:: INDY Special :: Jo-Noom ภาคพิเศษ Part V ‘End of the Beginning’
ปัง ปัง!“เฮ้ย”
ผมสะดุ้งโหยง เงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุคซึ่งคร่ำเคร่งกับงานวิจัยมาหลายวัน
“โจ ไอ้โจ!”…..
..เสียงไอ้ทัศน์..
ผมขมวดคิ้ว ก่อนจะตะโกนตอบไป
“เออๆ”
มือจับลูกบิดหมุน ดึงประตูเปิดเข้ามาข้างใน แต่..
มีอย่างอื่นตามประตูมาด้วย
“เฮ้ย!”
ผมอุทาน มือปล่อยลูกบิด สองแขนโอบร่างสะลึมสะลือไว้ในอ้อมอก
“เชี่ย พวกมึงทำอะไร!”
ไอ้ทัศน์แกะแขนไอ้หนุ่มอีกข้างหนึ่งออกจากไหล่ตัวเอง แล้วเอามากอดแหมะไว้กับไหล่ผมแทน
“ไม่ได้ทำอะไรเว้ย มันเมา”
ผมเหล่มองทั้งสามหัวสามตัวนั่น ชักไม่ไว้ใจไอ้กองเชียร์พวกนี้
“มึงมอมเหล้ามันรึเปล่า?”
“จะบ้าเรอะ!” ไอ้ทัศน์ว้าก
“การ์ดแต่งงานกูมึงก็พิมพ์มาแล้ว” ผมเตือนความจำมัน
ไอ้ทัศน์หัวเราะลั่น “เออจริง ฮ่ะๆ โกมึงน่ะ บอกมันซิ” มันพยักเพยิดไปที่ไอ้โกแทน เพื่อนผมจึงเสริม
“หนุ่มขอกินของมันเอง น้องเกรย์เลยเอาให้ ไม่คิดว่าจะเมาขนาดนี้”
ผมกระชับอ้อมแขน มองเปลือกตาหลับพริ้มของอีกฝ่าย
ไอ้หนุ่มเป็นคนที่กินเหล้าน้อยที่สุดเสมอในกลุ่มเราและมันไม่เคยเมาด้วยนับตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมา
ผมมองทั้งสามคนสลับไปมา แต่การที่คนพูดคือไอ้โกนี่ท่าทางเชื่อถือได้กว่าเมียเกรียน-ผัวอินดี้คู่นั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
“มันคงกินย้อมใจน่ะ แต่ย้อมมากไปหน่อย ก็เลย..”
ไอ้ทัศน์พูดพลางหัวเราะพลาง
“เออๆ” ผมพยักหน้า
“แล้วนี่มึงพามันมา.. ให้มันนอนนี่เหรอ?”
“เอ้า” ไอ้ทัศน์เลิกคิ้ว
“งั้นก็เอามันคืนมา กูพากลับไปนอนที่ร้าน เผื่อลูกค้าคนไหนใจดีพามันกลับบ้าน”
สองแขนแกร่งนั่นจะเอื้อมมารับ แต่ผมเอี้ยวตัวหนี บอกห้วนๆ
“เชี่ย ไม่ต้อง.. เดี๋ยวกูดูมันเอง ขอบใจ”
ไอ้ทัศน์หัวเราหึหึ ไอ้นี่หนิ!
“งั้นก็.. ฝากด้วยละกันครับ” น้องเกรย์ยิ้มน้อยๆ ยื่นเป้สีน้ำตาลของไอ้หนุ่มให้ผม
“ฮื่อ ขอให้มีความสุขมากๆ นะ” ไอ้โกยิ้มกว้าง
ส่วนไอ้ทัศน์ทำหน้าเจ้าเล่ห์ “อย่าหนักมือมากนะเว้ย ไปละ”
ไอ้พวกนี้! ผมส่ายหน้าอ่อนใจ
ทำอย่างกับมาส่งเจ้าสาวเข้าหอ
แน่จริง ทำไมพวกมึงไม่พามันมาแบบมีสติหน่อยวะ แบบนี้กูจะทำอะไรได้
.
.
“ไปกินอีท่าไหนวะเนี่ย?”
ผมบ่น ประคองร่างหนุ่ม ค่อยๆ วางลงบนเตียง
กลิ่นเหล้าเบียร์ลอยมาปะทะจมูก เสื้อผ้าเหม็นๆ นั้นชื้นเหงื่อไปหมด
ผมถอดรองเท้ามันออกและยกขาเรียวทั้งสองข้างให้ขึ้นไปอยู่บนเตียง
ยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำ บิดหมาดๆ ค่อยๆ เช็ดหน้าเช็ดตาให้เบาๆ..
“อืม..”
ร่างบนเตียงคราง ผมมองพิศ..
ดวงหน้าขาว เปลือกตาหลับพริ้ม..
ผมเช็ดเรื่อยลงมาที่คอและแขนที่โผล่พ้นเสื้อยืดออกมา ในมือขวามีสร้อยเกียร์ของผมกำไว้แน่น..
ผมส่ายหน้าเบาๆ
ให้เกียร์มันทั้งๆ ที่เจ้าตัวก็คล้องเกียร์ของตัวเองอยู่ที่คอ ไอ้หนุ่มคงเอ๋อแดก ไม่รู้จะทำยังไง
จะถอดของตัวเองแล้วใส่ของผม ก็คงเขิน
จะเก็บของผมไว้ที่ไหนก็กลัวหาย เลยได้แต่กำไว้อย่างนี้..
เฮ้อ.. ที่ผมจินตนาการไว้ ผมไม่ได้จะให้แบบนี้ครับ
ผมจะค่อยๆ สวมให้มันเอง แล้วบอกรักเบาๆ ทว่า นี่กูยัดใส่มือมันเฉย
คิดแล้วก็ขำที่หงุดหงิดจนระเบิดลงใส่มันเมื่อตอนบ่าย
ผมเอนตัวลงไปใกล้ ค่อยๆ คลายกำมือนั้นออก
“อืออ..” มันคราง กำแน่นขึ้น
“กูไม่แย่งหรอกน่า” ผมพึมพำริมหู “ของมึงอยู่แล้ว”
ผมค่อยๆ แกะนิ้วที่ติดหนึบของมันออกจากฝ่ามือ เอาเกียร์ออกมาและสอดไว้ใต้หมอนที่มันนอนนั่นแหละ
กลิ่นไอ้หนุ่มค่อนข้างรับยากอยู่สักหน่อย
เพราะนอกจากกินเหล้า วันนี้เจ้าตัวยังช่วยไอ้ทัศน์ขนของจนเหงื่อโชก
ผมจึงตัดสินใจค่อยๆ ถอดเสื้อเน่าๆ ของมันออก
แผงอกขาวทำให้ผมต้องกลืนน้ำลาย..
มันอวบขึ้นกว่าเมื่อก่อนพอประมาณเลย คงด้วยการกลับไปอยู่บ้านหลังเรียนจบ
แม่คงไม่ยอมให้มันอดๆ อยากๆ แถมแวะไปส่องมันตอนเที่ยงทีไร
ก็เห็นนั่งกินข้าวขาหมูเจ๊เฮงหน้าบริษัทแทบทุกทีไป
ผมหัวเราะเบาๆ มืออีกข้างเช็ดตัว อีกข้างไล้แก้มเนียนขึ้นลงเบาๆ
ผมเช็ดลงมาถึงหน้าท้อง ไม่มีความกล้าพอที่จะถอดกางเกง กลัวตัวเองจะอกแตกตาย
จึงได้เช็ดเพียงท่อนบน แล้วแกะกระดุมกางเกงออกเพื่อให้หลวมขึ้นและนอนสบาย
หนุ่มยังคงนอนหลับนิ่ง ผมจึงคลี่ผ้าห่มของตัวเองมาห่มร่างเปลือยครึ่งท่อนของมันไว้
ใบหน้าโน้มลงไปใกล้ หน้าผากผมสัมผัสหน้าผากเนียนของมัน..
ก่อนจะตัดใจลุกขึ้นไปหยิบโทรศัพท์มากดโทรเข้าเบอร์บ้านไอ้หนุ่ม
“แม่เหรอครับ? โจนะครับ” ผมกรอกเสียงลงไป
“หนุ่มอยู่กับผม แม่ไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้ผมจะพาไปส่งเองนะครับ”
.
.
ผมกลับไปประจำการหน้าคอมฯ ต่อ ทำงานสลับกับเหลือบมองร่างที่หลับสนิทบนเตียง
หลายวันมานี้ผมมีความเครียดจากภาระงานพอสมควร ไม่แปลกใจที่เมื่อคืนจะสตั๊นไปเมื่อเจอไอ้หมอนั่น
แล้ววันนี้ก็ระเบิดลงใส่ไอ้หนุ่ม ข้อหามันทำตัวงี่เง่า
ผมถอนใจ
ไอ้หนุ่มมันคงคิด.. ว่าเมื่อเจอโจทย์เก่า ความเจ็บปวดในอดีตคงทำให้ผมเลิกรักมันได้และคงคาดว่าจะไม่เห็นผมใส่สายข้อมืออีก แต่ผมเปล่า..
เมื่อคืนผมนั่งสำรวจจิตใจตัวเอง พบว่าผมโกรธ เกลียดและแค้นที่สุดไปแล้ว จนไม่อาจรู้สึกได้อีก
ผมก้าวข้ามความรู้สึกนั้นไปนานแล้ว แต่จะไม่ให้มองไอ้หมอนั่นตาขวาง ผมก็ทำไม่ได้จริงๆ
อย่างน้อยก็ต้องทำให้มันเกรงกลัวเสียบ้างเท่านั้น หากไม่ได้คิดจะไปวิ่งไล่เตะมันแต่อย่างใด
ผมหันกลับมาโฟกัสกับงานต่อ
ตีหนึ่ง..ตีสอง..
“อือ”
เสียงคนบนเตียงครางเครือ เปลือกตาปิดสนิทหลุกหลิก พลิกตัวไปมา
หืม?
ผมละสายตาจากคอมฯ เพ่งมองไอ้หนุ่มที่แขนทั้งสองยกขึ้นมาราวกับจะดันอะไรออกไปจากตัว
“อย่า..” เสียงนั้นคราง
“กูขอโทษ อย่า อย่า!”ผมผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ ถลันไปที่เตียง ตระหนักแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
มือข้างหนึ่งคว้ามือหนุ่มเอาไว้ทั้งสองมือ อีกข้างสอดหลังคอดึงไหล่เข้ามาหาตัว
“ชู่ว์.. ไม่เป็นไร”
แต่ร่างกายผมเหมือนทำให้ร่างกายมันตื่นตระหนกมากยิ่งขึ้น มันพยายามฝืนตัวออกทั้งหลับใหล
“กูกลัวแล้ว อย่า!”
หนุ่มคราง ขยับร่างกายราวถอยหนีอะไรที่จะฟาดมาโดน ผมกัดฟันแน่น..
“หนุ่ม หนุ่ม ชู่ว์.. ไม่เป็นไรแล้ว”
ผมแนบจมูกเข้ากับเรือนผม โอบกอดร่างมันเอาไว้แน่น ลูบหลังลูบไหล่ปลอบประโลม
“โจ..” หนุ่มครางเสียงขาดห้วง
“กูอยู่นี่” ผมพึมพำ “ไม่เป็นไร จบไปแล้ว จบแล้ว ไม่ต้องกลัว..”
ผมปาดหยาดน้ำตาที่ซึมออกมาจากหางตาอย่างเบามือ จมูกไล้จูบขมับร่างในอ้อมแขนไปเรื่อยๆ
ไม่นานนัก หนุ่มก็หายใจสม่ำเสมอและซุกหน้าเข้ากับอกผม
หลังจากนอนน้อยมาหลายคืน ผมเองก็ปล่อยให้ตัวเองผล็อยหลับไป..
..หายใจใกล้ชิดกัน..
สะดุ้งตื่นอีกครา เมื่อแสงแดดจ้าสว่างไสวสาดส่องเข้ามาในห้อง แขนผมเมื่อยขบไปหมดเพราะโอบกอดหนุ่มไว้ทั้งคืน
ผมค่อยๆ ผละจากมัน ร่างเล็กกว่าครางอือ แต่ยังไม่ตื่น
ผมลุกขึ้นอาบน้ำอาบท่า ก่อนเปิดตู้เย็น หยิบมะนาวออกมาคั้นผสมน้ำร้อน เติมเกลือและน้ำตาลเล็กน้อย แช่ตู้เย็นไว้ รอคนเมาค้างตื่นขึ้นมา ส่วนตัวเองก็หาขนมปังยัดเข้าปากแล้วอ่านรายงานการประเมินเครื่องบำบัดน้ำเสียแบบใหม่เพื่อประกอบงานวิจัยต่อทั้งง่วงๆ
“อืมม..”
หนุ่มพลิกตัวสองสามครั้ง ก่อนที่เปลือกตาจะลืมขึ้นทีละนิด
ผมละสายตาจากคอมฯ หยิบขวดน้ำเปล่าเดินไปใกล้เตียง
“น้ำ”
ผมบอก ยื่นขวดไปให้ มือไอ้หนุ่มรับไปดื่มทั้งงงๆ ก่อนค่อยๆ ปรับสายตาให้โฟกัส
ผมเดินกลับไปหยิบแก้วน้ำมะนาวออกมาจากตู้เย็น ยื่นต่อให้
“ดื่มซะ แก้เมาแฮงค์”
“โจ” มันเอาหลังมือขยี้ตา มองผมค้าง พยายามเบิ่งตากว้าง แต่เปลือกตาคงหนักจากอาการมึนหัว
“ดื่มซะ” ผมย้ำ พลางประคองมือช่วยยกแก้วจ่อริมฝีปาก “จะได้ดีขึ้น”
มันค่อยๆ ดื่มจนหมด นั่งนิ่งต่ออีกหลายอึดใจ เอากำปั้นทุบเบาๆ ที่หัว แล้วเพ่งมองผม
“กู..มาอยู่นี่ได้ไง?”
“มึงเมา ไอ้ทัศน์พามา” ผมบอก
“กูนอนกับมึงเหรอ?”
มันตาโต รีบสำรวจแผงอกเปล่าเปลือยของตัวเองและกระดุมกางเกงยีนส์ที่ถูกปลดออก
“ถ้าหมายถึงนอนที่ห้องกูละก็ ใช่”
ผมกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน อธิบายห้วนๆ หวังให้มันรู้ว่าผมยังไม่หายหงุดหงิดเรื่องเมื่อวาน
“เมาสาดขนาดนั้น กูจะไปทำอะไรมึงได้ มึงเปลือยอกเพราะกูเช็ดตัว แค่นั้น”
“อ่อ” มันหน้าเจื่อนไป
“กูเลยมาแย่งที่นอนมึงเลย เออ แล้ว..มึงนอนไหน”
“ข้างมึงนั่นแหละ”
ผมตอบโดยไม่ละสายตาจากงาน แต่ก็รู้ว่าเจ้าตัวคงเขินไม่เบา
ฉะนั้น เรื่องนอนกอดกันทั้งคืนก็คงไม่ต้องบอกเสริมเข้าไปหรอก
มันยังนั่งบนเตียง ส่งสายตาสำรวจห้องผม..
ดวงตาหยุดอยู่ที่รูปตัวเองในชุดรับปริญญายืนเคียงกับผมที่อ่างแก้วในกรอบไม้หัวเตียง แต่แล้วก็อุทานลั่น
“เกียร์!” ไอ้หนุ่มเพ่งมองมือตัวเองอย่างลนลาน หันซ้ายหันขวา เลิกผ้าห่มขึ้น
ผมขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมอง แสร้งไม่ทันฟัง
“อะไรนะ?”
“เอ่อ..”
มันนิ่งไปเหมือนพยายามประมวลผลทวนความทรงจำ ใบหน้ายู่ยี่จนผมนึกเอ็นดู
“หรือว่าอยู่ที่ร้าน โทรศัพท์ โทรศัพท์” มันพึมพำ มองหาเป้ตัวเอง แต่ไม่เจอ
..ก็ผมเก็บไว้ในตู้นี่ครับ
“เอ่อ..” มันค่อยๆ เอ่ยขึ้น “กูขอยืมโทรศัพท์หน่อยได้ไหม?”
“โทรหาใครล่ะ” ผมถามเรื่อยๆ ไม่เงยหน้าจากคอมฯ
“เอ่อ..” มันเม้มปาก แต่แล้วก็เหมือนนึกได้อีกอย่าง
“เฮ้ย! เมื่อคืนกูไม่ได้กลับบ้าน ป่านนี้แม่-” มันทึ้งผมตัวเองเบาๆ จนผมต้องเบรก
“กูโทรบอกตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่ามึงอยู่กับกู เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง”
ผมบอกพลางลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้า เลือกเอาเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นของตัวเองมายื่นให้
“ไปอาบน้ำซะ ผ้าขนหนูอยู่ในห้องน้ำ เลิกโวยวายด้วย กูจะทำงาน” ผมแกล้งดุ
หนุ่มดูลังเลจนผมเกือบจะแน่ใจว่ามันคงขอตัวกลับ หลีกเลี่ยงไปอย่างเคย
แล้วผมก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยมันไป แม้ในใจจะอยากทาบทับร่างตรงหน้าไว้บนเตียง
แต่ผมเคยทำผิดในเรื่องนี้มาแล้วและจะไม่ยอมทำอีก..
ทว่า ไอ้หนุ่มหยิบเสื้อผ้าผมแนบไว้กับอกและเดินเข้าห้องน้ำไป เป็นผลให้ผมถึงกับขมวดคิ้วมอง
เหล้าน้องเกรย์นี่มีส่วนผสมพิเศษหรืออย่างไร?
...
เสียงน้ำไหลชำระร่างกาย
ผ่านไปราว 15 นาที กลิ่นแชมพูและสบู่ก็ลอยมาปะทะจมูกแทบจะทันทีที่ประตูเปิด
ผมเงยหน้าขึ้นจากคอมฯ โดยอัตโนมัติ..
…
…..
ต้องยอมรับว่าภาพคนที่เรารักอยู่ในเสื้อผ้าของเรานี่มันน่ารักน่าหวั่นไหวไม่ใช่เล่น
ผมลอบยิ้ม
“เออ.. งานยุ่งเหรอ?”
มันเช็ดผมเปียกหมาดๆ เดินเข้ามาใกล้โต๊ะอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ไม่เชิง” ผมโคลงศีรษะ บิดไหล่แก้เมื่อย “กูทำไม่ถนัดมากกว่า จัดหน้า ตรวจคำผิด งานวิจัยอะไรพวกนี้”
.
.
“กูดูให้ไหม..?”
ถึงกับต้องเงยขึ้นมามองอีกรอบ ผมเลิกคิ้ว ลุกขึ้นจากเก้าอี้
“เอาสิ”
มันค่อยๆ เดินมานั่งบนเก้าอี้ ตรวจดูไฟล์ในหน้า Microsoft Word ของผม ไล่ไปทีละหน้า
“เออ ทัศน์เอากระเป๋ากูมาให้ด้วยรึเปล่า?”
ผมพยักหน้ารับ รู้ดีว่ามันต้องการอะไร ก่อนจะไปหยิบแว่นในกระเป๋ามาส่งให้ โดยเจ้าตัวไม่ต้องบอก
มันเริ่มใส่แว่นตาเมื่อราวสองเดือนที่แล้ว เป็นเลนส์สีชาปรับแสง..
ผมไปแอบส่องมันบ่อย โทรไปคุยกับแม่มันก็บ่อย เพราะฉะนั้น ผมรู้แทบทุกอย่างเกี่ยวกับมันแหละครับ
หนุ่มรับแว่นไปใส่อึ้งๆ ตาจับนิ่งอยู่ที่ผมอึดใจหนึ่ง ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่กลับไปดูงานให้ผมต่อ
ตั้งค่าหน้ากระดาษ จัดหน้าใหม่ แก้คำผิดให้อย่างรวดเร็ว แบบที่ผมไม่มีทางทำได้
“ค่อยๆ ทำเถอะ หายปวดหัวแล้วรึไง? เออ.. แล้วหิวรึยัง?”
จากที่ยืน ผมนั่งหมิ่นๆลงบนเท้าแขนเก้าอี้ ตามองหน้าจอคอมฯ
“ยัง” มันว่า “ปวดหัวดีขึ้นแล้ว เออ.. คำนี้มันศัพท์เทคนิคของมึงใช่ไหม ถูกแล้วใช่ไหม?”
ผมค้อมตัวมอง แก้มแทบจะแนบแก้ม..
“อ้อ เกินมาตัวนึง..”
ผมเอื้อมแขนอ้อมหลังหนุ่มไปเลื่อนเม้าท์และกดลบตัวอักษรที่เกินบนแป้นคีย์บอร์ด
แผ่นอกแนบแผ่นหลังร่างเบื้องหน้า เสียงหัวใจมันเต้นแรงจนผมได้ยิน
อยากโอบกอดแน่นๆ เสียเดี๋ยวนี้
อยากจะแนบริมฝีปากลงบนลำคอขาวที่หอมกลิ่นสบู่ชนิดเดียวกับที่ผมใช้..
สายตาหนุ่มหันไปมองข้อมือของผม
ตัวอักษร J&N อยู่ที่เดิม..
“กูขอโทษนะ เรื่องเบอร์โทร” มันพูดออกมาเบาๆ
“กูยอมรับว่าไม่ควรทำแบบนั้น”
เราหันมามองกัน..
ให้ตาย.. มันน่ารักจริงๆ
“ไม่เป็นไร” ผมหัวเราะหึหึ “แต่คงต้องชดเชยให้กูนะ”
…
…..
“ด้วยอะไร” หลังจากเงียบไปอึดใจหนึ่ง เสียงที่พยายามบังคับให้ราบเรียบก็ถามมา
ผมลุกขึ้น เดินไปหยิบโทรศัพท์มันมาจากกระเป๋า แล้วกดเบอร์ตัวเองลงไป
ชื่อ ‘โจ’ พร้อมรูปหัวใจเล็กๆ ล้อมชื่อหน้าหลังปรากฏบนนั้น ผมถึงกับกลั้นยิ้มไม่ไหว ไอ้หนุ่มก้มหน้าเลิ่กลั่ก
ผมกดโทรออกเพื่อให้เบอร์ใหม่มันโชว์ในเครื่องผม ก่อนยื่นโทรศัพท์ที่หน้าจอโชว์เบอร์ผมกลับคืนไปให้มัน
“ถ้าเบอร์นี้โทรมา ต้องรับสาย” ผมชี้แจง
ไอ้หนุ่มกลืนน้ำลาย พยักหน้ารับ
ผมจึงเสริม “และต้องทำตามสิ่งที่เจ้าของเบอร์บอก”
มันเงยมอง ถามกล้าๆกลัวๆ “อ..อะไรบ้าง”
“ก็เช่น จะไปรับที่ทำงานก็ต้องรอ ชวนไปกินข้าวก็ต้องไป” ผมมองมันยิ้มๆ
“ชวนเล่นเซ็กส์โฟนก็ต้องเล่น”
มันอ้าปากค้างกับอย่างหลังสุด สบถลั่น “สัด!”
“กูล้อเล่น” ผมหัวเราะเบาๆ “เฉพาะอย่างหลังนะ”
หนุ่มเขินหน้าร้อนไปหมด
ผมอดไม่ได้ หมุนเก้าอี้ทำงานเข้าหาตัว แขนสองข้างยันไว้บนเท้าแขนเก้าอี้..
“หนุ่ม กูขออะไรสักอย่างได้ไหม?”
ไอ้หนุ่มค้อนขวับ “นี่มึงยังไม่ได้ขอเลยสินะ”
ผมยิ้มน้อยๆ ก้มหน้าลงไปหา
“เดี๋ยวเจอหน้าไอ้สามตัวนั้น กูต้องโดนถามและโดนหยามอีกแหง”
ผมก้มหน้าลงไปใกล้อีก แนบจมูกเสียดสีจมูกมันเบาๆ ลมหายใจร้อนแรงปะทะกันจังๆ
“..จูบกันไหวไหม?”
ไม่ใช่คำขอ..
..แต่เป็นคำถาม
ถ้ามันไม่อาจทำได้ ผมจะไม่บังคับจิตใจ
ดวงตาสีน้ำตาลมองตาผมค้าง..
ก่อนที่ใบหน้าแดงซ่านน่าหลงใหลนั้นจะพยักรับช้าๆ
ผมแนบริมฝีปากเข้าไปใกล้ ชะงักชั่ววินาทีให้โอกาสมันเปลี่ยนใจ..
เปลือกตาตรงหน้าหลับลงอย่างยินยอม
ผมจึงประทับริมฝีปากตัวเองลงไปช้าๆ..อ่อนเบา
I close my eyes..
The moment I surrender to you
Let love be blind
..Innocent and tenderly true..จูบ..ไม่ใช่ไม่เคย ยิ่งกว่าจูบเป็น
แต่ครั้งสุดท้ายที่จูบคนๆนี้ ..ผมทั้งบดขยี้..รุนแรง..และโหดร้าย
ไม่แปลกใจที่คนบนเก้าอี้จะตัวสั่น ครานี้ ผมจึงอ่อนโยนที่สุด ไม่อยากให้บอบช้ำ
ผมเม้มจูบเบาๆ.. ไล้ลิ้นแตะเรียวปาก ค่อยๆ..แทรกเข้าไปหาช้าๆ
“อื้อ..” หนุ่มครางในลำคอ
ผมควานจนเจอลิ้น จึงดูดดึงอีกฝ่ายจนร่างยิ่งอ่อนระทวย ลมหายใจถี่กระชั้น
มันเป็นจูบที่ไม่รุนแรงแต่เต็มไปด้วยความโหยหา
ไม่กี่อึดใจ ริมฝีปากหนุ่มก็จูบตอบสนอง..เหมือนที่ผมจำได้
“อืม..”
ผมครางระบายความพึงพอใจบ้าง มือละจากเท้าแขนมากระชับร่างมันเข้าใกล้ให้มากขึ้น
จูบนี้..ลึกซึ้ง..เนิ่นนาน..เหมือนกับจะยืดยาวไปไม่สิ้นสุด
ผมสอดแขนข้างหนึ่งไว้ใต้เข่า อีกข้างสอดใต้รักแร้ ยกร่างเล็กกว่าขึ้นจากเก้าอี้โดยไม่ถอนจูบ
มีแต่จะดูดดึง..เร่งเร้าขึ้น..จนเสียงในลำคอขาวครางครวญ
ผมละปากออกมาเคลียอยู่ข้างแก้มให้ผ่อนคลายหายใจหายคอ วางร่างนั้นลงบนเตียงเบาๆ
ฝ่ามือสองข้างมันแนบกับอกกว้างของผม หากแต่ไม่ได้ดันออกหรือผลักไส เพียงทาบเอาไว้เช่นนั้น..
“โจ..” หนุ่มพึมพำ
“พะ..พอแค่นี้ก่อนได้ไหม”
“กลัวเหรอ?” ผมกระซิบถาม ไล้ลมหายใจอุ่นๆ รดใบหูคนในอ้อมแขน
“คือ..” หนุ่มเอียงคอหลบอายๆ “กูต้องกลับไปที่ร้าน”
ผมขมวดคิ้ว ละใบหน้าออกมามอง “มีอะไรรึเปล่า?”
มันถอนหายใจเบาๆ หันมาสบสายตาผมอย่างพยายามกล้าหาญ ก่อนจะเอ่ยตรงๆ
“มึงคงโกรธมาก แต่คือ.. คือกูคิดว่ากูทำเกียร์มึงหาย กูอยากกลับไปดู เผื่อว่ามัน..”
ฮ่ะๆ..
“กำไว้แน่นขนาดนั้น คงไม่หายหรอก” ผมหัวเราะ เอ่ยเย้าๆ จมูกกลับไปคลอเคลียซอกคอของอีกฝ่าย
แต่มือเล็กกว่านั้นดันอกผมออก “มึงหมายความว่ายังไง?”
อืม.. “อยู่ใต้หมอน”
ผมครางบอกในลำคอ พึมพำทั้งที่ยังไม่ละจากซอกคอขาว หอม..หอมจริงๆ
ผมก็ใช้เดทตอลพรอพโพลิส ทำไมผมไม่ยักจะเคยหอมตัวเอง
แต่หนุ่มขืนร่างออกจากตัวผม สอดมือเปะปะไปใต้หมอน คว้าสายห้อยเกียร์ผมมาไว้ในมือ
“เชี่ย แล้วทำไมไม่บอกเนี่ย ปล่อยให้กังวลอยู่ได้” มันว้าก
“อ้าว” ผมทำหน้าเจ้าเล่ห์ “บอกแล้วกูจะเห็นคนกังวลเรอะ”
“แกล้งกู” มันหน้างอ แต่ผมยิ้มบางๆ เอามือลูบไล้เรือนผมมันเบาๆ
“แล้วกินเหล้าเมาขนาดนั้นทำไม.. หืม?”
“แม่ง..” มันสบถ ไม่ยอมสบสายตา “ก็เพราะมึงไหม ทำศีลห้ากูแตกเลย”
ผมหัวเราะขำ รู้ดีว่าจากทั้งหมดที่พูดไปเมื่อวาน มันไม่ช็อคตายก็บุญแล้ว
“ไม่เป็นไร ไว้ค่อยถือใหม่ กูจะถือเป็นเพื่อน ดีไหม?”
หนุ่มไม่ตอบอะไร ใบหน้าซับสีเลือดอย่างเขินหนักมาก ตาเสไปมองมือที่กำเกียร์ ผมจึงจับมือนั้นไว้
กระซิบบอกเบาๆ ต่างจากเมื่อวาน “กูให้นะ..”
“กะ..กู กูก็วิศวฯ มีเกียร์อยู่แล้ว จะเอาไปทำไมตั้งสองอัน” มันบอกตะกุกตะกัก
“ก็ถ้ามึงไม่อยากมีสองอัน เอาของมึงมาให้กูก็ได้” ผมเสนอยิ้มๆ อย่างไร้ปัญหา
ไอ้หนุ่มแทบจะมุดหน้าลงกับเตียง
มันคงไม่ซื่อบื้อจนถึงกับไม่รู้หรอกว่าการที่ผมขอเกียร์นั้นหมายความว่าอย่างไร
ผมจึงหยอดต่อ “หรือว่ามึงอยากจะให้อย่างอื่น? โอ๊ยย!”
มันทุบอกผมดังอั้ก สบถลั่น “สัด!”
ผมจับมือที่ประทุษร้ายนั่นไว้ โอบตัวอีกฝ่ายจนใบหน้าโน้มเข้ามาใกล้
“สัด นี่แปลว่าจะให้ทั้งสองอย่างรึเปล่า..?”
…..
“โจ..อะ..อื้อ..”
ผมทนความเย้ายวนตรงหน้าไม่ไหว แนบริมฝีปากลงไปประทับอีกครั้ง
บดจูบหนักหน่วงกว่าคราแรก แต่ก็ยังเป็นไปอย่างนุ่มนวล
หนุ่มครางอื้ออึง ก่อนที่ผมจะละริมฝีปากมาสบตา
“ขออนุญาตนะ..”
ผมค่อยๆ สอดมือเข้าไปในเรือนผม ถอดสร้อยเงินที่ห้อยเกียร์ของหนุ่มออกวางไว้ข้างหมอน ก่อนจะหยิบสายหนังห้อยเกียร์รุ่นของตนเองมาบรรจงสวมให้มันแทน
มือผมหมุนเกลียวตัวล็อคสายให้แน่น แล้วค่อยๆ ละใบหน้าลงมาอยู่ใต้ระดับลำคออีกฝ่าย
“กูฝากด้วยนะ..” ผมเอ่ย ก่อนจะจุมพิตที่เกียร์เบาๆ..
หนุ่มสะดุ้งเฮือก ผมลูบไหล่ ค่อยๆ เอนร่างมันนอนลงกับเตียง
“ฝันร้ายบ่อยไหม..?”
ผมกระซิบถาม หนุ่มชะงัก ดวงตารื้นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
“ตอนที่กูฝืนใจใช่ไหม..?”
ผมเอนตัวลงทาบทับ..ปลอบประโลมจิตใจ.. ริมฝีปากแตะจูบเบาๆ ที่เปลือกตาทั้งสองข้าง
เอ่ยขึ้นเมื่อตระหนักว่า..มันสมควรแก่เวลาแล้ว..
“ให้กูแก้ไขได้ไหม..?”
เปลือกตาปิดสนิทไหวระริก ริมฝีปากชมพูสดเม้มนิดๆ ไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
แต่สองมือเรียวโอบรอบลำคอผม รั้งเข้าหาแทนคำตอบ
ผมประกบริมฝีปากลงไปอีกครั้ง..เรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัด..
มือแกร่งไล้ร่างกายอีกฝ่าย.. กอบกุม..รูดรั้ง..แทรกซึม..
นุ่มนวล..อ่อนโยน..ไม่ให้ได้รับความเจ็บปวด..
เสียงครวญครางหวานหู..พร่ำชื่อผม..
บ่งบอกว่าหนุ่มพร้อม..สำหรับทุกอย่าง..ที่จะสอดประสานเป็นหนึ่งเดียว
……………………………………………………….
.
.
“แล้ว..ตกลงได้กันยัง?”
เฮ้ย!
น้องเกรย์อุทานหลังจากไอ้ทัศน์ถาม
“จูบน่ะ ได้จูบกันรึยัง?” ไอ้ทัศน์อธิบาย ขมวดคิ้วใส่เกรย์ ผู้ซึ่งคงเข้าใจว่ามันคิดเป็นอยู่เรื่องเดียว
.
.
“ยัง”
ผมกลั้นยิ้ม ตอบเสียงเรียบ
“โอ๊ยยยยยยย เฮ้ออออ!”ไอ้ทัศน์ถอนใจ คราวนี้น้องเกรย์ถอนด้วยอย่างเปิดเผย สองผัวเมียทำหน้าปลงๆ ใส่
“มึงจะรอให้ไอดิลบวชก่อนหรือยังไง?”
ผมเสมองไปทางอื่น ไม่สนใจคำถากถางของอินดี้กับเกรียนคู่นั้น
ได้แต่นึกขอบคุณอยู่ในใจ เพราะถ้าไม่ใช่สองคนนี้ รวมทั้งไอ้โกละก็.. มันคงยากกว่านี้มากนัก
อาจต้องรอจนน้องไอดิลบวชจริงๆ ก็เป็นได้..
…
ผมเดินออกจากร้านกาแฟที่เป็นเสมือนบ้าน ‘เฮ้ย ไอ้เห่ย!’
มือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเบอร์ที่ไม่ได้เมม ทว่าจำได้ขึ้นใจทุกตัวเลข..
สายเรียก ตื๊ด..ตื๊ด.. นานพอให้ใจหายใจคว่ำว่าปลายสายจะกดรับหรือไม่
และก่อนสายจะตัดไป..
.
.
“อื้อ”
เสียงครางในลำคอเอื้อนเอ่ยแทนคำสวัสดี
“เย็นนี้จะไปรับที่ทำงานนะ เดี๋ยวพาไปส่งบ้านเอง”
ผมขอ..
เงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนผมจะได้ยินเสียงตอบรับ
“อือ..”
ผมลอบยิ้ม..
ยกมือขึ้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกเม็ดหนึ่ง เผยให้เห็นสร้อยเงินที่คล้องเกียร์รุ่นของหนุ่มไว้บนลำคอผม
รสหวานยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก..รวมทั้งร่างกายและวิญญาณ..
ผมอบอุ่นหัวใจราวกับเป็นครั้งแรกที่เรียนรู้จะรักกับใครสักคน..
..ใครที่มีความหมายอย่างแท้จริง..
.................................................................................
ขอได้รับความขอบคุณจาก
,เกรียน(มิใช่)น้อย
ป.ล. ตัวอย่างปก reprint เล่ม I ครับ (ยังไม่ final เน้อ)