อดทนกันนิดนะ ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว
เรื่องสั้นคั่นเวลา.....ก็แค่ผู้ชายหยอกล้อกัน ตอน บางอย่างที่หายไป เดินทางข้ามวันเวลาของความเจ็บปวดมาได้ ไม่ตายก็นับว่าบุญแล้ว
เดียร์เดินเรื่อยเปื่อย ก้าวขาเดินเรื่อย ๆ เพื่อมุ่งตรงไปที่ตึกคณะเพื่ออ่านรายชื่อบนป้ายประกาศภาควิชาที่ตัวเองเรียน
นอนอยู่บ้านได้ไม่ถึงสองวันก็มีอันต้องรีบแจ้นกลับมา
สาเหตุเพราะว่า ถึงแม้จะอยู่ในอารมณ์เศร้าซึม ซึมเศร้าอย่างนัก แต่จะช้ำรักให้นานก็ไม่ได้ ช้ำไปเรียนไปควบคู่กันก็ไม่ถือว่าเป็นการเสียเวลาแต่อย่างใด
“เฮ่อ จะมีใครรู้บ้างมั้ย ว่าคนหน้าตาดีอย่างกูกำลังอยู่ในช่วงทุกข์ใจ”
บ่นพึมพำแล้วก็หัวเราะร่วน พยายามจะทำให้ตัวเองอารมณ์ดี อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายเอาไว้ จะได้ลืม ๆ เรื่องที่ควรจะลืมซะบ้าง
นอนจมบ่อน้ำตามาหลายวัน จะเศร้าต่อไปอีกหลายวันก็ไม่แปลก
แต่จะมัวนั่งเศร้าอย่างเดียวมันไม่ได้นะเว้ย บอกตัวเองอย่างนั้นและยังคงพยายามตีหน้าระรื่น ยิ้มร่าเริงเข้าไว้เมื่อต้องพบกับใคร ๆ อีกมากมาย
“แก้เหมือนกันเลยว่ะ อะไรวะ นึกว่าไม่ต้องแก้ไขแล้วนะเว้ย แม่งยังต้องแก้อีกเพียบเลยว่ะ”
ใครอีกคนที่มันมักจะเรียกตัวเองว่า ผู้เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้านี้ไม่มีใครเทียมเท่า ยืนเกาหัวแกรก ๆ อยู่ข้าง ๆ แล้วก็หันมาส่งยิ้มให้เดียร์ที่ยืนทำหน้าสบายอารมณ์ถือกระป๋องน้ำอัดลมอยู่ไม่ห่างจากกันมากนัก
“ไหนว่ามึงเจ๋งสุดไง ห่วยเหมือนกันล่ะว๊า ฮ่า ฮ่า ไอ้รักเอ้ย เก่งอย่างมึงยังตกเลย แล้วอย่างกูจะเหลือเหรอวะ กูมาเป็นพิธีงั้นแหละ เพราะกูตกชัวร์ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
หัวเราะไป แล้วก็ยืนเท้าเอวมองป้ายประกาศด้วยความขำ
มันมาดูแล้วมั้งรายชื่อน่ะ ไอ้ฮวยไม่เคยช้านี่ เผลอ ๆ มันอาจจะมาดูบอร์ดก่อนแล้วก็ได้ ใครจะไปรู้
“มึงผ่านว่ะ บัดดี้หน้าหยกคู่มึงก็ผ่าน อะไรวะ แม่งทำรายงานก็ไม่ได้เรื่องผ่านได้ไงวะ”
ปากหมาแล้วมั้ยล่ะ คิดจะอำเหรอ ไหน ๆ ชื่อกูอยู่ไหนขอดูหน่อย ไม่มีล่ะมึงกูเตะคว่ำแน่ไอ้รัก
ยืนหัวเราะกับใบหน้าหงิก ๆ งอ ๆ ของเพื่อนแล้วค่อยบรรจงแตะปลายนิ้วลงไปที่กลางหน้าป้ายประกาศด้วยท่าทียียวนกวนประสาทเต็มที เลื่อนปลายนิ้วลงมาที่รายชื่อของตัวเองและหันไปมองหน้าเพื่อนเป็นพัก ๆ เหมือนอยากจะบอกว่า ถ้าไม่มีชื่อกู มึงโดนแน่
และเมื่อสายตาเลื่อนลงมาตามปลายนิ้วก็เห็นข้อความว่า.....
ผ่าน
ล้อเล่นมั้ง
ไหงมันผ่านง่ายงั้นล่ะ
หันไปมองหน้าเพื่อนแบบงง ๆ และหันกลับไปอ่านอีกครั้ง
ผ่านจริง ๆ
รอบสองด้วย
แต่กูไม่ได้ทำรอบสองนะ ทำไปรอบเดียวเอง แล้วอีกรอบใครมันเอาไปทำวะ ถึงได้ออกมาว่าผ่านแบบนี้
ใครทำ
จะมีใครวะ
ก็บัดดี้มันก็มีแค่.....ไอ้ฮวยคนเดียว
“โง่ซะงั้น ก็ไหนกูเจอไอ้ฮวยวันก่อน มันบอกว่าของมันเรียบร้อยแล้ว กูยังถามเลยว่าคู่กับไอ้เดียร์โง่เหรอ มันยังบอกว่าเออเลย แล้วดูสิ กูต้องทำรอบสอง คนอื่นยังไม่ทำเลย มึงสองคนส่งก่อน ผ่านก่อนเฉยเลยอะไรวะเนี่ย
เอาเปรียบพวกกูนี่หว่า”
เปล่า
กูไม่ได้เอาเปรียบ แต่กูเริ่มรู้อะไรบางอย่างแล้ว
ไอ้ฮวยมันหลบหน้า มันรู้ว่าตกแน่ถึงได้รีบเอาไปทำก่อน
ไม่ได้อยากเอาเปรียบนะ แต่ว่า ก็ดีแล้ว เจอกันก็ทำหน้าไม่ถูก ดีแล้วที่ไม่เจอกัน เพราะว่าคงไม่รู้จะทำหน้ายังไงเวลาที่ต้องพูดคุยกัน
ถึงตอนนี้จะพยายามคิดถึงเวลาที่ต้องเจอกันอีกครั้งเอาไว้แล้ว แต่ก็คงไม่มีอะไร อย่างมากก็แค่ปะทะคารมย์กันอีกครั้งสองครั้ง แต่คงไม่นาน เพราะว่ามันก็คงเกลียดขี้หน้าไปแล้ว เจออีกที คงแยกเขี้ยวใส่และคงแทบไม่อยากจะมองหน้ากันด้วยซ้ำไป
“แกล้งมึนนะมึงไอ้เดียร์ บัดดี้หน้าหยกคู่กับมึงบินลัดฟ้ากลับไต้หวันไปเมื่อวานซืน แม่งพากันไปแดกเหล้าฉลองกันสองคนหรือเปล่าไม่รู้ งกชิบหาย เพื่อนฝูงไม่รู้จักชวน”
ยังคงยืนหัวเราะ
และหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องตลกนักหนา
ฮ่า ฮ่า บินกลับไต้หวันไปแล้ว ตลกว่ะ
กลับง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ กรุงเทพไต้หวันไม่ใช่กรุงเทพกาญจนบุรี ถึงจะได้กลับกันได้ง่าย ๆ นะเว้ย
“อำแหละ”
ยังคงหัวเราะไม่เลิก และเชื่อว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นเรื่องไม่จริง
“มันบอกกลับมาอีกที อาจจะตอนรับปริญญา หรือไม่แน่ถ้าไม่มีธุระจำเป็นอะไรมันก็คงไม่กลับมาแล้ว เพราะบ้านมันไปตั้งรกรากอยู่ไต้หวันกันหมด อย่างว่าแหละครอบครัวทำธุรกิจ จะให้มันอยู่กับที่นาน ๆ ก็ยากว่ะ”
หน้ายังยิ้ม
เวลานี้ยังคงหัวเราะ
ใช้หลอดหมุนไปมาในกระป๋องน้ำอัดลม และเริ่มรู้ว่าตัวเองกำลังจะหัวเราะไม่ออก เพราะรับรู้ได้ถึงบางอย่างที่กำลังเริ่มถล่มทลายลงต่อหน้าต่อตา
“กลับไต้หวันเมื่อวานซืนเหรอ จริงดิ ไม่จริงมั้ง ทำไมกูไม่รู้เลย ก็วันก่อนมันยัง....ยัง”
ถามย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ และอยากจะได้ยินคำตอบที่ว่า ใครคนนั้นยังไม่ได้ห่างไปไหน ยังคงอยู่ใกล้กันแค่นี้
แค่อยากเจอหน้าก็จะได้เจอ ถึงแม้อาจจะไม่ได้พูดคุยกันอีก แต่ก็ยังคงได้เจอถ้าต้องการ
“พอเหอะไอ้เดียร์ มึงกะไอ้ฮวยอ่ะ แอบไปแดกเหล้ากันสองคนไม่ชวนเพื่อนฝูง ผ่านทั้งทีไม่รู้จักฉลอง กูล่ะซึ้งน้ำใจมึงจริง ๆ “
ได้ยินเสียงแว่ว ๆ ของเพื่อน แต่กระป๋องน้ำอัดลมหล่นลงพื้นไปแล้ว
ไปแล้วเหรอ
กลับไต้หวันไปแล้ว
โดยที่ไม่รู้ และไม่ได้บอกลากันสักคำ
กลับไปแล้วจริง ๆ เหรอ
ไปจริง ๆ ใช่มั้ย ล้อเล่นหรือเปล่า ไม่จริงใช่มั้ย
ฝ่ามือสั่นเทาควานมือค้นหาโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพาย และกดหมายเลขที่ต้องการจะโทรหา
มันเลขอะไรกันแน่
ทุกทีไม่เคยจำ บันทึกไว้แต่ชื่อไอ้เฮงซวยตลอด ถึงคราวที่ต้องใช้จริง ๆ กลับจำไม่ได้ ไม่น่าลบทิ้งไปเลย ไม่น่าเลยจริง ๆ
“เฮ้ย ใครมีเบอร์ฮวยมั่งวะ กูขอหน่อยสิ”
ไม่มีสัญญาณตอบกลับมา นอกจากการที่เพื่อนส่ายหน้า และหันไปสนใจกับการตรวจสอบหารายชื่อของตัวเอง
จะมีใครมีเบอร์ของเพชฌฆาตหน้าหยกได้ พี่ท่านเล่นไม่คุยกับใคร ตามแกล้งไอ้เดียร์อยู่คนเดียว แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปมีเพื่อนคนอื่น ไอ้เดียร์นี่ไม่น่าถามอะไรแปลก ๆ แบบนี้เลย
“ไอ้รักมึงมีใช่มั้ย”
ได้ยินเสียงเรียกของเดียร์ แล้วรักชาติก็ได้แต่ส่ายหน้า ก่อนจะเดินมาแตะไหล่ของคนที่ยืนหน้าซีดเผือด
“เป็นอะไรวะ ไม่ดีใจเหรอ มึงผ่านแล้วนะ ทำหน้าอย่างกะคนจะร้องไห้แบบนั้นหมายความว่าไงวะ”
ร้องแน่
ร้องแน่ตอนนี้
ไม่ต้องถามก็ร้องได้
ไม่ต้องมีเหตุผลก็ร้องได้
“มึงรักเฮียมากมั้ยวะรัก” ถามเพื่อนออกไปแล้วก็ยกมือขึ้นทาบที่หน้าอกของตัวเอง ภายในสมองหมุนคว้าง คิดอะไรไม่ออก แต่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างทับถมลงมาอย่างรวดเร็ว
ตั้งตัวไม่ทันกับสิ่งที่ได้รับรู้
และไม่สามารถหยุดความเศร้าใจที่คิดว่าเจือจางลงบ้างแล้วหลังจากที่ผ่านมาหลายวัน
“ถามอะไรตอนนี้วะ มึงอ่ะเป็นอะไร.....”
ได้ยินแต่ได้ยินไม่ค่อยชัดว่าเพื่อนพูดอะไร ก้มลงเก็บกระป๋องน้ำอัดลมมาถือเอาไว้และส่งยิ้มให้เพื่อนอย่างเศร้า ๆ
“กลับแล้วนะ” ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น แต่เดินออกมาให้ห่างและก้าวขาเดินลิ่ว ๆ ก่อนจะกลายเป็นการวิ่ง วิ่งเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
ขาก้าวอย่างรวดเร็ว ร่างกายกำลังเหนื่อยหอบเพราะการวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต
ไม่สนใจอะไรอีก เพราะน้ำตากำลังจะรินไหลออกมา เพราะทนสะกดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่
ไปแล้ว
ไอ้บ้าฮวยมันไปแล้ว
มันจากไปแล้วจริง ๆ
นี่แหละที่อยากได้ที่สุดไม่ใช่เหรอ แต่ว่า........ แต่ว่า.....ไม่ใช่ถึงขนาดนี้ ไม่ใช่ถึงขนาดที่จะไม่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับมันอีก ไม่ใช่แบบนี้
เลิกกันก็ได้ อยู่ห่างกันก็ได้ ลืมกันไปซะ แต่ไม่ใช่การที่จะไม่มีโอกาสได้รับรู้อะไรเลยแบบนี้
ต่อจากนี้จะไม่ได้เจอกันอีกจริง ๆ เหรอ
มันเป็นเรื่องยากที่จะได้เจอกัน
แล้วทำไมทุกอย่างมันง่ายดายขนาดนี้ ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ ง่ายจนไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนี้
“ไปแล้วเหรอ ฮวยไปแล้ว”
วิ่งข้ามถนนไปอีกฝั่งของมหาวิทยาลัย จำได้ว่าหอพักของไอ้บ้านั่นอยู่ใกล้แค่เดินไปไม่นานก็ถึง
แต่เวลานี้ อยากเจอ
แค่อยากรู้ว่ายังไม่ได้ไปไหนไกล ยังอยู่ใกล้ ๆ แค่นี้ ยังรับรู้ได้ว่าคน ๆ นั้นไม่ได้จากไปไหน
วิ่งอย่างรวดเร็วมายืนเหนื่อยหอบอยู่หน้าหอพัก ก่อนจะก้าวยาว ๆ เดินลิ่วเข้าไปสอบถามพนักงานที่ประจำอยู่ตรงประตูทางเข้า
“เอ่อ”
ยังไม่ได้ถามแต่สาวใหญ่ประจำสำนักงานก็รีบส่งยิ้มให้เหมือนจดจำกันได้ดี
“น้องฮวยย้ายออกแล้วจ่ะ กลับไต้หวันไม่ใช่เหรอ แล้วคราวนี้มาหาใครเอ่ย”
ไม่ได้มาหาใคร
ทำไมทุกคนรู้กันหมด ว่าไอ้ฮวยไม่อยู่แล้ว มีอยู่คนเดียวที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักอย่างใช่มั้ย
ฝืนให้หน้าของตัวเองเป็นปกติต่อไปไม่ไหว อยากจะทรุดกายนั่งอยู่ตรงนั้น แต่ต้องรีบหันหลังกลับและก้าวเดินออกไปอย่างช้า ๆ จากที่ที่ตัวเองยืนอยู่
ใจร้ายมากเลยนะมึง
ใจดำเกินไปแล้ว
ไหนว่ารัก
ไหนว่ารักนักรักหนา ถึงเลิกกันไปแล้วแต่ทำไมถึงไม่คิดจะบอกกันสักคำ
แค่บอกว่าจะไป
แค่คำเดียว
ทำไมถึงไม่บอก
ทำไมถึงไม่บอก
ทำไม ไม่ยอมบอก
ก็แน่ล่ะ มันจะบอกทำไม ในเมื่อคำว่ารักพูดออกมาได้ง่ายดายขนาดนั้น คำว่าเลิกยังบอกกันได้ง่าย ๆ
แล้วแค่คำลา กับคนที่ไม่มีความจำเป็นจะพูดอะไรด้วยแล้ว ถ้าฮวยมันจะไม่บอกก็ไม่เป็นจะแปลกตรงไหน เพราะไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับมันเลยสักนิด
แล้วอย่างนี้จะได้หัวเราะอย่างสะใจมั้ย จะได้รู้มั้ยว่ามึงแกล้งกูได้อีกแล้ว
เล่นหนีไปก่อนแบบนี้แล้วมึงจะรู้มั้ยว่ากูร้องไห้ให้มึงแล้ว
ทำไมไม่บอกกันต่อหน้า จะได้ยืนร้องไห้ให้ดูเป็นขวัญตา
จะยอมให้แกล้งเป็นครั้งสุดท้าย
จะไปทำไมไม่บอก
ทำไมถึงไม่ยอมบอก
แล้วอย่างนี้จะเห็นได้ยังไง ว่ามีคนร้องไห้ให้แล้ว แล้วแบบนี้จะรู้ได้ยังไง แล้วแบบนี้จะได้หัวเราะอย่างสะใจได้ยังไง มึงอดดีใจแล้วไอ้ฮวย มึงอดหัวเราะเลยเห็นมั้ย
รีบไปโดยไม่บอก
สมน้ำหน้า ไม่ได้เห็นไอ้บ้าเดียร์งี่เง่าคนนี้ร้องไห้เลยเห็นมั้ย สมน้ำหน้า อยากไปก่อนเอง เลยไม่ได้เห็นว่าเวลานี้คน ๆ นี้กำลังยืนร้องไห้เสียใจ เพราะคนบางคนจากไปแล้วจริง ๆ
TBC…..
