ขอโทษค่า~ แปะช้าไปนิด มาแปะต่อทีเดียว 2 ตอนเน้อ~
Special #7 : The Mafia Family
ยูยะ ซึ่งกำลังนอนหลับซุกตัวอยู่ในผ้าห่มภายในห้อง ของมอร์เฟียซ คาเตอร์อย่างสบายใจ ต้องสะดุ้งตื่น เมื่อเสียงโวยวายของชายหนุ่มคนรัก ดังขึ้นใกล้ ๆ
“อะไรนะ! คริสต์มาสงั้นเหรอ! ทำไมผมต้องกลับบ้านในวันนั้นด้วย!”
“ประสาท! ให้ตายผมก็ไม่กลับ วันอื่นมีตั้งหลายวันทำไมต้องเจาะจงเป็นวันนั้นวันเดียวล่ะ!!”
ยูยะมองภาพตรงหน้าอย่างอึ้ง ๆ ไม่เคยเห็นมอร์เฟียซฉุนเฉียวอย่างนั้นมาก่อน เด็กหนุ่มจ้องมองอยู่เช่นนั้น จนกระทั่ง ชายหนุ่มหันกลับมาพอดี
“อ๊ะ! นาโอกิ ตื่นแล้วเหรอ”
“คะ…ครับ” ยูยะตอบเสียงเบา ๆ ด้วยสีหน้าหวั่น ๆ จนอีกฝ่ายต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ขอโทษทีที่เสียงดังไปหน่อย” พูดแล้วชายหนุ่มก็เดินไปอีกห้อง เสียงโวยวายยังแว่วเข้ามาเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งเงียบไป และมอร์เฟียซก็โผล่เข้ามาในห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“มีอะไรหรือเปล่าครับมอร์เฟียซ”
ยูยะถามด้วยความเป็นห่วง ซึ่งเมื่อเห็นสีหน้ากังวลใจของเด็กหนุ่มคนรัก ก็ทำให้มอร์เฟียซยิ้มออกมาได้
“ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ปัญหาครอบครัวนิดหน่อย ….แต่ว่านะ นาโอกิ”
เจ้าตัวมีสีหน้าลำบากใจ ที่จะพูด จนยูยะต้องแตะแขนชายหนุ่มเบา ๆ พลางยิ้มส่งกำลังใจให้
“มีอะไรหรือครับมอร์เฟียซ”
“อืม…คือว่า คริสต์มาสที่เคยสัญญาว่าจะไปเที่ยวด้วยกัน คงจะต้องยกเลิกแล้วล่ะ”
ยูยะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะเมื่อครู่ที่ฟังบทสนทนา ก็พอจะเข้าใจคร่าว ๆ แล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ที่สำคัญเราก็เจอกันแทบทุกวันอยู่แล้ว ไม่ได้ไปเที่ยวกันวันเดียวก็ไม่เป็นไร คุณกลับบ้านอย่างสบายใจเถอะครับ”
ยูยะพูดพลางยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน จนมอร์เฟียซ อดดึงร่างเล็กตรงหน้า เข้ามากอดแน่นไม่ได้ ในเมื่อคนรักของเขาช่างน่ารัก และมีน้ำใจอย่างนี้ จะไม่ให้เขาทั้งรัก ทั้งหลงยังไงไหว
“ถ้าอย่างนั้นไปบ้านฉันด้วยกันนะ นาโอกิ”
ชายหนุ่มตัดสินใจพายูยะไปด้วยกันกับเขา โดยไม่สนเสียงคัดค้านของร่างเล็ก ๆ นั่นแม้แต่น้อย เพราะเจ้าตัวได้ตัดสินใจเอาเองแล้วว่า ควรจะเปิดเผยเรื่องของเขาและเด็กหนุ่ม ให้ทางบ้านรับรู้เสียที
“ตะ..แต่ ถ้าพ่อ แม่คุณไม่พอใจขึ้นมา”
ยูยะแย้งด้วยความกังวล ทว่า มอร์เฟียซไม่ใส่ใจ เขาลูบศีรษะเด็กหนุ่มเบา ๆ พลางเอ่ยอย่างปลอบโยน
“ไม่ต้องกังวลอะไรหรอกนาโอกิ ฉันจะไม่ให้ใครมาวุ่นวาย และว่าเธอได้เด็ดขาด และถ้าพวกเขาโกรธ จนคิดจะตัดความสัมพันธ์กับฉัน…” คนพูดเงียบไปเหมือนกำลังจะครุ่นคิด ซึ่งยูยะเมื่อได้ฟังก็พลอยกังวลตามไปด้วย แต่แล้วรอยยิ้มที่ตามมา กลับทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกฉงน
“นั่นสิ …ถ้าพวกนั้นโกรธจริง ๆ จนทำแบบนั้นมันจะดีแค่ไหนกันนะ”
ว่าแล้วก็หยิบข้าวของออกจากตู้ แพ็คลงกระเป๋าอย่างอารมณ์ดี ซึ่งพอหันมาเห็นยูยะยืนงง ๆ ชายหนุ่มก็ไล่ให้คนรักกลับไปจัดเสื้อผ้ามาโดยด่วนที่สุด
“เราจะเดินทางกันพรุ่งนี้เช้า ไปถึงก่อนหน้าวันคริสต์มาสหนึ่งวัน และถ้าเป็นอย่างที่ฉันคิด เราอาจจะได้กลับมาฉลองคริสต์มาสที่นี่ก็ได้”
ยูยะจำต้องทำตามคำสั่งนั้นอย่างงงๆ แต่อีกใจก็ทั้งกังวล และตื่นเต้น ที่จะได้พบกับครอบครัวของคนรัก เพราะจากที่ฟังดอกเตอร์ลีเล่า ความสัมพันธ์ระหว่างมอร์เฟียซและครอบครัวดูท่าจะไม่ค่อยดีนัก ซึ่งยืนยันได้ดีจากบทสนทนาเมื่อเช้านี้
“ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้างนะ”
เด็กหนุ่มบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ในขณะที่เดินกลับหอ หวังเพียงแต่ว่า เหตุการณ์ข้างหน้ามันคงจะไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก …
วินาทีที่ยูยะ เหยียบย่างเข้าสู่แผ่นดินอังกฤษ เด็กหนุ่มก็ต้องตะลึง เมื่อมีชายใส่สูท สวมแว่นตาดำ ท่าทางคล้ายบอดี้การ์ดจำนวนกว่าสิบคน ยืนต้อนรับเขาและมอร์เฟียซอยู่ที่สนามบิน
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับนายน้อย นายท่าน และนายหญิงให้พวกเรามารอรับท่านครับ”
ชายหนุ่มทำสีหน้าเบื่อหน่ายสุด ๆ ก่อนจะส่งกระเป๋าทั้งของเขาและยูยะให้คนพวกนั้น และเดินตามไปขึ้นรถลีมูซีนสุดหรู ที่จอดรออยู่
“อ้าว เป็นอะไรไปล่ะ ขึ้นมาสินาโอกิ”
มอร์เฟียซทักยูยะซึ่งยืนตะลึงไม่กล้าตามขึ้นไปบนรถ และเมื่อเห็นเด็กหนุ่มยังคงยืนอยู่ เจ้าตัวก็จัดการฉุดอีกฝ่ายเข้ามา และจับให้นั่งบนตักเขา ชนิดที่บรรดาลูกน้องที่มารับ ต่างพากันกลืนน้ำลายลงคออย่างลืมตัวไปตาม ๆ กัน
“เดี๋ยวมอร์เฟียซ ….ให้ผมนั่งบนเบาะดีกว่านะครับ”
ยูยะซึ่งบัดนี้หน้าแดงก่ำไปหมด พยายามลุกขึ้นจากตักของชายหนุ่ม ทว่า อีกฝ่ายกลับไปยอมปล่อย และโอบรัดเอวบางแน่นอยู่แบบนั้น
“ทำไม ตักฉันมันนุ่มสู้เบาะรถไม่ได้หรือยังไง ถึงนั่งไม่ได้”
“มะ…ไม่ใช่ แต่คุณจะหนักนะ” ยูยะพยายามอธิบายเหตุผลให้ชายหนุ่มฟัง ซึ่งก็แน่นอนว่าเจ้าตัวไม่สนใจฟัง แต่เอนพิงไปกับพนักเบาะ และจับกดศีรษะของร่างเล็กให้ซบตามลงไปกับอกของเขาโดยไม่เกรงสายตาของคนอื่น ๆ ที่นั่งรถมาคันเดียวกัน
มอร์เฟียซ มองร่างเล็ก ๆ บนตัก ซึ่งตอนนี้กำลังซุกหน้ากับอกของเขา ทั้งใบหน้า หู และลำคอ แดงก่ำไปหมดจนตัวเขาเองชักจะเริ่มอดใจไว้ไม่อยู่
“นาโอกิ…จูบได้ไหม”
ยูยะสะดุ้งเฮือก เงยหน้าขึ้นมอง ส่ายศีรษะปฏิเสธทันที
“ไม่ได้ครับ!…อุ๊บ!”
ริมฝีปากบางถูกปิดทับด้วยริมฝีปากหนาได้รูปของอีกฝ่าย ก่อนจะผละจากริมฝีปากไปซุกไซ้ตามซอกคอขาวเนียน จนเด็กหนุ่มสะท้าน
“อา….มอร์เฟียซ…หยุดเถอะ”
คนอื่น ๆ ทั้งคนขับ และคนติดตามอีก 2 – 3 คนที่นั่งมาด้วยกันภายในรถคันนั้น ต่างพากันนิ่งเงียบนั่งตัวตรงแข็งทื่อ ไม่มีใครสักคนกล้าปริปาก หรือแม้แต่จะกล้ามองคนทั้งคู่ ตรง ๆ มอร์เฟียซ หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะจับร่างเล็กวางข้าง ๆ ซึ่งเจ้าของร่างก็อ่อนระทวยไปหมด จนต้องซบพิงกับไหล่ของเขาหอบ ๆ
“นอนไปก่อนก็ได้นะ นาโอกิ อีกสักพักนั่นล่ะ กว่าจะถึงบ้านฉัน”
ยูยะปรายตามามองคนชอบแกล้งอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก แต่เมื่อสบกับนัยน์ตาเจ้าเล่ห์สีมรกตที่ยังคงแพรวพราวอยู่เช่นนั้น ก็ทำให้เขาต้องหลบสายตาวูบทันทีอย่างอาย ๆ
“…นี่ยังดีนะ ที่ฉันยังเกรงใจอยู่ ถ้าไม่เกรงใจล่ะก็ จะจับเธอกดบนรถนี่ล่ะ…”
มอร์เฟียซก้มลงกระซิบกับเด็กหนุ่มแผ่วเบา ทำเอาคนฟังสะดุ้งเฮือก พลางกระเถิบถอยหนีไปชิดกับอีกมุมหนึ่งของรถอย่างลืมตัว
“หึ ๆ” ชายหนุ่มอดหัวเราะไม่ได้กับท่าทางน่ารัก ๆ ของอีกฝ่าย ซึ่งยูยะก็สำนึกได้ทันทีว่า เขาถูกอาจารย์หนุ่มแกล้งเอาอีกแล้ว
“คนบ้า!”
ยูยะตวาดใส่อย่างงอน ๆ แม้จะคบกันแล้ว แต่มอร์เฟียซก็ยังไม่เลิกแหย่ เลิกแกล้งเขาสักที เด็กหนุ่มเมินใส่อีกฝ่ายไปตลอดทาง จนกระทั่ง รถยนต์ที่เขานั่งเลี้ยวเข้าสู่ประตูทางเข้าคฤหาสน์ใหญ่โตแห่งหนึ่ง
พื้นที่อาณาเขตนับร้อย ๆ ไร่ ภายในคฤหาสน์แห่งนั้น ทำเอาเด็กหนุ่มที่ก้าวลงจากรถ ถึงกับมองไปรอบ ๆ และอ้าปากค้างอย่างลืมตัว
“เอ้า! เข้าบ้านกันเถอะนาโอกิ เธอพักห้องเดียวกันกับฉันนั่นล่ะ”
มอร์เฟียซโอบบ่าร่างเล็กประคองเข้าไปด้วยกัน ท่ามกลางสายตานับสิบ ๆ คู่ ของบรรดาคนรับใช้ ที่ออกมาตั้งแถวต้อนรับ นายน้อย ของบ้าน
“มะ…มอร์เฟียซ ผมเดินเองได้ครับ” ยูยะรู้สึกอึดอัดกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนอื่น ๆ ที่มองมายังพวกเขา แต่ดูเหมือนมอร์เฟียซจะไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น ชายหนุ่มพาเขาเดินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นเพื่อเรียกให้พวกเขาหยุด
“กลับมาถึงบ้านทั้งที จะไม่แวะมาทักทายพ่อ กับแม่เลยหรือไง มอร์เฟียซ!”
น้ำเสียงทรงอำนาจ ดังขึ้น ยูยะมองตามเสียงเรียกนั้นไปทันที ขณะที่มอร์เฟียซหันไปมองอย่างเซ็ง ๆ
“สวัสดีครับพ่อ แม่”
บอกแค่นั้นแล้วก็เตรียมจะไปต่อ ทำเอาชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับชายหนุ่มตวาดใส่ด้วยความโมโห
“สวัสดีครับอะไรกัน เจ้าลูกบ้า! ร้อยวันพันปี ไม่เคยกลับมาเยี่ยมบ้าน กลับมาทั้งทีก็ทำเป็นไม่สนใจ อย่างนี้จะให้เรียกว่าลูกได้อีกหรือไงหา!!”
ชายหนุ่มชะงัก และหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ถ้าไม่อยากเรียกก็ไม่จำเป็นต้องเรียกก็ได้นี่ครับ ผมก็บอกไปตั้งหลายครั้งแล้วว่า ไม่อยากกลับมาเหยียบที่นี่อีก พ่อก็พยายามจะบังคับให้ผมกลับมาอยู่ได้!”
ยูยะซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางการสนทนาที่เคร่งเครียด มองคนโน้นที คนนี้ที ด้วยความหวั่นวิตก จนเสียงหวาน ๆ ของหญิงสาวหน้าตาสะสวย ดังขัดการสนทนาของพ่อลูกอารมณ์ร้อนทั้งคู่
“พอ ๆ อะไรกันคะ อิริค มอร์เฟียซ มาทะเลาะกันต่อหน้าแขกตัวน้อย ๆ ของเราได้ยังไง ดูสิ ตัวสั่นกลัวไปหมดแล้ว”
พูดพลางเดินเข้ามาหยุดยืนพิจารณาเด็กหนุ่มด้วยความสนใจ ก่อนจะกล่าวทักทายเสียงหวาน
“สวัสดีจ้ะหนูน้อย ฉันชื่อ มาเรีย เป็นแม่แท้ ๆ ของมอร์เฟียซเขา ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ”
ยูยะอ้าปากค้างด้วยความตะลึง ก่อนจะสวนกลับไปอย่างลืมตัว
“แม่งั้นเหรอ? ผมนึกว่าเป็นพี่สาวมอร์เฟียซเสียอีก อุ๊บ! ขอโทษครับ”
มาเรียหัวเราะเบา ๆ อย่างชอบใจ รู้สึกถูกชะตากับเด็กตรงหน้าเข้าไปอีก
“ต๊าย! ปากหวานเอาใจคนแก่จังนะจ๊ะ”
“ใช่แก่! ปีนี้ก็ 45 แล้ว อย่าให้รูปลักษณ์ภายนอกมันหลอกตาเอาสินาโอกิ!”
มอร์เฟียซสำทับตามมาทันที ทำเอามาเรียตวัดสายตาคมกริบกลับไปยังลูกชาย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
“ถึงแม่จะแก่ แต่ก็ยังดีกว่าบางคนที่ริทำตัวเป็นโคแก่ ชอบกินหญ้าอ่อนนะจ๊ะ”
ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก มองมารดาเขม็งทันที
“อย่านึกว่าแม่ไม่รู้นะ มอร์เฟียซ ว่าเด็กนี่เป็นอะไรกับลูก จะดูถูกข่าวสารของตระกูลคาเตอร์มากไปแล้วนะ”
มอร์เฟียซยิ้มเครียด ๆ ก่อนจะยักไหล่ตามมาอย่างไม่ใส่ใจ
“ก็แล้วไง บอกไว้ก่อนนะว่าถ้าคิดขัดขวางผมไม่มีทางยอมเด็ดขาด ถ้าอยากจะตัดขาดผมจากตระกูลก็เชิญตามสบาย ผมไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว!”
ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาจากอิริค ซึ่งนิ่งฟังอยู่ได้สักพัก
“หึ ๆ มอร์เฟียซ แกคิดหรือว่า พวกฉันจะบ้องตื้นหลงคารมแกง่าย ๆ แบบนั้น คิดจะตัดขาดจากตระกูลงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ แกต้องเป็นคนรับสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าของตระกูลคาเตอร์ และปกครองแก๊งค์ ต่อจากฉันอยู่วันยังค่ำนั่นล่ะ!”
ยูยะยืนฟังอึ้ง ๆ ถ้าเขาแปลไม่ผิด อิริคพูดว่าให้มอร์เฟียซปกครองแก๊งค์ต่อจากตนเองใช่ไหม ถ้าอย่างนั้น ที่บ้านของชายหนุ่มก็ต้องเป็น…
“ต๊าย! ดูสิตัวสั่นเชียว ...มอร์เฟียซลูกไม่ได้บอกหนูน้อยนี่หรือว่า ตระกูลเราเป็นพวกมาเฟียน่ะ หือ”
มาเรียแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหวาน ๆ หากแต่นัยน์ตาประกายพราวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“มะ…มาเฟีย” ยูยะทวนคำเสียงสั่น สมองมันรับไม่ทันจริง ๆ กับเรื่องราวเหลือเชื่อที่ได้รับฟัง
มอร์เฟียซมองคนรักของเขาอย่างเป็นกังวล ตลอดเวลาชายหนุ่มไม่เคยเล่าให้ยูยะฟังเลยเกี่ยวกับเรื่องทางบ้าน เพราะเขากลัวยูยะจะรับไม่ได้ และพอเห็นสภาพเช่นนี้ มอร์เฟียซเองก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่า ยูยะจะมองเขาเป็นแบบไหนกันแน่
“นาโอกิ…”
“มอร์เฟียซ…” ยูยะเงยหน้ามองชายหนุ่ม เนื้อตัวสั่นเทานิด ๆ จนมอร์เฟียซใจหาย ทว่า…
“เท่จังเลย! ทำไมคุณถึงไม่บอกผมเลยล่ะครับ ว่าบ้านคุณเป็นมาเฟีย!”
ประโยคที่ถัดมาของเด็กหนุ่ม ทำเอาคนอื่น ๆ ในบ้าน อึ้งกันเป็นแถบ ๆ โดยเฉพาะ มอร์เฟียซ อิริค และมาเรีย
“ผมชอบดูหนังเกี่ยวกับพวกมาเฟียมาก ๆ โดยเฉพาะเวลาฉากยิงปืน หรือขับรถไล่ยิงกัน มันทั้งตื่นเต้น ทั้งหวาดเสียวบอกไม่ถูก อีกอย่างพวกมาเฟียแต่ละคนก็เท่ ๆ ทั้งนั้นเลย!”
มอร์เฟียซอึ้งไปสักพัก ไม่อยากจะเชื่อว่าคนรักตัวน้อยของเขาจะชอบอะไรแบบนี้ด้วย มันดูไม่ค่อยเข้ากับคนอ่อนโยน ที่รักเสียงดนตรีอย่างยูยะ เลยแม้แต่น้อย
“แต่ว่าพวกมาเฟียมันไม่ใช่อย่างในหนังเสมอไปนะนาโอกิ บางพวกก็ค้าอาวุธ บางพวกก็ค้ายา บางพวกก็ฆ่าคนด้วยนะ”
ชายหนุ่มพยายามอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ เพราะเขาเดาว่า ยูยะคงจะอ่อนต่อโลกมากเกินไป จึงทำให้มองอะไรในแง่ดีไปเสียหมด
“พ่อค้าปลา ก็ขายปลา พ่อค้าผัก ก็ขายผัก มาเฟีย จะค้ายา ค้าอาวุธสงครามก็ไม่น่าแปลกอะไรนี่ครับ”
ยูยะบอกด้วยสีหน้าปกติ ทำเอามอร์เฟียซกลืนน้ำลายลงคอฝืด ๆ ขณะที่อิริคหัวเราะลั่นชอบใจ
“ใช้ได้ ๆ เจ้าหนูนี่พูดถูกใจฉันจริง ๆ แหม น่าเสียดายนะที่เธอเป็นเด็กผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิง ฉันจับหมั้นและจัดพิธีแต่งงาน ให้กับเจ้าลูกชายไม่รักดีนี่ไปนานแล้ว!!”
“โธ่ อิริคคะ ถึงเป็นผู้ชายก็รับเข้าตระกูลได้ เรื่องทายาทน่ะ หาใครเป็นก็ได้ แต่สะใภ้ที่มีอุดมการณ์ร่วมกันแบบนี้น่ะ หายากนะคะ”
มาเรียรีบเสริม ซึ่งอิริคก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ถ้ายังไงมาคุยกันหน่อยดีไหมจ๊ะ จะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นยังไงล่ะ”
มาเรียเชิญชวน แต่มอร์เฟียซรีบดึงร่างเล็กมาไว้กับตัวเขาทันที
“พวกผมเดินทางมาเหนื่อย ๆ อยากพักผ่อนเต็มที่แล้วครับ คงต้องขอตัวด้วย”
แล้วก็ไม่ต้องรอคำคัดค้านชายหนุ่มกึ่งลาก กึ่งจูง ยูยะขึ้นไปชั้นบน ที่ห้องพักของเขา ทันที ตามมาด้วยเสียงบ่นของอิริค และมาเรีย ไล่หลังมาติด ๆ
มอร์เฟียซปิดประตูห้องดังปัง ดึงร่างของเด็กหนุ่มคนรักมาเผชิญหน้ากับเขา ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เธอคิดอย่างที่พูดมาจริง ๆ น่ะหรือนาโอกิ ที่ว่าเห็นดีด้วยกับครอบครัวของฉันน่ะ!”
“ก็อย่างนั้นน่ะสิครับ ผมไม่เห็นว่าทุกคนจะเลวร้ายตรงไหนเลย ทั้งคุณอิริค และคุณมาเรีย ก็เป็นคนดีด้วยกันทั้งคู่” ยูยะตอบยิ้ม ๆ อย่างจริงใจ
“คนดีตรงไหนกัน?”
มอร์เฟียซบ่นใส่ ทว่าคำพูดประโยคถัดมาของคนรักของเขา ก็ทำให้ชายหนุ่มถึงกับอึ้งไปทันที
“ก็ถ้าพวกเขาไม่ใช่คนดี จะเลี้ยงคุณมาเป็นคนอ่อนโยน และน่ารักแบบนี้ได้ยังไงล่ะครับ”
ยูยะตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะลูบใบหน้าคมเข้มนั้นเล่นอย่างรักใคร่
“อีกอย่างถ้าไม่พูดแบบนั้น คิดหรือครับว่าคุณพ่อ และคุณแม่ของคุณจะยอมรับเรื่องของเราง่าย ๆ ผมว่านะ บทจะดื้อพวกเขาก็ดื้อเหมือนกับคุณนั่นแหล่ะครับ”
ประโยคถัดมาทำให้มอร์เฟียซถอนหายใจเฮือกใหญ่ นิสัยเจ้าเล่ห์แบบนี้ ไม่รู้ว่ายูยะติดมาจากใคร สงสัยเขาคงปล่อยให้เด็กหนุ่มคลุกคลี กับเคธี่ และชางมากเกินไปเสียแล้ว
“เจ้าเล่ห์แบบนี้ต้องโดนลงโทษรู้ไหม?” บอกแล้วก็จัดการอุ้มร่างเล็กไปวางบนเตียง โดยที่ยูยะยินยอมให้ชายหนุ่มพาไปแต่โดยดีอย่างไม่ขัดขืน เพราะต้องการที่จะเอาใจอีกฝ่ายให้อารมณ์ดีขึ้นนั่นเอง
“แล้วจะอยู่ถึงวันคริสต์มาสไหมครับเนี่ย”
ยูยะถามขัดขึ้นในขณะที่ชายหนุ่มโน้มใบหน้าจะก้มลงมาจูบเขา
“ก็เมื่อเป็นแบบนี้ก็คงจะต้องอยู่....” มอร์เฟียซตอบเซ็ง ๆ แต่ก็เริ่มเอะใจ ที่เห็นนัยน์ตาแวววาว ด้วยความชอบใจจากคนรัก
“นาโอกิ...คงไม่ใช่ชอบมาเฟียจริง ๆ อย่างที่บอกไว้หรอกนะ”
ยูยะสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ฟังประโยคนั้นจากชายหนุ่ม ก่อนจะรีบกล่าวปฏิเสธทันที
“มะ...ไม่ครับ ไม่ได้ชอบจริง ๆ....”
เจ้าตัวบอกพลางพยายามหลบตาสุดฤทธิ์ จนชายหนุ่มต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ เห็นทีเขาคงจะต้องกันยูยะให้ออกห่างจากพ่อและแม่เขาให้มากที่สุดเสียแล้ว มิเช่นนั้นเด็กหนุ่มคงหลวมตัวหลงคารม เข้ากลุ่มกับทั้งคู่แน่ ๆ ขนาดแค่พ่อและแม่รบเร้าให้เขาสืบทอดแก๊งค์ต่อ เขาก็จะปวดประสาทอยู่แล้ว ถ้าลองยูยะให้ความร่วมมืออีกคนมีหวังเขาคงจะดิ้นไม่หลุดคราวนี้แน่
“ฉันนี่นะหนีเสือปะจระเข้ จริง ๆ เชียว”
ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองเบา ๆ ในขณะที่ร่างเล็กข้างใต้หูผึ่ง
“ว่าอะไรนะครับ!”
มอร์เฟียซหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะจูบหนัก ๆ ที่กลีบปากบางนั้นแรง ๆ เป็นการแกล้ง
“ใครจะว่าอะไรได้ ก็แค่อยากจะบอกว่า ฉันมันตกหลุมรักเธอจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วน่ะสิ!”
ชายหนุ่มบอกหลังจากถอนริมฝีปากออกมาแล้ว ทำเอาคนฟังที่ตั้งท่าจะหาเรื่องเล่นงานชะงัก ใบหน้ายามนี้แดงก่ำไปหมด
“พูดอะไรก็ไม่รู้ บ้าจัง!”
“หึ! ถึงจะบ้าก็บ้ารักเธอนั่นแหละ ยูยะ!”
มอร์เฟียซบอกยิ้ม ๆ ในขณะที่คนฟังชะงักอ้าปากค้างที่ถูกอีกฝ่ายเรียกชื่อต้นให้ได้ยินเป็นครั้งแรก และก็ต้องเอ่ยประท้วงในลำคอ เมื่อถูกเริ่มต้นรุกจูบอีกหน ...
“รักเธอนะยูยะ” คำสารภาพรักอ่อนโยนกระซิบแผ่วเบาข้างหู ยูยะน้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้าด้วยความปลาบปลื้ม กระซิบตอบกลับไปด้วยความอ่อนโยนไม่แพ้กัน
“ผมก็รักคุณครับ มอร์เฟียซ ....รักคุณยิ่งกว่าใคร ๆ ทั้งนั้น ....”
แม้เรื่องวุ่น ๆ ในครอบครัวของเขาจะยังคงไม่จบ แต่มอร์เฟียซก็ไม่คิดจะไปสนใจกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ขอแค่วันนี้ เวลานี้ เขามีคนรักที่น่ารักของเขาอยู่เคียงข้างตลอดไป สำหรับเขา นั่นถือเป็นความสุขที่สุดในชีวิต ยามนี้แล้ว....
+++ END +++