红孔雀นกยูงแดง 17
กิตติศัพท์การขับรถของลู่อี้เผิงนั้นเป็นที่ร่ำลือกันไปทั่วกรมตำรวจฮ่องกง คนที่เผชิญกับการนั่งรถของสารวัตรหนุ่มคนนี้บ่อยที่สุด คงหนีไม่พ้นต้วนเฟิง ลูกน้องของเขานั่นเอง
“ผู้กองต้วน ออกเวรแล้วว่างรึเปล่า?”
ต้วนเฟิงที่กำลังจะเดินออกไปเอาเอกสารหันมามองคนถาม “ว่าง สารวัตรลู่มีอะไรหรือครับ?”
“อ๋อ งั้นดีเลย ผมว่าจะชวนไปทานข้าวที่เทียนหม่านเหลาหน่อย ค่าที่คุณขับรถไปรับไปส่งผมสัปดาห์ที่แล้ว” ลู่อี้เผิงว่า ต้วนเฟิงพยักหน้า “เอาสิครับ แหม... กินฟรีผมไม่พลาดหรอก แถมที่นั่น นักร้องสวยสะเด็ด สารวัตรนี่เข้าใจชวนจริงๆ ”
ลู่อี้เผิงหัวเราะ “อืม อยากจะไปพักผ่อนฟังเพลงบ้างน่ะ”
“นั่นสิครับ งั้น เลิกงานเจอกันที่เทียนหม่านเหลานะครับ”
------------------------------------------------
เทียนหม่านเหลา ภัตตาคารเก่า ที่อาหารอร่อยและราคาไม่แพงมาก พอให้นายตำรวจยศไม่สูงสองคนเข้าไปหาความสุขได้ นักร้องที่นี่สวยพอใช้ได้ แต่ดาวของร้านเป็นนักร้องรุ่นใหญ่ที่หน้าตาอาจจะไม่เอ๊าะแล้ว แต่เสียงหวานบาดใจชนิดฟังทีไรน้ำตาแทบไหลออกมาทุกที
ต้วนเฟิงรู้ว่าลู่อี้เผิงคงหวังจะไปฟังเพลง แต่เขาหวังจะไปจู๋จี๋กับนักร้องสาวสวยสักคน หลังจากอกหักจากแม่นกหงหยกเมื่อสองเดือนที่แล้ว ลูกผู้ชายอกสามศอกที่รับราชการ หาเวลาว่างแน่นอนไม่ค่อยได้ ความรักมันก็เป็นแบบนี้แหละ
ผู้กองหนุ่มยืนส่องกระจกอยู่ในห้องน้ำ อาศัยแสงสลัวๆ จากไฟนีออนเหนือศีรษะที่กล่องครอบเก่าจนขุ่นจนดำ แถมหลอดไฟที่ใส่เอาไว้ก็ไม่รู้ว่ากี่ปีกี่ชาติมาแล้ว แสงมันถึงได้ริบหรี่ขนาดนี้ รถของสารวัตรลู่ซ่อมเสร็จเมื่อวานนี้ ตอนไปรับได้ยินว่าเจ้าของอู่บ่นอุบ เพราะสามเดือนสารวัตรคนนี้เอารถไปเข้าอู่มาแล้วห้าหน แต่ละหนไม่กันชนหน้ายับ ก็ประตูบุบ ไม่ประตูบุบ ก็กระจกแตก ดีที่ทางกรมจ่ายค่าเสียหายให้ เพราะเป็นการใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ แต่พอนึกถึงการขับที่บ้าระห่ำเวลาไล่กวดผู้ร้ายของลู่อี้เผิงแล้ว ให้เลือกได้ ต้วนเฟิงขอเป็นคนขับรถเองดีกว่า เขายอมเสียงกับลูกกระสุนมากกว่าจะเป็นคนโดยสาร
ปัญหาคือ พอถึงเวลานั้น ลู่อี้เผิงก็มักจะกระโดดไปขับรถเองทุกที
ต้วนเฟิงจัดเสื้อผ้าเรียบร้อย ก็เดินอย่างอารมณ์ดีมาที่รถ ถึงเทียนหม่านเหลาจะอยู่ไม่ไกลจากกรมมากนัก ดีที่ลู่อี้เผิงไม่ชวนให้เขาติดรถไปด้วย ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องรีบบอกว่าไม่ว่างแน่ๆ
นายตำรวจหนุ่มเปิดประตูรถยนต์ฮอนด้าซีวิกรุ่นปีสองพัน ที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากรุ่นพี่คนหนึ่งสมัยเรียนโรงเรียนมัธยม จากนั้นก็ไขกุญแจสตาร์ตรถ พลางคิดว่าวันนี้อาจจะดวงดีได้เจอสาวสวยน่ารักๆ เป็นเพื่อนคุยสักคนก็ได้
“.............”
ต้วนเฟิงกะพริบตาปริบๆ แล้วลองสตาร์ตรถอีกรอบ เสียงเครื่องยนต์ดังแทร่ดๆ แล้วดับไปอีก ลองอีกสองหน ก็ยังเป็นเหมือนเดิม อารมณ์ที่กำลังดีๆ เมื่อครู่ เริ่มค่อยๆ สลายหายไปทันที
นายตำรวจหนุ่มกดปุ่มเปิดกระโปรงหน้ารถ ก่อนจะเดินไปยกมันขึ้น ท่าทางแบ็ตเตอรี่จะมีปัญหา เมื่อวานก็ยังขับได้ดีอยู่แท้ๆ หันซ้ายหันขวาหาคนมาพ่วงแบ็ตฯอยู่ได้ไม่กี่นาที ลู่อี้เผิงก็เดินเข้ามาในลานจอดรถพอดี
“อ้าว ผู้กอง รถมีปัญหาอะไรล่ะ?” สารวัตรหนุ่มถามทันทีเมื่อเห็นผู้เป็นลูกน้องยืนเหงื่อตกอยู่หน้ากระโปรงรถ
“สารวัตรมาพอดีเลย ขอยืมพ่วงแบ็ตหน่อยสิครับ ท่าทางแบ็ตเตอรี่ผมจะหมด”
“อ้อ ได้สิ” ลู่อี้เผิงว่า และเดินไปที่รถ หลังจากก้มงุดหาอะไรอยู่ใต้เบาะพักหนึ่ง สารวัตรหนุ่มก็ยันตัวขึ้นมาแล้วทำหน้ายุ่ง “อู่นายเฉินเอาสายพ่วงแบตผมออกแล้วไม่ใส่คืนอีกแล้ว ผู้กองมีรึเปล่าน่ะ?”
ต้วนเฟิงกะพริบตาปริบๆ แล้วสั่นศีรษะ นายตำรวจสองคนมองหน้ากันอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดลู่อี้เผิงก็พูดขึ้น “งั้นไปกับผมก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยโทรบอกอู่ให้มาจัดการ”
ต้วนเฟิงกะพริบตาปริบๆ ในที่สุดก็พยักหน้า
------------------------------------------------------
เป็นเรื่องโชคดีที่วิทยุสายตรวจไม่รายงานอะไรเข้ามาระหว่างที่พวกเขาขับรถไปเทียนหม่านเหลา ดังนั้นต้วนเฟิงจึงมาถึงภัตตาคารโดยสวัสดิภาพ บางทีนี่อาจจะเป็นฤกษ์ดีก็ได้ ที่เขาสามารถนั่งรถมากับลู่อี้เผิงได้อย่างเรียบร้อย ไม่มีการชน ไม่มีการวิ่งตัดหน้า ซึ่งนับๆ แล้วก็เกิดขึ้นน้อยครั้งจริงๆ ถ้าเทียบกับจำนวนครั้งที่เขานั่งรถของสารวัตรหนุ่มคนนี้
เทียนหม่านเหลาเป็นภัตตาคารเก่า การตกแต่งยังเหมือนยี่สิบปีที่แล้วเป๊ะ ที่ยังอยู่ได้คงเพราะมีลูกค้าขาประจำเก่าๆ และพวกเงินเดือนน้อยที่อยากจะกินอะไรที่มันหรูขึ้นมาหน่อยแบบพวกเขานี่แหละ
ลู่อี้เผิงไปถึงร้านก็จับจองโต๊ะตัวโปรดที่ตั้งเยื้องไปด้านซ้ายของเวทีทันที ซึ่งเป็นที่ที่เขาบอกว่าได้ยินเสียงเพลงเพราะที่สุด ต้วนเฟิงไม่มีปัญหา เพราะมุมนี้ก็มองเห็นนักร้องได้ชัดที่สุดเหมือนกัน แถมไม่โดนขาตั้งไมค์บ้งดัวย
สองหนุ่มสั่งอาหารมา แล้วก็เริ่มต้นมื้อค่ำด้วยการจ้องนักร้องสาวสวยหุ่นสะบัดช่อที่อย่าให้พูดถึงเสียงว่าเป็นยังไง แต่เอาเถอะ แค่หุ่นอวบอัดในชุดกี่เพ้ารัดรูปก็พอจะทำให้แขกเกินครึ่งรู้สึกมีความสุขกับอาหารมื้อนี้ได้แล้ว
“อื้อหือ ทั้งอกทั้งเอว ยิ่งกว่าแม่นกหงหยกอีกนะเนี่ย” ต้วนเฟิงพึมพำออกมา พลางจ้องนักร้องสาวตาเป็นมัน ลู่อี้เผิงมองลูกน้องแล้วพูดบ้าง “ไม่รู้ว่าของจริงรึเปล่านะนั่น”
“แหม.. สารวัตรก็... เดี๋ยวนี้แท้เทียมเขาไม่ถือกันแล้วล่ะครับ ขอให้สวยก็พอ”
ลู่อี้เผิงกะพริบตาปริบๆ “แต่ของเทียมมันบีบไม่ได้นะผู้กอง ผมไม่ไหวรอก คงเหมือนมีอะไรกับตุ๊กตายาง”
“โอ๊ย สารวัตร นี่อย่าให้สาวที่ไหนมาได้ยินเชียวนะ มีหวังถูกตบหน้าเขียวแน่ แหมๆ สารวัตรพูดเหมือนมีประสบการณ์เองเลย” ต้วนเฟิงเย้า ลู่อี้เผิงพยักหน้าหงึกๆ “มี.. แฟนเก่าน่ะ”
คนเป็นลูกน้องอ้าปากพะงาบๆ ก่อนจะพยักหน้า “อ้อ... เอาน่าสารวัตร ดูเป็นอาหารตาก็ได้ ใช่ว่าทำเทียมมาแล้วเขาจะให้แอ้มง่ายๆ นะครับ”
“มันก็ใช่นะ” ลู่อี้เผิงว่า และคีบขาเป็ดขึ้นมา “โอ้โห... คนนี้ก็ไม่เลวนะผู้กอง ท่าทางของแท้”
ต้วนเฟิงหันไปมองตาม ก่อนจะพยักหน้า “เล็กกว่าของคนตะกี้หน่อย แต่ก็เจ๋งไปเลย” จากนั้นก็หันมามองคนร่วมโต๊ะ “ว่าแต่สารวัตรรู้ได้ไงว่าของแท้น่ะ”
“ไม่เห็นตอนเดินแล้วมันกระเพื่อมหรือไง” ลู่อี้เผิงว่า ต้วนเฟิงทำตาโต “โห... สารวัตรนี่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้หรือไงครับเนี่ย ฮ่าๆ ใครได้ยินต้องหาว่าสารวัตรลามกแน่ๆ ”
“นี่มันเรื่องปกติของผู้ชายทั่วไปนี่ หรือคุณไม่เป็น?” ลู่อี้เผิงย้อนถาม ต้วนเฟิงสั่นศีรษะ “ไม่นะ ถึงผมจะสายตาลามก แต่ไม่เชี่ยวขนาดดูออกว่าแท้ไม่แท้แบบสารวัตรนะเนี่ย พูดแล้วก็อยากลองพิสูจน์ทั้งสองอย่างเลยนะครับ”
“เบิ้ลสองคนจ่ายหนักนะผู้กอง” ลู่อี้เผิงว่า ต้วนเฟิงหัวเราะ “ก่อนจะพูดถึงเรื่องเงิน ผมว่าหาให้ได้สักคนก่อนดีกว่า”
จากนั้นสองหนุ่มก็ดูนักร้องไปพลาง ทานอาหารไปพลางอย่างเพลิดเพลิน กว่าที่นักร้องดาวดังซึ่งเสียงหวานปานน้ำผึ้งจะขึ้นร้องก็ปาไปดึกแล้ว ลู่อี้เผิงอยู่ฟังเพลงจนจบ ก็เรียกบริกรมาคิดค่าอาหาร จากนั้นก็เดินออกจากภัตตาคารไป
“ผมกลับแท็กซี่ก็ได้” ต้วนเฟิงพูดขึ้นทันทีที่เดินออกมาแล้ว ลู่อี้เผิงเลิกคิ้ว ยังไม่ทันจะพูดอะไร ทางนั้นก็รีบพูดขึ้นต่อ “ก็นี่มันดึกแล้ว สารวัตรจะได้กลับไปพักผ่อนไงครับ ไม่ต้องเวียนไปส่งผมหรอก เสียเวลา”
ลู่อี้เผิงกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะพยักหน้า “อืม.. เอางั้นก็ได้”
ต้วนเฟิงยิ้ม และบอกตัวเองว่าไม่ควรจะยิ้มให้กว้างมากนัก เพราะเดี๋ยวจะเสียมารยาท ขณะที่กำลังจะเดินออกไปเรียกรถแท็กซี่ เขาก็ชนกับใครคนหนึ่ง ที่ปรี่เข้ามา
“สารวัตรลู่ อ้อ.. ขอโทษครับ” คนเดินชนทักคนด้านหลังก่อน ถึงจะรู้สึกว่าชนใครอีกคนจนเกือบล้ม ต้วนเฟิงยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง และรู้สึกโล่งใจที่ดั้งจมูกยังอยู่ครบถ้วนดีอยู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนร่างใหญ่ตรงหน้า
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ” ชายคนนั้นตอบ เขาสูงสักร้อยแปดสิบล่ะมั้ง แต่ตัวหนาน่าดู แถมยังมีแผลเป็นกลางหน้า ดูน่ากลัวชะมัด ชายหน้าบากคนนั้นหันไปหาลู่อี้เผิงอีกครัง
“สารวัตรลู่ ช่วยคอยสักครู่นะครับ”
ลู่อี้เผิงมองผู้ชายคนนั้น แล้วมีสีหน้าเหมือนคนกำลังถูกขู่ฆ่า ต้วนเฟิงเห็นดังนั้นก็หักใจปล่อยเพื่อนร่วมงานเอาไว้คนเดียวไม่ได้ จึงยืนรีๆ รอๆ อยู่แถวนั้น สักพักหนึ่งเขาก็เห็นชายหนุ่มอายุราวๆ สักยี่สิบสี่ยี่สิบห้า หวีผมเรียบร้อยใส่สูทพอดีตัวเดินออกมาจากภัตตาคาร พอเห็นหน้าลู่อี้เผิง ผู้ชายคนนั้นก็เดินตรงเข้ามาทันที
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ สารวัตรลู่” พูดจบก็ตบไหล่นายตำรวจหนุ่มอย่างสนิทสนม แต่ลู่อี้เผิงกลับมีสีหน้าเหมือนกินกุ้งมังกรทียังไม่ได้แกะเปลือกเข้าไปทั้งตัว
“ผมว่าเราไม่เจอกันไปตลอดเลยจะดีกว่า แล้วนี่คุณมาที่นี่ทำไมเนี่ย?”
คนถูกถามทำหน้าแปลกใจเกินจริง “ก็มาฟังเพลงน่ะสิ ฮวาหลันร้องเพลงเสียงดีเป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว ฉันยังอยากจะจ้างให้ไปร้องให้ฟังที่บ้านเลย แต่เธอบอกว่าอยากจะร้องที่นี่มากกว่า อยากให้มีคนได้ฟังหลายๆ คน ดูสิ นักร้องของประชาชนขนาดนี้ ฉันจะไม่มาดูได้ไง”
ลู่อี้เผิงมีสีหน้าอดทนอดกลั้นเต็มที่ “ผมรู้ว่าเธอเสียงดี งั้นผมกลับล่ะ ดึกแล้ว จะรีบไปนอน”
“โถๆ ” คนถูกเมินทำเสียงละห้อย “ไม่เจอกันไม่กี่วัน ทำไมเย็นชาแบบนี้”
“ผมก็เป็นของผมแบบนี้อยู่แล้วน่า” นายตำรวจหนุ่มตอบ “คุณไม่มีธุระอะไรก็กลับบ้านไปนอนเถอะไป หนังหน้ามันจะได้ตึงๆ แบบนี้ตลอด”
“ปากเสียจริงๆ เธอนี่ วันไหนฉันคงต้องลากลิ้นเธอออกมาดูสักที ดูซิว่าจะกล้าพูดอะไรแบบนี้อีกรึเปล่า” อีกฝ่ายพูด ต้วนเฟิงยืนฟังอยู่นาน อยากจะอ้าปากถาม แต่ก็หาโอกาสไม่ได้สักที
ขณะที่ยืนละล้าละลังอยู่ คนตัวใหญ่ก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาอีกรอบ “คุณซือ รถสตาร์ตไม่ติดครับ ผมลองพ่วงแบ็ตฯแล้ว ก็ไม่ติด ท่าทางจะเป็นที่เครื่องยนต์ โทรบอกพ่อบ้านหลี่ให้ส่งคนเอารถมารับแล้วล่ะครับ”
“อ้อ...” คนถูกเรียกว่าคุณซือส่งเสียงครางออกมา ก่อนจะพยักหน้า “เครื่องมันเก่าแล้วก็แบบนี้แหละ ก็ดีเหมือนกัน เดี๋ยวให้ช่างเปลี่ยนเป็นเครื่องญี่ปุ่นดีกว่า อ้อ.. บอกพ่อบ้านหลี่ว่าไม่ต้องเอารถมารับหรอก เดี๋ยวฉันกลับกับสารวัตรลู่ก็ได้”
ลู่อี้เผิงอ้าปากพะงาบๆ เป็นปลาบนเขียง ก่อนจะโพล่งออกมา “รถผมไม่ว่าง!”
“หา?!” คุณซือร้องพลางทำหน้าเหมือนได้ยินไม่ชัด “อะไรนะ สารวัตรซุกศพผู้ต้องหาไว้ตรงเบาะหลังเลยไม่ว่างงั้นหรือ แย่จริงๆ นักเรียนเกียรตินิยมทำไมทำอะไรแบบนี้นะ”
“ผมไม่ได้ซุกศพ” ลู่อี้เผิงพูดออกมา ด้วยสีหน้าประหนึ่งอยากจะฆ่าคนตรงหน้าอยู่เต็มแก่ คนได้ฟังพูดสวนทันที “งั้นก็ไม่เห็นว่าจะไม่ว่างอะไร เพิ่มพวกฉันไปอีกสองคน เพื่อนร่วมงานเธอคงไม่บ่นหรอก เดี๋ยวฉันนั่งเบาะหน้าก็ได้ ให้เสี่ยวจือไปนั่งเบาะหลัง”
ยังไม่ทันที่นายตำรวจหนุ่มจะได้พูดอะไรตอบ คนคนนั้นก็หันไปหาต้วนเฟิง ก่อนจะพูดยิ้มๆ “รถอยู่ไหนล่ะผู้กอง รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวจะดึก”
---------------------------------------------
ในที่สุดต้วนเฟิงก็ต้องมานั่งอยู่บนรถของลู่อี้เผิง โดยนั่งกับผู้ชายตัวใหญ่อยู่ตรงเบาะหลัง ขณะที่ผู้ชายอีกคนไปนั่งเบาะหน้า ด้วยความสงสัย ในที่สุด นายตำรวจหนุ่มจึงกลั้นใจถามออกไป
“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่า.. คุณเป็น.....”
“อ้อ ใช่ ลืมแนะนำตัวกับคุณตำรวจไปเลย ฉันเป็นลูกพี่ลูกน้องฝ่ายพี่ชายปู่ของพ่อเขา ชื่อซือหลิว”
“อ้อ.. ครับ” ต้วนเฟิงพยักหน้า แม้จะยังงงๆ กับตำแหน่งญาติที่อีกฝ่ายพูดออกมาอยู่บ้างก็ตาม ลู่อี้เผิงขบกรามกรอดๆ เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่พูดไม่ออก ดังนั้นซือหลิวจึงพูดขึ้นอีก
“เดี๋ยวไปส่งคุณตำรวจคนนี้ก่อนก็ได้ เพราะถ้าดึกยังไงเธอค่อยค้างที่บ้านฉัน”
“ผมไม่ค้างบ้านคุณเด็ดขาด” ลู่อี้เผิงว่า พลางเร่งเสียงวิทยุในรถให้ดังขึ้นอีก อย่างกับว่าจะกลบเสียงพูดของคนนั่งข้างงั้นแหละ
ต้วนเฟิงรู้สึกดีใจนิดหน่อย อย่างน้อยเสียงวิทยุที่ดัง คงจะพอกลบเสียงวิทยุสื่อสารที่ลู่อี้เผิงเปิดเอาไว้ได้บ้างล่ะมั้ง ขอเขากลับบ้านโดยไม่ต้องนั่งรถเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายทีเถอะ
ตอนที่ลู่อี้เผิงเลี้ยวรถเข้าซอยมืดๆ ซอยหนึ่ง เพื่อตัดออกถนนที่ตรงไปบ้านของต้วนเฟิง จู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งวิ่งตัดหน้ารถไป ทำให้นายตำรวจหนุ่มต้องเหยียบเบรกกะทันหัน ยังไม่ทันจะหายตกใจดี ผู้หญิงอีกคนก็วิ่งตามา “ขโมย ขโมย ช่วยด้วย”
ต้วนเฟิงอ้าปากค้าง ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร หลังก็กระแทกเข้ากับเบาะ เพราะลู่อี้เผิงเหยียบคันเร่งเต็มที่ พุ่งไล่นายโจรคนนั้นซึ่งเพิ่งปีนรั้วกันไปอีกซอยหนึ่ง
“ผมจะอ้อมไปอีกทาง ซอยนั้นมีทางออกทางเดียว เราต้องไปให้ถึงก่อนที่มันจะวิ่งออกมา จับให้แน่นนะ” ลู่อี้เผิงว่า ก่อนจะเหยียบคันเร่งจนมิด รถทะยานผ่านตรอกแคบๆ และหักเลี้ยวอย่างน่ากลัวจนได้ยินเสียงล้อบดพื้นถนน แล้วพุ่งออกไปยังถนนอีกเส้นหนึ่ง
“ว้าว!! เผิงเผิงยอดไปเลย” ซือหลิวอุทาน ขณะที่สองคนหลังรถนั่งเกร็งกันเป็นรูปปั้นหิน
“สารวัตร ระวังรถ!!” ต้วนเฟิงโพล่งขึ้นเมื่อเห็นรถสปอต์ตสีเหลืองคันหนึ่งแล่นตัดมาด้วยความเร็วสูง ลู่อี้เผิงหักพวงมาลัยหลบ และหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวใครสักคนกระแทกกับกระจก
คนตัวใหญ่ยกมือขึ้นลูบศีรษะ ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวดี หน้าของสองคนด้านหลังก็แทบจะจูบเข้ากับเบาะหน้า
“ชนไปเลย แค่แมวจะกลัวอะไร” คนนั่งคู่ด้านหน้าว่า ลู่อี้เผิงตะคอกกลับ “แมวก็เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกันนะ”
“มันมีตั้งเก้าชีวิต ชนไปไม่ตายหรอก” คนถูกตะคอกตอบ นายตำรวจหนุ่มไม่พูดอะไรอีก รถพุ่งทะยานไปอีกครั้ง คราวนี้ถึงเห็นซอยเป้าหมายสักที
“ผู้กองต้วน!”
ต้วนเฟิงพยักหน้า พอถึงตรงซอย เขาก็อาศัยจังหวะที่ลู่อี้เผิงชะลอรถลงหน่อยหนึ่ง เปิดประตูและกระโจนออกไป พอดีตรงกับที่เจ้าโจรวิ่งออกมาพอดี สองคนเลยกลิ้งหลุนๆ ไปด้านข้าง เพราะแรงเฉื่อยจากรถ ก่อนจะชนเข้ากับกำแพง ต้วนเฟิงดีดตัวขึ้น แล้วเตะใส่โจรทีหนึ่ง ก่อนจะจับทางนั้นเอามือไพล่หลัง แล้วล็อกกุญแจมือไว้
“แกถูกจับแล้ว”
เจ้าโจรดิ้นฮึดฮัด แต่เพราะถูกอีกฝ่ายเอาเข่ากดไว้ เลยลุกจากพื้นไม่ได้เสียที สักพักก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา
“เท่จริงๆ เลย คุณตำรวจ” ซือหลิวเอ่ยชม ขณะที่ลู่อี้เผิงเดินเข้าไปใกล้ แล้วดึมผมโจรขึ้นมา “อ้าว... คงยี่หลี่ เจอกันอีกแล้วนะเนี่ย ได้ยินว่าเพิ่งออกคุกมาได้ไม่กี่เดือนเองนี่”
“แกอีกแล้วเรอะ!” คงยี่หลี่ตะคอก ลู่อี้เผิงสั่นศีรษะ “อืม... คาหนังคาเขาแบบนี้ ท่าทางแกจะได้ติดอีกรอบแน่” เขาว่า และลากตัวนายโจรขึ้นมา
“เอาล่ะ คุณซือ ผมต้องเอาตัวหมอนี่ไปส่งโรงพัก คุณนั่งรถกลับเองก็แล้วกัน”
“แหม... ฉันไม่รังเกียจเขาหรอก ไปกันทั้งแบบนี้แหละ เดี๋ยวให้เสี่ยวจือนั่งขนาบเอาไว้ รับรองเขาหนีไปไหนไม่ได้แน่ๆ ”
ท้ายที่สุด คงยี่หลี่ก็ต้องมานั่งเบียดอยู่ตรงกลางระหว่างต้วนเฟิงกับลั่วซ่งจือ โดยที่คุณซือยังคงนั่งหน้าระรื่นอยู่ที่เบาะข้างคนขับเหมือนเดิม
เลี้ยวมาได้ล็อกหนึ่ง ต้วนเฟิงก็พูดขึ้น “ผมต้องเอากระเป๋าไปคืนผู้หญิงก่อน”
“อืม” ลู่อี้เผิงส่งเสียงในคอ แล้วจอดรถ ต้วนเฟิงกระโดดลง และเดินเข้าไปหาผู้หญิง ที่ดูจะมีสีหน้าตื่นเต้นเมื่อเห็นเขาและกระเป๋าในมือ
“กระเป๋าคุณครับ” ต้วนเฟิงว่า และยื่นกระเป๋าถือให้หญิงสาว เจ้าหล่อนบอกขอบคุณเขาเป็นการใหญ่ เพิ่งสังเกตว่าเป็นสาวคนเดียวกับนักร้องที่ลู่อี้เผิงลงความเห็นว่าของจริงตอนหัวค่ำนี่เอง
“เดินคนเดียวดึกๆ แบบนี้อันตรายนะครับ” ต้วนเฟิงว่า หญิงสาวพยักหน้า “ค่ะ..”
“ให้ผมไปส่ง..”
“ผู้กองต้วน ให้เขาไปแจ้งความด้วยนะ” ลู่อี้เผิงไขกระจกลงแล้วตะโกนเข้ามา ต้วนเฟิงพยักหน้าหงึกๆ แล้วหันไปทางหญิงสาวที่ทำหน้างุนงงอยู่ “ครับ ผมเป็นตำรวจ” พูดแล้วก็เอาบัตรเจ้าพนักงานให้ดู “เดี๋ยวรบกวนคุณไปโรงพักเพื่อแจ้งความสักครู่นะครับ”
“อ้อ ค่ะ...” หญิงสาวว่า ต้วนเฟิงหันไปมองรถลู่อี้เผิงอีกรอบ แล้วตะโกนกลับไป “สารวัตร ไปที่โรงพักก่อนเลย เดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ตามไป รถคุณแน่นขนาดนั้น เพิ่มคนเข้าไปไม่ไหวแล้วล่ะ”
“ตกลง เดี๋ยวเจอกันแล้วกัน” ลู่อี้เผิงตะโกนกลับมา จากนั้นก็แล่นรถออกไป ต้วนเฟิงช่วยประคองหญิงสาวที่ยังอยู่ในอาการตกใจไม่หายไปเรียกรถแท็กซี่ที่ถนน
------------------------------------------
หลังจากเอาตัวคงยี่หลี่ไปฝากขัง และลงบันทึกประจำวันเรียบร้อยแล้ว ลู่อี้เผิงก็ขับรถกลับ แน่นอนว่าต้วนเฟิงไม่ได้มากับเขาด้วย นายตำรวจหนุ่มดูท่าจะมีโชคเรื่องความรักในคืนนี้กับแม่สาวที่ถูกขโมยกระเป๋าคนนั้นเสียแล้ว แต่เขานี่สิ ท่าทางจะยังซวยอีกนาน เพราะเบาะข้างดันมีเจ้านกยูงบ้านี่นั่งหน้าระรื่น ดูสบายอกสบายใจเสียไม่มี
“ดึกแล้ว เผิงเผิงค้างที่บ้านฉันเถอะ” หงคงฉ่วยว่า และยื่นมือมาลูบขาอ่อนคนที่ขับรถอยู่ ลู่อี้เผิงถึงกับต้องเอามือที่จับพวงมาลัยข้างหนึ่งมาปัดออก ซึ่งก็ไม่ทันเหมือนเคย
“นี่ เพลาๆ ความหื่นบ้างเถอะ ไม่อายผมก็อายคุณลั่วบ้าง”
“ไม่เป็นไร เสี่ยวจือขี้อาย เขาไม่กล้ามองหรอก” หงคงฉ่วยว่า ลู่อี้เผิงถึงกับต้องหันหน้ามาถลึงตาใส่เขาแว้บหนึ่ง ก่อนจะมองรถต่อ
“คุณนี่หน้าด้านจริงๆ ”
“โถ... อายุปูนนี้แล้ว จะเหนียมจะอายอะไรอีกเล่า ไม่ใช่เผิงเผิงนี่ ถึงทำเขินได้ตลอดเวลา เขินอยู่ก็บอกมาเถอะน่า” พูดแล้วก็ยกมือขึ้นหยิกแก้มนายตำรวจหนุ่มเบาๆ ลู่อี้เผิงเหยียบคันเร่งจนรถพุ่งออกอย่างน่ากลัว
เขาคงต้องรีบส่งเจ้านกบ้านี่กลับกรง ก่อนจะถูกทำให้สึกหรอไปมากกว่านี้
----------------------------------------------
ลั่วซ่งจือแทบจะเข่าอ่อน ในตอนที่ลงจากรถ ก่อนจะหยิกตัวเองทีหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่ายังมีชีวิตอยู่แน่ๆ ในขณะที่หงคงฉ่วยเดินลงมาด้วยท่าทางปกติ คนคนนี้ประสาทแข็งยอดเยี่ยมดีจริงๆ
“นี่... มาถึงแล้วก็ลงจากรถก่อนซี่ จะนั่งอะไรนานๆ ” หงคงฉ่วยว่า และเดินมาที่ประตูรถฝั่งคนขับ “ไม่ค้างจริงๆ หรือ?”
“ไม่เอา พรุ่งนี้ผมต้องไปทำงาน” ลู่อี้เผิงไขกระจกลงมาแล้วตอบ หงคงฉ่วยพยักหน้า ก่อนจะยื่นมือมาจับหน้าของชายหนุ่มเอาไว้ แล้วจูบเบาๆ
“ราตรีสวัสดิ์นะ สารวัตร ขับรถกลับดีๆ ล่ะ” หงคงฉ่วยพูดยิ้มๆ ก่อนจะผละออกไป ลู่อี้เผิงมองดูแผ่นหลังนั้นเดินเข้าไปในคฤหาสน์ ก่อนจะไขกุญแจสตาร์ตรถ แล่นออกจากประตูใหญ่ไป
--------------------------------------------------
**ทึ่งตัวเองจริงๆ ที่ยังเขียนทันได้อีก

(แถม ยืดไปได้อีกตอน<<โดนโบก) ตอนแรกกะจะเขียนตอนที่ไปกับลั่วซ่งจือ รวมไปกับเรื่องขับรถของลู่อี้เผิงเลย แต่ก็มานึกว่า อยากให้หงคงฉ่วยไปด้วยจังน๊า เพราะจะได้รู้ว่า หงคงฉ่วยก็ประสาทแข็งใช่เล่น (ซิ่งมอเตอร์ไซค์ทำมาแล้ว ประสาอะไรกับรถยนต์!!

) สุดท้ายก็มาลงที่ต้วนเฟิง ซึ่งจู่ๆ ก็กลายเป็นตัวละครที่มีชื่อโผล่ในหลายตอนอย่างคาดไม่ถึง ฮ่าๆ
จบตอนนี้แ้ล้วขอหยุดสักสัปดาห์นะคะ ไปต่างจังหวัดค่ะ
สุขสันต์วันแม่ แล้วก็ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่า

ปล. สำหรับเรื่องผีเสื้อห้องเย็น (Frozen butterfly.) ขอแช่เย็นไว้ก่อนนะคะ คาดว่าเดือนหน้าคงได้ตอน6 .... เรื่องนี้เป็นอะไรที่เขียนยาก ประเด็นเยอะ แล้วนิสัยตัวละครก็สุดกู่ ฮ่าๆๆๆ ยังไงก็... ใจเย็นๆ กันไว้ก่อนนะคะ<<โดนโบก
ปล.2 ผีเสื้อไม่ได้ลงในเล้านะคะ ไม่ต้องไปตามอ่านนะคะ ฮ่าๆ (กลัวถูกทวง!!

)