ตอนที่ 100+2
เปิดเทอมได้ไม่กี่วัน.... หนูนั่งรากงอกเปิดโน้ตบุกทิ้งไว้ขณะดูรายการของมาดามมดอยู่ที่ห้อง
ออยโทรมา... หนูรับสายแล้วกรอกเสียงลงไป....
“ว่าไงยะ โทรมาทำไมเปลือง... ไม่ไลน์มาล่ะ?”
“ทักไปแล้วไง แกเงียบ....” มันตอบ หนูเลยรีบหันไปที่คอม.... อ้าวเน็ตหลุดไปตอนไหน? มัวแต่ดูทีวีเพลินจนไม่ได้สนใจ
“อ้อ โทษทีหลุด ว่าแต่มีอะไรเหรอ”
“นี่แกอยู่ไหนเนี่ย”
“อ๋อกลับมาที่ม.แล้ว ทำไมเหรอ?”
“แกรู้เรื่องแม่ไอ้โรจน์หรือยัง”
งงนะเนี่ยอยู่ดีๆ ก็ถามถึง ถ้าไอ้โรจน์คนเดียวคงต้องบอกไม่รู้และไม่อยากรู้ แต่นี่เพราะพูดถึงแม่ ก็เลยพอมีสติแยกแยะได้เพราะยังไงก็คนละคน สมัยโน้นแวะไปบ้านนั้นบ่อยๆ คุณแม่ไอ้โรจน์เค้าก็ใจดีกับหนูซะด้วยจะไม่ถามก็ใจจืดเกินไป...
“หือ เรื่องอะไร คุณป้าเค้าเป็นอะไรเหรอ?”
“ท่านเสียได้สองวันแล้ว ฉันเลยโทรมาถามว่าแกจะไปงานศพไหม....”
ชะงักไปนิดหนึ่ง แม้ไม่ได้สนิทอะไรกันมากนัก... แต่ก็ยังจำได้ ตอนได้ยินเสียงครั้งแรก แม่ไอ้โรจน์เสียงอ่อนโยนมาก ฝากฝังให้ดูแลลูกชายที่แขนหัก... เจอกันที่ร้านข้าวพอรู้ว่าเป็นเพื่อนลูกก็เลี้ยงข้าวขอบอกขอบใจที่ดูแลลูกชายเกเรของตัว ถ้าเจอที่บ้านไอ้โรจน์ ก็หาขนมให้กิน พูดเพราะ ใจดี...ผิดกับลูกชายลิบลับ ต่อให้ตอนนี้จะไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วแต่มารู้ข่าวนี้ก็ใจหายเหมือนกันนะ....
ขนาดหนูเป็นคนอื่นยังรู้สึกแบบนี้ ไอ้โรจน์มันจะเสียใจแค่ไหน.....
“แกไปเถอะ... ฉันคงไม่ไป....”
ถอนใจด้วยความหดหู่ แต่ก็ตัดสินใจแล้ว....แม้จะดูแล้งน้ำใจแต่ก็คงไม่มีประโยชน์
จริงอยู่ ถึงจะเป็นคนละคนก็จริง หนูไม่ได้มีปัญหาอะไรกับท่าน....แต่สามีภรรยาเลิกกันไปก็เป็นคนอื่น....
เลิกกันไปแล้วแบบนี้หนูก็ไม่คิดว่าจะกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเมื่อก่อนได้อีก...
ถึงหนูไปงานศพก็เท่านั้น... ก็ไม่รู้จะไปปลอบใจหรือช่วยอะไรได้อยู่ดี นอกเสียจากทำให้ต่างฝ่ายก็ต่างลำบากใจมากกว่า
เรื่องหดหู่ก็มีอยู่บ้าง เรื่องสงสารก็ตามประสาคนเคยสนิทกัน แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก
คิดถึงแค่ชั่วครู่ชั่วยาม แล้วก็ลืมไป...
คงเพราะตอนนี้มีพี่โต้ง.... เพราะตอนนี้หนูมีความสุขดีแล้วกับคนปัจจุบัน..
จึงขอมองไปข้างหน้า... ไม่หันหลังกลับ....
หลังจากเปิดเทอมหนูกับพี่โต้งไปกินนมที่ร้านประจำกันบ่อยมาก รวมถึงวันนี้ที่โรคบ้าเฟสบุกของหนูกำเริบเสิบสานตามปกติด้วยการถ่ายรูปของกินบนโต๊ะแล้วกดแชร์ ก็มีเพื่อนมากดไลค์ตามประสาสาวป๊อบปูล่า.....
เมื่อบูชาเฟสเรียบร้อยหนูก็ลงมือเปิบของกินบนโต๊ะ ทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงสัญญาณนิรภัยของรถดังขึ้น
พี่โต้งลุกพรวดพราดไปดูที่รถตัวเอง แล้วก็ได้แต่ฉุนเคืองเมื่อพบว่ารถตัวเองถูกของแข็งบางอย่างขูดจนเป็นรอย...
พี่โต้งสบถอย่างหัวเสีย ระหว่างที่กลับมานั่งที่โต๊ะอีกครั้ง ไม่แน่ใจว่าเป็นผีมือไอ้เด็กมือบอนที่ไหน
พยายามปลอบพี่โต้งให้อารมณ์เย็นลง นึกเสียว่าฟาดเคราะห์ไป ถึงพี่โงจะเออออแต่บรรยากาศมันก็เสียไปแล้ว เลยกินกันนิดๆ หน่อยๆ ก็ต้องรีบกลับ หมดกันอารมณ์สุนทรี
กลับถึงห้องหนูก็เปิดคอมตามปกติ เปิดหน้าเฟสบุคและโปรแกรมไลน์ทิ้งไว้เผื่อมีคนทักมา...
เปิดโปรแกรมเวิร์ด เขียนเรื่องราวต่างๆ ที่เราท่านได้อ่านกันอยู่นี่แหละ คงเพราะไม่ได้ทำงานพิเศษแล้วก็เลยว่างจัด จึงมีเวลาเขียนอะไรเล่นได้บ่อยกว่าเมื่อก่อนเยอะ
บังเอิญ...ระหว่างที่เล่นเฟสบุก มีคนชื่อแปลกๆที่ไม่รู้จักมาเม้นท์รูปของกินที่เพิ่งโพสไปพอดี...
ไกลแค่ไหน คือใกล้ น่ากินจังครับ #คนสวย
สวย.....
หนูนั่งมองคำนั้น ชื่อเฟส แบบนั้นใครก็ไม่รู้จัก ปกติก็รับเพื่อนแบบมั่วๆ อยู่แล้วโดยไม่สนใจว่าเป็นเพื่อนใครต่อเพื่อนใคร
แต่เมื่ออีกฝ่ายชม.... ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจาก กดไลค์ความคิดเห็นนั้น...
ไม่นานต่อมา เจ้าของเฟส.... ก็ทักมาเป็นข้อความลับ....
ไกลแค่ไหน คือใกล้ (นามสมมุติ)
รูปเขา ท่าทางมีความสุขดีนะ ฐา
รูปหนู นั่นใครเหรอคะ?
รูปเขา อะไรกัน ไม่เจอไม่เท่าไร ลืมกันแล้วเหรอ....
รูปหนู ถ้าไม่บอกว่าเป็นใครเราไม่คุยด้วยแล้วนะ
รูปเขา ผัวมึง
นิ่งไปแป๊บนึงก่อนจะรู้สึกตัวว่าเสียเวลาอิ๊บอ๋าย ก็พี่โต้งหลับไปนานแล้ว แถมเฟสก็ไม่ใช่ชื่อนี้ นิสัยจริงจังแบบนั้นไม่มาทำอะไรไร้สาระแบบนี้หรอก แถมภาษาที่ใช้ก็ไม่ใช่เลย.....
แอร๋ยยยยย อีห่า หลงคุยได้ตั้งนาน ที่แท้ก็ไอ้โรคจิตนี่เอง !!
จบท่อนนั้นหนูเลิกคุย เอาเมาส์ไปคลิกที่ชื่อของมัน ไม่ปรากฏทั้งรูปประจำตัวและหน้าปก แต่กลับขึ้นว่า มีเพื่อนร่วมกัน 12 คน เอ๊ะทำไมเยอะจัง พอไล่อ่านรายชื่อก็แปลกใจหนักเพราะมีแต่ชื่อเพื่อนสมัยมัธยมจนไปเจอชื่อมิ่งแล้วก็ชะงัก
เสียงข้อความเด้งเข้าอีกครั้ง เหลือบไปมองหน้าต่างแชท
รูปเขา ผัวมึง
กู....โรจน์ไง
เท่านั้นแหละ......ใจเต้น มือสั่น
รีบปิดหน้าเฟส ปิดโปรแกรมทั้งหมด ปิดคอม วิ่งหนีเข้าไปในห้องนอน
ในห้องอากาศเย็น มืดสนิทเพราะพี่โต้งปิดไฟนอนไปแล้ว หนูรีบขึ้นเตียงแล้วคลุมโปงอย่างกับเพิ่งเจอผี
ไม่จริง ไม่ใช่มันหรอก คงมีใครอยากแกล้ง อยากอำหนูเล่น
คอยดูนะ อย่าให้รู้ว่าใครทำ แม่จะด่าให้ยับเลย!!
วันต่อมา หลังจากเรียนจบคาบเช้า ตอนเที่ยงวันหนูออกไปหาอะไรทานกับเพื่อนๆ ที่ร้านข้าวเจ้าประจำ ยังไม่ทันจะได้กินอะไร อยู่ดีๆ ก็มีใครบางคนมายืนอยู่หน้าโต๊ะ
“ฐา.....” หนูชะงักปากระหว่างที่หันไปคุยกับหมอก...พอหันมาเจอหน้าเจ้าของเสียงก็ชะงักค้างทำอะไรไม่ถูก....
พยายามจะมองโลกในแง่ดี.... พยายามจะคิดว่าทุกอย่างเป็นแค่เรื่องตลก แกล้งอำของใครบางคน... แต่สุดท้ายก็หนีความจริงไปไม่ได้ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า จะพยายามมองเท่าไร ก็เป็นคนอื่นไปไม่ได้เลยนอกจากมัน....
ไอ้เหี้ยโรจน์!!! หนูเงียบ ระหว่างที่หมอกก็ถามขึ้นมา
“ใครอ่ะฐา”
หนูหันกลับ เมินทำเป็นไม่สนใจแล้วตอบว่า
“กูไม่รู้จัก สงสัยเค้าทักผิด”
หมับ... ทันที่ที่จบประโยค มันก็บีบแขนหนูทันทีออกแรงกระชากให้ลุกขึ้น หนูพยายามจะขืนตัวไม่ยอมไป ส่วนเพื่อนๆ ก็เริ่มทำหน้าเลิ่กลั่ก...
“ถ้าไม่อยากเป็นข่าวหน้าหนึ่ง มึงตามกูมาเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นไม่ว่ามึงหรือเพื่อนมึงที่เข้ามาขวาง จะไส้ไหลกันไปหมด” มันยื่นหน้ามากระซิบพอได้ยินกันแค่สองคน นั่นไม่ทำให้หนูตกใจไปกว่าความรู้สึกว่ามีบางอย่างทิ่มเอวอยู่ จนต้องก้มลงไปมองคัตเตอร์อันเล็กๆ ที่ยังไม่ได้เลื่อนใบมีดออกมา
ถ้าตรงนี้มีแค่หนูคนเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่หมาเวลาบ้าแล้ว มันก็กัดไม่เลือกหน้า หนูกลัวอีหมอกกับเพื่อนคนอื่นๆจะโดนลูกหลงตามไปด้วย เลยไม่มีทางอื่นถึงได้จำใจลุกขึ้น แล้วหันไปบอกเพื่อน
“เดี๋ยวกูมานะหมอก” แล้วเดินตามมันออกมา
บอกตามตรงว่าไม่เข้าใจอะไรเลย....
แม้จะเป็นความทรงจำอันเลือนราง แต่ตอนที่ความจำเสื่อม หนูดั้นด้นหนีพี่โต้งไปหามัน
ตอนนั้น มันเหมือนมีบางอย่างจะพูดด้วย แต่ท้ายที่สุดมันก็ยังอายที่จะให้คนอื่นรู้ความจริง อายที่จะบอกว่าเมื่อก่อนมันกับหนูเป็นอะไรกัน จนมาถึงตอนนี้ มันจะกลับมาอีกเพื่ออะไร?
มันพาหนูเดินออกมาจากซอยข้างม.ที่อุดมไปด้วยร้านค้ามากมาย เดินเข้ามาในมอจนถึงสวนเล็กๆ จึงหยุดฝีเท้าลง
หนูหันรีหันขวาง ที่ตอนนี้เราอยู่กันตามลำพังจริงๆ แต่ก็ยังเป็นที่โล่ง มีคนผ่านไปมาอยู่บ้างไม่ได้เปลี่ยวอะไรนัก ทั้งยังเป็นตอนกลางวันแสกๆ มันคงไม่กล้าทำอะไรหนูหรอกต่อให้มีอาวุธมาด้วยก็เถอะ
“ไม่ต้องทำเป็นกลัวหรอก กูไม่ได้จะทำอะไรมึง กูอยากคุยกับมึงตามลำพังเท่านั้น” มันบอกด้วยเสียงกระด้าง แต่ราวกับรู้ใจ หนูไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่พลิกข้อมือนิดหนึ่งเพื่อให้มันปล่อยออกเป็นอิสระ
มันยอมปล่อยข้อมือหนู หนูไม่วายยกมือขึ้นมาลูบเป็นการบ่งบอกเล็กๆ ว่าเจ็บ
“มีอะไรก็ว่ามาสิ.... เราหิว อยากกินข้าวแล้ว”
“มึงสบายดีไหม?”
“สบายดี!! ดีกว่าเมื่อปีที่แล้วเยอะ.... มีธุระอะไรก็ว่ามาเลย คงไม่ได้จะเอามีดขู่เพื่อจะถามแค่นี้ใช่ไหม?” เสหันไปมองทางอื่น ไม่อยากแม่จะมองหน้า....
ความชิงชังรังเกียจยังคงติดค้างไม่จางหาย...
“มึงยังรักกูอยู่หรือเปล่า?”
ประโยคนั้น ทำให้หนูหันขวับไปมองด้วยแววตาหมิ่นแคลนอย่างจงใจ
ไม่อยากเชื่อว่ามันจะกล้าถามคำถามง่อยๆ แบบนั้นออกมาได้
ไอ้สลัด หมาขี้เรื้อนเอ๊ย เห็บหมัดมันกัดสมองจนฝ่อไปแล้วหรือไร ถึงลืมไปสิ้น สิ่งเหี้ยๆ เลวๆ ที่มึงทำไว้
ยังจะกล้าถามออกมาได้ไม่อายปากสักนิด
“ถ้าถามว่าเราหายเกลียดนายหรือยังจะเข้าท่ากว่านะ....”
•◘•◘•◘•◘•◘•◘•◘•◘
ปมโรจน์ยังไม่ได้เปิดเลยน้า
หนูก็อยากเปิดให้นะคะ แต่ที่หนูยังไม่เปิดก็เพราะไม่อยากให้ เพื่อนๆ พี่ๆ รู้สึกอารมณ์เสียน่ะค่ะ
อุตส่าห์หวานไปได้นิดเดียวกลับต้องมาเจอบรรยากาศเลวร้ายแบบนี้คงแย่ไม่น้อย
หนูเข้าใจดีค่ะ เพราะเวลาที่หนูกำลังมีความสุข(สุดยอด??) กับพี่โต้งอยู่ดีๆ แล้วมันโผล่มา
หนูก็รู้สึกอารมณ์เสียสุดๆ แบบตอนนี้แหละค่ะ
ไชโย บรรยากาศเก่าๆ กลับมาแล้ว
ปล.อีโรจน์เอ็งอย่าเพิ่งโผล่หัวมาละ ตอนนี้เอียนมาม่ามากมาย
หนูก็ไม่อยากให้มันกลับมาค่ะ ไม่อยากจริงๆ ใครก็ได้ช่วยไล่มันออกไปทีจะเป็นพระคุณมาก...
น้องฐา•ผู้แสนอาภัพ