ตอนที่ 61 กรอบรูป
เฮ้อ.... เศร้า น้องฐาอยากจะเศร้า กินข้าวแทบไม่ลง จนหมอกมันได้แต่ทำหน้าเอือมใส่
“พอเหอะมึง อย่าดราม่ามากนักเลย ไม่สงสารหรอก น่ากระทืบมากกว่า” เอ๊ะ อีปากเน่า พูดออกมาได้ยังไงกันยะ เดี๋ยวแม่ขบหัวซะเลยนี่... คนกำลังเฮิร์ท....
“โหดร้าย... อย่างมึงคงไม่เข้าใจจิตใจอันบอบบางของกูหรอก โธ่ ..... นมกู.... ไปซะแล้ว ฮือๆ ” หนูทำเสียงงอแงแต่ไม่มีน้ำตา เป็นนางเอกผู้น่าสงสารต่อไปอีก
“ก็แล้วทำไมมึงไม่บอกพี่เขาไปตามตรงเลยล่ะว่าจะเอาตังค์ไปทำนม” เสียงหมอกฟังอู้อี้เพราะมันกำลังพูดไปเคี้ยวข้าวกลางวันไปด้วย มารยาททรามจริงจัง หนูรับไม่ได้ค่ะ ณ จุดนี้
“ถึงจะบอกไป พี่เขาก็คงไม่ให้ทำอยู่ดี คงจะหาว่าเป็นเรื่องไร้สาระ” หนูทำปากยู่ตาโศกเต็มสตรีม
“ถ้าพี่แกคิดอย่างนั้นแกจะย้ำเช้า ย้ำเย็นว่ามึงแบนทำไม” อีหมอกพูดขึ้นมาอย่างสงสัย....
“ก็คงแค่แกล้งหยอกกูเท่านั้นล่ะ ถ้าจะเอาใหญ่ๆ ล่ะก็คงไม่หันมาชอบผู้ชายด้วยกันหรอก ดูอย่างพี่ปอนด์กะอีกิ๊งสิ แบนยิ่งกว่ากระดาน พี่เขายังชอบเลย กูเนี่ยอึ๋มสุดๆ แล้วเหอะ” หนูพยายามยืดอกตัวเองให้เด่นขึ้นเพื่อแสดงความมั่นอกมั่นใจ
“เอ๋า... ถ้าคิดอย่างนั้นแล้วยังอยากจะทำไปทำไมล่ะ”
“โธ่อีโง่.... ก็กูเป็นกะเทยนี่ กูไม่ได้เป็นทอมอย่างมึง กูก็อยากมีเหมือนผู้หญิงเค้ามีกันมั่ง ถ้ากูรวยๆ นะกูจะไปยกเครื่องใหม่ให้สวยกว่าน้องปอยอีก เค้าว่าถ้าคิดจะแปลงเพศให้ทำก่อนอายุยี่สิบยิ่งดีเพราะฮอร์โมนเพศชายมันยังทำงานไม่เต็มที่ แต่นี่ดูสิ อีกสองเดือนกูก็สิบเก้าแล้ว กูยังไม่มีตังค์ทำนมเลย โฮๆๆๆ”
“เลิกง้องแง้งเหอะมึง กูคงช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี มึงกลับไปบอกพี่เขาใหม่เหอะ เพราะถึงไม่บอกตอนนี้ พอเก็บเงินได้มึงก็ต้องบอกอยู่ดี”
“กูว่าจะไม่บอก เอาไว้รอวันหยุดยาวๆ หรือไม่ก็ช่วงปิดเทอมก็หาเวลาไปทำ เจอกันอีกทีก็ตู้มแล้วไปเลย”
“เอ๋า... แล้วมึงไม่กลัวโดนโกรธเหรอ?”
“ก็กลัว... แต่ทำไงได้ล่ะ ถ้ากูบอกก่อน... พี่เขาต้องห้ามไม่ให้ไปทำแน่เลย ถ้ากูไม่บอกแล้วชิงทำไปซะก่อน ถ้าเค้ารักกูจริง เค้าคงโกรธไม่นานหรอกมั้ง ไหนๆ ก็ทำไปแล้ว....พี่เค้าคงไม่ใจร้ายให้กูไปเอาออกหรอก” หนูหันไปบอกอย่างพยายามเข้าข้างตัวเอง
สองมือลูบเส้นผมตัวเองที่ยาวขึ้นมากแล้ว จำได้ว่าพี่โต้งเคยบอกว่า ตอนที่ตัดผมสั้นเป็นผู้ชายดูน่ารักดี พี่เขาชอบตอนนั้นมากกว่าอีก แต่พอต่อผมแล้วเริ่มไว้ยาวพี่เขาก็ไม่บังคับให้ไปตัดอีก ถึงจะแต่งหน้าแต่งตัวเป็นผู้หญิงยังไงก็ไม่เคยว่า แค่บอกให้แต่งตัวให้เรียบร้อยอย่าโป๊มากแค่นั้นแหละ
คนใจดีอย่างพี่โต้งก็คงเข้าใจแหละมั้ง ไม่ว่าภายนอกจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน แต่ภายในก็ยังเป็นหนูคนเดิมอยู่ดี...
“ถ้าอย่างนั้น ลองนี่ดูแมะ?”
“หือ??” หนูเงยหน้าขึ้นมองตามนิ้วที่ชี้ไปยังบอร์ดของคณะใกล้ๆ โต๊ะที่เรานั่งกินข้าวด้วยกัน
“ประกวดการแสดงโชว์ Green stage จะประกวดเดี่ยวหรือกลุ่มก็ได้ รางวัลชนะเลิศ........ สองหมื่น!!!!” หนูพยายามใส่เอฟเฟคเสียงให้ดูตื่นเต้น ทำตาวาวอย่างสนอกสนใจ
“อุ๊ย เลิศ” หนูเอามืทาบอกอย่างดีอกดีใจ “แต่จะให้ทำอะไรถึงจะชนะ ระบำเปลื้องผ้าเหรอ? ฮึ้ย.... จะดีหรา....” หนูหน้าแดงบิดตัวด้วยความอาย
“เว่อร์ไปมั้ง อีฐา ตื่นๆ ไม่ต้องอลังการงานสร้างขนาดนั้นก็ได้ แค่ร้องเพลงเพราะๆ หรือเต้นสวยๆ ลิปซิ้งค์นิดหน่อยก็พอแล้วมั้งมึง ไอ้เรื่องชนะอ่ะอย่าไปหวังมากเลย”
“นั่นสิเนอะ...เฮ้อ...” หนูตอบกลับอย่างห่อเหี่ยว
เฮ้อ.... ทำไงดีน้อ ..... เครียดจัง...
หนูถอนใจเฮือกขณะที่ทำหลังหั่นหมูในครัว วันนี้พี่โต้งเรียนเสร็จตั้งทุ่มนึง แต่หนูเลิกเรียนก่อน เลยไม่ได้ให้พี่โต้งไปส่ง แต่ขับรถไปเอง ตอนขากลับก็เลยซื้อของมาทำกินเล็กน้อย แต่ก็ได้แต่เมนูง่ายๆ นั่นแหละ
“อุ๊ย....” หนูแหกปากดังลั่น เพราะตอนที่กำลังเหม่อคิดอะไรอย่างอื่นนั้นก็เผลอทำมีดหั่นนิ้วตัวเองซะเฉยๆ
พยายามกดแผลห้ามเลือดแล้วหันไปล้างน้ำ เกือบไปแล้ว เกือบได้กินนิ้วทอดแล้วไหมล่ะเนี่ย... ทำไมมันซวยเยี่ยงนี้เนี่ย
ในที่สุดหมูทอดกระเทียมพริกไทยก็เสร็จไปได้ด้วยดี ไหนๆ พี่โต้งก็ยังไม่กลับมา ทอดไข่เจียวด้วยดีกว่า
พี่โต้งก็กินง่ายอยู่ง่ายนะคะ ทำอะไรให้ก็ไม่บ่นหรอก ถ้าจะบ่นก็คงเป็นเรื่องรสชาติมากกว่า
“พี่ว่าไข่มันเค็มไปนิดไหม?” หนูทำตาโต รีบตักไข่เจียวมาชิม ตายแล้ว เค็มจริงๆ ด้วยอ่ะ
“ขอโทษค่ะ สงสัยตอนใส่น้ำปลา องศามันเอียงมากไปหน่อย” หนูแก้ตัวไปเสียงอ่อยๆ
“หึหึ มันเกี่ยวเหรอ?” พี่โต้งถามแต่ก็ไม่วายหัวเราะ หนูยิ้มเจื่อนๆ จับผมทัดหูเขินๆ
“นิ้วไปโดนอะไรมาคะ” อยู่ดีๆ พี่โต้งก็ทัก หนูยกมือที่มีพลาสเตอร์พันอยู่ขึ้นมา
“นี่น่ะเหรอ? ก็มีดบาดเมื่อกี้นี้น่ะค่ะ”
“ซุ่มซ่าม!!” เสียงพี่โต้งดุๆ แถมขมวดคิ้วใส่อีกต่างหาก “ทำไมไม่หัดระวังบ้างฮึ นิ้วด้วนไปทำไงเนี่ย? ที่จริงน้องฐาจะซื้อพวกกับข้าวสำเร็จรูปมาก็ได้นะคะ ไม่ต้องทำเองหรอก ลำบากเปล่าๆ น่าจะรู้ว่าตัวเองไม่ถนัดก็ยังจะฝืนทำอยู่นั่นแหละ” จึกๆ แทงใจดำเหลือขนาด
ฮือ ...พี่โต้งใจร้าย พูดอย่างนี้ได้ไง ทำร้ายจิตใจกันมากเลย
หนูก้มหน้าลงเบะหน้าเศร้า รู้สึกแย่ขึ้นมาเฉยๆ
ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองทำกับข้าวไม่ค่อยเก่ง จะทำได้ก็แต่พวกของง่ายๆ แต่ที่ยังฝืนทำอยู่ เพราะหนูก็แค่อยากทำตัวให้มีประโยชน์บ้างเท่านั้นเอง พี่โต้งเป็นพวกชอบดูแลคนอื่นอยู่แล้ว ไม่ค่อยให้หนูอะไร จะทำความสะอาดห้องยังไม่ยอมเลยบอกว่าจัดใหม่แล้วพี่เขาหาของไม่เจอ หนูก็เลย....
“ค่ะ หนูไม่ทำแล้วก็ได้” หนูตอบกลับไปด้วยเสียงแปร่งเล็กน้อย ตักข้าวกินอย่างฝืดคอเต็มที่ แล้วก็อิ่มอย่างรวดเร็ว
หนูรวบช้อนทั้งๆ ที่ยังทานไปไม่ถึงครึ่งจาน นั่งนิ่ง...
“น้องฐาคะ” พี่โต้งเองก็คงรู้สึกได้ถึงได้เรียกด้วยน้ำเสียงเหมือนจะปลอบแบบนั้น “พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะว่าหนูแบบนั้นนะ ไม่ได้ไม่ชอบกับข้าวที่ทำให้ด้วย แต่แค่ไม่อยากให้เหนื่อยเท่านั้นเอง”
พี่โต้งบอกด้วยเสียงเหมือนจะง้อกลายๆ กุมมือหนูบีบเบาๆ
ถึงจะบอกว่าไข่มันเค็ม แต่พี่โต้งก็ยังอุตส่าห์กินจนหมดอยู่ดี หนูก็เลยโกรธแกไม่ลง ฝืนยิ้มให้สวยที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ค่ะ หนูเข้าใจ พี่อิ่มแล้วใช่ไหมคะ เดี๋ยวหนูเก็บจานไปล้างนะคะ” หนูบอกแล้วลุกขึ้น ยิ้มร่าเริงเหมือนปกติแล้วก็ชะงักอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมาว่า....
“วางไว้ที่ซิงค์อย่างเดียวก็พอค่ะ เดี๋ยวพี่ล้างเอง น้องฐาเป็นแผลอยู่อย่าเพิ่งให้โดนน้ำเลยนะ”
พี่โต้งพิมพ์งานอีกแล้ว จะว่าไปแล้วหนูเองก็พอมีรายงานอยู่บ้าง แต่เป็นพวกขี้เกียจ ไม่ไฟลนก้นก็ยังไม่อยากจะทำ ไฟห้องเปิดสว่างโร่ ได้ยินเสียงคีย์บอร์ดเบาๆ หนูนอนไม่หลับได้แต่กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง
“น้องฐา....” หนูหยุดกลิ้งแล้วหันไปมองตามเสียงคนเรียกด้วยสีหน้าระวังภัย
“คะ?” ตอบรับกลับไปเสียงอ่อย...
“หยุดกลิ้งได้แล้วค่ะ ถ้าง่วงก็ปิดไฟนอนไปเลย ถ้ายังก็หาอะไรทำเงียบๆ เมื่อวานก็มัวแต่... ไม่ได้งานไปวันนึงแล้ว วันนี้ขอพี่ทำงานอย่างมีสมาธิได้ไหมคะ?”
ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าปิดไฟ พี่จะพิมพ์งานเห็นได้ยังไง แล้วถ้ายังได้ยินเสียงก็อกแก็ก หนูก็คงนอนไม่หลับอยู่ดี ลำบากจังนะ
กริ๊ก......ในที่สุดหนูก็ตัดสินใจเดินออกมาจากห้องนอน
เฮ้อ.... อึดอัดจังน้า.....
นึกถึงหน้าพี่ติ๊กเจษฎา ในเรื่อง 2499 อันธพาลครองเมืองขึ้นมาเลย
ภา... เป็นเมียเรา... ต้องอดทน http://www.youtube.com/watch?v=ALY_aGx9Ahw ฐา... เป็นเมียพี่.... ต้องอดทน “น้องฐาคะ” เสียงเรียกตามด้วยแรงเขย่าๆ เบาๆ ทำให้หนูงัวเงียลืมตาขึ้นมาพบว่าตัวเองเผลอหลับไปบนโซฟาหน้าทีวี พี่โต้งย่อตัวลงมาปลุกหนู
“ทำไมไม่ยอมเข้าไปนอนข้างในล่ะ นอนข้างนอกแบบนี้ ผ้าก็ไม่ได้ห่ม เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกค่ะ”
“หนูเผลอหลับน่ะค่ะ “ หนูตอบ พยายามจะยันกายลุกขึ้น
“อุ๊ย....พี่” หนูร้องโวยวายเมื่อพี่โต้งก้มลงช้อนร่างหนูขึ้นอุ้มจนหนูโดยไม่ทันตั้งตัว พยายามดิ้นรนจะลงมายืนตามเดิมแต่ก็ไม่สำเร็จ
“โห....หนักขึ้นจริงๆ ด้วยแฮะ” แกว่าพลางหัวเราะจนหนูอดน้อยใจไม่ได้
“ถ้าหนักก็ปล่อยสิคะ หนูจะได้เดินไปเอง”
“ไม่เป็นไร พอไหวอยู่ เดี๋ยวหลังหักเมื่อไรพาไปโรงพยาบาลทีแล้วกัน” พี่แกตอบกลับด้วยเสียงร่าเริงยืนยันว่าจะอุ้มหนูเข้าไปนอนในห้องให้ได้
หนูได้แต่เอียงคอซบอกพี่โต้ง ถึงพี่แกจะปากเสียยังไง แต่ก็ยังใจดีแบบนี้อยู่ไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ
พี่โต้งวางร่างของหนูไว้บนเตียงแล้วกำลังจะเดินไปปิดไฟ
“พี่คะ....” หนูเรียกพี่โต้งที่กำลังหันหลังทำให้พี่เขาชะงักแล้วกันกลับมา
“คะ?” ตอบรับพลางนั่งลงบนเตียงห้องขาลงไปข้างๆ
“พี่น่ะ .... ใจดีกับหนูมากเกินไป จะทำให้หนูเคยตัวรู้ไหม ต่อไปก็จะเอาแต่ใจทำอะไรไม่เป็น เอาแต่พึ่งพาพี่อย่างเดียว”
“นั่นแหละที่ต้องการเลยล่ะ น้องฐาจะได้ติดแหง็กอยู่กับพี่ไปไหนไม่รอดไง”พี่โงตอบใบหน้ายิ้มแย้มมีแววขบขัน
“ถึงไม่ต้องดีขนาดนี้ หนูก็ไปไหนไม่รอดอยู่ดีนั่นแหละ ก็”บ้าน”น่ะ มันเดินไม่ได้ซะหน่อย คนต่างหากที่พร้อมจะย้ายบ้านได้ทุกเมื่อ..”
“เป็นอะไรขึ้นมาอีกล่ะเรา ที่พูดแบบนี้อยากให้พี่ลุกขึ้นมาเล่นบทโหดตบจูบเหมือนเมื่อก่อนหรือไง? ต่อมมาโซมันกำเริบหนักอยากได้รับความรุนแรงเหรอ? เรานี่ชักจะฟุ้งซ่านขึ้นทุกวันแล้วนะ” พี่โต้งร่ายยาวเป็นพ่อคนขี้บ่นขึ้นมาทันทีผิดจากบุคลิกสุภาพบุรุษสุดแสนใจดีอย่างเมื่อกี้อย่างกับคนละคน
“เปล่า... ก็แค่รู้สึกว่าระหว่างที่พี่โต้งทำให้หนูหลงระเริงไปกับความสุขสบาย ตามใจจนเสียคน อยากได้อะไรก็ได้มาง่ายๆ แต่หนูกลับไม่ได้ทำตัวให้มีประโยชน์เลยสักอย่าง ทำความสะอาดก็ไม่ได้ทำ กับข้าวก็ทำไม่ได้”
“ก็มีแม่บ้านมาคอยทำให้ กับข้าวก็ซื้อเอาได้จะทำเองให้เหนื่อยทำไมล่ะ?”
“ไม่รู้อ่ะ หนูรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นบ้านเก่าๆ โทรมๆ ไฟฟ้าโดนตัด ห้องครัวแก๊สหมด ส้วมตัน”
“ฟังดูอนาถชะมัด”
“แบบว่ามันไม่น่าอยู่เลยสักนิด ต่อให้รักมากแค่ไหน แต่ถ้ามันจะแย่ขนาดนี้ เป็นใครก็คงทนอยู่ไม่ไหวหรอก”
“อย่าพูดอะไรให้มันฟังดูแย่แบบนั้นได้ไหม น้องฐาน่ะคิดมากเกินไปนะ คนเราน่ะ สรรหาสิ่งสวยๆ งามๆ มาประดับตกแต่งบ้านกันออกเยอะ ของบางอย่างแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่มีไว้มันก็ทำให้ชีวิตดูหรูหรา ทันสมัยไฮโซไปตามเรื่อง เคยเห็นพวกงานศิลปะที่เขาแสดงไหม ภาพนึงน่ะราคาเป็นแสนเป็นล้าน ดูๆ ไปก็ไม่เห็นจะสวยตรงไหนเลย แต่ก็ยังมีคนมีคนซื้อไปเก็บสะสม เพราะสำหรับคนอื่นที่ไม่เข้าใจศิลปะมันก็แค่ของไร้ค่าเท่านั้น มีแต่คนตาถึงเท่านั้นแหละที่จะรู้ว่าของพวกนั้นน่ะมันคุณค่าทางจิตใจ ของบางอย่างไม่จำเป็นต้องทำประโยชน์อะไรก็ได้ แต่ขอแค่มีอยู่ก็ทำให้มีความสุขแล้ว สำหรับพี่แล้วน้องฐาก็คงเป็นงานศิลปะชิ้นนั้นล่ะมั้ง” พี่โต้งยิ้มให้แล้วพยักหน้าเบาๆ เหมือนจะกล่อมให้หนูเชื่อสิ่งที่ตัวเองพูด
“.........” อย่างนี้นี่เอง.... เข้าใจแล้วล่ะ หนูคงเป็นเหมือนกรอบรูปสินะ
กรอบรูปในเกม the sims 2 ที่มันอาจจะทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้นอกจากมีไว้มอง แต่มันกลับเพิ่มค่า “สิ่งแวดล้อม” ทำให้อารมณ์ดีขึ้น
หนูเผลอยิ้ม ความน้อยอกน้อยใจเศร้าโศกมันอันตรธานหายไปในบัดดล
“สบายใจแล้วใช่ไหมคะ? งั้นนอนได้หรือยังล่ะ” หนูหันไปยิ้มหวาน พี่โต้งนี่ก็เก่งเนอะ พูดอะไรซึ้งๆ กับเขาก็เป็น ถึงแม้ไม่ได้มีคำว่ารักออกมาเลยแต่ทำไมฟังแล้วรู้สึกดีขึ้นมามากขนาดนี้กันนะ
ไฟที่สว่างไสวมืดดับลง พี่โต้งกลับมานอนอีกฝั่งหนึ่งของเตียงพร้อมทั้งขยับกายมากอดหนูเอาไว้
อ้อมกอดนั้นยังอบอุ่นและอ่อนโยนเหมือนอย่างเคย จุมพิตก็ยังดูดดื่มและลึกล้ำราวกับจะดึงร่างให้จ่อมจมลงไปในบึงน้ำ อาจจะมีอึดอัด หวาดหวั่นอยู่บ้างแต่ก็เหมือนเป็นดินแดนอันน่าพิศวงรอการค้นหา
หนูเหมือนกำลังเพิ่งเริ่มเรียนการว่ายน้ำ พี่โต้งเป็นคุณครูที่ทั้งหล่อและใจดี เวลาสอนอะไรมันเลยพลอยกระตือร้นอยากทำให้ได้ดีที่สุด....
ถึงการว่ายน้ำมันจะยาก เวลาจมน้ำมันจะทรมานและอึดอัดจนสำลักก็เหอะ แต่พอปรับตัวได้แล้วก็เริ่มหายใจได้สะดวกขึ้นแล้วพอถึงตอนนั้นเมืองบาดาลก็ไม่แตกต่างกับแดนสนธยาที่หลงเข้าไปแล้วไม่อยากออก จนกว่าจะเห็นดาวพร่างพรายที่ปลายขอบฟ้า
หัวใจเต้น..เร็วไม่เป็นส่ำ เมื่อทะทึ่งพรวดพราดออกมาจากบึงใหญ่ สายน้ำไหลเชี่ยวและกว้างไกล กว่าจะถึงฝั่งได้เลยเหนื่อยสายตัวแทบขาด หนูหอบเหนื่อยเพราะว่ายน้ำมาไกล ทั้งฟรีสไตล์ กรรเชียงและผีเสื้อแต่ ถึงจะเหนื่อยแค่ไหน เวลาที่มาถึงเส้นชัยแล้วมันก็อดจะปลาบปลื้มปีติและเป็นสุขอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ โดยเฉพาะตอนที่มาถึงฝั่งฝันมีคุณโค้ชคอยกอดปลอบเป็นกำลังใจมันก็รู้สึกภูมิใจอย่างกับได้เหรียญทองโอลิมปิก
มีความสุขขนาดนี้ คืนนี้หนูต้องหลับฝันดีแน่เลย... คิคิ
หนูซุกตัวเข้าหาไออุ่นของคุณโค้ชสอนว่ายน้ำ ที่ทำให้ต้องสำลักไปหลายน้ำนั้นแน่นขึ้นอีก เมื่ออีกฝ่ายโอบแขนมากอดไว้ก็พริ้มตาหลับลงอย่างเป็นสุข ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ พึมพำอยู่บนศีรษะว่า....
“ถึงจะฟังดูแย่ขนาดนั้นก็เถอะ แต่รักไปแล้วจะให้ทำยังไงได้ ต่อให้บ้านหลังนี้จะเก่าแก่หรือผุพังไปแค่ไหน พี่ก็ไปไหนไม่ได้อยู่ดี ส่วนอื่นๆ ของบ้านจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ" หนูรู้สึกถึงสัมผัสบางอย่างที่กดลงมาที่หน้าผากหนักๆ
"ขอให้ห้องนอนยังน่านอนอยู่ ก็พอแล้วมั้ง” ..............................................
เลิพซีนช่วงหลังๆ ไม่ค่อยเซอร์วิสเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะคะ แบบว่าไม่ได้เขียนนานมันยากเขียนไม่ออกน่ะ เลยใส่แค่พอได้ยิ้มๆ เนอะ
สำหรับความคิดการตัดสินใจของตัวละครไม่ว่าจะออกมาร้ายหรือดี ก็อยากจะบอกว่า พระเอก นายเอก ไม่จำเป็นต้องแสนดีที่สุด เพราะไม่ว่ายังไงมันยังคงเป็น "มนุษย์" อยู่ดีล่ะเนอะ
เป็นโค้งสุดท้ายแล้วจริงๆ แต่ก็ไม่ได้รวบรัดที่จะจบลูกเดียว พยายามอย่างยิ่งที่จะเคลียร์ทุกๆ ปมของตัวละครให้หมดด้วย
ดังนั้นหลายๆ อย่างที่เขียนลงไป บางครั้งอาจจะอ่านแล้วรู้สึกเอื่อย แต่ขอบอกว่ามีเหตุผลและเกี่ยวเนื่องกันกับเรื่องราวในตอนหน้าๆอยู่ อย่าเพิ่งเบื่อนะคะ
จะเข้าโหมดเศร้าหรือไม่นะ จั่วหัวว่า BLUE แบบนี้.....ตื่นเต้น ๆ ๆ
แหม.... ช่างสังเกตนะตัวเธอ...
เอาเป็นว่าไม่สปอยล์นะ เพราะก็บอกแล้วว่าโค้งสุดท้าย มันก็เลยมีหลายรสชาติ....
จะโค้งมากน้อย หักศอก คงบอกมากไม่ได้ ต้องรออ่านอย่างเดียวจ้า...