ตอนที่ 50 ห่างไก่สักพัก part 1
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เคาะประตูไปอย่างนั้นเองตามมารยาท แต่ก็ไม่ได้รอให้คนข้างในเดินมาเปิดและไม่ได้ใช้กุญแจไข เพียงหมุนลูกบิดเบาๆ ห้องก็เปิดออกได้อย่างง่ายดาย เพราะบางครั้งถ้าหากมีคนอยู่ในห้อง ไม่ต้องใช้กุญแจก็ได้.....
“ลืมอะไรอีกล่ะ” คำถามมีแววรำคาญเล็กน้อย ทั้งที่คนถามไม่ได้หันมามองด้วยซ้ำ
“อะไรนะเดย์” หนูเอ่ยถามงงๆ คนในห้องจึงขยับตัวจากเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องเขียนที่อยู่หลังห้องแล้วหันมามองทางหน้าประตู
“อ้าว... นึกว่าเอกกลับมา” เขาตอบ
“เหรอ? แล้วเอกไปไหนแล้วล่ะ” หนูถามขณะที่เดินไปหาเขาที่โต๊ะ
“ออกไปหาแฟนน่ะ คนมีครอบครัวแล้วก็แบบนี้ล่ะไม่ว่างเหมือนคนโสดหรอก” น้ำเสียงเดย์มีแววน้อยอกน้อยใจอยู่ในทีจนหนูก็แอบหน้าเจื่อนเพราะโดนหางเลขไปด้วยอีกคน
“นี่ยังไม่ได้กินข้าวอีกเหรอ?” หนูถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงความห่วงใยเมื่อเห็นถุงข้าวและกับข้าวที่ซื้อมาเมื่อกลางวันถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะไม่ได้ผ่านการแกะสักนิด แสดงว่าเดย์ยังไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยทั้งๆ ที่นี่ก็บ่ายคล้อย แล้ว
“ไม่หิวน่ะ เอกมันก็บอกจะออกไปกินกะแฟนด้วยเลยทิ้งไว้งี้”
“โอ๊ย จะไม่หิวได้ไง ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า” หนูโวยวายรีบเดินไปหาถ้วยหาจานมาใส่กับข้าว
“เอาไว้ก่อนก็ได้ฐา ให้กินคนเดียวมันกินไม่ลงว่ะ”
“ก็เดี๋ยวเรากินด้วยไง กินหลายๆ คนอร่อยดี” หนูคะยั้นคะยอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“แล้วฐายังไม่ได้กินอะไรมาอีกเหรอ? ไหนว่าแฟนคนเดียวเลี้ยงได้ไง” น้ำเสียงประโยคท้ายมีแววตำหนิอย่างเห็นได้ชัด
“กินแล้วแต่อยากกินอีก ก็ดูสิ มีแต่กับข้าวที่เราชอบทั้งนั้นเลยเห็นไหม” หนูตอบพร้อมทำหน้าตะกละประกอบเข้าไปด้วย ยกโต๊ะญี่ปุ่นเล็กๆ ออกมากางแล้ววางถ้วยกับข้าว แล้วลงไปนั่งรอขณะที่เดย์นั่งซังกะตายอยู่ที่เก่า
“ถ้าเดย์ไม่หิว เรากินคนเดียวคนก็ได้นะ” หนูบอก ทำเป็นแกล้งงอนจนเดย์หลุดขำ เขายิ้มบางๆ แล้วยอมลงมากินข้าวด้วยแต่โดยดี
เฮ้อ....ลอบถอนใจเบาๆอย่างโล่งอก
ค่อยโล่งใจหน่อยที่ไม่ได้เป็นต้นเหตุให้เพื่อนต้องอดข้าว...
“แล้วนี่ ฐากลับมาทำไมเหรอ?” หนูเคี้ยวข้าวช้าลงมาทันที
“ทำไมถามงั้นล่ะ นี่ก็ห้องเราเหมือนกันทำไมจะกลับมาไม่ได้”
“ไม่รู้เหรอ? ตั้งแต่มีแฟน ก็ไม่ค่อยกลับมาเลยนี่ หรือว่า...ทะเลาะอะไรกันอีก”
มันเจ็บในอกเพราะถูกแทงใจดำ
“ก็นิดหน่อยอ่ะ....”
“เป็นเพราะเราหรือเปล่า......”
เพราะเดย์หรือเปล่าเหรอ? ไม่รู้สิ อาจจะใช่แต่จะให้บอกว่าใช่ก็ไม่ได้ซะด้วยสิ
“ไม่หรอก... แฟนเรางี่เง่าเองแหละ อีกอย่างมันก็เป็นความผิดเราเองที่ทำให้เขาเข้าใจผิดมาตลอด เราทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะไว้ใจ” หนูยิ้มเหมือนเป็นเรื่องตลกแต่คงฝืดน่าดูเพาะขำไม่ออก
“โอเคไหมเนี่ย” เดย์ถาม เอามือตบไหล่เบาๆ อย่างปลอบประโลม
“โอเคสิ กินข้าวเถอะ” หนูแสร้งยิ้มแล้วชวนอีกฝ่ายกินข้าว ไม่อยากตอบคำถามอะไรอีก เพราะมันเหนื่อยที่ต้องคิดว่าควรทำหน้ายังไงไม่ให้คนรอบข้าวรู้ว่ากำลังเศร้าอยู่ ต้องยิ้มร่าเริงทั้งๆ ที่ความจริงมันไม่ใช่ ไม่รู้ว่าต้องกลั้นน้ำตาแบบไหนถึงจะสำเร็จ
การทำตัวเองให้เข้มแข็ง...บางครั้งก็ยากเหมือนกันเนอะ...
ถ้าอยากจะห้ามใจไม่ให้คิดถึง ก็ต้องหาอะไรทำจะได้ไม่คิดมาก
ก่อนอื่นต้องเก็บหนังสือทำอาหารเอาไว้ไกลๆ ตา เพราะไม่รู้ว่าจะไปทำที่ไหน
ไปเล่นคอมที่ห้องคอมของมหาวิทยาลัย ไปห้องสมุดทำรายงาน
ไปหาหนังสืองานฝีมืออ่าน และหาซื้อของมาทำ....
แต่พอเอาเข้าจริง.....ทิ้งของกองไว้ในถุง....แล้วเอาแต่จ้องจอโทรศัพท์เฉยๆ
.
.
.
.
อร๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
เริ่มจะหมดความอดทนแล้วนะ
ไหนว่าจะโทรมาไง อีพี่บ้า หายไปสองวันแล้วนะเนี่ย.....
ใจคอจะห่างกันจริงๆใช่ไหม แค่กุญแจดอกเดียวเนี่ยนะ......
1
2
3
“โทรศัพท์สวยเนอะ เพิ่งซื้อใหม่เหรอ?” หนูสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์แห่งความโมโหแล้วหันไปหาเดย์ ปากมันยิ้มไปเองโดยอัตโนมัติ
“อื้อ...พี่เขาซื้อให้อ่ะ” ส่วนรอยยิ้มกว้างของเดย์ก็หุบลงอัตโนมัติเช่นกันพลางพยักหน้าช้าๆ
“ลืมไป...ว่าเพื่อนเรามีแฟนรวย” ซะงั้นน่ะ....
“แหม ไม่เห็นต้องแซวกันแบบนี้เลย”
“แล้วนี่ฐาจะจ้องโทรศัพท์อีกนานไหม? ถ้าเขาไม่โทรมา เราก็โทรไปเองสิ” ขอบใจนะเดย์ ที่พูดสิ่งที่คิดออกมาพอดี...
“อื้อ... ก็ว่าจะโทรนี่ล่ะ” หนูบอกแล้วเริ่มกดเบอร์พี่โต้งแล้วโทรออก รอยยิ้มที่มันคลี่เพราะมีความหวังค่อยจางลงๆและหุบสนิทเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณที่ถูกตัดดัง ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
“ไม่รับเหรอ?”
“อื้อ...” หนูตอบรับหงอยๆ
หรือว่าพี่เขาจะโกรธที่หนูปฏิเสธแบบนี้การที่ไม่ยอมรับโทรศัพท์ก็คงกำลังเล่นสงครามประสาทอยู่ล่ะมั้ง
คงกำลังรอว่าเมื่อไรหนูจะหมดความอดทน
และตอนนี้มันก็เริ่มหมดลงแล้ว
“เออ....เดย์”
“หือ?”
“เราคงต้องออกจากหอในก่อนจะจบเทอมแล้วนะ”
“ทำไมล่ะ?”
“พี่เขาชวนเราไปอยู่ด้วยน่ะ แล้วเราก็คิดว่า....”
“เพิ่งจะคบกันแค่ไม่เท่าไร ก็จะไปอยู่ด้วยกันแล้วเหรอ? คิดดูดีๆ นะฐา ขนาดปกติก็ทะเลาะกันบ่อยอยู่แล้ว คนอยู่ด้วยกันตลอดถ้าไม่เข้าใจกันจะยิ่งหนักกว่าเก่า ตอนย้ายเข้าไปน่ะมันง่าย แต่คิดถึงตอนย้ายออกด้วยนะ”
“ทำไมพูดแบบนี้ล่ะเดย์ ไม่ให้กำลังใจกันเลย” หนูตัดพ้ออย่างเสียขวัญ จะให้พูดยังไงว่าสิ่งที่เดย์พูดทำไมหนูจะไม่คิด แต่เพาะคิดมาก เพราะกังวลมากเรื่องมันเลยเป็นแบบนี้ไง
“ขอโทษนะที่พูดตรงๆ ที่พูดนี่ไม่ได้แช่งหรอกนะ แต่พูดเพราะเป็นห่วงจริงๆ ห่วงมากด้วย”
…………………..
……………………..
เย็นวันอังคาร หนูตอบตกลงจะไปดูหนังกับเดย์ตอนห้าโมงเย็น แต่ที่ไหนได้ เดย์กลับพาหนูมาที่ห้องสมุดเฉยเลย
“ไหนว่าเราจะมาดูหนังกันไง” หนูถามอย่างแปลกใจเมื่อจอดรถข้างเดย์ที่ลานจอดรถข้างหอสมุด
“ก็คราวที่แล้วเราก็มาดูที่นี่ไม่ใช่เหรอ?” เดย์ถามกลับยิ้มๆ
“ก็ใช่ แต่ก็หลงคิดว่าจะมีคนลงทุนเลี้ยงหนังโรงซะอีก... กลายเป็นพามาดูหนังฟรีซะได้” หนูแอบกัดเล็กๆ แต่ก็เดินตามเดย์เข้าไปข้างใน
“โทษนะที่เพื่อนจน เลยพาไปดูหนังที่นั่งวีไอพีไม่ได้” เดย์ตอบกลับมาทำเสียงน้อยใจน้อยๆ จน
“ขอโทษ เราล้อเล่น ดูแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน” หนูต้องรีบบอกอย่างกังวลว่าเพื่อนจะงอน
“พอดีเป็นหนังที่เราชอบน่ะ แล้วก็อยากให้ฐาได้ดู ถ้าหนังโรงเขายังฉายหนังเรื่องนี้อยู่ก็จะพาไปดูเหมือนกัน” เดย์ตอบ
หนังที่เดย์พาไปดูคือ....สายล่อฟ้า
โอยยย เก่าได้อีก!!
แต่พี่เต๋า สมชายนี่แบบว่ามีเคราแบบนี้ ผิวเข้มๆ แบบนี้ แต่งตัวแบบนี้ เท่อ่ะ
อร๊ายยย แมนมากค่ะพี่ หล่อเข้มดีมากเลย ซื้ดดด น้ำลายหก.... แอบเช็ดมุมปากเบาๆ
อึ้ย.....ต้องไว้ท่ารักษาอาการนิดนึงค่ะ มาดูหนังไม่ได้มาดูผู้ชายนะ
ภาพพจน์ และภาพลักษณ์กะเทยงามในสามโลก ต้องน่ารักเรียบร้อยนะคะ ท่องไว้ๆ
อื้ม... แต่แบบว่าท่าแหกขาของเจ๊แป้งมันแรงได้ใจ เซ็กซี่มากต้องจำไปแหกกะเขามั่งละ
ว่าแต่นี่หนูจะไปแหกขาให้ท่าใครเนี่ย อีพี่บ้านั่นก็ติดต่อไม่ได้ซะแล้ว
โอ๊ยยยยยย อยากพ่นไฟ ฮึ่มๆๆๆๆ
“ซึ้งป่ะ?” เดย์ถามขึ้นเมื่อเราเดินออกมาจากห้องฉายหนัง
“อือ....สนุกดีอ่ะ แต่สงสารกะเทย ถึงแป้งจะสวยแต่เต๋าก็ลำเอียงเกินไป ใจร้ายแบบนี้ขอให้ตอนท้ายโดนตัดนิ้วไปจริงๆ เลย”
“เฮ่ย.... ฐานี่ก็ อินเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
“ทำไมจะไม่เป็น? เพราะเป็นหนังก็เลยไม่รู้สึกอะไรเหรอ? ลองคิดดูว่าถ้าเป็นเรื่องจริงที่เราต้องมาโดนตัดนิ้วแทนคนอื่น แค่ว่าเราเป็นกะเทยอย่างเงี้ย มันจะน่าขำป่ะล่ะ?” หนูรีบบอกหน้ามุ่ย
“มันก็แค่หนัง.... ในความจริงกะเทยเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ล่ำถึกบึกบึนแบบเมื่อก่อนแล้วนี่ แต่ละคนสวยกว่าผู้หญิงจริงๆซะอีก “เหมือนฐาตอนนี้ไง”
“อุ๊ย....ปากหวาน” หนูยิ้มเขินๆ อยู่หน้าลิฟท์
ติ๊ง..... ลิฟท์เปิดออกและมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมา หน้าสวยๆ แบบนี้เหมือนเคยเห็นที่ไหนเลยแฮะ....
ที่ไหนล่ะ???
“อ้าว.....เดย์” ระหว่างที่ยังคิดอะไรไม่ออกผู้หญิงคนที่เห็นก็เดินออกมาจากลิฟท์แล้วทักเดย์ขึ้นมา
“สวัสดีครับแบม.....” เดย์ทักทายทำให้หนูเริ่มลำดับความคิดแล้วมันก็ปิ๊งขึ้นมา
แบมเป็นเพื่อนที่คณะของเดย์แล้วเดย์ตามจีบอยู่แต่ไม่ติด
หนูเคยเห็นเดย์ติดรูปเธอไว้ที่โต๊ะ แต่ตอนนี้โละไปหมดแล้ว
“แฟนเหรอ?” แบมหันมาถามเดย์ด้วยสีหน้าแบบหนึ่งที่ทำให้รู้สึกโมโหแทน
โอ๊ย... หักอกเขาแล้วยังจะมีหน้ามาถามแบบนี้อีกเรอะ นี่ถ้าเป็นผู้หญิงสวยๆ คงเซเยสไปแล้วเนี่ย
หนูกำลังจะยกมือโบกตอบว่าไม่ใช่ เพราะกลัวเดย์จะโดนเข้าใจผิดแต่ไม่ทันพูดอะไรออกไป เดย์ก็เลื่อนมือมากุมมือหนูไว้เสียก่อน
“ถ้าใช่ แล้วจะทำไมล่ะ?”
แอร๋ยยยยยยยยยยยย!! ทำไมแกตอบแบบนั้น??