บทที่ 33
ว่าที่ลูกสะใภ้!!
.
.
.
หญิงสาวรูปร่างสูงเพรียวในชุดเดรสสายเดี่ยวคล้องคออวดเนินอกอวบอิ่มและแผ่นหนังเนียนเรียบน่าสัมผัส ชายกระโปรงสั้นเหนือเข่าพลิ้วไหวยามเจ้าของร่างก้าวเท้าเดิน โครงหน้าได้รูปตามแบบฉบับของสาวตะวันตกรวมไปถึงเส้นผมสีบลอนด์ยิ่งขับให้ร่างสูง
เพรียวแลดูน่าจับจ้องยิ่งขึ้นกว่าเดิม ริมฝีปากอวบอิ่มเคลือบด้วยลิปสติกสีชมพูแวววาว นัยน์ตาสีเทาจับจ้องมองไปยังเบื้องหน้าอย่างมุ่งมั่น ริมฝีปากอวบอิ่มเผยยิ้มเล็กน้อย บ่าตั้งตรงมาดนิ่งสง่างามราวกับนางพญา เรียกสายตาของผู้ที่สัญจรผ่านไปมาได้อย่างดี ท่อนขาเรียวก้าวเดินเข้าตัวอาคารอย่างมั่นใจ จุดหมายคือ ศิขรินทร์!
“ขอพบคุณ ศิขรินทร์ อินทราทิพย์...บอกว่า สเตฟานนี่ เดวิด ต้องการพบ” พนักงานต้อนรับสะดุ้งตกใจทันทีเมื่อได้รู้ว่าผู้หญิงสุดแสนเพอร์เฟคเมื่อสักครู่ ได้มายืนอยู่ต่อหน้าตนแล้ว หล่อยกระวีกระวาดทำงานกันอย่างรีบเร่ง นึกใจหายถ้าหากผู้จัดการฝ่ายบุคคลเดินผ่านมา หล่อนคงถูกกล่าวโทษเป็นแน่ เพราะความกิ่งเกรงในมาดนางพญาของอีกฝ่าย ทำเอาสมาธิของหญิงสาวปลิวหาย รอสายได้สักครู่เลขามาดนิ่งหน้าห้องของท่านประธานก็ตอบกลับมาเสียงนิ่งเรียบพอๆกับใบหน้าว่า ท่านประธานใหญ่ของอินทราทิพย์กรุ๊ปไมว่าง!
“ขอโทษด้วยค่ะ วันนี้คุณศิขรินทร์ติดประชุมทั้งวัน ไม่สามารถให้คุณขึ้นไปพบท่านได้” พนักงานต้อนรับของอินทราทิพย์กรุ๊ปบอกอย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะนัยน์ตาสีเทาของหญิงสาวมาดนางพญาจ้องมองมาที่หล่อนอย่างกินเลือดกินเนื้อ ริมฝีปากที่เคยนึกชมในใจว่าช่างสวยสมกับใบหน้าเสียจริงๆ บัดนี้บิดเบี้ยวตามแรงอารมณ์อย่างน่ากลัว ความสวยและความสง่าถูกครอบครำด้วยความร้ายกาจ เพียงมองแวบเดียวหล่อนก็พอจะเดาได้ว่า หญิงชาวต่างชาติคนนี้ร้ายกาจเพียงใด
“แล้วบอกหรือหรือเปล่า ว่าใครขอพบ!” สเตฟานนี่ตวาดเสียงดังลั่น ทำเอาพนักงานต้อนรับยิ่งตกใจและหาสติแทบไม่เจอ ในใจโอดครวญไม่น่าเอ่ยปากชื่นชมอีกฝ่ายที่มีรูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวที่ดูดีไปหมดเสียทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียว คงจะเป็นน้ำเสียงและนิสัยที่รับรู้ได้เลยทันทีว่า ‘โมโหร้าย’
“บอกแล้วค่ะ คุณศิขรินทร์บอกว่าให้คุณสเตฟานนี่กลับไป และไม่ต้องเข้ามาที่บริษัทอีก”
“หึ! จะเล่นอย่างนี้เหรอ...ได้! ฝากบอกคุณศิขรินทร์เจ้านายเธอด้วยนะ ฉันจะไปรอเขาที่บ้าน!” ร่างสูงเพรียวหันหลังกลับและเดินออกมาจากตัวอาคารอย่างรวดเร็ว เพราะในใจร้อนลุ่มไปด้วยความโมโหและไม่พอใจที่อดีตคู่ควงปฏิเสธตนเองเช่นนี้
“ไม่ให้ฉันเข้าพบที่บริษัทใช่ไหมศิ งั้นไปเจอกันที่บ้านนะคะที่รัก” สเตฟานนี่มองสูงขึ้นไปบนตัวอาคารอย่างมาดหมาย ริมฝีปากอวบอิ่มเผยยิ้มร้ายกาจ การมาของหล่อนครั้งนี้จะต้องได้อะไรติดมือกลับไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเงินทองหรือแม้กระทั่ง ศิขรินทร์ อินทราทิพย์ ที่หล่อนจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ทั้งสองอย่างมาเป็นของหล่อนให้ได้ เพราะตอนนี้หล่อนไม่มีอะไรที่จะต้องเสียอีกต่อไปแล้ว!
.
.
.
“ดล ขอสายคุณพีทหน่อย” ศิขรินทร์เอ่ยเสียงเรียบ ในใจร้อนลุ่มไปด้วยความกังวลเมื่อพนักงานต้อนรับด้านล่างบอกว่า สเตฟานนี่จะไปรอตนที่บ้าน ทำเอาประธานบริษัทใหญ่ถึงกับนั่งไม่ติด เพราะถ้าหากผู้หญิงเปรี้ยวฉูดฉาดอย่างสเตฟานนี่เข้าบ้าน คุณหญิงแม่ของตนคงอาละวาดบ้านแตกแน่ๆ เพราะมารดาของตนนั้นไม่นิยมชมชอบผู้หญิงชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะชาติไหนก็ไม่ชอบและไม่สบอารมณ์ทั้งนั้น
‘ฉันไม่ชอบฝรั่ง ลูกสะใภ้ฉันจะต้องเป็นคนไทยเท่านั้น’ นั่นคือประกาศิตของคุณหญิงวิจิตราที่ประกาศไว้ตอนที่ศิขรินทร์กำลังจะเดินทางไปเรียนต่อปริญญาโทที่ต่างประเทศ และนับตั้งแต่นั้นมา ศิขรินทร์ อินทราทิพย์ก็ไม่แฟนเป็นฝรั่ง มีเพียงคู่ควงที่คบหากันอย่างฉาบฉวยเท่านั้น
“ว่าไงเผือก” ทำว่า ‘เผือก’ ลอดมาตามสายประถะโสตประสาทของประธานบริษัทใหญ่เข้าอย่างจัง อารมณ์ขุ่นมัวเมื่อสักครู่ปลิวหายไปอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากหนาเหยียดยิ้มออกมาอย่างช้าๆ นึกถึงคนเอวเล็กที่ตนเพิ่งขับรถไปส่งที่อู่แล้วพาลอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“คิดถึงนะครับ”
“อย่ามาสะตอภาคใต้ บอกมาว่าโทรมาตอนนี้มีอะไร กำลังถอดล้อบีเอ็มอยู่โว้ย!” ภัสดาแสร้งโวยวายเสียงดังตามแบบฉบับของตัวเอง แต่แท้ที่จริงแล้วดวงหน้าเรียวสวยกำลังยิ้มหวานตั้งแต่ได้ยินว่าใครโทรมา....
“ผมคิดถึงของผม คุณมาใส่ร้ายผมทำไมครับ” ศิขรินทร์ อินทราทิพย์ โยนมาดผู้บริหารเย็นชาออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้เหลือเพียงผู้ชายคนหนึ่ง คนที่ยิ้มหวานเมื่อครั้งที่ได้ยินเสียงคนรัก คนที่หลุดเสียงหัวเราะเมื่อได้ยินเจ้าของอู่ใหญ่เรียกฉายาเป็นผักชนิดหนึ่งที่รสชาติเป็นอย่างไรเขามีรู้ แต่ที่เขารู้คือ ภัสดา พิชัยภักดี ชอบเรียกเป็นประจำ
“ถ้ายังลีลาห้าร้ายเล่มเกวียนไม่บอกธุระจริงๆ เดี๋ยวกูจะให้ไอ้ดลเอาน๊อตไปปาบริษัทมึง” ภัสดาพูดเสียงเข้ม แต่ไม่รู้ทำไม ศิขรินทร์ฟังแล้วมันช่างไพเราะจับจิตจับใจเสียเหลือเกิน นิ้วเรียวยาวไล้รูปถ่ายของคนรักที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานอย่างรักใคร่ หัวใจหลุดลอยไปไกล เพียงแค่ได้ยินเสียงก็ชื่นใจเสมือนแผ่นดินอันแห้งแล้งที่มีหยาดฝนโปรยปรายลงมา
“วันนี้ตอนเย็นผมกับคุณว่างถูกไหม”
“ก็ใช่ แล้วทำไม?”
“งั้นคุณไปบ้านผมนะ”
“ห๊ะ!!!! อีกรอบซิอีกรอบ พูดใหม่ซิเผือก!”
“ตอนเย็นไปบ้านผมนะคร้าบคุณช่าง ผมอยากให้คุณเข้าบ้านผมใจจะขาด ผมจะพาว่าที่ลูกสะใภ้อินทราทิพย์เข้าบ้าน คุณเข้าใจไหมครับ” ศิขรินทร์กล่าวด้วยน้ำเสียงยียวนถ้าหากมีมนต์วิเศษเขาคงจะเสกให้ร่างกายของตัวเองไปปรากฏอยู่เบื้องหน้าของช่างฟิตหน้าหวานไปนานแล้ว
ป่านนี้คงกำลังช๊อค.........
“มึงต้องบ้าไปแล้วแน่ศิ โอเคๆ ตอนนี้เที่ยงยี่สิบสองนาที มึงอาจจะหิวข้าวมากเกินไป รีบไปกินซะ มาพูดล้อเล่นอย่างนี้ไม่ตลกนะเว้ย” และก็เป็นอย่างที่ศิขรินทร์มาดหมายไว้ เพราะตอนนี้เจ้าของอู่ใหญ่ทิ้งประแจลงพื้นอย่างรวดเร็ว เพราะไม่คิดว่าศิขรินทร์จะเอาจริงๆ
“ผมไม่ได้ล้อเล่น ผมพูดจริงๆนะพีท วันนี้ผมจะพาคุณเข้าบ้าน” ร่างสูงเอนกายพิงพนักเก้าอี้เอ่ยเสียงจริงจัง จนภัสดารับรู้ได้ ตลอดระยะเวลาที่คบกันมาทำให้ร่างบางรู้ได้ทันทีว่า ศิขรินทร์พูดคำไหนคำนั้น!
“มึงไม่กลัวเหรอว่ะ แม่มึงดุไม่ใช่เหรอ” นึกไปถึงเหตุการณ์ที่ร้านเครื่องเพชรบนห้างหรูที่เขาเป็นเจ้าของก็พาลนึกขยาดไม่ได้ มารดาของศิขรินทร์เจ้ายศเจ้าอย่าง ภัสดายังคงจำสายตาที่ผู้สูงวัยมองมาวันนั้นได้เป็นอย่างดี
สายตาที่เต็มไปด้วย........ความรังเกียจ
“ก็กลัวครับ แต่ผมกลัวคุณไม่รักมากกว่า” นั่นไง!! เห็นไหม กำลังซีเรียสหน้าสิวหน้าขวานกันอยู่ดีๆ ผลไม้สีม่วงแป้งเยอะก็แถออกมาเรื่องที่ทำให้เขาอายได้อย่างหน้าตายเฉย
“Stop! ห้ามนอกเรื่อง ไม่ต้องมาแถ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าทำไมถึงรีบพากูเข้าบ้าน” ความจริงแล้ว ภัสาด พิชัยภักดี พร้อมทุกสถานการณ์แต่สำหรับ การต้องไปเผชิญหน้าตัวต่อตัวกับ คุณหญิงแม่ของศิขรินทร์นั้นจะต้องใช้หัวสมองในการรับมือและขบคิดถ้อยคำในการตอบกลับค่อนข้างมาก ถ้าไปสุ่มนี่สุ่มหน้าคงได้โดนจิกกลับมาเหลือแต่กระดูก !
“ก็มีนิดหน่อยครับ .....ผมแค่ต้องการทำให้อะไรๆให้มันชัดเจนมากขึ้น คุณทำมาเพื่อผมเยอะแล้ว ถึงคราวที่ผมทำเพื่อคุณบ้าง”
“แน่ใจแล้วนะ แล้วถ้าแม่มึงรับไม่ได้ล่ะ”
ถึงจะเก่งกล้าสามารถแค่ไหน แต่อย่างไรแล้ว คุณหญิงวิจิตตราก็เป็นผู้ให้กำเนิดของศิขรินทร์ เลือดมันต้องค้นกว่าน้ำ สายใยรักแม่ลูกมันต้องสำคัญกว่ารักแบบคนรัก และถ้าหากต้องได้แยกจากกัน ภัสดาคงตั้งรับไม่ไหวแน่นอน เพราะพื้นที่ในหัวใจยกให้ศิขรินทร์ไปหมดแล้ว ความเคยชินที่แสนจะร้ายกาจ ความเคยชินที่ทำให้ร่างกายนี้ขาดศิขรินทร์ไม่ได้
“ก็ต้องปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ผมคงห้ามแม่ไม่ได้ ผมแค่อยากบอกให้ท่านรับรู้เท่านั้น......ผมไม่ยอมแยกจากคุณเด็ดขาดพีท ผมสาบาน” ศิขรินทร์เอ่ยจริงจัง ถ้อยคำสาบานไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาพูดเล่น เพราะเขาจริงจัง! เขามั่นใจและพร้อมจะสาบานว่าถ้อยคำที่กล่าวออกไปทั้งหมดนั้นมันจะเป็นจริง!
“ขอบคุณมากนะเผือก”
“พีทครับ ประโยคเมื่อกี้จะสมบูรณ์แบบและสวยงามมากถ้าคุณเรียกชื่อผม” คนมันน่ารัก.........ไม่ว่าจะอย่างไรมันก็น่ารัก!!
“อ้าว! มึงไม่ได้ชื่อเผือกเหรอ ก็เห็นเรียกทีไรก็ขานตลอด”
“หึ!........” เอาซิ ใครว่าประธานใหญ่จะงอนไม่เป็น
“ไม่ต้องมาดัดเสียงงอนเลย โตจนจะมีเมียแล้ว” ถ้าไม่อับจนหนทางจริงๆ ภัสดา พิชัยภักดี จะไม่พูดคำว่า ‘เมีย’ เด็ดขาด นี่เห็นว่าผลไม้สี่ม่วงมันงอนหรอกนะ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางพูดคำแสลงคำนี้ออกไปแน่ๆ
“...........................” ศิขรินทร์นิ่งเงียบ รอฟังว่าปลายสายจะแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไร
‘เผือก’ ก็งอนเป็นนะ !!! และในที่สุดเจ้าของอู่ใหญ่ก็ถึงทางตัน ถ้าไม่เอาอะไรหวานๆให้เผือกมันสูบ มันคงต้องแห้งเหี่ยวหัวโต งอนเช้างอนค่ำอยู่เป็นๆ
‘เอาวะ…’ ภัสดาสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มรักและค่อยๆพูดประโยคน่าอายออกไป.........
“ขอบคุณมากนะศิ พีทรักศินะ” ศิขรินทร์ยิ้มกว้างน้ำตาคลอ เสียงโทรศัพท์ตัดสายไปแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ได้วางโทรศัพท์เครื่องหรูลง ยังคงจับแนบไว้ที่แก้มสากเหมือนเดิม
“รักพีทเหมือนกันครับ” ฝากลมช่วยพัดพาคำว่า ‘รัก’ ไปถึงภัสดาด้วยเถอะ .....
.
.
.
.
.
.
เมื่อตอนเย็นศิขรินทร์ก็มารับเจ้าของอู่ใหญ่อย่างที่เคยปฏิบัติเป็นประจำ แต่วันนี้แปลกตากว่าทุกวันเพราะมีลูกน้องของภัสดายืนรอส่งเป็นจำนวนหลายสิบคน รวมไปถึงสุนัขแม่ลูกอ่อนและลูกน้อยที่มายืนอยู่กับเขาด้วย ศิขรินทร์ขับลัมโบกินี่สีขาวไปจอดเทียบข้าง และทันทีที่ท่อนขาเรียวยาวก้าวลงมาจากรถ เสียงโห่แซวก็เลยละล่องออกมาจากก๊วนเด็กช่างสุดแซบทันที!
“อ้าวพี่น้องครับ หลีกทางๆ เจ้าบ่าวมารับเจ้าสาวแล้วคร้าบบบบบบบบ” และทันทีที่ช่างดลพูดจบ ฝ่ามือบางๆของภัสดาก็ฟาดลงไปที่แผ่นหลังของลูกน้องคนสนิทเข้าอย่างจัง ไม่ต้องถามถึงน้ำหนักมือว่ามากเพียงใด เพราะเสียงฝ่ามือกระทบผิวหนังมันลั่นจนลูกหมาตัวน้อยที่กำลังพันแข้งพันขาเขาอยู่ตอนนี้สะดุ้งกันเป็นแถวๆ
“เฮียครับ ถ้าเฮียจะตีแรงขนาดนี้ไม่ได้เอาไม้หน้าสามมาฟาดหัวผมเลยล่ะ” ดลร้องโอดครวญด้วยท่าทางเกินจริง ทำเอาช่างฟิตคนอื่นๆถึงกับห่อปากโห่ร้องกันอย่างชอบใจ สังคมดิบเถื่อนของพวกนายช่าง สังคมที่มีภัสดาเป็นคนตั้งกฎเกณฑ์ ศิขรินทร์ได้สัมผัสและเรียนรู้มาจนชิน การหยอกล้อกันระหว่างเจ้าของกิจการและลูกจ้าง ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับที่นี่ เพราะภัสดาให้ความเป็นกันเองกับลูกน้องทุกคน จึงไม่แปลกที่พนักงานเกือบร้อยชีวิตในอู่ใหญ่กลางเมืองเช่นนี้จะรักและเทิดทูนคนรักของเขามากขนาดไหน
“โอเค จัดไป! ....ตั้มไปเอาไม้หน้าสามมา!” ตั้มที่ยืนอยู่ข้างๆ รับมุกอย่างเร็วไว ทำท่าจะวิ่งกลับเข้าไปด้านใน แต่เสียงของเพื่อนสนิทก็ร้องห้ามไว้ก่อน
“ไอ้ตั้ม Stop now!....บางครั้งเฮียก็ต้องเข้าใจว่ามันเป็นมุก” ดล แสร้งขยับเข้าไปใกล้เจ้าของอู่ แล้วบีบนวดกล้ามเนื้อไหล่ให้อย่างประจบประแจง ทำเอาศิขรินทร์ต้องรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้ๆ ถึงแม้จะเข้าใจว่าเป็นลูกน้อง แต่มาถึงเนื้อถึงตัวต่อหน้ากันอย่างนี้ มันก็อดที่จะหึงและหวงไม่ได้!
“เดินหล่อ ทำตาหึงมาแต่ไกลเลยลูกพี่ผม” ตั้มเอ่ยทักทาย ‘ลูกพี่’ ที่ตนเองให้การเคารพนับถือพร้อมทั้งยกมือไหว้ แล้วผู้ชายเถื่อนๆอีกสิบคนก็ทยอยทำความเคารพศิขรินทร์ด้วยความคุ้นเคย ผู้ชายคนนี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าเบื้องหลังนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน ถึงแม้ศิขรินทร์จะไม่เคยพูดโอ้อวดภูมิหลังของตนเองเลยสักครั้ง แต่เขาก็รู้ได้ทันทีที่ว่าศิขรินทร์จะต้องเป็นนายของคนเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน และเมื่อเฮียพีทเล่าประวัติของคุณเผือก?ให้ฟัง ยิ่งทำให้ลูกน้องคนอื่นๆรวมทั้งเขาชื่นชมในตัวตนของอีกฝ่ายยิ่งขึ้นไปอีก ศิขรินทร์ซื้อใจของช่างฟิตหลายๆคนได้ ไม่เว้นแม้แต่ ‘เฮียพีท’ เขายังจำเหตุการณ์ที่ศิขรินทร์บุกมาที่อู่แล้วลากเฮียพีทออกไป ตอนนั้นทั้งตกใจและแปลกใจ เพราะไม่เคยมีใครมาปฏิบัติต่อเจ้าของอูสุดซ่าส์อย่างเฮียพีทอย่างนี้ และนับแต่นั้นมาช่างฟิตคนอื่นๆก็เรียกศิขรินทร์ว่า ‘ลูกพี่’ ตามเขา
“...........ดูแลเพื่อนด้วยนะตั้ม” ศิขรินทร์เอ่ยเสียงเรียบแสร้งทำทีมองไปที่ช่างดลอย่างข่มขู่ ทำเอาภัสดาต้องรีบยกมือปัดฝ่ามือของลูกน้องคนสนิทออกไป เพราะถึงแม้ไอ้พวกลูกหมาเหล่านี้มันจะเล่นๆ แต่สำหรับศิขรินทร์แล้ว เรื่อง ‘หึง’ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
“ลูกพี่ครับ ไม่ต้องทำตาดุขนาดนั้นก็ได้ครับ” ดลเปลี่ยนเป้าหมายทันที ยังไม่ทันที่ช่างฟิตจอมกวนจะยื่นมือเข้าบีบนวดศิขรินทร์เสียงกระแอมไอพร้อมั้งสายตาที่ดุยิ่งกว่าของภัสดาก็ส่งมาที่ตนทันที
แล้วใครว่า ‘เจ้าของอู่ไม่หวงประธานบริษัท’ ………….
“เยอะไปๆ............ พวกมึงกลับไปเก็บของกลับบ้านได้แล้ว ถ้าภายในสิบวิกูยังเห็นหน้าพวกมึงอยู่ตรงนี้ หักเงินเดือนคนละสามพัน” ไม่ต้องให้บอกเป็นครั้งที่สอง เพราะตั้งแต่ภัสดาเอ่ยถึงคำว่า สามพัน เด็กอู่มาดเถื่อนก็พร้อมใจสลายตัว
ศิขรินทร์มองแผ่นหลังบางที่ยืนอยู่เบื้องหน้า เรือนร่างโปร่งบางที่เขาทั้งรักทั้งถนอมเป็นอย่างดี ฝ่ามือหนายกขึ้นไปโอบไหล่เอาไว้อย่างหวงแหน ดวงตาคมเข้มมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนรักอย่างรักใคร่ จนร่างโปร่งบางหันกลับมาร่างสูงก็โอบไหล่พาเดินไปยังทิศของรถสปอรต์คันหรู
“พร้อมแล้วใช่ไหมครับ” ศิขรินทร์เอ่ยถามเสียงนุ่ม
“พร้อมตั้งแต่เกิดแล้วครับ” แต่ภัสดาตอบกลับด้วยน้ำเสียงกวนๆ
จะกี่คุณหญิงวิจิตตรา ภัสดาก็ไม่หวั่นอยู่แล้ว!!!
๐ หายไปนาน ไม่อยากแก้ตัว 555555555555+
๐ เป็นธรรมดาที่คนแต่งนิยายอยากจะอ่านเม้น แต่ก็นะ ............เฮ้ออออออออออๆ
๐ ฝากเรื่องเธอคือดวงตะวันด้วยนะฮ้า
รักและขอบคุณ
By Chocolate love ~