สุดปลายบันไดรัก
ลูกมะม่วงบนต้นมะม่วงหน้าบ้านผมสุกแล้วล่ะ สีเหลืองทองสวยน่ากินเหมือนมะม่วงส่งออก สมราคาคุยเจ้าของถุงห่อจริงๆ ปีนี้ผมไม่ต้องสอยเอง มีคนมาสอยให้แล้ว ผมมีหน้าที่ปอกอย่างเดียว
“คุณไพฑูรย์ ผมว่าพันธุ์ฟ้าลั่นนะ” นพรัตน์ว่า ปากยังเคี้ยวมะม่วงตุ้ยๆ ผมเลยเอ็ดว่าให้เขากลืนลงไปก่อน เดี๋ยวสำลัก เขาก็เคี้ยวๆ กลืนแล้วพูดต่อ “แต่อาจจะผสมกับแรดก็ได้”
ผมชักสงสัยว่าเขามีความรู้ด้านมะม่วงหรือเดามั่วกันแน่ เลยถามออกไป “คุณรู้ได้ไงน่ะ?”
“เดาเอาครับ” เขาตอบและยิ้มหน้าบ้าน เออ กล้าคิดกล้าทำจริงๆ เด็กคนนี้
“แต่อร่อยนะครับ ผมยังไม่เคยกินมะม่วงที่ไหนอร่อยขนาดนี้”
แน่ะ กินฟรีแล้วต้องปากหวาน ตามสูตรจริงๆ ผมเลยแขวะเขาไป “ไม่ต้องทำหวานเลี่ยนใส่ผมหรอก เปรี้ยวก็บอกมา ผมลองชิมแล้ว เปรี้ยวอยู่นะ”
“ผมชอบเปรี้ยวๆ หวานๆ แบบนี้แหละ ทานของหวานมากๆ ไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ” เจ้านพรัตน์เถียงผม พลางทำหน้าเป็นห่วง ผมมองหน้าเขาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาก็ยิ้ม ยิ้มกระมิดกระเมี้ยนแบบคิดอะไรอยู่ในใจอีกแล้ว เจ้าเด็กคนนี้นี่.. ถึงขั้นนี้แล้วยังจะยิ้มแบบนี้อยู่ได้
เรานั่งทานมะม่วงเป็นผลไม้หลังอาหารเช้ากันที่โต๊ะทานข้าว พักนี้เจ้านพรัตน์ย้ายมาอยู่กับผมแทบจะเรียกได้ว่าถาวรแล้ว เรียกว่าหอบเสื้อหอบผ้ามากินนอนแทบจะจันทร์ถึงเสาร์ มีกลับบ้านบ้างช่วงวันอาทิตย์ ผมก็ไปกับเขานะ ไปช่วยเขาทำความสะอาดด้วย ก็เขามาช่วยทำความสะอาดบ้านผมทุกวันนี่นา
“คุณนพ จะกลับบ้านกี่โมงน่ะ” ผมถามหลังจากปอกมะม่วงให้เขาทานไปได้สามลูกแล้ว เจ้าเด็กนี่กินจุจริงๆ นะ วันก่อนผมไปบ้านเขา เห็นอัลบั้มรูปเก่าๆ ไม่บอกไม่รู้ว่าตอนเด็กๆ เขาตัวนิดเดียวเอง เขาบอกผมว่าแต่ก่อนพี่ๆ เพื่อนๆ เรียกเขาว่าเจ้าเปี๊ยกล่ะ เออ ผมเห็นรูปเขาตอนเด็กก็นึกเห็นด้วยหรอก แต่ถ้าให้เรียกตอนนี้ สงสัยจะเรียกไม่ลง ตัวเขาใหญ่อย่างกับอะไรดี คนเรานี่มันก็มีพัฒนาการไปได้ถึงขนาดนี้เลยหรือนี่
“เดี๋ยวสักพักก็ได้ครับ คุณอย่าไปรื้อของที่บ้านผมเล่นอีกนะ” เขาว่า ผมนึกฉุน ผมแค่เดินดูนั่นดูนี่ดันมาพูดเหมือนผมเป็นเด็กไปได้
“คุณนพ ผมแก่ขนาดเป็นพ่อคุณได้แล้วนะ คุณไม่ต้องมาทำเหมือนผมเป็นเด็กๆ หรอก” ผมเอ็ด เจ้านพรัตน์มองผมแล้วทำหน้าหงอๆ แต่ผมว่าเขาไม่กลัวผมอย่างที่ทำหรอก นึกแล้วอยากง้างเท้าถีบจริงๆ ให้ตายสิ
---------------------------------------------
สักสิบโมงผมก็มานั่งอยู่บนโซฟาหุ้มหนังตัวเก่าที่บ้านเขา บ้านเขากับบ้านผมอยู่ห่างกันไม่มาก ห้านาทีก็ถึงแล้ว มาถึงเขาก็บอกให้ผมนั่งรอ แล้วก็ไปหยิบไม้กวาดมากวาดบ้าน ผมนั่งอยู่สักพักก็ลุกเดิน ใครมันจะไปนั่งเฉยๆ ล่ะ
บ้านเดิมนพรัตน์เป็นบ้านสองชั้น ชั้นล่างเป็นห้องเดียวโล่งๆ มีกำแพงกั้นครัวอย่างเดียว ที่เหลือก็เอาโต๊ะบ้าง ตู้โชว์บ้างกั้นเอา ด้านบนมีสามห้อง ห้องใหญ่เคยเป็นของพ่อแม่เขาน่ะ พอพ่อแม่เสีย พี่สาวคนโตเลยใช้อยู่พักหนึ่ง แต่ไม่นานก็ไปต่างประเทศ เลยกลายเป็นมรดกเขาแทน เพราะอีกสองห้องที่เหลือ พี่สาวกับพี่ชายอีกคนจับจองไปแล้ว
“คุณไพฑูรย์จะไปไหนครับ” นพรัตน์ถามทั้งๆ ที่ยังถือไม้กวาดอยู่ พอเห็นผมลุกขึ้นเดิน ผมเลยหันไปตอบเขา “ผมว่าจะขึ้นไปช่วยจัดด้านบนหน่อย”
“ไม่เป็นไรครับ คุณนั่งเฉยๆ ดีกว่า เดี๋ยวผมเอารูปเก่าๆ มาให้ดูแก้ว่าง” เจ้านพรัตน์ว่า นั่นแน่ะ จะหลอกล่อผมด้วยรูปสมัยเด็กๆ อีกแล้ว ผมไม่หลงกลหรอก ผมมาบ้านเขา เพราะอยากรู้จักเขาให้มากขึ้น รูปน่ะผมดูไปเยอะแล้ว ขอดูห้องเขาบ้างดีกว่า ทีบ้านผมเขายังเข้าออกทุกห้องเป็นว่าเล่นเลยนี่นา
“ผมอยากไปดูห้องคุณน่ะ” ผมตอบ แล้วเดินขึ้นบันไดไปเลย เจ้านพรัตน์รีบวิ่งตามมา พอเห็นเขาทำท่าจะอ้าปากพูด ผมเลยรีบดักทางไว้ก่อน
“มีอะไรไม่อยากให้ผมรู้หรือไง?”
เขาทำหน้าอึ้งๆ แล้วสั่นศีรษะ ผมเลยพูดต่อ “งั้นกวาดบ้านไปเถอะ ผมแค่อยากขึ้นไปดูเฉยๆ เท่านั้นแหละ”
เขายืนอยู่พักแล้วก็พยักหน้า แต่ไม่วายห้ามผมอีกแน่ะ “ห้ามรื้ออะไรออกมานะครับ”
“อืม” ผมส่งเสียงในคอไปงั้นๆ เอาเถอะ ถ้าไม่มีอะไรน่าหยิบขึ้นมาดู ผมไม่หยิบหรอก ผมไม่ค่อยชอบหยิบของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตอยู่แล้ว
แต่พอผมเปิดประตูเข้าไปนะ โห.. ผมไม่อยากรื้อ แต่ก็ยืนเฉยๆ ไม่ไหวหรอก รกอย่างกับอะไรดี โต๊ะน่ะมีที่ว่างอยู่นะ แต่หนังสือที่วางซ้อนอยู่นี่สิ ไม่เป็นระเบียบเอาเสียเลย เล็กๆ ใหญ่ๆ ทำไมไม่รู้จักจัดให้เล่มเท่ากันอยู่ด้วยกันนะ แบ่งหมวดเอาแล้วค่อยเรียงก็ได้ ยังมีสารพัดแฟ้มที่เสียบๆ กันอยู่ในกล่องอีก จัดให้มันเท่ากันไม่ได้หรือไง
ผมมองอยู่พัก ทนไม่ไหวเลยต้องหยิบออกมาจัด นพรัตน์อ่านหนังสือหลายแบบนะ มีทั้งหนังสือวิชาการ หนังสืออ่านเล่น ส่วนใหญ่เป็นนิยายฝรั่ง ไม่ใช่นิยายรักด้วยนะ เป็นนิยายเชิงวิทยาศาสตร์ ดีนะที่ไม่มีนิยายเกย์ ไม่งั้นผมคงต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ แต่มาถึงขั้นนี้แล้วผมระวังยังไงก็คงไม่รอดอยู่ดี
จัดหนังสือให้เขาเสร็จ ผมก็รื้อแฟ้มออกมาจัดให้เขาต่อ แต่พอดึงออกมาผมอึ้งไปนิดๆ เลยล่ะ แฟ้มส่วนใหญ่ใส่รูปวาดน่ะ เป็นรูปเหมือนเขาด้วยมั้ง วาดสวยดี ไม่ยักรู้ว่าเจ้านพรัตน์ชอบวาดรูป แต่คนอะไรมันจะวาดรูปตัวเองเยอะขนาดนี้ ผมเลยหยิบขึ้นมาดูใบหนึ่ง เห็นมีลายเซนอยู่ใต้รูป อืม ลายเซนคุ้นๆ นะ เหมือนผมเคยเห็น แต่นึกไม่ออกว่าที่ไหน จริงๆ ผมก็ชอบไปดูงานศิลปะเหมือนกันนะ เส้นสายแบบนี้ก็คุ้นๆ นี่เจ้านพรัตน์เคยมีเพื่อนเป็นจิตกรหรือไง
ปรากฏว่าแฟ้มที่ใส่รูปเขามีหลายแฟ้มเลยนะ ผมชักสงสัยแล้วว่าจะไม่ใช่แค่เพื่อนซะแล้วสิ แต่เส้นที่วาดสวยคม แล้วก็พลิ้วดีจริงๆ ทำเอาเจ้านพรัตน์ดูดีเกินเหตุนะเนี่ย ผมเลยเปิดดูเสียเพลิน มารู้ตัวอีกทีตอนเจ้านพรัตน์เดินมาแล้วทัก
“คุณไพฑูรย์ ทำอะไรน่ะครับ?”
ผมเงยหน้ามองเขา ทำหน้านิ่งๆ แล้วตอบไปเสียงเรียบ “ผมเห็นมันรกเลยช่วยจัด”
เขาพยักหน้า แต่ยังจ้องหน้าผมตาไม่กะพริบ ก็เห็นว่ารูปมันสวย ก็เลยเปิดดู ผิดมากหรือไงนะ ผมเลยจ้องหน้าเขากลับ สักพักเขาก็ยิ้มออกมา น่ะ ยิ้มแล้วหน้าแดงอีกแล้ว หยุดยิ้มแบบนี้สักทีได้มั้ยเนี่ย
“สวยใช่ไหมล่ะครับ อาจารย์ผมวาดให้น่ะ”
“อ้อ” ผมร้องออกมา แล้วหันไปมองหน้าเขา เขาเดินมาใกล้เกินไปแล้วนะ ผมว่า หน้าผมกับหน้าเขาแทบจะชนกันอยู่แล้ว
เขาหันมามองผม แล้ว.....แล้วก็จูบผม
เฮ้ย นี่มันผิดสถานการณ์ไปหน่อยแล้วมั้ง เอ่อ.... ผมกับเขาน่ะมากันถึงขั้นนี้แล้วก็จริง แต่นี่เรามาช่วยกันทำความสะอาดบ้านนะ แล้วผมก็แค่เปิดดูรูปวาดเขาเท่านั้นเอง
เจ้านพรัตน์แรงเยอะเป็นปกติ จูบผมได้สักพักก็ทำท่าจะกดผมลงบนโต๊ะ ผมเลยต้องโวยวาย ก่อนที่ตัวเองจะตกที่นั่งลำบาก “คุณนพ จะทำอะไรน่ะ?!”
นพรัตน์มองหน้าผม กัดปาก หน้าแดงนิดๆ “ชอบรูปผมไหมครับ?”
ตอบไม่ตรงคำถามสักนิด ให้ตายสิ
“อืม สวยดี อาจารย์ที่วาดให้คุณชื่ออะไรน่ะ?”
“พิสุทธิ์ คุณรู้จักหรือครับ?”
เขาถาม สงสัยจะเห็นผมเลิกคิ้วล่ะมั้ง พิสุทธิ์ อ้อ.. คุณน้อย เออ ผมรู้จักนะ เป็นจิตกรนี่เอง ผมยาวๆ ตัวซีดๆ หน่อย เคยเจอเขาหนหนึ่งนานแล้ว ตอนไปดูนิทรรศการเขานั่นแหละ
ผมเลยพยักหน้า คราวนี้เขาเบิ่งตาบ้าง “คุณรู้จักหรือครับ เป็นเพื่อนกันหรือเปล่า?”
“เปล่า” ผมสั่นศีรษะ แล้วหันไปมองหน้าเขา “ไม่ใช่ว่าอาจารย์ที่คุณเคยจีบเป็นเขาหรอกนะ”
เจ้านพรัตน์ไม่ตอบ แต่ยิ้มเขินๆ อีกแล้ว เจ้าเด็กแก่แดดนี่ น่าถีบจริงๆ เลย
แต่ผมไม่อยากยกเท้าถีบเด็กรุ่นลูก เลยเก็บรูปใส่แฟ้มเหมือนเดิม แล้วจัดระเบียบให้ดี ไม่วายบอกเขาเพิ่ม “เก็บให้มันดีหน่อยสิ เขาอุตส่าห์วาดให้คุณนะ”
“ผมว่าผมเก็บดีแล้วนะ” เจ้านพรัตน์เถียง ผมเลยชี้ให้เขาดูกองที่เหลือว่าเรียงเล็กบ้างใหญ่บ้างแบบนี้มันดีตรงไหน เขาก็แก้ตัวเสียงอ่อนๆ “แต่มันก็วางชิดกันนะครับ”
“เหอะ” ผมแค่นเสียง ขี้เกียจเถียงกับเขาต่อเลยจัดแฟ้มพวกนั้นให้เข้าที่ สักพักเขาก็กอดเอวผมไว้
“พื้นด้านล่างกวาดเสร็จแล้วหรือไง” ผมถาม พอเห็นเขาเอาหน้าเกยไหล่ แล้วเริ่มจูบแก้มผม
“อืม”
“ถูแล้ว?”
“ครับ”
“.................................”
“คุณไพฑูรย์….”
ผมรีบปัดมือเขาออก พรุ่งนี้วันจันทร์ ผมจะไม่ยอมให้เขาทำอะไรวันนี้เด็ดขาด ไม่อยากเดินขาถ่างไปทำงานน่ะ ใครบ้ามันจะชินกัน ผมไม่ชินแน่ๆ ชาตินี้ทั้งชาติผมไม่มีทางชินกับเรื่องแบบนี้เด็ดขาด แค่เมื่อคืนก็...
“คุณนพ ผมว่าคุณจัดห้องบ้างดีกว่านะ” ผมว่า และเดินหนีเขาออกมา เห็นลังวางอยู่เลยเปิดออกดู
“คุณไพฑูรย์!” เจ้านพรัตน์ร้องเสียงตกใจน่าดู รีบวิ่งมาหาผมอีก “อย่ารื้อของในห้องผมเล่นสิครับ”
ผมเงยหน้ามองเขา แล้วถาม “ลังใส่อะไรของคุณน่ะ ไม่กลัวปลวกจะขึ้นหรือไง วางซ้อนกันไว้แบบนี้”
เขากัดปากนิดๆ แล้วตอบผม “สมุดบันทึกผมนะ ผมเก็บใส่ลังไว้ ห้ามแอบเปิดอ่านนะครับ”
ผมเชิดหน้านิดๆ แล้วปิดลัง ผมไม่มีรสนิยมอ่านบันทึกคนอื่นหรอกนะ รู้แล้วล่ะว่าเจ้านพรัตน์เขียนบันทึก เพราะหลังๆ นี่ก็เขาไปเขียนที่บ้านผม ถ้าผมอยากอ่าน ผมอ่านไปนานแล้วล่ะ ผมเงยหน้ามองเขาอีกพัก แล้วพูดเรียบๆ
“ห้ามเขียนอะไรบ้าๆ ถึงผมนะ ถ้าผมรู้ล่ะก็.....”
“ไม่เขียนหรอกครับ คุณสบายใจได้” เจ้านพรัตน์รีบตอบ แล้วกอดผมอีก
“คุณไพฑูรย์...”
“หืม?”
“อยากนอนเตียงผมมั้ย?”
ผมเหลือบตามองเตียงเขาที่มีผ้าคลุมอยู่ ซึ่งวางอยู่ไม่ไกล ก่อนจะตอบเสียงเรียบ “ไม่”
“คุณไพฑูรย์....”
“พรุ่งนี้วันจันทร์นะ”
“วันอื่นก็ได้ครับ”
“วันอื่นก็ไม่ได้”
“ทำไมล่ะ?”
“ผมบอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้”
“งั้นเตียงที่บ้านคุณก็ได้...”
ผมเลยเหยียบเท้าเจ้านพรัตน์ทีหนึ่ง แล้วเดินหนีลงมาชั้นล่าง เจ้านพรัตน์ก็เดินตามลงมาติดๆ แต่อย่าหวังเลย โซฟาผมก็ไม่เอาเหมือนกันล่ะ
“คุณไพฑูรย์…” เจ้านพรัตน์เรียกผมอีก ผมกวาดตามองไปรอบๆ บ้านเขา อืม.. เขากวาดบ้านถูพื้นเรียบร้อยแล้วจริงๆ นั่นแหละ ผมยืนอยู่พักหนึ่ง ก็พูดขึ้นต่อ “จะขนอะไรไปอีกไหม?”
“ไม่มีแล้วครับ อ้อ.. มีๆ “ เขาว่า และเดินหายขึ้นไปชั้นบน เออ เด็กสมัยนี้นี่ อายุไม่เท่าไหร่ก็หัดขี้ลืมเสียแล้ว พอเขาเดินลงมา ผมก็ถามทันที “อะไรน่ะ”
“รูปคุณกับผมครับ” เขาว่า แล้วยิ้มหน้าบาน “ผมเอาใส่กรอบวางไว้บนโต๊ะน่ะ คุณไม่เห็นหรือครับ?” เขาว่า ผมมองดูกรอบรูปเล็กๆ ในมือเขา และขมวดคิ้ว โต๊ะเขารกแบบนั้นผมเห็นความรกก่อนเห็นกรอบรูปแน่ๆ เลยสั่นศีรษะ เขาทำหน้าน้อยใจนิดๆ
“ผมวางเอาไว้ตรงโต๊ะเลยนะ เอาไว้ดูเวลาคิดถึงคุณโดยเฉพาะเลย”
ผมขนลุกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ เลยรีบถามต่อ “คุณจะเอาไปทำไมน่ะ”
“อ้อ เอาไปวางที่หัวเตียงเราไงครับ จะได้มองด้วยกัน”
ผมมองหน้านายนพรัตน์ เขามองผม แล้วยิ้มเขินๆ ผมเลยเดินจ้ำอ้าวออกมาเลย
เพราะเขาทำท่าจะกอดผมอีกแล้วล่ะ ผมกลัวเขาไม่เลือกทั้งเตียง ไม่เลือกทั้งโซฟาน่ะสิ
------------------------------------------------------------------------------
พอมาถึงบ้านผมถึงมีอารมณ์จะขอเขาดูรูป เป็นรูปที่ผมถ่ายกับเขาตอนที่ไปเที่ยวตลาดน้ำกันตั้งแต่ตอนโน้น ผมดูอยู่สักพักแล้วคิดว่ารูปนี้ผมดูไม่ดีเอาเสียเลย
“คุณนพ ผมว่าเอารูปอื่นดีกว่า” ผมว่า หลังจากที่เขาเอารูปนั้นไปวางไว้ตรงหัวเตียงแล้ว เออ ผมต้องซื้อเตียงใหม่ล่ะ เพราะเตียงเก่าถึงไม่แคบมาก แต่เขาตัวใหญ่ ผมทนนอนเบียดทุกคืนไม่ไหว อึดอัดน่ะ เลยต้องซื้อหลังใหม่ ของเก่าก็ยกให้มูลนิธิไป แอบเสียดายเหมือนกัน แต่ทำไงได้ ให้เขานอนซุกทุกคืนผมนอนหลับไม่สนิทนี่นา แรกๆ ที่เปลี่ยนเตียงผมก็ไม่ค่อยชิน แต่เพราะมีเขาอยู่ด้วยเลยพอจะหลับได้ แปลกดีเหมือนกันนะ ผมไม่ชินเตียง แต่ชินเขา
“รูปอื่น?” เขาพูดพลางมองดูกรอบรูปสองสามกรอบที่วางอยู่เดิม เออ ผมลืมบอกไปน่ะ หัวเตียงใหม่ผมมีรูปวางอยู่แล้ว ส่วนใหญ่เป็นรูปที่เราไปเที่ยวกันนั่นแหละ เจ้านพรัตน์มองอยู่พักหนึ่งก็หันมายิ้ม
“ไม่เป็นไรครับ ผมชอบรูปนี้ เดี๋ยวสงกรานต์นี้เราไปป่าตองกันดีไหม ผมอยากถ่ายรูปคุณเวลาเดินริมทะเลน่ะ”
ผมมองหน้าเขา แล้วทำหน้าย่น “สงกรานต์คนเยอะจะตาย ผมไม่อยากไปเบียดหรอก อีกอย่าง ป่าตองมีแต่ฝรั่ง”
“งั้นไปสงขลาก็ได้ครับ มีนางเงือกทองด้วยนะ ไปถ่ายรูปกัน เห็นว่าทะเลก็คนไม่เยอะด้วย”
“ไกลนะ” ผมว่า นพรัตน์ยิ้ม “ไม่เป็นไร นั่งเครื่องไปชั่วโมงกว่าก็ถึงนะ ผมมีตั๋ว...”
“ถ้าอยากไปจองตั๋วล่วงหน้าเลยนะ เดี๋ยวเต็ม” ผมรีบสวนเขา เจ้าเด็กนี่ยังติดมุขตั๋วฟรีอยู่อีกรึนี่ คิดว่าผมรู้ไม่ทันหรือไง เจ้านพรัตน์หัวเราะเขินๆ แล้วจูงมือผมไปนั่งหน้าเครื่องคอมพิวเตอร์
“เดี๋ยวจองตั๋วแล้วจองโรงแรมกันนะครับ แล้วค่อยคิดว่าจะไปเที่ยวตรงไหนบ้าง จังหวัดใกล้ๆ ก็มีนะ”
“อืม” ผมส่งเสียง “ยังไงก็ได้ อย่าให้โดนระเบิดก็พอ”
เจ้านพรัตน์หัวเราะเขินๆ อีก “ที่สงขลาไม่มีหรอกครับ ผมมีเพื่อนอยู่ที่นั่นนะ”
เพื่อนหมอนี่มีอยู่ทั่วประเทศเลยหรือไง ผมนั่งดูเขาจองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรม แน่นอนว่าเตียงคู่ เพราะผมไม่มีเหตุมาอ้างขอเตียงเดี่ยวกับเขาแล้ว เราคุยกันถึงเรื่องแผนการเที่ยวสักพัก เขาก็จับมือผมไว้ แล้วยกขึ้นจูบ แน่ะ มามุขนี้อีกล่ะ
“ปีนี้ฉลองปีใหม่กับผมนะครับ”
ผมมองเขา ก่อนจะพยักหน้า เจ้านพรัตน์ยิ้มหน้าบานอีกแล้ว
เฮ้อ ปีใหม่ยังอีกตั้งนาน เขาจะรีบถามไปทำไมนะ ยังไงผมก็ไม่คิดจะไปฉลองปีใหม่กับใครอยู่แล้ว ขอให้เขาอยู่กับผมจนถึงวันนั้นก็แล้วกัน
อย่าหายไปแล้วกลับมาทำให้ผมต้องเป็นลมเป็นแล้งอีกล่ะ
-------------------------------------------------------
(จบ)
**เรื่องนี้จบแล้วนะคะ คาดว่าึคงจะออกรวมเล่มได้ประมาณช่วงต้นๆ ปีหน้าค่ะ (เพราะต้องเคลียร์รวมเล่มMy neighbor is a spy ให้เสร็จก่อนค่ะ)
*** เผื่อใครสนใจงานอื่นค่ะ งานที่ลงในบอร์ดนี้
My neighbor is a spy!
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25823.150Yes! Master
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=27740.new#newรวมเรื่องสั้น
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25908.0