ใครยังไม่ได้ดูภาพ หน้า 129 ก็แวะไปดูกันด้วยนะคะ
พี่คะ รับกะเทยทานเพิ่มไหมคะ?
ตอนที่ 60 อยู่เฉยๆ ก็เหนื่อย...
อาโลฮ่า บรรดามิตรรักแฟนเพลงที่เคารพรัก เป็นยังไงบ้าง ยังสบายดีกันอยู่แมะ?
ขอโทษที่น้องฐาผู้น่ารักห่างหายไปนาน เพราะตอนนี้กำลังเก็บตัวเข้าประกวด “นายนพมาศ” อยู่ (ล้อเล่นนะคะ)
ก็แบบว่าปิดเทอมไง ก็เลยกลับบ้านกลับช่องไม่ได้อยู่กับพี่โต้ง มันก็เลยไม่มีอะไรจะเล่า แต่ตอนนี้เปิดเทอมแล้ว.. ก็เลยกลับมาเม้าท์ได้ต่อ
เนี่ยนะ ตอนปิดเทอมกลับไปอยู่บ้าน หนูก็ให้มารดาสอนทำอาหารมาได้หลายอย่าง แม้ว่าไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวเท่าไรแต่ช่างมันเถอะ ก็พี่โต้งแกออกจะใจดี ไม่ค่อยใช้ให้หนูทำอะไรหรอก ออกจะดูแลฟูมฟักดุจไข่ในหินซะขนาดนั้น จะมีสกิลทำอาหารหรือไม่ก็ไม่มายด์อยู่ดี เพราะส่วนใหญ่พี่แกก็พาออกมากินอะไรข้างนอกบ้านเป็นประจำ บอกว่าเป็นห่วง ไม่อยากให้เหนื่อย อันนี้ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือขี้เกียจเป็นหนูทดลองกินอาหารที่เพิ่งลองหัดทำกันแน่....
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เราออกมากินอะไรข้างนอก....
หมูกระทะ!! ไม่ได้กินมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย.... ถึงจะได้กินเอ็มเคแต่บรรยากาศไม่เหมือนกันอยู่ดี แบบนี้บรรยากาศมันบ้านๆ ธรรมชาติ แล้วก็อาหารหลากหลายกว่ากันเยอะเลย
ยิ้มแก้มปริก่อนจะย้ายวารด้วยความเริงร่าไปหาสรรพสิ่งมากองไว้บนโต๊ะ
อร๊าย..... มีแต่ของกินมากมายก่ายกอง เต็มโต๊ะ
“พี่คะ ... กินน้ำตกนี่สิ อร่อยนะคะ....”
“ไม่เป็นไร น้องฐากินเลย พี่ไม่ชอบกิน...”
แปว.... หนูหุบยิ้มพยายามเคลียร์น้ำตกหมูรสจัดนั่นลงท้อง ตามด้วยน้ำแดงอีกหนึ่งแก้ว เห็นพี่โต้งตักหมูที่ย่างแล้วใส่จานให้หนูอยู่เรื่อยๆ เอ๊ะอย่าวางยากันแบบนั้นสิ ตัวเองน่ะกินบ้างไม่ใช่ให้หนูกินคนเดียว...
“แล้วยำนี่ล่ะคะ ....”
“ก็ไม่ชอบกินเหมือนกัน หมูกระทะน่ะ กินแค่เนื้อสัตว์กับผักก็พอแล้ว” พี่โต้งบอกง่ายๆ ทำให้หนูหน้าเสีย
เอ๊ะ อย่าบอกนะว่าหนูต้องเคลียร์ทุกสิ่งอย่างที่ตักมาเลย
น้ำตกหมู ยำวุ้นเส้น หมูสะเต๊ะ สะเต๊กไก่ จะยัดไหวไหมเนี่ย หนูยังอยากกินน้ำแข็งไสกับไอติมต่อด้วยนะ ....
โอม่าย.....
ชีวิตมันช่างน่าเศร้า หนูทำอะไรอย่างอื่นไม่ได้บอกจากสวาปามไอ้ของที่ตักๆ มาเข้าไปจนเต็มท้อง
“ง่ำๆ ......เอิ๊ก.....อุ๊บ แหวะ...” หนูพยายามอย่างยิ่งที่จะอดกลั้นอาการอึดอัดบางอย่างเพื่อมวลมนุษยชาติ แต่ก็ทำไม่ค่อยจะได้ จึงส่งเสียงจากลำคอแบบไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ออกมา
แปะ!! คนข้างกายยกมือหนาขึ้นโบกหัวกลมเบาๆ เป็นเชิงหยอกอย่างเอ็นดู แต่ทำให้หนูหันไปมองพลางเบะหน้าใส่
“เสียมารยาท เรียบร้อยหน่อยเหอะ” พี่โต้งต่อว่าแต่หน้ากลับยิ้มอยู่ซะงั้น
“ก็แหม....หนูอิ่มนี่นา ท้องจะแตกอยู่แล้วเนี่ย....พี่ไม่ยอมช่วยหนูกินเลย”
“ไม่ต้องทำมาบ่นเลย ตัวเองเล่นตักโน่นตักนี่มาซะเต็มโต๊ะ วุ้นเส้นกินแล้วก็อืด ขนาดบอกว่าพี่ไม่ช่วยกินนะ ยังไม่วายเอาผลไม้กับไอติมมาอีก”
“ก็แหม...มันอยากกินนี่นา” หนูพยายามทำเสียงน่าสงสาร
“แล้วนี่กลับได้รึยังล่ะ”
“กลับได้ไง ยังไม่หมดเลย....” หนูรีบแย้งเพราะร้านหมูกระทะเดี๋ยวนี้นะ กินไม่หมดคิดเพิ่มอีกตั้งหลายบาท
“ช่างมันเถอะน่า บอกตั้งกี่หนแล้วว่าถ้ากินไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน”
“ก็มันเสียดายนี่นา” หนูเถียงเสียงอ่อย
“ความเสียดายเป็นบ่อเกิดของความอ้วนนะ รู้ไหมเนี่ยว่าเดี๋ยวนี้น้องฐาน่ะอ้วนขึ้นนะ แขนก็ใหญ่ขึ้น ขาก็ใหญ่ขึ้น” พี่โต้งแกพูดเสียงเรียบๆ
“ไม่จริงอ่ะ” หนูรีบเถียง ยกแขนตัวเองขึ้นดูด้วยความเป็นกังวล
“จริง.... แต่เอ๊ะ ... มีอย่างนึงนะที่ไม่ใหญ่ขึ้นเลย”
“อะไรเหรอคะ?” หนูขมวดคิ้วสงสัย พี่โต้งแกยิ้มบางๆก่อนจะตอบกลับมาว่า.....
“นม” แอร๋ย............. ...................................................
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10
อ่านะ ต้องทำใจล่ะว่ามีแฟนขี้เล่นแบบนี้ ต้องนับหนึ่งให้ถึงร้อย หนูว่าพี่โต้งแกก็คงไม่ได้ตั้งใจจะตอกย้ำ ทำให้หนูโศกเศร้าในปมด้อยนักหรอก แค่หยอกเล่นไปเท่านั้นเอง แต่หนูน่ะ เวลาโดนใครหยามอะไรแล้วมันก็อดไม่ได้ที่ฮึดสู้ อยากลบคำสบประมาทพวกนี้จัง
นี่ถ้าพี่โต้งแกเป็นพวกเก็ทมุกล่ะก็ จะย้อนกลับไปมั่งเหมือนกันว่า ถ้าหนูไม่เทคยาเยอะแยะ จนอะไรๆ มันหดไปบ้าง แล้วเอาขนาดข้างล่างมาเทียบกัน หนูว่าก็คงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันนักหรอก แต่ขืนพูดอะไรทำนองนั้นล่ะก็ สงสัยจะตายคาเตียงกันไปข้างหนึ่ง
เพราะฉะนั้น อย่าเสี่ยงเลยเนอะ กับคนที่ตัวเองพูดอะไรก็เป็นมุกไปหมด แต่ทีคนอื่นพูดบ้างล่ะเอาไปคิดเป็นจริงเป็นจัง ไม่ขำแล้วก็หาทางแก้แค้นแบบนั้นน่ะ ยิ่งทำให้ตัวเองลำบากซะมากกว่า
ไอ้เรื่องจะหาวิธีเพิ่ม “นม” นี่ก็น่าเหนื่อย ถ้าเพิ่งรู้จักกันล่ะก็คงอยากจะหาซิลีโคนมาเสริมมายัดอยู่หรอก แต่มันก็เท่านั้นแหละ คนอยู่บ้านเดียวกัน แถมติ๊ดชึ่งกันก็ออกบ่อย จะหาอะไรมาหลอกตาไปก็เท่านั้น เปลื้องผ้าออกมามันก็เท่าเดิมใช่ป่ะล่ะ ส่วนเรื่องจะให้ไปพึ่งยาเหมือนที่เคยคิด ก็โดนสวดยับไม่มีชิ้นดีขนาดนั้นใครจะไปกล้า เวลาจะแด๊กอะไรสักอย่างเลยต้องพิถีพิถันกว่าเดิมเยอะเลย แถมเค้าว่ากันว่า ไอ้ขนาดหน้าอกเนี่ยต่อให้เทคยายังไงมันก็ได้มากสุดเท่าๆ กะ ที่แม่เรา หรือญาติผู้หญิงเรามีอะแหละ คิดถึงอีทับทิมที่บ้านแล้วเครียด อีน้องบ้า ทำไมแกเกิดมาแบนเยี่ยงนี้ พี่สาวอยากจะเป็นลม
ถ้างั้น คงเหลือวิธีเดียวแล้วสินะ....
หนูพยายามรวบรวมความกล้าระหว่างที่เห็นพี่โต้งกำลังนั่งพิมพ์งานกอกแก็กอยู่หน้าคอมพิวเตอร์
“พี่คะ......”
“คะ?” พี่โต้งตอบรับแม้ว่ายังไม่ได้หันกลับมามองด้วยซ้ำ
“คือว่า.... หนูอยากทำงานพิเศษน่ะค่ะ”
“หือ... ทำไมล่ะ จะเอาเงินไปซื้ออะไรเหรอ?” ทีนี้พี่โต้งหยุดพิมพ์งานแล้วหมุนเก้าอี้กลับมาประจัญหน้า
จะเอาตังค์ไปซื้อนมค่ะ บ้าไปแล้ว ใครจะไปกล้าบอก เดี๋ยวก็โวยวายลั่นบ้านอีก
“เอ่อ... ก็แบบว่า....ว่า.....” หันไปมองจอคอมแล้วก็นึกขึ้นมาได้ “คือ....หนูอยากได้....โน้ตบุ๊กอ่ะค่ะ”
“อืม... เอามาเล่นเกมอีกล่ะสิ” พี่แกว่าทำหน้ารู้ทัน
แอร๋ย.... ไม่ต้องมาดักคอกันแบบนี้ได้ไหมอ่ะ
“กว่าน้องฐาจะเก็บเงินได้ก็คงเป็นเดือน งั้นไม่ต้องทำงานก็ได้มั้ง เดี๋ยวเดือนมกราคมพี่ซื้อให้ก็ได้”
“ทำไมต้องรอเดือนมกราคมด้วยล่ะคะ” หนูย่นคิ้วอย่างสงสัย
“ก็มันมีวันสำคัญทางศาสนาน่ะ เลยต้องซื้อของขวัญให้อยู่แล้ว แต่ถ้ารีบจะซื้อให้ล่วงหน้าก็ได้”
“วันสำคัญทางศาสนา?” หนูทำหน้าเอ๋อสุดชีวิตจนรอยยิ้มของอีกฝ่ายจางลงเป็นใบหน้าเอือมๆ แทน
“แรมต่ำน่าดูเลยนะเราเนี่ย พอๆ กะไอ้ปอนด์เลย”
เอ๋......ไอ้แรมต่ำที่ว่านี่มันใกล้เคียงกับคำว่า “โง่” ป่ะเนี่ย
“เฮ้อ.... น้องฐาน่ะเกิดวันที่ 29 มกราใช่ไหมคะ? พี่กำลังคิดอยู่เลยว่าจะให้อะไรดี ในเมื่ออยากได้ก็ไม่ต้องไปทำงานหรอก เดี๋ยวพี่ซื้อให้เป็นของขวัญนะ”
เออ.... ลืมไปเลยว่าตัวเองเกิดเดือนมกราคม ตายจริงนี่เราจะแก่ขึ้นอีกปีแล้วสิเนี่ย
“แล้วพี่โต้งรู้ได้ยังไงล่ะว่าหนูเกิดเมื่อไร จำได้ว่าไม่เคยบอกซะหน่อย”
“ก็แอบดูบัตรประชาชนเอาน่ะ นึกว่าจะเห็นตอนน้องฐาตอนเด็กซะอีก ผิดหวังชะมัด” พี่โต้งทำหน้าเสียดาย
พูดถึงบัตรประชน ไอ้ใบเก่าน่ะมันยังอยู่เลยนะ แต่พอมีโอกาสไว้ผมยาวแล้วมันก็อดทนใช้ใบเดิมไปจนถึงอายุ 21 ไม่ไหวหรอก เลยต้องไปแจ้งหายทำใหม่ให้รูปมันออกมาสวยเด้งกะเค้ามั่ง
“เอ่อ... นี่ก็เพิ่งจะซื้อมือถือให้มา หนูว่าไม่ต้องซื้อของแพงๆ แบบนั้นให้ก็ได้ เดี๋ยวหนูเก็บเงินเองดีกว่า หนูเกรงใจอ่ะ”
“ทำไมต้องเกรงใจล่ะ น้องฐาไม่ได้ขออะไรพี่ซะหน่อย ก็พี่อยากให้เอง พูดแบบนี้ทำเหมือนเป็นคนอื่นคนไกลพี่เสียน้ำใจนะคะ” พูดเฉยๆก็ได้ ไม่เห็นต้องทำท่าทีน้อยอกน้อยใจขนาดนั้นเลยนี่นา
“เอ่อ....แต่ว่า....” จะพูดยังไงดีล่ะ ว่าที่จริงแล้ว....
พี่โต้งแกยิ้มหวานให้ ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากแล้วทำเสียงจุ๊ใส่ไม่ให้พูดต่อ
สองแขนค่อยๆ กางออกแล้วรวบร่างหนูแล้วรั้งเข้าไปหาจนใบหน้าของเราใกล้กันมากๆ
“นะคะ... ไม่ต้องทำอะไรให้ลำบากหรอก พี่ไม่อยากให้น้องฐาเหนื่อย อยากได้อะไรก็บอก เดี๋ยวพี่ซื้อให้นะ” เสียงหวานฟังอบอุ่นและออดอ้อน ริมฝีปากแตะอยู่ข้างแก้มกระซิบเสียงแผ่วแต่ดังก้องเข้าไปถึงทรวงอก....
“ พี่รู้ว่าน้องฐาน่ะ แค่นอนเฉยๆ บนเตียงอย่างเดียวก็เหนื่อยแล้ว”
เอ๋..... มันหมายความว่ายังไงก็ไม่รู้ แต่ทำไมหน้าถึงแดงขึ้นมาซะเฉยๆได้ล่ะเนี่ย
“พี่ก็.....” หนูตอบกลับไปแค่นั้น ขณะที่รู้สึกว่าถูกจมูกโด่งกดกระหน่ำย้ำลงมาติดกันหลายครั้ง ปากคู่ที่เคยได้เจื้อยแจ้วจำนรรจาหุบสนิทไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีกนอกจาก เสียงครางอือ
โปรแกรมเวิร์ดถูกเปิดค้างทิ้งไว้อย่างนั้น จนหน้าจอดับไปเองตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ แต่คนสองคนมัวแต่ทำอย่างอื่นไม่ได้สนใจมันอีกเลย จวบจนกระทั่งเช้า ....
หนูว่าพี่โต้งก็พูดอะไรไม่ผิดนักหรอก
เวลาที่อยู่บนเตียง หนูไม่ค่อยได้ทำอะไรเลยก็จริง
แต่ทำไมก็ไม่รู้ มันเนื้อย.... เหนื่อย กว่าออกไปวิ่งออกกำลังกายซะอีกอ่ะ.... .......................
...................
วันนี้มาเบาๆ ให้พอหายคิดถึงนะคะ
ต่อจากนี้จะไม่สปอยล์อะไรมากแล้ว อยากให้ คนอ่านตามอ่านกันเองมากกว่า
ช่วยอยู่เป็นกำลังใจให้น้องฐาต่อไปด้วยนะคะ