DESTINY 'S SERIES : 1 Before The Rainy Season "ถ้าอ๊อกซิเจนทำชีวิตนี้ดำรงอยู่ได้
ความรักก็ทำให้การมีชีวิตนั้นมีความหมายมากยิ่งขึ้น" ช่วงเวลาในอดีตของผมที่มีทั้งสุข เศร้า เหงา ปะปนกันไป ทั้งๆ ที่มันก็ผ่านไปแล้วแต่มันก็ยังเป็นความทรงจำที่แจ่มชัดเสมอในความรู้สึก…………..
วันหนึ่งในฤดูฝนที่เมฆครึ้มเหมือนฝนกำลังใกล้จะตก ทุกๆวันที่ฝนใกล้จะตก ผมจะไปนั่งรับลมอยู่ที่สวนสาธารณะใกล้กับที่ผมอยู่ อากาศมันเย็นสบายดี ผมเลยนั่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งฝนเริ่มลงเม็ด แต่ผมก็ยังไม่ลุกไปไหน ผมนั่งหลับตารับน้ำที่ตกลงมาจากฟากฟ้า จนกระทั่งรู้สึกว่าไม่มีน้ำตกลงมาใส่หน้าตัวเอง เลยลืมตาขึ้นมามอง กลับเห็นคนถือร่มกางให้พร้อมกับรอยยิ้มสดใสเหมือนดั่งดวงอาทิตย์
" มานั่งตากฝนอย่างนี้ไม่กลัวเป็นหวัดเหรอ หรือว่ามานั่งทำมิวสิค " เค้าคนนั้นถามพร้อมกับรอยยิ้ม
" ………………….. " ผมได้แต่อึ้งเลยไม่พูดอะไรออกไป
" อ่าว นี่เป็นใบ้เหรอ "
" ป่าว "
" งั้นก็ดี ชั้นเห็นนายมานั่งตากฝนที่นี่แทบทุกครั้งที่ฝนตก วันนี้ชั้นกลัวว่านายจะเป็นหวัดเลยมากางร่มให้น่ะ "
" ขอบคุณนะ " แล้วผมก็ลุกขึ้น
" อ่าวนี่จะไปแล้วเหรอ "
" อื้ม ได้เวลาแล้วน่ะ ชั้นไปก่อนล่ะนะ ถ้าเรามีโอกาสคงได้พบกันใหม่ "
" งั้นก็ยินดีที่ได้รู้จัก กลับไปก็เปลี่ยนเสื้อผ้าซะนะ เดี๋ยวจะเป็นหวัด "
" อื้ม ขอบคุณ " น่าแปลกเพียงแค่มีร่มมากางกับรอยยิ้มนั้น มันทำให้ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกมาอย่างไม่น่าเชื่อเลยทั้งๆ ที่อยู่ท่ามกลางสายฝน……..
ผมเปิดสมุดไดอารี่แล้วนั่งเขียนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้
วันนี้ อากาศเหมาะกับการไปเดินเล่นเหมือนเดิม
ผมเดินไปยังที่เดิมของทุกๆ วัน มันเป็นการกระทำที่เหมือนเดิมแทบจะทุกอย่าง
ผมก็นั่งเล่นไปเรื่อยๆ จนฝนเริ่มตก
ผมหลับตาลงเพื่อซึมซับน้ำฝนที่หล่นมาบนใบหน้าสักพัก
ผมกลับเริ่มรู้สึกว่าฝนที่ตกลงมานั้นมาหายไป
ผมจึงลืมตาขึ้นมาพบกับร่มที่กางโดยคนที่มีรอยยิ้มเหมือนดวงอาทิตย์
ผมไม่รู้จักเค้าและเค้าก็คงไม่รู้จักผมเช่นเดียวกัน
แต่ชั่ววินาทีที่เราสบตากันนั้น ความอบอุ่นไปแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายผม
มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่ได้สัมผัสมานาน……. ผมนั่งเขียนไปก็นึกถึงรอยยิ้มของคนนั้นไป พอเขียนเสร็จก็ปิดสมุดแล้วเข้านอน…….
วันรุ่งขึ้นวันนี้รู้สึกว่าอากาศจะแจ่มใสมากมาย มันเป็นครั้งแรกที่ผมอยากไปสวนสาธารณะโดยที่ไม่มีเมฆครึ้ม ผมอยากจะไปเจอคนนั้นจัง วันนี้จะมามั้ยนะ
ผมนั่งตรงที่เดิมที่เราเจอกัน นั่งรอไปเรื่อยๆ ………… . จนดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้าแล้วก็ยังไมเห็นแม้แต่เงาของคนๆ นั้น เฮ้อ ….นั่นสินะ โอกาสเจอกันใช่ว่าจะง่ายๆ ซักหน่อย ผมนี่ก็ทำเป็นการ์ตูนไปได้ ผมลุกขึ้นปัดกางเกงแล้วเดินกลับสถานที่ที่เรียกว่าบ้านของผม และกลับมานั่งเขียนไดอารี่เหมือนเดิม
วันนี้อากาศแจ่มใส ผมที่ไม่เคยคิดจะไปเดินเล่นในวันที่อากาศอย่างนี้กลับที่จะคิดไป
หวังว่าคงจะได้เจอกับคนๆ นั้น
แต่พอไปถึงแล้ว….. กลับไม่ได้เจอ
ไม่โทษอะไรทั้งสิ้นเพียงแต่โทษตนเองที่หวังมากเกินไป
มันไม่ใช่เรื่องๆ ง่ายหรอกที่คนสองคนจะมาเจอกันง่ายๆ
แล้วอีกอย่างผมก็ไม่ได้ถามชื่อคนๆ นั้นไว้
แต่ก็อยากขอพรจากพระผู้เป็นเจ้า ได้โปรดช่วยให้ตัวผมนี้ได้เจอกับคนที่ผมหวังไว้ด้วยเถิด
ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า…..แต่ทว่าผมไม่ได้ไปสวนสาธารณะนั้นอีกสองสัปดาห์เต็มๆ เพราะว่าตัวผมมีธุระที่ต้องทำ เลยทำให้ต้องหยุดการไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะตั้งนาน แล้วผมจะได้เจอคนๆ นั้นมั้ยล่ะเนี่ย ความหวังที่ดูเหมือนจะน้อยนิดอยู่แล้วก็ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่
แต่ยังงัยวันนี้ผมก็ไปที่สวนสาธารณะแล้ว อากาศที่เต็มไปด้วยเมฆครึ้มอย่างนี้เหมาะกับการนั่งเล่นยิ่งนัก ผมไปนั่งที่เดิม อากาศที่เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ และลมที่พัดมาประทะกับตัวผม ทำให้ผมเริ่มรู้สึกหนาวเล็กน้อย ผมจึงหลับตาเพื่อรอรับฝน
" หายไปนานเลยนะ " เสียงที่ผมอยากได้ยินก็ดังข้างๆ หู ทำให้ผมลืมตาขึ้นมาทันที ผมก็ได้เห็นรอยยิ้มกับร่มคันเดิมที่ผมอยากเห็น
" พอดีมีธุระน่ะ เลยไม่ได้มานั่งรับฝนเลย เสียดาย "
" งั้นเหรอ ชั้นก็มานั่งรอนายที่นี่ ทุกครั้งที่มีเมฆครึ้มเลย แต่ก็ไม่เห็นเลย ชั้นนึกว่านายจะย้ายไปไหนซะแล้ว "
" อย่างชั้นจะย้ายไปไหนได้ ทำไมวันนี้ฝนตกไม่ตกอีกนะ "
" นั่นสิ ปกติมันต้องตกแล้วนี่ แต่อย่างนี้ก็ดี นายจะได้ไม่ต้องเปียกไง "
" อืม………. อีกเดือนนึงก็จะหมดช่วงฝนแล้ว "
" แล้วถ้าหมดแล้วนายจะมานั่งเล่นที่นี่อีกรึปล่าวล่ะ "
" ก็คงมาแหละเพราะชั้นก็ชอบฤดูหนาวพอๆกับฤดูฝนนี่แหละ "
" เหรอ…. ชั้นกลับชอบช่วงเวลาก่อนฤดูฝนมากกว่ามากกว่า ช่วงนั้นดอกหางนกยูงจะบานสะพรั่งเต็มต้นเลยล่ะ "
" ชั้นยังไม่เคยออกมาดูดอกหางนกยูงช่วงนั้นสักทีเลย "
" สวยนะ มาดูกับชั้นมั้ยล่ะ เดี๋ยวชั้นจะพอไปดู "
" สัญญาแล้วนะ "
" อื้ม สัญญา " วันนั้นเรานั่งคุยกันจนดึก ผมได้เล่าเรื่องราวของผมให้เค้าฟัง
ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ทำให้ผมได้พบกับคนๆ นั้นอีกครั้ง
ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ว่าผมจะได้เจออีกครั้ง
มันช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ
ทั้งผมและเค้าต่างพูดคุยกันถูกคอ
เรื่องราวของผมที่ผ่านมา ผมได้ถ่ายทอดให้เค้าฟัง
ไม่ว่าคนๆ นั้นจะเป็นใครมาจากไหน
แค่ทำให้ผมอบอุ่นได้ก็พอแล้ว….. หลังจากนั้นทุกๆ วันไม่ว่าอากาศจะเป็นยังงัย ผมก็จะไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะ ผมก็ได้เจอกับคนๆ นั้นทุกๆ วันเช่นกัน มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากสำหรับผม
" ชั้นเราก็คุยกันมาตั้งนานแล้ว ชั้นยังไม่รู้จักชื่อนายเลย "
" อีกไม่นานนายก็จะรู้เองแหละ "
" เหรอ งั้นก็ได้ " เราทั้งสองคุยกันจนเวลาผ่านล่วงเลยมาถึงช่วงปลายฤดูหนาวแล้ว ผมยังจำสัญญาที่คนๆ นั้นมีให้ผมได้เสมอ ว่าจะมาดูหางนกยูงด้วยกัน ผมก็ได้แต่ภาวนาให้ถึงวันที่เราสัญญากันไว้เร็วๆ พอกลับบ้านผมก็จะเขียนไดอารี่เหมือนเดิม แต่เรื่องราวในไดอารี่ของผมที่เมื่อก่อนมีแต่ตัวผมอยู่ในนั้นตอนนี้กลับมีใครบางคนเพิ่มเข้ามา ชีวิตของผมมีความสุขมาก ผมเริ่มรู้สึกว่าชอบคนๆ นั้นมากมาย ถึงแม้ว่าเค้าจะไม่ยอมบอกชื่อผมก็ตาม
" ชั้นมีอะไรจะบอก " ผมเอ่ยขึ้นหลังจากที่เรานั่งคุยกันเหมือนเดิม
" มีอะไรเหรอ "
คือว่า………ชั้นชอบนายนะ ไม่..ไม่รู้สิ ถึงแม้ว่าเราจะรู้จักกันแค่ช่วงเวลาที่สั้นแต่ชั้นก็รู้สึกผูกพันกับนาย "
" ชั้นก็เหมือนกัน " เราทั้งสองโผเข้ากอดกันท่ามกลางไอเย็นของฤดูหนาว การกอดกันครั้งนั้นมันทำให้ผมรู้สึกว่าช่องว่างระหว่างเราแคบลงมาก และมีความอบอุ่นอ่อนหวานแทรกผ่านเข้ามาแทน ความหนาวอยู่แค่ภายนอกร่างกายของเราทั้งสองเท่านั้น
วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตของผมเริ่มมีความหมายขึ้น
ผมได้เจอกับคนที่ผมอยู่ด้วยเฉย ๆ แล้วมีความสุข
คนที่ผมคิดถึงแม้ว่าผมไม่เหงาก็ตาม
คนที่ผมรู้ว่าจะช่วยให้ผมสบายใจได้
คนที่รับรู้ตัวตนที่แท้จริงของผม
คนจดจำความเป็นผมได้ทุกอย่าง
ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าอีกครั้ง……….. หลังจากวันนั้นเราทั้งสองก็ยังคงมานั่งเล่นพูดคุยกันเหมือนเดิม ช่วงนี้ก็เข้าสู่ร้อนแล้ว ดอกไม้ต่าง ๆ เริ่มพากันเบ่งบานเพื่ออวดความสวยให้ใครต่อใครได้ชื่นชม
" วันอังคารหน้า เราไปดูดอกหางนกยูงกันนะ "
" บานแล้วเหรอ ที่ไหนล่ะ "
" เอาน่าพอถึงเวลาก็รู้เองแหละ "
" อื้ม " ผมได้แต่ภาวนาให้ถึงวันนั้นเร็วๆ การรอคอยนี่มันทรมานจังเลยนะ เมื่อมันมาถึงแล้วผมก็ดีใจเป็นอย่างมาก ผมนั่งไม่เป็นสุขเลยระหว่างที่เราคุยกันแป๊บนึง
" ไปกันรึยัง " คนๆ นั้นถามผมที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว
" อื้ม รีบไปเถอะชั้นอยากเห็น จะไปดูที่ไหนกันล่ะ "
" เดินตามชั้นมาเรื่อยๆ นะ " ปากก็พูดให้ผมเดินตาม แต่จริงๆ แล้วคนๆ นั้นกลับเดินจูงมือผม ผมเดินไปพลางมองดอกไม้ไปพลาง มันเป็นด้านหลังสวนสาธารณะที่มีป่าอยู่ ผมไม่เคยรู้เลยว่าด้านหลังสวนสาธารณะจะมีธรรมชาติที่ยังคงงดงามขนาดนี้ เค้าพาผมเดินมาเรื่อยๆ ผมไม่รู้สึกเหนื่อยเลย อาจเป็นเพราะธรรมชาติที่รายล้อมอยู่รอบตัวผมทำให้ผมเพลิดเพลิน
" ถึงแล้ว " เค้าพาผมมาหยุดที่ลานกว้างแห่งหนึ่ง ลานกว้างที่เต็มไปด้วยต้นหางนกยูง มันเป็นภาพที่งดงามมาก กลีบของดอกหางนกยูงที่บานและร่วงหล่นมาจากต้น ปลิวไปทั่วบริเวณ ผมยืนนิ่งและมองไปรอบๆ
" มานี่สิ " เค้ากระตุกมือผมให้เดินตาม จนไปถึงต้นหางนกยูงใหญ่ที่อยู่ท่ามกลางต้นหางนกยูงทั้งหลาย ต้นหางนกยูงต้นนี้คงอยู่มานาน เพราะลำต้นของมันใหญ่มากและดอกหางนกยูงบานเต็มต้น
" สวยเนาะ "
" อื้ม ชั้นไม่นึกว่าจะสวยขนาดนี้ มันสวยจริงๆ ขอบคุณนะที่พาชั้นมาดู "
" ……….. " เค้าไม่พูดอะไรแต่ทิ้งตัวลงนอนบนลานหญ้าที่ปูด้วยกลีบดอกหางนกยูงสีสด เมื่อเห็นดังนั้นผมเลยนอนตามบ้าง เราทั้งสองนอนดอกดูหางนกยูง โดยไม่พูดอะไรกันเลย บรรยากาศแบบนี้ทำให้ผมนอนและเผลอหลับ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร แต่ตอนที่ผมหลับอยู่นั้นผมกลับได้ยินเสียงกระซิบที่ลอยมาตามสายลมที่พัดผ่านตัวผม
" ชั้นตามหาความหมายของทุกสิ่งมาตลอดชีวิต แต่พอชั้นได้เจอกับนาย มันทำให้ชั้นรู้ว่าสิ่งที่ชั้นตามหามันกลับอยู่ใกล้ ๆ ที่หัวใจของชั้นนี่เอง ขอบคุณนะ" ผมรู้สึกถึงริมฝีปากที่แผ่วเบาแตะบนริมฝีปากของผม ผมลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งที่สถานที่ที่ผมเรียกว่าบ้านของผมแต่มันก็คือโรงพยาบาลนั่นเอง
" ตื่นแล้วเหรอ ภัทร " เสียงอ่อนโยนของคุณหมอปาริฉัตรเอ่ยถาม
" ผมกลับมาได้ยังงัยครับ คุณหมอ "
" ก็มีคนไปพบเธอสลบอยู่ในป่ารกร้างนั่นน่ะสิ ทำไมไปอยู่ที่นั่นได้ล่ะ หืม ? ทั้งที่ก็รู้ไม่ใช่ว่าอาการของเธอน่ะ ห้ามใช้กำลังมาก แต่ที่ๆ ไปเจอเธอมันไกลมากเลยนะ "
" แล้วเพื่อนผมล่ะครับ "
" เพื่อนที่ไหนกันล่ะ เค้าเจอเธอนอนอยู่บนพื้นหญ้าแค่คนเดียวเท่านั้นแหละ ช่วงนี้ห้ามไปสวนสาธารณะ เพราะวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้เธอต้องผ่าตัดนะ ชั้นได้หัวใจที่จะเปลี่ยนให้เธอมาแล้วล่ะ "
" จากใครเหรอครับ "
" ก็เด็กอายุเท่าๆ กับเธอเนี่ยแหละ พ่อเค้าเห็นลูกตัวเองเป็นเจ้าชายนิทรามานานเป็นสิบปีแล้ว เค้าเลยตัดใจและบริจาคหัวใจของเด็กให้กับเธอ "
" อย่างงั้นเหรอครับ " ผมไม่ถามอะไรคุณหมอปาริฉัตรอีก เฝ้าแต่คิดถึงคนๆ นั้น เค้าหายไปไหนนะ ทำไมปล่อยให้ผมนอนอยู่ที่นั่นคนเดียว แล้วเสียงกระซิบนั่นอีก ไม่ว่ายังงัยผมก็จะไปที่นั่นอีกให้ได้
หลังจากการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง ผมก็พักฟื้นอยู่บนเตียงเฉย 3 เดือนเต็มๆ ไม่ว่าผมจะขอร้องคุณหมอยังงัยก็ไม่ให้ผมไปที่สวนสาธารณะ ได้แต่พูดคำว่า รอให้เธอหายดีก่อนนะ
" ภัทร วันนี้อยากไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะรึป่าว "
" ไปครับ " ผมลุกขึ้นจากเตียงและไปที่สวนสาธารณะทันที ผมนั่งรอคนๆ นั้น เป็นเวลานานจนกระทั่งความมืดเริ่มเข้ามาแทนที่ ผมก็ยังคงนั่งรออยู่อย่างนั้น
" ภัทร กลับได้แล้ว " แล้วคุณหมอก็มาตามผมกลับ ทำไมไม่มานะ ผมไม่เข้าใจจริงๆ ผมไปเฝ้าคอยเค้าคนนั้นทุกๆ วัน
นับตั้งแต่วันนั้นก็สองปีแล้วสินะ วันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุขมากเพราะผมจะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว คุณหมอปาริฉัตรบอกว่าผมแข็งแรงมากพอที่จะออกไปสู่โลกภายนอกได้แล้ว แม้ว่าจะรู้สึกเหงาๆ ที่ต้องจากทุกคน แต่ผมก็ต้องไปตามหาคนๆ นั้นของผมให้ได้ สถานที่แรกที่ผมจะไปคือที่ๆ เราได้สัญญากันไว้
วันนี้เป็นวันครบรอบปีที่สองที่ผมได้ไปดูดอกหางนกยูงกับเค้าคนนั้น ผมเดินเข้าไปในป่าท่ามกลางบรรยากาศที่เหมือนกับครั้งนั้น เพียงแต่ไม่มีคนที่จูงมือผมไปเท่านั้นเอง ผมเดินเข้าไปลึกเรื่อยๆ จนกระทั่งผมก็ได้พบกับมัน ลานต้นหางนกยูงกว้าง มันยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง ผมยิ้มอย่างพอใจแล้วเดินไปยังต้นหางนกยูงใหญ่ ผมนั่งลงพิงลำต้นที่แข็งแรงของมันและหลับตาลง มือก็พลางจับต้นหางนกยูงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้เจอกับรอยอะไรสักอย่าง ทำให้ผมลืมตาขึ้นมาดู รอยนั้นแม้เริ่มจะเลือนรางไปตามกาลเวลาแต่ก็ยังพออ่านได้ ผมพยายามเพ่งมอง มันถูกคนสลักไว้ว่า
“ ชั้นจะตามหาจนกว่าจะได้เจอกับนาย
10 พฤษภาคม พุทธศักราช 2465
กานท์ “
" แล้วชั้นก็ได้รู้จักชื่อของนายแล้วนะ My Sunshine " ผมมั่นใจว่าต้องเป็นเค้าคนนั้นของผมอย่างแน่นอน ผมค่อยๆ หลับตาลงอย่างช้าๆ ความรู้สึกของผมเหมือนล่องลอยอยู่บนปุยนุ่น แล้วการรอคอยของผมก็สิ้นสุดลง เมื่อผมเห็นรอยยิ้มที่สดใสเหมือนดั่งดวงอาทิตย์นั้นอีกครั้ง
" ไม่ต้องรอแล้วนะ เพราะชั้นอยู่ตรงนี้แล้ว ภัทร "
" อื้ม ….. นายก็เหมือนกัน กานท์ นายก็ไม่ต้องตามหาอีก เพราะต่อจากนี้เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป " เราทั้งสองประคองกอดกันท่ามกลางกลีบดอกหางนกยูงสีสดที่ปลิวไสวไปทั่วบริเวณ ภาพแห่งความงดงามนั้นก็จะตราตรึงอยู่ในใจเราตลอดไป ……………………………….
…………………………………………
………………………………..
…………………
………….
……..
…..
…
.
“ ความหมายของหัวใจ เราอาจจะหาความหมายของทุกสิ่งมาตลอดชีวิต
แล้ววันหนึ่งเราก็พบว่า เพียงแค่มีบางสิ่ง ชีวิตก็มีความหมายแล้ว “ The endปล. กานท์กับเด็กที่บริจาคหัวใจให้กับภัทรอะ คนละคนกันนะ ที่บอกเพราะกลัวว่าจะเข้าใจผิดเพราะอ่านของตัวเองก็ยังคิดแบบนั้นเลย เอิ๊กๆๆๆ