บทที่ 8
( โต้วาที )
ศิขรินทร์ – ฝ่ายเสนอ
ภัสดา – ฝ่ายค้าน
.
.
.
.
“ไม่ครับ ผมอยากให้คุณไปกระทืบผมที่บ้าน ถึงห้องผมก็ได้นะ ผมไม่ถือสา!”
“ไม่ถือสาบ้านลุงมึงซิไอ้โรคจิต ขอโทษกูเดี๋ยวนี้เลย มึงตีลังกาสิบตลบมาชนกูอ่ะ”
“โอเคๆ ถ้าผมขอโทษคุณแล้ว คุณต้องขอโทษผมคืนเหมือนกัน เพราะคุณก็ชนผมเหมือนกันนะคุณช่างหน้าหวาน”
ศิขรินทร์เอ่ยวาจายียวนฝ่ายตรงข้ามอย่างสนุกสนาน เพราะใบหน้าหวานของอีกฝ่ายค่อยๆเปลี่ยนรูปทรงบิดเบี้ยวและหงิกงอขึ้นไปเรื่อยๆ แต่สำหรับศิขรินทร์แล้วไม่ว่าอีกฝ่ายจะอยู่หน้าไหน อารมณ์ไหนมันก็น่ารัก น่าปล้ำอยู่ดี
“ใครช่างหน้าหวาน ว่ะ หน้าพ่อมึงซิ ขอโทษกู!!” คนน่ารักจะโหดขึ้นมามันจะผิดตรงไหน ออกจะน่าดูและน่าปรารถนาอีกต่างหาก ให้ตายซิ ทำไมเพิ่งมาเจอกับหนุ่มช่างหน้าหวานตอนนี้นะ น่าจะเจอกันนานกว่านี้ ไม่งั้นป่านนี้ไม่แน่นะ อีกฝ่ายอาจจะดำรงค์ตำแหน่งเมียช่างมือวางอันดับหนึ่งก็ได้
“ทำไมปากจัดอย่างนี้นะ มันน่าเอาปากผมนาบปากคุณจริงๆ อยากรู้ว่าจะหวานหรือเผ็ดกันแน่” ถ้าเป็นคนอื่นมาพูดจาหยาบคายอย่างนี้กับเขา ป่านนี้ไอ้คนปากมอมคนนั้นมันนอนจมกองเลือดไปตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เหมือนน้องช่างหน้าหวานคนนี้ที่นอกจากจะพูดหยาบคาย ไม่เพราะ ไม่รู้เรื่องแล้ว ยังด่าพ่อล้อแม่อีกต่างหาก แต่ศิขรินทร์คนนี้ก็ไม่อยากกลั่นแกล้งว่าที่เมียในอนาคต หึหึ เป็นนักธุรกิจมันต้องคิดไกล
ได้ข่าวว่าคุยเรื่องขอโทษไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมไอ้หล่อรถกระป๋องมันถึงลากไปถึงเรื่องอื่นล่ะ เหอะ ก็คนมันโรคจิต แต่งตัวดีอย่างไงมันก็ปกปิดความจริงเอาไว้ไม่ได้หรอก น่าเสียดายหนังหน้ามันจริงๆ กว่ามนุษย์โลกจะเกิดมาหล่อเทพอย่างมันซักคน ไม่น่าเลย ไม่น่ากวนส้นตีนตัวพ่อเลย ภัสดา พิชัยภักดี ขอยืนไว้อาลัยให้มัน 5 นาที ปฏิบัติ!!!
“มึงไปจูบกับอูฐที่อินเดียเหอะไอ้โรคจิต ประสาท สงสัยแม่งจะบ้าจริงๆ กูไม่น่าเสียเวลากับมึงเลย” ภัสดายอมหลีกทางแต่โดยดีเพราะรู้ว่าคุยอย่างไรก็คงไม่รู้เรื่องอยู่ดี แต่ดูเหมือนว่าความตั้งใจของคนร่างบางจะไม่เป็นผลเสียแล้ว เพราะมือแกร่งของศิขรินทร์ฉุดดึงลำแขนบางของภัสดาเอาไว้ ส่งผลให้ร่างบางเซกลับหลังปะถะแผ่นอกหนาของคนด้านหลัง
“เฮ้ยยยยย!!!!!!!!!!! จับหาพ่อมึงเหรอว่ะ” ร่างบางพยายามสะบัดแขนให้พ้นจากการเกาะกุม แต่ก็เหมือนเอาไม้ซีกมางัดไม้ซุง นอกจากจะไม่หลุดแล้ว ศิขรินทร์ยังจับแน่นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ทำเอาภัสดาหัวเสียและหงุดหงิดขึ้นมาทันที
ทำไมช่างฟิต แขนนิ่มว่ะ?.....................!!!!!!!
“พูดไม่เพราะอย่างนี้มันต้องโดนสั่งสอน” ศิขรินทร์กระชากแขนบางของภัสดาให้เข้ามาใกล้ตัวอย่างแรงและจับบ่าทั้งสองข้างของคนฤทธิ์เยอะล็อคไว้กับที่
“เหี้ยยยยยทำไรว่ะ อื้อออ!!!!!!!!!!!!”
ริมฝีปากหนาของศิขรินทร์กดลงมาทาบทับริมฝีปากบางของภัสดาอย่างรุนแรงและจาบจ้วง รสจูบที่เต็มไปด้วยอารมณ์กรุ่นๆของร่างสูงทำเอาร่างบางทรมานและเจ็บร้าวขึ้นมาทันที ไม่ว่าภัสดาจะเม้มปากหนีไปทางไหน ศิขรินทร์ก็กดจูบดเคล้าตามไปติดๆ จนในที่สุดร่างบางก็ค่อยๆเผยริมฝีปากออกมาอย่างช้าๆเพราะหมดอากาศหายใจ และนั่นก็ทำให้ศิขรินทร์ดีใจจนเนื้อเต้น ร่างสูงรีบส่งเรียวลิ้นของตัวเองเข้าไปยังโพรงปากของภัสดาทันที คราแรกนั้นภัสดาพยายามดุนลิ้นหนีการรุกรานเต็มที่แต่ศิขรินทร์ก็ใช้วิชาความรู้ที่สั่งสมมาเกือบตลอดชีวิตจูบให้อีกฝ่ายเคลิ้มตามให้ได้ มือไม้ปัดป่ายเต็มกำลังแต่ก็ไม่สามารถทำให้การจุมพิตนี้ขาดช่วงได้ เพราะเรี่ยวแรงและโครงสร้างทางกายภาพนั้นต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน ถึงแม้ภัสดาจะสูงโปร่งแต่ก็หุ่นเพรียวบาง ผิดกับศิขรินทร์ที่ทั้งสูงทั้งล่ำ แล้วอย่างนี้ภัสดาผู้น่าสงสารจะไปไหนรอด
สติอันน้อยนิดเพราะหลงระเริงไปกับรสจูบซาบซ่านที่ศิขรินทร์มอบให้ ในที่สุดภัสดาก็โอนอ่อนและยินยอมแต่โดยดี นึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมถึงไม่ดิ้นรนขัดขืนให้มันมากกว่านี้ ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ววิชาการต่อสู้ที่ไปร่ำเรียนมาก็สามารถจัดการไอ้หล่อรถกระป๋องได้ไม่ยาก แต่ทำไมถึงไม่ทำ ........ไม่เข้าใจเหมือนกัน
“จูบรสสไปรท์ เปรี้ยวและหวานได้อีก” เมื่อผละปากออกมาให้อีกฝ่ายหายใจสูดอากาศเข้าปอด ศิขรินทร์ก็รีบเอ่ยปากชมอีกฝ่ายทันที มือเรียวแกร่งลูบท่อนแขนของอีกฝ่ายอย่างหลงใหล ไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเองจะนึกบ้าได้ขนาดนี้ กับคนๆนี้ทำไมถึงกล้าจูบ หน้าตาของช่างหน้าหวานมันถูกสเปคอย่างนั้นเหรอ .............สงสัยคงจะใช่ ไหนจะจูบรสสไปส์อีก
“ไอ้เหี้ย! ไอ้สัตว์ ไอ้ควาย ไอ้ๆ ........ไอ้คนฉวยโอกาส ไอ้เลว มึงเป็นใครมึงถึงทำอย่างนี้กับกูห๊ะ มึงคิดว่ามึงใหญ่มากจากไหน ไอ้สาระเลวเอ๊ยอย่าอยู่เลยมึง!!!!!!”
ร่างสูงของศิขรินทร์รับฟังคำด่าที่อีกฝ่ายกำลังสรรเสริญให้ฟังอย่าง งงๆ และลืมป้องกันตัว ส่งผลให้ภัสดาเตะผ่าหมากไปยังกล่องดวงใจด้านล่างของศิขรินทร์ด้วยความเร็วและแรง !!!!!!
“โอ๊ยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” ร่างบางผลุบออกมาจากอ้อมกอดของคนฉวยโอกาสทันที และไม่ลืมที่จะหันกลับไปเอาคืนอีกครั้งสองครั้งด้วยการปล่ยอหมัดฮุกซ้าย ฮุกขวาไปยังใบหน้าหล่อๆของศิขรินทร์
ภาพร่างสูงของศิขรินทร์นอนคุดคู้อยู่กับพื้นห้องน้ำช่างน่าสงสารยิ่งนัก แต่เมื่อคนที่ยืนมองคือ ภัสดา พิชัยภักดี นอกจากจะไม่สงสารแล้วยังนึกสมเพชเข้าไปอีก ใจอยากจะทำมากกว่านี้แต่ก็กลัวมันตาย แค่นี้มันก็จุกไปหลายวันเหมือนกัน
“จำไว้ว่ะคนอย่าง ภัสดา พิชัยภักดีไม่ยอมถูกกระทำฝ่ายเดียว” กล่าวเสร็จเจ้าตัวก็เดินดุ่มๆออกไปทันที ทิ้งให้คนหล่อแต่น่าสงสารนอนกุมลูกชายตัวเองแต่เพียงผู้เดียว
“เดี๋ยวเราได้เจอกันแน่ที่รัก!!!!!” ร่างสูงตะโกนไปบอกคนร่างบางที่หายลับไปข้างนอกแล้ว
“มึงกับกูไม่มีทางได้เจอกันอีกแน่ไอ้โรคจิต!! ไปตายที่ไหนก็ไปไป๊” เสียงตอบกลับมาแว่วๆ ทำเอา ร่างสูงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน แสดงว่าอีกฝ่ายก็รอฟังอยู่หน้าห้องน้ำ และตอนนี้ก็น่าจะเดินไปจริงๆแล้ว หึหึ คนอะไร น่ารัก น่าฟัดได้อีก เมียในอนาคตกูเลย
“อูยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย จุกว่ะครับ” ร่างสูงค่อยๆ พยุงตัวเองขึ้นมาเกาะซิงค์อย่างช้าๆ ภัสดาผู้น่ารักเตะมาโดนที่ลูกชายอย่างจัง สงสัยคงใช้การไม่ได้หลายวัน ทำเอาเหี่ยวไปเลย อย่างนี้ไม่ต้องเอาคืน หึหึ
“ยิ้มทำไมไอ้ศิ มึงต้องโมโหซิที่คนน่ารักมาเตะลูกชายมึง” ภาพที่สะท้อนออกมาจากกระจกคือ ใบหน้าคมเข้มอย่างหนุ่มไทยมาตรฐานกำลังส่งยิ้มให้กระจกอย่างไม่หยุดไม่หย่อน อยากหุบปากหุบคางกรรไกรเหมือนกัน แต่ทำไมได้เพราะใจมันค่อยคิดคำนึงไปถึงภัสดาผู้น่ารักตลอดเวลา ห่างกันเพียงแค่เสี้ยวนาที ยังทำศิขรินทร์บ้าได้ขนาดนี้ ถ้าหากได้คนๆนี้มาครอบครองล่ะ มันคงสุขและสนุกอยู่ไม่น้อย
.
.
.
.
.
.
“มึงเป็นอะไร กูเห็นนั่งยิ้มอย่างนี้มาเป็นชั่วโมงแล้ว เขางอกบนหัวมึงเหรอ” กรุง วรยศ เอ่ยวาจาเหย้าหยอกเพื่อนสนิท ตอนนี้ทั้งสองหนุ่มนั่งอยู่ในร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยา จิบเบียร์ ฟังเพลงชิวๆ ตามประสาหนุ่มที่กำลังจะลาความโสด
หลังจากที่ยืนยิ้มอยู่หน้ากระจกอยู่นานสองนาน ศิขรินทร์ก็ค่อยพยุงตัวเองออกมาจากห้องน้ำชาย แปลกใจเหมือนกันทำไมถึงไม่มีใครเดินมาเข้าห้องน้ำ พอเดินออกมาถึงได้รู้ เพราะป้าย “ส้วมเต็ม” มันห้อยอยู่ตรงลูกบิดประตู ตอนเดินเข้ามามันยังปกติแต่ทำไมตอนออกมันถึงเต็ม ถ้าไม่ใช่ฝีมือเมียในอนคตอย่างภัสดา พิชัยภักดีแล้ว ใครหน้าไหนมันจะมาเล่นพิเรนทร์ในโรงแรมห้าดาวของ กรุง วรยศ หึ!!!!!!!!!!!! อยากหอมแก้มช่างฟิตเว้ย
“เป็นคนที่ถูกรัก” ศิขรินทร์ตอบไป ก็ยิ้มไป ไม่รู้ว่าวันนี้เขายิ้มไปเท่าไร แต่ที่แน่ๆ ศิขรินทร์คนหล่อคนนี้ส่งยิ้มเรี่ยราดไปหมด ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว อินทรีเงินโฉบเฉี่ยวอย่างเขาจะวางมาดตีหน้านิ่ง เพื่อให้สมกับบุคลิกนักธุรกิจหมื่อล้านของประเทศ
“แน่ใจว่าเป็นคนถูกรัก ไม่ใช่คนที่ไปรักเขา” กรุง พูดดักทางเพื่อนสนิทอย่างรู้ทัน พนักงานซุบซิบกันว่าเห็น ศิขรินทร์ลากหนุ่มร่างบางหน้าหวานเข้าไปในห้องน้ำนานสองนาน
“จะถูกรักหรือไปรัก มันก็รักเหมือนกันแหละว่ะ......ว่าแต่ หน้ากูมันแสดงออกขนาดนั้นเลยเหรอ” ศิขรินทร์วางแก้วเบียร์ลงแล้วจับใบหน้าคมเข้มของตัวเองพลิกไปมาอย่างข้องใจ
“มันยิ่งกว่าแสดงออกอีกว่ะ เหมือนมีลำแสงสีชมพูมันพุ่งออกมาจากตัวแกอย่างนั้นแหละ หึหึ เด็กน้อยหนอเด็กน้อย”
“ไอ้คนประสบการณ์เยอะ กูเห็นว่าที่แฟนมึงเดินคุยงานไปเรื่อย ไม่เห็นสนใจมึงเลย หึหึ น่าสงสารว่ะ” ศิขรินทร์ เอ่ยปากสวนกลับไปอย่างรวดเร็วและตรงประเด็น อินทรีเงินบินสูงไม่ได้ตาบอดที่จะมองไม่ออกว่า คุณคีตา วรรณรักษ์ ผู้เจิดจ้าและน่ารักไม่ได้สนใจใยดีเพื่อนสนิทเขาเลย มีแต่ กรุง วรยศ เท่านั้นที่คอยตามอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ใช่ว่าคีตาจะไม่สนใจหรือไร้เยื้อใยกับกรุงขนาดนั้น เพราะถ้าหาไม่สนใจจริงๆ คงไม่พูดจากระแหนะกระแหนเพื่อนสนิทเขาแน่นอน นี่ก็ถือว่าเริ่มต้นได้ดี อีกฝ่ายคงรู้ว่าไอ้กรุงมัน ประวัติสาดเสียเทเสียเยอะ ไหนจะคู่ควงก่อนหน้านี้อีก เหอะๆ เจ้าชู้พอกัน
“อย่าย้ำข้อร้อง แค่นี้ก็หัวเสียพอแล้ว แม่งเอ๊ยๆ ถ้าไม่รักจริงกูจะไม่ตามแม่งเลย แต่นี้ กูรักจริงเว้ย รักจริงหวังแต่ง เฮ้อ แต่ทำไงได้ว่ะ รักไปแล้วนี่หว่า” สำหรับ ไอ้กรุงแล้ว ถ้าไม่รักจริง ไม่ใช้ใจคิดจริงๆ มันจะไม่ง้อ ไม่ตาม ไม่มอง ไม่แล เอาง่ายๆก็คือไม่สนใจใยดีเลย ทั้งชีวิตมันไม่มีรักแท้อย่างเขา เพราฉะนั้นจึงไม่แปลกที่พวกเขาสองคนจะเปลี่ยนคู่ควงไปเรื่อยๆ
“เป็นเอามากว่ะ แต่อีกไม่นานกูต้องเป็นอย่างมึงแน่ๆ”
“ถูกต้องแล้วครับคุณเพื่อน ว่าแต่กูอยากเห็นคนที่ทำมึงเพ้อขนาดนี้ ว่าจะขนาดไหน ถึงเอาอินทรีบินสูงอย่างมึงอยู่หมัด”
“ก็แค่หน้าหวาน เอวบาง จูบรสสไปท์ อืมๆผิวเนื้อหอมอีกต่างหาก อืมมมมม อะไรอีกว่ะ เออๆ....เป็นช่างฟิตด้วยเว้ย”
“อะไรนะ!!! เดี๋ยวนี้มึงบริโภคช่างฟิตเหรอไอ้ศิ อะไรจะตกต่ำปานนั้น หึหึ”
“เวร! จะต่ำหรือเตี้ย ยังไงชีวิตก็หยุดอยู่ที่คนนี้แหละว่ะ”
“เป็นเอามากจริงๆ แล้วตอนเย็นลากเขาเข้าไปทำอะไรในห้องน้ำ”
“ข่าวผิดแล้วมึง กูกำลังเดินออกจากห้องน้ำ แล้วพ่อดีว่าที่เมียเดินสวนเข้ามาพอดี ก็ชนซิครับ หึหึ ก็เลยลากเข้าไปเคลียร์ในห้องน้ำ ก็เลยได้เรื่อง” ภาพเหตุการณ์ใหลย้อนเข้ามาในห้วงความทรงจำของศิขรินทร์อีกครั้ง คำพูด คำจา ที่ ภัสดาพูดออกมา เขายังจำได้ดี แม้กระทั่งฉากเลิฟซีนเล็กๆน้อยๆ ก็ไม่ได้ลืมเลือนไปแต่น้อย
“ได้เรื่อง? .........เรื่องอะไรว่ะ” บรรยากาศแห่งค่ำคืนดำเนินไปเรื่อยๆ ลมเอื่อยๆ ของริมแม่น้ำส่งเสริมทำให้ห้องโถงใหญ่ของห้องอาหารชื่อดังน่านั่งขึ้นไปอีก
“ก็กูโมโห.......จับจูบแม่งเลย กูหาทางชิมปากเขาด้วยแหละ ฮ่าๆ”
“สันดารมึงกูรู้ดี แล้วไม่เหมือนในหนังเหรอว่ะ พอมึงจูบเขาก็ตบ”
“ไม่เหมือนซักนิด เพราะพอกูจูบเสร็จปุ๊ป ว่าที่เมียก็เตะผ่าหมากลูกชายกูทันที จุกไปตั้งนาน พอออกมาก็มาเจอป้าย ส้วมเต็มแคว้นแกล้งไว้อีก แม่งโคตรน่ารัก”
“ฮ่าๆ กูต้องส่งกระเช้าดอกไม้ไปให้เขาไหมว่ะ?”
“มึงจะส่งไปให้ว่าที่เมียกูทำไม มึงต้องส่งมาให้กูซิ ...........เพื่อนมึงเป็นฝ่ายถูกกระทำนะ”
“เอ้าๆ .....ก็ต้องส่งไปแสดงความยินดีที่เขาประทุษร้ายมึงได้ไง นานๆทีจะหาได้สมน้ำสมเนื้ออย่างนี้นะมึง”
“หัวเราะกูไปเหอะไอ้กรุง ขอให้คุณคีไม่รับรักมึง หึหึ”
“ปากเหรอนั่น ...............เดี๋ยวกูจะทำให้คียได้รู้แจ้งไปเลยว่ารักแท้มันเป็นอย่างไร” ว่าแล้ว กรุง ก็ยกเบียร์ขึ้นกินหนึ่งอึกใหญ่อย่างสร้างกำลังใจให้ตัวเอง
“สู้โว้ยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!” สองหนุ่มยกแก้วชนกันเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจให้ตัวเอง และต่างพากันปฏิญาณตนซึ่งกันว่า ถ้าไม่ได้เมีย ชาตินี้นอนตายตาไม่หลับแน่นอน
.
.
.
.
Hello !!!!!!!!!!!!!!!!
สวัสดีคนอ่าน ที่น่ารักและน่าเคารพทุกคน
ขอโทษที่หายไปนานนะคะ พอดีอ่านหนังสือสอบเคมีน่ะ ต่อไปภายภาคหน้าก็คงเป็นชีวะ เฮ้อๆ มันจะมีมาเรื่อยๆ แต่ก็จะอัพไปเรื่อยๆเหมือนกัน และถ้าไม่ไหวจริงๆ คนแต่งจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะคะ
***ลืมเนื้อเรื่องไปแล้วหรือเปล่า ใครลืมก็กลับไปอ่านเพื่อเพิ่มอรรถรสนะคะ
๐ กด +
๐ กดเป็ด
๐ กดไลค์ !!!!!!!!!!! 555555555++
รักและขอบคุณ
By Chocolate Love ~