่ใช่อีเจ๊ปาล์มมี่นะโว้ย ถึงได้ปรับตัวเร็วอย่างกับปรอท ขอทำใจบ้าง! แหม พูดด้วยหน้าจนคิดว่ากำลังพูดถึงดินฟ้าอากาศตามปกติซะอีก
“โฮ แสดงว่าต่อไปนี้ก็ไม่มีใครมาเป็นคู่แข่งกับกูแล้วสินะ?” ไอ้แซมยิ้มกระหยิ่มทันที
ถุย! ถึงไม่มีไอ้บู๊ลิ้ม ยังไงผู้หญิงก็ไม่สนใจมึงเหมือนเดิมนั้นแหละไอ้แซม! ไอ้บู๊ลิ้มยิ้มจนตาตี๋ๆ หยี
“ไอ้เหี้ยแซม สงสัยมึงลืมนึกถึงคนนั่งข้างๆ มึงน่ะโว้ย นั้นก็เสือสมิงอีกตัวล่ะ!”
“เชอะ อย่าให้กูหน้าตาดีแบบพวกมึงล่ะกัน!” ไอ้แซมสะบัดหน้างอนตุ้บป่องลุกขึ้นไปขุดดินทำใจกับพวกรุ่นน้อง ผมมองตามมันแล้วอมยิ้มกับท่าทางน่าขันนั้น ไม่รู้จะช่วยมันยังไงดี เพราะไอ้เรื่องหน้าตามันเป็นตั้งแต่เกิด! ฮ่าๆๆๆ คงต้องบอกให้ทำบุญชาตินี้มากๆ ชาติหน้าอาจเกิดมาหน้าตาดีบ้าง
“แล้วตอนนี้มึงคบอยู่กับพี่ฟ้าอยู่เปล่าวะไอ้พรีสต์?” ไอ้บู๊ลิ้มหันมาถามผม มึงสนใจเรื่องกูทำไมวะ? ผมไหวไหล่
“ทางใครทางมันตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว”
“เฮ้ย! ไมวะ?” ไอ้สตางค์หันมาถามอย่างตกใจ
อะไรของมึงวะ ตกใจอีกล่ะ!? ฮึ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วนี่น่า ถึงผมจะหน้าตาไม่หล่อเหลาเทรนด์กิมจิแบบไอ้บู๊ลิ้ม ไม่หล่อเทพแบบไอ้เวรโซโล่ แต่ผมก็หน้าตาดีพอตัวล่ะน่า ไม่งั้นสาวๆ จะเข้ามาหลงผมทำไม? ผมคบกับใครได้ไม่นาน จำได้ว่านานที่สุดคือหนึ่งเดือน มันมีปัจจัยหลายๆ อย่างที่ทำให้ผมคบกับแฟนคนที่แล้วๆ มาไม่ได้นาน หึ! ผมตอบไอ้สตางค์ไปอย่างเซ็งๆ
“บังเอิญพี่ฟ้าไปเจอกูอยู่กับหลิงว่ะ”
“ซวยเลยล่ะสิมึง”
“เออ”
“ทำไมมึงไม่คบกับหลิงเลยวะ?” ไอ้บู๊ลิ้มเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย หลิงสาวสวยขาวหมวยเรียนบัญชี ผมไม่แน่ใจว่าเธอคิดอะไรกับผม แต่สำหรับผมแล้วเธอเป็นเพื่อนคนหนึ่งเท่านั้น บางทีสำหรับเธออาจจะคิดว่าผมเป็นผู้มีพระคุณอะไรแบบนั้น มีคนเข้าใจผิดอยู่เหมือนกันว่าผมกับหลิงเป็นผัวเมียกัน (ทำไมกูมีพวกเข้าใจผิดเรื่องนี้เยอะจังว่ะ)
“เหี้ยบู๊ กูไม่ได้ชอบหลิงแบบนั้น หลิงเองก็ไม่ได้ชอบกูเหมือนกันแหละ”
“เฮอะ ไอ้พรีสต์!” ไอ้สตางค์เรียกผมเสียงสูงปรี๊ดอย่างแคลนๆ อะไรของมึง? ไอ้สตางค์ถอนหายใจมองผมอย่างกับเด็กอมมือสามขวบ
“นี่หรือเสือพรีสต์ที่ว่าร้อยศพ”
“อะไรของพวกมึง?”
“เหี้ย มึงโง่จริงหรือแกล้งโง่ อีหลิงแม่งแสดงออกจนตัวสั่นว่าอยากจะเป็นเมียมึงขนาดนั้นน่ะ!”
“อีเจ๊ มึงก็พูดเกินไป”
“หึ ไม่เกินล่ะแห้งเอ๊ย”
อะไรวะ? ผมทำอะไรผิด เจ๊ปาล์มมี่ยังร่วมวงมองผมอย่างเหยียดหยามอีก
ผมมองหน้าอีเจ๊ปาล์มมี่แล้วมองคนอื่นๆ ผมถอนหายใจเฮือก พวกมันพยักหน้ากันหงึกๆ เป็นการยืนยัน กูไม่ต้องการการยืนยัน! พวกมึงมายืนยันทำไม? อุตส่าห์ทำใจแกล้งโง่มาตั้งหลายปี กูไม่ได้ชอบเขา แค่สงสารเขา ไม่ผลักไสไป ชีวิตเขาน่าสงสารจะตาย ถ้าผมไม่บังเอิญช่วยไว้ในตอนนั้น ไม่รู้จิตใจของผู้หญิงคนนี้จะโดนทำร้ายไปถึงขนาดไหน แต่จะให้เป็นแฟนกับคนที่ไม่ชอบ เรื่องนี้ขอทีเถอะ ผมไม่ชอบบังคับใจตัวเอง! ชอบก็คือชอบ เกลียดก็คือเกลียด
“แล้วกับอีคุณนายฮิลเลอร์นั้นล่ะ?”
“โอ๊ยยยย! กูจะบ้าจริงๆ นะโว้ยอีเจ๊ เรื่องเหี้ยๆ แบบนี้ใครมันเอาไปพูดวะ กูกับยัยเมย์ไม่มีทางจะเป็นแฟนกันได้แน่นอน เจอหน้าก็มีแต่ปล่อยสรรพสัตว์ใส่กัน โนเวย์ เลิกถามกูได้แล้ว ตอนนี้กูโสดไม่ซิงเฟ้ย”
“เออ โสดเป็นเพื่อนกูก็ดีแล้ว” อีเจ๊ปาล์มมี่พยักหน้าเข้าใจ หันไปเก็บสมุดรูปนายแบบหุ่นบึกเข้าไปในกระเป๋า ลุกไปช่วยไอ้แซมและรุ่นน้องปลูกดอกไม้ ผมโล่งใจ ไปก็ดีกูจะได้สบายหู
“กูไปยกถังปุ๋ยก่อนนะ” ไอ้บู๊ลิ้มหันหน้ามาบอกกับไอ้สตางค์ที่นั่งข้างๆ เมื่อเห็นไอ้แซมโบกมือไหวขอความช่วยเหลือ ไอ้เตี้ยมันพยักหน้าโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองเลยสักนิด ไอ้บู๊ลิ้มจ้องเพื่อนตัวเตี้ยอยู่นิดหน่อยก่อนจะผละออกไปช่วยไอ้แซมที่ตะโกนมาสั่งยิกๆ
“อย่าทำน้ำลายหกใส่นะโว้ย เล่มนั้นกูยังไม่ดู” ผมหันมาเอ่ยปรามไอ้สตางค์ เมื่อเห็นมันก้มมองซะชิดติดหน้ากระดาษ นานอยู่พักใหญ่ไอ้สตางค์เงยหน้ามองไปรอบๆ จากนั้นมันก็เรียกผมเสียงเบาเหมือนยุง
“มีไร กระซิบทำเหี้ยอะไรของมึง?”
“เบาๆ หน่อยสิวะ กูแค่อยากถามว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
“ก็ไม่มีอะไรนี่” ผมรีบตอบกลับอย่างร้อนตัว ไอ้เหี้ยสตางค์ มันรู้อะไรหรือไงวะ!? ผมพยายามทำตัวเป็นปกติเพื่อไม่ให้ไอ้เพื่อนรักจับพิรุธใดๆ ได้ ไอ้สตางค์จ้องผมแทบทะลุ
“แน่ใจนะ?”
“เออ กูไปกินเหล้ากับพี่วัฒน์แค่นั้นแหละ”
“เหรอ? ไอ้โซโล่ไม่ได้ทำอะไรมึงเลยเหรอ?”
ผมสะดุ้งเล็กน้อย ไอ้...ไอ้เหี้ยสตางค์! รู้ได้ไงว่ากูเจอไอ้โซโล่!? มันมีสายสืบหรือว่ามันมีญาณวิเศษ!? อีกอย่างผมไม่อยากพูดหรือคิดถึงเจ้าบ้านั้นเลย เดี๋ยวแม่งนรกก็ดลบันดาลให้มันมาเดินเล่นแถวนี้หรอก เป็นอันจบเสร็จชีวิตกันพอดี เมื่อคืนผมคิดหาวิธีหลีกหนีไอ้โซโล่มันเกือบไมได้นอนอีกคืน ให้ตายเถอะ! ขอให้ไม่เจอหน้ามันอีกก็พอแล้วล่ะครับ
เฮอะๆ คนสติดีที่ไหนจะไปเป็นทาสให้มันล่ะเฟ้ย! ผมไม่ได้โง่ขนาดนั้นน่ะ ไพ่ตายสุดท้ายที่ผมทิ้งไว้คือการหนีนี่แหละ! ถ้ามันฉลาดหน่อย มันควรทำอะไรบางอย่างที่ผมปฏิเสธไม่ได้ แต่มันโง่เอง แค่ยึดมือถือหรือกระเป๋าตังค์อะไรพวกนี้ก็ทำให้ผมไม่กล้าขัดคำสั่งแล้ว ช่วยไม่ได้ มันโง่เอง!
“ก็ไม่มีอะไรนี่ ดื่มใครดื่มมัน”
“ก็ดีแล้ว กูตั้งใจจะบอกมึงตั้งแต่เมื่อวาน แต่มึงเหี้ยเองดันชิงหมาเกิดทิ้งภาระให้กู เลยเตือนมึงไม่ทัน ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว กูล่ะกลัวมึงเสร็จไอ้ห่าโซโล่จริงๆ” คนเตี้ยบ่นเป็นหมีหิวน้ำผึ้ง ผมทำหน้าหงิก
กูเกือบเสร็จมันแล้ว...
เวรสตางค์เอ๊ย ทำไมมึงไม่เตือนให้เร็วกว่านี้ล่ะ ไอ้เตี้ย! ปล่อยให้เพื่อนผู้บอบบางไปเผชิญหน้ากับไอ้เวรสารเลวนั้นโดยไม่มีแผนการรับมือ เหมือนเตะอ้อยเข้าปากช้างน่ะสิ!
“กูไม่มีทางเสร็จมัน มึงไม่ต้องห่วง มันไม่มีทางแก้แค้นกลับได้แน่ๆ” พูดไปแบบนั้นแต่ในใจของผมแทบจะหลั่งน้ำตา ตั้งแต่วันนี้ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ โธ่~! ชีวิตปีสามในมหาวิทยาลัยอันสดใสของผม!
“...กูไม่ได้หมายความอย่างนั้น กูรู้ว่ามึงฉลาดแต่กูกลัวมึงพลาดพลั้งเสียตัวให้มันน่ะสิ ไอ้ห่าโซโล่มันเป็นไบน่ะโว้ย ผู้หญิงก็ได้ผู้ชายก็มันก็เอา ขอให้ถูกใจเป็นพอ” ไอ้สตางค์กระซิบกระซาบ ใบหน้าจริงจังสุดๆ ผมนี่หน้าเหวอไปเลย หา! ไอ้เหี้ยโซโล่เป็นไบงั้นเหรอ!?
เชี่ยแล้วกู!!!
ผมดันไปจับมันจูบซะดูดดื่มขนาดนั้น โอ บัดซบ ถ้ามันติดใจรสจูบของผมขึ้นมาล่ะ โอ๊ยยย! คิดแล้วเสียววาบในอก ผมหน้าซีด เบิกตากว้าง จิตหลุดล่องลอยหายไป ก่อนตั้งสติ เม้มปากเพื่อรวบรวมกำลังใจทั้งหมดทั้งมวล เอาว่ะ จากที่ผมเคยถามพวกชื่นชอบวิ่งเล่นในป่าเดียวกันมาแล้ว อย่างอีเจ๊ปาล์มมี่ สบายใจได้เปราะหนึ่ง พวกมันไม่สนใจเอาผมเป็นผัวสักนิด ด้วยเหตุนี้ทำให้ผมอยู่อย่างสงบสุขกับพวกเก้งๆ กวางๆ
“ไม่มีอะไรหรอก อย่างกูนี่ ผู้ชายเขาไม่สนใจหรอกเฟ้ย มีแต่สยองกันน่ะสิ”
“มึงเคยส่องกระจกบ้างหรือเปล่า?” ไอ้สตางค์สวนกลับมาเร็วซะผมตั้งรับไม่ทัน
“ส่องสิ มีใครบ้างไม่ส่อง เหี้ยนี่!”
“กูยิ่งเป็นห่วงมากกว่าเดิมอีกว่ะ” ไอ้สตางค์ถึงกับแห้งเหี่ยวลงในพริบตา
“อะไร? กูพูดอะไรผิด? จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่เห็นมีตัวผู้หน้าง่าวที่ไหนมาเจ๊าะแจ๊ะกับกูเลยนี่” ผมอ้างเหตุผลแล้วหันไปมองไอ้สตางค์ที่นิ่งเงียบ มันทำหน้าหนักอกหนักใจ ผมระบายยิ้ม รู้สึกขำหน้ามันขึ้นมา โฮ~ เพิ่งเห็นโหมดจริงจังของไอ้สตางค์ ตั้งแต่เข้ามาเรียนที่นี้ก็ไม่ได้เห็นมานานแสนนานแล้ว
“เหี้ยเอ๊ย ไม่ต้องมายิ้มเลยมึง! ต้องขอบคุณวีรกรรมสมัยก่อนของมึงถึงไม่มีใครกล้าเข้ามาวุ่นวายด้วย แต่สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว มึงฟังกูให้ดี ห่างจากไอ้เหี้ยโซโล่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เข้าใจไหม?”
“เออ” ผมรับปากทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไรมากมาย เพราะตอนนี้ผมก็ขออยู่ห่างจากมันก่อนล่ะว่ะ ขืนเจอสิ ซวยแน่! ทาสเชียวนะ! ถ้าผมถูกจับไปถ่วงน้ำ ฆ่าหมกป่าระบายความแค้นจะทำยังไง ผมต่อสู้ไม่ได้ซะด้วย จะกลับคำก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะกลายเป็นเสียศักดิ์ศรี ลูกผู้ชายอกสามศอกพูดแล้วไม่คืนคำ! ทำได้อย่างเดียวคือวิ่งหนีล่ะนะ แล้วจะต้องวิ่งหนีมันไปตลอดชีวิตเลยหรือเปล่าวะ? เฮ้อ!
“ไม่ต้องห่วงหรอก กูมีแผนรับมือ” ไอ้สตางค์พูดพร้อมกับโน้มตัวมาหาผม ผมชะโงกหน้าไปฟังอย่างสนใจ
“กูจะส่งเหยื่อที่แสนจะยินดีพลีกายเป็นเครื่องสังเวยไปให้ไอ้โซโล่ มันก็จะวุ่นวายจนไม่สนใจเรื่องของมึง สักพักเดี๋ยวมันก็ลืมเรื่องมึงแล้ว ระหว่างนั้นมึงอยู่เงียบๆ นะโว้ย”
“โอ้!” ผมพยักหน้ารับแล้วโผเข้าไปกอดไอ้สตางค์เพื่อนรักด้วยความรู้สึกซาบซึ้งสุดใจ ไอ้เพื่อนรัก! มึงนี่พึ่งได้เสมอเลยนะ แต่ทำไมมันใจดีแปลกๆ แบบนี้หว่า? แม้จะสงสัยแต่ผมก็ไม่คิดมาก รีบแสร้งซับน้ำตาซาบซึ้งในน้ำใจ ไอ้สตางค์ตบหัวผมดังผัวะ ไอ้เวรนี่! ตบมาซะแรง
“ขอรับแค่น้ำใจ ไม่ต้องกอด”
“เออ!”
“เอ่อ...กูขอถามอะไรหน่อยได้ไหมวะ?”
“ว่ามา!”
“เอ่อ... มึงคิดยังไงกับเรื่องไอ้บู๊ลิ้ม ที่มันคบผู้ชายน่ะ?” จู่ๆ ไอ้สตางค์มันก็ถามขึ้นมา ผมหันหน้ามามองไอ้สตางค์แวบหนึ่ง อย่าบอกนะ อย่าบอกว่ามึงกับมันคบกัน! ผมเงียบไปไม่ตอบ ไอ้สตางค์ก็รีบโบกมือ
“ไม่เกี่ยวกับกู แค่อยากรู้เฉยๆ” มันปฏิเสธเสียงแข็ง ผมหรี่ตามอง เอาเถอะถึงมันจะคบกับไอ้บู๊จริงๆ ผมจะไปว่าอะไรได้ ผมไม่ใช่พ่อมันสักหน่อย แล้วถ้าผมไม่พอใจมันจะเลิกคบหรือไง ก็ไม่ใช่ไหมล่ะ ผมยักไหล่ไม่สนใจ
“จะไปคิดอะไร เรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของกู”
“มึงไม่ได้เกลียดพวกเกย์อะไรนี่เหรอ?”
“ไม่นิ” ผมเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ เกลียดทำไม ไม่ได้มาเป็นบนหัวของผมนี่น่า ไม่ได้วิปริตเกลียดขี้หน้าใครต่อใครมั่วซั่วขนาดนั้นสักหน่อย
~~~ ไม่คิดจะคบใครจริงจัง เพราะไม่อยากทำร้ายใคร
และไม่ได้คิดว่าตัวเองดัง หรือว่าเป็นคนหลายใจ
ก็ชั้นแค่ใจร้าย ชั้นแค่ใจร้าย ทุกวันก็เตือนตัวเองในใจอย่าไปทำร้ายคนอื่น ~~~
ผมขยับตัวล้วงเอามือถือที่แผดเสียงเพลงใจร้ายของ ILLSLICK ระหว่างนั้นสังเกตเห็นสีหน้าเพื่อนตัวเตี้ยดีขึ้นจากตอนแรก คลายจะโล่งใจ มันโล่งใจอะไรวะ? ผมไม่มีจังหวะที่จะถามเพราะพอเห็นหน้าจอโชว์ชื่อ ‘ยัยปีศาจ’ ผมก็ถอนหายใจโล่งผสมตื่นตระหนก โล่งอกที่ไม่ใช่เบอร์แปลกๆ ที่น่าจะเป็นไอ้เวรโซโล่ ตื่นตระหนกก็เพราะคนที่โทรมาเป็นคนที่ผมไม่อยากเจอน่ะสิ กว่าจะตัดสินใจรับก็นานอยู่เหมือนกัน พอรับสายเสียงแหลมๆ ก็ดังผ่าเข้าหูผมทันที อย่างที่คิดเอาไว้เป๊ะ
[ไอ้น้องเวรรรร!!! รับสายช้าจริง กะจะให้รอจนเหงือกแห้งนมเหี่ยวเลยหรือไง!?]
“นมพี่ก็เหี่ยวอยู่แล้วนี่” ผมย้อนด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
[แกว่าอะไรนะ!?]
“เปล่าฮะ พี่สาวคนสวยของพรีสต์มีอะไรให้รับใช้หรือฮะ?”
คนที่กำลังพูดสายอยู่นี่คือพี่สาวคนรองของผมเอง เป็นบุคคลต้องห้ามสำหรับผมเลยแหละ ยังจำเรื่องที่ผมเคยบอกว่าบ้านรกอย่างกับรังหนูไหม? อันที่จริงแล้วผมน่ะรักความสะอาดนะ แต่ที่บ้านมีสภาพแบบนั้นเพราะมันมีมาร มารที่เรียกว่าพี่สาวนี่แหละ!
มาบ้านผมทีไรก็จะมารื้อนั้นรื้อนี้ ทิ้งนั้นทิ้งนี้ ผมแทบจะร้องไห้ แล้วผมก็ไม่ได้มีเวลาที่จะมานั่งคอยทำความสะอาดบ้านให้ซะด้วยสิ พี่แกก็มาทุกวี่ทุกวัน บางครั้งก็มีพักค้างคืนบ้าง ถ้าทะเลาะกับแฟนก็หนีมากินเหล้าที่บ้านพักของผม กินที่บ้านไม่ได้เพราะพี่สาวคนโตจะจิกหัวกินตับเอา!
พูดถึงครอบครัวแล้วก็ขอแนะนำให้ครบเลยล่ะกัน ครอบครัวของผมประกอบไปด้วยพ่อแม่ พี่สาวสองคน พี่สาวคนโตชื่อนันที่แปลว่าแม่ชี พี่สาวคนรองชื่อเซนต์ที่หมายถึงนักบุญ พี่ชายอีกคนมีชื่อว่าเฮอร์มิตมีความหมายว่านักสิทธิ์หรือฤๅษี สุดท้ายก็ผมพรีสต์นักบวช บางคนอาจจะสงสัยว่าพ่อแม่ของผมถือศีลคลั่งศาสนาหรือเปล่าถึงตั้งชื่อลูกๆ แบบนี้ คำตอบน่ะเหรอ? ผมก็ไม่รู้!
[ตอนนี้ฉันยืนอยู่หน้าบ้าน แกอยู่ไหน?]
“อยู่คณะ”
[รีบมาเปิดบ้านให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ! ให้เวลาห้านาที มาสาย ตาย!]
ลั่นวาจาข่มขู่เสร็จเจ๊ก็วางสายแบบเผด็จการ ให้ตายสิ ชีวิตของผมหนีไม่แพ้พวกฮิลเลอร์จอมเผด็จการเล๊ย! ผมลดมือถือลงจากหู หันไปมองไอ้สตางค์ที่กำลังทำหน้าเห็นใจผมอยู่ ไอ้สตางค์เคยเจอพี่เซนต์มาหลายครั้ง มันถึงได้รู้เช่นเห็นชาติ เข็ดขยาดอย่างทุกวันนี้ยังไงล่ะ มันเคยแอบกระซิบนินทากับผมว่าถึงพี่เซนต์จะสวยแต่นิสัยแบบนี้มันขอเป็นโสดดีกว่า ผมก็ว่างั้นแหละ! ถ้าให้เอาพี่เซนต์เป็นแฟนล่ะก็ผมขอเป็นโสดไปทั้งชาติดีกว่า
“มึงรีบไปเถอะ เดี๋ยวโดนแหบหัว กูไม่รู้ด้วยนะโว้ย”
“เออๆ กูฝากทางนี้ด้วยนะ”
ผมเก็บสมุดรูปสุดรักสุดหวงใส่กระเป๋า รีบวิ่งแจ้นไปที่ไอ้เหลืองเพื่อนยาก ก่อนจะซิ่งกลับมาที่บ้านพักอย่างว่อง ถ้าผมบินได้ผมคงจะบินไปแล้ว ในที่สุดผมก็มาถึงหน้าบ้านจนได้ ความเร็วแบบทำลายสถิติ ผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ รถคันหะหรูหะหราที่จอดเด่นสง่าอยู่หน้าบ้านผม นี่มันรถของใครกัน? ของพี่เซนต์เหรอ? ไม่มั้ง เจ๊งกจะตาย ซื้อแต่รถญี่ปุ่นคันเล็กๆ เท่านั้น หรือจะเป็นรถของแฟนพี่เซนต์
ผมหันซ้ายหันขวา เดินมาดูรถสปอร์ตคันหรูสีแดงดำ ฮู้ว~! ยี่ห้อนี้มัน koenigsegg cxx นี่หว่า!!! โคตรพ่อโคตรแม่แพง!? ผมทำตาโตเบิกกว้างเต็มอัตรา นี่มันราคาหนึ่งล้านดอลลาร์เลยนะ เจ้าประคุณท่านใดซื้อมาวิ่งเล่นแถวนี้วะ น่าดักตีหัวขโมยมาขับจริง!
ผมมองรถคันหรูอย่างอาลัย ชาตินี้จะมีปัญญาได้แตะไหมหนอ? ผมหันตัวกำลังจะเดินเข้าบ้านแต่ก็ชะงักซะก่อน เพราะพี่สาวยืนทำหน้ายักษ์อยู่หน้าบ้าน ผมเดินไปหาด้วยความเซ็ง เท้าของผมหยุดชะงัก ใครก็ได้ช่วยบอกผมทีว่าไอ้คนที่ยืนทำหน้าหล่อยักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียนอยู่ข้างหลังพี่ของผมน่ะ มันไม่ใช่ไอ้โซโล่?
ทำไมแฟนของพี่เซนต์ถึงได้หน้าเหมือนไอ้โซโล่จังวะ? หน้าแบบนี้มันโหลจริงๆ ผมพยายามหาเหตุผลมาปลอบใจตัวเอง แต่ความจริงมันโหดร้ายนัก พี่เซนต์เท้าสะเอว มองผมตาเขียวปั๊ด ไอ้คนอยู่ข้างหลังพี่เซนต์ก็ทำหน้ายียวนกวนประสาทที่สุดในสามโลกใส่ผม
“พริตตี้! รู้ไหมว่าพี่รอแกกี่นาที ห๊า!? ขาฉันจะแข็งหมดแล้ว! รีบเปิดประตูบ้านสิ จะให้พี่กับเพื่อนของแกยืนรออีกนานไหม!?”
ผมชื่อว่าพรีสต์ พี่เรียกเพี้ยนๆ แบบนี้เลยทำให้พวกเพื่อนในคณะเรียกตาม ให้ตายเถอะ ถ้าไอ้ขี้เหร่ที่ยืนแสยะยิ้มอยู่นั่นเอาไปเรียกล้อเลียนบ้าง ผมก็ทำยังไง! อีกอย่างมันไม่ใช่เพื่อนของน้องพี่นะ มันแอบอ้าง! ผมได้แต่แก้ต่างกับตัวเองในใจ รีบเดินไปเปิดประตูบ้านทั้งที่ใจขัดแค้น ผมหลีกทางให้พี่เข้าไปในบ้านก่อน แล้วรีบมาขวางทางเปรตตัวหนึ่งที่ระริกระรี้จะเข้าไปไว้
กูไม่เอาเปรตเข้าบ้านเฟ้ย เดี๋ยวบ้านมีอาถรรพ์!
“แกจะขวางน้องโซโล่ทำซากอะไรพริตตี้!? ไปเอาน้ำหวานมาเสิร์ฟแขกสิ!” พี่เซนต์หันกลับมาตวาดเสียงแหลมใส่
อุบ๊ะ! นี่ผมหวังดีนะ เดี๋ยวบ้านมีอาถรรพ์ อาฆาตหรอก! ผมถอนหายใจ เปิดทางให้ ‘น้องโซโล่’ เข้าไปข้างในบ้าน ผมทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ ก้มตัวถอดรองเท้าแล้วรีบเดินเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว ชิ! เห็นแขกไม่ได้รับเชิญแล้วอารมณ์เสียเป็นตัว
ผมวางน้ำหวานให้พี่เซนต์ที่นั่งตรงโต๊ะบาร์ยาวในห้องนั่งเล่น ไอ้โซโล่ที่ถูกเรียกมานั่งข้างๆ หันซ้ายหันขวามองสำรวจภายในบ้านอย่างสนใจ พี่เซนต์หันขวับมาทำสายตาดุใส่ผมอีกครั้ง ทำอะไรผิดอีกล่ะ?
“แล้วน้ำของเพื่อนแกล่ะพริตตี้!?”
“เอาอะไร?” ผมหันมาถามมันเสียงห้วนไร้มิตรสุดๆ ไอ้โซโล่ยิ้มรับอย่างสุภาพ สร้างภาพเหลือเกินนะ!
“แล้วมีอะไรบ้างล่ะ?”
“สั่งๆ มันไปเถอะ ไอ้นี่มันเครื่องแมชชีนอาหาร สั่งอะไรได้หมด” พี่เซนต์โบกมือให้แล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม ไอ้โซโล่ก็ยิ้มรับแล้วหันมาเอ่ยกับผมด้วยสายตาวิบวับขบขำ
“แล้วแต่นายล่ะกันพริตตี้”
น่านนนนน!!! กูว่าแล้ว เอาไปล้อกูจริงๆ ด้วย! ภาพไอ้โซโล่ยกมือปิดปากหัวเราะเป็นภาพที่น่าเอาเท้าไปทาบจริงๆ! ผมขบเขี้ยวเดินออกไปอย่างโมโห เปิดตู้เย็นแบบใส่อารมณ์ หยิบขวดชาเย็นที่เหลือมาเทใส่แก้ว ฮึ่ม! ผมเดินมาเสิร์ฟกระแทกแก้วเกือบแตก สื่อเป็นนัยๆ ว่าไม่พอใจ ม๊ากกกกด้วย!
“ขอบใจ ‘พริตตี้’~” ไอ้โซโล่ไม่ใส่ใจท่าทางของผม มันเงยหน้าขึ้นมายิ้มๆ แล้วเอ่ยเน้นคำอย่างชัดเจน
กูล่ะอยากขอซื้อชื่อนี้จริงๆ!
TBC.มาอัพส่งตอนเช้าค่ะ
เล้ามีจำกัดเรทหรือเปล่าคะ?
คนเขียนไม่มั่นใจ อยากถามก่อน
เพราะเรื่องนี้ เรทค่อนข้างแรงอยู่ แฮะๆ