** อิฉัน ป่วยค่ะ... แต่ก็ยังจะเขียนทันอีกนะเนี่ย (ดีใจหรือเสียใจดี

)
กลับมาจากต่างจังหวัดคราวนี้ นอกจากพกหวัดมาแล้ว ยังได้พล็อตเพิ่ม(ซึ่งล้วนแต่เป็นตอนชิลๆ และน่าจะออกทะเลทั้งสิ้น<<น่าดีใจไหมเนี่ย

)
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ

--------------------------------------------------------
红孔雀นกยูงแดง 18
เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปในคฤหาสน์เขาวงกตว่า หงคงฉ่วย เจ้านายใหญ่ของคฤหาสน์ชอบเลี้ยงนกเป็นชีวิตจิตใจ ถึงขนาดซื้อเกาะร้างเอาไว้เกาะหนึ่ง เพื่อเลี้ยงนกโดยเฉพาะ แต่ในบรรดานกทั้งหมด นกตัวโปรดที่สุดย่อมหนีไม่พ้นนกกระตั้วสีขาวที่มีชื่อว่าแปะชิกชิก ซึ่งเหมือนว่าหงคงฉ่วยจะไม่ยอมปล่อยให้ห่างตัวแม้แต่วันเดียว
แต่ทว่า.....
---------------------------------------------
“เผิงเผิง”
ลู่อี้เผิงที่เปิดประตูเข้ามาถึงกับนิ่วหน้าทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก เขามองตรงไปยังโต๊ะเปื้องหน้า มองเห็นนกกระตั้วสีขาวตัวหนึ่งเกาะคอนอยู่ คนรับใช้ทั้งหลายก็ยังยืนเรียงแถวกันหน้าสลอน แต่เก้าอี้บุหนังสีแดงคล้ำคล้ายเลือดแห้งตรงกลางกลับว่างเปล่าไร้เจ้าของนั่งอยู่
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยปากถามออกมา หลังจากมองไปรอบๆ อีกหนสองหน และแน่ใจแล้วว่าเจ้าตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องบากหน้ามาไม่ได้อยู่ในห้อง หลี่คงซึ่งเป็นพ่อบ้านวัยชราของหงคงฉ่วยเดินเนิบๆ และส่งโทรศัพท์ให้เขา
“เผิงเผิงมาแล้วหรือ?” น้ำเสียงคุ้นเคยดังลอดผ่านหูโทรศัพท์ออกมาอย่างร่าเริง คิ้วของลู่อี้เผิงขมวดเข้าหากันมากยิ่งขึ้น เขากรอกเสียงลงไป
“จะเล่นอะไรของคุณอีกเนี่ย ผมมาแล้ว ทำไมถึงต้องโทรศัพท์มาอีกล่ะ”
ก็เพราะหงคงฉ่วยโทรศัพท์ไปหาเขาในช่วงเย็น ด้วยประโยคสั้นๆ ที่ว่า “เลิกงานแล้วให้รีบมาที่คฤหาสน์ด่วน ไม่งั้นจะได้เจอกับเรื่องที่คาดไม่ถึง”
เพราะไม่อยากตอแยปัญหายุ่งยาก ลู่อี้เผิงเลิกงานแล้วถึงได้บึ่งรถมาที่นี่ แล้วท่าทางจะเจอเรื่องที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่า
“อ้อ.. ลืมบอกเธอไป ฉันกำลังจะขึ้นเครื่องไปอเมริกา” หงคงฉ่วยพูด “พอดีว่ารอบนี้ต้องพาเสี่ยวจือไปด้วย ฉันกลัวเสี่ยวชิกไม่มีเพื่อนเล่น แล้วจะถอนขนตัวเองอีก เลยว่าจะให้เผิงเผิงมาเป็นเพื่อนเล่นให้หน่อย”
ลู่อี้เผิงเงยหน้าขึ้นมองนกกระตั้วสีขาวตัวนั้น ซึ่งกำลังเอียงคอมองมาทางเขา และแทบจะขยี้โทรศัพท์ทิ้ง
นี่เขาอุตส่าห์บึ่งรถมาแทบเป็นแทบตาย เพื่อมาเป็นเพื่อนเล่นนกกระตั้วหรือนี่!!!
“ไหนเผิงเผิงลองคุยกับเสี่ยวชิกให้ฉันฟังหน่อยสิ” หงคงฉ่วยพูดต่อ มือของลู่อี้เผิงที่กำโทรศัพท์อยู่สั่นกึกๆ นายตำรวจหนุ่มยืนกัดฟันกรอดๆ อยู่นาน ถึงค่อยนึกถ้อยคำตอบโต้ออกมาได้
“นี่มันนกคุณนะ คนรับใช้มีตั้งเยอะตั้งแยะ ให้จัดการกันเอาเองสิ ผมกลับล่ะ” ลู่อี้เผิงกรอกเสียงใส่หูโทรศัพท์ และนึกปวดประสาทขึ้นมา นี่ขนาดตัวไม่อยู่ ยังจะหาเรื่องมากวนประสาทเขาได้อีก เขาไม่น่าหลงเชื่อเจ้านกยูงบ้านี่เลย
พูดจบยังไม่ทันจะวางสายหรือหันหลังกลับ ชายฉกรรจ์หุ่นล่ำสันสองสามคนก็เดินมาขนาบเขาเอาไว้เหมือนจะบี้ให้แบน ได้ยินเสียงหงคงฉ่วยพูดผ่านหูโทรศัพท์กลับมา
“เผิงเผิงอย่าใจร้ายนักซี่ คงฉ่วยขอร้องให้ช่วยมาดูเสี่ยวชิกแค่นี้เอง อย่าบอกนะว่านักเรียนเกียรตินิยมอย่างเธอ จะใจดำอำมหิตกระทั่งนกกระตั้วตัวหนึ่งก็ตัดใจทิ้งให้เกาะคอนถอนขนตัวเองได้ลงคอ”
ลู่อี้เผิงอยากจะพูดออกไปจริงๆ ว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาตรงไหนที่จะต้องมาเล่นกับเจ้านกตัวนี้ด้วยเล่า แต่ยังไม่ทันจะได้อ้าปากพูดอะไร เจ้านกตัวนั้นก็ตีปีกพึ่บๆ แล้วพูดขึ้นบ้าง
“เผิงเผิงจ๋า มาเล่นกันนะ”
คนถูกเรียกอ้าปากพะงาบๆ เจ้านกกระตั้วตัวนั้นเอียงคอมองมาทางเขา แล้วผงกหัวขึ้นลง เหมือนจะเรียกให้เข้าไปเล่นด้วย
ทีตอนเจ้าของอยู่ล่ะบินมาหา แต่พอเจ้าของไม่อยู่ก็ทำท่าอย่างกับจะเล่นเป็นเจ้าของแทนเชียว
ขณะที่ลู่อี้เผิงกำลังเค้นสมองว่าสมควรจะเอาตัวรอดจากเรื่องงี่เง่านี้อย่างไรดี เสียงของหงคงฉ่วยก็ดังขึ้นต่อ “โอ๊ะ ฉันต้องขึ้นเครื่องแล้ว ดูแลเสี่ยวชิกให้ดีๆ นะเผิงเผิง ถ้าเกิดกลับไป เสี่ยวชิกของฉันหงอย หรือขนหายไปสักเส้นล่ะก็ ฉันจะเอาเหล็กร้อนจี้ปลายนิ้วเธอทีละนิ้ว อ้อ...” หยุดไปพักหนึ่งเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “แล้วถ้าเธอกล้าสอนเสี่ยวชิกพูดอะไรแปลกๆ ล่ะก็ ฉันจะเจาะลิ้นเธอ เอาโซ่คล้อง แล้วล่ามเอาไว้กับล้อรถ ดูซิว่าระหว่างลิ้นเธอกับโซ่ อะไรจะขาดก่อนกัน”
ลู่อี้เผิงรีบหุบปาก แล้วกลืนน้ำลายเฮือก พลางนึกสงสัยว่าหงคงฉ่วยเอาเซลสมองที่ไหนคิดวิธีทรมานพวกนี้ขึ้นมา ได้ยินเสียงหงคงฉ่วยพูดต่ออย่างอารมณ์ดี “แต่คงฉ่วยรู้หรอกว่าเผิงเผิงไม่ใจร้าย อีกห้าวันฉันจะกลับ ฝากเสี่ยวชิกด้วยนะ”
พูดจบก็วางสาย ทิ้งให้ลู่อี้เผิงยืนอึ้งๆ จ้องตากับเจ้านกกระตั้วตัวนั้นอยู่ในห้องรับรอง หลี่คงเดินมารับโทรศัพท์ไปเงียบๆ ลู่อี้เผิงจึงอดไม่ได้ต้องถามขึ้น
“คุณพ่อบ้านหลี่ นี่ผมจะต้องเล่นกับเจ้านกตัวนี้จริงๆ รึ?”
“ตามที่ท่านนกยูงว่านั่นแหละ” หลี่คงตอบ ลู่อี้เผิงมีสีหน้าประหนึ่งกลืนไข่ห่านเข้าไปทั้งลูก อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่นาน ในที่สุดก็ถามออกไปได้สักที “แต่ผมไม่เคยเลี้ยงนกเลยนะ”
หลี่คงไม่ตอบอะไร ได้แต่ยิ้มๆ แล้วเดินจากไป ลู่อี้เผิงรู้สึกเหมือนถูกหลอกมาปล่อยเกาะ เขาเงยหน้าขึ้นมองนกกระตั้วที่มีชื่อว่าแปะชิกชิกตัวนั้นอีกครั้ง เจ้านกสีขาวนั่นยังคงเดินไปเดินมาบนคอน เหมือนจะรอให้เขาเดินไปหาจริงๆ
“เผิงเผิง มาเล่นกันนะ มาเล่นกันนะ”
ท้ายที่สุดลู่อี้เผิงจึงจำใจต้องเดินไปหานก แทนที่จะเดินไปหาคนอย่างที่เคยเป็นมา นายตำรวจหนุ่มชักนึกสงสัยว่า ต่อจากเจ้านายแล้ว เขาก็ยังต้องมารองรับอารมณ์ของนกหรือนี่ นี่มันเวรกรรมอะไรกันนักกันหนา
พอเดินเข้าไปใกล้ ลู่อี้เผิงถึงเห็นว่ามีเก้าอี้อีกตัววางอยู่ข้างๆ เก้าอี้ปุหนังตัวสีแดงซึ่งหงคงฉ่วยนั่งเป็นประจำ แปะชิกชิกตีปีกพึ่บๆ ท่าทางดูตื่นเต้นเมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้
“เผิงเผิง เผิงเผิง” แปะชิกชิกอ้าปากเรียกชื่อเขาอย่างที่หงคงฉ่วยเคยเรียกเสียงแจ้วๆ พลางขยับตัวไปมาอยู่บนคอน พยักเพยิดไปทางเก้าอี้เหมือนจะบอกให้นั่งไม่มีผิด ลู่อี้เผิงยืนลังเลอยู่พักหนึ่ง ท้ายที่สุดก็ยอมนั่งลงไป
“ดีมาก ดีมาก” เจ้านกตัวเดิมพูดขึ้นต่อ พลางตีปีกต่อ ลู่อี้เผิงถลึงตาใส่นก แล้วทำท่าจะลุกขึ้น
“ไม่ดี ไม่ดี” แปะชิกชิกพูด แล้วร้องแกว้กๆ ขึ้นมา พลางบินมาเกาะบนศีรษะเขา แล้วเอาปากเคาะเบาๆ
ลู่อี้เผิงจำต้องยกมือขึ้นปัดนก ซึ่งก็ดูเหมือนจะได้ผลนิดหน่อย แปะชิกชิกบินกลับไปเกาะที่คอนเหมือนเดิม แล้วเอียงคอมองเขาต่อ “มาเล่นกันเถอะ มาเล่นกันเถอะ”
จริงอยู่ ลู่อี้เผิงเคยถูกหงคงฉ่วยพาตัวไปบังคับให้เป็นคนเลี้ยงนก ที่เกาะเลี้ยงนกของตนอยู่ถึงสามวัน แต่ตอนนั้นสิ่งที่เขาทำคือนำอาหารนกไปวางยังจุดต่างๆ แล้วก็โปรยให้พวกมันบ้างในบางครั้ง แต่ไม่เคยต้องเล่นกับนกมาก่อน นายตำรวจหนุ่มจึงยังคงจ้องหน้านกกระตั้วตัวนั้นอย่างไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อไป
แปะชิกชิกเอียงคอมองคนตรงหน้า จากนั้นก็กระโดดลงจากคอนลงไปที่โต๊ะ ตรงไปยังขวดแก้วใบหนึ่งซึ่งปิดฝาอยู่ ก่อนจะอ้าปากแล้วพยายามดันฝาเกลียวที่ปิดอยู่ออก ลู่อี้เผิงยืนมองอย่างทึ่งๆ
เขากำลังจะได้เห็นนกกระตั้วเปิดฝาขวดหรือนี่
แปะชิกชิกพยายามจะดันฝาขวดอยู่ได้สักพัก ฝาก็ยังไม่ขยับ เจ้านกสีขาวจึงเงยหน้าขึ้น เอียงคอมองเขา ก่อนจะเคาะจะงอยปากลงไปบนฝาขวด “เปิดหน่อย เปิดหน่อย”
ลู่อี้เผิงมองนก ยังอุตส่าห์นึกขึ้นมาได้อีกว่า ถ้าเขาหยิบขวดขึ้นมาเปิด อาจเข้าข่ายถูกสัตว์เดรัจฉานบนการเอาก็ได้ ระหว่างที่กำลังชั่งใจว่าควรจะทำตามดีรึเปล่า แปะชิกชิกก็ตีปีกพึ่บๆ แล้วพูดขึ้นต่อ “คนใจร้าย คนใจร้าย”
ลู่อี้เผิงไม่รู้ว่าสมควรจะยื่นมือไปหยิบขวดมาเปิด หรือว่ายื่นมือไปจับนกมาหักคอดี แต่ท้ายที่สุด นายตำรวจหนุ่มก็เลือกที่จะเปิดฝาขวด พลางบอกตัวเองว่า เขายังไม่อยากแลกชีวิตตัวเอง กับชีวิตของนกกระตั้วปากเสียนี่หรอก
พอเปิดขวดได้ แปะชิกชิกก็ตีปีกพึ่บๆ ขยับตัวไปมาอย่างตื่นเต้น ก่อนจะบินไปเกาะที่คอนอีกอันหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ห่างออกไป ลู่อี้เผิงจึงพอนึกขึ้นได้ ว่าเคยเห็นหงคงฉ่วยโยนเม็ดมะม่วงหิมพานต์ให้เจ้านกนี่งับ นายตำรวจหนุ่มมองลงไปในขวด แล้วก็พบว่าเป็นขวดใส่เม็ดมะม่วงหิมพานต์จริงๆ
เจ้านกกระตั้วตัวนั้นยืดคอขึ้นๆ ลงๆ เหมือนจะรอให้โยนเม็ดมะม่วงหิมพานต์ให้ ลู่อี้เผิงเลยทดลองโยนให้เม็ดหนึ่ง แปะชิกชิกอ้าปากงับแม่นเหมือนเคย งับแล้วก็ขยับปากครั้งสองครั้ง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ก็หายเข้าปากไป นายตำรวจหนุ่มจึงลองโยนไปให้อีกเม็ดหนึ่ง คราวนี้เปลี่ยนทางบ้าง แปะชิกชิกก็ยังอุตส่าห์ วิ่งกระโดดตามคอนไปงับได้อีก
ท้ายที่สุด ลู่อี้เผิงถึงได้รู้ว่าการโยนเม็ดมะม่วงหิมพานต์ให้นกงับก็สนุกไปอีกแบบ พอโยนจนหมดขวด เจ้านกตัวนั้นก็ร้องแกว๊กๆ แล้วบินเข้ามาเกาะคอนตรงหน้า เอียงคอมองเหมือนจะขอคำชม ลู่อี้เผิงเลยยกนิ้วแตะตัวมันเบาๆ แล้วพูดยิ้มๆ “เก่งมากเลย”
“เก่งมากเลย เก่งมากเลย” เจ้านกตัวนั้นพูดย้อนคำ แล้วขยับตัวตีปีกอยู่บนคอนเกาะ “รักเผิงเผิง รักเผิงเผิง”
พูดจบก็เอียงคอไถศีรษะเข้ากับนิ้วของเขา จากนั้นก็อ้าปากงับเบาๆ
ลู่อี้เผิงให้นกงับนิ้ว แล้วลูบตัวมันอยู่สักพัก หลี่คงก็เดินเข้ามา พอเห็นพ่อบ้านชรา แปะชิกชิกก็รีบบินไปเกาะอยู่บนคอน แล้วเอียงคอมองลู่อี้เผิง
“วันนี้พอแล้ว วันนี้พอแล้ว”
นายตำรวจหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองพ่อบ้านชรา หลี่คงยิ้มให้เขา “สารวัตรกลับได้แล้วล่ะ พรุ่งนี้ค่อยมาอีกที”
“อ้อ... ครับ” ลู่อี้เผิงพูด พลางพยักหน้าอย่างงงไม่หาย ตกลงวันหนึ่งๆ เขาแค่ต้องมาเล่นกับเจ้านกนี่แบบนี้ไม่กี่นาทีหรือนี่ นายตำรวจหนุ่มมองนกกระตั้วสีขาวตัวนั้นอีกครั้ง เจ้านกเอียงคอมองเขา แล้วอ้าปากพูดเสียงแจ้ว
“พรุ่งนี้เจอกัน พรุ่งนี้เจอกัน”
------------------------------------------------------------
“สารวัตรดูนาฬิกาอีกแล้ว พักนี้ไปแอบมีภาระไว้ที่ไหนรึเปล่าครับเนี่ย” ต้วนเฟิงทักขึ้น ขณะที่ทั้งสองคนกำลังนั่งทานอาหารเย็นกันอยู่ในร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง ใกล้ๆ กับที่ทำงาน ลู่อี้เผิงเงยหน้ามองลูกน้อง ก่อนจะหัวเราะแหะๆ
“ก็ไม่เชิงหรอก พอดีมีคนฝากให้ดูนกให้นะ”
“นก?” อีกฝ่ายทวนคำ สารวัตรหนุ่มจึงพูดขึ้นต่อ “อืม พอดีว่าเจ้าของไม่อยู่หลายวัน เลยฝากผมให้ช่วยดูแลนกให้น่ะ”
“โห... เจ้าของเป็นสาวสวยที่ไหนรึเปล่าครับเนี่ย แหม... ถึงกับทำให้สารวัตรต้องกลับไปเลี้ยงนกให้ ว่างๆ พามาแนะนำให้ผมรู้จักบ้างสิ”
ลู่อี้เผิงเกือบจะไอออกมา “อ้อ เปล่า ไม่ใช่สาวที่ไหนหรอก ญาติผู้ใหญ่นะ”
“อ้อ...” ต้วนเฟิงร้องออกมา “นกอะไรล่ะครับ”
“นกกระตั้ว” ลู่อี้เผิงบอก พอเห็นต้วนเฟิงทำหน้างง สารวัตรหนุ่มจึงพยายามจะอธิบายรูปร่างหน้าตาของมันให้ลูกน้องฟัง
“นึกไม่ออกแหะ ผมนึกออกแต่นกแก้ว” ต้วนเฟิงพูดในที่สุด “ไว้เดี๋ยวผมค่อยเปิดหารูปในอินเตอร์เน็ตดูแล้วกัน แล้วนี่สารวัตรต้องไปเลี้ยงนกกี่โมงครับเนี่ย?”
“ทานข้าวเสร็จก็คงไปเลยแหละ” ลู่อี้เผิงว่า ต้วนเฟิงพยักหน้า “งั้นรีบๆ ทานกันดีกว่า เดี๋ยวนกจะรอนาน”
พูดจบ ผู้กองหนุ่มก็หัวเราะร่วน ไม่รู้ว่าตีความนกไปในทางไหนกันแน่ ลู่อี้เผิงได้แต่พยักหน้ารับยิ้มๆ แล้วก้มหน้าก้มตาทานอาหารต่อ
---------------------------------------------------------------
วันนี้ลู่อี้เผิงเปลี่ยนบรรยากาศ จากการเล่นโยนเม็ดมะม่วงหิมพานต์ให้แปะชิกชิกงับให้ห้องรับรองของหงคงฉ่วย มาเป็นการยืนมองเจ้านกกระตั้วตัวเดิม เล่นของเล่นที่มีอยู่สารพัดในห้องที่เรียกกันว่า “ห้องของเสี่ยวชิก” ซึ่งดูไปโดยรวมแล้ว ห้องนี้ดูจะกว้างกว่าห้องนอนของลู่อี้เผิงเสียอีก
แปะชิกชิกยืนเกาะอยู่บนคอนไม้ ที่ห้อยลงมาจากต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกเอาไว้มุมหนึ่งของห้อง นอนของเสี่ยวชิก เป็นห้องที่ผนังและเพดานครึ่งหนึ่งกรุกระจกและตาข่ายเหล็ก จึงทำให้สามารถปลูกต้นไม้เอาไว้ในห้องได้ ครึ่งหนึงของห้องเป็นป่าขนาดย่อม ต่อจากนั้นก็มีคอนไม้เชื่อมๆ ต่อกันไปรอบๆ ห้อง ลักษณะต่างๆ กันไป ระหว่างคอนไม้มีทั้งอุโมงค์ที่ทำจากไม้ขนาดเล็กพอที่นกจะลอดได้ จักรยานที่พาดอยู่บนเส้นลวด ห่วงวงกลมที่คล้องกันไปมา แล้วยังมีรางไม้ที่ต่อไปจนถึงท่อใสๆ ทรงกระบอกที่มีไม้เสียบอยู่โดยรอบ
พอเห็นหน้านายตำรวจหนุ่ม เจ้านกกระตั้วตัวนั้นก็เอ่ยทักทันที “เผิงเผิง”
ลู่อี้เผิงได้แต่ยิ้มให้นก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรตอบดี แปะชิกชิกยืดคอขึ้นๆ ลงๆ แล้วก็บินมาเกาะไหล่ลู่อี้เผิง เอาศีรษะถูไถแก้มจนนายตำรวจหนุ่มรู้สึกจั๊กจี๋
“เล่นกันนะ เล่นกันนะ” เจ้านกกระตั้วร้อง พลางตีปีกพึ่บๆ เล่นเอาลู่อี้เผิงแสบแก้วหู จากนั้นก็บินไปเกาะคอนไม้ เอียงคอมองนายตำรวจหนุ่ม หลังจากเล่นกับเจ้านกนี่มาได้สองวัน ลู่อี้เผิงพอจะรู้แล้วว่าตัวเองต้องทำอะไรบ้าง
นายตำรวจหนุ่มเดินไปอีกฟากของห้อง แล้วหยิบขวดเมล็ดพืชขึ้นมาเปิด เจ้านกกระตั้วตัวนั้นตีปีกพึ่บๆ แล้วร้องเสียงลั่น ก่อนจะกระโดดมาตามคอน มุดลอดอุโมงค์มาแล้วก็ปั่นจักรยานอันเล็กๆ บนเส้นลวด ก่อนจะปีนลอดห่วงกลมๆ พวกนั้น มาดึงสลักตรงหน้ารางไม้ ปล่อยลูกเหล็กกลมๆ ให้ไหลไปตามราง แล้วกระโดดตามไปจนลูกเหล็กไหลลงในท่อทรงกระบอก แล้วก็กระโดดไปดึงไม้ที่เสียบออกอยู่ทีละท่อน
ลู่อี้เผิงมองดูเจ้านกกระตั้วตัวนั้นจัดการกับอุปสรรค์ที่ถูกวางเอาไว้ทั้งหมดด้วยความทึ่งจัด แปะชิกชิกดึงท่อนไม้พวกนั้นออกจนลูกเหล็กกลิ้งตามรางมาหยุดอยู่ตรงหน้าลู่อี้เผิง ก่อนจะกระโดดขึ้นไปเกาะคอน เอียงคอรอรับคำชมอยู่อย่างนั้น
“เก่งมากๆ ” นายตำรวจหนุ่มพูด และป้อนเมล็ดพืชเป็นรางวัลให้ แปะชิกชิกรับเมล็ดพืชเปลือกแข็งนั้นมาแล้วใช้อุ้งเท้าและปากกะเทาะเปลือกออกอย่างคล่องแคล่ว
หลังจากให้อาหารและปล่อยให้เจ้านกกระตั้วตัวนั้นถูไถจนพอใจแล้ว ลู่อี้เผิงก็เตรียมตัวจะกลับ แปะชิกชิกบินมาเกาะที่คอน ก่อนจะเอียงคอให้
“พรุ่งนี้มาเล่นกันอีกนะ” เจ้านกน้อยพูดพลางตีปีกพึ่บๆ ในตอนที่ลู่อี้เผิงเปิดประตูออกไป นายตำรวจหนุ่มหันกลับมาแล้วยิ้มให้
“อืม”
------------------------------------------------------
ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้น มีเหตุให้ลู่อี้เผิงจำต้องค้างอยู่ที่กรม เพราะคดีใหญ่ที่เพิ่งส่งสำนวนเข้ามา นายตำรวจหนุ่มจึงจำต้องโทรไปบอกพ่อบ้านของหงคงฉ่วยว่าวันนี้เขาคงไปเล่นกับนกไม่ได้ หลังจากนั้น พอตกช่วงเย็นๆ เขาก็ถูกเรียกตัวจากห้องทำงานลงไปที่ด้านล่าง
“เผิงเผิง” เจ้านกกระตั้วสีขาวท่าทางคุ้นตาซึ่งเกาะคอนอยู่ในกรงเหล็กซึ่งทำขึ้นอย่างประณีตที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวมันหน่อยหนึ่งร้องขึ้นทันทีที่เห็นหน้านายตำรวจหนุ่ม ลู่อี้เผิงกลืนน้ำลายเฮือก ก่อนจะหันไปมองนายตำรวจซึ่งเฝ้าเวรอยู่ด้านหน้า
“มีคนเอามาฝากไว้ให้สารวัตรน่ะครับ” นายตำรวจคนนั้นบอก ลู่อี้เผิงยืนมองนกอยู่อีกพัก นึกแปลกใจว่าคนรับใช้ที่บ้านของหงคงฉ่วยไม่มีปัญญาดูแลนกตัวหนึ่งขนาดนี้เชียวหรือ จนเมื่อแปะชิกชิกเริ่มตีปีกแล้วเรียกชื่อเขาอีกครั้ง ลู่อี้เผิงจึงหิ้วกรงนกนั้นขึ้นมาที่ห้องทำงาน
“โห... สารวัตร อย่าบอกนะครับว่านี่เป็นนกที่เขาฝากเลี้ยง?” ต้วนเฟิงเอ่ยทักขึ้นทันทีเมื่อเห็นลู่อี้เผิงกลับขึ้นมาพร้อมกับกรงนก สารวัตรหนุ่มพยักหน้า ได้ยินเสียงผู้เป็นลูกน้องพูดต่อ “ท่าทางมันจะติดสารวัตรน่าดู นี่ให้คนไปเอามาจากที่บ้านหรือครับ”
ลู่อี้เผิงไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี เลยได้แต่พยักหน้า “ก็ทำนองนั้นแหละ”
“มันชื่ออะไรน่ะครับ สารวัตร” ต้วนเฟิงถามต่อเมื่อลู่อี้เผิงวางกรงนกลงบนโต๊ะ ยังไม่ทันที่ลู่อี้เผิงจะตอบ เจ้านกกระตั้วตัวนั้นก็ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว “เสี่ยวชิก เสี่ยวชิก”
“โอ้โห ท่าทางจะฉลาดแฮะ” ต้วนเฟิงว่า แล้ววางงานที่ทำอยู่ เดินเข้ามาดูนกใกล้ๆ “นี่นกกระตั้วหรือครับเนี่ย น่ารักจัง”
“อืม” ลู่อี้เผิงพยักหน้า พลางนึกว่าวันนี้เขาจะได้ทำงานรึเปล่านะ ดันมีเจ้านกนี่มากวนประสาทอีก
ต้วนเฟิงดูจะสนใจนกเป็นพิเศษ เดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วพูดอีก “เสี่ยวชิก”
“จ๋า” เจ้านกตอบเสียงหวาน แล้วเอียงคอมองคนไม่คุ้นเคยตรงหน้า “ใครน่ะ ใครน่ะ”
“โห... ถามชื่อด้วยแน่ะ” ต้วนเฟิงว่า แล้วแนะนำตัวเอง
“ต้วนเฟิง ต้วนเฟิง” เจ้านกน้อยร้องเสียงแหลม พลางตีปีกพึ่บๆ ต้วนเฟิงมองมันอย่างพิศวง ก่อนจะพูดออกมา “ฉลาดจัง”
“ฉลาดจัง ฉลาดจัง” แปะชิกชิกว่า ต้วนเฟิงนึกสนุก เลยถามขึ้นต่อ “ไหนบอกซิ ระหว่างฉันกับสารวัตรลู่ ใครหล่อกว่ากัน”
“เผิงเผิง” เจ้านกกระตั้วตัวนั้นตอบทันที คนได้ฟังถึงกับอึ้งๆ ก่อนจะหันไปหัวเราะกับสารวัตรหนุ่มที่ยืนอยู่ “ชื่อเล่นสารวัตรน่ารักดีนะครับ”
“อืม...” ลู่อี้เผิงส่งเสียงในคอ ก่อนจะตัดสินใจพูดตัดบท เพราะกลัวต้วนเฟิงถามไปถามมา เจ้านกบ้านี่อาจจะหลุดชื่อหงคงฉ่วยออกมาก็ได้
“ไปทำงานเถอะผู้กอง เดี๋ยวจะกลับดึก”