ตอนที่ 10
ห้องใคร?? (ว่ะ )
.
.
.
.
ภัสดา พิชัยภักดีนั่งทานอาหารเลิศรสด้วยใบหน้าที่ฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่ถูกปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อปกปิดความรู้สึกที่กำลังกู่ร้องอยู่ข้างในว่ามันปวดแปลบเพียงใด ไม่ใช่ความรู้สึกที่เจ็บปวดรวดร้าวเจียนจะขาดใจ แต่เป็นเพียงความเจ็บที่ขึ้นมีขึ้นประระลอก รู้ดีว่าติยะไม่มีเจตนาในด้านร้ายที่จะซ้ำเติมความรู้สึก ติยะเพียงแค่ต้องการคำปรึกษาเท่านั้น ความไว้เนื้อเชื้อใจที่เพื่อนมีแต่เพื่อนที่ติยะแสดงออกมามันไม่ผิด ผิดที่ภัสดาที่ไม่รู้จักยับยั้งความรู้สึกเดิมๆ ความรู้สึกที่ว่าเมื่อไร ยามเหงาแนะอยู่คนเดียวจะคิดถึงอยู่เสมอ
“ขอบคุณพีตที่มาให้คำปรึกษาติวันนี้” ติยะยิ้มและเอ่ยคำขอบคุณในแบบฉบับของตัวเอง รอยยิ้มอ่อนโยนวาจานุ่มนวลบางครั้งก็ขึงขัง เหมาะสมกับอาขีพทนายยิ่งนัก บางครั้ง บางคราก็นึกอิจฉาอริศราอยู่ไม่น้อยที่คนอย่างติยะเลือกที่จะทุ่มความรู้สึกที่เรียกว่ารักให้
“ไม่เป็นไร เพื่อนกันทั้งนั้น ขอบคุณติด้วยเหมือนกันที่เลี้ยงอาหารอร่อยๆพีต ไม่รู้ชาตินี้จะได้กินอีกทีเมื่อไร”
“ตลกแล้วภัสดา คุณน่ะรวยกว่าผมเป็นพันเท่า จะสั่งอย่างนี้กิน 3 เวลา เช้า กลางวันเย็นได้สบายๆอยู่แล้ว” ติยะได้แต่ส่ายหัวให้ความถ่อมตัวของภัสดาที่มักจะบอกว่าตัวเองไม่มีเงิน เงินน้อย หรือไม่ก็บ้านไม่ส่งเสีย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ภัสดาคือคนที่รวยที่สุดในกลุ่มก็ได้ว่า แต่การทำตัวของภัสดานั้นช่างถ่อมตัวและติดดินเสียเหลือเกิน ยกตัวอย่างเมื่อตอนเรียนอยู่ในรั้วมหาลัย ภัสดามักจะขอเสื้อเก่าๆของพี่ในคณะมาใส่ และใส่ซ้ำอย่างนั้นชนิดที่ว่าไม่ซักเป็นอาทิตย์เพราะเปลื้องผงซักฟอกก็ทำมาแล้ว ไม่รู้จะประหยัดจริงๆ หรือต้องการทำตัวสวนกระแสชีวิต หลักเขตที่เห็นภัสดาครั้งแรกนั้นยังคิดเป็นเด็กวัดได้ทุนมาเรียนเสียด้วยซ้ำ ไหนจะย่าม ไหนจะกางเกงสแล็คขาลอย รวมๆกันแล้ว คนจนยังชิดซ้าย เพราะภัสดาแต่งออกมาได้จนยิ่งกว่า
“เหอะๆ ก็พูดไป......กลับเลยไหม” ติยะพยักหน้า แล้วทั้งสองก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากร้านไป หารู้ไม่ว่ามีสายตาสองคู่ที่มองตามทุกย่างก้าวอย่างใคร่รู้และสงสัย
“เดี๋ยวติส่งพีตที่หน้าซูเปอร์มาเก็ตนะ พีตจะซื้อของหน่อยน่ะ”
“โอเค เดี๋ยวติจอดรอนะ จะขึ้นไปส่งถึงหน้าห้องเลย”
“เฮ้ยยยยยย!!!!!!!! ไม่ต้อง เดี๋ยวเดินขึ้นไปเอง ติกลับบ้านเหอะ ดึกแล้ว”
“จะบ้าเหรอ ไปรับก็ถึงห้องตอนไปส่งก็ต้องไปส่งให้ถึงหน้าห้องซิ” ติยะยังยืนยันคำเดิม แต่ก็ได้รับคำปฏิเสธคำเดิมจากภัสดาเช่นกัน
“ไม่อาววววววววววววววว พีตไม่ให้ไปส่ง พีตจะเดินขึ้นเอง ติกลับบ้านเหอะ ดึกมากแล้ว ขับรถกว่าจะถึง”
“.....................................”
“พีตเดินไปคนเดียวได้ พีตอยู่คอนโดมาตั้งแต่ยังจำความไม่ได้มั้ง”
“เวอร์ล่ะ ................อืมๆ ซื้อของเสร็จก็รีบขึ้นห้องนะ” ภัสดาพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน ทำเอาติยะต้องยกมือลูบหัวทุยสวยนั่นอย่างเอ็นดู
“ไปนะ.............บาย” ภัสดาออกมายืนที่ริมฟุตบาทหน้าซุปเปอร์มาเก็ตเรียบร้อย เมื่อติยะเห็นภัสดาโบกมือให้ ชายหนุ่มจึงยกมือขึ้นมาโบกตอบกลับไป
รถยนต์ส่วนตัวของติยะค่อยๆลับสายไปช้าๆ รอยยิ้มพิมพ์ใจที่ปั้นแต่งตลอดเวลา บัดนี้ค่อยเจือจางลงไปเรื่อยๆ จนเหลือเพียงใบความเย็นชาและเรียบเฉย นี่คือความรู้สึกที่แท้จริงของภัสดา ทุกการกระทำเมื่อสักครู่คือการแกล้งทำเพื่อให้อีกฝ่ายไม่ต้องสงสัย ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองทำไปนั้น ติยะจะเชื่อหมดทุกอย่าง เชื่อว่าภัสดาคนนี้ลืมเลือนความรู้สึกเดิมไปหมดแล้ว ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว มันยังไม่ได้หายไป เพียงแต่มันถูกคำว่าเพื่อน กดทับให้ลึกลงไปอีก ลึกจนหัวใจดวงนี้มันอ่อนล้าเกินกว่าจะรื้อฟื้นขึ้นมาเพื่อหารักใหม่
เรือนกายสูงโปร่งทรุดนั่งลงที่พื้นอย่างอ่อนแรง ไม่เคยเลยซักครั้งที่จะทำตัวเข้มแข็งต่อหน้าติยะได้อย่างจริงๆจัง เบื่อเหมือนกันความรู้สึกนี้ ยิ่งคิดยิ่งเหนื่อยใจ ความอ่อนล้าและความรู้สึกอันรวนเรถูกกลั่นกรองออกมาเป็นหยาดน้ำตา เสียน้ำตาครั้งนี้ไม่ได้เพราะยังรักติยะ ความรักที่ให้ติยะนั้นมันเลือนรางและเจือจางลงไปนานแล้ว ยังคงเหลือแต่เพียงเศษเสี้ยวความรู้สึกที่ยังไม่หมดไปจากใจเสียที
“เมื่อไรกูจะลืมมึงได้ซักที ..............แม่งเอ๊ย!!!!!!!!!!!!!!!”
มือเรียวบางทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาบดบังใบหน้าที่แท้จริงของตอนนี้ ดวงหน้าที่เต็มไปด้วยคาบน้ำตา ไม่อยากอ่อนแอแต่บางครั้งก็ไม่รู้ว่าจะเข้มแข็งไปทำไมเหมือนกัน ความคิดต่างๆนานาโถมใส่เข้ามาอย่างจัง ความคิดในด้านร้ายที่ถูกปลุกขึ้นให้สู้เพื่อรักนี้อีกครั้ง แต่ความคิดในด้านดีก็แย้งขึ้นมาเหมือนกันว่า ในเมื่อเขาไม่รักเราแล้วเราจะไปแคร์ทำไม
ผู้ชายไม่ได้มีคนเดียวอยู่บนโลกนี้ เศร้าไปก็เท่านั้น คนที่เจ็บคนที่ปวดคือเราไม่ใช่เขา เพราะฉะนั้นเลิกดีกว่า เทวดาน้อยๆในหัวบอกอยู่เสมอว่า ไม่ต้องเร่งไม่ต้องรีบลบความรู้สึกนี้ ใช้เวลาเป็นเครื่องมือในการขจัดเอาเศษหนามในหัวใจออกไป และในที่สุด ความดีก็ชนะความชั่วอีกครั้ง!!!!!!! เทวดาน้อยยังคงช่วยชีวิตเขาไว้เสมอ ความคิดความคิดอันชาญฉลาดของตัวเองที่รู้จักแยกแยะและหักห้ามใจ เพราถ้าหากยังคงดึงดันที่จะให้ติยะรักตอบ ป่านนี้แม้คำว่าเพื่อนก็คงไม่เหลือไว้ให้เขา
“วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่กูจะลืมมึง ไอ้ติ รู้ไว้ซะว่ากู..................เคยรักมึง!!!!!!!!!! ………..และตอนนี้ก็เลิกไปแล้วเว้ยยยยยยยยยยยย”
จึก จึก จึก…………….!!
ใครสะกิดแขนว่ะ .........เมื่อภัสดาหันกลับไปก็พบเจอกับ………………
“แหกปากเสียงดังทำไมสาวน้อย ลุงจะนอน” คนพเนจรที่ยึดเก้าอี้เหล็กดัดหน้าซุปเปอร์มาเก็ตเป็นที่นอน แต่เอ๊ะ!!!!!!!! อะไรนะ อีกทีซิ สาวน้อยเหรอ................สาวน้อย!!!!!!!!!!!!!!!
“เอ่อๆ ขอโทษครับคุณลุง”
“ไม่เป็นไร.......แล้วเมื่อกี้เป็นอะไรร้องไห้ทำไม เป็นเมนส์เหรอ ไม่เป็นไรนะไม่ต้องกลุ้มใจ จะแตกเนื้อสาวก็เป็นอย่างนี้กันทุกคนนั่นแหละ อืมมมมม ลุงไปนอนต่อนะ” แล้วแกก็หันหน้ากลับไปล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!! นอกจากจะโดนว่าเป็นสาวแล้ว ภัสดา พิชัยภักดียังโดนปรักปรำว่าเป็นประจำเดือนแดงเดือดอีกด้วย TT________TT
“สรุปเอาสั้น กูว่าวันนี้เมาเถอะ จะได้ลืมเรื่องเฮงซวยพวกนี้” แล้วภัสดาก็มุ่งหน้าเดินเข้าซุปเปอร์มาเก็ตทันที และสิ่งที่เล็งไว้ไม่ให้คลาดสายตาก็คือ วอดก้าซักสิบยี่สิบขวดนั่นเอง ความอยากเมาจนลืมไปว่าตัวเองนั้นกินเหล้าไม่ค่อยแข็ง
.
.
.
.
“มึงดูอะไรไอ้ศิ” กรุง ถามเพื่อนสนิทอย่างสงสัย เมื่อเห็นศิขรินทร์จ้องไปยังจุดใดจุดหนึ่งอย่างไม่คลาดสายตา
“ไอ้กรุง คนนี้แหละ!! คนนี้เลยที่เตะลูกชายกูแล้วเอาหัวใจกูไป!!” กรุง วรยศ หันหน้าไปยังทิศทางที่ศิขรินทร์ชี้โดยทันที และก็พบกับ ผู้ชายสองคนนั่งกินข้าวคุยกันกระหนุงกระหนิง อีกคนแต่งตัวภูมิฐานรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าคมเข้ม ส่วนอีกคน เอ่อ..........นั่นผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะถ้าให้ตัดสินจากใบหน้าก็ฟันธงไปเลยว่า ผู้หญิงชัวร์ เพราะคนที่อยู่ในสายตาของกรุง วรยศนั้น สวยเฉี่ยวได้อีก อืมมม แต่อย่ามองด้านล่างเพราะแต่งมาเต็มยศเหมือนกัน
“สวยว่ะ” คำจัดกัดความของ กรุง วรยศ ต่อภัสดา พิชัยภักดีมีแค่นี้จริงๆ
“เหี้ย!! อย่ามองนาน พอแล้วๆ หันมา!” กรุง วรยศหันกลับมามองหน้าเพื่อนตัวเองอย่าง งงๆ อะไรจะขนาดนั้น นี่ขนาดยังไม่ได้เป็นอะไรกันนะ ไอ้ศิมันยังเป็นได้ขนาดนี้ แล้วถ้าคนสวยเขาติดบ่วงมันขึ้นมาล่ะ จะได้กระดิกไปไหนเหรอ
“แม่งเอ๊ย!! แม่งใครว่ะ ภัสดาควงใครมา!” ศิขรินทร์สบถ ออกมาอย่างหัวเสีย ภาพตรงหน้าทำเอาอารมณ์อันเย็บเหยียบร้อนระอุขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาคมเข้มสีน้ำตาลค่อยๆเปลี่ยนแปลงจนตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นสีเทาเต็มขั้น พันธุกรรมจากปู่แสดงออกมาอย่างเต็มที่ ทำเอากรุง วรยศต้องรีบห้าม ศิขรินทร์เอาไว้ เพราะรู้ใจกันดีว่าตอนนี้ ศิขรินทร์โมโหจนเลือดขึ้นหน้าแล้ว
“ไอ้ศิ ตามึงเปลี่ยนสีแล้ว พอๆ อย่าไปมอง เขาอาจจะมากับเพื่อนก็ได้”
“เพื่อนเหี้ยไร อ้อนกันซะขนาดนั้น!!” ศิขรินทร์เตรียวตัวพรุ่งใส่เต็มที่ แต่กรุง วรยศ ก็ทำหน้าที่เพื่อนสนิทได้ดีเหมือนกัน ร่างสูงใหญ่ของศิขรินทร์ถูกดมือหนาใหญ่ของกรุงกดเอาไว้ ขืนให้ไอ้เพื่อนบ้ามันออกไปตอนนี้ รับรองร้านพัง และไอ้คนทำพังมันก็ไม่สนใจด้วยว่าอะไรมันจะตามมา
“มึงจะโมโหทำไม เป็นอะไรกับเขา ระงับสติหน่อยซิวะ แฟนก็ไม่ได้เป็น เห็นหน้ากันแค่ทีสองที เขาคงจะชอบใจซินะที่มึงไปอาละวาด่เขากับเพื่อน”
“โว้ยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!” ขอบคุณสวรรค์ที่โต๊ะของเขามันอยู่มุมพอดี และขอบคุณสวรรค์ที่โต๊ะของภัสดานั้นค่อนข้างห่างไกลจากโต๊ะเขาพอสมควร
ไม่เคยร้อนใจอะไรเท่านี้มาก่อนเลย ไม่นึกไม่ฝันว่าคนๆจะมีอิทธิพลกับเขามากกว่านี้ ภัสดา พิชัยภักดีอย่างนั้นเหรอ หึหึ มาทำให้ ศิขรินทร์คนนี้หว้าวุ่นอย่างนี้มันต้องได้รับการเอาคืน ต่อไปนี้จะเดินเครื่องเต็มที่ อินทรีเงินคนนี้ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะมีใครอยู่ก่อนก็ตาม เพราะศิขรินทร์คนนี้จะแย่งภัสดามาเป็นคู่ของชีวิตให้ได้ ไม่เชื่อก็ลองดู
.
.
.
เมื่อมองเห็นแผ่นหลังของคนทั้งคู่เดินห่างออกไป เหมือนหัวใจมันหลุดลอยตามไปด้วย ความห่วง ความหวง ความหึง ที่ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน ถาโถมเข้าใส่จนแทบจะรับไม่ไหว ดีที่ไอ้กรุงมันมาด้วย เพราะถ้าหากเขาอยู่คนเดียว ป่านนี้มีคนได้ไปนอนหยอดน้ำเหลือที่โรงพยาบาลแล้ว
จัดการบิลและล่ำลากันพอพิธี กรุง และศิขรินทร์ก็แยกย้ายกันกลับที่พัก ตลอดเวลาที่ขับรถนั้น จิตใจมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยซักนิด มันลอยละล่องออกจากร่างไปเนิ่นนานแล้ว อดคิดไม่ได้ว่า ภัสดาและผู้ชายอีกคนนั้นหายไปไหนกัน ไปทำอะไร อยู่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้น อยากรู้ อยากรู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมด แต่มันก็ทำไม่เพราะ เขากับภัสดานั้น ยังเป็นเพียงคนแปลกหน้าของกันและกันอยู่
“เฮ้ยยย!!!!!!! ใครมานอนตายหน้าห้องกูวะ” ศิขรินทร์ก้มมองร่างร่างหนึ่งที่นอนคดคู้อยู่หน้าห้องของตัวเอง กลิ่นเหล้าโชยเข้าจมูกบ่งบอกว่าร่างข้างใต้เมามายอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“นี่ๆ คุณๆ ตื่นๆ มานอนอะไรหน้าห้องผมเนี่ย” มือซ้ายบีบจมูกตัวเอง มือขวาจับบ่าบอบบางเขย่าไปมาอย่างเรียกสติ แต่ไม่ว่าจะเขย่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่ได้ปฏิกิริยาตอบกลับจากคนเมาแต่อย่างใด
“เอาไงดีว่ะ?? เรียกยามดีกว่า...........”
“......................................................”
“โอเคๆ ไม่เรียกยามก็ได้ว่ะ แม่ง คนดีซักหนึ่งวันก็แล้วกัน” เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ศิขรินทร์ก็ค่อยๆพลิกร่างของคนเมาอย่างช้าๆ
“เฮ้ยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!! ภัสดา” ความตกใจ เสียใจ แปลกใจ สงสัย ตีรวมกันเต็มไปหมด แต่สุดท้ายความเป็นห่วงและความโหยหาก็เอาชนะความรู้สึกทุกอย่าง ร่างสูงค่อยพยุงร่างบางของภัสดาขึ้นมาจากพื้นที่หน้าประตูอย่างช้าๆ
“อื้ออออออออออ คายยยยย มาจาบบบบบบบบ หาพ่องงงงงงงง มึงเหรออออออ” คนเมางึมงำไม่ศัพท์ที่ต้นคอหนาของศิขรินทร์และนั่นก็เรียกเสียงหัวเราะจากร่างสูงทันที
“หึหึ เมาขนาดนี้ยังซ่าส์เหมือนเดิมนะ”
ร่างเสียบคีย์การ์ดแล้วพยุงร่างคนเมาหน้าหวานเข้าห้องอย่างทุลักทุเล เพราะภัสดาไม่ได้ให้ความร่วมมือเลยซักนิด กลับกันยังพยายามแกะมือเขาอออกอยู่ตลอดจนเมื่อกี้ ด้วยความรักและห่วงใยเลยทำให้..............
ศิขรินทร์คนนี้แอบหอมแก้มนวลของคนเมาไปอยู่หลายครั้ง หึหึ อยากดื้อดีนัก ขอกำไรซักนิดซักหน่อยก็แล้วกัน ไหนๆก็ไหนแล้ว เข้ามาถึงถ้ำเสือของศิขรินทร์ซะขนาดนี้ อย่าคิดว่าจะได้ออกไปง่ายๆ
ศิขรินทร์พยุงร่างโปร่งบางของภัสดามายังห้องนอนใหญ่ของตัวเอง ร่างสูงค่อยๆวางร่างบางลงอย่างช้าๆ คนเมาเมื่อรับรู้ว่าตัวเองถึงที่หมายแล้วก็กวาดแขนไปมาทั่วเตียง พูดงึมงำจับใจความไม่ได้ว่าพูดอะไร จนศิขรินทร์ต้องชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ๆเพื่อฟังให้แน่ชัด
“ติ..........ติยะ...........อ้ายยยยยยติบ้า!!!” อืมมมมมมมมมมมมมมมมมมม มาอยู่บนเตียงของว่าที่สามีแต่พึมพำเรียกชื่อชู้ บรรลัยได้อีก เดี๋ยวเถอะคนสวย เดี๋ยวจะโดนไม่ใช่น้อย
“เรียกชื่อคนอื่นอย่างนั้นเหรอ อยากโดนใช่ไหมภัสดา!!!”
.
.
.
.
.
“อืมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม...........” เสียงพึมพำหลุดออกมาจากริมฝีปากเรียวสวยของภัสดาอย่างสลึมสลือ มือบางควานหาหมอนข้างอันคุ้นชิน เพราะเป็นคนติดหมอนข้าง แต่ไม่ว่าจะหาอย่างไรมันก็ไม่เจอซักที จึงใช้เรียวขายาวของตัวเองทำงานแทน
“อยู่หนายยยยยยยยยยยย น้องหมอนจ๋า อยู่หนายยยยเอ๋ยยยยยยยยย”
“.............................................”
อืม ทำไมแม่บ้านถึงเปลี่ยนน้ำยาปรับผ้านุ่มล่ะ กลิ่นเดิมก็ดีอยู่แล้ว มาใช้กลิ่นนี้ทำมายยยย ไม่ชอบอ่ะ สงสัยต้องตัดเงินซะแล้ว โทษฐานทำงานเกินหน้าที่
ภัสดาผลิกตัวไปอีกด้านของเตียง และเมื่อเจอกับบางสิ่งบางอย่างที่อบอุ่นและใหญ่โต ร่างบางก็รีบมุดร่างเข้าไปหาความอบอุ่นนั่นทันที มือบางวาดโอบรอบสิ่งอบอุ่นนั้นอย่างช้า ส่วนเรียวขายาวก็ไม่น้อยหน้า ยกขึ้นก่ายเกยอย่างเต็มที่
รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ขยับขยุกขยิกอยูที่ซอกคอ ก็ปัดไปไม่ได้สนใจนักเพราะอาจจะเป็นผ้าก็ได้ แต่ยิ่งนานเข้ายิ่งรู้สึกถึงลมร้อนๆเป่ารดที่ต้นคอมากกว่าเดิม
สติกลับเข้าร่างอย่างช้าๆ และคิดได้ในที่สุดว่า เดือนนี้ไม่ให้แม่บ้านมาซักผ้าเก็บของที่ห้องเพราะไม่อยากจ้าง เปลืองเงิน ภัสดาเลยให้ลูกน้องที่อู่เป็นคนทำ แล้วทำไม?????????????? ทำไมกลิ่นผ้าปูที่นอนถึงเปลี่ยน
ดวงตาเรียวยาวค่อยๆ ปรือขึ้นอย่างช้าๆ แสงแดดร้อนแรงแยงตาไม่น้อยเลยต้องหยีเอาไว้ แต่เมื่อลืมขึ้นมาเต็มๆก็สบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มคมสวยของใครบางคนเข้า
ใครบางคน.......................ใครบางคน!!!!!!!!!!!!! ใครรรรรรร
“เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
กูอยู่ห้องใครว่ะเนี่ยยยยยยยยย ????????????
***************************************
๐ ไม่ได้หลอกให้เข้ามาซักหน่อยน้า ก็กำลังปั่นอยู่อ่ะ
๐ หลังจากตอนนี้แล้ว ไม่รู้ว่าจะมาตอนไหน
๐ อ่านหนังสืออย่างจริงจัง จะเข้ามาอ่านเม้นเป็นระยะ แต่ได้แค่อ่าน
๐ ใครงอนก็ง้อแล้วน้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
๐ กด + และ กดเป็ด OKKKKKK!!!!!!!
รักและขอบคุณ
By Chocolate Love ~