[แจ้งข่าวหน้า1]红孔雀 นกยูงแดง (มาเฟีย?vsตำรวจ SMนะ!-จบ) แปะรูปp40 :9/9/2554
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

โพลล์

ระหว่างพญานกยูงแดง หงคงฉ่วย กับนายตำรวจเถรตรง ลู่อี้เผิง ท่านๆ ชอบใครมากกว่ากันคะ^^

ต้องหงคงฉ่วยอยู่แล้ว ราชินีฉัน เริ่ด และแสบสนิทขนาดนี้!!
ต้องเผิงเผิงน้อยอยู่แล้ว เมะอะไร มันจะน่ารักน่าแกล้งขนาดนี้!!

ผู้เขียน หัวข้อ: [แจ้งข่าวหน้า1]红孔雀 นกยูงแดง (มาเฟีย?vsตำรวจ SMนะ!-จบ) แปะรูปp40 :9/9/2554  (อ่าน 616527 ครั้ง)

ออฟไลน์ nolirin

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2755
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +274/-5
เสี่ยวชิกกลายเปงลูกน้อยไปแล้ว แม่ไม่อยู่ พ่อก็ต้องเลี้ยงแทนสิเนอะ
และดูเหมือนประโยค "อย่าบอกนะว่านักเรียนเกียรตินิยมอย่างเธอ" จะเป็นประโยค(คงฉ่วย)ได้(เผิงเผิง)เสีย ของทั้งคู่จริงๆ :z1:
กลับมาจากทำงานก็แอบหวานกันต่อในห้องนอนให้หายคิดถึง แอร๊ยยยย...คิดถึงคงฉ่วย

ออฟไลน์ mamacub

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1034
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-0
ทำไหมรู้สึกว่าตอนท้ายแอบเศร้า
แต่ดีใจที่กลับมาแล้ว :กอด1:

ออฟไลน์ เกริด้า(๐-*-๐)v

  • ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นแหละ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +349/-29
แอร๊ยยยยยยยยย~ เสี่ยวชิกฉลาดไม่บันยะบันยังเลยแห๊ะ โฮะๆๆๆๆ น่าร๊ากกกกกกกกกกก  ☆*:.。. o(≧▽≦)o .。.:*☆

fOnfOn :D

  • บุคคลทั่วไป
เสี่ยวชิกน่ารัก   :laugh: :laugh:

ออฟไลน์ A-J.seiya*

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +306/-8
เหยยยยยยยยยยยยยย
เสี่ยงชิกน่ารักมากกก
มากที่สุด
ชอบมากๆเลยอ่ะ ฉลาดชะมัดเลยนะเนี่ย
ฮ่าๆๆๆๆ
่ว่าแต่ ตอนท้าย อิ๊อ๊ะมากนะ ,,
ตกลงรักกันยัง ...ฮ่าๆๆ ขอหวานๆได้มั้ยยยย

ออฟไลน์ ♥a2k♥

  • 見えないままだって愛しい
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2168
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-2
ใครจะรักนก รักคน ไม่รู้
แต่เราหลงรักคงฉ่วยยย อร๊ายยยย น่ารักกกก 

ออฟไลน์ fuku

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4479
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +462/-20
เผิงเผิง เมื่อไหร่จะเลิกซึนฯ ล่ะลูกกกกกกกก


อยากให้ลงเอยซะที

ออฟไลน์ zeit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
กว่าเผิงเผิง จะรักคงฉ่วยได้นี้ต้องใช้ลูกล่อชนเข้าหลายรอบมาก
สารพัดเลยน้ะเนี้ย หวานดีๆ

ออฟไลน์ akera

  • I love him anymore. but he love him.
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
อ๊ากมาแล้ว มาแล้ว    ต่ออีกๆ  รักคนเขียน

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
ตอนนี้น่ารักอย่างแรง แอร๊ยยยยยยย  :o8:
ออกทะเลแบบนี้บ่อยๆ ก็ได้ ไม่ว่ากัน อิอิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ fastation

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
นกกับเจ้านายรู้สึกว่าจะไม่ต่างกันเลยนะ = =
แต่ยังไงก็น่ารัก ><!!


ออฟไลน์ pochu52

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1328
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-0
เสี่ยวชิกฉลาดมาก ถึงว่าคงฉ่วยชอบ แต่ถ้าจะรักต้องเผิงเผิงเนอะ หวานกับเบาเบาแต่บ่อยๆ ก็จะชอบมากค่ะ

ออฟไลน์ หมวยลำเค็ญ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-1
คิดถึงคงฉ่วย  อ้อนกันเอง น่ารักๆๆๆ

chinminho

  • บุคคลทั่วไป
เมื่อไหร่นกยูงจะบอกรักสะที เดี่ยวเผิงเผิงก็น้อยใจหนีไปหลอก

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
สงสัยในอดีต คงฉ่วย คงผิดหวังกับคน (รัก) มาหรือเปล่านะ

ออฟไลน์ PoP~Pu

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-5
รักทั้งคนรักทั้งนกเลยค่า~
ที่สำคัญ เค้ารักคนแต่งน๊า~ :กอด1: ฮ่าๆ

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป
เป็นกำลังใจให้ครับ

hunnanoii

  • บุคคลทั่วไป
เผิงๆน่าร๊ากกกกกกก

ออฟไลน์ myd3ar

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-4
เหมือนเสี่ยวชิกคือ คงฉวยเลยอ่า

รู้เรื่องอะไรขนาดนี้เนี่ย เป็นนกที่ฉลาดมาก

ออฟไลน์ ordkrub

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +341/-12
หวานๆประสาเผิงเผิงกับคงฉ่วยจริงๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
นกน่ารัก ให้ตายเถอะ มีนกอย่างนี้อิชั้นยอมเลี้ยงเลยเอ้า

ปล.อยากอ่านพาร์ทของแปะชิกๆบ้างจัง อยากรู้ว่านกมันคิดอะไรอยู่ หรือถูกสั่งถูกสอนแบบไหนมาถึงน่ารักขนาดนี้ อ๊ายยยย

zhiki

  • บุคคลทั่วไป
วันนี้มาอัพรึเปล่าครับบบบบ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
ไม่ได้อัพค่าา

ยังป่วย+ออกไปธุระทั้งวัน+กลับมาเก็บงานที่ดองข้ามเดือนอยู่ค่า

อาจจะมีตอนใหม่พรุ่งนี้นะคะ (ถ้าว่าง+อาการไม่หนักไปกว่านี้^^")

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ

ออฟไลน์ nolirin

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2755
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +274/-5
^
^
^ :z13: จิ้มๆ
หายป่วยไวๆนะค๊าาาา

ออฟไลน์ pita

  • ขอเพียงกล้าทำตามฝัน จะล้มบ้าง ลุกบ้าง ช่างมันปะไร
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +328/-13
ทำไมต้องมีถ้าอ่า รักเลยไม่ได้เหรอ

ออฟไลน์ PoP~Pu

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1739
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-5
ไม่ได้อัพค่าา

ยังป่วย+ออกไปธุระทั้งวัน+กลับมาเก็บงานที่ดองข้ามเดือนอยู่ค่า

อาจจะมีตอนใหม่พรุ่งนี้นะคะ (ถ้าว่าง+อาการไม่หนักไปกว่านี้^^")

ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ

หายป่วยไวๆนะคะ พักผ่อนมากๆนะคะ จะได้หายเร็วๆ  :กอด1:

ออฟไลน์ ErosAmor

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 851
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2
เสี่ยวชิก น่ารัก เเล้วก็ฉลาดมาก ห้าๆ
ตอนนี้แอบหวานเบาๆ...เผิงเผิงหลงรักก๋งก๋งซะเเล้วล่ะ

ออฟไลน์ kisssky

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
เสี่ยวซิกน่ารัก อยู่ด้วยกันแบบนี้เผิงเผิงหลงรักเสี่ยวซิกแล้วล่ะ

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
红孔雀นกยูงแดง 19
   “สารวัตรลู่ คิดยังไงกับเรื่องถ่ายรูปลงหนังสือบ้างล่ะ?”
   ลู่อี้เผิงมองหน้าคนถามคำถามด้วยสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด “ท่านรองจะให้ผมทำคดีเกี่ยวกับหนังสือผิดกฎหมายหรือครับ?”
   เฉินฉินหัวเราะร่วน ก่อนจะรีบโบกมือ “เปล่าๆ คือมีคนมาติดต่อผ่านผม อยากให้คุณไปถ่ายแบบลงหนังสือให้หน่อยน่ะ”
   “?!” ลู่อี้เผิงเงยหน้าขึ้นมองผู้บังคับบัญชาของตนเอง และรู้สึกเหมือนได้ยินได้ฟังอะไรผิด เขาถูกเรียกตัวมาพบรองอธิบดีกรมตำรวจ แค่เพราะเรื่องถ่ายแบบลงหนังสือหรือนี่?
   “ท่านรองว่าอะไรนะครับ ถ่ายแบบ?” นายตำรวจหนุ่มถามย้ำอีกครั้ง คนถูกถามพยักหน้า แล้วพูดต่อ “คุณหลิวที่เป็นเจ้าของนิตยาสารAเข้ามาคุยกับผมเมื่อวานน่ะ บอกว่าอยากจะทำสกู๊ปเกี่ยวกับตำรวจในหนังสือแฟชั่นดูบ้าง พอดีว่าพักหลังๆ นี้เห็นคุณออกทีวีอยู่บ่อยๆ คงจะเกิดถูกใจล่ะมั้ง รูปร่างหน้าตาสารวัตรลู่ก็หล่อเหลาเอาการอยู่แล้วนี่”
   ลู่อี้เผิงขมวดคิ้วอย่างไม่นึกยินดีกับคำชมเท่าไหร่นัก “ผมเคยไปออกทีวีเมื่อไหร่กัน” นายตำรวจหนุ่มว่า และได้รับคำตอบกลับมาทันที “ทุกครั้งที่สารวัตรขับรถชนรถคนร้ายนั่นแหละ ได้ยินว่าคุณหลบนักข่าวตลอด แต่รูปคุณก็ขึ้นหลาอยู่บนจอทุกทีล่ะนะ อย่าบอกนะว่าไม่ได้ดูข่าวน่ะ”
   คิ้วของลู่อี้เผิงขมวดยุ่งมากขึ้น พลางนึกถึงภาพข่าวที่ถ่ายรูปด้านหลังเขาเอาไว้บ้าง หรือไม่ก็ถ่ายตอนเขาเดินออกมาจากโรงพยาบาลบ้าง บางทีหารูปไม่ได้ก็เอารูปจากบัตรประชาชนเขามาก็มี
   “ผมอยากบอกพวกนั้นเหมือนกันว่าหยุดถ่ายรูปผมสักที นี่มันใกล้จะเข้าข่ายละเมิดสิทธิส่วนบุคคลแล้วนะ” นายตำรวจหนุ่มว่า อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มๆ แล้วพูดต่อ
   “เอาเถอะน่า... ว่าแต่เรื่องถ่ายแบบน่ะ สารวัตรโอเคนะ?”
   “หา?!” ลู่อี้เผิงส่งเสียงออกมาทันที ก่อนจะสั่นศีรษะ “ไม่เอาหรอกครับ ผมเป็นตำรวจนะ ไม่ใช่นายแบบ ถ้าจะทำสกู๊ปเกี่ยวกับตำรวจล่ะก็ ไม่ทำเรื่องนายตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถจนได้รับบาดเจ็บล่ะ แบบนั้นล่ะน่าสนใจกว่าเยอะเลย”
    “ไอ้สกู๊ปแบบนั้นมันก็มีอยู่บ่อยๆ แล้วล่ะนะ” เฉินฉินว่า และเงยหน้าขึ้นมองลูกน้องด้วยสายตาจริงจัง “ผมกำลังคิดว่า ถ้าเราเปลี่ยนแนวการนำเสนอบ้าง บางทีอาจจะมีคนให้ความสนใจเข้ามาเป็นนายตำรวจมากขึ้นก็ได้ โดยเฉพาะพวกเด็กวัยรุ่นที่กำลังเลือกว่าจะเรียนต่อทางไหนกันแน่ นี่ สารวัตร หนังสือของคุณหลิวน่ะ ดังในกลุ่มวัยรุ่นมากนะ ไม่แน่นะ คุณไปถ่ายแบบคราวนี้ อาจจะดึงพวกวัยรุ่นให้หันมาสนใจการเป็นตำรวจมากขึ้นก็ได้”
   ลู่อี้เผิงมีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด “แล้วถ้ามันไม่ได้ผลล่ะครับ...”
   “ไม่ได้ผลก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ แค่ไปถ่ายแบบเอง ผมคุยเรื่องนี่กับท่านอธิปดีแล้ว ท่านก็เห็นดีเห็นงามด้วยน่ะ”
   ลู่อี้เผิงกลืนน้ำลายเฮือก ในขณะที่อีกฝ่ายพูดยิ้มๆ “เป็นอันตกลงนะสารวัตร ผมจะได้เซ็นอนุมัติคำสั่งเลย”
   “หา?!” ลู่อี้เผิงร้องขึ้นอีกรอบ เฉินฉินหยิบกระดาษที่มีตราสัญลักษณ์ของกรมตำรวจฮ่องกงออกมาแผ่นหนึ่ง ยื่นให้เขาอ่าน
   “ตามนั้นแหละสารวัตร ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเสียเวลาราชการหรอก เพราะเราจะถือว่านี่เป็นการปฏิบัติงานในด้านประชาสัมพันธ์ให้กับกรมน่ะ”
--------------------------------------------------
   ในที่สุด ลู่อี้เผิงก็มีอันต้องมาที่สตูดิโอถ่ายแบบในอีกสองวันถัดมา ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่รู้สึกเต็มใจเลยสักนิด แถมยังต้องจำชื่อและหน้าตาดาราสาวๆ ที่ต้วนเฟิงฝากมาขอลายเซ็นอีกต่างหาก
   สตูอิโอที่นัดแนะกันเอาไว้อยู่ห่างออกไปนอกเมืองหน่อยหนึ่ง มีบริเวณติดทะเล ด้านนอกเป็นตึกชั้นเดียวที่สร้างตามสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ มีที่จอดรถกว้างขวางพอสมควร ตอนที่ลู่อี้เผิงลงจากรถ ก็มีชายหนุ่มสองคน เดินเข้ามาหาทันที
   “สารวัตรลู่ใช่ไหมครับ คุณหลิวกำลังรอคุณเลย มาทางนี้เลยครับ”
   นายตำรวจหนุ่มจึงจำต้องเดินตามสองคนที่ว่าเข้าไปในอาคาร ซึ่งภายในทาสีขาว และแบ่งออกเป็นห้องโถงใหญ่อีกหลายห้อง มีหมายเลขห้องกำกับอยู่ แล้วมีช่องที่เอาไว้ใส่ชื่อว่าบริษัทไหน หรือใครกำลังใช้ห้องสตูดิโออยู่
   ขณะที่ลู่อี้เผิงกำลังชะเง้อมองหาดาราสาวที่ต้วนเฟิงฝากมาขอลายเซ็น ใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามาทักเขา
   “สารวัตรลู่สินะครับ กำลังนึกกลัวอยู่เลยว่าคุณจะไม่ยอมมา” คนทักเป็นชายรูปร่างเล็ก อายุราวๆ สักสามสิบปลายๆ ถึงสี่สิบต้นๆ หวีผมและแต่งตัวด้วยแฟชั่นสีฉูดฉาด อย่างที่ลู่อี้เผิงคิดว่าตัวเองคงไม่มีวันเข้าใจความงามลักษณะนี้ไปตลอดชีวิต ชายคนนั้นยิ้มให้ และฉวยมือเขาขึ้นมาจับอย่างถือวิสาสะ
   “ผมหลิวกั่วสือครับ คิดว่าท่านรองเฉินคงเคยพูดชื่อให้สารวัตรฟังบ้างแล้ว”
   ลู่อี้เผิงจำต้องจับมือตอบอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะสลัดออกอย่างที่คิดว่าสุภาพมากที่สุด ก่อนจะพูดตอบบ้าง “ครับ ท่านรองเล่าถึงคุณให้ผมฟังแล้ว”
   หลิวกั่วสือหรี่ตามองนายตำรวจหนุ่ม แล้วยิ้มอีก “ตัวจริงของสารวัตรหล่อกว่าในรูปถ่ายบัตรประชาชนหลายเท่าจริงๆ นี่ถ้าสารวัตรยอมออกทีวีดีๆ ไม่แน่นะครับ อาจจะกลายเป็นดาราดังเลยก็ได้”
   ลู่อี้เผิงไม่รู้สึกยินดีปรีดากับคำชมด้วย เขาตีหน้านิ่ง แล้วพูดเสียงเรียบ “ผมมาตามคำสั่งของท่านรอง เกี่ยวกับเรื่องการให้สัมภาษณ์น่ะครับ”
   “อ้อ ครับ” หลิวกั่วสือว่า และยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ตามมาทางนี้เลยครับสารวัตร” พูดจบก็เดินลิ่ว นำหน้านายตำรวจหนุ่มไปที่ห้องสตูดิโอห้องหนึ่ง พอเปิดเข้าไป นายตำรวจหนุ่มก็มีอันต้องชะงัก เมื่อมีคนหลายคนเดินเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังเขาทันที
   “โอ้โห... นี่สารวัตรลู่อี้เผิงหรือคะเนี่ย ตัวจริงหล้อหล่อกว่าในรูปถ่ายอีกนะเนี่ย” เสียงใครบางคนดังขึ้น ก่อนที่ลู่อี้เผิงจะรู้สึกเหมือนมีใครจับหน้าอกเขา
   “ตายแล้ว หุ่นฟิตเปรี๊ยะ เฟิร์มสุดๆ ใส่เครื่องแบบมาเต็มยศแบบนี้ยิ่งเร้าใจใหญ่เลย”
   นายตำรวจหนุ่มตัดสินใจผลักคนพวกนั้นออก เพราะเริ่มรู้สึกว่า ขืนปล่อยให้ล้อมนานเขาอาจจะถูกจับนั่นจับนี่เพิ่มขึ้นอีกก็ได้ ได้ยินเสียงหลิวกั่วสือเอ็ดขึ้น “นี่ เก็บอาการหน่อยเถอะพวกคุณ เดี๋ยวสารวัตรเขาก็จับให้หรอก”
   “โหย... คุณหลิว หล่อขนาดนี้น่ะ ผมยอมให้จับทั้งคืนเลยล่ะ” หนุ่มคนหนึ่งที่ออกท่าทางตุ้งติ้งอย่างเห็นได้ชัดพูดขึ้น พลางยักคิ้วหลิ่วตาให้ลู่อี้เผิง นายตำรวจหนุ่มตีหน้าบึ้งใส่ แล้วหันกลับมาหาหลิวกั่วสือ
   “คุณหลิว คุณจะสัมภาษณ์ผมที่นี่เหรอ?”
   “อ้อ ครับ” หลิวกั่วสือว่า แล้วยิ้มอีก “ไปตรงโซฟาด้านโน้นเลยนะครับ ต้องขอโทษเรื่องคนของผมจริงๆ ” ฝ่ายนั้นพูดต่อ พลางถือวิสาสะจับมือลู่อี้เผิง จูงไปนั่งตรงโซฟาหนังสีน้ำตาลเข้มที่วางอยู่ลึกเข้าไปในห้อง
   “ไม่ต้องตื่นเต้นนะครับ ทำตัวสบายๆ ” หลิวกั่วสือว่า หลังจากลากมือลู่อี้เผิงมานั่งเรียบร้อยแล้ว นายตำรวจหนุ่มขยับตัวอย่างอึดอัด ขณะที่หญิงสาวท่าทางทอมบอยคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับเก้าอี้ แล้วก็นั่งปุลงข้างๆ เขา พร้อมกับวางเครื่องอัดเสียงไว้ใกล้ๆ
   หลิวกั่วสือหยิบสมุดเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วเปิดหน้าหนึ่ง ยื่นให้นายตำรวจหนุ่ม
   “คำถามสัมภาษณ์คร่าวๆ นะครับ ข้อไหนที่สารวัตรคิดว่าไม่ควรถาม ก็ขีดออกเลยนะ”
   ลู่อี้เผิงรับไป แล้วกวาดตามองพักหนึ่ง ก่อนจะสั่นศีรษะ “แบบนี้ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ” เขาพูด แล้วส่งสมุดคืนให้
   “’งั้นก็เริ่มกันเลยแล้วกันนะครับสารวัตร” หลิวกั่วสือว่า และยิ้มอีก “ตั้งแต่สารวัตรลู่เริ่มเป็นข่าวเนี่ย มีแฟนหนังสือเขียนจดหมายและอีเมลเข้ามาหาผมเยอะแยะเลยว่า อยากให้ทำสกู๊ปเกี่ยวกับตัวสารวัตร ผมหยิบเอาจดหมายบางฉบับมาให้สารวัตรดูด้วยล่ะ” พูดจบ ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้ ลู่อี้เผิงเปิดออกมาอ่านแล้วก็กะพริบตาปริบๆ
   “ผมเป็นตำรวจนะ” นายตำรวจหนุ่มตอบด้วยสีหน้าค่อนข้างจะจริงจังอยู่พอสมควร อีกฝ่ายพยักหน้าและยิ้มร่า “ครับ นั่นแหละที่น่าสนใจ ปกติหนังสือแบบที่ผมทำ มักจะลงภาพที่ไม่ใช่ดาราวัยรุ่น ก็เป็นไฮโซชื่อดัง แต่กับคนในแวดวงราชการยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน” หยุดไปพักหนึ่ง “ก็แน่นอนล่ะครับ เพราะพอพูดถึงราชการ โดยเฉพาะตำรวจ ภาพที่เรานึกมักจะเป็นตาลุงรูปร่างอุ้ยอ้าย ที่ออกมาให้สัมภาษณ์เวลาเกิดคดีใหญ่ๆ ทุกที แบบนั้นวัยรุ่นที่ไหนอยากจะไปสนกันล่ะ จริงไหมครับ”
   ลู่อี้เผิงมองหน้าคนพูด แล้วตอบเสียงเรียบ “มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วล่ะ พวกเขาทำงานหนัก ไม่มีเวลาดูแลตัวเองมากนักหรอก”
   “แหม... สารวัตรนี่ตอบได้สมกับเป็นนายตำรวจดีจริงๆ ” หลิวกั่วสือว่า และพูดต่อ “ได้ยินว่าสารวัตรจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง มีชื่อขึ้นในทำเนียบนักเรียนดีเด่นตลอดหกปีที่เรียนอยู่ ไม่ทราบว่าสารวัตรมีเคล็บลับอะไรในเรื่องนี้รึเปล่าครับ”
   “ผมก็ตั้งใจเรียนอย่างปกตินั่นแหละ” ลู่อี้เผิงว่า แล้วหันไปมองหลิวกั่วสือ “นี่อัดเสียงผมไว้ด้วยรึเปล่าน่ะ”
   คนถูกถามหัวเราะร่วน “ครับ แต่สารวัตรไม่ต้องเกร็งหรอกนะครับ เดี๋ยวผมให้เด็กไปถอดเทปเอาอีกที นึกเสียว่าเหมือนคุยกับคนรู้จัก อะไรทำนองนั้น ทำตัวสบายๆ นะครับ ผมอยากให้ได้บทสัมภาษณ์แบบเป็นกันเองที่สุด”
   “อืม” ลู่อี้เผิงพยักหน้า พยายามจินตนาการว่าเขารู้จักกับหลิวกั่วสือมานานปี แต่....ท่าทางจะยากเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
   “ตั้งใจเรียนของสารวัตรนี่ คือท่องหนังสือ อ่านตำราอย่างคร่ำเคร่งตลอดวันเลยรึเปล่าครับ”
   “เปล่า ผมแบ่งเวลาเอาน่ะ” ลู่อี้เผิงตอบ “เราไม่จำเป็นต้องเอาแต่ท่องตำราทั้งวันหรอก อีกอย่าง โรงเรียนนายร้อยก็เน้นภาคปฏิบัติมากกว่าภาคทฤษฏีอยู่แล้ว”
   “อ้อ... งั้นตอนเรียน สารวัตรมีแอบหนีเที่ยวหรืออะไรบ้างรึเปล่าครับ?”
   “มีนะ” ลู่อี้เผิงตอบ และเริ่มนึกย้อน “คนเรามันก็ต้องมีเวลาพักผ่อนกันบ้างนั่นแหละ ไม่มีใครอยู่ในกรอบได้ตลอดเวลาหรอกครับ เพียงแต่เราต้องจำกัดตัวเองบ้างเท่านั้นแหละ”
   “อ่อ ครับ” หลิวกั่วสือพยักหน้า “ได้ยินจากอาจารย์หลายคนของสารวัตร รวมถึงครูฝึก ว่าสมัยเรียน สารวัตรเฮี้ยวน่าดู อันนี่จริงรึเปล่าครับ?”
   “คุณไปถามใครมาล่ะ?” ลู่อี้เผิงย้อนถาม หลิวกั่วสือสั่นศีรษะ “เขาให้เก็บชื่อเป็นความลับน่ะ แต่บอกมาว่าสารวัตรทั้งเฮี้ยวทั้งห่าม เวลามีเรื่องอะไร สารวัตรออกหน้านำทัพก่อนเลย ขนาดเรื่องตีกันในโรงอาหาร สารวัตรยังเป็นหัวโจกเลยหรือครับ”
   “เอ่อ... ผมไม่ใช่หัวโจกนะ ผมแค่เข้าไปห้าม”
   “ที่ว่าซัดเพื่อนร่วมชั้นลงไปกองเจ็ดแปดคนนี่ คือเข้าไปห้ามหรือครับ?” อีกฝ่ายถามต่อ ลู่อี้เผิงมีสีหน้ายุ่งยากใจ “ถ้าคุณจะเข้าไปห้ามคนต่อยกัน ถ้าไม่อยากถูกพวกเขาต่อยจนสลบ คุณก็ต้องจัดการพวกเขาให้สลบก่อนนั่นแหละ” ลู่อี้เผิงว่า แล้วหันไปหาหลิวกั่วสืออีกครั้ง “นี่คุณหลิว ถามอะไรที่มันดูสร้างสรรค์กว่านี้หน่อยสิ”
   คนถูกเอ็ดหัวเราะชอบใจ “แหม... แบบนี้ก็สร้างสรรค์ดีออกครับ สารวัตรเองก็เฮี้ยวใช่ย่อย แต่ก็ยังจบมาด้วยเกียรตินิยม แถมยังได้รับคำชมทุกรายวิชาแบบนี้ แสดงว่าสารวัตรเองไม่ธรรมดาใช่ไหมล่ะ?”
   “เปล่า ผมก็คนธรรมดานี่แหละ” ลู่อี้เผิงว่า “มันอยู่ที่ว่าคุณตั้งใจทำอะไรมากขนาดไหนต่างหาก”
   “อ้อครับ” ทางนั้นพยักหน้า แล้วถามต่อ “สอบเข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจยากรึเปล่าครับ?”
   “ไม่ยากนะ” ลู่อี้เผิงว่า “แต่ผมเตรียมตัวจะสอบเข้ามาตั้งแต่เริ่มเรียนชั้นม.ต้นแล้วล่ะ”
   “อ้อ.. เห็นว่าสารวัตรได้แรงบันดาลใจในการเป็นตำรวจมาจากคุณพ่อหรือครับ?”
   “อืม” คนถูกถามพยักหน้า “ก็ไม่เชิงว่าได้แรงบันดาลใจหรอกครับ พ่อผมที่เสียไปอยากให้ผมเป็นตำรวจมากน่ะ บอกว่าเป็นอาชีพที่น่าภาคภูมิใจ”
   “ครับ จากประวัตินี่เห็นว่าคุณแม่ของสารวัตรเสียตั้งแต่สารวัตรเกิดเลยหรือครับ แล้วก็เลยอยู่กับคุณพ่อมาจนถึงอายุสิบห้า คุณพ่อก็มาเสียอีก แบบนี้สารวัตรรู้สึกตัวเองมีปัญหาด้านครอบครัวอย่างเช่นขาดความอบอุ่นหรืออะไรบ้างไหมครับ?”
   “ไม่นะ” ลู่อี้เผิงตอบ พลางสั่นศีรษะ “พ่อผมเป็นโรคปอดเรื้อรังมาตั้งนานแล้วล่ะ อีกอย่างพ่อผมบอกว่าที่ไม่ยอมแต่งงานใหม่เพราะรักแม่มาก ผมเลยมีความรู้สึกว่าแม่ผมต้องเป็นผู้หญิงที่ดีมากแน่ๆ เพราะอย่างนั้น ผมไม่น้อยใจหรือเสียใจเรื่องนี้หรอก”
   “อืม ฟังดูแล้ว สารวัตรเป็นคนเข้มแข็งมากเลยนะครับ” หลิวกั่วสือพูดและทำหน้าจริงจัง “มาถึงช่วงสำคัญของเราเลยดีกว่า สองสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ผมลองเปิดคอลัมน์ถามบรรดาแฟนๆ หนังสือว่า ถ้าเราเชิญสารวัตรมาให้สัมภาษณ์ได้ แฟนๆ อยากจะถามอะไรจากสารวัตรบ้าง สารวัตรรู้ตัวรึเปล่าครับ ว่ามีแฟนคลับกับเขาแล้วนะ”
   ลู่อี้เผิงทำหน้าแปลกๆ “ผมไม่อยากมีหรอก”
   หลิวกั่วสือหัวเราะร่วนอีก “ผมเริ่มถามจากคำถามนี้ดีกว่า ปกตินายตำรวจจะต้องหุ่นไม่ดี ไม่อ้วนก็ผอมเกินไป หน้าตาก็งั้นๆ ทำไมสารวัตรลู่ถึงได้หน้าตาดี๊ดี หุ่นก็เพอเฟกสุดยอดแบบนี้ล่ะ?”
   “เอ่อ... นี่ใครถามมาน่ะ” ลู่อี้เผิงถามกลับ หลิวกั่วสือตอบยิ้มๆ “แฟนคลับสารวัตรไง”
   นายตำรวจหนุ่มมองเขาด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะเชื่อถือนัก แต่ก็ยอมตอบคำถาม “หน้าตาผมเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องรูปร่าง ผมออกกำลังกายเป็นประจำน่ะ”
   “แล้ว... สารวัตรมีงานอดิเรกอะไรเป็นพิเศษบ้างรึเปล่า นอกจากออกกำลังกายกับขับรถไล่จับคนร้าย”
   นายตำรวจหนุ่มย่นคิ้ว “สองอย่างนั่นอาชีพผมนะ งานอดิเรกก็.... ปลูกต้นไม้”
   “ต้นอะไรหรือครับ?”
   “หม้อข้าวหม้อแกงลิง”
   “โห..” คนได้ฟังทำตาโต “ใช่ต้นไม้ที่กินแมลงรึเปล่า ไม่ยักรู้ว่าสารวัตรเลี้ยงต้นไม้แปลกๆ แบบนี้นะเนี่ย สั่งซื้อมาทางอินเตอร์เน็ต หรือยึดของกลางมาล่ะครับ”
   ลู่อี้เผิงย่นคิ้วอีก “ญาติผู้ใหญ่ให้มาน่ะ”
   “อ้อ..” อีกฝ่ายร้องแล้วพยักหน้า “แล้วอาหารที่ชอบล่ะครับ”
   นายตำรวจหนุ่มนิ่งนึกไปพักหนึ่ง “ไม่รู้สิ ผมทานอะไรก็ได้น่ะ ไม่ค่อยเรื่องมากหรอก ถ้าที่ทานอยู่ประจำก็คงเป็นข้าวผัดเต้าหู้ล่ะมั้ง”
   “ทานอะไรพื้นฐานจัง” หลิวกั่วสือว่า “แล้วเครื่องดื่มล่ะ”
   “น้ำเปล่า”
   “ปกติพอมีเวลาว่าง สถานที่ท่องเที่ยวที่สารวัตรนึกถึงคืออะไรครับ?”
   “ทะเล”
   “สารวัตรเกิดเดือนไหน วันอะไรครับ?”
   “เดือดแปด วันที่ยี่สิบห้า นี่จะถามไปทำประวัติหรือไง?”
   คนถูกถามกลับหัวเราะอีก “คำถามต่อไป เป็นคำถามที่แฟนๆ หนังสือถามกันมาเยอะที่สุด ไม่ทราบว่าสารวัตรทั้งหล่อทั้งเก่งขนาดนี้ มีคู่ใจหรือคนรักเป็นตัวเป็นตนบ้างหรือยังครับ”
   “ไม่มีหรอก” ลู่อี้เผิงว่า อีกฝ่ายทำหน้าตกใจเกินจริง “โห... ไม่น่าเชื่อนะครับ นี่เป็นเพราะสารวัตรมีความเกี่ยวข้องกับหงคงฉ่วยด้วยรึเปล่า?”
   สีหน้าของลู่อี้เผิงเคร่งเครียดขึ้นมาทันที “ถามถึงเขาทำไมน่ะ?”
   “อ๋อ คำถามจากทางบ้านน่ะ ถ้าสารวัตรไม่สะดวกตอบก็ไม่เป็นไร”
   “อืม ผมกับเขาไม่เกี่ยวอะไรกันหรอก”
   “ครับ แล้วสารวัตรมีสาวในสเป็กรึเปล่า หรือว่าสารวัตรสเป็กสูง เลยยังหาแฟนไม่ได้ล่ะมั้ง”
   “คงใช่นะ”
   “....” หลิวกั่วสือเงียบไปพักหนึ่ง แล้วถามขึ้นต่อ “นางในฝันสารวัตรเป็นแบบไหนหรือครับ?”
   คราวนี้ลู่อี้เผิงเป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง หลังจากคิดอยู่นาน นายตำรวจหนุ่มก็ตอบออกมา “คงเป็นผู้หญิงที่เหมือนแม่ของผมล่ะมั้ง”
   “อ๋อ ครับ” หลิวกั่วสือพยักหน้า แล้วก็พูดสรุปเสียที “ขอบคุณสารวัตรจริงๆ ที่ให้เกียรติมาสัมภาษณ์กับนิตยาสารของเราในวันนี้ สารวัตรอยากฝากอะไรถึงท่านผู้อ่านทางบ้านบ้างรึเปล่าครับ”
   “อืม... ผมว่าอาชีพตำรวจเป็นอาชีพที่ดีนะ ตอนนี้ทางกรมของเรากำลังต้องการคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน ถ้าพวกคุณสนใจล่ะก็ ลองสมัครเข้ามาดูสิ”
   “ถ้าสารวัตรอาสาติวตัวต่อตัวล่ะก็ ผมว่าคนสมัครตรึมแน่”
   ลู่อี้เผิงตีหน้าบึ้งทันที ทางนั้นเลยรีบพูดต่อ “เป็นอันว่าขอจบบทสัมภาษณ์ไว้แต่เพียงเท่านี้แล้วกันนะครับ”
   นายตำรวจหนุ่มถอนหายใจเฮือก ก่อนจะผุดลุกขึ้น “ผมกลับได้แล้วสินะ”
   “เดี๋ยวสิครับ” หลิวกั่วสือว่า แล้วลุกตาม “ยังไม่ได้ถ่ายภาพเลย สารวัตรไปนั่งตรงโน้นดื่มน้ำให้สบายใจก่อนก็ได้ เดี๋ยวเราค่อยคุยถึงคอนเซปว่าจะถ่ายแบบไหนดี”
   “หา?!” ลู่อี้เผิงทำหน้างง ก่อนจะถูกผู้ชายตัวบางๆ อีกสองคนเดินมาคล้องแขน แล้วลากไปนั่งตรงเก้าอี้อีกฟากหนึ่ง จากนั้นก็เอาน้ำมาให้เขาดื่ม
   “แหม... เห็นสารวัตรแล้ว ผมล่ะอยากเป็นตำรวจขึ้นมาเชียวครับ” หนึ่งในสองหนุ่มพูดขึ้น ลู่อี้เผิงมองหน้าเขา “คุณอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ?”
   “สิบแปดครับ”
   “น่าจะยังสมัครได้อยู่นะ” ลู่อี้เผิงว่า ทางนั้นมองหน้าเขาแล้วยิ้มเล็กๆ “ถ้าสมัครแล้วจะได้เจอสารวัตรทุกวันรึเปล่าครับ”
   ลู่อี้เผิงยังไม่ทันจะได้ตอบ อีกคนก็ยื่นมือมาลูบไล้ต้นแขนของเขา “สารวัตรหุ่นดีจัง นี่ขนาดใส่เครื่องแบบนะเนี่ย ถ้าสารวัตรถอดเสื้อล่ะก็...”
   “นี่พวกคุณ เกรงใจสารวัตรเขาหน่อยเถอะ” หลิวกั่วสือที่เดินตามเข้ามาพูดเอ็ดขึ้นอีก สองคนที่เหลือมองหน้ากันแล้วหัวเราะ “คุณหลิวเองก็อยากเห็นสารวัตรเปลือยเหมือนกันไม่ใช่หรือไงครับ แหม... ผู้ชายรูปหล่อแถมหุ่นล่ำบึ๊กขนาดนี้ หาไม่ใช่ง่ายๆ นะเนี่ย”
   “ไปไกลๆ เลยไป” คนถูกล้อเอ่ยปากไล่ สองหนุ่มหัวเราะคิกกคักแล้วเดินจากไป ลู่อี้เผิงขยับตัวอย่างอึดอัด “นี่..คุณหลิว ผมไม่ถ่ายแบบหนังสือโป๊หรอกนะ”
   “ครับ” หลิวกั่วสือพยักหน้า “ผมก็ไม่ได้จะถ่ายโป๊สารวัตรหรอก สาบานได้เลย”
   ลู่อี้เผิงมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อถือสุดๆ ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในสตูดิโอนี่ ลู่อี้เผิงชักเริ่มรู้สึกว่าเขากำลังตกเข้ามาในดินแดนต้องห้ามอะไรซักอย่างแน่ๆ พอเผลอทีไรก็มีผู้ชายมาเข้าถึงเนื้อถึงตัวเขาทุกที
   แค่หงคงฉ่วยคนเดียวยังพอทน แต่มาเป็นฝูงแบบนี้เขาคงรับไม่ไหวเหมือนกัน
   ลู่อี้เผิงมองหน้าหลิวกั่วสืออีก พลางคิดว่าถ้าไอ้หมอนี่ หรือลูกน้องทำอะไรที่เข้าข่ายอนาจารหรือละเมิดทางเพศเขาแม้แต่นิดเดียว เขาจะแจ้งจับให้เหี้ยนสำนักพิมพ์ไปเลย
   “อืม... ผมว่าสารวัตรใส่เครื่องแบบแบบนี้แหละ เหมาะที่สุดแล้ว” หลิวกั่วสือพูดออกมา หลังจากมองลู่อี้เผิงอยู่พักใหญ่ “ยิ่งพอสารวัตรทำหน้าดุๆ ยิ่งดูดีมากๆ เลยครับ ลองไปยืนที่ฉากตรงโน้นหน่อยไหมครับ ถ่ายแค่ภาพสองภาพก็พอแล้วล่ะครับ” เขาว่า และฉวยมือลู่อี้เผิงอีกรอบ ก่อนจะลากออกไป
   ลู่อี้เผิงถูกจับมายืนอยู่หน้าฉากผ้าสีดำฉากหนึ่ง ตรงข้ามมีไฟสปอตไลท์สำหรับถ่ายภาพสองตัว แล้วก็มีช่างกล้องอีกคนหนึ่ง หลิวกั่วสือยืนอยู่ถัดไปด้านหลัง
   “ถอยไปอีกนิดหนึ่งครับสารวัตร ลองเดินไปเดินมาดูหน่อยสิครับ ไม่ต้องมองกล้องหรอกครับ เดินสบายๆ น่ะ ครับ.. แบบนั้นแหละ”
   ได้ยินเสียงลั่นชัตเตอร์และแสงไฟแฟลตแลบออกมาเป็นระยะ ลู่อี้เผิงชักนึกสงสัยว่าไอ้เจ้าพวกนี้จะถ่ายรูปตอนเดินของเขาไปทำไมนะ
   “สารวัตรครับ เน็กไทนี่ ปลดออกได้รึเปล่าครับ ผมว่ามันดูอึดอัดไปนะ สำหรับภาพถ่ายน่ะ” หลิวกั่วสือว่า ลู่อี้เผิงมองหน้าเขา
   “คลายออกสักนิดหนึ่งก็ได้ นะครับ แค่นิดเดียว”
   ลู่อี้เผิงยกมือขึ้น ทำท่าจะคลายเน็กไทออก หลิวกั่วสือรีบส่งเสียงทันที “แบบนั้นล่ะครับสารวัตร เดี๋ยวผมให้เด็กๆ เข้าไปช่วยจัดเสื้อผ้าให้นะ”
   ลู่อี้เผิงยังไม่ทันจะได้พูดอะไรตอบ ผู้ชายสองคนเมื่อครู่ก็ปราดเข้ามา ทั้งยื่นผ้ามาเช็ดหน้า ทั้งลงมือคลายเน็กไทเขาเป็นการใหญ่ ลู่อี้เผิงจำต้องผลักคนทั้งคู่ออก “พวกคุณกำลังทำให้ผมแต่งเครื่องแบบไม่สุภาพนะ”
   นายตำรวจหนุ่มว่า และจัดแจงติดกระดุมเม็ดบนที่ถูกปลดออก แล้วดึงเน็กไทกลับเข้าที่ แล้วเดินออกมาจากฉาก
   “เดี๋ยวสิครับ สารวัตร ยังไม่ได่ถ่ายสักภาพเลยนะครับ” หลิวกั่วสือร้องเสียงหลง ลู่อี้เผิงหันมามองหน้าเขา “แล้วตะกี้ไม่ได้ถ่ายเอาไว้หรือไง”
   “เทสแสงกับท่าทางน่ะครับสารวัตร เดี๋ยวรบกวนสารวัตรนั่งตรงโน้นสักครู่นะครับ ตบแป้งหน่อย หน้าจะได้ไม่มันเวลาโดนแสงแฟล็ต”
   ลู่อี้เผิงอ้าปากพะงาบๆ จากนั้นก็โดนลากไปนั่งที่เก้าอี้อีกตัวหนึ่ง สาวอายสักสามสิบกว่าคนหนึ่งเดินจ้ำๆ มาหาเขา แล้วยิ้มให้ “ขอตบแป้งนิดหนึ่งนะคะ สารวัตร”

ออฟไลน์ juon

  • มนุษย์หน้าคีย์บอร์ด
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1030
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +782/-3
    • My novel blog
   ลู่อี้เผิงทำหน้ายุ่งทันทีเมื่อฟองน้ำสำหรับใช้เกลี่ยแป้งกดลงบนหน้า ได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดต่อ “สารวัตรอย่าทำหน้ายุ่งแบบนั้นสิคะ เดี๋ยวก็ผิวย่นหรอก ทาแป้งนิดเดียวน่ะค่ะ แค่พอไม่ให้หน้ามันน่ะ”
   นายตำรวจหนุ่มจึงจำต้องนั่งนิ่งๆ เพราะครั้นจะปัดมือสุภาพสตรีออกก็ใช่ที่ ลงแป้งบางๆ ไปชั้นหนึ่ง สาวเจ้าก็ใช้มือเกี่ยวหน้าเขาขึ้น แล้วพูดยิ้มๆ “หล่อแล้วล่ะค่ะ จัดเสื้อหน่อยดีกว่า”
   เพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิง แล้วก็ไม่ได้มีท่าทีลวนลามเขาเหมือนสองคนเมื่อครู่ ลู่อี้เผิงจึงยอมให้เธอจัดเสื้อผ้าให้ ขณะที่กำลังช่วยจัดสายคาดไหล่ให้เข้าที่ โทรศัพท์มือถือของนายตำรวจหนุ่มก็ดังขึ้นพอดี
   “เผิงเผิง” เสียงที่ดังลอดออกมาทำเอาลู่อี้เผิงต้องยกมือขอตัวกะทันหัน เขารีบเดินไปที่มุมหนึ่งของสตูดิโอ แล้วกรอกเสียงลงไป
   “มีธุระอะไรน่ะ”
   “ฉันเพิ่งกลับมาจากเวียดนาม ซื้อของมาฝากเธอด้วย แวะมาหาที่คฤหาสน์หน่อยสิ”
   “ผมติดธุระอยู่น่ะ ยังไปไม่ได้หรอก”
   “ธุระอะไร?” ปลายสายถามเสียงเข้มทันที ลู่อี้เผิงเหลือบมองพวกที่เดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น ก่อนจะตอบกลับไป “ผมมาถ่ายแบบ”
   “ว่าไงนะ?!” เสียงปลายสายถามกลับมาทันที “ถ่ายแบบ? กับใครน่ะ?”
   “คุณหลิวกั่วสือ”
   “กั่วสือ?” หงคงฉ่วยทวนชื่อผ่านสายโทรศัพท์ “เดี๋ยวนี้เผิงเผิงหัดขายตัวทางหนังสือพิมพ์แล้วหรือไง?”
   “จะบ้าเรอะ” ลู่อี้เผิงโพล่งใส่หูโทรศัพท์ “ผมมาเพราะคำสั่งท่านรองน่ะ”
   “เฉินฉินนึกบ้าอะไรให้เธอไปถ่ายแบบกับคนพรรค์นั้น ถ่ายอยู่ที่ไหนน่ะ?”
   “สตูดิโอT นี่ อย่าบอกนะว่าคุณจะ!” พูดไม่ทันขาดคำ ทางนั้นก็วางสายไปเสียก่อน ลู่อี้เผิงนึกเสียวสันหลังวาบ เขาหันไปมองหลิวกั่วสือที่กำลังเดินเข้ามาหา “เดี๋ยวรบกวนสารวัตรไปที่ฉากเลยนะครับ จะได้เริ่มถ่ายกันเลย”
   ลู่อี้เผิงยืนอ้ำอึ้งอยู่สักพัก ในที่สุดก็ถามออกไป “คุณหลิว คุณรู้จักหงคงฉ่วยรึเปล่า?”
   หลิวกั่วสือมองหน้าเขา แล้วพยักหน้า “รู้จักสิครับ ใครๆ ก็รู้จักชื่อเขาทั้งนั้นแหละ ต่อให้ไม่ใช่ตำรวจก็เถอะครับ แต่ว่าถามทำไมหรือ?”
   “อ้อ... แล้ว คุณกลัวเขารึเปล่า?”
   หลิวกั่วสือคำพรืดออกมา “สารวัตรยังดูไม่กลัวเขาเลย ผมจะกลัวทำไมล่ะ ผมว่าเขาคงเป็นคนแก่ที่ดูใจดีๆ สักหน่อยล่ะมั้ง ใช่ไหมล่ะครับ คงไม่ดุร้ายอย่างที่ใครเขาร่ำลือกันหรอก”
   ลู่อี้เผิงกลืนน้ำลายเฮือก “ผมว่าคุณระวังๆ เอาไว้หน่อยก็ดี”
   “ไม่เอาน่า สารวัตร ตะกี้ตอนสัมภาษณ์ คุณยังทำท่าไม่อยากจะพูดถึงเขาอยู่เลย ทำไมจู่ๆ ถึงมาพูดแบบนี้ล่ะครับ ไปที่ฉากกันเถอะ เดี๋ยวจะเลิกดึกนะ”
   ลู่อี้เผิงจำต้องเดินกลับไปที่ฉาก พลางภาวนาไม่ให้มีเรื่องบ้าๆ เกิดขึ้น
---------------------------------------------------
   งานถ่ายแบบดูเรียบง่ายและไม่น่ากลัวอย่างที่ลู่อี้เผิงคิดตอนแรก อย่างน้อยเขาก็ยังสวมเครื่องแบบเรียบร้อย และทำแค่ยืน นั่ง แล้วก็เดินไปเดินมาเท่านั้นเอง ถ่ายไปได้สักพัก นายตำรวจหนุ่มชักจะเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง เลยมีบางมุมที่หันมายิ้มให้กล้อง หลิวกั่วสือเห็นแล้วก็รีบยกนิ้วโป้ง แล้วสั่งช่างกล้องให้เก็บภาพไว้เป็นการใหญ่
   ในตอนที่กำลังถ่ายกันอยู่ หนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามา “สารวัตรลู่ มีญาติผู้ใหญ่มาหาครับ”
   “?” คนทั้งหมดหันไปหาคนพูดเป็นทางเดียว พอมองเลยไปด้านหลัง ก็เห็นใครคนหนึ่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีแดงคล้ำเดินเข้ามา
   “ไงเผิงเผิง ถ่ายแบบสนุกมั้ย?”
   “!!!” ลู่อี้เผิงแทบจะกัดลิ้นตัวเองเพื่อไม่ให้หลุดปากเรียกชื่อทางนั้นออกไป หลิวกั่วสือมองผู้ชายที่เดินเข้ามาแล้วพูดยิ้มๆ “ไม่ทราบว่าคุณคือ...”
   “ฉันเป็นญาติผู้ใหญ่ฝ่ายแม่ของปู่ของพ่อเขา” คนเข้ามาใหม่ตอบ พลางเดินปราดๆ เข้ามาที่ฉากถ่ายภาพโดยไม่สนว่าคนที่อยู่ในฉากกำลังทำอะไรอยู่ ก่อนจะหยุดตรงหน้านายตำรวจหนุ่ม
   “เผิงเผิงกลับบ้านได้แล้วล่ะ”
   ลู่อี้เผิงอ้าปากพะงาบๆ ในขณะที่หลิวกั่วสือและคนอื่นๆ ก็ดูจะอึ้งกิมกี่ไม่แพ้กัน
   “เอ่อ... คุณเป็นญาติผู้ใหญ่เขาจริงหรือครับ? ผมว่า... คุณน่าจะอายุพอๆ กับเขานะ”
   คนในชุดแดงยิ้มที่มุมปาก “รับรองว่าฉันเป็นญาติผู้ใหญ่ของเธอได้ด้วยก็แล้วกัน ถ้าฉันเกิดอยากจะเป็นขึ้นมาน่ะนะ”
   พูดจบก็หันมาทางลู่อี้เผิง “เผิงเผิงจะกลับเอง หรือให้ฉันลากกลับไป”
   ลู่อี้เผิงกลืนน้ำลายเฮือก ก่อนจะพูดออกไปได้ในที่สุด “นี่... คุณใจเย็นๆ ก่อนเถอะ ผมแค่มาถ่ายแบบ”
   “ฉันไม่อนุญาต” ทางนั้นพูดเสียงเข้ม ก่อนจะถลึงตามองเขา “ฉันไม่เคยจำได้ว่าอนุญาตให้ใครอื่นดูร่างกายของเธออีก”
   ลู่อี้เผิงอ้าปากพะงาบๆ ยังไม่ทันได้พูดอะไร ทางนั้นก็หันไปกวาดสายตามองคนรอบๆ “ใครเป็นตากล้อง?”
   คนที่ยืนอยู่หลังกล้องกะพริบตาปริบๆ คนในชุดแดงหันไปมองเขา แล้วพูดเสียงเรียบ “ถ่ายภาพเขาไว้เยอะหรือเปล่าน่ะ?”
   “ครับ”
   “งั้นฉันขอซื้อ ทั้งกล้องตัวนั้นแล้วก็เมมโมรีด้านในด้วย”
   “เดี๋ยวสิ!” หลิวกั่วสือที่ยืนเงียบอยู่ด้วยความอึดอัดโพล่งขึ้น “คุณเป็นใครน่ะ เท่าที่ผมสืบมา สารวัตรลู่ไม่มีญาติผู้ใหญ่อายุน้อยขนาดนี้หรอกนะ คุณเป็นพวกนักแบล็กเมล์หรือไง?”
   คนถูกกล่าวหาหันมามองคนพูด ก่อนจะยิ้มที่มุมปาก “ถ้าฉันพูดว่าใช่ เธอจะทำไงล่ะ เอาไปเขียนข่าวต่อเลยดีไหม รายได้คงงามอยู่นะ”
   “อ๋อ แน่นอนอยู่แล้วล่ะ ผมจะให้คนถ่ายรูปคุณเอาไว้ด้วย คงได้ทั้งข่าว ได้ทั้งข้อหาละเมิดสิทธิส่วนบุคคลแน่”
   “กั่วสือ...” ทางนั้นเรียกชื่อเขาเสียงห้วน “ท่าทางพักนี้กิจการดีนี่นา ก็สมกับที่พ่อเธอลงทุนบากหน้ามาขอกู้เงินฉันไปลงทุนให้ลูกนอกคอกอย่างเธออยู่หรอกนะ”
   คราวนี้หลิวกั่วสือมีอาการอ้าปากพะงาบๆ บ้าง พะงาบลมอยู่ได้สองสามคำ เขาถึงพูดออกมาได้ “คุณเป็นใครกันน่ะ ทำไมถึงรู้เรื่องเงินกู้นั่นด้วย?”
   “โทรไปถามพ่อเธอดูสิ แต่ถามเขาดีๆ นะ อย่าให้เขารู้ว่าเธอกำลังทำฉันไม่พอใจล่ะ เดี๋ยวเกิดเขาเป็นลมเป็นแล้ง เส้นเลือดในสมองแตกขึ้นมา จะมาโทษฉันอีก” ฝ่ายนั้นว่า หลิวกั่วสือมองหน้าเขา แล้วกดโทรศัพท์ทันที หลังจากคุยโทรศัพท์ได้สักพัก หน้าของหลิวกั่วสือก็ซีดลงเรื่อยๆ เขาเหลือบมามองคนชุดแดงเป็นระยะ ทันทีที่วางสายโทรศัพท์ ทางนั้นก็รีบโค้งตัวให้ทันที
   “ขอโทษนะครับ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเป็นคุณ”
   “อืม... ไม่เป็นไรหรอก” คนที่ยืนอยู่ว่า และพูดต่อ “ตกลงฉันขอซื้อกล้องตัวนั้นพร้อมเมมโมรีแล้วกันนะ จะขายสักเท่าไหร่ล่ะ”
   “ไม่เป็นไรหรอกครับ” หลิวกั่วสือพูดเสี่ยงสั่น “ถ้าคุณต้องการแค่รูปของท่านสารวัตรล่ะก็ เอาเมมโมรีไปเถอะครับ”
   “อืม.. อย่างนั้นก็ได้...” คนชุดแดงพยักหน้า และรับเมมโมรีที่ช่างกล้องเดินมาส่งให้ ก่อนจะหันไปพูดกับหลิวกั่วสือยิ้มๆ “เรื่องวันนี้น่ะ ขอให้เป็นความลับแล้วกันนะ เห็นแก่ว่ามีสารวัตรลู่อยู่ ฉันจะปล่อยเธอไปสักครั้งแล้วกัน อ้อ... แต่ถ้าเกิดเรื่องนี้รั่วหรือเป็นข่าวแม้แต่ตัวอักษรเดียวล่ะก็ เธอคงรู้นะ ว่าจะเกิดอะไรบ้าง”
   “ทราบแล้วล่ะครับ” หลิวกั่วสือพูดด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวสุดๆ อีกฝ่ายถอนหายใจเฮือก แล้วหันมาหานายตำรวจหนุ่ม
   “เอาล่ะ กลับกันได้แล้ว” พูดจบก็ฉวยมือลู่อี้เผิง จูงออกไปด้านนอกสตูดิโอ
------------------------------------------
   พอออกมาด้านนอก ลู่อี้เผิงถึงกับผงะ เมื่อพบรถลีมูซีนตอนยาวที่มีตรานกยูงแดงประดับอยู่ตรงหน้า ลั่วซ่งจือที่ยืนรออยู่เปิดประตูรถด้านหลังออก นายตำรวจหนุ่มถูกอีกฝ่ายผลักเข้าไปในรถ ก่อนที่ประตูจะปิดลง
   “คงฉ่วย ทำแบบนี้มันจะไม่ยิ่งยุ่งหรือไง?” นายตำรวจหนุ่มถามขึ้น หลังจากที่อีกฝ่ายขยับตัวนั่งดีแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสได้ขึ้นรถลีมูซีนกันกระสุนคันนี้ หงคงฉ่วยมองหน้าเขา แล้วจากนั้นก็ยื่นมือมาตบเสียงดังเพี๊ยะ
   ลู่อี้เผิงถูกตบจนหน้าหัน ทั้งงุนงงทั้งตกใจ พอเงยหน้าขึ้นมาก็ถูกตบอีก
   “กล้าดียังไงถึงได้มาเป็นแบบถ่ายรูปให้คนอื่นน่ะ” หงคงฉ่วยกระชากเสียง แล้วดึงเน็กไทของนายตำรวจหนุ่มขึ้นมา “ถึงจะเป็นคำสั่งเฉินฉินหรือใครหน้าไหนก็ช่าง เธอก็ต้องบอกฉันก่อน ฉันไม่อนุญาตให้เธอถ่ายรูปให้ใครทั้งนั้น เธอเป็นของฉัน รู้ไว้ซะ!!”
   ลู่อี้เผิงเบิ่งตามองคนตรงหน้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นหงคงฉ่วยเดือดดาลขนาดนี้ ใบหน้าคมเข้มกลายเป็นสีแดงจัด ดวงตาก็จ้องมองเขาเหมือนกำลังโกรธขึงเป็นที่สุด มือที่กำคอเสื้อเขาอยู่ก็จับแน่นขึ้นเรื่อยๆ
   “คงฉ่วย คุณหึงผมหรือ?”
   นัยน์ตาของหงคงฉ่วยเบิ่งค้าง ก่อนจะกระชากคอเสื้อของลู่อี้เผิงขึ้นมา “น้ำหน้าอย่างเธอ กล้าพูดแบบนี้กับฉันรึ?”
   ลู่อี้เผิงสำลักน้ำลายครั้งหนึ่ง ก่อนจะพยายามคว้าจับมือสองข้างที่ขยำคอเสื้อเขาเอาไว้ “ก็คุณทำท่าเหมือนจะหึงผมนี่”
   “ปากดีจริงๆ คิดหรือว่าคนอย่างฉันจะ..!” หงคงฉ่วยพูดไม่จบ เพราะจู่ๆ ลู่อี้เผิงก็ขยับตัวลุกพรวดขึ้น ดันตัวเขาจนชิดกับเบาะรถ
   “ถ้าไม่หึงผมจริง ทำไมมือมันสั่นนักล่ะ ปกติคุณมือหนักจะตาย เค้นคอผมแล้ว ไม่เคยปล่อยให้ผมพูดปร๋อแบบนี้นี่นา”
   “หึ!” หงคงฉ่วยแค่นเสียง ลู่อี้เผิงรู้สึกถึงแรงบีบมหาศาลตรงคอเสื้อทันที เขารีบยกมือขึ้นกุมมือของอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะพูดออกมา “ผมขอโทษ ผมจะไม่ทำอีกแล้วล่ะ?”
   “..........”
   “ผมพูดจริงๆ นะ ผมไม่คิดว่าคุณจะ...” หยุดไปพักหนึ่ง นายตำรวจหนุ่มก็ยิ้มออกมา “หึงผมขนาดนี้”
   “เพ้อเจ้อน่า” อีกฝ่ายว่า แต่ก่อนจะได้ออกแรงบีบเพิ่ม มือของเขาก็ถูกนายตำรวจหนุ่มดึงออก แล้วกดลงกับเบาะรถ
   “คงฉ่วย อย่าปากแข็งเลยนะ... ปกติคุณหายใจสม่ำเสมอเป็นจังหวะจะตาย ผมเลยไม่เคยเอาชนะคุณได้เลยสักครั้ง แต่วันนี้คุณดูปั่นป่วนมาก หายใจยังไม่เป็นจังหวะเลย โมโหผมมากใช่ไหมล่ะ?”
   “หึ...” หงคงฉ่วยแค่นเสียง แล้วเบือนหน้าไปทางอื่น “มีเด็กบ้า ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรืออยู่ใกล้ตัว มันก็ชวนให้เครียดแบบนี้แหละ ปล่อยให้คลาดสายตาหน่อยก็ทำไปหว่านเสน่ห์กับคนอื่น”
   ลู่อี้เผิงยิ้มหน่อยๆ แล้วขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ “แล้วคุณล่ะ ไม่ใช่ว่าปกติก็หว่านเสน่ห์ใส่คนอื่นไปทั่วรึ?”
   เพี๊ยะ!!
   มือที่ถูกจับกดอยู่ของหงคงฉ่วย จู่ๆ ก็หลุดออกมา แล้วตบเข้าที่ใบหน้าของนายตำรวจหนุ่มเต็มแรง ลู่อี้เผิงถึงกับเห็นดาวเต็มท้องฟ้า
   “ถ้าไม่เห็นกับตาก็อย่ามาใส่ความฉัน!” หงคงฉ่วยตวาดเสียงเกรี้ยวกราด “เด็กอย่างเธอมันปากพล่อยจริงๆ ”
   “คงฉ่วย” ลู่อี้เผิงโพล่งออกมา ก่อนจะถลันเข้าไปหา แล้วจับมือข้างนั้นกดไว้อีกรอบ “ผมขอโทษ”
   หงคงฉ่วยเม้มปากแน่น ก่อนจะถลึงตาใส่บ้าง “ฉันไม่อยากฟังคำพูดขอโทษพล่อยๆ ของเธอหรอก ถอยออกไปได้แล้ว”
   ลู่อี้เผิงมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ แต่สุดท้ายกลับยิ้มออกมา
   “ยิ้มอะไรน่ะ?”
   “ผมดีใจ”
   “?!”
   “คุณหึงผมจนไม่มีแรงเลยนะเนี่ย”
   “!!”
   “คงฉ่วย...”
   “....................”
   “ไม่พูดอะไรสักหน่อยเหรอ?”
   “........................”
   “คุณกับผมน่ะ... น่าจะรู้สึกตรงกันสักเรื่องแล้วล่ะ”
   “เรื่องอะไรล่ะ?”
   “........................”
   หงคงฉ่วยมองหน้าลู่อี้เผิง ก่อนจะยิ้มออกมาบ้าง “เธอเป็นตำรวจนะ พูดอะไรหัดคิดก่อนบ้างสิ”
   ลู่อี้เผิงเม้มปาก ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา “คงฉ่วย รู้รึเปล่า บางทีผมก็ไม่อยากให้คุณเป็นหงคงฉ่วยเลย”
   “พูดเอาแต่ได้เกินไปแล้ว ฉันยังไม่เคยไม่อยากให้เธอเป็นลู่อี้เผิงสักหน่อย”
   “แล้วเคยคิดว่าผมไม่น่าเป็นตำรวจบ้างรึเปล่าล่ะ?”
   “ไม่เคยเลยสักครั้ง”
   “?!”
   “แปลกใจมากหรือไง?” ทางนั้นถาม แล้วพูดต่อ “ถ้าเธอไม่ใช่ตำรวจ ไม่หัวรั้นขนาดนี้ คิดหรือว่าฉันจะได้เจอเธอ ฉันไม่เสียใจที่เธอเป็นตำรวจหรอก กลัวแต่เธอจะเสียใจที่เป็นตำรวจมากกว่าน่ะซี่”
   “ผมไม่เสียใจหรอก” ลู่อี้เผิงว่า และเม้มปากแน่น “แค่นึกเสียใจที่เจอคุณน่ะ”
   “ปากดีจริงๆ แบบนี้ฉันจะย้อนคำพูดว่าปากแข็งคืนเธอได้บ้างรึเปล่า?”
   ลู่อี้เผิงไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาลดมือลง ดึงเน็กไทของตัวเองออก ก่อนจะถอดเข็มขัดและสายคาดไหล่ ปลดเครื่องแบบตัวนอกลง แล้วก้มหน้าลง กระซิบที่ข้างหูของอีกฝ่าย
   “รู้ไหม ว่าคุณเป็นคนแรก ที่ทำให้ผมถอดเครื่องแบบได้โดยไม่ต้องสั่งหรือพูด”
   หงคงฉ่วยแค่นยิ้มที่ริมฝีปาก “หึ.. เรื่องแค่นี้มีหรือฉันจะไม่รู้”
   ลู่อี้เผิงยิ้มบางๆ จากนั้นก็จับมือของหงคงฉ่วยขึ้นมา แล้วกำมือรอบมือข้างนั้น ค่อยๆ ปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออกทีละเม็ด แผงอกกำยำปรากฏให้เห็นรำไรใต้อกเสื้อ หงคงฉ่วยถึงกับสูดหายใจลึก ตอนที่มือถูกจับไปแตะกับแผงอกกำยำที่ร้อนระอุนั้น ลู่อี้เผิงสอดมือของเขาเข้าไปในอกเสื้อ ลูบไล้ในส่วนสัดที่เคยถูกลูบเคยไล้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
   “ร้ายเกินไปแล้วนะ” หงคงฉ่วยแค่นเสียงรอดไรฟัน ก่อนจะตะปบมือ ดึงฝ่ายนั้นเข้ามาใกล้ “ทำแบบนี้ไม่กลัวจะเสียใจทีหลังหรือไง?”
   นายตำรวจหนุ่มเม้มปาก “ไม่รู้สิ คุณล่ะ เคยคิดว่าจะต้องเสียใจบ้างรึเปล่า?”
   “ไม่เลย”
   “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หรือจะจบยังไงน่ะรึ?”
   “อืม”
   ลู่อี้เผิงมองหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะถอนหายใจออกมา “คุณแข็งแกร่งจริงๆ ”
   “ถ้าสู้ไม่ไหวก็ถอยเถอะ เดี๋ยวจะเสียชื่อนักเรียนเกียรตินิยมหมด” อีกฝ่ายว่า และผลักเขาออกเบาๆ ลู่อี้เผิงรีบฉวยมือข้างนั้นไว้
   “ผมสอบตกตั้งแต่เจอคุณแล้วล่ะ” นายตำรวจหนุ่มพูด แล้วยกมือข้างนั้นขึ้นมาจูบ “คงฉ่วย ผมคงสอบตกเรื่องคุณไปตลอด บอกตรงๆ นะ ผมไม่เคยคิดว่าผมจะสอบผ่านเลย แต่ผมก็ยัง....”
   “..................”
   “ผมโง่ใช่ไหม?”
   “อืม..” หงคงฉ่วยพยักหน้า แล้วขยับมือขึ้นลูบพวงแก้มที่ยังคงแดงเป็นปื้นของอีกฝ่าย “สารวัตรน่ะ ทั้งดื้อทั้งโง่เลยล่ะ”
   “เหรอ... แล้วคุณชอบรึเปล่าล่ะ?”
   “...............”
   “....................”
   ในที่สุดหงคงฉ่วยก็ถอนหายใจออกมา “ยังจะถามอีกหรือ? ที่ยอมทนทำเรื่องโง่ๆ มาถึงทุกวันนี้ ไม่ใช่ว่ารู้อยู่แล้วหรอกหรือ?”
   ลู่อี้เผิงสั่นศีรษะ “ไม่รู้สิ ผมเดาคุณไม่ออก คงฉ่วย คุณจะจบเรื่องนี้เมื่อไหร่กัน?”
   “ทำไมต้องถามฉันด้วยล่ะ?” อีกฝ่ายย้อนถาม นายตำรวจหนุ่มมองหน้าเขา เงียบไปอยู่นาน ในที่สุด อีกฝ่ายก็พูดขึ้นต่อ “ถามตัวเองสิคุณตำรวจ เธออยากจะจบเรื่องนี้เมื่อไหร่กัน”
   “ผม....” ลู่อี้เผิงขบริมฝีปากล่างแน่น ก่อนจะกอดหงคงฉ่วยเอาไว้ “คงฉ่วย สักวันมันจะต้องจบใช่ไหม?”
   “อืม...”
   “พอถึงวันนั้น คุณจะลืมเรื่องของผมรึเปล่า?”
   “ฉันไม่ลืมหรอก เผิงเผิงลืมฉันลงรึเปล่าล่ะ?”
   “คุณว่าผมจะลืมลงไหมล่ะ?” อีกฝ่ายย้อน หงคงฉ่วยแค่นเสียง
   “ไม่รู้สิ เธอยังเด็กนะ ชีวิตยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกเยอะ พอแก่ๆ ไป อาจจะลืมก็ได้”
   “ผมอาจจะไม่ได้อยู่จนแก่ก็ได้”
   “?!”
   “คงฉ่วย” ลู่อี้เผิงเรียกชื่อนั้นอีก ก่อนจะขยับหน้า จูบลงตรงพวงแก้มอีกฝ่ายเบาๆ “คืนนี้จันทร์เพ็ญนะ ให้ผมอยู่ข้างๆ คุณอีกสักคืนเถอะ”
   หงคงฉ่วยไม่พูดอะไร เพียงแต่ดึงใบหน้านั้นเข้ามาใกล้ แล้วแนบริมฝีปากลงไป
-------------------------------------------------
   ดวงจันทร์สีเงินยวงที่ทอแสงอยู่บนท้องฟ้ายามราตรี ทอดแสงผ่านกระจกหน้าต่างเล็กๆ ลอดเข้าไปในเคบินของเรือเล็กลำหนึ่ง ซึ่งทอดตัวอยุ่ห่างไปจากฝั่ง
   แสงสีเงินนั้นทาบทาลงบนเสี้ยวหน้าครึ่งหนึ่งที่มีริ้วร้อยเหี่ยวย่น อันเป็นผลมาจากกาลเวลา บริเวณหน้าผากของใบหน้านั้น ปรากฏแผลเป็นรูปสามเหลี่ยมเป็นทางยาวขึ้นไป ร่องตรงมุมปากดูลึกมากยิ่งขึ้นเมื่อคนคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ พร้อมกับแค่นรอยยิ้มออกมา
   ดวงจันทร์สีเงินค่อยๆ ถูกเมฆดำเข้าปกคลุมทีละน้อย ก่อนที่เม็ดฝนจะเทกระหน่ำลงมา กระทำกับเรือลำนั้นเสียงดังเหมือนมีคนเอากรวดมาสาด ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างคุ้มคลั่งและเสียงตะโกนเรียกชื่อใครสักคนหนึ่ง
   “หงคงฉ่วย!!”
-------------------------------------------------------
**ในที่สุด เราก็ตัดสินใจแง้มเนื้อเรื่องของหงคงฉ่วยสักนิดหนึ่งจนได้ (แน่นอน... ก่อนที่มันจะไม่ได้แง้มเพราะออกทะเลไปมากกว่านี้!!! :z3:) พักหลังๆ นี่ เนื้อเรื่องผุดออกมาแบบ ท่าทางไม่จบแน่ มีแต่ตอนชิลๆ อยู่ในหัว (และออกทะเลเป็นส่วนใหญ่ :a5:) ทำให้คิดว่า ถ้าไม่แง้มปมเรื่องหลักเลยสักนิด สงสัยเรื่องนี้ได้กลายเป็นซีรีย์ออกทะเลไปเที่ยวเกาะ แบบไม่มีวันจบวันสิ้นแน่ (คนเขียนคงสิ้นใจก่อน :jul1:)

จริงๆ ตอนเริ่มต้นเขียนตอนนี้แรกๆ ยังไม่คิดว่าจะจบตอนแบบนี้เหมือนกัน แต่พอมาถึงช่วงท้ายๆ ก็คิดว่า ควรจะใส่เนื้อหาพวกนี้ลงไปได้แล้วล่ะ (แล้วคนอ่านก็ต้องอยากบีบคอเราแน่ๆ เลย)

ตอนนี้แอบชอบคงฉ่วยมากเป็นการส่วนตัว (แน่นอนว่าชอบคงฉ่วยแบบเอียงเทข้างมานานแล้ว) และก็แอบรู้สึกว่า เผิงเผิงชักเหมือนดาราเข้าไปทุกที ฮ่าๆ ตอนต้นๆ บทนี้เหมือนบทสัมภาษณ์เผิงเผิงชัดๆ

ยังไงก็ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ (ไข้ดีขึ้นแล้วค่ะ..แต่... งานยังกองอื้อ...<<ตายแน่ๆ เลย  :sad4:)

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด