ลู่อี้เผิงทำหน้ายุ่งทันทีเมื่อฟองน้ำสำหรับใช้เกลี่ยแป้งกดลงบนหน้า ได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดต่อ “สารวัตรอย่าทำหน้ายุ่งแบบนั้นสิคะ เดี๋ยวก็ผิวย่นหรอก ทาแป้งนิดเดียวน่ะค่ะ แค่พอไม่ให้หน้ามันน่ะ”
นายตำรวจหนุ่มจึงจำต้องนั่งนิ่งๆ เพราะครั้นจะปัดมือสุภาพสตรีออกก็ใช่ที่ ลงแป้งบางๆ ไปชั้นหนึ่ง สาวเจ้าก็ใช้มือเกี่ยวหน้าเขาขึ้น แล้วพูดยิ้มๆ “หล่อแล้วล่ะค่ะ จัดเสื้อหน่อยดีกว่า”
เพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิง แล้วก็ไม่ได้มีท่าทีลวนลามเขาเหมือนสองคนเมื่อครู่ ลู่อี้เผิงจึงยอมให้เธอจัดเสื้อผ้าให้ ขณะที่กำลังช่วยจัดสายคาดไหล่ให้เข้าที่ โทรศัพท์มือถือของนายตำรวจหนุ่มก็ดังขึ้นพอดี
“เผิงเผิง” เสียงที่ดังลอดออกมาทำเอาลู่อี้เผิงต้องยกมือขอตัวกะทันหัน เขารีบเดินไปที่มุมหนึ่งของสตูดิโอ แล้วกรอกเสียงลงไป
“มีธุระอะไรน่ะ”
“ฉันเพิ่งกลับมาจากเวียดนาม ซื้อของมาฝากเธอด้วย แวะมาหาที่คฤหาสน์หน่อยสิ”
“ผมติดธุระอยู่น่ะ ยังไปไม่ได้หรอก”
“ธุระอะไร?” ปลายสายถามเสียงเข้มทันที ลู่อี้เผิงเหลือบมองพวกที่เดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น ก่อนจะตอบกลับไป “ผมมาถ่ายแบบ”
“ว่าไงนะ?!” เสียงปลายสายถามกลับมาทันที “ถ่ายแบบ? กับใครน่ะ?”
“คุณหลิวกั่วสือ”
“กั่วสือ?” หงคงฉ่วยทวนชื่อผ่านสายโทรศัพท์ “เดี๋ยวนี้เผิงเผิงหัดขายตัวทางหนังสือพิมพ์แล้วหรือไง?”
“จะบ้าเรอะ” ลู่อี้เผิงโพล่งใส่หูโทรศัพท์ “ผมมาเพราะคำสั่งท่านรองน่ะ”
“เฉินฉินนึกบ้าอะไรให้เธอไปถ่ายแบบกับคนพรรค์นั้น ถ่ายอยู่ที่ไหนน่ะ?”
“สตูดิโอT นี่ อย่าบอกนะว่าคุณจะ!” พูดไม่ทันขาดคำ ทางนั้นก็วางสายไปเสียก่อน ลู่อี้เผิงนึกเสียวสันหลังวาบ เขาหันไปมองหลิวกั่วสือที่กำลังเดินเข้ามาหา “เดี๋ยวรบกวนสารวัตรไปที่ฉากเลยนะครับ จะได้เริ่มถ่ายกันเลย”
ลู่อี้เผิงยืนอ้ำอึ้งอยู่สักพัก ในที่สุดก็ถามออกไป “คุณหลิว คุณรู้จักหงคงฉ่วยรึเปล่า?”
หลิวกั่วสือมองหน้าเขา แล้วพยักหน้า “รู้จักสิครับ ใครๆ ก็รู้จักชื่อเขาทั้งนั้นแหละ ต่อให้ไม่ใช่ตำรวจก็เถอะครับ แต่ว่าถามทำไมหรือ?”
“อ้อ... แล้ว คุณกลัวเขารึเปล่า?”
หลิวกั่วสือคำพรืดออกมา “สารวัตรยังดูไม่กลัวเขาเลย ผมจะกลัวทำไมล่ะ ผมว่าเขาคงเป็นคนแก่ที่ดูใจดีๆ สักหน่อยล่ะมั้ง ใช่ไหมล่ะครับ คงไม่ดุร้ายอย่างที่ใครเขาร่ำลือกันหรอก”
ลู่อี้เผิงกลืนน้ำลายเฮือก “ผมว่าคุณระวังๆ เอาไว้หน่อยก็ดี”
“ไม่เอาน่า สารวัตร ตะกี้ตอนสัมภาษณ์ คุณยังทำท่าไม่อยากจะพูดถึงเขาอยู่เลย ทำไมจู่ๆ ถึงมาพูดแบบนี้ล่ะครับ ไปที่ฉากกันเถอะ เดี๋ยวจะเลิกดึกนะ”
ลู่อี้เผิงจำต้องเดินกลับไปที่ฉาก พลางภาวนาไม่ให้มีเรื่องบ้าๆ เกิดขึ้น
---------------------------------------------------
งานถ่ายแบบดูเรียบง่ายและไม่น่ากลัวอย่างที่ลู่อี้เผิงคิดตอนแรก อย่างน้อยเขาก็ยังสวมเครื่องแบบเรียบร้อย และทำแค่ยืน นั่ง แล้วก็เดินไปเดินมาเท่านั้นเอง ถ่ายไปได้สักพัก นายตำรวจหนุ่มชักจะเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง เลยมีบางมุมที่หันมายิ้มให้กล้อง หลิวกั่วสือเห็นแล้วก็รีบยกนิ้วโป้ง แล้วสั่งช่างกล้องให้เก็บภาพไว้เป็นการใหญ่
ในตอนที่กำลังถ่ายกันอยู่ หนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา “สารวัตรลู่ มีญาติผู้ใหญ่มาหาครับ”
“?” คนทั้งหมดหันไปหาคนพูดเป็นทางเดียว พอมองเลยไปด้านหลัง ก็เห็นใครคนหนึ่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีแดงคล้ำเดินเข้ามา
“ไงเผิงเผิง ถ่ายแบบสนุกมั้ย?”
“!!!” ลู่อี้เผิงแทบจะกัดลิ้นตัวเองเพื่อไม่ให้หลุดปากเรียกชื่อทางนั้นออกไป หลิวกั่วสือมองผู้ชายที่เดินเข้ามาแล้วพูดยิ้มๆ “ไม่ทราบว่าคุณคือ...”
“ฉันเป็นญาติผู้ใหญ่ฝ่ายแม่ของปู่ของพ่อเขา” คนเข้ามาใหม่ตอบ พลางเดินปราดๆ เข้ามาที่ฉากถ่ายภาพโดยไม่สนว่าคนที่อยู่ในฉากกำลังทำอะไรอยู่ ก่อนจะหยุดตรงหน้านายตำรวจหนุ่ม
“เผิงเผิงกลับบ้านได้แล้วล่ะ”
ลู่อี้เผิงอ้าปากพะงาบๆ ในขณะที่หลิวกั่วสือและคนอื่นๆ ก็ดูจะอึ้งกิมกี่ไม่แพ้กัน
“เอ่อ... คุณเป็นญาติผู้ใหญ่เขาจริงหรือครับ? ผมว่า... คุณน่าจะอายุพอๆ กับเขานะ”
คนในชุดแดงยิ้มที่มุมปาก “รับรองว่าฉันเป็นญาติผู้ใหญ่ของเธอได้ด้วยก็แล้วกัน ถ้าฉันเกิดอยากจะเป็นขึ้นมาน่ะนะ”
พูดจบก็หันมาทางลู่อี้เผิง “เผิงเผิงจะกลับเอง หรือให้ฉันลากกลับไป”
ลู่อี้เผิงกลืนน้ำลายเฮือก ก่อนจะพูดออกไปได้ในที่สุด “นี่... คุณใจเย็นๆ ก่อนเถอะ ผมแค่มาถ่ายแบบ”
“ฉันไม่อนุญาต” ทางนั้นพูดเสียงเข้ม ก่อนจะถลึงตามองเขา “ฉันไม่เคยจำได้ว่าอนุญาตให้ใครอื่นดูร่างกายของเธออีก”
ลู่อี้เผิงอ้าปากพะงาบๆ ยังไม่ทันได้พูดอะไร ทางนั้นก็หันไปกวาดสายตามองคนรอบๆ “ใครเป็นตากล้อง?”
คนที่ยืนอยู่หลังกล้องกะพริบตาปริบๆ คนในชุดแดงหันไปมองเขา แล้วพูดเสียงเรียบ “ถ่ายภาพเขาไว้เยอะหรือเปล่าน่ะ?”
“ครับ”
“งั้นฉันขอซื้อ ทั้งกล้องตัวนั้นแล้วก็เมมโมรีด้านในด้วย”
“เดี๋ยวสิ!” หลิวกั่วสือที่ยืนเงียบอยู่ด้วยความอึดอัดโพล่งขึ้น “คุณเป็นใครน่ะ เท่าที่ผมสืบมา สารวัตรลู่ไม่มีญาติผู้ใหญ่อายุน้อยขนาดนี้หรอกนะ คุณเป็นพวกนักแบล็กเมล์หรือไง?”
คนถูกกล่าวหาหันมามองคนพูด ก่อนจะยิ้มที่มุมปาก “ถ้าฉันพูดว่าใช่ เธอจะทำไงล่ะ เอาไปเขียนข่าวต่อเลยดีไหม รายได้คงงามอยู่นะ”
“อ๋อ แน่นอนอยู่แล้วล่ะ ผมจะให้คนถ่ายรูปคุณเอาไว้ด้วย คงได้ทั้งข่าว ได้ทั้งข้อหาละเมิดสิทธิส่วนบุคคลแน่”
“กั่วสือ...” ทางนั้นเรียกชื่อเขาเสียงห้วน “ท่าทางพักนี้กิจการดีนี่นา ก็สมกับที่พ่อเธอลงทุนบากหน้ามาขอกู้เงินฉันไปลงทุนให้ลูกนอกคอกอย่างเธออยู่หรอกนะ”
คราวนี้หลิวกั่วสือมีอาการอ้าปากพะงาบๆ บ้าง พะงาบลมอยู่ได้สองสามคำ เขาถึงพูดออกมาได้ “คุณเป็นใครกันน่ะ ทำไมถึงรู้เรื่องเงินกู้นั่นด้วย?”
“โทรไปถามพ่อเธอดูสิ แต่ถามเขาดีๆ นะ อย่าให้เขารู้ว่าเธอกำลังทำฉันไม่พอใจล่ะ เดี๋ยวเกิดเขาเป็นลมเป็นแล้ง เส้นเลือดในสมองแตกขึ้นมา จะมาโทษฉันอีก” ฝ่ายนั้นว่า หลิวกั่วสือมองหน้าเขา แล้วกดโทรศัพท์ทันที หลังจากคุยโทรศัพท์ได้สักพัก หน้าของหลิวกั่วสือก็ซีดลงเรื่อยๆ เขาเหลือบมามองคนชุดแดงเป็นระยะ ทันทีที่วางสายโทรศัพท์ ทางนั้นก็รีบโค้งตัวให้ทันที
“ขอโทษนะครับ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเป็นคุณ”
“อืม... ไม่เป็นไรหรอก” คนที่ยืนอยู่ว่า และพูดต่อ “ตกลงฉันขอซื้อกล้องตัวนั้นพร้อมเมมโมรีแล้วกันนะ จะขายสักเท่าไหร่ล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ” หลิวกั่วสือพูดเสี่ยงสั่น “ถ้าคุณต้องการแค่รูปของท่านสารวัตรล่ะก็ เอาเมมโมรีไปเถอะครับ”
“อืม.. อย่างนั้นก็ได้...” คนชุดแดงพยักหน้า และรับเมมโมรีที่ช่างกล้องเดินมาส่งให้ ก่อนจะหันไปพูดกับหลิวกั่วสือยิ้มๆ “เรื่องวันนี้น่ะ ขอให้เป็นความลับแล้วกันนะ เห็นแก่ว่ามีสารวัตรลู่อยู่ ฉันจะปล่อยเธอไปสักครั้งแล้วกัน อ้อ... แต่ถ้าเกิดเรื่องนี้รั่วหรือเป็นข่าวแม้แต่ตัวอักษรเดียวล่ะก็ เธอคงรู้นะ ว่าจะเกิดอะไรบ้าง”
“ทราบแล้วล่ะครับ” หลิวกั่วสือพูดด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวสุดๆ อีกฝ่ายถอนหายใจเฮือก แล้วหันมาหานายตำรวจหนุ่ม
“เอาล่ะ กลับกันได้แล้ว” พูดจบก็ฉวยมือลู่อี้เผิง จูงออกไปด้านนอกสตูดิโอ
------------------------------------------
พอออกมาด้านนอก ลู่อี้เผิงถึงกับผงะ เมื่อพบรถลีมูซีนตอนยาวที่มีตรานกยูงแดงประดับอยู่ตรงหน้า ลั่วซ่งจือที่ยืนรออยู่เปิดประตูรถด้านหลังออก นายตำรวจหนุ่มถูกอีกฝ่ายผลักเข้าไปในรถ ก่อนที่ประตูจะปิดลง
“คงฉ่วย ทำแบบนี้มันจะไม่ยิ่งยุ่งหรือไง?” นายตำรวจหนุ่มถามขึ้น หลังจากที่อีกฝ่ายขยับตัวนั่งดีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้ขึ้นรถลีมูซีนกันกระสุนคันนี้ หงคงฉ่วยมองหน้าเขา แล้วจากนั้นก็ยื่นมือมาตบเสียงดังเพี๊ยะ
ลู่อี้เผิงถูกตบจนหน้าหัน ทั้งงุนงงทั้งตกใจ พอเงยหน้าขึ้นมาก็ถูกตบอีก
“กล้าดียังไงถึงได้มาเป็นแบบถ่ายรูปให้คนอื่นน่ะ” หงคงฉ่วยกระชากเสียง แล้วดึงเน็กไทของนายตำรวจหนุ่มขึ้นมา “ถึงจะเป็นคำสั่งเฉินฉินหรือใครหน้าไหนก็ช่าง เธอก็ต้องบอกฉันก่อน ฉันไม่อนุญาตให้เธอถ่ายรูปให้ใครทั้งนั้น เธอเป็นของฉัน รู้ไว้ซะ!!”
ลู่อี้เผิงเบิ่งตามองคนตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหงคงฉ่วยเดือดดาลขนาดนี้ ใบหน้าคมเข้มกลายเป็นสีแดงจัด ดวงตาก็จ้องมองเขาเหมือนกำลังโกรธขึงเป็นที่สุด มือที่กำคอเสื้อเขาอยู่ก็จับแน่นขึ้นเรื่อยๆ
“คงฉ่วย คุณหึงผมหรือ?”
นัยน์ตาของหงคงฉ่วยเบิ่งค้าง ก่อนจะกระชากคอเสื้อของลู่อี้เผิงขึ้นมา “น้ำหน้าอย่างเธอ กล้าพูดแบบนี้กับฉันรึ?”
ลู่อี้เผิงสำลักน้ำลายครั้งหนึ่ง ก่อนจะพยายามคว้าจับมือสองข้างที่ขยำคอเสื้อเขาเอาไว้ “ก็คุณทำท่าเหมือนจะหึงผมนี่”
“ปากดีจริงๆ คิดหรือว่าคนอย่างฉันจะ..!” หงคงฉ่วยพูดไม่จบ เพราะจู่ๆ ลู่อี้เผิงก็ขยับตัวลุกพรวดขึ้น ดันตัวเขาจนชิดกับเบาะรถ
“ถ้าไม่หึงผมจริง ทำไมมือมันสั่นนักล่ะ ปกติคุณมือหนักจะตาย เค้นคอผมแล้ว ไม่เคยปล่อยให้ผมพูดปร๋อแบบนี้นี่นา”
“หึ!” หงคงฉ่วยแค่นเสียง ลู่อี้เผิงรู้สึกถึงแรงบีบมหาศาลตรงคอเสื้อทันที เขารีบยกมือขึ้นกุมมือของอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะพูดออกมา “ผมขอโทษ ผมจะไม่ทำอีกแล้วล่ะ?”
“..........”
“ผมพูดจริงๆ นะ ผมไม่คิดว่าคุณจะ...” หยุดไปพักหนึ่ง นายตำรวจหนุ่มก็ยิ้มออกมา “หึงผมขนาดนี้”
“เพ้อเจ้อน่า” อีกฝ่ายว่า แต่ก่อนจะได้ออกแรงบีบเพิ่ม มือของเขาก็ถูกนายตำรวจหนุ่มดึงออก แล้วกดลงกับเบาะรถ
“คงฉ่วย อย่าปากแข็งเลยนะ... ปกติคุณหายใจสม่ำเสมอเป็นจังหวะจะตาย ผมเลยไม่เคยเอาชนะคุณได้เลยสักครั้ง แต่วันนี้คุณดูปั่นป่วนมาก หายใจยังไม่เป็นจังหวะเลย โมโหผมมากใช่ไหมล่ะ?”
“หึ...” หงคงฉ่วยแค่นเสียง แล้วเบือนหน้าไปทางอื่น “มีเด็กบ้า ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรืออยู่ใกล้ตัว มันก็ชวนให้เครียดแบบนี้แหละ ปล่อยให้คลาดสายตาหน่อยก็ทำไปหว่านเสน่ห์กับคนอื่น”
ลู่อี้เผิงยิ้มหน่อยๆ แล้วขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ “แล้วคุณล่ะ ไม่ใช่ว่าปกติก็หว่านเสน่ห์ใส่คนอื่นไปทั่วรึ?”
เพี๊ยะ!!
มือที่ถูกจับกดอยู่ของหงคงฉ่วย จู่ๆ ก็หลุดออกมา แล้วตบเข้าที่ใบหน้าของนายตำรวจหนุ่มเต็มแรง ลู่อี้เผิงถึงกับเห็นดาวเต็มท้องฟ้า
“ถ้าไม่เห็นกับตาก็อย่ามาใส่ความฉัน!” หงคงฉ่วยตวาดเสียงเกรี้ยวกราด “เด็กอย่างเธอมันปากพล่อยจริงๆ ”
“คงฉ่วย” ลู่อี้เผิงโพล่งออกมา ก่อนจะถลันเข้าไปหา แล้วจับมือข้างนั้นกดไว้อีกรอบ “ผมขอโทษ”
หงคงฉ่วยเม้มปากแน่น ก่อนจะถลึงตาใส่บ้าง “ฉันไม่อยากฟังคำพูดขอโทษพล่อยๆ ของเธอหรอก ถอยออกไปได้แล้ว”
ลู่อี้เผิงมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ แต่สุดท้ายกลับยิ้มออกมา
“ยิ้มอะไรน่ะ?”
“ผมดีใจ”
“?!”
“คุณหึงผมจนไม่มีแรงเลยนะเนี่ย”
“!!”
“คงฉ่วย...”
“....................”
“ไม่พูดอะไรสักหน่อยเหรอ?”
“........................”
“คุณกับผมน่ะ... น่าจะรู้สึกตรงกันสักเรื่องแล้วล่ะ”
“เรื่องอะไรล่ะ?”
“........................”
หงคงฉ่วยมองหน้าลู่อี้เผิง ก่อนจะยิ้มออกมาบ้าง “เธอเป็นตำรวจนะ พูดอะไรหัดคิดก่อนบ้างสิ”
ลู่อี้เผิงเม้มปาก ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา “คงฉ่วย รู้รึเปล่า บางทีผมก็ไม่อยากให้คุณเป็นหงคงฉ่วยเลย”
“พูดเอาแต่ได้เกินไปแล้ว ฉันยังไม่เคยไม่อยากให้เธอเป็นลู่อี้เผิงสักหน่อย”
“แล้วเคยคิดว่าผมไม่น่าเป็นตำรวจบ้างรึเปล่าล่ะ?”
“ไม่เคยเลยสักครั้ง”
“?!”
“แปลกใจมากหรือไง?” ทางนั้นถาม แล้วพูดต่อ “ถ้าเธอไม่ใช่ตำรวจ ไม่หัวรั้นขนาดนี้ คิดหรือว่าฉันจะได้เจอเธอ ฉันไม่เสียใจที่เธอเป็นตำรวจหรอก กลัวแต่เธอจะเสียใจที่เป็นตำรวจมากกว่าน่ะซี่”
“ผมไม่เสียใจหรอก” ลู่อี้เผิงว่า และเม้มปากแน่น “แค่นึกเสียใจที่เจอคุณน่ะ”
“ปากดีจริงๆ แบบนี้ฉันจะย้อนคำพูดว่าปากแข็งคืนเธอได้บ้างรึเปล่า?”
ลู่อี้เผิงไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาลดมือลง ดึงเน็กไทของตัวเองออก ก่อนจะถอดเข็มขัดและสายคาดไหล่ ปลดเครื่องแบบตัวนอกลง แล้วก้มหน้าลง กระซิบที่ข้างหูของอีกฝ่าย
“รู้ไหม ว่าคุณเป็นคนแรก ที่ทำให้ผมถอดเครื่องแบบได้โดยไม่ต้องสั่งหรือพูด”
หงคงฉ่วยแค่นยิ้มที่ริมฝีปาก “หึ.. เรื่องแค่นี้มีหรือฉันจะไม่รู้”
ลู่อี้เผิงยิ้มบางๆ จากนั้นก็จับมือของหงคงฉ่วยขึ้นมา แล้วกำมือรอบมือข้างนั้น ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออกทีละเม็ด แผงอกกำยำปรากฏให้เห็นรำไรใต้อกเสื้อ หงคงฉ่วยถึงกับสูดหายใจลึก ตอนที่มือถูกจับไปแตะกับแผงอกกำยำที่ร้อนระอุนั้น ลู่อี้เผิงสอดมือของเขาเข้าไปในอกเสื้อ ลูบไล้ในส่วนสัดที่เคยถูกลูบเคยไล้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
“ร้ายเกินไปแล้วนะ” หงคงฉ่วยแค่นเสียงรอดไรฟัน ก่อนจะตะปบมือ ดึงฝ่ายนั้นเข้ามาใกล้ “ทำแบบนี้ไม่กลัวจะเสียใจทีหลังหรือไง?”
นายตำรวจหนุ่มเม้มปาก “ไม่รู้สิ คุณล่ะ เคยคิดว่าจะต้องเสียใจบ้างรึเปล่า?”
“ไม่เลย”
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หรือจะจบยังไงน่ะรึ?”
“อืม”
ลู่อี้เผิงมองหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะถอนหายใจออกมา “คุณแข็งแกร่งจริงๆ ”
“ถ้าสู้ไม่ไหวก็ถอยเถอะ เดี๋ยวจะเสียชื่อนักเรียนเกียรตินิยมหมด” อีกฝ่ายว่า และผลักเขาออกเบาๆ ลู่อี้เผิงรีบฉวยมือข้างนั้นไว้
“ผมสอบตกตั้งแต่เจอคุณแล้วล่ะ” นายตำรวจหนุ่มพูด แล้วยกมือข้างนั้นขึ้นมาจูบ “คงฉ่วย ผมคงสอบตกเรื่องคุณไปตลอด บอกตรงๆ นะ ผมไม่เคยคิดว่าผมจะสอบผ่านเลย แต่ผมก็ยัง....”
“..................”
“ผมโง่ใช่ไหม?”
“อืม..” หงคงฉ่วยพยักหน้า แล้วขยับมือขึ้นลูบพวงแก้มที่ยังคงแดงเป็นปื้นของอีกฝ่าย “สารวัตรน่ะ ทั้งดื้อทั้งโง่เลยล่ะ”
“เหรอ... แล้วคุณชอบรึเปล่าล่ะ?”
“...............”
“....................”
ในที่สุดหงคงฉ่วยก็ถอนหายใจออกมา “ยังจะถามอีกหรือ? ที่ยอมทนทำเรื่องโง่ๆ มาถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่ว่ารู้อยู่แล้วหรอกหรือ?”
ลู่อี้เผิงสั่นศีรษะ “ไม่รู้สิ ผมเดาคุณไม่ออก คงฉ่วย คุณจะจบเรื่องนี้เมื่อไหร่กัน?”
“ทำไมต้องถามฉันด้วยล่ะ?” อีกฝ่ายย้อนถาม นายตำรวจหนุ่มมองหน้าเขา เงียบไปอยู่นาน ในที่สุด อีกฝ่ายก็พูดขึ้นต่อ “ถามตัวเองสิคุณตำรวจ เธออยากจะจบเรื่องนี้เมื่อไหร่กัน”
“ผม....” ลู่อี้เผิงขบริมฝีปากล่างแน่น ก่อนจะกอดหงคงฉ่วยเอาไว้ “คงฉ่วย สักวันมันจะต้องจบใช่ไหม?”
“อืม...”
“พอถึงวันนั้น คุณจะลืมเรื่องของผมรึเปล่า?”
“ฉันไม่ลืมหรอก เผิงเผิงลืมฉันลงรึเปล่าล่ะ?”
“คุณว่าผมจะลืมลงไหมล่ะ?” อีกฝ่ายย้อน หงคงฉ่วยแค่นเสียง
“ไม่รู้สิ เธอยังเด็กนะ ชีวิตยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ พอแก่ๆ ไป อาจจะลืมก็ได้”
“ผมอาจจะไม่ได้อยู่จนแก่ก็ได้”
“?!”
“คงฉ่วย” ลู่อี้เผิงเรียกชื่อนั้นอีก ก่อนจะขยับหน้า จูบลงตรงพวงแก้มอีกฝ่ายเบาๆ “คืนนี้จันทร์เพ็ญนะ ให้ผมอยู่ข้างๆ คุณอีกสักคืนเถอะ”
หงคงฉ่วยไม่พูดอะไร เพียงแต่ดึงใบหน้านั้นเข้ามาใกล้ แล้วแนบริมฝีปากลงไป
-------------------------------------------------
ดวงจันทร์สีเงินยวงที่ทอแสงอยู่บนท้องฟ้ายามราตรี ทอดแสงผ่านกระจกหน้าต่างเล็กๆ ลอดเข้าไปในเคบินของเรือเล็กลำหนึ่ง ซึ่งทอดตัวอยุ่ห่างไปจากฝั่ง
แสงสีเงินนั้นทาบทาลงบนเสี้ยวหน้าครึ่งหนึ่งที่มีริ้วร้อยเหี่ยวย่น อันเป็นผลมาจากกาลเวลา บริเวณหน้าผากของใบหน้านั้น ปรากฏแผลเป็นรูปสามเหลี่ยมเป็นทางยาวขึ้นไป ร่องตรงมุมปากดูลึกมากยิ่งขึ้นเมื่อคนคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ พร้อมกับแค่นรอยยิ้มออกมา
ดวงจันทร์สีเงินค่อยๆ ถูกเมฆดำเข้าปกคลุมทีละน้อย ก่อนที่เม็ดฝนจะเทกระหน่ำลงมา กระทำกับเรือลำนั้นเสียงดังเหมือนมีคนเอากรวดมาสาด ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างคุ้มคลั่งและเสียงตะโกนเรียกชื่อใครสักคนหนึ่ง
“หงคงฉ่วย!!”
-------------------------------------------------------
**ในที่สุด เราก็ตัดสินใจแง้มเนื้อเรื่องของหงคงฉ่วยสักนิดหนึ่งจนได้ (แน่นอน... ก่อนที่มันจะไม่ได้แง้มเพราะออกทะเลไปมากกว่านี้!!!
) พักหลังๆ นี่ เนื้อเรื่องผุดออกมาแบบ ท่าทางไม่จบแน่ มีแต่ตอนชิลๆ อยู่ในหัว (และออกทะเลเป็นส่วนใหญ่
) ทำให้คิดว่า ถ้าไม่แง้มปมเรื่องหลักเลยสักนิด สงสัยเรื่องนี้ได้กลายเป็นซีรีย์ออกทะเลไปเที่ยวเกาะ แบบไม่มีวันจบวันสิ้นแน่ (คนเขียนคงสิ้นใจก่อน
)
จริงๆ ตอนเริ่มต้นเขียนตอนนี้แรกๆ ยังไม่คิดว่าจะจบตอนแบบนี้เหมือนกัน แต่พอมาถึงช่วงท้ายๆ ก็คิดว่า ควรจะใส่เนื้อหาพวกนี้ลงไปได้แล้วล่ะ (แล้วคนอ่านก็ต้องอยากบีบคอเราแน่ๆ เลย)
ตอนนี้แอบชอบคงฉ่วยมากเป็นการส่วนตัว (แน่นอนว่าชอบคงฉ่วยแบบเอียงเทข้างมานานแล้ว) และก็แอบรู้สึกว่า เผิงเผิงชักเหมือนดาราเข้าไปทุกที ฮ่าๆ ตอนต้นๆ บทนี้เหมือนบทสัมภาษณ์เผิงเผิงชัดๆ
ยังไงก็ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ (ไข้ดีขึ้นแล้วค่ะ..แต่... งานยังกองอื้อ...<<ตายแน่ๆ เลย
)