Chp.7ทั้ง ๆ ที่เตรียมใจมาแล้ว แต่ทำไมเวลามายืนอยู่หน้าห้องชายคนนี้ทีไร มันต้องกลัวจนตัวสั่นเสียทุกครั้งไปสิน่า
…จะกลับดีไหมนะ…เอ…อย่าดีกว่า ขืนหนีกลับ มีหวังคืนนี้พี่แกบุกเข้าห้องอีกแน่ …เฮ่อ…
หลังจากที่เถียงกับตัวเองได้สักพักแล้ว ยูยะจึงตัดสินใจเคาะประตูห้อง ที่ไม่คิดอยากจะย่างกรายเข้าไปอีกเบา ๆ
“นาโอกิหรือ เข้ามาสิ”
เสียงเรียกออกมาจากในห้อง ทั้ง ๆ ที่ยูยะยังไม่ทันได้พูดอะไรด้วยซ้ำ ดังขึ้น เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนที่จะตัดสินใจผลักประตูห้องเข้าไป มอร์เฟียซซึ่งกำลังนั่งทำงานอยู่บนโต๊ะ เงยหน้าขึ้นมายิ้มรับ ก่อนจะดุเบา ๆ เมื่อเห็นเด็กหนุ่มทำท่าจะเปิดประตูแง้มไว้น้อย ๆ
“ปิดด้วยสิ แล้วก็ล็อกด้วยล่ะ จะได้ไม่มีใครพรวดพราดเข้ามาทีหลัง”
ยูยะมองตาอีกฝ่ายปริบ ๆ อยากจะเถียงอยู่หรอกว่าถึงต่อให้เปิดโล่ง อ้าซ่า ก็ไม่มีใครกล้าเฉียดกรายเข้ามาในห้องนี้หรอก ถ้าคนนั้นไม่มีธุระจำเป็นอะไรจริง ๆ ล่ะก็นะ…
แต่เด็กหนุ่มก็จัดการปิดห้องตามคำสั่งอย่างขัดไม่ได้อยู่ดี เขาเดินเกร็งๆ มานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของชายหนุ่ม จากนั้นจึงหยิบหนังสือคณิตศาสตร์ที่เตรียมมาขึ้นมาวางบนโต๊ะ พลางเหลือบมองคนตรงหน้าด้วยแววตาหวาดหวั่น
มอร์เฟียซค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ของเขา ก่อนจะเดินอ้อมมายืนอยู่ข้างหลังเก้าอี้ของอีกฝ่าย พลางโอบกอดจากเบื้องหลังอย่างอ่อนโยน
“ไหน ลองบอกสิว่า เธอไม่เข้าใจเรื่องไหนบ้าง ฉันจะช่วยสอนให้ตั้งแต่ต้นเลย”
ยูยะยิ่งนั่งตัวแข็งทื่อเข้าไปใหญ่ ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นจึงหัวเราะในลำคอเบา ๆ เขาคลายอ้อมกอดออกช้า ๆ จนเด็กหนุ่มเผลอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทว่า ยังไม่ทันไร ร่างสูง ก็อ้อมมาจับร่างของอีกฝ่ายอุ้มขึ้นจากเก้าอี้ เอาพาดบ่าไป อีกมือหนึ่งก็เอื้อมไปหยิบตำราเรียน เอกสาร แล้วก็ดินสอ ตรงไปที่โซฟา จากนั้นจึงจัดแจงให้ร่างเล็กนั่งข้างบนตักเขา โดยที่มือใหญ่โอบเอวบางนั้นไว้หลวม ๆ กันไม่ให้เด็กหนุ่มลุกหนีไปได้
“เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มเรียนกันเลยดีกว่า”
ยูยะอยากจะร้องตะโกนถามออกไปว่า ทำไมต้องมานั่งเรียนท่านี้ด้วย หากแต่เมื่อสบกับนัยน์ตาสีเขียวคมกริบคู่นั้น ก็ทำให้เจ้าตัวไม่กล้าเสี่ยงถามออกไป จึงจำใจพยักหน้ารับค่อย ๆ พร้อมกับหยิบตำราเรียนที่อีกฝ่ายส่งมาให้อย่างไม่เต็มใจนัก
“อืม…นั่นล่ะ เอา Y มาแทนค่าตรงนี้ ใช่แล้วนาโอกิ เธอก็ทำได้นี่นา”
มอร์เฟียซเอ่ยปากชมเมื่อลูกศิษย์(สุดที่รัก) ของเขาจัดการแก้โจทย์ปัญหาที่เขาตั้งให้จนสำเร็จ ยูยะก้มหน้าลอบยิ้มน้อย ๆ อยากจะบอกว่า ที่เขาทำได้คงเพราะเจ้าน้ำเสียงกระซิบนุ่ม ๆ ที่ข้างหู แล้วก็ท่าทางอ่อนโยนเวลาสอน ที่ต่างจากปกตินั่นล่ะ หากชายหนุ่มเป็นแบบนี้ตลอดไป เขาคงจะเป็นที่รักของนักเรียนทุกคนได้ไม่ยากนักหรอก
“หือ? มีอะไรหรือนาโอกิ คิดอะไรอยู่”
มอร์เฟียซถามขึ้นหลังจากที่เห็นว่าอยู่ดี ๆ เด็กหนุ่มก็นิ่งไปเสียเฉย ๆ
“อะ..เอ่อ คือ เปล่าครับ”
ยูยะรีบปฏิเสธทันทีไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้หรอก ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ยามนี้
ทว่า ใบหน้าแดงระเรื่อนิด ๆ ก็ทำให้ชายหนุ่มมั่นใจว่า เด็กหนุ่มต้องกำลังคิดถึงเรื่องของเขาอยู่แน่นอน
“อืม…วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน ...เวลาเหลืออีกตั้งเยอะ เธอว่าเราควรจะใช้ทำอะไรฆ่าเวลากันดีล่ะ”
น้ำเสียงและแววตาเจ้าเล่ห์ที่จ้องมองมา ทำเอายูยะเสียวสันหลังวูบ เด็กหนุ่มรีบบอกออกไปเสียงสั่น
“เอ่อ…ใช้ทบทวนบทเรียนที่เรียนมา ก็ได้นี่ครับ”
มอร์เฟียซพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ทว่า…
“อืม แต่ฉันอยากจะทบทวนบทเรียนเมื่อคืนมากกว่านี่นา”
พูดจบก็จัดการจับร่างเล็กบนตัก กดลงกับโซฟา พร้อมกับตัวเองที่พลิกร่างขึ้นคร่อมตามไปโดยเร็วทันที
“รู้ไหม ทำไมฉันถึงรับวิชาคณิตศาสตร์ของอาจารย์ฟาเรียสมาสอน ทั้ง ๆ ที่นั่นก็เท่ากับเป็นการเพิ่มงานให้ฉันยุ่งยากมากขึ้นกว่าเดิม…”
ยูยะใจเต้นตึก ๆ เมื่อใบหน้าคมเข้มโน้มลงมาจนเกือบชิดกับใบหน้าของเขา
“…ก็เพราะว่าฉันอยากเจอหน้าเธอให้มากขึ้นน่ะสิ เรื่องเรียนพิเศษนี่ก็เหมือนกัน ไม่ใช่แต่ต้องการให้คะแนนเธอดีขึ้นอย่างเดียวหรอกนะ นาโอกิฉันยอมรับอย่างไม่อายเลยว่า เพราะฉันอยากอยู่กับเธอสองต่อสองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”
ยูยะเริ่มรู้สึกเหมือนกับหัวใจถูกบีบคั้นอย่างหนัก เขากำลังต่อสู้กับจิตใจของตัวเองที่จะไม่พยายามโอบแขนกอดรัดคนตรงหน้าด้วยความซาบซึ้ง หากแต่เมื่อริมฝีปากอุ่น ๆ ประกบแนบลงมาอย่างอ่อนโยน ก็ทำให้ในสมองของเด็กหนุ่มว่างเปล่าไปหมด
“…อา…มอร์เฟียซ…ผมอยากได้จูบของคุณอีกครั้ง…ได้ไหมครับ”
เด็กหนุ่มครางร้องขอ เมื่อริมฝีปากร้อนชื้นเลื่อนไปซุกไซ้ที่ซอกคอขาวเนียนของเขาแทน
เหมือนดังเป็นเสียงสวรรค์ มอร์เฟียซ คาเตอร์ รีบบรรจงมอบจุมพิตที่แสนอ่อนหวานและเร่าร้อนในเวลาเดียวกัน ให้กับเด็กหนุ่มอย่างเต็มใจมากที่สุด
“อื้ม….อืม….อา….”
เป็นเวลาเนิ่นนานทีเดียว กว่าที่มอร์เฟียซจะจัดการถอนริมฝีปากออกมา ชายหนุ่มมองร่างเล็กที่นอนหายใจหอบ ๆ ดวงตาปรือ ๆ ก่อนที่น้ำเสียงทุ้มนุ่มจะกระซิบข้าง ๆ หูอย่างเว้าวอน
“นาโอกิ … ถ้าฉันจะขอมากกว่านี้ เธอจะอนุญาตไหม”
ยูยะหน้าแดงระเรื่อ เข้าใจความหมายนั้นเป็นอย่างดี ก่อนจะพยักหน้ารับนิด ๆ อย่างเอียงอายแทนคำตอบ
“อา…ขอบใจมากนาโอกิ … ขอบใจ…”
ชายหนุ่มมีสีหน้ายินดีเหลือที่จะกล่าว ทว่า ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นลงมือทำอะไรต่อไปนั้น เสียงเคาะประตูเบา ๆ ก็ดังขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน
“ก๊อก ๆ”
มอร์เฟียซ คาเตอร์เหลือบมองไปที่ประตูอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก แต่ก็ไม่ได้คิดจะลุกไปเปิดมันแต่อย่างใด เขาหันมาให้ความสนใจกับการปลดเปลื้องเสื้อผ้าของร่างเล็กข้างใต้ต่อ แต่แล้ว เสียงประตูเจ้ากรรมก็ดังขัดขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้ไม่ใช่เสียงเคาะธรรมดา หากแต่ว่ามันกลายเป็นเสียงทุบประตูแทนทีเดียว
“ปัง! ๆ ๆ”
เสียงทุบประตูรัว ๆ ทำเอายูยะสะดุ้งจากภวังค์วาบหวามก่อนหน้านั้น เด็กหนุ่มเหลือบไปมองมอร์เฟียซสลับกับประตูห้อง ด้วยใบหน้าซีดเผือด
... ใครกันที่กล้าท้าทายนรก โดยการทุบประตูห้องของมอร์เฟียซ คาเตอร์แบบนี้ …
“เอ่อ…มอร์เฟียซ คือ ผมว่า….”
ยูยะพยายามดันร่างสูงให้ลุกขึ้นจากร่างของเขา มอร์เฟียซ มองร่างเล็ก ๆ ข้างใต้ด้วยความเสียดาย หลังจากนี้ ถึงเขาลองขอเด็กหนุ่มดูอีกครั้ง ก็จะได้รับคำตอบเหมือนเดิมหรือเปล่าก็ไม่รู้
ชายหนุ่ม ค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินไปยังประตูห้องด้วยสีหน้าที่บอกบุญไม่รับสุด ๆ เขาชำเลืองมาทางยูยะแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มแต่งกายเรียบร้อยดีแล้ว เจ้าตัวจึงจัดการเปิดประตูที่ใครบางคนกำลังใช้กริยา ที่เขาเรียกว่าแสนจะไร้มารยาท ทุบรัวอยู่ดังลั่น
“ทำอะไรอยู่วะ ไม่ยอมเปิด…อะ…อ้าว มอร์เฟียซ มาเปิดแล้วเหรอ”
ชายหนุ่มผมดำยาวถึงกลางหลัง ในชุดสูทสีเทาซึ่งถูกคลุมด้วยเสื้อคลุมสีขาวที่มองผ่าน ๆ คล้ายกับหมอหรือนักวิจัยตามห้องแลป เจ้าตัวชะงักมือที่กำลังทุบประตูอยู่ ใบหน้าคมเข้ม ที่ค่อนข้างจะออกไปทางสวย ยิ้มแย้มให้กับคนที่ยอมออกมาเปิดประตูให้เขา นัยน์ตาสีเทาคมกริบกวาดมองเข้าไปภายในห้องจนทั่วโดยอัตโนมัติ แล้วก็มาสะดุดอยู่ที่เด็กหนุ่มผมดำบนโซฟานั่นเอง
“โอ๊ะ! โอ๋ รู้แล้วว่าทำไมถึงมาเปิดห้องช้า กำลังติวกันดุเดือดอยู่ละสิท่า หึ ๆ”
น้ำเสียงกระเซ้านั่น ทำให้คนที่ระดับความอดทนต่ำ ชักจะเริ่มฟิวส์ขาด หากแต่เจ้าตัวกลับพยายามสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะตั้งสติ และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นสุดขั้ว
“นายมีธุระอะไร ลี ชาง ถึงมาหาฉันที่ห้องแบบนี้…”
ทว่า ชายหนุ่มอีกคนไม่ได้แสดงอาการวิตก หวาดหวั่น อะไรเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับเหยียดยิ้มอย่างกวน ๆ ให้กับคนตรงหน้าอีกต่างหาก
“อะไรกัน… มอร์เฟียซ เพื่อนฝูงไม่ได้เจอกันตั้งนาน อยากจะแวะมาเยี่ยมเยียนบ้างไม่ได้หรือไง ไม่เห็นต้องมีเรื่องธุระอะไรนั่นเลยนี่นา”
คนพูดแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงยานคาง กวนประสาท ก่อนจะผลักอกคนตรงหน้าไปให้พ้นทางเบา ๆ แล้วจึงเดินก้าวฉับ ๆ ตรงไปยังที่ยูยะอยู่ทันที
“ฮะ…เฮ้ย ชาง! เจ้าบ้าจะทำอะไรวะ!!” อาจารย์หนุ่มรีบปราดเข้าไปกระชากคอเพื่อนสนิทไปให้พ้นทาง เมื่ออยู่ดี ๆ ชางก็เดินเข้าไปจับคางของยูยะเชยขึ้น พร้อมกับชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ ๆ อย่างน่าหวาดเสียว
“อะไรกัน … มอร์เฟียซ คนแค่อยากดูหน้าของนักเรียนที่กล้าเข้ามานั่งในห้องทำงานนายสองต่อสอง ชัด ๆ เท่านั้นเอง แล้วไอ้ท่าทางที่ห้ามแตะต้องนี่มันหมายความว่ายังไง หึงหรือยังไงวะ”
คำพูดตรง ๆ ลุ่น ๆ ของชาง ทำเอาทั้งยูยะ และมอร์เฟียซ หน้าแดงวาบขึ้นมาพร้อมกัน โดยเฉพาะยูยะ เด็กหนุ่มแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเสียตอนนี้เลยด้วยซ้ำ
“อะ..อาจารย์ครับ ผมขอตัวกลับก่อนได้ไหมครับ”
ยูยะเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก ก้มลงหยิบหนังสือเรียนที่ตกอยู่ใกล้ ๆ โซฟาขึ้นมาถือไว้ เจ้าสมกง สมการ ที่เรียนมาเมื่อครู่มันอันตรธานหายไปจากสมองจนหมดสิ้น ไม่ได้หลงเหลืออยู่แล้วตอนนี้
และขณะที่ยูยะกำลังก้มตัวนิด ๆ เดินผ่านชายหนุ่มทั้งสอง ลี ชาง ก็รีบคว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้ทันที โดยที่มอร์เฟียซ จ้องมองมาตาเขียวปั้ด แต่ไม่ได้แสดงอาการโวยวายอะไรออกไปอีกเหมือนเมื่อสักครู่
“อ้าว จะกลับแล้วงั้นหรือ ยังไงก็ให้ฉันไปส่งเธอดีไหม ฉันกะว่าจะแวะไปเยี่ยมเหม่ยหลิงที่หอหญิงอยู่พอดีเลยด้วย”
“อะ...เอ๋ รู้จักเหม่ยหลิงด้วยหรือครับ”
ยูยะถามด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะทบทวนชื่อที่เขาได้ยินมาเมื่อสักครู่
“ลี ชาง อ๊ะ! คุณคือดอกเตอร์ลี พี่ชายของเหม่ยหลิงนั่นเองใช่ไหมครับ”
เด็กหนุ่มมีสีหน้าตื่นเต้น เมื่อได้เห็นพี่ชายของเพื่อนสาวที่หล่อนมักจะคุยนักคุยหนาว่า เขาเป็นดอกเตอร์อัจฉริยะประจำแผนกวิจัยและค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ของสถาบันอีเดนแห่งนี้
“ใช่แล้วล่ะ แล้วเธอก็คือ นาโอกิ ยูยะ หนุ่มน้อยจากญี่ปุ่นที่เป็นอัจฉริยะทางด้านดนตรีใช่ไหม”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอาย ๆ รู้สึกเขินเมื่อมีคนเรียกเขาว่าเป็นอัจฉริยะ ก่อนจะเผลอยิ้มตอบโดยอัตโนมัติ เมื่อเห็นชางส่งยิ้มมาให้เขา
มอร์เฟียซเริ่มชักจะทนไม่ไหว กับสีหน้ายิ้มแย้มที่เหมือนจะเป็นการหว่านเสน่ห์ให้กับลูกศิษย์สุดที่รักของเขา มิหนำซ้ำเด็กหนุ่มก็ยังยิ้มตอบให้อีก มองดูแล้วมันชวนให้ต่อมหาเรื่องทำงานเสียเหลือเกิน
“แล้วตกลงที่นายมาหาฉันถึงที่ห้องนี่ แค่อยากมาเห็นหน้าฉันเท่านั้นเองหรือไงหา ชาง!”
เสียงห้วน ๆ ที่ขัดขึ้นมาทำให้ ชางชะงัก ก่อนจะหันมาทางเพื่อนสนิท โดยที่มือข้างนั้นยังคงเกาะกุมข้อมือเล็ก ๆ ของยูยะไม่ยอมปล่อย
…ไอ้บ้าเอ๊ย! ปล่อยได้แล้วโว้ย! มือน่ะ!! …
ชายหนุ่มจงใจส่งสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อไปให้อีกฝ่ายเต็มๆ ขนาดยูยะยังอดสยองแทนไม่ได้เมื่อเหลือบขึ้นไปเห็นสายตาคู่นั้น โดยบังเอิญ
แต่ว่าสำหรับคนที่คบกันมาเกือบสิบปี ก็ย่อมจะชินชากับสายตาแบบนั้น และยิ่งเป็นคนประเภทเดียวกันด้วยแล้วมันก็เหมือนกับว่ากำลังส่องกระจกอยู่นั่นล่ะ
“ไม่หรอก มอร์เฟียซ เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกยาวแน่ แต่ตอนนี้ฉันขอตัวไปส่งหนุ่มน้อยคนนี้ก่อนนะ เด็กน่ารัก ๆ แบบนี้ขืนปล่อยให้เดินกลับมืด ๆ คนเดียวมันอันตรายจะตายไป จริงไหม ยูยะ...”
น้ำเสียงท้ายประโยคหยอดคำหวาน แถมยังสรรพนามที่เรียกชื่อนั่นอีก มันฟังดูน่าหมั่นไส้เสียจน อยากจะกระชากคอคนพูดมาอัดสักเปรี้ยง
“ไม่จำเป็นหรอก ลี ชาง ฉันนัดนาโอกิมาเรียน ฉันก็ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบความปลอดภัยของเขาด้วยตัวเองอยู่แล้ว”
กล่าวจบเจ้าตัวก็จัดการดึงร่างเล็กเข้ามาหา พลางโอบไหล่อีกฝ่ายอย่างประกาศความเป็นเจ้าของเต็มที่ โชคดีที่ชางปล่อยมือที่จับแขนของเด็กหนุ่มก่อนหน้านั้นพอดี มิเช่นนั้นแรงฉุดที่ดูจะเป็นกระชากนั่น คงจะทำให้ยูยะเจ็บแทบตายเลยทีเดียว
“เอ่อ ...คือผมว่า ผมไปคนเดียวก็ได้ครับ ไม่ต้องให้ใครไปส่งหรอก”
เสียงเล็ก ๆ แย้งขึ้นเบา ๆ หากแต่ก็ต้องหุบปากเงียบ เมื่อสบกับนัยน์ตาสีเขียวเอาเรื่องคู่นั้น
ยูยะรีบก้มหน้าหลบสายตา ไม่อยากจะคิดว่าคนตรงหน้า ‘หึง’ ตน แต่มองยังไงมันก็เป็นอย่างอื่นเสียไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปด้วยกันทั้งหมดนี่เลยก็ได้ จริงไหมยูยะ”
ชางเสนอความเห็น เด็กหนุ่มรีบพยักหน้าหงึก ๆ เห็นด้วย เพราะสถานการณ์ที่มอร์เฟียซโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแบบนี้ เขาก็ไม่ค่อยไว้วางใจในความปลอดภัยของตัวเองเสียเท่าไรนักหรอก
มือใหญ่ที่โอบไหล่หลวม ๆ บีบที่ต้นแขนของเด็กหนุ่มแรง ๆ ด้วยความไม่พอใจ
“อะ...โอ๊ย...มอร์เฟียซ ผมเจ็บแขน”
เด็กหนุ่มร้องครางขึ้นมาเบา ๆ น้ำตาคลอเบ้าด้วยความเจ็บปวด
มอร์เฟียซ คาเตอร์ ยอมรับว่ายามนี้ เขารู้สึกโมโหมากอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่ต้องการเห็นยูยะไปพูด หรือ ยิ้มให้กับผู้ชายคนไหนนอกจากเขาคนเดียวเท่านั้น
ลี ชาง เห็นว่าเรื่องราวดูท่าจะบานปลายเข้าไปใหญ่ จึงตัดสินใจเลิกแหย่ทันที เขาเดินมาตบบ่าเพื่อนสนิท พร้อมกับกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหู
“โทษทีว่ะเพื่อน แค่แหย่เล่นนิดหน่อย อย่าไปพาลเอากับเด็กนี่เลยนะน่าสงสารออก จะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้วเห็นไหม..”
ก็นั่นล่ะ ถึงทำให้อาจารย์หนุ่มได้สติ เขาก้มลงพิจารณาใบหน้าหวาน ๆ ซึ่งมีสีหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว นัยน์ตาสีดำก็มีน้ำใส ๆ คลออยู่ทั่ว จนน่าสงสาร
“นาโอกิ”
เสียงเรียกชื่อนั้น ทำให้ยูยะสะดุ้งเฮือกด้วยความกลัว มอร์เฟียซเริ่มคิดได้ว่าเขาไม่น่าจะโมโหจนลืมตัวขนาดนี้
… ที่โมโห ก็เพราะว่า หึง และที่หึง ก็เพราะว่ารัก นาโอกิ ยูยะ เธอจะเข้าใจฉันบ้างไหมนะ…
“เจ็บมากไหม”
ชายหนุ่มจัดการถลกแขนเสื้อของอีกฝ่ายขึ้นมาดู ก็พบว่ามันแดงจ้ำเป็นรอยนิ้วมืออย่างเห็นได้ชัด
“นาโอกิ ฉันขอโทษ…”
น้ำเสียงสำนึกผิดที่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดนั้น ทำให้ยูยะเงยหน้าขึ้นจ้องมองอีกฝ่ายเต็มตาเป็นครั้งแรก
“มะ..ไม่เป็นไรครับ”
ยูยะตอบเสียงแผ่ว …ก็โกรธอยู่บ้างหรอกนะ แต่ก็ไม่อยากเห็นคนตรงหน้าทำสีหน้าเหมือนกับจะเจ็บปวดแทนแบบนี้นี่นา
และโดยที่ไม่สนใจว่ามีบุคคลที่ 3 อยู่ด้วย ณ ที่นั้น อาจารย์หนุ่มก็โน้มศีรษะลงไปจุมพิตที่รอยฝ่ามือนั้นแผ่วเบา ก่อนจะช้อนร่างเล็ก ขึ้นมาอุ้มแนบอก
“ดะ...เดี๋ยวก่อน ..มอร์เฟียซ....เอ่อ อาจารย์จะทำอะไรน่ะ”
ยูยะละล่ำละลักถามด้วยความตกใจ ขณะที่ชาง มองภาพตรงหน้าด้วยความทึ่งจัด
… เจ๋งจริง ๆ เลย เคธี่ เป็นอย่างที่คุณบอกไม่มีผิด ถ้าไม่มาเห็นด้วยตาตัวเอง จะไม่เชื่อเลยนะเนี่ย…
“อย่าดิ้นสิ นาโอกิ ฉันก็จะไปส่งเธอที่หอยังไงล่ะ”
ยูยะยิ่งหน้าแดงหนักเข้าไปใหญ่ เมื่อหันไปสบสายตาของชาง ที่มองมาทางพวกเขายิ้ม ๆ
“ผะ…ผม ไม่ได้เจ็บขาสักหน่อย ..ผมเดินเองได้น่า คุณ …เอ่ออาจารย์ปล่อยผมลงเถอะ”
“ไม่!”
มอร์เฟียซ คาเตอร์ ตอบปฏิเสธอย่างหนักแน่นก่อนจะยื่นคำขาด
“ถ้าเธอไม่ให้ฉันอุ้มไปส่งที่หอ คืนนี้ก็นอนค้างที่นี่กับฉัน เลือกเอาแล้วกัน”
เท่านั้นเอง ยูยะก็เงียบกริบ และไม่คิดจะโต้แย้งอะไรอีกต่อไป ลี ชาง ซึ่งเดินตามหลังคนทั้งคู่อยู่ห่าง ๆ หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ หากแต่ความเงียบยามราตรี ก็ทำให้เด็กหนุ่มได้ยินเสียงหัวเราะนั้นอย่างถนัดชัดเจน
ร่างเล็กในอ้อมแขน ซุกหน้าเบียดชิดกับอกของชายหนุ่มด้วยความเขินอาย มอร์เฟียซ คาเตอร์ มองภาพ ๆ นั้นด้วยความเอ็นดู ก่อนจะกล่าวขึ้นมาอย่างลอย ๆ โดยไม่หันไปมองหน้าคู่สนทนาที่เดินตามมาข้างหลังแม้แต่น้อย
“ถ้าฉันเดาไม่ผิด นายได้รับการติดต่อเรื่องนี้ จากเคธี่ ใช่ไหม ชาง”
ลี ชาง ยักไหล่ นิด ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
“หึ ๆ ใช่แล้ว ถ้าฉันเป็นเขา ก็คงไม่คิดเก็บของสนุก ๆ แบบนี้ ไว้ดูเองคนเดียวหรอกน่า”
“ยุ่งเรื่องส่วนตัวของชาวบ้านนี่นะสนุก”
มอร์เฟียซประชด โดยที่ยูยะพยายามจะจับใจความสำคัญในการสนทนาเหล่านั้น แล้วก็ต้องพบกับความจริงที่ว่า ในตอนนี้เรื่องของพวกเขามีคนอื่นรับรู้ด้วยแล้วถึงสองคน ซึ่งก็คือ เคธี่ มิลเลอร์ อาจารย์ประจำห้องพยาบาล แล้วก็ ดร.ลี ชาง พี่ชายของเพื่อนร่วมชั้นของเขาเอง
“นาโอกิ?” ชายหนุ่มเรียกชื่อเด็กหนุ่มด้วยความประหลาดใจ เมื่อรู้สึกถึงแรงเล็บที่จิกลงไปที่หัวไหล่ของเขาเบา ๆ ก้มหน้าลงมองก็พบว่า บัดนี้ใบหน้าของร่างในอ้อมแขนกำลังซีดเผือดลงทุกขณะ เพียงแค่นั้นมอร์เฟียซก็เข้าใจในทันที โดยไม่ต้องอธิบาย
“ไม่เป็นไรหรอกนะ นาโอกิ ไม่ต้องห่วง ถึงยังไง ทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนฉัน พวกเขาไม่เอาเรื่องของเธอกับฉันไปพูดให้คนอื่นๆ รู้หรอก สบายใจเถอะ”
หากแต่ ร่างเล็กยังคงสั่นเทานิด ๆ จนชายหนุ่มต้องทอดถอนหายใจ พลางหันไปหาอีกคน ซึ่งเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาขนาบข้างใกล้ ๆ
“ยูยะ ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันสัญญาว่าเราจะรู้กันแค่ฉันแล้วก็เคธี่และรับรองว่าจะไม่บอกคนอื่น แม้แต่กระทั่งเหม่ยหลิง น้องสาวแท้ ๆ ของฉันเองก็ตาม!”
คำยืนยันหนักแน่น ทำให้ยูยะเงยหน้าขึ้นมามองคนทั้งคู่ ด้วยแววตาที่คลายความกังวลลงไปได้บ้าง สีหน้าแบบนั้น ทำให้มอร์เฟียซอยากจะก้มลงจูบปลอบขวัญ คนในอ้อมแขนเสียเหลือเกิน หากไม่ติดว่ามีส่วนเกินตามมาด้วยแบบนี้
“เอ่อ…คุณกับมิสเคธี่ ...ระ...รู้ ถึงขนาดไหน..กัน”
น้ำเสียงเล็ก ๆ ถามขึ้นอย่างตะกุกตะกัก
“ก็…” ชาง ค้างไว้แค่นั้น ในใจคิดว่าจะพูดดี ไม่พูดดี แต่เมื่อสบกับสายตาคมกริบของอีกคนที่มองมา เจ้าตัวก็ต้องยิ้มแหย ๆ
... มองแบบนี้ ถึงขั้นฆ่าคนได้เลยนี่หว่า เอาวะ อย่าเพิ่งหาเรื่องใส่ตัวเลยก็แล้วกัน …
“…กำลังเริ่มคบหา ดูใจ กันอยู่ไม่ใช่หรือยังไงพวกเธอน่ะ”
ชายหนุ่มเลี่ยงตอบ ที่คิดว่ามันน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
“มะ…ไม่ นะครับ ไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด!”
ยูยะรีบปฏิเสธ ผลก็คือคนที่กำลังอุ้มเขาอยู่หยุดชะงัก สายตาคมกริบนั้นตวัดกลับมามองร่างเล็กในอ้อมแขนแทนทันที
“กะ...ก็ ไม่ได้คบกันจริง ๆ นี่นา...คือ”
เด็กหนุ่มแก้ตัวเสียงสั่น พยายามหลบสายตาคู่นั้นเต็มที่
“…เราไม่ได้คบกันอยู่”
น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยขึ้นหลังจากนิ่งไปสักพัก
“คนอย่างฉัน ไม่มีใครเขาคิดอยากจะเข้ามาใกล้นักหรอก ถึงจะมีมันก็เป็นเพียงแค่ความพอใจชั่ววูบของทั้งสองฝ่าย …ก็แค่นั้น”
หลังจากนั้น ทั้งยูยะ และมอร์เฟียซ ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกเลยแม้ชางพยายามจะหาเรื่องมาชวนคุย แต่ทั้งสองคนก็เอาแต่ฟังเงียบ ๆ บางทีก็มีพยักหน้ารับบ้าง แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรมากไปกว่านั้น
และเมื่อมาถึงหอ อาจารย์หนุ่มก็ค่อย ๆ วางร่างในอ้อมแขนลงอย่างนุ่มนวล หากแต่ เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรกับอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ยูยะเองก็เช่นกัน เด็กหนุ่มก้มศีรษะโค้งให้ทั้งสองคนนิดหนึ่ง ก่อนจะวิ่งกลับเข้าหอไปโดยไม่หันกลับมามองด้านหลังอีกเลย
‘มันก็เป็นเพียงแค่ความพอใจชั่ววูบของทั้งสองฝ่าย …ก็แค่นั้น’
คำพูดนั้น ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองของเด็กหนุ่มไม่ยอมจางหายไป
…เจ็บ…มันเจ็บที่หัวใจเหลือเกิน… ทำไมนะ แค่คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของเขา ทำให้เราเจ็บได้ถึงขนาดนี้ มันเพราะอะไรกัน…
น้ำตาเริ่มเอ่อขึ้นมาคลอเบ้า ยูยะกลืนก้อนสะอื้นลงในลำคอ ก่อนจะก้มหน้าเดินผ่านเพื่อน ๆ ที่ทำท่าว่าจะเข้ามาทักเขา เมื่อเห็นตัว
“ขอโทษนะ ทุกคน แต่ฉันรู้สึกเพลีย อยากจะพักผ่อนน่ะ”
เด็กหนุ่มกล่าวตัดบทขึ้นเบา ๆ พร้อมกับเร่งฝีเท้าเดินจากไป ทิ้งให้คนอื่น ๆ มองตากันปริบ ๆ ด้วยความสงสัย
“ปึง!”
เสียงปิดประตูดังขึ้น โดยที่ร่างบางซึ่งเข้ามาในห้องยืนนิ่งอยู่ตรงประตู ก่อนจะทรุดลงนั่งกับพื้น น้ำตาไหลรินอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างเงียบ ๆ
…นี่เราเป็นอะไรไป ทำไมต้องเสียใจ ทำไมต้องร้องไห้ขนาดนี้ ด้วยเล่า …
“เขาไม่มีความสำคัญอะไรกับเราถึงขนาดนั้นหรอก ยูยะ เลิกร้องไห้เรื่องเขาเสียทีเถิด!”
เด็กหนุ่มกล่าวกับตัวเองด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะทิ้งตัวลงกับที่นอน และหลับลงในไม่ช้า ด้วยความอ่อนเพลีย ทั้งร่างกายและจิตใจ
--- TBC ---
...กำลังหวานกันได้ที่ กลายเป็นแอบมีมาม่าผสมซะงั้น หุ ๆ ตอนหน้าจบแล้วค่ะ อาจจะคิดว่าจบไวจัง แต่เรื่องนี้ยังดำเนินเหตุการณ์ไปเรื่อย ๆ ผ่านตอนพิเศษในแต่ละคู่ค่ะ เรื่องนี้มีวัตถุดิบให้เขียนอยู่หลายคู่ เลยกลายเป็นว่าจำนวนตอนพิเศษเยอะพอ ๆ กับเรื่องหลักเลยทีเดียว --