บทที่ 38
สองเรา...
(ความเดิมตอนที่แล้ว)
“มาล่อลวงอะไรคนใช้บ้านฉันล่ะ”
“คุณแม่ว่างเหรอครับ งั้นพอดีเลย มาช่วยผมหมุนน็อตหน่อยครับ” ภัสดาเงยหน้าถามมารดาของศิขรินทร์ที่กำลังยืนส่งสายตาอาฆาตให้ตนอยู่ พร้อมทั้งส่งยิ้มหวานไปให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร แต่ในใจนั้นเต็มไปด้วยความขบขัน เพราะใบหน้าของคุณหญิงวิจิตรตราตอนนี้ช่างเหมือนกับแม่ตัวอิจฉาในละครทีวีที่ศิขรินทร์ชอบเปิดไปเจอเสียจริงๆ ใจอยากจะพูดประโยคนี้เหลือเกิน ‘รับกระจกไปส่องสักบานไหมคุณแม่’……..
“ฉันเป็นเพื่อนเล่นเธอเหรอ” ผู้สูงวัยเอ่ยเสียงเรียบ พร้อมทั้งส่งสายตาเหยียดหยามมองไปยังศัตรูหมายเลขหนึ่งอย่างไม่ชอบใจ
.
.
.
“คนบ้าที่ไหนมาร้องขอส่วนบุญแถวนี้ล่ะเนี่ย” ภัสดาเดินถือถังพลาสสติคออกมาใกล้ๆบริเวณรั้วที่สเตฟานนี่ยืนอยู่ ชายหนุ่มมองสารรูปของอดีตคนรักของศิขรินทร์ด้วยแววตาที่ฉาดชัดถึงความสมเพชเวทนา เสื้อผ้าที่ผู้หญิงคนี้แต่งมามองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าจงใจแต่งออกมาล่อเสือล่อตะเข้ และเมื่อมันโดนน้ำสาดเข้าไปอย่างนี้ยิ่งดูไม่ได้เข้าใหญ่ ไม่รู้ศิขรินทร์คบกับผู้หญิงคนนี้มาได้อย่าไร เพราะแค่ภัสดามายืนใกล้ๆขนาดนี้ยังไม่อยากสูดอากาศร่วมกันกับอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ
“แก!!! แกเป็นคนสาดน้ำใส่ฉันเหรอ” สเตฟานนี่มองถังที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายก็รู้ได้ทันทีว่าใครที่กล้าสาดน้ำมาใส่ตน ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นเพราะไม่วาจะทางใดเธอก็แพ้ผู้ชายคนนี้ไปหมดเสียทุกทาง
“ฉันจะทำให้แกต้องทรมานอย่างฉัน จำเอาไว้!!” พูดเสร็จ หญิงสาวก็หมุนร่างเดินออกไป ทิ้งไว้เพียงสายตาหลายสิบคู่ที่มองสบกันด้วยความโล่งใจ การ์ดและคนรับใข้คนอื่นๆเข้ามาเคลียร์สถานที่แล้วกลับไปทำงานของตนตามเดิม เหลือเพียงแค่ภัสดาที่ยืนมองแผ่นหลังบางของสเตฟานนี่ที่ค่อยๆลัยสายตาไป
“ของใคร ใครก็รัก”
……………………………………………………………………..
ลำแขนแกร่งค่อยๆผลักประตูห้องนอนเข้ามาและปิดอย่างแผ่วเบา เมื่อแน่ใจว่าปิดสนิทและลงกลอนเรียบร้อยแล้ว ท่อนขายาวก็ก้าวเข้าไปหาเตียงนอนหลังใหญ่อย่างช้าๆ เพราะไม่อยากรบกวนคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง ศิขรินทร์เดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงฝั่งที่ภัสดากำลังนอนคว่ำหายใจสม่ำเสมออยู่ริมฝีปากหนาเหยียดยิ้มออกมาอย่างสุขใจและผ่อนคลาย นิ้วเรียวยาวปัดปอยผมที่ตกมาละหน้าผากให้คนที่นอนหลับอย่างรักใคร่และทะนุถนอม สายตาคมกล้ามองดวงหน้าเรียวสวยอย่างพิจารณาอีกครั้ง เมื่อพอใจแล้ว ริมฝีปากหยักก็จรดลงหอมแก้มนวลอย่างแผ่วเบา
“อื้อ.................” เจ้าหญิงนิทราขยับตัวไปมาเล็กน้อย เมื่อแน่ใจว่ามีคนลักขโมยหอมแก้มตน เปลือกตาบางก็ค่อยๆลืมขึ้นมา และสิ่งแรกที่กระทบสายตาเข้ามาก็คือใบหน้าคมเข้มกับดวงตาดุๆและริมฝีปากหยักของศิขรินทร์ที่จ้องมองตนอยู่ก่อนแล้ว
“ขอโทษครับที่ทำให้ตื่น”
“ช้าไปไหมท่านประธาน” ภัสดาดึงข้อมือหนาของศิขรินทร์ให้ลงมานอนด้วยกัน ซึ่งร่างสูงก็ทำตามแต่โดยดี เมื่อจัดท่าจัดทางได้เรียบร้อยแล้ว ดวงหน้าสวยก็ซุกซบกับต้นแขนแข็งแรงอย่างออดอ้อน
“เหนื่อยเหรอครับ”
“เปล่า....แค่เพลียเฉยๆ ไม่ได้เหนื่อยอะไรเลย หึหึ” เสียงหัวเราะหึๆ ที่ดังอยู่ในลำคอของภัสดาเรียกความสงสัยจากศิขรินทร์ทันที
“วันนี้ทำอะไรมาบ้างครับ” ริมฝีปากหนาถามชิดขมับบาง พร้อมทั้งสูดลมหายใจหอบเอากลิ่นกรุ่นกายของภัสดาเอาปอดอย่างเต็มรัก
“กวาดบ้าน ล้างจาน ห่อใบตอง ทำขนม อ้อ! ขูดมะพร้าวด้วย” ร่างโปร่งบางที่นอนพิงแผ่นอกแข็งตอบเสียงเรียบเรื่อย พร้อมทั้งลูบไล้ต้นคอแกร่งของศิขรินทร์ไปมา จ้าของอ้อมแขนแข็งแกร่งอดไม่ได้ที่จะโอบกระชับอ้อมกอดให้รัดร่างโปร่งบางให้แน่นยิ่งขึ้นด้วยความหมั่นเขี้ยวระคนเอ็นดู เสียงเรียกหัวเราะแววหวานจากภัสดาได้เป็นอย่างดี
“ถ้านายช่างใหญ่ กวาดบ้าน ล้างจานอย่างที่พูดไปเมื่อกี้ บ้านผมคงเละน่าดู” เพราะคุณพีทแห่งบ้านพิชัยภักดีนั้น ถนัดแต่เรื่องซ่อมเครื่องและแข่งรถนั่นเอง ส่วนเรื่องงานครัวหรืองานบ้านนั้นแทบจะไม่ได้แตะเลยเสียด้วยซ้ำ ผิดกับศิขรินทร์ที่มีมารดาปลูกฝังเรื่องงานครัวและงานเรือนให้มาตั้งแต่เด็กๆ
“อ้าว! ทำไมประธานบริษัทพูดแมวๆอย่างนี้ล่ะครับ ใครบอกว่าไอ้พีทคนนี้กวาดบ้าน ล้างจานไม่เป็น” ถึงแม้ภัสดาจะทำงานอู่หนักมากก็จริง แต่ฝ่ามือบางก็ไม่เคยหยาบกร้านเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าศิขรินทร์จะสัมผัสหรือจับลูบยามใดก็ยังคงนุ่มเลื่อนให้ความรู้สึกอยากปกป้องอยู่เสมอ
“ประธานอินทราทิพย์กรุ๊ป เป็นคนบอกเองครับ”
“ไอ้ประธานนี่มันไม่รู้เรื่องจริงๆ เดี๋ยววันหลังต้องไปไล่ออก”
“ไปไล่ออก แล้วเขาจะทำงานไหนะล่ะคราวนี้ เขาต้องทำงานเลี้ยงเมียนะครับ”
“บ้า! ยังไม่ได้เป็นเมียซะหน่อย พูดไปเรื่อย”
“พีท ที่ผมอดทนมาถึงทุกวันนี้ก็เพราะรักคุณนะ”
“ก็..............รู้แล้ว เดี๋ยวมันก็ถึงเวลาน่า ทนอีกซักนิดจะเป็นไรไป ทนให้ไม่ได้” ถ้าไม่ติดไอ้คำสัญญาที่ได้กล่าวไว้นั่นแหละ สาบานได้ป่านนี้คุณภัสดา พิชัยภักดีเป็นเมียของประธานอินทราทิพย์กรุ๊ปไปตั้งนานแล้ว ร่างสูงก้มลงมองคนในอ้อมกอดแล้วทำได้เพียงถอนลมหายใจออกมากลัดกลุ้ม ไม่รู้ว่าจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าของอู่ใหญ่ไว้ได้นานแค่ไหน ความใจตัวเองจะห้ามแรงปรารถนาที่มันก่อตัวขึ้นมากขึ้นทุกวันๆ
“แล้วตกลงวันนี้ทำอะไรมาบ้างครับ” ภัสดายกตัวขึ้นออกอ้อมแขนแกร่ง แล้วขึ้นมานอนซบแผ่นแทน ใบหน้าเรียวสวยส่ายไปมาอย่างออดอ้อน เป็นกิริยาท่าทางที่ศิขรินทร์ได้เห็นเพียงผู้เดียวเท่านั้น
“ก็ช่วยคุณลุงซ่อมรถ แล้วก็รดน้ำมนต์ชะนีหลงป่า”
“สเตฟานนี่มาที่บ้านเหรอครับ...แล้วเขาทำอะไรพีทหรือเปล่า” ศิขรินทร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบที่แฝงไปด้วยกรุ่นอายแห่งความโกรธา เห็นดังนั้นภัสดาจึงรีบใช้นิ้วเรียวของตนเองนวดตรงหว่างคิ้วที่พับย่นเข้าหากันให้อย่างเป็นห่วง ร่างสูงลืมไปหรือเปล่าว่าคนเอวบางที่ตนกำลังกอดอยู่นั้นไม่ใช่คนที่ยอมใครง่ายๆอยู่แล้ว
“ก็แค่มาร้องโหยหวนอยู่หน้าบ้าน แต่เข้ามาไม่ได้ เพราะเจอฤทธิ์น้ำมนต์ปลุกเสกของไอ้พีทเข้าไป กระเจิงหายวิ่งหนีแทบไม่ทัน” ภัสดาหัวเราะเสียงใจเมื่อนึกย้อนไปถึงสภาพเสื้อผ้าหน้าผมที่ถูกแต่งแต้มมาอย่างดี แต่ก็มาโดนน้ำล้างจานสาดเข้าไปอย่างจัง จากนางฟ้าก็กลายเป็นคนบ้านไปในพริบตา นึกแล้วยังเจ็บใจอยู่ไม่น้อย เพราะใจจึงอยากจะโดนรังมดแดงออกไปใส่เสียด้วยซ้ำ แต่ยังดีที่จิตสำนึกฝ่ายดีคัดค้านไว้เสียก่อน ไม่อย่างนั้นไม่สตอภาคใต้ได้โดนหนักกว่านี้แน่!
“แล้วอย่างนี้เขาไม่เปียกแย่เหรอ” เพราะต่อให้หญิงสาวร้ายซักเพียงใดก็ยังถือว่าเป็นเพศที่อ่อนแอกว่าอยู่ดี
“อะไร!! เป็นห่วงกันหรือไง” ฝ่ามือบางฟาดลงไปบนแผ่นอกแข็งอย่าแรง ทำเอาประธานรูปหล่อนิ่วหน้าเพราะความแสบและความคันทันที ชายหนุ่มส่งยิ้มแหย่ๆไปให้คนรักแล้วลูบแผ่นหลังเนียนอย่างปลอบๆ
“เปล่าครับ ก็ถามดูเฉยๆ ไม่เอาดีกว่า เลิกพูดเรื่องนี้กัน แล้วพีทได้คุยกับคุณแม่หรือเปล่าครับ”
“ได้คุยซิ ทักทายกันพอหอมปากหอมคอ”
“ไม่ได้ทะเลาะกันใช่ไหมครับ” ภัสดาอยากจะบอกเหลือเกินว่ายิ่งกว่าสบตาแล้วนั่งคุยเสียอีก เพราะตนและคุณหญิงวิจิตตราต่างก็งัดไม้เด็ดของตัวเองออกมาเพื่อฟาดฟันด้วยวาจาใส่ฝ่ายตรงข้าม แต่ยกนี้ก็เป็นนายช่างใหญ่เจ้าของอู่ชนะไปอย่างขาดลอย
“ไม่ได้ทะเลาะ บ้าเหรอ กูออกจะเป็นคนที่น่าเอ็นดู” พูดเสร็จก็ฝังลงไปยังซอกคอของศิขรินทร์อย่างแช่นิ่งไว้อย่างนั้น ฝ่ามือหนาลูบไล้แผ่นหลังบางไปมาอย่างเบามือ ทำไมศิขรินทร์จะไม่รู้ว่าที่ภัสดาทำอย่างนี้ก็อีกฝ่ายอยากให้ตนนั้นผ่อนคลายจากอาการเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาจากที่ทำงาน
“แล้ววันนี้มึงเหนื่อยไหม” เสียงอู้อี้ที่ร่างสูงไม่ได้ยินไม่ค่อยถนัดนัก แต่ก็สร้างรอยยิ้มให้ประธานรูปหล่อได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะเหนื่อยสาหัสมากเพียงใด แต่เมื่อรู้ว่ากลับมาที่คอนโดแล้วมีคนถามไถ่อย่างนี้ ต่อให้เผชิญกับเรื่องยากลำบากมากเพียงใดศิขรินทร์ก็ไม่หวั่นเกรงอยู่แล้ว
“ไม่เหนื่อยครับ แต่ถึงแม้จะเหนื่อย พอได้เห็นหน้าพีทผมก็หายไปแล้วล่ะครับ”
“พูดเพราะ ประเลาะแดก”
“ขอบคุณที่ชมนะครับ” สิ้นเสียงกำปั้นเล็กๆแต่ซักปึกมาบนไหล่ทันที ศิขรินทร์หัวเราะหึในลำคออย่างกลั้นไม่อยู่เพราะถ้าขืนไม่กลั้นไว้นอกจากกำปั้นแล้วเล็บมือยางทั้งสิบนิ้วคงได้ฟ้อนลงบนแผ่นอกแข็งแน่
“วันนี้จะทานอะไรดีครับ”
“ข้าวต้มกุ้ง ไข่เจียวหมูสับ ยำหมูยอ และเฉาก๊วยหวานๆ”
“อาหารแต่ละอย่างไม่ไปด้วยกันเลยนะนายช่างใหญ่” ข้าวต้มกุ้งอาหารอ่อนๆ แต่เจ้าของอู่ผู้เอาแต่ใจเลือกทานคู่กับยำหมูยอเสียอย่างนั้น แต่ร่างสูงก็ทำได้เพียงแค่ออกความคิดเห็นเล็กๆน้อยๆเท่านั้น เพราะไม่อยากขัดใจคนเอวบางอยู่แล้ว
“ก็คนมันหิว ทำให้กินหน่อยน้า นะ.....ศิ” ไอ้คำว่า “นะ..ศิ” ไม่ว่าเมื่อใด สถานการณ์ไหน ถ้าภัสดาเอ่ยคำนี้ขึ้นมาเป็นอันต้องรู้กันว่าศิขรินทร์จะต้องใจอ่อนและยอมทำตามแต่โดยดีอย่างแน่นอน ไม้ตายนายช่างใหญ่เขาเลยล่ะ
“มันต้องมีสิ่งของมาแลกเปลี่ยนซิ ผมเป็นพ่อค้านะพีท”
“พ่อค้าหน้าเลือดซิไม่ว่า”
“ผมโดนใส่ร้ายอีกแล้ว” ร่างสูงแสร้งทำเสียงน้อยอกน้อยใจ พร้อมทั้งก้มหน้าสูดดมกลิ่นหอมที่พวงแก้มใสอย่างไม่หยุดหย่อน ทำเอาเจ้าของแก้มนวลต้องบิดเนื้อไร้ไขมันบริเวณเอวสอบเพื่อห้ามปราม ไม่อย่างนั้นมีหวังตนเองได้หายใจหายคอไม่ทันแน่ๆ
“เจ้าเล่ห์นักนะ”
ถึงปากจะเอ่ยวาจาเสียดสี แต่คนหน้าหวานก็เคลื่อนใบหน้าของตนเองออกมาจากซอกคอของศิขรินทร์แล้วไล่จุมพิตมาตั้งแต่หน้าผากกว้างและมาจบปิดท้ายด้วยริมฝีปากหยักที่คลี่ยิ้มรออยู่แล้ว
ริมฝีปากบางค่อยๆจรดลงแนบชิดกับริมฝีปากหยักที่กำลังตั้งค่าคอยอยู่กดทิ้งไว้เพียงชั่วคู่ก็ผละออกมา แต่ดูเหมือนว่าคนที่เพิ่งได้รับฉายาว่า ‘เจ้าเล่ห์’ จะไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น ศิขรินทร์กดท้ายทอยของภัสดาเอาไว้ให้มั่นแล้วเป็นฝ่ายบดเบียดริมฝีปากเข้าหาอีกฝ่ายแทน ร่างสูงใหญ่กอดกระชับร่างโปร่งบางเอาไว้แน่น เสียงหัวใจที่เต้นรัวเหมือนจังหวะกลองของภัสดาทำให้ได้รู้ว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปซักเพียงใด ร่างโปร่งบางก็ไม่เคยที่จะลดความเขินอายลงเลยซักนิดเดียว เรียวลิ้นร้ายกาจสอดลึกเข้าไปยังโพรงปากหอมหวานของร่างโปร่งบาง ดูดดื่มกินน้ำหวานรสเสน่ห์หาอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย จนในที่สุดภัสดาก็ยอมให้คนเจ้าเล่ห์ดูดกินน้ำหวานได้ตามใจชอบ จนห้วงลมหายใจของคนเอวบางเริ่มขาดห้วนเพราะฤทธิ์ของจุมพิต มือบางจึงทุบลงบนแผ่นอกแข็งอย่างท้วงๆ จนในที่สุดริมฝีปากของทั้งคู่ก็ค่อยๆ ผละแยกออกจากกันอย่างช้าๆ
“สาดน้ำมนต์ไล่ชะนี ยังไม่เหนื่อยเท่าเผือกมันปล้นจูบ”
“ไม่ได้ปล้นนะครับ เมื่อกี้นายช่างใหญ่ร่วมมือด้วย”
“แล้วไอ้ผักเน่าที่ไหน มันกดท้ายทอยกูลงมา” ร่างโปร่งบางค่อยๆสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างช้าๆ ริมฝีปากบางแดงเห่อขึ้นมา ทำเอาคนที่นอนมองอยู่แทบจะอดใจไม่ไหว ชะโงกหน้าเข้ามาจูบให้หายหมั่นเขี้ยวให้รู้แล้วรู้รอด
“ก็อยากทำตัวน่าจูบทำไมล่ะครับ”
“กูอยู่ของกูเฉยนะเผือก มึงนั่นแหละสมองมันหื่นเกินลิมิต”
“เผือกรักพีทนะครับ”
“.................................” เงียบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า เพราะตอนนี้ ภัสดา พิชัยภักดี เขินหน้าระเบิดไปแล้ว
“อาราย......ไม่ต้องมาหวานกลบเกลื่อนนะเผือก กูรู้ทัน มึงจะแดกกูใช่ไหมล่ะ” ร่างบางแสร้างทำเสียงฟึดฟัดขึงขังแต่แท้ที่จริงทำเพื่อปกปิดอาการเขินอายของตนเองต่างหากล่ะ และศิขรินทร์ก็รู้ทันเสียด้วยซิ แต่ร่างสูงก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น เพราะถ้าขืนไปท้วงไปทักเจ้าของอู่ขึ้นมา เดี๋ยวจะได้โดนฤทธิ์แม้ไม้มวยไทยเล่นงานเพราะความรักเข้า
“รู้ทันตลอด........”
“ก็หน้ามึงมันหื่น ..........หึหึ เผือก เจ้าของอู่หิวแล้ว ทำกับข้าวให้กินหน่อย”
“งั้นเจ้าของอู่ ไปอาบน้ำนะครับ เดี๋ยวท่านประธานออกไปทำอาหารคอย”
“แล้ว...........ไม่อาบพร้อมกันเหรอ” ดวงตาคมเข้มหรี่มองดวงหน้าสวยของภัสดาอย่างพิจารณา เพราะไอ้ประโยคเมื่อสักครู่ไม่ว่าจะตีควายหมายไปกี่รอบต่อกี่รอบมันก็แปลว่า ‘ยั่ว’ ชัดๆ
นายช่างอยากโดนฟัดเหรอครับ”
“ก็.........................” คนเอวบางค่อยๆ ยันตัวขึ้นจากแผ่นอกแข็งแกร่งอย่างช้าๆ ดวงตาสีเข้มของศิขรินทร์มองการกระทำของอีกฝ่ายไม่วางตา เพราะตอนนี้ภัสดา กำลังใช้มือบางๆของตนเอง แกะกระดุมเสื้อทีละเม็ดๆ อย่างเชื่องช้า ลมหายใจกรุ่นร้อนเพราะภาพที่กำลังปรากฏอยู่เบื้องหน้า ร่างสูงพุ่งกระโจนออกจากเตียงหมายจะคว้าคนช่างยั่วเข้ามาฟัดเพื่อดับอารมณ์ด้านมืด แต่ก็ต้องคว้าน้ำเลวเพราะ....
“ไม่อยากนะ ใครจะอยากโดนเผือกเน่ากิน” ภัสดาอาศัยความเร็วของตนวิ่งเข้าห้องน้ำแล้วลงกลอนเสร็จสรรพ เสียงคำรามที่ดังอยู่ข้างนอกเรียกเสียงหัวเราะใสแกมสะใจจากร่างโปร่งบางได้เป็นอย่างดี
“ออกมาไม่รอดแน่” ศิขรินทร์เดินไปหยุดอยู่ตรงประตูห้องน้ำแล้วตะโกนบอกเสียงเข้ม ความรู้สึกเหมือนเสือโดนกระตุกหนวด
“ไม่กลัวววว”
ภัสดาใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำเกือบหนึ่งชั่วโมง ทั้งขัดทั้งถู แถมยังร้องเพลงประกอบจังหวะอีกต่างหาก อารมณ์ดีเพราะยั่วศิขรินทร์ได้สำเร็จ เมื่อล้างฟองสบู่ออกจากตัวเองเสร็จ มือบางก็ผละไปหยิบผ้าขนหนูมาซับน้ำเช็ดตามผิวกายและใบหน้า ทุกครั้งตนจะใส่เสื้อคลุมออกจากห้องน้ำ แต่ครั้งนี้เพราะไปแกล้งเจ้าของห้องเอาไว้เลยทำให้ไม่หยิบติดมือมาด้วย คนเอวบางจึงตัดสินใจพันผ้าขนหนูรอบเอวและผูกปมเพื่อความแน่นหนา เมื่อเดินไปฟังเสียงที่หน้าประตูว่าเงียบไปแล้ว จึงค่อยๆ ตัดสินใจเปิดออกไปอย่างช้าๆ หัวใจด้วงน้อยเต้นไม่เป็นส่ำ เพราะไม่รู้ว่าคนเจ้าเล่ห์จะพุ่งมาจากทางไหน อีกอย่างทั้งตัวมีเพียงผ้าขนหนูเพียงผืนเดียว ถ้าโดนมือหมึกเข้ามีแต่เสียกับเสีย
“หรือว่าออกไปทำอาหารแล้ว” เมื่อแน่ใจว่าคนเจ้าเหล์ไม่อยู่ในกรอบสายตา ร่างโปรงบางจึงค่อยๆเดินไปยังตู้เสื้อผ้า แต่ทันทีที่เดินผ่านตู้โชว์เลโก้ เอวบางก็โดนท่อนแข็งแรงคว้าเข้าไปกอดเสียเต็มรัก
“เฮ้ย!”
“ยังไม่ไปง่ายๆหรอกครับ ต้องฟัดให้หายหมั่นเขี้ยวก่อน” พูดเสร็จริมฝีปากร้ายกาจและฝ่ามือหนาก็ออกฤทธิ์ทันที ยังไม่ทันที่จะประท้วงใดๆออกไป เรียวปากบางก็ถูกประกลด้วยริมฝีปากหยักอย่างรวดเร็ว ศิขรินทร์อุ้มคนตัวหอมมาวางบนเตียงแล้วลงมือสูดกลิ่นหอมที่ลองจางๆอยู่บนผิวเนื้อขาวอมชมพูของภัสดาทันที มือบางทั้งสองข้างถูกชูขึ้นเหนือศีรษะ ทำเอานายช่างใหญ่ไร้หนทางปัดป้อง นอนเป็นเป้านิ่งให้คนร่างสูงกอดจูบลูบคลำได้อย่างตามใจชอบ
“อื้อ......” แม้จะพยายามส่งเสียงประท้วงสักเพียงใด ร่างสูงก็ไม่สนใจยังคงเดินหน้าสอดลิ้นดูดกลืนความหวานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
“ศิ......อะ อื้อ....” ริมฝีปากหยักกดจูบดูดเม้นต้นคอขาวอย่างหลงใหล เรียวลิ้นร้ายกาจไล่ชิมความหวานของเนื้ออ่อนอย่างหลงใหล จนเนื้ออ่อนบริเวณลำคอขาวของภัสดาขึ้นสีแดงกุหลาบอย่างสวยงาม เพราะคนทำตั้งใจทำเป็นพิเศษ
“ที่รัก.......” ศิขรินทร์ลากลิ้นลงมายังบริเวณตุ่มไตเม็ดเล็กๆที่ประดับอยู่บนแผ่นอกบาง ร่างสูงตะหวัดลิ้นรอบปานนมสร้างความเสียวกระสันให้ร่างที่นอนอยู่ด้านล่างเป็นอย่างดี ทำสลับกลับไปกลับมาทั้งสองข้าง และก็ไม่ลืมที่จะทิ้งรอยการตรีตราจองเอาไว้เมื่อเป็นที่พอใจแล้ว ร่างสูงก็ยกตัวขึ้นไปแลกลิ้นกับร่างโปร่งบางอีกครั้งจนเมื่อแน่ใจว่าคนด้านล่างสิ้นฤทธิ์แล้วจึงค่อยๆปลดพันธนาการออก ศิขรินทร์มองผลงานตัวเองที่แต่งแต้มอยู่บนเรือนร่างของภัสดาด้วยความพอใจ รอยสีกุหลาบกระจายตัวอยู่อย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าเป็นหน้าอก หน้าท้อง ไหล่ และลำคอที่มากที่สุด ความรู้สึกรักและหวงแหนยิ่งทวีคูณขึ้นมาในอกเป็นระรอกๆ สัญญาและสาบานกับตัวเองว่า คนตัวหอม เอวบางที่นอนหายใจแรงอยู่นี้ จะต้องเป็นของตนคนเดียวเท่านั้น!
“ไอ้ผักเน่า ไอ้หื่น ไอ้ประธานบ้ากาม ไอ้........”
“ถ้ากล่าวคำเชยชมประธานอีก จะโดนไม่น้อยนะครับ”
“ชิส์! ไอ้เผือกหื่น”
“อื้อออ” ภัสดร้องห้ามไม่ทัน เพราะศิขรินทร์ก้มลงดูดดึงริมฝีปากบางอย่างรวดเร็ว จนเมื่อพอใจก็ผละออกมา
“ต้องชมว่าประธานหล่อ ใจดี รักแฟนนะครับ รู้ไหม?”
“แหวะ จะอ้วก”
“ยังไม่ทับ ก็ท้องซะแล้ว ฝีมือผมนี่มันดีจริงๆ” ภัสดากำลังจะเปิดปากแขวะคนร่างสูงอีกครั้ง แต่ก็นึกได้ว่าตนเองเสียเปรียบอยู่ จึงรีบยกมือปิดปากตัวเองทันที ศิขรินทร์เห็นอย่างนั้นจึงก้มลงหอมแก้มนวลฟอดใหญ่ให้กับความความน่ารักน่าใคร่ของอีกฝ่าย
“กินข้าวนะครับ ผมทำเสร็จหมดแล้ว”
“อือ...มึงลุกออกไปเลย” ร่างสูงลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างเตียง มองดูคนตัวหอมที่มีเพียงผ้าขนหนูห่มท่อนล่างอยู่
“วิวตรงนี้มันช่างดีจริงๆ”
“เผือกพันธุ์นี้มันต้องผ่าเหล่า ผ่ากอมาจากพี่น้องมันแน่ๆ ทำไมมันถึงได้หื่นขนาดนี้เนี่ย” พูดไปร่างบางก็โยนหมอนบนเตียงใส่คนเจ้าเล่ห์ที่ยืนอยู่ปลายเตียงไม่หยุด จนเมื่อตัวเองพอใจแล้วก็ลุกเดินไปยังห้องแต่งตัว เพื่อหลบสายตาร้อนๆที่คอยมองตนอยู่ทุกฝีก้าว อยู่กับไอ้เผือกทีไร ไอ้พีทไปไม่ถูกทุกที
.
.
.
.
.
.
อาหารมื้อเย็นผ่านพ้นไปด้วยเสียงหัวเราะ ที่ต่างฝ่ายต่างพยายามงัดไม้เด็ดของตัวเองออกมาทำให้อีกฝ่ายนั้นเสียท่า แต่ดูเหมือนว่าจะมีภัสดาเท่านั้นที่เป็นฝ่ายเพลี้ยงพล้ำมากกว่าจะได้เปรียบ เพราะศิขรินทร์ขยันงัดมุกเสี่ยวๆของตนออกมา จึงไม่พ้นที่จะทำให้นายช่างใหญ่เขินแล้วสิ่งที่ตามมาก็คือน้ำเสียงที่โวยวายไม่ได้ดั่งใจและพลังกำปั้นเล็กๆน้อยๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ท่านประธานใหญ่อย่างศิขรินทร์สะทกสะท้ายเลยซักนิด การพูดคุยเล็กๆน้อยๆระหว่างมื้ออาการเสมือนการเติมน้ำหวานให้กับชีวิตรัก ศิขรินทร์เล่าว่าในหนึ่งวันที่ตนได้ไปพบเจอมานั้นมีอะไรบ้าง เรื่องราวของวงการธุรกิจถูกถ่ายทอดออกมาให้ภัสดาได้รับรู้ และเช่นเดียวกับเจ้าของอู่ใหญ่ ที่เล่าถึงเหตุการณ์ที่ลูกค้าเดินมาจีบดล ลูกน้องในอู่ โดยการเดินเข้ามาขอกับเจ้าของอู่ สีหน้าท่าทางที่ภัสดาแสดงออกมานั้นมันช่างสมจริงสมจังเสียจนศิขรินทร์นึกว่าตนเองไปอยู่ในเหตุการณ์เสียด้วยซ้ำ
“สรุปแล้วตั้มไม่สานสัมพันธ์ต่อใช่ไหมครับ”
“ใช่! แต่ก็ดีแล้ว ถึงแม้วว่าผู้หญิงจะรวยมาก แต่ไอ้ตั้มมันไม่ชอบให้ใครมาหาเลี้ยง มันอยากเลี้ยงเขามากกว่า ไอ้พวกศักดิ์ศรีต้องมาก่อน”
“เหมือนที่ผม หาเงินได้แล้วเอามาให้พีทใช่ไหม” ศิขรินทร์จะโอนเงินเข้าบัญชีภัสดาเดือนละห้าแสน ถึงแม้ว่าภัสดาจะปฏิเสธอย่างไรก็ไม่เป็นผล เพราะศิขรินทร์ตั้งใจให้อยู่แล้ว จนสุดท้ายนายช่างใหญ่ก็จนปัญญาที่จะห้ามปรามก็เลยปล่อยเลยตามเลย ดีเสียอีก มีคนหาเงินมาใช้ แต่ถึงแม้จะคิดอย่างนั้น ภัสดาก็ยังไม่เคยใช้เงินของศิขรินทร์เลยซักบาท เพราะตนก็ทำงานเหมือนกัน
“ไม่รู้เว้ย” คำตอบปัดๆของอีกฝ่ายเรียกเสียงหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่จากศิขรินทร์ได้เป็นอย่างดี จะมีสักกี่เรื่องกันที่ภัสดาผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ต่อกรไม่ได้ เรื่องบนเตียงก็เรื่องหนึ่งล่ะนะ
“วันนี้ไอ้ติโทรหาด้วย” ชื่อของติยะทำเอาคิ้วหน้าเข้มขมวดเข้าหากันทันที และภัสดาปฏิกิริยาของศิขรินทร์อย่างหวาดหวั่น เพราะชื่อของติยะนั้นยังคงสร้างความขุ่นเคืองให้กับศิขรินทร์แทบจะตลอดเวลา ถึงแม้เพื่อนสนิทของตนจะกล่าวขอโทษเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ร้านอาหารครั้งนั้นแล้ว
“โทรมาว่าอย่างไรบ้างครับ” ศิขรินทร์เอ่ยเสียงเรียบ แล้วมองคนที่นั่งฝ่ายตรงข้ามขยันตักยำหมูยอใส่จานให้อย่างไม่ขาดสาย ไหนจะไข่เจียวของโปรดที่ตัดมาอย่างพอดีคำ แล้วน้ำมาวางข้างๆยำ แถมคนเอวบางยังส่งยิ้มประจบมาให้อีกด้วย นี่แหละภัสดาพอรู้ว่าเขาจะโกรธเจ้าตัวก็รีบเอาใจทันที แล้วอย่างนี้ใครที่ไหนจะโกรธลงละครับ
“ก็โทรมาถามว่าสบายดีไหม เมื่อไรจะนัดทานข้าวกันอีก มันจะเลี้ยง” ภัสดาตอบตามตรง เพราะไม่อยากให้คนตัวโตโกรธ นึกแปลกใจตนเองอยู่ไม่น้อย เมื่อก่อนไม่เห็นต้องมานั่งเดาใจใคร ไม่ต้องกลัวว่าใครจะโกรธไม่โกรธ ทำทุกอย่างตามความพอใจของตนเอง แต่มาบัดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป เพราะมีคนหนึ่งคนเข้ามาแชร์ความรู้สึกซึ่งกันและกัน ทำอะไรต้องนึกถึงใจของอีกฝ่ายด้วย
“หาช่วงเวลาที่เพื่อนๆว่างตรงกันซิครับ”
“แล้ว................เอ่อ..........มึง.ไม่โกรธเหรอ”
“ไม่หรอกครับ เขาคงคิดได้แล้ว”
“นั่นซิ มันคงคิดได้......................แล้วถ้าคิดไม่ได้ล่ะ”
“ครั้งนี้ผมไม่ไว้หน้าแน่ เพราะถือว่าผมเตือนเขาไปแล้ว และผมก็ไม่สนด้วยว่าเขาจะเป็นเพื่อนสนิทของพีท ของใครใครก็รักครับ”
“ก็ถามดูเฉยๆ.....ทำไมต้องทำเสียงดุด้วยวะ”
“ไม่ได้ครับอะไรเลย พีทคิดมากไปเองต่างหากล่ะ.....รีบๆกินซิครับ เดี๋ยวไม่ทันดูการ์ตูนนะ”
“มึงก็รีบๆกินเหมือนกัน เพราะกูต้องมีหมอนข้าง” เมื่อทานเสร็จศิขรินทร์ก็ช่วยภัสดาลำเลี้ยงจานและชามไปยังอ่างล้างจานและยืนให้กำลังใจอยู่ข้างๆ เพราะเจ้าของอู่ใหญ่พูดเสียงขึงขังว่าจะล้างด้วยตัวเองห้ามช่วย ศิขรินทร์จึงทำได้เพียงยืนส่งยิ้มให้กำลังใจนั่นเอง
.
.
.
.
.
.
๐ คิดถึงคนอ่านจังเล้ยยยยยยยยยยย
๐ นักเขียนไม่ได้หายไปไหนนะคะ วนเวียนอยู่แถวๆนี้นั่นแหละค่ะ งานมหาลัยมันเยอะก็เลยหายไปนาน ขออภัยจริงๆ
๐ หวังว่าคนอ่านทั้งหลายยังไม่ลืมนิยายเรื่องนี้นะคะ
รักและขอบคุณ
By Chocolate Love ~[/color][/b]