ตอนที่6
ภาระที่ต้องรับ
ช่วงเวลา2สัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าการไปเที่ยวในที่ที่ถูกใจและไปกับเพื่อนที่รู้ใจจะน่าจดจำขนาดนี้
ตอนแรกผมคิดว่าจะอยู่ที่เกาะสีชังแค่5วันเท่านั้น เพราะครั้งก่อนๆที่เคยไปกับเพื่อนในมหาวิทยาลัยก็อยู่นานสุดแค่5วันเท่านั้น
แต่อาจเพราะบรรยากาศที่เหมือนจะตัดความวุ่นวายจากโลกแห่งแสงสีอีกฟากหนึ่งของเกาะสีชังเพราะที่นี่สงบและร่มรื่นจริงๆ
ผมมาลองทบทวนถึงช่วงเวลา2สัปดาห์ที่เกาะสีชังนั้น กิจวัตรประจำวันของผมกับเทคซ้ำกันทุกวันแต่กลับไม่น่าเบื่อเลยสักนิด
ตอนนี้ เทค กลับไปทำงานที่สิงคโปร์แล้วครับ ผมเองก็กลับมาตั้งหน้าตั้งตาเรียนเนื่องจากนี่เป็นเทอมที่ผมลงทะเบียนจนครบ
เกือบหมดทุกวิชา ผมตั้งใจจะเรียนให้จบภายใน3ปี ซึ่งถ้าผมสอบผ่านทุกวิชาที่ลงทะเบียนในเทอมนี้และเทอมหน้าก็จะจบในปีนี้
เย็นวันหนึ่ง ผมกำลังนั่งรถกลับจากมหาวิทยาลัย คุณป้าใหญ่ก็โทรศัพท์เข้ามาหาผม น้ำเสียงคุณป้าใหญ่เร่งร้อนเหมือนมีเรื่องร้าย
คุณป้าใหญ่บอกผมว่ามีคนมาที่บ้านหลายคน แต่คนที่คุณป้าใหญ่จำได้แม่นยำก็คือ ลุงวิชิต ซึ่งเป็นพี่ชายของคุณป๋าผมเองล่ะครับ
ซึ่งจะว่าไปแล้วแม้เค้าจะเป็นลุงแท้ๆของผมแต่การที่ครอบครัวของเราไม่เคยไปมาหาสู่กันก็ทำให้ผมแปลกใจไม่ใช่น้อย
ยิ่งฟังที่คุณป้าใหญ่บอกว่าให้ผมรีบกลับมาที่บ้านด่วนเลยเพราะ ลุงวิชิตกับพวกของเค้ากำลังเดินสำรวจไปทั่วบ้านทั้งยังหยิบจับ
โยกย้ายข้าวของในบ้านผมอย่างถือวิสาสะ ผมก็ยิ่งร้อนใจเร่งให้ลุงเขยขับรถให้เร็วขึ้นเพราะต้องการรู้ต้นสายปลายเหตุที่เกิดขึ่น
เมื่อรถจอดที่หน้าประตูรั้วก็เห็นคุณป้าใหญ่ยืนคอยผมอยู่แล้วผมบอกให้ลุงเขยกลับไปก่อนและเดินนำคุณป้าใหญ่เข้าไปในบ้าน
“นี่ มาทำอะไรกันน่ะ” ผมรีบเดินไปขวางพวกที่กำลังรื้อข้าวของจากตู้โชว์ในห้องรับแขกลงมาที่พื้น
“อ้าว มาแล้วเหรอหลานชาย ลุงมารอแม่เธอตั้งนานแล้วนะ ป่านนี้ยังไม่มาอีก” ลุงวิชิตเดินอ้อมมาจากหลังบ้าน
“สวัสดีครับลุง” ผมยกมือไหว้ก่อนจะถามว่า “มารอนายแม่ มีธุระอะไรแล้วเรื่องอะไรต้องมารื้อค้นกันวุ่นวายแบบนี้”
“ก็แม่เธอไม่มาตกลงเรื่องหนี้กับลุงซะที ลุงก็ดูไปเรื่อยๆสิว่ามีอะไรจะเอาไปขายใช้หนี้แทนบ้านได้บ้าง” ลุงวิชิตบอก
“คุณป้าใหญ่ นี่มันอะไรกันครับ ทำไมน้องไม่เคยรู้มาก่อน” ผมหันไปถามคุณป้าใหญ่ที่เดินมายืนทางด้านหลังผม
“ป้าก็ไม่รู้ลูก” คุณป้าใหญ่พูดไปก็ทำท่าจะร้องไห้ซะแล้ว “หนี้สินอะไรกันครับลุง เกี่ยวอะไรกับบ้านหลังนี้ด้วย”
“ลุงว่าเธอไปถามแม่กับพี่ชายเธอดีกว่าว่าเรื่องมันเป็นยังไง แต่เป็นหนี้ก็ต้องใช้ไม่งั้นก็ต้องทำสัญญากันใหม่”
“ทำไมครับ แม่ผมกับพี่ชายไปเป็นหนี้ลุงหรือไง ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ทำไมไม่มีใครบอกผมเรื่องนี้เลย”
“เรื่องมันนานแล้ว จริงๆพ่อเธอเป็นหนี้ลุงแล้วเอาบ้านหลังนี้มาค้ำประกันไว้ก็ตั้งแต่พ่อแม่เธอยังไม่แยกกันนั่นล่ะ”
ลุงวิชิต พูดอย่างต่อเนื่องคล่องแคล่วแม้ผมจะพยายามคิดว่าไม่ใช่เรื่องจริง พยายามจับคำพูดที่อาจปั้นแต่งขึ้นก็จับไม่ได้
“ถึงเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง ทำไมลุงไม่ไปทวงหนี้กับคุณป๋าเองล่ะ มาก่อกวนผมกับแม่ที่นี่จะมีประโยชน์อะไร” ผมเถียง
“ก็พ่อเธอไม่ได้อยู่บ้านนี้แล้วนี่ ลุงไปทวงพ่อเธอก็ทำเงียบหายไป แต่ในเมื่อแม่เธอยังอยู่บ้านนี้ก็ต้องใช้หนีมาสิ”
“เห็นแก่ตัว ลุงกับคุณป๋าเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ทำไมพูดกันเองไม่ได้ ทำไมต้องมากดดันแม่ผมด้วย”
“อ้าว พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกสิหลานชาย ถ้าไม่อยากรับผิดชอบหนี้สินที่พ่อเธอสร้างไว้ก็ย้ายออกไปจากที่นี่สิลุงจะได้ขายทิ้ง”
“แล้วพวกเราจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะลูก” คุณป้าใหญ่ถามผมเสียงสั่นด้วยความหวาดหวั่นจนผมต้องกอดคุณป้าใหญ่เอาไว้
ขณะที่เรากำลังยืนพูดคุยกันอยู่นี้นายแม่ก็กลับเข้ามาพอดี ผมหันไปมองนายแม่ที่เดินเข้ามาด้วยท่าทีอ่อนล้าแต่ก็เด็ดเดี่ยว
นายแม่ขอร้องให้ลุงวิชิตสั่งลุกน้องของเค้าเก็บข้าวของเข้าที่ตามเดิมแล้วรับปากว่าภายในปีนี้จะหาเงินไปชำระหนี้สินให้ได้
ทีแรกลุงวิชิตฮึดฮัดเสียงดังหาว่านายแม่เคยพาพี่ชายไปเจรจามาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลยปีก่อนแต่แล้วก็เงียบหายกันไปหมด
ลุงวิชิตจึงไม่อยากผ่อนผันอีกแล้วทั้งยังขู่ว่าจะเอาของในบ้านไปขายเพื่อหักค่าดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทุกเดือนจนกว่าจะใช้หนี้ครบ
แต่จู่ๆก็เปลี่ยนใจยอมให้โอกาสแม่อีกครั้งโดยยืดเวลาให้แม่หรือพี่ชายหาเงินมาใช้หนี้จนถึงสิ้นปีนี้ซึ่งเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งปี
เมื่อลุงกลับไปแล้วผมเองแทบเข่าอ่อนกับเรื่องหนี้สินที่เพิ่งได้รู้ในวันนี้เองแต่พอเห็นนายแม่ทรุดลงไปกับพื้นผมก็ต้องฮึดขึ้นใหม่
รีบไปพยุงนายแม่ไว้แต่เมื่อหันไปขอยาดมจากคุณป้าใหญ่ก็เห็นว่าท่านนั่งกุมหน้าอกด้วยว่าความดันขึ้นกระทันหัน ผมจะทำไงดี