พิมพ์หน้านี้ - [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 07-09-2007 20:03:04

หัวข้อ: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 07-09-2007 20:03:04
LINK # :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค1:+:
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=1099.0

LINK # :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค2:+:
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=1821.0

ก่อนอื่นต้องขอโทษเพื่อนๆที่ปล่อยให้รออ่าน [[นวนิยายเรื่อง]] ไฟรักเพลิงริษยา กันอยู่นาน
ผมลงมือเขียนไปได้ประมาณหนึ่งแล้ว แต่เหตุการณ์บางอย่างก็เกิดแทรกขึ้นอีกจนได้ทำให้วามรู้สึก
ของผมที่มีต่อตัวละครบางตัวในนิยายเปลี่ยนไป และไม่อาจเขียนต่อไปได้ตามโครงเรื่องเดิมที่วางไว้
แต่สำหรับใครที่อยากติดตามงานนวนิยายของผมก็พอจะหาอ่านส่วนที่เป็นเรื่องจริงได้จากเรื่องเล่าในภาคนี้
เพราะถ้าลำดับเหตุการณ์ตามวัน เวลา กันจริงๆแล้วเหตุการณืในเรื่องเล่านี้เกิดก่อนเหตุการณ์ที่ผมจะนำมา
เขียนใน [[นวนิยายเรื่อง]] ไฟรักเพลิงริษยา เสียอีกลองอ่านไปนะครับแล้วลองสังเกตุกันดูว่าคนจริงๆที่อยู่
ในเรื่องเล่าเรื่องนี้ คนไหนคือตัวละครตัวไหนที่จะถูกนำมาแต่งในนวนิยายของผมซึ่งจะลงในลำดับต่อไปแน่นอน

ขอบคุณสำหรับการติดตามกันมาอย่างต่อเนื่องครับ
ผมเอง
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 07-09-2007 20:05:27
เกริ่นนำ
7 กันยายน 2548 สนามบินดอนเมือง

ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใดก็ตามสถานที่แห่งนี้ไม่เคยเงียบเหงาเลยแม้แต่วินาทีเดียว ผู้คนคราคร่ำ เสียงรอบข้างเซ็งแซ่อยู่เป็นนิจ
และสิ่งที่เห็นอยู่ทุกครั้งที่ได้มาสนามบินดอนเมืองก็คือ ภาพของผู้คนมากบ้างน้อยบ้าง ที่กำลังยืนรอคอยเวลาแห่งการพบเจอ
และพรากจากกัน ฝ่ายหนึ่งคือผู้มาส่งและผู้ที่กำลังจะเดินทางไป อีกฝ่ายคือผู้มารอรับและผู้ที่กำลังจะกลับมาพบเจอกันอีกครั้ง
สิ่งที่เหมือนกันของคนทั้ง2ฝ่ายนี้ คือน้ำตา ซึ่งอาจจะเกิดจากความตื้นตัน ปีติยินดี ที่ได้พบกับคนที่จากกันไปไกลในที่แสนไกล
หรืออาจจะเป็นความรู้สึกโหยหาอาทร ห่วงอาลัย และคิดถึงสุดหัวใจต่อผู้ที่กำลังจะต้องเดินทางไกลไปยังบ้านเมืองที่ไม่คุ้นเคย

น้ำตา ดูเหมือนเป็นสัญลักษณ์แห่งการจากลาและการต้อนรับ ถ้าสนาบินมีชีวิตจะปลอบใจคนเหล่านี้ว่าอย่างไรหนอหรือว่าบางที
อาจจะเคยชินกับสถานการณ์เหล่านี้จนอยากจะสอนให้เราทั้งหลายเข้าใจในสัจธรรมที่ว่า “พบเพื่อจาก พรากเพื่อเจอ” แทนก็ได้
ผมเป็นอีกคนนึงที่กำลังยืนรอผู้ที่กำลังจะมาอย่างกระวนกระวายใจ ตามกำหนดเวลาที่เครื่องบินจะมาถึงก็ไม่น่าจะเกิน2ทุ่มนี่นา
แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังไงผมก็ต้องรอคนที่กำลังจะกลับมาหาผม คนที่ผมได้บอกลาเค้าผ่านมือถือในวันที่เค้าเดินทางจากไป
วันนี้ผมจะไม่พลาดอีกแล้ว เพราะการกลับมาคราวนี้จะไม่เหมือนกับครั้งอื่นๆ คนที่จะมากับเค้าบอกให้ผมเตรียมตัวล่วงหน้า
มีอะไรหลายอย่างที่ เทค อยากให้ผมเตรียมไว้ให้เค้าที่นี่ ผมไปจัดการตามนั้นตั้งแต่ช่วงกลางวันหลังจากที่ผมไปสมัครงานแล้ว

ผมกำลังนึกถึงเรื่องต่างๆมากมายที่ผ่านมาระหว่าง ผมกับเทค มันช่างมีความทรงจำหลากหลายเหลือเกิน คิดไปก็รู้สึกตีบตันจน
น้ำตารื้นขึ้นทั้ง2ข้าง ผมพยายามไม่ร้องไห้แต่น้ำตาก็ไหลจนได้ ผมรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาก่อนที่เค้าจะมาถึงในอีกไม่นานนี้
ผมไม่อยากให้เค้าเห็นว่าผมเป็นคนอ่อนแอ ไม่ใช่จะถือดีหรอกครับแต่การกลับมาของ เทค ครั้งนี้สำคัญมากจริงๆผมอยากสดชื่น
สดใส ไม่ใช่อ่อนแอ หรือร้องไห้เป็นเผาเต่าตั้งแต่เค้ายังไม่ทันมาเจอกับผม ผมอยากจะหยุดคิดเรื่องระหว่างผมกับ เทค ลงให้ได้
แต่ผมก็ทำไม่ได้ ด้วยว่าระยะนี้ไม่ว่าทำอะไรในความคิดผมก็จะมีแต่เรื่องของ เทค อยู่เสมอแทบจะเรียกว่าทั้งยามตื่นและหลับฝัน
น้ำตายังไม่ยอมหยุดไหลแต่ไม่เป็นไร ผมหวังแต่ว่าเมื่อได้พบกัน เทค จะเห็นว่าที่ผมร้องไห้นี้เกิดจากความรู้สึกยินดีไม่ใช่เสียใจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: A GE ที่ 07-09-2007 20:09:35
 :impress: :impress: ตอนที่จากกันก็เศร้าซ้า  แต่ก็ยังดีนะครับที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งนึง  :m1: :m1:

ขอบคุณนะครับ  ที่มาต่อเรื่องนี้ให้ :m4: :m11: :m4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: Tetjinen ที่ 07-09-2007 21:25:32
ว้าวภาค3แล้ว
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 07-09-2007 22:09:28
ตามมาอ่านภาค 3 เทคจะกลับมาแย้วววววว  :a1:  :a1:  :a1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 07-09-2007 22:12:20
 :m22:  ภาค3กับการกลับมาของเทค  ยางมะได้ไปอ่านไฟรักเพลิงริษยาเลยอ่ะ  :m23:









ปล. ไม่เว้นวรรคหน่อยเย๋อจ๊ะพี่นิว ตาลายอ่ะ ดีที่เนื้อเรื่องยางม่ายเยอะมาก  :m26:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: pongsj ที่ 07-09-2007 22:38:51
มาจองที่รออ่านภาค 3 ค้าบบบบบบบบบบบบบบบบ :m18:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 08-09-2007 14:55:44
ตอนที่1
ความห่างไกลทำให้คิดถึง

ปี พ.ศ.2546 จนถึงขณะนี้ เทค เดินทางไปสิงคโปร์ได้หลายวันแล้วส่วนผมเองแม้เป็นช่วงปิดเทอมแต่ก็ใช่จะได้อยู่ว่างๆนะครับ
เพราะผมยังคอยช่วยติวให้เพื่อนและรุ่นน้องอยู่ทุกวัน มาถึงตอนนี้ความรู้สึกรุนแรงที่อยากจะบอกความในใจให้ เทค รู้เหมือนจะ
ลดน้อยลงจากวันที่ไปส่งเค้า ผมประเมินอารมณ์ตัวเองแล้วพอจะเข้าใจได้ว่าผมคงเสียดายที่เค้าจะไปอยู่ซะไกลผมก็เลยอยากรั้ง
เค้าไว้ด้วยคำพูดอะไรสักอย่าง เพื่อให้เค้าเปลี่ยนการตัดสินใจ ซี่งผมเองก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าผมจะรับผิดชอบคำพูดตัวเองได้
มากแค่ไหนกัน บางครั้งผมก็รู้สึกโล่งใจที่ยังไม่ได้พูดอะไรให้ เทค ฟังในวันที่ไปส่งเค้าครั้งนั้น เพราะเมื่อลองคิดทบทวนดูแล้ว
หากวันนั้นผมบอกว่าผมรักเค้า ผมก็ยังไม่แน่ใจเลยว่าผมรักเค้าแบบไหนกันแน่ ลองคิดูอีกทีคำพูดนั้นอาจจะยิ่งทำร้ายเค้ามากขึ้น
อย่างน้อยๆตอนนี้ผมก็รู้ว่าการเดินทางไปสิงคโปร์ของ เทค ไม่ใช่การแยกขาดจากกันเสียทีเดียว เพราะเค้ายังโทร.มาหาผมเสมอ
ไม่ใช่แค่กับผมเท่านั้นหรอกนะครับที่ เทค ส่งข่าวให้รู้ถึงความเป็นไปแต่เค้ายังส่งข่าวให้เพื่อนๆคนอื่นรู้ทางอี-เมล์อีกด้วย เช่น ฝน
นี่เป็น FW.mail ที่ ฝน ส่งมาให้อ่านว่า เทค ส่งเมล์ไปหาเค้าหลังจากเทคไปอยู่สิงคโปร์ได้ไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ สงสัยตาทึ่มจะเหงา

>From: "tayavat manopnarit" <tayavat1อย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com>
>To: saytofonอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com
>Subject: มีคนบ่นคนบ่นคิดถึงผม หรือครับ?
>Date: Fri, 03 Dec 2003 14:34:45 +0000

>
>ใครบางคน บอก ใครอีกคนว่า คิดถึง ผู้ชายหน้าตาดีที่ชื่อ เทค
>ตอนนี้เราก็มาอยู่ที่หน้าคอมฯแล้วไงว่าแต่ช่วงที่ไม่ได้คุยกัน
>นานแค่ไหนแล้วเนี่ย เอาเป็นว่าเรายุ่งมากเลย ไม่ได้ลืม แต่ไม่ได้ติดต่อมา
>นิวบอกว่าฝนส่งข้อความมาหาเรา เราก็เลยลองเข้ามาเชค
>ถึงได้รู้ว่าฮอทเมล์เค้าตัดการเป็นสมาชิกของเราไปแล้วแต่ก็ต่อติดใหม่ได้ง่ายจัง
>(นิวบอกว่าสมัครยาก ไม่เห็นยากเลย นิวน่ะไม่เคยอะไรง่ายซักอย่าง
>มิน่าใจแข็งเป็นบ้า)
>ช่วงนี้เรื่องของฝนนิวเล่าแล้ว แต่เรื่องของนิว นิวให้เรามาถามฝน
>(งงจัง..2คนนี้เล่นอะไรอีกเนี่ย)
>ไม่ได้คุยกันระยะประชิดตั้งนาน2คนนี้ยังไม่เลิกเล่นปริศนาทายใจกันอีกเหรอ
>สงสัยนิวมีปัญหาหัวใจแน่เลย เราลองแซวว่ามีใครมาจีบมั้ย
>พีแกเงียบไปเลยแล้วเสียงอ่อยๆลงด้วย
>(ทีแรกนึกว่า อ่อย
>แบบให้ท่าตอนหลังโดนด่ากลับมาซะเสียงดังเลยมีสติว่าคงไม่ใช่)
>เอาล่ะตอนนี้เราพอจะว่างมั่งแล้ว จะพยายามเชคเมล์บ่อยๆนะครับ
>อยากคุยกับเพื่อน(ฝน)นะ
>อื้ม........คิดถึงเมืองไทยจังเล้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
>ปล.เรื่องของเรา ฝนไปถามนิวแล้วกันนะรับ(555เล่นด้วยคนนะ)
>Take care
>

นี่เป็นตัวอย่างของเมล์ที่ เทค ส่งมาหา ฝน หลังจากที่เค้าเพิ่งโทร.ทางไกลมาหาผมเมื่อไม่กี่วันก่อน เรียกได้ว่าช่วงแรกๆ
เทค ใช้เวลาไปกับการส่งเมล์ตอบเมล์และคุยโทรศัพท์ทางไกลมากกว่าการไปหาที่เรียนซะอีก แต่ก็ดีกว่าเงียบหายเหมือนที่ผมกลัวใช่มั้ยครับ
ฝนบอกว่าจะสอนผมเล่น MSN ด้วยล่ะครับ แต่ผมไม่รู้จักน่ะสิว่าเจ้า MSN เนี่ยเป็นยังไง เฮ้อ…อย่างผมเนี่ยแค่ส่งเมล์ได้ก็นับว่าเก่งจะแย่แล้ว
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 08-09-2007 15:54:16
คิดถึงเทคจัง หากแต่เกิดมาคู่กันจริง
ไม่ว่าผ่านไปนานแค่ไหน กลับมาทุกๆอย่างก็ยังเหมือนเดิม
 :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 08-09-2007 16:51:39
อืม ระยะทางไม่ใช่อุปสรรค  :a11:  :a11:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 08-09-2007 20:53:04
รักแท้ไม่แพ้ระยะทางจ้า  :m3:   :m3:  :m3:

มาเป็นกำลังใจให้น้องนิวตามสัญญา  อิอิ
รออ่านต่ออยู่น้า  สู้ๆ  :a2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 09-09-2007 15:16:59
ตอนที่2
หัดเล่น MSN

แรกๆที่ผมลองเล่น MSN ก็เป็นเพราะเพื่อนของผมอยากคุยกับผมแบบสดๆสามารถตอบโต้กันได้ แต่ผมก็เล่นเนตอยู่ที่ร้าน
ซะเป็นส่วนใหญ่ไม่สะดวกพูดคุยทางโทรศัพท์เพราะผมจะไม่มีสมาธิ สุดท้ายทั้งการเล่นเนตและคุยโทรศัพท์ก็จะไม่รู้เรื่องทั้งคู่
นึกย้อนไปผมก็ยังขำอยู่เลยเพราะเมื่อก่อนผมไม่เคยรู้ว่า MSN คืออะไรอย่างที่เล่าไว้แล้วล่ะครับว่าแค่สมัครฮอทเมล์ได้ก็เก่งแล้ว
แทบจะเรียกได้ว่าตอนที่ผมมีเมล์ของฮอทเมล์ใหม่ๆนะผมก็ส่งเมล์คุยกับเพื่อนแทบทุกเดือนเพราะกำลังเห่อของใหม่ไฮเทคนี่นา
เพื่อนๆคนอื่นอาจเห็นเป็นของธรรมดา ใครๆก็มีเมล์ ใครๆก็เล่นMSNเป็นทั้งนั้น แต่คนโลวเทคอย่างผมมันเยี่ยมมากเลยจอร์จ…
เชื่อมั้ยครับ ผมเป็นคนที่ขี้ขลาดขี้กลัว ยิ่งอะไรใหม่ๆที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็นแล้วผมรู้สึกว่ายากแล้วล่ะก็ผมจะลีกเลี่ยงให้ไกลเลย
เรื่องMSNนี่ก็เหมือนกันผมรู้สึกไปซะแล้วว่ายากเพราะแค่สมัครฮอทเมล์ผมยังทำอยู่ตั้งนานแล้วเล่นMSNจะยากขนาดไหนเนี่ย

ผมพยายามหลีกเลี่ยงการเล่นMSNมาตลอดด้วยการชวนเพื่อนที่เล่นเนตเวลาเดียวกันไปเข้าห้องแชทรูมตามเวปต่างๆแล้วก็คุยกัน
แต่สิ่งที่เป้นปัญหาอย่างมากคือ การที่เวปค้างห้องแชทรูมมีปัญหาคุยๆไปข้อความดีเลย์ขึ้นมาเฉยๆก็มีจนเพื่อนๆพากันบ่นว่าเซ็ง
ในที่สุดแก๊งแซนวิชอีกเหมือนเดิมที่คอยหว่านล้อมและสอนให้ผมใช้โปรแกรมMSNในการพูดคุยกับเพื่อนๆเป็นผลสำเร็จจนได้
หลังจากความพยายามผสมความกดดันของเพื่อนๆที่สอนผมให้เล่น MSN จนผมสามารถพิมพ์ข้อความพูดคุยโต้ตอบกับเพื่อนได้
การนัดคุยกันในเวลาเล่นเนตครั้งต่อๆมาก็ไม่ต้องไปพึ่งพาห้องแชทรูมของเวปต่างๆอีกแล้วแต่ในตอนนั้นถ้าใครอยากเห็นรูปผม
อยากให้ผมเปลี่ยนสีข้อความ แม้แต่เปลี่ยนขนาดข้อความก็ดูจะเป็นเรื่องยากเย็ญสำหรับผมขึ้นมาทีเดียว(โง่มาก่อนฉลาดแท้ๆเรา)

ผ่านไปสักระยะหนึ่ง ผมก็เริ่มเข้าที่เข้าทางกับการเล่น M (หึหึเริ่มเรียกแบบย่อๆเป็นแล้วเห็นมั้ย) ก็เริ่มได้พูดคุยกับเพื่อนที่อยู่ไกล
ตอนนั้นเพื่อนที่อยู่ไกลผมที่สุดก็คือ เทค นี่ล่ะครับตอนแรกผมส่งเมล์ไปบอกเค้าว่าผมเล่นMเป็นแล้วนะเค้าก็ยังส่งเมล์กลับมาหา
ทำนองว่าไม่อยากจะเชื่อแต่พอเค้าเห็นผมเล่นMเข้าจริงๆก็เชื่อเลยวาผมเล่นได้แต่เป็นการเล่นMตามแบบของผมคือออนไลน์ได้
แล้วก็ไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงอะไรในMทั้งสิ้น พิมพ์อย่างเดียว ตัวอักษรตามที่เครื่องตั้งค่าไว้และเป็นสีดำล้วนๆเป็นแบบนี้อยู่นาน
เมื่อเล่นMSNเป็นแล้วเพื่อนที่ผมได้พูดคุยด้วยบ่อยที่สุดก็เห็นจะเป็น เทค และ ฝน นี่ล่ะครับ แม้ว่าผมไม่ได้มาออนฝนกับเทคก็คุย
กันไปอาจเพราะเค้า2คนมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายๆกัน และดูจะพูดคุยกันถูกคอซะด้วยสิครับโดยเฉพาะเรื่องนินทาผมลับหลัง
แต่ผมไม่ซีเรียสหรอกเพราะจะว่าทุกเรื่องที่เทคกับฝนคุยกัน ถ้าผมออนพร้อมกับฝนเมื่อไหร่ ฝนก็จะเล่าให้ผมฟังอย่างละเอียด
หรือแม้แต่ถ้าผมได้คุยMกับเทค เค้าก็จะเล่าให้ผมฟังว่าได้คุยอะไรกับฝนบ้าง รวมทั้งเล่าด้วยว่านินทาผมไว้ว่าอย่างไร ฮ่าๆๆๆๆ

พอเล่นนานๆไป ผมก็เริ่มวิชาแก่กล้าแล้วครับ ก็ได้วิชามาจากพวกเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่คุยกันในMSNเนี่ยแหล่ะที่คอยแนะนำผม
บางอย่างผมก็ถามดูว่าจะทำอย่างที่เพื่อนๆทำต้องไปแก้ไข เปลี่ยนแปลงที่ตรงไหน จำได้ว่าอย่างแรกที่ผมหัดเปลี่ยนก็คือดิสเพลย์
แล้วถ้าใครที่ได้คุยMกับผมจะรู้ว่า ผมยังสาละวนเปลี่ยนดิสเพลย์อยู่ประจำจนถึงทุวันนี้เลยเชียว ก็การมีดิสเพลย์เนี่ยเป็นการโชว์
รูปที่เราชอบ รูปที่เราอยากนำเสนอนี่นา ผมก็นำเสนอรูปที่ผมอยากให้เพื่อนๆเห็นสิครับ(ซึ่งไม่ใช่รูปผมเนื่องจากผมรู้ตัวว่าขี้เหร่)
เริ่มแรกก็เป็นรูปต้นไม้ ใบหญ้า บ้านเรือน ดารา อะไรไปเรื่อยๆ ยิ่งช่วงไหนมีละครที่ผมกำลังปลื้มด้วยนะ ผมโชว์รูปเต็มเหนี่ยว
ลำดับต่อมา ก็เริ่มเปลี่ยนสีข้อความ เพราะเห็นคนอื่นเปลี่ยนสีกันสวยงามดีก็อยากเปลี่ยนบ้าง ทั้งที่ตอนนั้นมีให้เลือกไม่กี่สีเองนะ
แต่ผมก็ยังเลือกใช้ได้ไม่หมดเลยครับ แล้วก็มาถึงเปลี่ยนแบคกราวด์ ผมเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาสารพัดแบบสุดท้ายก็มาจบลงที่สีขาว
ธรรมดาที่สุด เพราะดูง่าย สบายตาและเหมาะกับสีข้อความของเพื่อนๆที่คุยกัน ซึ่งแต่ละครั้งมากันคนละหลายสีเลยก็เคยมาแล้ว

สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการเล่น MSN ของผมกับเพื่อนๆ คือการนัดเวลาในการคุยรวมห้อง เพราะนานๆเราจะเจอกันพร้อมหน้าทั้งแก๊ง
ส่วนใหญ่เป็นผมที่นัดกับ เทค ไว้ก่อนว่าเค้าจะว่างมาออนตอนกี่โมง และเพื่อนคนอื่นๆว่างตรงกันก็จะได้มาคุยรวมซึ่งนานๆครั้ง
ก็ตอนนี้เพื่อนผมแต่ละคนเริ่มไปทำงานกันหมดแล้วี่ครับเหลือแต่ผมที่ยังเรียนปี2อยุ่เลย แล้วก็นายทึ่มที่คุยกันล่าสุดในMบอกว่า
พ่อกำลังจะส่งเทคไปเรียนออกแบบเครื่องประดับครับหลักสูตร6เดือน นี่ก็ยังโม้อยู่เลยว่าถ้าเรียนจบจะมาฉลองกับผมที่เมืองไทย
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 09-09-2007 21:25:26
อ่านแล้วก็เห็นถึงพัฒนาการดีนะ

นี่คนสอนคงปวดหัวไปหลายยกเลยสิกว่าจะเป็น

 :laugh: :laugh: :laugh:

คุยกับเทคบ่อยๆไม่อ่อนไหวบ้างหรอ
 :m11: :m11: :m11:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: ฿oomb@b@ ที่ 10-09-2007 16:34:24
เด๋วจะเข้ามาติดตามอ่านนะครับ :m7:
 :m13:จะได้รวบรวมความรู้ อิอิ :m17:

แปะโป้งไว้ก่อง ฮะจึ๋ย :a6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 10-09-2007 23:26:24
ตอนที่3
อนาคตสดใสของนายทึ่ม

เช้าวันที่ 21 มิถุนายน 2547 ผมกำลังยืนรอเพื่อนๆในมหาวิทยาลัยที่จะมาลงทะเบียนพร้อมกันในช่วงเช้าของวันนี้ แต่ตอนนี้ผมยัง
ไม่เห็นเพื่อนในกลุ่มมาถึงสักคน นอกจากโอ๋ที่นั่งรถมาพร้อมกับผมแต่เช้า ส่วนคนอื่นคงเจอปัญหารถเมล์ไม่ยอมเข้ามาส่งอีกละ

“เฮ้ย นิวแกโทร.ถามไอ้หญิงดิ มันมาถึงปากทางยังวะ นานแล้วนะเว้ยจะ11โมงแล้วเนี่ย”
โอ๋ เร่งให้ผมโทร.เข้ามือถือของเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มที่น่าจะมาพร้อมกับเพื่อนอีกหลายคน
“เออๆ โทร.เดี๋ยวนี้แหล่ะ ฉันก็ไม่อยากช้าว่ะ ให้ลุงมาส่งแล้วรอรับกลับด้วยเกรงใจลุงว่ะแก”
ผมพูดจบก็รีบกดหมายเลขต่อสายคุยกับ หญิง ทันที
“เฮ้ย ถึงไหนแล้ววะแก อะไรนะยังไม่เข้ามาในเมืองเลยเหรอ เอาไงดีวะเนี่ย”
“แกรอฉันกะนิ่มก่อนได้ป่ะ เออๆ ก็รีบอยู่เนี่ย ถ้าขับเองได้ไปขับแล้วล่ะแก”
หญิง บอกให้ผมกับโอ๋ รออยู่ที่มหาวิทยาลัยก่อน ผมก็ตกลงแล้ววางสายไป
“ยังมาไม่ถึงเหรอนิว นานเลยดิ ฉันว่าเราไปลงทะเบียนก่อนดีกว่าว่ะ พอมันมาก็รออีกไม่กี่คน”
โอ๋ เสนอทางเลือกเพื่อความรวดเร็วให้กับผมหลังจากผมเล่าให้ฟังว่า หญิงกับนิ่ม ยังมาไม่ถึงครึ่งทาง
“เออก็ดี จะได้เขียนใบลงทะเบียนให้เพื่อนๆเราด้วย พอมาปั๊บก็ให้มันไปจ่ายตังเนอะ จะได้เร็วๆ”
ผมเองก็เห็นด้วยกับโอ๋ ดังนั้นผมกับโอ๋จึงไปลงทะเบียนกันก่อน เพื่อนๆที่มาทีหลังก็มารับใบลงทะเบียนที่ผมเขียนไว้ให้
แล้วก็ทะยอยกันไปจ่ายเงิน ทีแรกผมยังคิดว่าอาจจะติดเที่ยงซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเราจะต้องรอเจ้าหน้าที่อีกครั้งตอนบ่ายเลย
แต่โชคดีที่ หญิง นิ่ม มาถึงพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ ทั้ง สุ แอ๊บ นาง นา เอ แมน ซึ่งแต่ละคนก็หอบแฮ่กกันมาเลยเชียวครับ

ในระหว่างที่รอเพื่อนๆลงทะเบียนผมกับโอ๋ก็เข้าไปเล่นเนตในห้องคอมของมหาวิทยาลัย ที่มหาวิทยาลัยเล่นMSNไม่ได้ผมจึงแค่
เชคเมล์ ก็พอดีมีเมล์ฉบับล่าสุดส่งมาจาก เทค พอดีเลยครับ ผ่านมานานกว่า6เดือนแล้วผมหวังว่าจะได้ข่าวดีเรื่องการเรียนของเค้า

From: "tayavat manopnarit" <tayavat1อย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com>
To: narat_narakอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com
Subject: เราเรียนจบแล้วนะ
Date: Mon, 21 June 2004 08:40:48

เย้ๆๆๆๆ ว่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เรียนจบแล้วคร้าบบบบบบบ เฮ้ย นิวเราเรียนจบแล้วนะ
ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้พูดคำว่าเรียนจบกะเค้าด้วย 555 แต่แกก็คงทำเสียงดุเราเหมือนเดิม
ว่าจบแค่หลักสูตร6เดือนใช่มั้ย? แต่เราก็ภูมิใจนะนิว อย่างน้อยเราก็ทำอะไรสำเร็จได้บ้างเหมือนกัน
ที่เราไม่ได้ออนเลยช่วงเดือนนี้ เพราะเราเริ่มเข้ามาช่วยงานพ่อแล้วล่ะ ก็จะจบแล้วนี่ร้อนวิชาไงเลยของานพ่อทำ
รู้เปล่างานที่เราออกแบบนะขายได้เกลี้ยงเลย พ่อชมเราด้วยนะว่าเก่ง ไม่นึกเลยว่าจะทำให้พ่อภูมิใจได้ โคตรซึ้ง T-T
ตอนนี้เราจบอย่างเป็นทางการละได้ประกาศนียบัตรรับรองฝีมือไปติดฝาบ้าน1ใบกะเงินรางวัลของพ่อให้เรามาก้อนนึง
เดี๋ยวจะเอาเงินก้อนนี้กลับไปฉลองกะนิวที่เมืองไทยนะ อ้อ!ฉลอง2เรื่องเลย ก็ทั้งเรียนจบและได้งานทำด้วยไงล่ะงานดีเงินดีด้วย
ตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายออกแบบผลิตภัณฑ์เชียวนะ แผนกจิวเวลรี่อ่ะ เป็นไงพอจะมีหน้ามีตาไปสู่ขอลูกชายใครได้บ้างรึยัง กร๊ากๆ
เอาไว้แค่นี้ก่อนนะ อะแฮ่ม พอดีว่า ผุ้จัดการจะต้องเตรียมงานไปเสนอกับที่ประชุมครับ กลับมาแล้วค่อยคุยกันนะที่รัก
Take care

ผมอ่านเมล์จาก เทค ฉบับนี้ด้วยความตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก เหมือนได้เห็น เทค คนใหม่คนที่ไม่มีปมด้อย ไม่มีอดีตที่เจ็บปวด
แต่เป็น เทค ที่มองเห็นคุณค่าของตัวเอง เป็นคนที่มองเห็นจุดยืนที่มั่นคงและอนาคตที่ชัดเจนของตัวเค้าเอง ผมสัมผัสได้เลยว่า
เทค กำลังมีความสุข สดชื่น มากขนาดไหนตอนที่พิมพ์แต่ละตัวอักษรใน e-mail ฉบับล่าสุดนี้มาถึงผม “ดีใจด้วยนะเทค”
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: A GE ที่ 10-09-2007 23:52:10
 o13 o13  ในที่สุดก็ใกล้จะได้เจอเทคแล้วชะมะคับนิว  :m11: :m11:

ปล. +1 ให้แล้วนะครับนิว
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 10-09-2007 23:53:32
ยิ่งเติบโต ก็ยิ่งเรียนรู้ว่าหัวใจรู้สึกอย่างไร
 :a4: :a4: :a4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: สาวตัวกลม ที่ 10-09-2007 23:53:58
ไม่มีไร แค่แวะมาให้กำลังใจเพื่อนเลิฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟฟ :m4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 11-09-2007 22:56:01
ตอนที่4
กลับมาหาเพื่อน

เพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เทค ก็กลับมาถึงเมืองไทย ตอนแรกที่ผมได้ข่าวว่า เทค มาถึงเมืองไทยนั้นผมก็ออกจะแปลกใจมากอยู่
เพราะแม้จะรู้นิสัยความใจร้อนของ เทค แล้วก็ยังไม่คาดคิดว่าเค้าจะทิ้งงานที่โม้มาซะดิบดีว่ากำลังอยู่ในช่วงพีคจัดมาได้ง่ายๆ
วันที่ เทค มาถึงกรุงเทพฯ ผมก็ยังไปเรียนหนังสือในช่วงเช้า และเข้าร้านอินเตอร์เนตคาเฟ่แถวๆบ้านในช่วงเย็นเหมือนทุกวัน
จนกระทั่งได้เจอกับ เทค ในMSNก็ยังนึกว่าเค้าอยู่ที่สิงคโปร์ เราคุยMSNกันจนถึงค่ำ เมื่อได้เวลาที่ผมต้องกลับบ้านก็บอกเค้าว่า
ถ้าจะมาเมืองไทยเมื่อไหร่ให้บอกด้วย เทค ก็ย้ำแต่ว่า “ก็บอกแล้วไง” ผมไม่ทันได้นึกว่าเค้ามาถึงแล้วนึกไปว่าเค้าย้ำที่ส่งเมล์มาหา
จนกระทั่งผมกลับมาถึงบ้าน ก็มีเบอร์โทรศัพท์จากบ้านของ เทค โทร.เข้าเครื่องผม ตอนนี้เองที่ผมเริ่มคิดว่าเค้าอาจมาถึงแล้วก็ได้

“ฮัลโหล หวัดดีครับ พูดอยู่ครับ”ผมตอบกลับหลังจากผู้ที่โทร.มาเอ่ยว่าต้องการพูดกับผม ผมจำได้ว่าเป็นเสียงคุณแม่บ้านที่บ้าน เทค
“……………………………….”
ปลายสายเงียบไป จนผมเริ่มไม่สบายใจต้องเรียกอยู่อีกหลายคำ ยิ่งเรียกก็ยิ่งตระหนกคิดไปทางร้ายเสียสิ้น
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ทำเสียงแตกตื่นยังกับถูกใครไล่ปล้ำ ทำไมคิดถึงเรามากเหรอจ๊ะ”
เสียง เทค หัวเราะอย่างสุดกลั้นผ่านเข้ามาทางหูโทรศัพท์ ผมรู้ตัวแล้วว่าโดนเค้าแกล้งแน่ๆ
“เล่นอะไรของแกวะเนี่ย ทำไม? กลับมาเมืองไทยต้องถูกเจิมด้วยคำด่าของเราก่อนถึงจะมีความสุขใช่มั้ย”
ผมตะหวาดกลับไปทั้งที่ในใจทั้งดีใจ โล่งใจ เมื่อได้ยินเสียงเทคที่สดใสตอบกลับมา แต่ก็อดโมโหไม่ได้จริงๆ
“ก็ใช่ดิ เราไปอยู่ที่นู่นนะมีแต่คนตามใจว่ะ น่าเบื่อจะตาย เดี๋ยวนี้พ่อก็ไม่ค่อยด่าเหมือนแต่ก่อนด้วย แม่เลี้ยงก็เอาใจอีก”
“เอ๊ะ…แกนี่โรคจิตรึเปล่าเทค ตอนที่ไม่มีใครเข้าใจก็ทำตัวมีปมด้อย พอแกทำดีมีคนชม แม่ใหม่เค้ารักแกก็ยังจะบ่นอีก”
“เฮ้ย เค้าดีกับเราเราก็ชอบไมใช่ไม่ชอบ แต่จะบอกว่าพักนี้หูไม่ค่อยชาอ่ะ ได้ยินนิวด่าซักหน่อยค่อยกระชุ่มกระชวย”
“ไอ้บ้าเทค ไอ้โรคจิต แกจะทำให้เราประสาทเสียตามไปด้วยน่ะสิรู้เปล่า”
“โห…ด่ายาวเลยนะ ก็ไอ้ที่ประสาทเสียตามเนี่ย เพราะเป็นห่วงเราใช่มั้ยล่ะ รู้น๊า”
“เปล่า แต่กำลังคิดว่าจะเอาแกไปส่งศรีธัญญาก่อนตอนไหนดี กลัวเพ่นพ่านไปกัดคนในบ้านอ่ะดิ”
“5555555555555555 เออๆสบายใจแล้ว ฝีปากการด่ายังไม่เคยตกเลยนะที่รัก”
“แกนี่นะ”
ผมจนปัญญาไม่รู้จะว่าอะไรเค้าได้อีก ผมก็ไม่ได้โกรธอะไรจริงจัง เมื่อจนแต้มก็ยอมๆนิ่งให้เค้าบ้างละกัน
“แล้วทำไมตอนเราอยู่ร้านเนตแกไม่บอกว่ามาถึงแล้วอ่ะ โทร.เข้ามือถือก็ได้ มาเหนื่อยๆยังอุตส่าห์พิมพ์คุยอีกนะ”
“ไม่เอาหรอก ขืนบอกไปนิวก็ต้องให้เราไปพักผ่อน รอให้นิวถึงบ้านค่อยโทร.คุยอ่ะดิ ไม่เอาอ่ะ เราใจร้อน”
“ก็บอกให้เรารับโทรศัพท์ก็ได้นี่ แล้วก็โทร.เข้ามาเราก็คุยกับแกไป อ่านกระทู้ไปก็ได้”
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวนิวไม่มีสมาธิ คุยกับเราก็ไม่รู้เรื่อง อ่านกระทู้ก็ไม่สนุก เราพิมพ์คุยกับนิวก็ดีแล้วล่ะ ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากมาย”
“แกก็ตามใจเราเหมือนเดิม ที่จริงแกไม่ต้องทำเพื่อเราขนาดนี้ก็ได้ บุญคุณใหญ่หลวงทดแทนไม่หมดน่ะเข้าใจป่ะ”
“แล้วทำไมต้องทดแทนล่ะ พ่อแม่มีบุญุคุณ พี่น้องมีความผูกพัน แต่อย่างเรากับนิวมีมากกว่านั้น”
“มากกว่านั้นอะไรอีกล่ะ อย่ามาหยอดนะ เดี๋ยวก็โดนด่ายาวอีกหรอกไม่เข็ดรึไง”
“ด่าก็ดีอ่ะดิ๊ เราถือว่านิวด่าเพราะนิวรัก ไม่รักไม่ด่า ยิ่งด่าก็แปลว่ายิ่งรัก”

มาแล้วครับ มุขหยอดสไตล์นายทึ่ม คงเห็นผมไม่ด่าล่ะสิ เริ่มได้ใจเล่นซะหลายมุข หยอดจนนึกว่าเค้าขายขนมครก
“แล้วไม่คิดมั่งเหรอ ว่าไอ้ที่ด่าๆไปเนี่ย เราด่าเพราะเกลียดตะหาก อยากด่าไล่ไปให้พ้นๆ”
“เกลียดก็ไม่สนใจหรอก แค่รู้ว่าเรามีผลต่อความรู้สึกนิวมั่งก็ดีกว่าเราไม่อยู่ในความรู้สึกไหนของนิวเลย”
“อีกแล้วนะเทค”
ผมเริ่มทำเสียงจริงจังเพราะเห็นว่า ผมกับเทคเล่นกันจนหมือนจะเกินเลยความรู้สึกเล่นหัวกันซะแล้ว
“เราพูดจริงๆนะ” เทค ยืนยันด้วยน้ำเสียงสุขุม “ถ้าเราแกล้งแล้วนิวโกรธก็ยังดีกว่าเรากลายเป็นความว่างเปล่าที่นิวไม่สนใจ”
“เราจะทำแบบนั้นได้ไง เราไม่ได้โง่ถึงกับจะเฝ้ารอสิ่งที่เป็นความว่างเปล่าอยู่ได้ตั้งเกือบปีหรอกนะ ที่พูดมาตั้งยาวเข้าใจเรารึยัง”

ผมตอบออกไปอย่างนั้นเป็นการทิ้งท้ายและหวังว่า นายทึ่ม คงเข้าใจเหมือนที่ผมคิด แล้วเพื่อนๆล่ะครับเข้าใจความรู้สึกของผมมั้ยครับ?
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 12-09-2007 00:18:46
อ้างถึง
“เราจะทำแบบนั้นได้ไง เราไม่ได้โง่ถึงกับจะเฝ้ารอสิ่งที่เป็นความว่างเปล่าอยู่ได้ตั้งเกือบปีหรอกนะ ที่พูดมาตั้งยาวเข้าใจเรารึยัง”

 :m3: :m3: :m3: :m3:

เข้าใจแล้ว รักแต่ปากแข็งอ่ะ

จับกดเท่านั้นแบบนี้
 :m20: :m20: :m20:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: A GE ที่ 12-09-2007 01:48:52
เริ่มสารภาพแล้วชะมะคับนิว :m12: :m12:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: luvdisc ที่ 12-09-2007 06:12:29
คุณน้องมาลงเรื่องต่อไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลยนะ  เสาร์นี้เลี้ยงหนังเลย 
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 12-09-2007 13:53:07
สวัสดีครับ แฟนๆ(เรื่องเล่า)

แหม... ว่าจะมาลงเรื่องเล่าต่อซะหน่อย ดันเจอคุณพี่เกี๊ยกบอกให้เลี้ยงหนัง งั้นเสาร์นี้คุณพี่เลี้ยงซิสเล่อร์นิวนะครับ ผลัดกัน เอ๊ย แลกกัน

A GE : เริ่มสารภาพแล้วชะมะคับนิว >>> จะว่าอย่างนั้นก็ได้ อีกอย่างก็ค่อยๆยอมรับตัวเองด้วยน่ะครับ ปล.เมื่อคืนทำไมไม่ออนอ่ะเรารอตั้งนาน

b|ueBoYhUb : จับกดเท่านั้นแบบนี้ >>> จับกด เนี่ย คืออะไรเหรอครับ มะได้แอ๊บแบ๊วแต่อยากรู้เจงๆบอกหน่อยน๊า นะ นะ นะ

จาก ผมเอง ครับ (แวะมายามบ่าย)
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 12-09-2007 14:01:42

............รักนะ........แต่ไม่แสดงออก............

...........บางทีคนรอก็ท้อนะ.......... :m17: :m17:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 12-09-2007 16:02:37
ในที่สุดก็เริ่มเปิดใจ
ขอบคุณที่มาต่อให้นะครับ
 :m1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: Serendipity ที่ 12-09-2007 16:55:38
มาให้กำลังใจพี่นิวคับ ไม่ค่อยได้คุยกะพี่นิวเลยคับ
 :m4: :m4: :m4: :m4:
ขอโทดทีน๊าาาาาาา งานแอบเยอะน่ะคับ^^
 :m5: :m5: :m5: :m5:
แล้วมาต่อนะคับ อิอิ
 :a1: :a1: :a1: :a1:




ปล. พี่นิวไม่เหงบอกเลยคับว่าต่อภาคสามเระอ่ะคับ  :m17: :m17: :m17:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 12-09-2007 18:39:08
ตอนที่5
เวลากับคนสองคน

เทค บอกว่ามีเวลาอยู่ที่เมืองไทย 2สัปดาห์เท่านั้น ทีแรกเค้าชวนผมไปเที่ยวเกาะเสม็ดด้วยกันอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมปฏิเสธครับ
ไม่ใช่ว่าไม่อยากไปเที่ยวกับเค้าหรอก แต่ผมมีที่ใหม่ที่อยากพาเค้าไปมากกว่าที่เกาะเสม็ดซะอีกน่ะครับนั่นคือ ‘เกาะสีชัง’
“โธ่ นึกว่าจะพาไปสวรรค์ที่ไหน ก็ไม่พ้นเกาะอยู่ดีแหล่ะนิว” นี่เป็นคำทักท้วงของ เทค แต่เมื่อผมยินยันว่าน่าไปจริงๆเค้าก็ตกลง
ผมเคยมาเที่ยวเกาะสีชังกับเพื่อนๆในมหาวิทยาลัย ก็เพื่อนกลุ่มเดิมล่ะครับแต่จำนวนคนน้อยลงกว่าปกติ เพราะบางคนก็ไม่ได้มา
นิ่ม คือเพื่อนที่ได้งานที่เกาะสีชัง พวกเราจึงมีที่พักฟรี ดังนั้นพวกที่ไปต่างจังหวัดได้นานๆก็พากันเฮโลมาถล่มเจ้าภาพซะเต็มที่

เกาะสีชัง มีอะไรหลายอย่างที่ผมชอบ และผมก็เชื่อว่าเทคต้องชอบ เนื่องจากหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมกับเทคมักจะชอบตรงกัน
ผมชอบสถาปัตยกรรมเก่าแก่เช่น วังเก่า ตำหนักเก่า เทค ก็ชอบและหาความรู้เรื่องนี้มากกว่าผมซะอีกทั้งที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ
แต่ถ้าเจอหนังสือเกี่ยวกับ อาคารบ้านเรือนสมัยรัชกาลที่5-7เป็นไม่ได้ล่ะ เทคจะขนซื้อไปนั่งอ่านอยู่ในโลกส่วนตัวเป็นวันๆเลย
ดอกลั่นทม ที่เดี๋ยวนี้เรียกกันว่า ลีลาวดี นี่ก็เหมือนกันผมชอบมาตั้งแต่เด็ก เคยคิดว่าทำไมเอาไปปลูกในบ้านไม่ได้ทั้งที่อยากปลูก
จะว่าชื่อเสียงเรียงนามไม่มงคลแต่ทำไมต้นไม้ที่ใครๆว่าไม่มงคลกลับเติบโตแข็งแกร่งให้ร่มเงาผู้คนอยู่ในเขตวัดอันรื่นรมย์ได้ล่ะ
ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่า เทค ชอบต้นลั่นทมเหมือนกับผมจนกระทั่งผมไปเล่าให้เค้าฟังว่าที่วิทยาเขตที่ผมเรียนอยู่ปลูก
ต้นลั่นทมไว้ซะเต็มทั่วสวนด้านหลังอาคารใหญ่เลย เทค ก็กระดี๊กระด๊าทำท่าอยากมาเห็นซะให้ได้ ก็เลยคุยเรื่องลั่นทมได้ถูกคอ
ทะเล เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมและเทค ต่างก็ชอบเหมือนกัน ผมเคยบอกเทคว่าเวลาไปทะเลผมไม่ต้องเล่นน้ำทุกครั้งหรอกครับแค่ได้
นั่งมองดูท้องทะเล ดูคลื่นซัดหาฝั่งผมก็มีความสุขแล้ว เทคเองก็เนกันแต่รายนั้นยืนยันว่ามาทะเลต้องเล่นน้ำถึงจะเรียกว่ามาจริงๆ
เฉพาะสิ่งที่ผมยกตัวอย่างมานี้ก็มากพอจะทำให้ เกาะสีชัง มีเสน่ห์ดึงดูดให้เทคอยากมา และเมื่อมาแล้วก็ติดใจเหมือนที่ผมคิดไว้

ผมได้รับการต้อนรับอย่างดีเยี่ยมจากเพื่อนของผม นิ่ม ยกห้องนอนให้ผมกับเทคไปเลยหนึ่งห้อง และยังคอยดูแลอาหารการกิน
เรียกได้ว่าเป็นเจ้าบ้านที่ดีสุดๆไปเลย ผมก็เป็นคนไปจ่ายตลาดบ้าง ช่วยออกค่ากับข้าวมื้อเย็นบ้าง โชว์ฝีมือทำอาหารบ้างสนุกดี
ระหว่างวันที่ นิ่ม ไปทำงาน ผมก็จะพา เทค ขี่จักรยานไปรอบๆเกาะ แต่เค้าขี่นะครับผมซ้อน ก็เค้าตัวใหญ่นี่ใครจะแบกเค้าไหว
ที่นี่มีส่วนที่เป้นทะเลอยู่หลายแห่ง เราก็ไปทีละแห่ง วันไหนที่เหนื่อยก็งดโปรแกรม นอนอยู่บ้านทั้งวัน หรือไม่งั้นก็อ่านหนังสือ
ผมพกเอาหนังสือที่ผมชอบมามากมายจน นิ่ม แซวว่าจะมาเปิดร้านขายของที่นี่หรือไง แต่ผมก็อ่านไปทีละเล่มจนเกือบหมดเลย
วันที่ นิ่ม หยุดงานก็จะเป็นไกด์พาไปเที่ยวในที่ซึ่งไกลออกไปหน่อย หรือเป็นที่ที่นิ่มเองก้เพิ่งรู้จักและอยากพาผมกับเทคไปด้วย
ช่วงเวลาหลายวันที่อยู่ด้วยกันที่เกาะสีชัง มันไม่มีแบบแผนตายตัว แล้วก็รู้สึกกันเองมากว่าไปเช่าบังกะโลหรูๆที่เกาะเสม็ดซะอีก
ผมใช้เวลาพักสมองด้วยการอ่านหนังสือ พักสายตาด้วยการนอนหลับ พักผ่อนร่างกายด้วยการว่ายน้ำทะเลในช่วงเย็นๆกับ เทค
วันไหนที่ผมไม่นึกอยากเล่นน้ำ ก็เอาสมุดจดที่มักพกติดตัวไปเสมอๆ ขึ้นมาบันทึกรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของวันนั้นเก็บไว้อ่าน
บางทีมีอารมณ์สุนทรีย์มากหน่อย ก็อาจจะได้นิยาย หรือเรื่องสั้นซักเรื่องสองเรื่องเก็บไว้ในสมุดเล่มนั้นแต่เขียนได้แค่เริ่มต้นเอง
พอมีอย่างอื่นที่มาเบี่ยงเบนความสนใจของผมไป นิยายที่คิดเอาไว้ก็เป็นอันต้องนอนรอการสานต่ออยู่ในสมุดเล่มนั้นอยู่เนืองๆ

บรรยากาศ ที่ร่มรื่น อบอุ่นด้วยไอแดด เย็นสบายด้วยละอองฝนยามค่ำคืน แสงจันทร์สีนวลกลมโต ทำให้เกาะสีชังน่าประทับใจ
มากขึ้นไปอีกสำหรับผม จะว่าไปแล้วแม้การมากับเทคครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สองที่ผมได้ไปเกาะสีชังแต่ความรู้สึกตื่นเต้นยังคงอยู่
ผมยังรู้สึกตื่นตาตื่นใจเมื่อได้ต่อเรือไปที่เกาะ รู้สึกหวานละมุนเมื่อได้นั่งมองพระจันทร์ในตอนค่ำ และครื้นเครงกับเกลียวคลื่น
สถานที่อาจจะเป็นของเดิม คนรอบตัวก็คนเดิมๆ แต่ยิ่งได้รู้จักคุ้นเคย เกิดความผูกพันกันมากขึ้นเท่าไหร่ ความไว้เนื้อเชื่อใจก็มี
มากขึ้นเป็นลำดับ ‘คนกันเอง’ กับ ‘สถานที่คุ้นเคย’ กลายเป็นความทรงจำส่วนหนึ่งของผมไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้หรอกนะครับ
แต่ที่ผมรู้ก็คือ ที่นี่มีบางอย่างก่อเกิด แจ่มชัดขึ้นในใจของผมเอง สิ่งที่ผมเคยสับสน สิ่งที่ผมเคยก้าๆกลัวๆที่จะยอมรับมันนั้น
มาถึงตอนนี้ผมรุ้สึกอิสระที่จะยอมรับตัวตนของผมเอง ตัวตนที่ผมเคยวิ่งหนี คงเพราะที่นี่ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่คนในครอบครัวผม
ไม่มีสิ่งที่จะตีกรอบผมเอาไว้ ผมจึงเรียนรู้ความรู้สึกใหม่ที่เกิดขึ้นในใจ นั่นก็คือการยอมรับตัวเองไม่ใช่สิ่งน่ากลัวอย่างที่ผมคิดไว้
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 12-09-2007 19:01:14
การยอมรับตัวเองไม่ใช่สิ่งน่ากลัวอย่างที่ผมคิดไว้
 :m13:  :m13:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: luvdisc ที่ 13-09-2007 02:29:57
แล้วทำไมถึงได้ยอมรับตัวเองและความรู้สึกสายแบบนี้   :o12:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: kryo_lover ที่ 13-09-2007 14:48:38
หุหุ ภาค 3มาแล้ว

มาหลายตอนเลย

มาเม้นก่อนไว้กลับมาอ่าน


 :a11:

ดีคร้าบพี่นิว

หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 13-09-2007 21:59:02
ตอนที่6
ภาระที่ต้องรับ

ช่วงเวลา2สัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าการไปเที่ยวในที่ที่ถูกใจและไปกับเพื่อนที่รู้ใจจะน่าจดจำขนาดนี้
ตอนแรกผมคิดว่าจะอยู่ที่เกาะสีชังแค่5วันเท่านั้น เพราะครั้งก่อนๆที่เคยไปกับเพื่อนในมหาวิทยาลัยก็อยู่นานสุดแค่5วันเท่านั้น
แต่อาจเพราะบรรยากาศที่เหมือนจะตัดความวุ่นวายจากโลกแห่งแสงสีอีกฟากหนึ่งของเกาะสีชังเพราะที่นี่สงบและร่มรื่นจริงๆ
ผมมาลองทบทวนถึงช่วงเวลา2สัปดาห์ที่เกาะสีชังนั้น กิจวัตรประจำวันของผมกับเทคซ้ำกันทุกวันแต่กลับไม่น่าเบื่อเลยสักนิด
ตอนนี้ เทค กลับไปทำงานที่สิงคโปร์แล้วครับ ผมเองก็กลับมาตั้งหน้าตั้งตาเรียนเนื่องจากนี่เป็นเทอมที่ผมลงทะเบียนจนครบ
เกือบหมดทุกวิชา ผมตั้งใจจะเรียนให้จบภายใน3ปี ซึ่งถ้าผมสอบผ่านทุกวิชาที่ลงทะเบียนในเทอมนี้และเทอมหน้าก็จะจบในปีนี้

เย็นวันหนึ่ง ผมกำลังนั่งรถกลับจากมหาวิทยาลัย คุณป้าใหญ่ก็โทรศัพท์เข้ามาหาผม น้ำเสียงคุณป้าใหญ่เร่งร้อนเหมือนมีเรื่องร้าย
คุณป้าใหญ่บอกผมว่ามีคนมาที่บ้านหลายคน แต่คนที่คุณป้าใหญ่จำได้แม่นยำก็คือ ลุงวิชิต ซึ่งเป็นพี่ชายของคุณป๋าผมเองล่ะครับ
ซึ่งจะว่าไปแล้วแม้เค้าจะเป็นลุงแท้ๆของผมแต่การที่ครอบครัวของเราไม่เคยไปมาหาสู่กันก็ทำให้ผมแปลกใจไม่ใช่น้อย
ยิ่งฟังที่คุณป้าใหญ่บอกว่าให้ผมรีบกลับมาที่บ้านด่วนเลยเพราะ ลุงวิชิตกับพวกของเค้ากำลังเดินสำรวจไปทั่วบ้านทั้งยังหยิบจับ
โยกย้ายข้าวของในบ้านผมอย่างถือวิสาสะ ผมก็ยิ่งร้อนใจเร่งให้ลุงเขยขับรถให้เร็วขึ้นเพราะต้องการรู้ต้นสายปลายเหตุที่เกิดขึ่น
เมื่อรถจอดที่หน้าประตูรั้วก็เห็นคุณป้าใหญ่ยืนคอยผมอยู่แล้วผมบอกให้ลุงเขยกลับไปก่อนและเดินนำคุณป้าใหญ่เข้าไปในบ้าน

“นี่ มาทำอะไรกันน่ะ” ผมรีบเดินไปขวางพวกที่กำลังรื้อข้าวของจากตู้โชว์ในห้องรับแขกลงมาที่พื้น
“อ้าว มาแล้วเหรอหลานชาย ลุงมารอแม่เธอตั้งนานแล้วนะ ป่านนี้ยังไม่มาอีก” ลุงวิชิตเดินอ้อมมาจากหลังบ้าน
“สวัสดีครับลุง” ผมยกมือไหว้ก่อนจะถามว่า “มารอนายแม่ มีธุระอะไรแล้วเรื่องอะไรต้องมารื้อค้นกันวุ่นวายแบบนี้”
“ก็แม่เธอไม่มาตกลงเรื่องหนี้กับลุงซะที ลุงก็ดูไปเรื่อยๆสิว่ามีอะไรจะเอาไปขายใช้หนี้แทนบ้านได้บ้าง” ลุงวิชิตบอก
“คุณป้าใหญ่ นี่มันอะไรกันครับ ทำไมน้องไม่เคยรู้มาก่อน” ผมหันไปถามคุณป้าใหญ่ที่เดินมายืนทางด้านหลังผม
“ป้าก็ไม่รู้ลูก” คุณป้าใหญ่พูดไปก็ทำท่าจะร้องไห้ซะแล้ว “หนี้สินอะไรกันครับลุง เกี่ยวอะไรกับบ้านหลังนี้ด้วย”
“ลุงว่าเธอไปถามแม่กับพี่ชายเธอดีกว่าว่าเรื่องมันเป็นยังไง แต่เป็นหนี้ก็ต้องใช้ไม่งั้นก็ต้องทำสัญญากันใหม่”
“ทำไมครับ แม่ผมกับพี่ชายไปเป็นหนี้ลุงหรือไง ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ทำไมไม่มีใครบอกผมเรื่องนี้เลย”
“เรื่องมันนานแล้ว จริงๆพ่อเธอเป็นหนี้ลุงแล้วเอาบ้านหลังนี้มาค้ำประกันไว้ก็ตั้งแต่พ่อแม่เธอยังไม่แยกกันนั่นล่ะ”

ลุงวิชิต พูดอย่างต่อเนื่องคล่องแคล่วแม้ผมจะพยายามคิดว่าไม่ใช่เรื่องจริง พยายามจับคำพูดที่อาจปั้นแต่งขึ้นก็จับไม่ได้
“ถึงเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง ทำไมลุงไม่ไปทวงหนี้กับคุณป๋าเองล่ะ มาก่อกวนผมกับแม่ที่นี่จะมีประโยชน์อะไร” ผมเถียง
“ก็พ่อเธอไม่ได้อยู่บ้านนี้แล้วนี่ ลุงไปทวงพ่อเธอก็ทำเงียบหายไป แต่ในเมื่อแม่เธอยังอยู่บ้านนี้ก็ต้องใช้หนีมาสิ”
“เห็นแก่ตัว ลุงกับคุณป๋าเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ทำไมพูดกันเองไม่ได้ ทำไมต้องมากดดันแม่ผมด้วย”
“อ้าว พูดแบบนี้ก็ไม่ถูกสิหลานชาย ถ้าไม่อยากรับผิดชอบหนี้สินที่พ่อเธอสร้างไว้ก็ย้ายออกไปจากที่นี่สิลุงจะได้ขายทิ้ง”
“แล้วพวกเราจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะลูก”
คุณป้าใหญ่ถามผมเสียงสั่นด้วยความหวาดหวั่นจนผมต้องกอดคุณป้าใหญ่เอาไว้

ขณะที่เรากำลังยืนพูดคุยกันอยู่นี้นายแม่ก็กลับเข้ามาพอดี ผมหันไปมองนายแม่ที่เดินเข้ามาด้วยท่าทีอ่อนล้าแต่ก็เด็ดเดี่ยว
นายแม่ขอร้องให้ลุงวิชิตสั่งลุกน้องของเค้าเก็บข้าวของเข้าที่ตามเดิมแล้วรับปากว่าภายในปีนี้จะหาเงินไปชำระหนี้สินให้ได้
ทีแรกลุงวิชิตฮึดฮัดเสียงดังหาว่านายแม่เคยพาพี่ชายไปเจรจามาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลยปีก่อนแต่แล้วก็เงียบหายกันไปหมด
ลุงวิชิตจึงไม่อยากผ่อนผันอีกแล้วทั้งยังขู่ว่าจะเอาของในบ้านไปขายเพื่อหักค่าดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทุกเดือนจนกว่าจะใช้หนี้ครบ
แต่จู่ๆก็เปลี่ยนใจยอมให้โอกาสแม่อีกครั้งโดยยืดเวลาให้แม่หรือพี่ชายหาเงินมาใช้หนี้จนถึงสิ้นปีนี้ซึ่งเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งปี
เมื่อลุงกลับไปแล้วผมเองแทบเข่าอ่อนกับเรื่องหนี้สินที่เพิ่งได้รู้ในวันนี้เองแต่พอเห็นนายแม่ทรุดลงไปกับพื้นผมก็ต้องฮึดขึ้นใหม่
รีบไปพยุงนายแม่ไว้แต่เมื่อหันไปขอยาดมจากคุณป้าใหญ่ก็เห็นว่าท่านนั่งกุมหน้าอกด้วยว่าความดันขึ้นกระทันหัน ผมจะทำไงดี
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 13-09-2007 22:30:55
ตอนนี้ก็ต้องเป็นกำลังใจให้คุณแม่กับป้าใหญ่ก่อนนะครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: A GE ที่ 13-09-2007 22:37:21
 o12 o12  ทั้งๆที่เปนญาติสนิทกันแท้ๆนะครับ  ทำไมถึงทำกันอย่างนี้ล่ะครับ :m16: :m16:

หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 13-09-2007 22:40:33
มรสุมมาอีกแล้ว ขอให้ฝ่าฟันมันไปได้
 o7 o7 o7 o7
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 14-09-2007 01:33:33

เห็นด้วยกะน้องจิงโจ้ค่า

ปล. คิดถึงน้องโจ้ ตาพูห์ กะ พี่แสบจัง  :m17:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 14-09-2007 18:20:15
ชีวิตไม่สิ้น  ต้องดิ้นกันต่อไป  :เฮ้อ:
เห็นด้วย ต้องเป็นกำลังใจให้นายแม่กับป้าใหญ่ก่อน
แล้วนิวจะทำยังไงละเนี่ย  หวังว่าคงเรียนอยู่นะ

รออ่านต่อน้า นิว สู้ๆ  :a2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 14-09-2007 19:31:35
 :เฮ้อ: ญาติกันแท้ ๆ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 14-09-2007 20:24:14
สวัสดีครับ เพื่อนๆทุกคน
เสาร์-อาทิตย์ ติดธุระครับ เดิมทีตั้งใจจะลงเรื่องเล่าวันละ1ตอน
แต่ไหนๆก็จะไม่อยู่ตั้ง2วันแน่ะ ก็เลยลงเรื่องเล่าชดเชยไปเลย
ถือว่าฝากเรื่องเล่าไว้ให้เพื่อนๆอ่านกันแก้คิดถึงนะครับ อิอิอิ
จาก ผมเอง
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 14-09-2007 21:27:11
ตอนที่7
หน้าที่ของลุกคนเล็ก(งั้นหรือ?)

เพื่อนๆเชื่อมั้ยครับว่า ความโชคร้าย มักพาเอาเรื่องเลวร้ายมาให้เราคราวละมากๆ และมาในเวลาที่เราตั้งตัวไม่ติดซะด้วยสินะ
เพราะหลังจากที่ผมเพิ่งรับรู้เรื่องหนี้สินจากลุงวิชิตเมื่อ 4วันก่อนและภายในวันเดียวกันนั้นนายแม่ก็ต้องเข้ามานอนรักษาตัว
อยู่ในโรงพยาบาลพร้อมกับคุณป้าใหญ่ ผ่านมาถึงวันนี้นายแม่ยังนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนคุณป้าใหญ่กลับบ้านแล้ว
คืนแรกที่ท่านทั้งสองต้องนอนโรงพยาบาลนั้น ผมกลับเข้ามาที่บ้านอย่างอ่อนแรง ที่บ้านไม่มีใครเลย ไม่มีคุณป๋าที่จะอธิบายว่า
ไปติดหนี้สินลุงวิชิตตั้งแต่เมื่อไหร่จำนวนเงินมากขนาดไหน ไม่มีพี่ชายที่จะคอยเป็นที่พึ่งให้กับผมทั้งที่เค้ารู้เรื่องนี้มาโดยตลอด
ในภาวะแบบนี้ผมไม่อยากถามนายแม่หรอกครับ แค่นี้ท่านก็ทรุดแล้วถ้าต้องให้ท่านเล่าก็คงต้องรอเวลาสักหน่อยน่าจะดีกว่านะ

เพื่อนๆครับ มีใครเป็นลูกคนเล็กบ้างครับ แล้วใครบ้างที่ถูกเลี้ยงอย่างตามใจ ได้รับสิ่งที่ดีที่สุดยิ่งกว่าพี่ๆคนอื่น นี่เป็นคำถามที่ผม
คิดวนเวียนอยู่ตลอดทั้งคืน ถ้ามีใครที่โชคดีอย่างนั้นผมคงอยากบอกว่าผมไม่เคยถูกเลี้ยงดูตามแบบฉบับของลูกคนเล็กทั่วๆไป
ผมได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ความรัก ความอบอุ่น ความใกล้ชิดเต็มเปี่ยมชีวิตผมแม้ว่าวันหนึ่งคุณป๋ากับนายแม่จะแยกทางกันก็ตาม
แต่ผมไม่เคยเป็นเด็กขาดความอบอุ่น ทุกเวลาที่ผ่านมาและดำเนินไป ผมยังมีคุณป๋าและนายแม่ให้คอยดูแลห่วงใยกันอยู่เสมอๆ
เพียงแต่ในเวลาที่ปัญาภาระสารพัดอย่างรุมเร้าพร้อมๆกัน ผมก็อยากตีอกชกหัว ร่ำร้องและกล่าวโทษโชคชะตาที่แกล้งผมอย่างนี้

คำถามสารพัดอย่างที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า ทำไม? ต่างก็หมุนวนอยู่ในสมองของผมครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่จบไม่สิ้นจนผมปวดศรีษะสุดๆ
คำถามที่ว่านั้นเริ่มจาก ทำไมผมไม่เคยรู้เรื่องหนี้สิน ทำไมนายแม่กับพี่ชายไม่จัดการปัญหานี้ให้เรียบร้อย ทำไมปล่อยให้ปัญหา
ยืดเยื้อมาจนถึงป่านนี้ ทำไมคุณป๋าไม่แก้ปัญหาเอง ทำใมลุงวิชิตจึงใจดำนัก ทำใมลุงไม่ไปทวงกับคุณป๋า มาขู่บังคับนายแม่ทำไม
ยิ่งคิดก็ยิ่งมีแต่คำถามที่หาคำตอบไม่ได้ ผมเริ่มเหนื่อยกับการกล่าวโทษสิ่งต่างๆทั้งโชตชะตาและผู้คนที่เกี่ยวข้องกับภาระหนักนี้
ผมคิดไปจนถึงว่า ทำไมคุณป๋ากับนายแม้องเลิกกัน ถ้าตอนนี้ท่านอยู่ด้วยกันลุงวิชิตจะทำแบบนี้รึเปล่า คงจะเห็นแก่คุณป๋าบ้าง
อย่างน้อยๆคุณป๋าก็เป็นน้องชายแท้ๆของลุงวิชิต แต่นี่ลุงวิชิตคงเห็นว่านายแม่กับคนที่อยู่บ้านนี้เป็นคนอื่นจึงขู่บังคับได้ตามใจ

ในคืนแรก หลังจากส่งนายแม่กับคุณป้าใหญ่ไปนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว ผมได้แต่กลับมานั่งคิดเรื่องต่างๆไปเรื่อยเปื่อย
และเดียวดายอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ลมเย็นๆพัดมานรู้สึกหนาวเหน็บผมนั่งชันเข่าใช้สองแขนโอบกอดตัวเองไว้ไม่ให้หนาว
ตอนนี้ข้าวของในบ้านยังเก็บไม่เรียบร้อย และผมก็ไม่อยากเห็นความรกของบ้านที่ถูกคนพวกนั้นรื้อค้นตามอำเภอใจเมื่อช่วงบ่าย
ผมปล่อยให้น้ำตารินไหล ไปพร้อมกับเวลาแต่ละนาทีที่ผ่านพ้นไปอย่างไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ ผมนั่งอยู่อย่างนั้นจนเผลอหลับถึงเช้า

วันที่สอง ตอนเช้าผมไปเรียนตามเดิม ตอนนี้ผมไม่มีเวลานั่งปล่อยอารมณ์ให้เศร้าไปกับเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ผมต้องจะดูแลนายแม่
และไปรับคุณป้าใหญ่ออกจากโรงพยาบาลตอนที่ยงหลังเลิกเรียน ดังนั้นผมจึงต้องลุกขึ้นจัดการกับชีวิตของตัวเองให้ได้ซะก่อน
ผมไปเยี่ยมนายแม่ที่ห้องพักผู้ป่วยมาแล้ว จึงไปรับคุณป้าใหญ่ออกจากโรงพยาบาล กลับมาถึงก็ดูแลคุณป้าใหญ่ทานข้าวทานยา
จากนั้นก็ส่งคุณป้าใหญ่เข้านอนดูจนแน่ใจว่าท่านอาการดีขึ้นแล้ว ผมก็กลับมาที่บ้านของผมเพื่อเก็บข้าวของให้เข้าที่ตามเดิม

วันที่สาม ผมโทรศัพท์ไปหาพี่ชายตั้งแต่เช้า เพราะผมนอนแทบไม่หลับเอาซะเลย พี่ชายยังไม่ไปทำงานก็เลยได้เล่าให้พี่ชายฟัง
ว่าตอนนี้ที่บ้านเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทั้งยังขอคำอธิบายเรื่องทั้งหมดอีกที พี่ชายเล่าว่าคุณป๋ากับนายแม่เอาบ้านไปจำนองไว้เมื่อปี2530
ซึ่งก็ไม่แปลกที่ผมจะไม่ทราบเพราะตอนนั้นผมแค่6ขวบเอง ซึ่งทางครอบครัวผมเป็นฝ่ายผิดที่ไม่ใช้หนี้ตามกำหนดเวลาที่คุยกัน
เมื่อนานวันเข้าดอกเบี้ยรวมกับเงินต้นก็ทวีคูณมากขึ้น จนเมื่อปี2542หลังจากที่คุณป๋ากับนายแม่แยกทางกันแล้วลุงวิชิตถึงมาทวง
หนี้สินจำนวนมากมายนี้ด้วยการจะยึดบ้านที่ผมอยู่นายแม่กับพี่ชายจึงไปตกลงทำสัญญาใหม่เพื่อจะใช้หนี้จำนวนมากนี้ให้สำเร็จ
แต่แล้วทั้งพี่ชายและนายแม่ก็ขาดการติดต่อไปอีก พี่ชายบอกว่าอาจเพราะนายแม่โกรธเรื่องพี่ชายได้เสียกับพี่สะใภ้ที่แม่รังเกียจ
เมื่อนายแม่ไม่ติดต่อไปหาพี่ชาย พี่ชายไม่กล้าสู้หน้านายแม่ ก็เลยไม่มีใครออกหน้ารับผิดชอบหนี้สินให้ลุงวิชิตอีกจนได้ เฮ้อ….
ผมบอกให้พี่ชายพาพี่สะใภ้กับหลานๆมาเยี่ยมนายแม่ เพราะในเวลานี้สิ่งที่นายแม่ต้องการที่สุดก็น่าจะเป็นกำลังใจจากลูกทั้ง2คน
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 15-09-2007 07:27:43
เรื่องเกิดขึ้นแล้ว ยังไงก็ต้องแก้ไขกันไปล่ะนะ  :impress:  :impress:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 15-09-2007 11:24:06
ท้อใจไปก็แค่นั้น
ถ้าทำอะไรไม่ได้ก็อยู่เฉยๆ
มีหนทางก็ค่อยทำต่อ

ไม่มีอะไรจะเสีย มัวแต่ท้อใจก็พลอยไม่ได้ทำอะไรเลย

 :a9: :a9: :a9:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 16-09-2007 17:01:30
เดี๊ยวเรื่องราวร้ายๆ ก้อผ่านพ้นไป
เป็นกำลังใจให้ครับ

ป.ล. คิดถึงเจ้สองเหมือนกันครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: A GE ที่ 16-09-2007 17:02:41
 o13 o13 ก็ต้องสู้กันต่อไปนะครับ  อย่าให้ลุงของคุณนิวเค้าว่าได้เนอะ  o13 o13
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 16-09-2007 23:17:44
สวัสดีครับ

ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจนะครับ แล้วสถานการณ์จะคลี่คลายไปยังไง รออ่านตอนต่อๆไปได้เลยครับ
แต่คงต้องเป็นวันพรุ่งนี้นะครับ ผมเพิ่งกลับจากกรุงเทพฯเมื่อประมาณครึ่งชั่วโมงนี้เอง เหนื่อยจริงๆ
อืม ขอเวลาเชคเมล์ คุยM(ที่เพื่อนๆของผมสู้อุตสาหะบ่มเพาะจนเดี๋ยวนี้ขึ้นระดับโปรฯแล้ว ไม่ได้โม้...)
แล้วพรุ่งนี้เวลางาน ถ้ามีช่วงว่างตอนไหนจะเอาเรื่องเล่าตอนต่อๆไปมาลงให้อ่านกันนะครับ อดใจรอนิดนึง
ปล.แต่ก็เพราะสถานการณ์และภาระที่ต้องรับผิดชอบนี่ล่ะครับ ทำให้เรื่องเล่าตอนต่อไปเข้มข้นขึ้นอีกครับ

จาก ผมเอง
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 17-09-2007 18:55:36
รอน้องนิวมาต่อ อิอิ

เข้มแข็งเข้าไว้  ทุกอย่างจะคลี่คลายเอง  คิดแง่บวก  :a2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 17-09-2007 23:40:33
ตอนที่8
สิ่งที่ต้องทำ

ผ่านไป2วัน พี่ชายของผมก็พาครอบครัวของเค้ากลับมาที่บ้าน ผมไปเกริ่นให้นายแม่ฟังไว้แล้วว่าพี่ชายจะกลับมาเยี่ยมนายแม่
ทีแรกนายแม่ก็ยังทำเหมือนไม่สนใจเท่าไรนักที่พี่ชายจะพาครอบครัวกลับมาแต่เมื่อพี่ชายพาครอบครัวกลับมาถึงจริงๆ
นายแม่ก็ร้องห่มร้องไห้ด้วยหลากหลายความรู้สึก แรกๆก็ตัดพ้อต่อว่าที่พี่ชายเลือกที่จะมีครอบครัวตามใจตัวเองโดยไม่นึกถึงใจ
ของนายแม่โดยเฉพาะการเลือกลูกสะใภ้ที่แม่เห็นว่าไม่เหมาะสมกับลูกชายคนโตของตระกูล แต่พี่ชายก็กราบเท้าขอโทษนายแม่
ทั้งยังพาพี่สะใภ้เข้ามากราบท่านอีกด้วย นื่เป็นครั้งแรกที่คนในครอบคัวผมได้เห็นหน้าพี่สะใภ้และหลานๆ2คน ผมนึกว่านายแม่
จะลุกขึ้นสะบัดเท้าหรือขยับตัวหนีอย่าชิงชังลูกสะใภ้ตามแบบฉบับละครไทยแต่ก็เปล่า นายแม่เพียงแต่นิ่งๆและรับไหว้ตามปกติ
แต่อาการไม่ปกติมาเกิดกับหลานๆ ไม่ใช่ว่านายแม่ลุกขึ้นมาวีนใส่หลานนะครับแต่ท่านมีเรี่ยวแรงลุกขึ้นมาทั้งโอบทั้งกอดหลาน
ผมเห็นพี่ชายกับพี่สะใภ้ก้มหน้าร้องไห้อยู่ข้างๆเตียงคนไข้ก็เลยเดินเข้าไปบอกให้พี่ชายประคองพี่สะใภ้ไปนั่งได้แล้ว
และชี้ให้ทั้ง2คนดูปฎิกิริยาของนายแม่ที่แสดงอาการปลาบปลื้มหลานชาย2คน พร้อมทั้งยิ้มให้กำลังใจพี่ชายและพี่สะใภ้อีกครั้ง

เมื่อพี่ชายพาหลานๆกลับมา ก็เหมือนเป็นการนำพาความสดชื่นสดใสมาให้กับนายแม่ด้วย เพียงแค่วันรุ่งขึ้นนายแม่ก็กลับมาบ้าน
ด้วยความที่นายแม่อยากอยู่ใกล้หลานๆด้วยล่ะมั้งครับ ช่วงที่นายแม่กลับมาพักรักษาตัวที่บ้านก็ทำให้มีเวลาใกล้ชิดทำความรู้จัก
กับพี่สะใภ้ไปในตัว พี่สะใภ้ของผมก็พยายามปรับตัวเข้ากับนายแม่อย่างเต็มที่เช่นกัน อาจเพราะพี่สะใภ้เป็นคนช่างเอาอกเอาใจ
และโอนอ่อนผ่อนตามนายแม่ว่าอย่างไรพี่สะใภ้ก็ว่าตามนั้น อาจเป็นเพราะพี่สะใภ้มีระเบียบแบบแผนในการเลี้ยงหลานๆเป็นที่
ถูกใจนายแม่ด้วยก็ได้ทำให้นายแม่มองว่าแม้พี่สะใภ้จะมีที่มาอย่างไรก็ช่างแต่พี่สะใภ้ก็สามารถเลี้ยงหลานๆของแม่ได้น่าพอใจ

หลายวันมานี้ นายแม่ยังไม่ได้เข้าไปตรวจกิจการที่ร้าน น้าชายของผมซึ่งเป็นทั้งน้องชายและหุ้นส่วนธุรกิจของนายแม่ก็คอยดูแล
กิจการเป็นอย่างดี ซึ่งทุกวันก็จะเอาเอกสารมาให้นายแม่ตรวจที่บ้าน นายแม่เห็นว่าเป็นการรบกวนเวลาน้าชายมากเกินไปจึงให้
พี่ชายของผมเข้าไปช่วยดูแลกิจการแทนนายแม่ เพื่อแบ่งเบาภาระของน้าชายได้บ้าง แต่เอาเข้าจริงพี่ชายกลับปฎิเสธโอกาสนี้
นายแม่ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ชายจึงปฎิเสธ พี่ชายก็ให้เหตุผลว่าไม่ถนัดงานด้านนี้ แต่ถนัดงานด้านโรงแรมอย่างที่ทำอยู่มากกว่า
พี่ชายบอกว่าอีกไม่กี่วันต้องกลับไปทำงานแล้วด้วยถ้าเข้าไปช่วยกิจการตอนนี้ก็ต้องทิ้งข้างไว้ครึ่งๆกลางๆอยู่ดี ซึ่งนายแม่ก็เข้าใจ
ถึงอย่างนั้นผมก็พอจะเดาใจนายแม่ได้ ว่าการที่ท่านอยากให้พี่ชายไปดูแลกิจการในช่วงเวลานี้ก็เพื่อจะให้พี่ชายอยู่สานต่อกิจการ
แทนแม่และจะได้ไม่ต้องพาหลานๆที่แม่กำลังรักกำลังหลงกลับไปอยู่ไกลกันถึงทางใต้ แต่ในเมื่อพี่ชายปฏิเสธนายแม่ก็ตามใจ

นายแม่แข็งแรงและกะปรี้กะเปร่าขึ้นมาก พี่ชายก็ได้พักเหนื่อยมาพอสมควร ส่วนพี่สะใภ้นั้นกลายเป็นคนโปรดของคุณป้าใหญ่
ไปซะแล้วเพราะความที่พี่สะใภ้เป็นคนขยัน และทำงานบ้านอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง คุณป้าใหญ่ก็เลยเอ็นดูพี่สะใภ้เป็นพิเศษ
แต่นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วผมยังไม่เห็นทีท่าของนายแม่หรือพี่ชายจะปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องหนี้สินที่ต้องชำระให้ลุงวิชิต
ผมเห็นว่าคงปล่อยผ่านเลยไม่ได้แล้ว แม้ผมจะไม่อยากไปสะกิดความรู้สึกของนายแม่หรือทวงถามความรับผิดชอบของพี่ชาย
แต่ถ้าผมไม่พูดก็ไม่รู้ว่าใครจะพูด แล้วผมไม่แน่ใจว่าจะมีโอกาสที่เรา3คนแม่ลูกจะได้เจอหน้ากันแบบนี้อีกเมื่อไหร่

“น้องอยากถามว่าเรื่องเงินที่ต้องคืนให้ลุงวิชิตนายแม่กับพี่ชายจะว่ายังไงครับ”
“พี่ว่าน้องอย่าเพิ่งเอาเรื่องเครียดๆมาพูดกับนายแม่เลยนะ ให้นายแม่พักผ่อนก่อนดีกว่า”
“น้องก็ไม่ได้อยากรื้อฟื้นให้ต้องขุ่นใจกับเรื่องหนี้สินนี้หรอกนะครับ แต่ถ้าเราไม่รีบแก้ไขก็ต้องเจอเค้ามาหาเรื่องอีกสิครับ”
“ตอนนี้ที่ร้านก็ต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มแม่ไม่เงินก้อนไปให้เค้าหรอกลูก แล้วแม่ก็ไม่อยากไปให้ลุงวิชิตเค้าดูถูกอีกแล้วนะลูก”
“แล้วพี่ชายจะลองไปคุยกับลุงเค้าอีกสักครั้งได้มั้ยครับ ถึงเรายังไม่มีเงินไปใช้หนี้เค้าเราไปขอผ่อนใช้เค้าก็ดีกว่าเงียบหายนะ”
“พี่ก็ไม่คุยนะ น้องไม่รู้หรอกว่าคราวก่อนเค้าพูดจาถากถางนายแม่แล้วก็ลามมาตำหนิถึงคุณป๋าอย่างเจ็บแสบด้วย พี่ไม่ชอบ”

เมื่อพูดกันแล้วยังหาข้อตกลงไม่ได้ทั้งนายแม่และพี่ชายก็เฉไฉไปทำอย่างอื่นกันหมดทิ้งให้ผมนั่งเครียดอยู่คนเดียวเหมือนทุกวัน
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 18-09-2007 00:42:26
ยากแท้นักจะหาทางออก
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: A GE ที่ 18-09-2007 00:48:53
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: ปัญหาหนักนะครับนิว  แต่ยังไงซะก็ต้องหาทางออกได้ครับ  :a1: :a1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: luvdisc ที่ 18-09-2007 18:29:05
เง้อ.......มีแบบนี้ด้วย สถานการณ์ที่ทำให้นายเอกลำบากใจ
แล้วก็ต้องสมยอมกะพระเอกด้วยความจำยอมเพราะต้องช่วย
เหลือทางบ้าน จนเกิดเป็นความรัก     
 :o8:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 18-09-2007 20:04:26
 :เฮ้อ: ถึงจะหลบเลี่ยงยังไงแต่ปัญหาก็ยังอยู่   :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: Serendipity ที่ 18-09-2007 21:34:43
เรื่องเงินๆทองๆไม่เข้าใครออกใครเลยนะคับ  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
สู้ๆคับพี่นิว^^
 :a1: :a1: :a1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 18-09-2007 21:47:46
ตอนที่9
คุณหญิงน้า

แล้วพี่ชายก็พาครอบครัวเค้ากลับลงใต้โดยที่ยังไม่ได้ข้อสรุปอะไรเกี่ยวกับเรื่องหนี้สินที่ค้างคาอยู่ ที่จริงผมก็พยายามหาโอกาส
จะพูดเรื่องนี้กับพี่ชายและนายแม่อีกหลายครั้งแต่ทั้งนายแม่และพี่ชายก็แสดงท่าทางเหมือนจะเป็นจะตายถ้าต้องกลับไปพบเจอ
กับลุงวิชิตผู้เป็นเจ้าหนี้ หนักๆเข้าผมก็ไม่อยากพูดถึงเรื่องหนี้สินให้เกิดเป็นการยืนคนละฝั่งของคนในครอบครัวไปซะเปล่าๆ
แต่เมื่อผ่านไป1เดือนก็ดูเหมือนทั้งพี่ชายและนายแม่จะลืมเรื่องหนี้สินไปแล้ว ทั้งที่โทรศัพท์พูดคุยกันอยู่ตลอดแต่ก็ไร้วี่แววที่จะ
ปรึกษากันถึงช่องทางที่หาเงินมาชดใช้หนี้สินจำนวนเงินเป็นล้านให้ทันเวลาที่ลุงวิชิตกำหนดไว้ซึ่งก็อีกเพียงแค่5เดือนนับจากนี้

เมื่อผมหาทางออกกับเรื่องนี้เองไม่ได้ จึงตัดสินใจโทร.หาคุณหญิงน้า แม้ว่าช่วงเวลาที่ผมไปอาศัยบ้านคุณหญิงน้าอยู่นั้นจะมีข้อ
ขัดแย้งกันอยู่เสมอๆแต่ตลอดเวลา10ปีที่อยู่กันมาผมก็รู้ดีว่าคุณหญิงน้าเป็นคนเดียวที่มีน้ำใจและโอกาสที่จะเอื้อเฟื้อพี่น้องคนอื่น
ทีแรกผมไม่กล้าโทร.ไปหรอกครับ เพราะแม้ว่าผมจะออกจากบ้านคุณหญิงน้าไปอยู่อพาร์ทเม้นท์จนย้ายมาอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด
ก็หลายปีแล้วแต่ผมไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือใดๆจากคุณหญิงน้าเลย ด้วยว่าตอนที่ผมออกจากบ้านคุณหญิงน้าต่างก็รุ้สึกไม่ดี
คือ ตอนนั้นผมยังเป็นวัยรุ่นก็เลือดร้อน ผู้ใหญ่จะเตือนด้วยความหวังดียังไงแต่ถ้าวิธีการที่ใช้ไม่ถูกใจผมก็ต่อต้านรุนแรงพอกัน
ทางด้านคุณหญิงน้าก็เห็นว่าอุตส่าห์เอาผมมาชุบเลี้ยงอยากสอนอยากบอกให้ได้ดี ให้เข้าสังคมกับใครๆได้แต่ผมก็ไม่เอาไหน
ทั้งยังหาเรื่องมาให้คุณหญิงน้าปวดหัวอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะความดื้อดึงของผมที่คงทำให้คุณหญิงน้ารู้สึกหมดความอดทนเช่นกัน

แต่ถึงที่สุดแล้วผมก็มาทบทวนดูว่า ผมควรกลัวหรือ ผมควรอายหรือ ถ้ากับคุณหญิงน้าที่ผมรู้ใจกันพอสมควรตามประสาคนเคย
อยุ่ด้วยกันเป็นครอบครัวเดียวกันมาตั้งเป็นนาน ผมยังไม่กล้าเข้าไปพบไปพูดคุยขอความเห้นใจจากท่านแล้วผมจะกล้าไปพูดคุย
ขอความอนุเคราะห์จากลุงวิชิตที่เสมือนญาติห่างๆ(ในความสัมพันธ์ที่คบหาพบเจอกันน่ะครับ)ได้อย่างไร เมื่อคิดได้แล้วก็ลุยเลย
ผมโทร.ไปที่บ้านด้วยความรู้สึกลุ้นๆชอบกลเหมือนกลัวว่าความแข็งข้อกระด้างกระเดื่องที่ผมเคยทำไว้กับคุณหญิงน้าจะทำให้
ท่านไม่ยอมช่วยผมแต่คิดอีกทีท่านก็คงไม่ใจดำกับนายแม่และพี่ชายนักหรอก ถ้าหนักหนานักก็ให้พี่ชายมาพูดอีกทีก็คงได้ล่ะนะ

ทันทีที่คุณหญิงน้ารับสายแล้วรู้ว่าเป็นผม น้ำเสียงก็บ่งบอกความยินดีที่ผมติดต่อกลับไป ผมแปลกใจมากกับปฎิกิริยาที่คาดไม่ถึง
ผมนึกว่าคุณหญิงน้าจะโกรธเคืองผมเหมือนที่ผมรู้สึกห่างเกินกับคุณหญิงน้ามาตลอดหลายปีจนถึงขณะที่ถือหูโทรศัพท์อยู่นี้
คุณหญิงน้าบอกว่ารู้ข่าวคราวของผมอยู่เรื่อยๆผ่านจากนายแม่บ้าง พี่ชายบ้าง ก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่ผมจะติดต่อไปหาท่านด้วยตัวเอง
ยิ่งได้พูดคุยแบบนี้ทานก็สบายใจว่าหลังจากผมออกจากบ้านของท่านไปแล้ว ผมก็ยังเอตัวรอดได้ไม่หลงทางไปจนกู่ไม่กลับ

“แล้วคุณไม่โกรธน้องเหรอครับ” ผมเรียกคุณหญิงน้าว่า ‘คุณ’
“คุณจะโกรธเราทำไมล่ะ เด็กวัยรุ่นก็ชอบดื้อกับผู้ใหญ่แบบนี้ทุกคนล่ะ ดีเท่าไหร่แล้วที่เราไม่นอกลู่นอกทางไปไหน”
“แล้วคุณกับคุณน้าสบายดีนะครับ ประทานโทษ คุยมาตั้งนานเพื่งจะถาม มัวแต่เล่าเรื่องของน้องซะนาน”
“คุณสบายดีน้าเขยเราก็สบายดี ขอบใจมาก เออ ว่างๆก็กลับมาที่บ้านบ้างนะ บ้านนี้ไม่มีเราอยู่คุณว่ามันเหงาๆนะ”
“ขอบคุณครับ”
ผมน้ำตาไหลอีกแล้วไม่นึกเลยว่าที่ผ่านมาผมมองคุณหญิงน้าผิดมาตลอดผมนึกว่าท่านใจร้ายใจดำกับผม
“นี่เรียนใกล้จบแล้วใช่มั้ย? นายแม่เราน่ะเค้าบอกคุณ” คุณหญิงน้าถามเรื่องเรียนเป็นลำดับต่อไป
“ครับใกล้แล้ว น้องอยากเรียนให้จบภายในสามปี” ผมตอบไม่เต็มเสียงนัก “ก็พยายามเข้านะเก่งมากแล้วล่ะคุณเอาใจช่วย”
“แต่ถ้าน้องตั้งใจเรียนมากกว่านี้เหมือนที่คุณเคยบอกเคยตีกรอบไว้น้องคงจบไปนานแล้ว” ผมเริ่งเสียงสั่นอีกแล้วครับ
“เอาเถอะๆ ตอนนั้นคุณก็บังคับเรามากเกินไป อีกอย่างคุณยังคิดว่าเราจะไม่เรียนต่อด้วยซ้ำ แค่รู้ว่าเราตั้งใจเรียนก็ดีใจแล้ว”
“คุณครับ น้องยังมีเรื่องต้องรบกวนคุณอีกแล้วล่ะครับ เรื่องบ้านหลังนี้ที่ติดจำนองกับพี่ชายคุณป๋า”
ผมค่อยๆเข้าประเด็น
“เอาอย่างนี้นะถ้าว่างเมื่อไหร่มาค้างที่บ้าน แล้วเราจะได้ปรึกษากันได้ถนัดๆหน่อย ดีมั้ย?”
“ก็ดีครับต้องรบกวนด้วยนะครับ”
ผมตอบไปอย่างเกรงใจสุดๆ “ไม่ต้องคิดมากหรอกบ้านนี้ต้อนรับเราเสมอนะลูก”
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 18-09-2007 21:54:29
ตอนที่10
การต้อนรับกับความช่วยเหลือ

ผมเดินจากหน้าปากซอยไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย แม้ว่าผมจะไม่ได้กลับมาที่นี่เป็นเวลากว่า5ปี แต่สิ่งที่เคยเห็นมาตลอด10กว่าปี
ยังคงอยู่ในความจำจดได้อย่างชัดเจน แต่ละก้าวของผมเป็นไปอย่างไม่รีบร้อนไม่ใช่ว่าจะอยากซึมซับบรรยากาศอะไรหรอกครับ
แต่เพราะลึกๆในใจผมยังอดหวั่นไม่ได้ว่าจะพบกับท่าทีแบบไหนของคุณหญิงน้า คงเพราะที่ผ่านมามีความทรงจำกับที่นี่ไม่ดีนัก

“มาแล้วเหรอลูก คุณกำลังเตรียมห้องหับไว้ให้ อืม ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ เหนื่อยมั้ยไปล้างหน้าล้างตาก่อนนะ”
คุณหญิงน้าทักทายขึ้นอย่างเป็นกันเองหลังจากที่ผมเดินเข้าไปในบ้านและยกมือไหว้ทักทายท่านแล้ว
“ไม่เหนื่อยหรอกครับ คุณเลยต้องมาเหนื่อยเพราะน้องมา จริงๆน้องนอนห้องเดิมก็ได้ครับ”
“อย่าเลยลูก เราโตแล้วนะจะไปนอนอุดอู้ห้องเล็กเหมือนแต่ก่อนได้ไง เอาล่ะไปดูห้องที่คุณเตรียมไว้ก่อน”

คุณหญิงน้าพาผมเดินเข้าไปในบ้านและสั่งให้เด็กรับใช้ที่จ้างมาทำงานเฉพาะช่วงกลางวันเสาร์-อาทิตย์รับกระเป๋าผมไปถือไว้
“คุณทานข้าวหรือยังครับ มาเหนื่อยเตรียมอะไรไว้ให้น้องมากมาย คงหิวแล้ว” ผมถามเพราะคิดว่านี่ก็สายมากแล้ว
“ทานมื้อเช้าไปแล้วล่ะ แต่เราไปพักผ่อนก่อนนะ เที่ยงๆบ่ายๆค่อยมาทานพร้อมคุณอีกที” คุณหญิงน้าพาเดินมาถึงห้องนอนใหม่
“ชอบมั้ยลูก คุณให้ช่างมาติดแอร์ตัวใหม่ แล้วเปลี่ยนเตียงกับเฟอร์นิเจอร์ให้ด้วยของเก่าคุณเห็นว่ามันผุแย่แล้ว” นี่คืออีกสิ่งที่ผมรู้
“ขอบคุณครับ น้องต้องมารบกวนคุณ แล้วยังมาเป็นภาระให้คุณต้องจัดแจงอะไรมากมาย ไม่รู้จะพูดยังไงดี” ผมรีบยกมือไหว้
“บ้านนี้ต้อนรับเราเสมอ อย่าลืมว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกันมาเป็นสิบๆปี คุณเองก็เคยละเลยเรามามาก คุณก็อยากชดเชย”
“คุณไม่ต้องชกดเชยอะไรเลยครับ น้องเองตะหากที่ละเลยน้ำใจและความหวังดีที่คุณมีให้ น้องขอโทษครับ”
ผมพูดทั้งน้ำตา

หลังจากที่เปิดใจคุยกันพอประมาณแล้ว คุณหญิงน้าก็ให้ผมไปอาบน้ำและนอนพักในห้องใหม่ที่เตรียมให้จนถึงถึงช่วงบ่าย
เมื่อตื่นมาล้างหน้าล้างตาก็มานั่งทานข้าวกับคุณหญิงน้า ระหว่างทานข้าวก็พูดคุยกันหลายเรื่องทั้งเรื่องเก่าและเรื่องใหม่ที่เกิดขึ้น
เมื่อทานอิ่มแล้วก็ไปนั่งคุยกันที่ห้องรับแขก คุณหญิงน้ารีบถามว่าผมต้องการให้ท่านช่วยเหลืออะไรบ้างเกี่ยวกับเรื่องหนี้สินที่มี
ผมบอกว่าก่อนอื่นผมต้องไปคุยกับลุงวิชิตซึ่งผมไม่เคยไปบ้านเค้า จะให้นายแม่หรือพี่ชายพาไป ก็ไม่มีใครยอมไปด้วยซักคน
คุณหญิงน้าบอกว่าจะให้เพื่อนหาเบอร์โทร.และสืบดูบ้านของลุงวิชิตให้ แล้วก็จะเป็นคนพาผมไปหาลุงวิชิตเพื่อผมจะมีกำลังใจ
ส่วนเรื่องจำนวนเงินเท่าไหร่ หรือจะหามาจากไหนก็รอไว้เจอกับลุงวิชิตก่อน เมื่อได้ข้อมูลเรียบร้อยก็มาหาทางแก้ไขกันต่อไป
สิงที่คุณหญิงน้าขอจากผมก็คือ ขอให้ผมออกหน้าไปพูดคุยกับลุงวิชิตเพราะยังไงผมก็เป็นหลานไปพูดเองน่าจะดีกว่า แต่ถึงยังไง
คุณหญิงน้าก็จะคอยให้ความช่วยเหลือเรื่องอื่นๆอยู่เบื้องหลัง ไม่ปล่อยให้ผมต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพัง ถ้าผมสู้ท่านก็จะช่วยผม

“เรื่องหนี้สินที่คุณป๋ากับนายแม่เราสร้างน่ะมีมากกว่านี้เยอะ แต่เพราะได้เงินก้อนจากลุงวิชิตมาช่วยล้างหนี้เก่าไงถึงต้องเอาบ้าน
ไปจำนองไว้กับเค้า ตอนที่ลุงวิชิตเค้าทวงหนักๆเมื่อหลายปีก่อนตอนนั้นเราก็ยังอยู่บ้านนี้กับคุณ แต่คุณเห็นว่าเรายังเด็กก็ไม่เล่า
ก่อนหน้านี้พี่ชายเราบอกคุณว่าจะไปเจรจากับลุงวิชิตเรื่องผ่อนหนี้ แต่ต้องมีเงินไปใช้ให้เค้าก้อนแรกอย่างน้อย3แสนบาทซะก่อน
คุณก็เลยเอาเงินก้อนของคุณให้ไป นี่คุณไม่ได้พูดเอาบุญคุณนะแต่คุณเห็นว่าไหนๆเราก็จะออกหน้ารับผิดชอบเรื่องนี้ก็ควรจะรู้
ทีนี้นานๆไปทั้งพี่ชายกับนายแม่เราก็บอกคุณว่าเค้าจะจัดการกันไปเอง พี่ชายเราก็ว่าจะไปกู้ธนาคารมาใช้หนี้ให้ลุงเค้า ทางแม่เรา
ก็บอกว่าจะเอาเงินรายได้จากที่ร้านผ่อนเป็นค่าดอกเบี้ย นี่ผ่านมาเกือบ6ปีแล้วยังไม่มีให้เค้าเลยเหรอ ก็สมควรที่เค้าจะทวงแล้ว”


สิ่งที่คุณหญิงน้าพูด ผมได้รับความกระจ่างมากขึ้นและนึกออกถึงท่าทีของลุงวิชิตที่บุกมาค้นข้าวของในบ้านผมอย่างไม่เกรงใจ
และการพี่ชายกับนายแม่ไม่อยากไปพบลุงวิชิต เป็นเพราะไม่ได้ทำตามที่ตกลงกับลุงวิชิตไว้นี่เอง แต่ก็ไม่น่าหนีปัญหาแบบนี้เลย

“น้องรับปากว่าน้องจะไม่ถอยครับ ต่อให้เค้าด่าว่าดูถูกยังไงน้องก็จะอดทน จะเดินหน้าต่อไปเพื่อให้ทุกบาททุกสตางค์ที่คุณช่วย
ทั้งที่ผ่านมาและต่อไปไม่เสียเปล่าอีกแล้ว น้องจะเอาบ้านหลังนี้คืนมาให้ได้ ถ้าคุณยินดีช่วยน้องจะไม่ทำให้คุณผิดหวังเลยครับ”


ผมรับปากด้วยความเต็มใจและเต็มตื้น ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าที่ผ่านมาคุณหญิงน้าเคยช่วยเหลือครอบครัวของผมไว้หลายครั้ง
รวมทั้งคุณป๋ากับนายแม่และญาติผู้ใหญ่ทุกท่านต่างก็เลี้ยงดูผมโดยไม่เคยให้ได้รับความลำบากใดๆผมตั้งใจว่าต่อไปนี้ผมจะดูแล
ทุกคนในบ้านของผมบ้าง เพราะผมมีชีวิตมาถึงวันนี้ได้ก็เพราะความรักและความหวังดีและการช่วยเหลือของทุกคนอย่างแท้จริง
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 18-09-2007 22:49:46
คนเรายังมีชีวิต ก้อต้องสู้กันต่อไป
 o1
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: luvdisc ที่ 19-09-2007 00:16:24
นางเอกสู้ชีวิตจริง ๆ น้องฉัน   
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 19-09-2007 10:59:18
ช่างเข้มแข็งเสียจริง ขอเพียงไม่ยอมแพ้ มันก็ต้องหาหนทางไปได้
 :a2: :a2: :a2: :a2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 19-09-2007 19:34:47
เริ่มมีหนทางแล้ว  :a2:  :a2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: A GE ที่ 19-09-2007 20:03:59
 :a1: :a1:  แล้ววันที่ฟ้ากระจ่างหลังฝนก็มาถึงนะครับคุณนิว  :a1: :a1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 19-09-2007 20:30:09
สวัสดีครับเพื่อนๆ

วันนี้ไปทำงานที่ร้านเหมือนเดิม งานเยอะมากมาย เหนื่อยด้วย
อุตส่าห์แบกโน้ตบุคไปด้วยคิดว่าจะมีเวลาพิมพ์เรื่องเล่าต่ออ่ะครับ
คือว่าก่อนหน้านี้ผมพิมพ์ไว้ 10ตอนรวดแล้วมาทะยอยลงวันละตอน
ทีนี้เรื่องเล่าที่พิมพ์ไว้หมดสต๊อกซะแล้ว แถมยังยุ่งเรื่องงานด้วยครับ
อืม.......พรุ่งนี้ต้องพาลุงเขย(คนที่ขับรถไปรับส่งผมที่มหาวิทยาลัยอ่ะครับ)
ไปหาคุณหมอที่กรุงเทพฯซะด้วยสิ มีแนวโน้มว่าต้องเว้นว่างไปอีกซักนิดครับ
แล้ววันศุกร์ถ้างานที่ร้านไม่ยุ่งจะรีบพิมพ์เรื่องเล่าตอนที่เหลือให้เร็วที่สุดเลยครับ
เอาเป็นว่ากลับมาติดตามตอนที่11ได้ในวันจันทร์หน้านะครับ รับรองว่ามาแน่ๆ อิอิอิ


จาก ผมเอง
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: สาวตัวกลม ที่ 19-09-2007 20:36:47
ไม่มีไร แค่แวะมาให้กำลังใจคนเขียนเท่านั้นเอง :m13:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 20-09-2007 01:40:32
แวะมายามดึก

ขอบคุณทุกกำลังใจนะครับ
กำลังจะเดินทางสู่เมืองกรุงแล้วครับ
แล้วพบกันวันจันทร์พร้อมตอนที่11นะครับ


จาก ผมเอง
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 20-09-2007 02:32:19


ยังตามไม่ทัน

แต่ขอมาลงชื่อไว้ก่อน  :m13: :m13: :m13:

หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 20-09-2007 08:31:57
ชีวิตคนเราสั้นนัก จะตายวันตายพรุ่งไม่รู้
ทำไมไม่รีบมีความสุขหล่ะ
 :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: kryo_lover ที่ 21-09-2007 23:54:02
 :a12:

ง่วงแล้วอ่ะ

ไว้กลับมาอ่านนะ

สู้ต่อไปคร้าบ

 :a1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 23-09-2007 09:55:49
ทักทายวันหยุดครับ

กลับมาจากกรุงเทพฯด้วยความเหน็ดเหนื่อย(แต่ยังมีแรงออนM....555)
แล้วก็ไปทำงานทำการตามหน้าที่ ถึงยุ่งๆก็ไม่ลืมพิมพ์เรื่องเล่าเก็บไว้นะครับ
ยิ่งพิมพ์เรื่องยิ่งเยอะ นี่ขนาดผมเรียงหัวข้อไว้คร่าวๆแล้วก็พอจะรู้ว่าจำนวนตอน
ในภาค3นี้มีเยอะกว่าทั้งสองภาคที่ผ่านมาครับ คงเพราะโตขึ้นเรื่องราวในช่วงนี้
ก็เพิ่มมากขึ้น ผู้คน สถานการณ์ ความรับผิดชอบเริ่มเป็นแบบผู้ใหญ่ด้วยล่ะมั้งครับ
ไม่เหมือนสองภาคแรก ซึ่งถ้าอ่านดูก็จะทราบว่าเป็นเรื่องราวสมัยปี1-ปี2ในวัยละอ่อน
แต่ภาคนี้เป็นเรื่องราวที่โตขึ้นตามวัย รายละเอียดชีวิตก็เพิ่มขึ้นด้วย คงได้เล่ากันยาวครับ
เอาเป็นว่าเพื่อนๆอย่าเพิ่งเบื่อซะก่อนนะครับ แล้วจะพยายามเอามาลงให้อ่านครั้งละมากๆ
เพื่อความต่อเนื่องของคนอ่านก็แล้วกันนะครับ แต่ก็อย่างที่บอกล่ะครับ พบตอนใหม่วันจันทร์นี้


จาก ผมเอง
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 24-09-2007 22:41:18
# ช่วงสนทนา เบรค1

จิงโจ้น้อยชิวๆ >>> คนเรายังมีชีวิต ก้อต้องสู้กันต่อไป
= ถูกต้องนะครับ เพราะคนที่ไม่ต้องสู้ มีแต่คนที่หมดลมหายใจเท่านั้น

luvdisc >>> นางเอกสู้ชีวิตจริง ๆ น้องฉัน
= ต้องสู้ ต้องสู้ จึงจะชนะ ฮ่าๆๆๆๆๆ

blueBoYhUb >>> ช่างเข้มแข็งเสียจริง ขอเพียงไม่ยอมแพ้ มันก็ต้องหาหนทางไปได้
= ผมก็ไม่ได้เข้มแข็งมากมายหรอกครับ ถ้าจะเรียกให้ถูกคงต้องบอกว่า ผมเป็นคนที่อ่อนแอน้อยที่สุดในเวลานี้

THIP >>> เริ่มมีหนทางแล้ว 
= ใช่ครับ แล้วคอยติดตามหนทางข้างหน้าของผมต่อไปด้วยนะครับ

พักเบรคช่วง1
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 24-09-2007 22:49:42
ช่วงสนทนา เบรค2

A G E >>> แล้ววันที่ฟ้ากระจ่างหลังฝนก็มาถึงนะครับคุณนิว
= นั่นสิครับ อย่างที่เค้าบอกว่า ฟ้าหลังฝนมักสวยเสมอ ผมก็หวังให้เป้นอย่างนั้น

สาวตัวกลม >>> ไม่มีไร แค่แวะมาให้กำลังใจคนเขียนเท่านั้นเอง
= ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะจ๊ะเพื่อน

krappom >>> ยังตามไม่ทัน แต่ขอมาลงชื่อไว้ก่อน
= หวังว่ามาถึงวันนี้คงตามอ่านทันแล้วนะครับ

blueBoYhUb >>> ชีวิตคนเราสั้นนัก จะตายวันตายพรุ่งไม่รู้ ทำไมไม่รีบมีความสุขหล่ะ
= ความสุขน่ะใครๆก็อยากได้ แต่ผมเลือกจะทำเพื่อความสุขของคนอื่นด้วยไม่ใช่แค่ความสุขของผมคนเดียว

kryo_lover >>> ง่วงแล้วอ่ะ ไว้กลับมาอ่านนะ สู้ต่อไปคร้าบ
= ปลาบปลื้มจริงเชียว ขอบคุณครับที่แวะมาลงชื่อแล้วอย่าลืมกลับมาอ่านเด้ออุ้ม

จบการสนทนา
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 24-09-2007 23:12:57
ตอนที่11
อดทนในวันที่ฝนพรำ

เมื่อได้รับทั้งกำลังใจและกำลังสนับสนุนทางการเงินจากคุณหญิงน้าแล้ว ผมก็ตัดสินใจโทรศัพท์ไปหา ลุงวิชิตที่บ้านทันที
เพื่อขอเป็นตัวแทนทางบ้านเจรจาเกี่ยวกัลหนี้สินที่ติดค้างกันมานานกว่า20ปี ต้องบอกก่อนว่าผมยังคงเป็นคนขี้ขลาดคนเดิม
อย่างที่เคยเล่าไปคราวก่อนๆว่ากรณีใดๆก็ตามที่ผมเห็นว่ายุ่งยากวุ่นวาย ผมจะพยายามเลี่ยงให้ไกลที่สุด ผมก็ยังไม่ได้เปลี่ยน
เป็นคนเข้มแข็งกล้าหาญภายในเวลาสั้นๆนี้หรอกครับ เพียงแต่สถานการณ์มักสร้างวีรบุรุษเสมอ (โห….ผมเว่อร์ไปป่ะเนี่ย)
แต่ในภาวะที่ไม่มีใครอยากเผชิญปัญหา คนที่รู้ปัญหาดีก็ถอดใจไปกันหมด ผมก็ต้องพยายามบอกให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมา
อีกอย่าง คุณหญิงน้าพร้อมจะช่วยผมในส่วนที่ผมไม่มีปัญญาทำได้นั่นคือหาเงินเป็นล้านมาผ่อนใช้หนี้ให้ลุงวิชิตภายในสิ้นปี
สิ่งที่คุณหญิงน้าต้องการให้ผมทำจึงเป็นเรื่องที่ไม่เกินไปกว่าที่ผมจะทำได้ ก็แค่ติดต่อพูดคุยกับลุงวิชิตอย่างนอบน้อมเจียมตัว
ทำไมเหรอครับ? คุณหญิงน้าบอกว่าถึงเรามีเงินไปให้เค้าแต่ถ้าเราไปแบบยะโสโอหัง(เหมือนที่พี่ชายกับนายแม่เคยทำมาแล้ว)
ลุงวิชิตซึ่งถือไพ่เหนือกว่า อาจจะหมั่นไส้ไม่ฟังเหตุผลและแกล้งเราด้วยการไม่ยอมให้ใช้หนี้แต่จะบีบบังคับเอาตัวบ้านให้ได้
ถึงตอนนั้นต่อให้มีเงินเป็นล้านไปกองตรงหน้าเค้า เราก็คงไม่มีโอกาสไถ่บ้านที่ติดจำนองออกมาได้ ยังไงตอนนี้ก็ต้องยอมๆเค้า

“ฮัลโหล อ่อเธอเองเหรอ โทร.มานี่มีธุระอะไรล่ะ”
ลุงวิชิตตอบกลับมาแบบห่างเหิน
“คือ น้องอยากขอเข้าพบลุงวิชิตน่ะครับเรื่องเงินไถ่บ้าน”
ผมพยายามพูดอย่างสุภาพแต่ก็ตรงประเด็น
“ฮ่าๆๆ เด็กอย่างเธอจะมาพบลุงทำไมกัน รึเดี๋ยวนี้พี่ชายกับนายแม่เธอสิ้นท่าถึงขนาดต้องให้เธอมาต่อรองเองเลยรึไง”
ลุงวิชิตถามเสียงเยาะเย้ย คล้ายกับว่าคนในครอบครัวผมหาเกียรติและความน่าเชื่อถือจากใครไม่ได้แม้สักคน
“น้องเองเพิ่งทราบเกี่ยวกับเรื่องบ้านที่ติดจำนองครับ แล้วทราบดีว่าทางฝ่ายของน้องผิดคำพูดเอง ก็เลยอยากเข้าไปกราบคุณลุง
ทั้งเพื่อจะกราบขอบคุณที่เคยช่วยเหลือครอบครัวน้องและอยากไปกราบขอโทษแทนคุณป๋านายแม่พี่ชายที่ผิดคำพูดกับคุณลุง”

ผมข่มใจอย่างที่สุดและพูดอย่างนอบน้อมถ่อมตัว ยอมรับข้อผิดพลาดทั้งหมดที่ผ่านมา
“ก็เอาสิ อยากมาก็มา แล้วพ่อแม่พี่ชายเธอน่ะจะมาด้วยมั้ย รึว่าไม่กล้ามสู้หน้าลุงซะแล้ว ก็อย่างว่านะพวกไม่มีสัจจะก็แบบนี้”
ลุงวิชิต ใช้น้ำเสียงเหมือนเป็นเจ้าใหญ่นายโตที่เต็มไปด้วยคุณงามความดีเสียเต็มประดา
“น้องจะไปกับคุณน้าน่ะครับ ท่านจะเป็นคนช่วยเหลือด้านเงินทองโดยน้องจะเป็นคนรับภาระนี้แทนทุกๆคนในครอบครัว”
“เฮ้ย อย่าเพิ่งพูดไปไกลเลย เอาเป็นว่ามาตกลงกันก่อนเหอะ ดูจำนวนเงินที่ต้องใช้หนี้ซะก่อนว่าเธอจะรับผิดชอบไหวมั้ย”
“ครับ ได้ครับแค่คุณลุงจะเมตตาให้น้องไปพบก็เป็นพระคุณมากแล้ว ขอบคุณครับ สวัสดีครับ”

ผมข่มอารมณ์เต็มที่ก่อนวางสาย

สิ้นเดือนสิงหาคม ปีพ.ศ.2547 ผมและคุณหญิงน้าไปพบกับลุงวิชิตที่บ้านของเค้า กว่าจะได้พบก็รอนานเป็นชั่วโมงเชียวครับ
เด็กรับใช้ที่ออกมาต้อนรับผมกับคุณหญิงน้าเทียวไปเทียวมาเพื่อบอกว่าเจ้านายของเค้ายังติดธุระสารพัดอย่าง เซ็งครับแต่ก็ทน
จนเมื่อได้ฤกษ์ดี(ของลุงวิชิต) เค้าก็เดินออกมายิ้มแย้มต้อนรับราวกับเพิ่งทราบว่าผมกับคุณหญิงน้ามารอพบสักประเดี๋ยวนี้เอง

“ดื่มน้ำดื่มท่ากันก่อนนะ แป้นไปเอากาแฟร้อนๆมาเสริฟคุณๆสิแล้วขนมอบด้วยนะ”
ลุงวิชิตสั่งเด็กรับใช้อย่างอารมณ์ดี
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดิฉันกับหลานจะมาพูดธุระก็ต้องรีบกลับแล้ว เกรงว่าเย็นกว่านี้รถจะติดค่ะ”
คุณหญิงน้าปฏิเสธเรียบๆ
“ไม่เป็นไรไม่ได้หรอกครับ เป็นธรรมเนียมน่ะครับ แล้วนี่ก็ได้เวลาน้ำชาของที่บ้านผมพอดี คุณป๋าเธอไม่ยึดธรรมเนียมรึนิว”
น้ำเสียงของลุงวิชิตช่างเยาะหยันไม่ต่างจากสายตาที่มองแลมาอย่างดูแคลน
“เอ่อ…. คือที่บ้านน้องสบายๆนะครับ เวลาไม่ตรงกันก็เลยไม่ได้ยึดเป็นธรรมเนียมอย่างที่นี่”
ผมแก้เก้อทั้งที่หน้าชาสุดๆ
“ก็คงอย่างนั้น คุณป๋าเธอน่ะเป็นลูกคนเล็กไม่ใคร่จะใกล้ชิดเจ้านาย และเจ้าคณปู่เธอก็ตามใจมาแต่เล็ก ก็คงไม่เอาธุระเรื่องนี้”
“ครับ”
ผมตอบรับสั้นๆ นึกถึงคำพูดของพี่ชายที่ว่าลุงวิชิตชอบใช้วาจาเหยียดๆคุณป๋า คงประมาณนี้ล่ะมั้งหรือจะมีมาอีกล่ะเนี่ย

หลังจากของว่างถูกนำมาวางเรียบร้อย ลุงวิชิตก็เอ่ยปากให้ทานไปคุยไป และคุณหญิงน้าก็เป็นฝ่ายออกปากเรื่องหนี้สินที่ค้างอยู่
แม้ว่าคุณหญิงน้าจะพอมีเงินก้อนสำหรับใช้หนี้ให้ลุงวิชิต แต่คุณหญิงน้าบอกผมว่าจะผ่อนให้เค้าดีกว่า เพื่อเค้าจะได้ไม่คิดว่าเรามี
เงินมากมายไม่อย่างนั้นเค้าอาจจะเรียกค่าดอกเบี้ยฝ่ายเราสาหัส จากนั้นผมบอกลุงวิชิตว่าผมจะทำงานพิเศษหาเงินมาช่วยใช้หนี้

“อ้อ แล้วเธอจะทำงานอะไรล่ะหางานพิเศษได้รึยัง ถ้าไงก็มาทำงานกับลุงก็ได้นะ”
ลุงวิชิตซักถามผมด้วยท่าทีอ่อนโยนกว่าเดิม
“ตอนนี้น้องก็สมัครงานไว้บ้างแล้วครับ ก็เป็นพนักงานเสริ์ฟแบบพาร์ทไทม์ตามร้านอาหารครับ แต่ยังไม่มีที่ไหนเรียกเลย”
ผมก็บอกไปตามความจริง โดยไม่คิดว่าจะต้องการความเห็นใจอะไรทั้งสิ้น
“เอาอย่างนี้สิ ที่บริษัทของลุงยังมีตำแหน่งว่างอยู่ ถ้าเธอพิมพ์ดีดใช้คอมคล่องก็มาลองทำงานที่นี่ ดีกว่าไปเป็นเด็กเสริ์ฟนะ”
หลังจากการพูดคุยทำความเข้าใจและตกลงเรื่องความรับผิดชอบการไถ่จำนองบ้านเป็นเวลานาน น้ำเสียงและท่าทีของลุงวิชิตก็เป็นกันเองมากขึ้น
“เกรงใจคุณลุงน่ะค่ะ ดิฉันว่าจะให้หลานไปทำงานที่เค้าสมัครไว้ก่อนดีกว่า”
คุณหญิงน้าออกตัวแทนผม
“หึหึหึ คุณคงไม่ไว้ใจผมล่ะสิ กลัวผมเอาหลานมาใช้งานหนักเหรอ นิวเค้าก็หลานผมนะคุณหญิง ถ้าไม่รับน้ำใจลุงก็ตามใจ”
เฮ้อ.......เพิ่งจะนึกว่าได้รับความเป็นกันเองจากลุงวิชิตด้วยประโยคก่อนหน้านี้ แต่ประโยคล่าสุดนี้กลับแฝงความเย่อหยิ่งทะนงตนไว้เช่นเดิม
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 24-09-2007 23:23:11
ตอนที่12
ข้อตกลงในฐานะญาติ

หลังจากนั้น ลุงวิชิต ก็ไม่ได้เร่งรัดให้ผมตอบตกลงเกี่ยวกับข้อเสนอเรื่องานพิเศษของบริษัทลุงอีก เราทั้งสามจึงกลับมาพูดเรื่องการชำระหนี้สิน
ที่ค้างอยู่กันต่อ โดยสรุปแล้วเงินต้น 5แสน กู้ไปเมื่อปี2535 นับถึงปีที่ผมไปคุยกับลุงวิชิตคือปี2547 เมื่อคิดคำนวนทบต้นทบดอก
ก็ปาเข้า1ล้าน4แสนกว่าบาท
แต่ไม่รู้เค้าเมตตาอะไรผมขึ้นมาเลยตกลงว่าจะให้ผมใช้หนี้เพียง1ล้านโดยผ่อนใช้ทุกเดือนนับจากนี้
มีการร่างสัญญาขึ้นมาใหม่ระหว่างผมกับลุงวิชิต ซึ่งการชำระหนี้จะเป็นงวดละ2ครั้ง/เดือน ชำระทุกวันที่15และ30ของทุกเดือน
แม้คุณหญิงน้าจะช่วยออกเงินจำนวนนี้แต่ก็ไม่ใช่ลูกหนี้ของลุงวิชิต ผมจึงต้องเป็นคนโอนเงินให้ลุงวิชิตเองและต้องโทร.บอก
ให้ลุงวิชิตทราบทุกครั้ง โดยทางฝ่ายเค้าจะทำบัญชีไว้ทุกครั้งที่มียอดเงินโอนเข้าบัญชี ทางผมก็จะเก็บสลิบตัวจริงเป็นหลักฐาน
และแฟกซ์สลิปส่งให้ลุงวิชิตที่บ้านทุกครั้งเพื่อให้ข้อมูลตรงกัน ทั้งนี้เมื่อใช้หนี้ครบจะมีการนัดโอนบ้านคืนมาให้ผมเป็นเจ้าของ
ข้อตกลงนี้เกิดจากการพูดคุยระหว่างผมกับลุงวิชิต คุณหญิงน้านั้นลุกออกไปตั้งแต่หนังสือสัญญาถูกพิมพ์มาวางไว้ที่โต๊ะรับแขก
คุณป้าสมร ภรรยาของลุงวิชิตมาเชิญคุณหญิงน้าไปนั่งคุยกันทางสวนหลังบ้านเพื่อเปิดโอกาสให้ผมทำการตกลงกับคุณลุงวิชิต

“เอาเป็นว่าตกลงตามข้อสัญญานี้แล้วกันนะ เธอก็ทำให้ได้อย่างที่พูดล่ะ ลุงชอบเด็กที่กล้าหาญและโตกว่าอายุแบบนี้ อย่าลืมว่า
เธอได้รับโอกาสจากลุงเพราะเธอกล้าเข้ามาหาลุง ลุงจะเชื่อเธอสักครั้งไม่ใช่ว่าเธอพาคุณหญิงน้ามาเป็นเกราะกำบังหรอกนะนิว
แต่ลุงฟังการพูดจาของเธอก็อยากให้ได้ทำตามที่พูดสักครั้ง หวังว่าจะไม่ทำให้ลุงหมดความเชื่อถือและไม่ทำลายเกียรติเธอเอง”

ลุงวิชิต สำทับอีกครั้ง ตอนนี้ท่าทางของลุงวิชิตอ่อนโยนและเป็นกันเอง ผมสัมผัสได้ถึงความเป็นญาติที่ยังคงเหลืออยู่บ้าง

“น้องสัญญาครับ ขอให้ลุงเชื่อในเกียรติของน้อง แม้ว่าจะเป็นเด็กกว่าใครในบ้าน แต่น้องจะทำให้ได้อย่างที่รับปากไว้แน่ๆครับ
น้องขอบพระคุณมากนะครับที่คุณลุงให้โอกาสเข้าพบ เดิมทีน้องเกรงว่าคุณลุงจะไม่อยากพบเพราะคนในบ้านน้องเคยผิดคำพูด
แต่ที่น้องตัดสินใจติดต่อมาหาเพราะเชื่อในความเป็นญาติของเรา น้องมาพูดคุยในฐานะหลานที่ขอความกรุณาจากคุณลุง ไม่ใช่
มาพบเพียงในฐานะลูกหนี้ เพราะถ้าในฐานะลูกหนี้คงมีท่าทีห่างเหินกันไป แต่เพราะน้องเชื่อในสายเลือดของเราน้องจึงกล้ามา
น้องจะไม่ทำลายเกียรติของตัวเอง ทั้งยังไม่กล้าผิดคำพูดอีกด้วย น้องถือว่ารับภาระของคนทั้งบ้านเอาไว้และต้องทำให้สำเร็จ”

ผมให้คำมั่นอีกครั้งหลังจากลงชื่อในหนังสือสัญญาชำระหนี้เพื่อการไถ่ถอนบ้านที่ติดจำนอง พร้อมทั้งไหว้ขอบคุณอีกครั้ง

ลุงวิชิตบอกให้เด็กรับใช้ที่ชื่อแป้นไปเชิญคุณป้าสมรและคุณหญิงน้าของผมจากสวนหลังบ้านให้ออกมาพบที่หน้าบ้าน
คุณป้าสมรเดินนำเข้ามาพร้อมทั้งยิ้มให้ผมด้วยความเมตตา ถามขึ้นว่า “เรียบร้อยแล้วใช่มั้ยคะ เชิญทานมื้อเย็นด้วยกัน”

“ไม่ล่ะค่ะ เย็นมากแล้วน้าเขยจะเป็นห่วง อีกอย่างน้าเขยเค้าก็รอทานมื้อเย็นด้วยน่ะค่ะ คงต้องขอตัวเลยนะคะ”
คุณหญิงน้าปฏิเสธอีกครั้งก่อนจะยกมือไหว้ลาทั้งลุงวิชิตและคุณป้าสมรเป็นการตัดบท
“งั้นก็ตามสะดวกครับแล้วนี่จะกลับไปยังไงครับเนี่ยน้าหลาน”
คำถามนี้ของลุงวิชิตผมยังไม่แน่ใจนักว่าห่วงสวัสดิภาพของผมหรือห่วงว่าจะไม่ได้ค่าผ่อนบ้านกันแน่
“ก็นั่งแท็กซี่ไปล่ะค่ะ เพราะทางไกลไม่ได้ให้น้าเขยเค้ามารับ นิวลาคุณลุงสิลูก”
“น้องขอตัวนะครับคุณลุงคุณป้า”
ว่าแล้วผมก็ยกมือไหว้ลาอีกครั้ง เฮ้อ….จะได้กลับสักที
“ผมให้ตาศรัณย์ไปส่งดีกว่าครับ กว่าจะออกไปถึงหน้าหมู่บ้านก็ไกล แล้วไม่ค่อยมีแท็กซี่เข้ามาซะด้วยช่วงนี้”
ลุงวิชิตบอกว่าจะให้ลูกชายคนเล็กไปส่งผมกับคุณหญิงน้าที่หน้าปากซอยแทนการเรียกรถแท็กซี่ให้เข้ามารับที่หน้าบ้านคุณลุง

เด็กรับใช้ที่ชื่อแป้นยังคงถูกเรียกตัวมารับคำสั่งเหมือนเคย คราวนี้แม่แป้นถูกใช้ให้ไปตามลูกชายของลุงวิชิตที่ชื่อ ศรัณย์
จะว่าไปแล้วผมเคยได้ยินมาว่าลุงวิชิตมีลูก2คน คนโตเป็นผู้หญิงซึ่งแต่งงานไปแล้วชื่อ พี่ศิรินทร์ คนเล็กเป็นผู้ชายชื่อ พี่ศรัณย์
ตอนที่ลูกๆของลุงวิชิตและพี่ชายของผมยังเด็กๆนั้นเราสองครอบครัวเคยไปมาหาสู่กันบ้างทำให้พี่ๆทั้งสองคนรู้จักกับพี่ชายผม
แต่ในรุ่นของผมตั้งแต่จำความได้ก็ยังไม่เคยพบกับลูกๆทั้งสองของลุงวิชิตเลยครับ ไม่รู้จะเจ้ายศเจ้าอย่างบ้าชาติตระกูลเหมือน
ลุงวิชิตหรือเปล่า ผมไม่มีเวลานึกเรื่อยเปื่อยได้นานนัก เสียงแนะนำตัวของลูกชายลุงวิชิตก็ดังขึ้นขัดมโนภาพของผมวะก่อนแล้ว
“สวัสดีครับคุณหญิง ผมเพิ่งกลับมาถึงเลยมาทักทายช้าไปหน่อย นี่คงเป็นน้องนิวใช่มั้ยจ๊ะ โตเป็นหนุ่มแล้วนะ น่ารักซะด้วยสิ”
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 24-09-2007 23:28:27
ตอนที่13
งานพิเศษในตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการ

อย่าเพิ่งแปลกใจเลยครับที่ตำแหน่งของผมผิดเพี้ยนไปจากงานที่ผมสมัครเอาไว้มากมายนัก ก็อย่างที่บอกล่ะครับว่าผมยังเรียน
ไม่จบมีวุฒิแค่ม.6เท่านั้นที่ใช้สมัครงานพาร์ทไทม์ตามร้านอาหารฟาสท์ฟูดที่ต่างๆ ซึ่งผมก็สมัครไปเรื่อยเดินเข้าออกหลายร้าน
แต่เชื่อมั้ยครับจนผมส่งค่าผ่อนบ้านงวดแรกคือ วันที่15กันยายน2547 ให้ลุงวิชิตไปแล้วผมก็ยังหางานพิเศษทำไม่ได้เลยครับ
เมื่อผมโทร.แจ้งการโอนเงินให้ลุงวิชิตทราบ เค้าก็ถามว่าผมทำงานเป็นไงบ้างเมื่อผมบอกไปตามตรงว่ายังไม่ได้งานพิเศษทำเลย
ลุงวิชิตจึงยื่นข้อเสนอให้ผมไปทำงานที่บริษัทของลุงวิชิตอีกครั้ง ผมตัดสินใจรับปากเพราะไม่อยากให้เค้าคิดว่าผมจนแล้วหยิ่ง
เมื่อผมเล่นบทบาทลูกหนี้ที่น่าสงสารให้เค้าเห็นใจมาแต่ต้นผมก็จำเป็นต้องโอนอ่อนผ่อนตามเพื่อให้เค้าเห็นใจผมต่อไปเรื่อยๆ

ผมกำลังจะไปเริ่มงานในตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการ ที่บริษัทส่งออกอาหาทะเลของลุงวิชิตโดยอยู่แผนกของ พี่ศรัณย์ ซะด้วยสิครับ
ความจริงหน้าที่ของผมตามที่ผมเข้าใจเอาเอง ก็เหมือนเด็กเดินเอกสารในออฟฟิศทั่วไปมากกว่าตำแหน่งผู้ช่วยเลขาที่ฟังสวยหรู
จนผมอดนึกไม่ได้ว่าตำแหน่งงานสวยหรูตามบริษัทที่ผมเคยผ่านหูผ่านตามานี้พอเข้าไปทำงานจริงๆจะมีหน้าที่เป็นเบ๊แบบนี้มั้ย
แต่ในเมื่อรับปากไปแล้วก็ต้องยึดคอนเซปท์พูดจริงทำจริงเหมือนเรื่องผ่อนบ้านล่ะครับ คือเมื่อบอกว่าเดือดร้อนอยากได้งานทำ
และได้รับโอกาสจากเจ้าหนี้ให้ไปทำงานในบริษัทเค้า(บอกตรงๆผมรู้สึกเหมือนแรงงานทาสที่ต้องเอาตัวไปขัดดอกใช้หนี้เค้า)
ผมก็ต้องทำหน้าที่ลูกหนี้ที่ดีและน่าสงสารจะให้ปฏิเสธข้อเสนอของลุงวิชิต เค้าก็จะหาว่าผมเลือกงานพาลจะไม่สงสารผมซะอีก

ก่อนจะเล่ารายละเอียดการทำงานของผมให้ทราบ คงต้องขอเล่าย้อนไปถึงช่วงเวลาสิบกว่าวันก่อนจะมาทำงานพิเศษที่กรุงเทพฯ
คุณหญิงน้าไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ในตอนแรกที่ผมเรียนให้ท่านทราบ แต่เมื่อผมบอกเหตุผลที่ตัดสินใจแบบนี้ คุณหญิงน้าจึงเข้าใจ
ผมเรียนที่รามคำแหงซึ่งมีระบบไม่เข้าเรียน(ก็ได้แต่อาจไม่ดีเท่าไปเข้าเรียน)ใช้วิธีลัดคือ อ่านหนังสือแล้วไปสอบให้ครบก็ได้แล้ว
จึงง่ายต่อการย้ายตัวเองมาพำนักที่บ้านของคุณหญิงน้าที่กรุงเทพฯ ผมจะเริ่มงานต้นเดือนตุลาคมจึงเหลือเวลาเตรียมตัวเพียง12วัน
ซึ่งในช่วงเวลานี้ผมก็ต้องจัดเตรียมเรื่องการเรียนให้รอบคอบ ทั้งฝากเพื่อนจดเลคเชอร์แทน ฝากเพื่อนขอแนวข้อสอบจากอาจารย์

กลับมาเล่าเรื่องการทำงานพิเศษในตำแหน่งเบ๊ เอ๊ย…ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการ กันต่อดีกว่าครับ แหม ชื่อยาวจนโอเว่อร์เลยแฮะ
เอาเข้าจริงก็มีหน้าที่เป็นเบ๊ในออฟฟิศอยู่ดีแหล่ะว๊า….. แต่ถึงจะมีหน้าที่อะไรผมก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำไปแหล่ะครับเพราะถือว่า
เป็นบทบาทที่พ่วงมากับหน้าที่ลูกหนี้ผู้อาภัพและต้องการความช่วยเหลือ ผมมาคิดในอีกแง่นึงก็ถือว่ายังไงซะผมก็ต้องหางานทำ
ไม่ว่าจะเป็นงานที่ไหนก็เพื่อจะหารายได้มาช่วยผ่อนหนี้สินให้ลุงวิชิต ผมไม่อยากให้ลุงวิชิตคิดว่าเมื่อคุณหญิงน้ายื่นมือเข้าช่วย
ผมก็เลยผลักภาระไปให้คุณหญิงน้าทั้งหมด ผมเองก็คงรู้สึกแย่ถ้าผมไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบภาระของคนในครอบครัวด้วยตัวเอง
อะไรที่พอช่วยได้แม้เป็นแค่เศษเงินไม่กี่พันบาทต่อเดือน อาจเทียบไม่ได้เลยกับเงินเป็นล้านของคุณหญิงน้าที่ช่วยเหลือผมอยู่นี้
แต่ก็ดีกว่าการที่ผมมีแต่เอาหน้าด้วยการพูดว่าจะรับผิดชอบแทนคุณป๋านายแม่หรือพี่ชายโดยที่ไม่ได้ทำอะไรให้เงินงอกเงยขึ้นมา

ด้วยความที่เมื่อรับปากแล้วผมก็ฟิตจัดอยากมาทำงานใช้หนี้(เหมือนทาสขัดดอก)ให้หมดหนี้หมดสินกันไปสักทีผมก็คิดเอาเองว่า
คงไม่นานนักหรอกครับเพราะผมเริ่มงานต้นเดือนตุลาคม โดยระยะเวลาสิ้นสุดภาระหนี้สินก็ไม่เกินเดือนธันวาคมปีนี้แน่นอน
ผมจึงกัดฟันเอาวะ….เป็นไงเป็นกันถึงต้องก้มหน้าก้มตาทำงานใช้หนี้หรือจะต้องไปเจอแรงกดดันสักแค่ไหนก็คงทนไม่นานนัก
เมื่อตัดสินใจไปขัดดอกอย่างแน่วแน่แล้วขั้นตอนต่อไปก็คือการสอบถามเส้นทางจากบ้านคุณหญิงน้าที่นนทบุรีเพื่อฝ่ารถติดไป
ทำงานพิเศษไกลถึงศรีนครินทร์ซึ่งแทบจะเป็นการเดินทางข้ามเมืองเลยทีเดียวนะนั่น(คงใช้เวลาพอๆกับไปต่างจังหวัดแน่เลย)
เมื่อสอบถามรายละเอียดที่ตั้งของอาคาร ถนน แยก ตรอก ซอยของบริษัทลุงวิชิต ก็ทำให้พี่ศรันย์รู้สึกว่าผมคงลำบากซะเหลือเกิน
กว่าจะไปถึงบริษัทของเค้า พี่ศรันย์บอกว่าท่าทางผมจะต้องลดเลี้ยวไปอีกหลายถนนแน่เลย ดีไม่ดีจะเริ่มงานสายซะตั้งแต่วันแรก
ดังนั้นคืนก่อนที่ผมจะเริ่มงาน ผมจำเป็นต้องไปค้างคืนที่บ้านลุงวิชิต ทีแรกคุณหญิงน้าเห็นว่าไม่จำเป็นและไม่อยากให้ไปค้างคืน
จะให้น้าเขยขับรถไปส่งที่บริษัทแต่พอคำนวนเวลาแล้วผมเห็นว่าไม่คุ้มเท่าไหร่ผมจึงตัดสินใจไปค้างคืนตามคำชวนของพี่ศรัณย์
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดท3ตอนใหม่)
เริ่มหัวข้อโดย: luvdisc ที่ 25-09-2007 03:25:10
หว๋าย.....................เรื่องของนิวช่วงนี้เป็นต้นแบบละครเรื่องจำเลยรักใช่ม่ะ แอร๊ยยยยยยยยยยยยย        :m3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดท3ตอนใหม่)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 25-09-2007 08:23:34
จริงอย่างที่เกี๊ยกว่า ทำไมโลกช่างโหดร้ายเช่นนี้
 :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:
ขออยู่เงียบๆไหลไปตามกระแสแห่งชีวิต
เมื่อมีโอกาสว่ายทวนน้ำ ก็ว่ายตราบเท่าที่มีแรง เหนื่อยนักก็พักผ่อน
 :m18: :m18: :m18:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดท3ตอนใหม่)
เริ่มหัวข้อโดย: jammy ที่ 25-09-2007 09:00:37
คนเราตราบใดที่ยังมีชีวิต มีความคิด มีสติ ยังไงก็ยังมีหนทางสำหรับชีวิตครับ บางคนเป้นหนี้เป็นสิบๆล้านเเต่ความเค้ามีความคิดสติเเละความพยายามก็สามารถหาหนทางใช้หนี้จนหมดได้  ทางออกมีอยุ่เสมอครับเเละมีหลายทางซะด้วยตราบใดที่เรายังไม่หยุดมองหามัน  :m2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดท3ตอนใหม่)
เริ่มหัวข้อโดย: Darklord ที่ 25-09-2007 14:24:11
ติดตามอ่านมาตลอดนะจ๊ะ แต่วุ้นไม่ค่อยได้เมนท์อ่ะ  ลงโดยด่วน ติดมากๆจ้ะขอบอก
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดท3ตอนใหม่)
เริ่มหัวข้อโดย: Serendipity ที่ 25-09-2007 16:45:21
ง่า ขอโทดนะคับพี่นิว มาช้าไปหน่อยอ่าคับ^^
วันก่อนนั่งทำงานกะเพื่อนอยู่คับ เหะๆๆๆ
 o1 o1 o1 o1 o1
แล้วรีบๆมาต่อนะคับพ้ม^^
 :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดท3ตอนใหม่)
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 25-09-2007 19:27:05
หายไปหลายวัน  ตามอ่านทันแระ  :m4:

น้องนิว เก่งมาก 
ชีวิตก็งี้แหละ  ปัญหาอุปสรรคเป็นเครื่องพิสูจน์ใจเราว่าเข้มแข็งที่จะก้าวผ่านปัญหาไปได้ดีแค่ไหน
ขอแค่ใจสู้ๆ  แก้ปัญหาไปทีละจุด
เหนื่อยนักก็พัก  เยี่ยมเลย

รออ่านต่อจ้า เป็นกำลังใจให้   :a2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดท3ตอนใหม่)
เริ่มหัวข้อโดย: gobgab ที่ 25-09-2007 20:05:34

............ถ้าเราไม่เข้มแข็ง........โลกใบนี้ก็คงไม่มีที่หั้ยเราอยู่............ o7 o7
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดท3ตอนใหม่)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 26-09-2007 16:20:20
ตอนที่14
เริ่มงานวันแรก

อย่างที่เพื่อนๆรู้กันอยู่แล้วว่าเวลาที่ผมต้องไปเริ่มทำในสิ่งใหม่ๆ ผมมักจะหวาดหวั่นและตื่นเต้นจนอยากจะหลีกหนีไปให้ไกล
โดยเฉพาะเมื่อผมต้องไปเริ่มสิ่งใหม่ๆในที่ใหม่ๆและไม่มีเพื่อนหรือคนสนิทอยู่เป็นกำลังใจด้วยแล้วล่ะก็ โหย…อยากจะชิ่งจริงๆ
แต่ผมก็ชิ่งไม่ได้ครับแม้ว่าในใจของผมจะฝ่อลงทุกขณะที่เท้าของผมก้าวเข้าไปในบริษัทของลุงวิชิต มันใหญ่โตและแปลกที่ครับ
ผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างกับคนจะเป็นไข้ ยังแอบคิดในใจว่าผมคงจะรู้สึกหายใจหายคอโล่งกว่านี้ถ้าได้กลับออกไปซะตอนนี้
ถึงอย่างไรก็ทำได้แค่แอบคิด เพราะจะให้บอกออกมาดังๆก็ทำไม่ได้ แหม…จะให้บอกใครล่ะครับด้านหน้าเป็นลุงวิชิตเจ้าหนี้ผม
ที่เดินประกบมาด้านหลังก็เป็นพี่ศรัณย์เจ้านายคนใหม่ของผม และการที่ผมไปค้างคืนที่บ้านเค้าทำให้ต้องมาทำงานพร้อมกับเค้า
เฮ้อ…มานึกว่าจะหนีตอนนี้ก็ไม่ทันซะแล้วล่ะน่ะ ไม่ได้ละ จะมัวแต่ขี้ขลาดแบบนี้ได้ไงต้องสู้สิ ต้องก้าวข้ามตัวตนไปให้ได้สินิว

คุณวิลันดา หรือพี่วิ เป็นเลขานุการตัวจริงของพี่ศรันย์ พี่วิเป็นสาวอ้วนใจดีและอารมณ์ดีอย่างฟุ่มเฟือยก็ดีครับที่เรียนรู้งานกับพี่วิ
เพราะคนอารมณ์ดีอย่างพี่วิช่วยทำให้เรื่องที่ผมรู้สึกยากกลายเป็นเรื่องง่าย ทำให้ความเอ๋อของผมกลายเป็นสิ่งน่าเอ็นดูของพี่วิเค้า
ถ้าผมต้องไปเรียนรู้งานกับเลขานุการคนอื่นๆที่เนี๊ยบ เฮี๊ยบ หรือดุ ผมคงยิ่งเกร็งยิ่งประหม่าและทำผิดทำถูกหนักกว่าเดิมแน่ครับ
ซึ่งการทำงานของผมก็ไม่มีอะไรซับซ้อนหรอกครับเพียงแต่เป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำอย่างจริงจังมาก่อน ก็เลยต้องข่มความประหม่า
ของตัวเองซะก่อนแล้วค่อยๆทำตามคำสั่งของพี่วิไปทีละอย่าง ตัวอย่างเช่นผมพิมพ์งานได้ ถ่ายเอกสารเป็นแต่ถ้าต้องทำตามคำสั่ง
ก็คงจะทำทิ้งๆขว้างๆไม่ได้กระดาษทุกแผ่นต้องใช้อย่างคุ้มค่า การพิมพ์แต่ละตัวอักษรต้องพิจารณาหลายรอบก่อนสั่งปริ้นท์งาน
เห็นมั้ยครับสิ่งง่ายๆที่เคยทำกลายเป็นสิ่งไม่ง่ายเลยเมื่อต้องทำอย่างจริงจังและมีการประเมินผลการทำงานที่จะตามมาอีกด้วยนี่นา

ตอนพักเที่ยงพนักงานที่นี่จะไปทานข้าวที่ร้านขายอาหารชั้นใต้ดินของอาคารสำนักงานกันแทบทั้งนั้น ผมก็ต้องไปทานที่นี่ด้วย
แต่เพราะว่างานที่ผมพิมพ์ค้างไว้ยังไม่เรียบร้อยดี ผมก็เลยขอแก้งานอีกนิดหน่อย พี่วิก็ใจดีมากบอกว่าจะรอไปทานพร้อมกับผม
ผมคิดว่าคงนานเกรงใจพี่วิด้วยจึงให้พี่เค้าเขียนแผนผังว่าจะลงไปทานอาหารชั้นใต้ดินยังไงแล้วผมจะลงไปทานเองเมื่องานเสร็จ

“ยังไม่ไปทานข้าวอีกเหรอน้องนิว”
เสียงพี่ศรัณย์ถามขึ้นเมื่อเค้าเดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะคอมฯ
“ยังหรอกครับ เหลืออีกนิดหน่อยน้องอยากพิมพ์ให้เสร็จก่อน ตอนบ่ายจะได้ทำงานอื่นต่อ ไม่อยากให้งานค้าง”
ผมหยุดพิมพ์แล้วเงยหน้าขึ้นมาตอบคำถามของพี่ศรันย์ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาพิมพ์งานต่อไป
“ไปทานข้าวเถอะ บ่ายๆค่อยกลัมาพิมพ์ นี่ถ้าคุณพ่อทราบว่าน้องนิวทำงานจนลืมทานข้าวท่านคงไม่สบายใจ”
พูดไม่พูดเปล่า พี่ศรัณย์ยังเดินอ้อมมาทางด้านหลังเก้าอี้ที่ผมนั่งแล้วเอื้อมมากดเซฟงานในเครื่องและลากเม้าส์ปิดเครื่องด้วย
“เห็นมั้ยแค่นี้ก็ไปทานข้าวได้แล้ว”
พี่ศรัณย์หันมายิ้มเหมือนกับว่าทุกอย่างที่เค้าว่าง่ายมันก็ต้องง่ายเสมอไป
“แต่น้องอยากทำให้เสร็จน่ะครับ ถ้างานค้างไปทานข้าวก็ไม่อร่อยน่ะครับ”
ผมยังคงปฎิเสธเพราะต้องการเคลียร์งานให้เรียบร้อยก่อน
“อร่อยหรือไม่อร่อยก็ต้องทานนะครับ ไม่งั้นน้องนิวเกิดป่วยตั้งแต่ทำงานวันแรก พี่ก็รับผิดชอบไม่ไหวนะครับ”
พี่ศรัณย์ยังคงยืนยันความคิดของเค้าด้วยเหตุผลด้านสุขภาพของผมเพื่อจะให้ผมไปนั่งทานข้าวด้วยให้ได้
“น้องเป็นภาระให้พี่ศรัณย์รึเปล่าครับ งั้นน้องไปทานข้าวเลยก็ได้จะได้มีแรงทำงานได้นานๆไม่ป่วยไข้ไปซะก่อน”
ผมพูดแล้วลุกขึ้นสะพายกระเป๋าเตรียมจะเดินออกไปที่ร้านอาหารตามแผนผังที่พี่วิเขียนไว้ให้
“น้องนิวอย่าคิดมากสิครับ พี่เป็นห่วงครับไม่ได้เห็นว่าเป็นภาระ อีกอย่างพี่ก็หิวแล้วด้วยถ้าน้องนิวไม่ไปทานข้าวกับพี่
จะปล่อยให้พี่ไปนั่งทานคนเดียวเหรอครับ พี่ตั้งใจว่าถ้าน้องนิวมาทำงานพี่คงมีเพื่อนทานข้าวกลางวันด้วยซะหน่อยน่ะครับ”

เอ.......เหตุผลของพี่ศรัณย์เริ่มจะไม่เกี่ยวกับประสิทธิภาพในการทำงานของผมซะแล้วสิ
“อ้าว ขอโทษครับ น้องไม่ทราบว่าพี่ศรัณย์ยังไม่ได้ทานข้าว งั้นไปทานกันเลยก็ได้ครับ พี่คงหิวมากแล้วล่ะเนอะ”
ผมยิ้มให้พี่ศรัณย์แม้ในใจผมออกจะอึดอัดที่รู้สึกว่าเค้าตามเฝ้าคุมผมแจอย่างกับผมเป็นนักโทษที่ต้องอยู่ในสายตาผู้คุมก็ไม่ปาน
“เดี๋ยวครับ” พี่ศรัณย์ดึงมือผมไว้เมื่อผมจะเดินนำออกไป
“พี่อยากให้น้องนิวทานข้าวกลางวันกับพี่ทุกวันได้มั้ยครับ”
เอาล่ะสิ แค่ดึงมือผมไว้ก็สะดุ้งแล้วยังจะมาพูดแบบนี้แถมส่งสายตากรุ้มกริ่มให้ผมอีก
“เอ่อ ก็ต้องได้ล่ะครับ ถ้ามันเป็นอีกหน้าที่นึงของน้อง”
ผมหันไปตอบยิ้มๆแม้ว่าในใจของผมเริ่มขุ่นเคืองขึ้นมาซะจนอยากถามว่า ‘นี่มันเกี่ยวกับหน้าที่ผู้ช่วยเลขานุการตรงไหนวะเนี่ย’
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดท3ตอนใหม่)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 26-09-2007 16:29:34
ตอนที่15
นายทึ่มเนื้อหอม

เพื่อนๆครับคิดถึง เทค กันรึยังครับ แหม…คำถามนี้เหมือนจุดระเบิดใส่ตัวเองยังไงชอบกล คงมีหลายคนบอกว่าคิดถึงจะแย่
แต่จะทำไงได้เพราะคนเล่าเรื่องอย่างผม ไม่ยอมเล่าเรื่องของเทคซักที โธ่…ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเล่าเรื่องของ เทค หรอกนะครับ
แต่เพราะช่วงเวลาที่ปัญหาสารพัดมารุมเร้าผมนั้น ก็เป็นช่วงสร้างเนื้อสร้างตัวของนายทึ่มพอดีน่ะครับ ทำไมผมรู้เหรอครับ อิอิอิ
ก็เพราะหลังจากที่ผมไม่ได้ออนM เป็นเวลานานนักหนา ทำได้แค่เพียงหาเวลาว่างเชคเมล์จากนายทึ่มเพียงสัปดาห์ละครั้งเท่านั้น
ผมก็ไม่ค่อยได้ข่าวจากนายทึ่มซักเท่าไหร่เหมือนกันแหล่ะครับ นานๆทีจะมีเมล์มาเล่าความคืบหน้าเรื่องการงานที่เจริญขึ้นทุกที
แต่คราวนี้จะไม่เล่าหรือทำเป็นข้ามๆไปเห็นจะไม่ได้หรอกครับ เพราะจดหมายที่ส่งตรงมาถึงผมในคราวนี้สำคัญจนไม่เล่าไม่ได้

ผมมาทำงานพิเศษอยู่บริษัทของลุงวิชิตได้เกือบเดือนแล้วครับ ระหว่างนี้ผมไม่ได้อยู่ที่บ้านคุณหญิงน้าเหมือนที่เคยตั้งใจไว้
เพราะหลังจากไปเริ่มงานที่บริษัทของลุงวิชิตได้เพียงวันเดียว ผมก็เพิ่งทราบว่านอกจากหน้าที่เบ๊ประจำออฟฟิศของผมแล้ว
ผมจะต้องย้ายมาอยู่บ้านลุงวิชิตตลอด3เดือนนี้ แต่จะไปค้างบ้านคุณหญิงน้าได้ทุกศุกร์และเสาร์เนื่องจากรุ่งขึ้นไม่ต้องทำงาน
แต่ในคืนวันอาทิตย์จนถึงคืนวันพฤหัสฯผมต้องมาอยู่มากินที่บ้านลุงวิชิตตลอดเพื่อจะไปทำงานพร้อมกับพี่ศรัณย์ในทุกๆเช้า
ตอนที่ผมส่งเมล์ไปเล่าให้เทคฟังเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปของผม ก็ไม่ได้หวังว่าจะให้เทครู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนไปด้วย
เพียงแต่เป็นการเล่าความเป็นไปของผมให้เทครับรู้ เหมือนที่ เทค ก็เล่าเรื่องหน้าที่การงานที่มีแต่ก้าวหน้าและมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ
ผมบอกเค้าว่าถึงผมไม่ได้อยู่ที่บ้านคุณหญิงน้าเป็นหลักแต่ถ้ามีธุระอะไรก็ให้ส่งจดหมายไปที่บ้านคุณหญิงน้าจะสะดวกกว่าครับ
เพราะช่วงวันหยุดที่ผมมาค้างที่บ้านคุณหญิงน้า ผมก็จะได้รับจดหมายจากทุกคนที่ส่งมาโดยคุณหญิงน้าจะเก็บไว้ให้ทุกฉบับเลย

แหม…..เกริ่นมาตั้งนานยังไม่เข้าเรื่องจดหมายของเทคซักที ใจเย็นๆครับยังไงผมต้องเอามาพิมพ์ให้เพื่อนๆอ่านแน่นอนล่ะครับ
อย่างที่บอกว่าเป็นจดหมายสำคัญจริงๆ ดังนั้นจะไม่ข้ามรายละเอียดเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอน จะพิมพ์ชนิดถอดคำต่อคำกันเลยเชียว
แต่ก่อนจะไปเรื่องจดหมายของนายทึ่ม ผมจะขอเล่าความเป็นไปของเทคให้เพื่อนๆฟังอย่างคร่าวๆก่อนดีกว่าครับจะได้ทราบว่า
ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้ผมจะไม่ได้เล่าเรื่องของ เทค เป็นกิจลักษณะแต่ผมก็ยังได้รู้ข่าวของเพื่อนรักคนนี้อยู่เสมอๆแหล่ะนะครับ
ผมว่าประมวลมาเป็นข้อๆดีกว่า แล้วมาดูกันว่านายทึ่มของผมกลายเป็นนายเทคเสน่ห์แรงไปได้ยังไง แหม…เนื้อหอมจริงจริ๊งเทค

1.ตั้งแต่ทำงานเป็นผู้จัดการฯ เทค มีรถขับหรูหรากว่าเดิม ไปไหนมาไหนใครๆก็คำนับให้อย่างเต็มใจ

2.ตอนนี้งานที่เทคออกแบบจะไม่ใช่เป็นชิ้นๆแบบแต่ก่อน แต่จะเป็นการดีไซน์แบบคอลเลคชั่นแล้วออกวางขาย

3.เมื่อไม่นานมานี้เทคบอกว่าไปเจอผู้ชายคนนึงเป็นคนมาเลเซีย เห็นเทคบรรยายมาว่าหน้าตาน่ารักซะเหลือเกิน แหม…แกนะแก

4.ถัดมาไม่นานเทคก็ส่งข่าวมาว่าหนุ่มมาเลย์คนนั้นเดินทางไปเจอเทคที่สิงคโปร์ เห็นว่าลองคุยๆกันดูก็ไปด้วยกันได้ดีซะด้วย

5.มีข่าวล่ามาไว ว่าเริ่มคบกันแบบไกลๆซะแล้วล่ะครับ เจอกันแป๊บเดียวก็คบกันซะแล้ว ไวไฟเกินไปแล้วนะเทค

6.ผ่านจากเรื่องที่ เทค มีแฟนเป็นหนุ่มหน้าหวานขาวมาเลย์ได้ไม่นาน เค้าก็ส่งข่าวมาว่าพ่อของเค้าอยากจะให้แต่งงานซะแล้ว

7.ที่ตลกก็คือ การดูตัวแบบประเพณีโบราณ ซึ่งเทคบอกว่าคนทันสมัยอย่างพ่อเค้าไม่น่าใช้วิธีคร่ำครึแบบนี้ได้เลย

8.เทค ส่งเมล์มาเล่าว่า ผู้หญิงที่เค้าต้องแต่งงานด้วยเป็นลูกสาวของหุ้นส่วนคนนึงของพ่อเค้าซึ่งคงใช้ระบบเงินต่อเงินล่ะมั้งครับ

9.ผู้หญิงคนนี้ อายุเพิ่งจะ18เองนะ เรียนจบจากโรงเรียนคอนแวนต์มีระดับจากฝั่งยุโรปนู่น เอ…ประเทศไหนผมก็ลืมไปแล้วสิ

10.ที่แน่ๆก็คือน้องผู้หญิงคนนี้มีอาการปักอกปักใจกับเทคตั้งแต่แรกเห็น ส่งภาษาอังกฤษชนิดออดอ้อนซะเทคแทบละลาย

11.ผมรับฟังเรื่องการแต่งงานของเทค แบบขำๆรู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่เทคเองกลับร้อนใจและเคร่งเครียดเหลือเกิน

12.และแล้วก็ไม่มีการแต่งงานเกิดขึ้นจริงๆ ผมนึกอยู่แล้วล่ะครับ แต่ที่ผมนึกไม่ถึงก็คือ เทคไปบอกผู้หญิงคนนั้นว่าเค้าเป็นเกย์

13.แฟนหนุ่มของเทคถูกตามตัวจากมาเลเซีย เพื่อมายืนยันกับผู้หญิงคนนี้ ว่าเทคมีแฟนหนุ่มเป็นตัวเป็นตนแน่ๆแล้ว เฮ้อ..ยุ่งจริง

14.ก่อนจะมาถึงข่าวอัพเดทล่าสุดในจดหมายที่เทคส่งมาถึงผม ผมรู้มาว่าหลังยกเลิกการแต่งงาน เทคก็เลิกกับแฟนหนุ่มซะแล้ว

15.ผมบอกเทคเรื่องความอึดอัดใจที่ต้องมาทำงานใช้หนี้ให้กับบริษัทของลุงวิชิต และต้องรับคำสั่งที่ไม่เกี่ยวกับงานจากพี่ศรัณย์อีกด้วย
เทคว่าจะช่วยผมแก้ปัญหาแต่ผมจะสนใจรึเปล่า ผมก็เลยให้เค้าบอกข้อเสนอที่ว่า และข้อเสนอของเค้าก็อยู่ในจดหมายซึ่งจะเล่าในตอนหน้า
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 27-09-2007 01:22:31
ตอนที่16
จดหมาย ตั๋วเครื่องบิน และ……

ได้เวลาแล้วครับ เรามาแกะซองจดหมายฉบับสำคัญที่ เทค ส่งมาหาผมแล้วอ่านไปพร้อมๆกันเลยก็แล้วกันนะครับเพื่อนๆ

27 ตุลาคม 2547
Hi Narattakorn

จดหมายฉบับนี้สำคัญมากนะ เราอยากให้นิวอ่านด้วยความตั้งใจและคิดไตร่ตรองให้ดีและรอบคอบที่สุด
เราเคยเล่าถึงชีวิตการทำงานของเราให้นิวฟังหลายครั้งแล้ว และเรารู้สึกว่านิวก็เชื่อมั่นในตัวเรามากกว่าเดิมจริงมั้ย ก่อนหน้านี้
เราไม่กล้าแม้แต่จะพูดกับนิวอย่างจริงจังถึงเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เราคิดว่าเราโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ขนาดพ่อเรายังเห็นว่าเราควรที่จะ
แต่งงานให้เป็นหลักเป็นฐานเลยคิดดูสิ แต่นิวคงรู้นะว่าทำไมเราไม่ยอมให้มีการแต่งงานเกิดขึ้น ไม่ใช่เราจะแอนตี้วิธีการของพ่อ
แต่เพราะเรารู้ว่าเราแต่งงานกับใครไม่ได้นอกจากคนที่เราเลือกมาตั้งแต่แรก นิวอย่าเพิ่งขยำจดหมายทิ้งซะก่อนล่ะอ่านต่อไปนะ
      
                                ไม่ว่าเราจะพยายามลืมนิวยังไงก็ไม่เคยทำได้สำเร็จซักที นิวเป็นเพื่อนที่ดี และเราก็ไม่อยากเสียเพื่อนไปด้วย
เราพยายามคิดเสมอว่าการมีนิวเป็นเพื่อนก็ดีกว่าชีวิตเราจะไม่เหลือนิวอยู่เลย ที่ผ่านมาเราไม่กล้าคิดเกินเลยกว่าความรู้สึกดีๆที่มี
เพราะเราสำนึกตัวตลอดเวลาว่าเราไม่ได้เรื่องแค่อนาคตตัวเองเรายังมองไม่เห็นเลยจะกล้าพูดเรื่องนี้กับนิวอย่างจริงจังได้ยังไงล่ะ   
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วนะ เรามีงานทำและมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ เรามีความรับผิดชอบต่อตัวเองมากว่าแต่ก่อนตั้งเยอะ นิวก็เห็นนี่
เราไม่อยากทำให้นิวโกรธหรอกนะ แต่เราคิดทบทวนหลายรอบแล้ว เราถึงเขียนจดหมายฉบับนี้มาหานิว นิวแต่งงงานกับเรานะ
      
                                นิวก็รู้ใช่มั้ยว่าที่สิงคโปร์นี่เค้าซีเรียสมากเรื่องเกย์ ประเภทที่คบกันเปิดเผย เดินไปไหนมาไหนด้วยกันเป็นคู่ๆ
แทบจะหาไม่ได้เลย ยกเว้นแต่ว่าจะรู้กันเองอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเดินไปตามถนนก็ดูไม่ออกหรอกว่าเป็นเพื่อนรักหรือเป็นคู่รักน่ะ
แต่ที่เราเขียนมานี่เราจริจังมากนะ เราอยากแต่งงานจริงๆ นิวลองพิจารณาข้อเสนอของเราดูก่อนดีมั้ย เราอยากดูแลนิวจริงๆนะ
อย่าเพิ่งคิดว่าเรามีเงื่อนไขเพื่อเอาเปรียบนิว นิวก็รู้ว่าเราไม่เคยคิดแบบนั้น มีแต่ความรักและความจริงใจให้นิวอยู่เสมอจนตอนนี้
เราไม่ได้ฉวยโอกาสที่นิวกำลังต้องรับภาระเยอะแยะของครอบครัวเพื่อเอาเงินทองมาเป็นปัจจัยให้นิวยอมทำตามข้อเสนอของเรา
หรอกนะ แต่ในสภาวะที่นิวเจอแรงกดันขนาดนี้จะดีกว่ามั้ยถ้าเราขอเสนอตัวเป็นคนที่จะคอยดูแลนิวและช่วยรับภาระแทนนิว
      
                                อย่าเพิ่งตีความว่าเราจะเอาชนะนิวเลยนะ ความรักไม่ใช่การเอาชนะเราจำได้ที่นิวเคยสอนเราแบบนี้ใช่มั้ย
ตัดเรื่องความอยากเอาชนะออกไปได้เลย ตอนนี้เรามีแต่ความห่วงใย อยากไปอยู่ใกล้ๆอยากเป็นคนที่นิวจะพึ่งพาได้เท่านั้นเองล่ะ
ตลอดเวลา6ปีมานี้ เรายอมรับล่ะว่าเราวอกแวกไปบ้าง ก็นิวอยากเฉยชากับเราทำไมล่ะ เออ…..ไม่ได้จะชวนทะเลาะหรอกนะ
เอาเป็นว่าเราอาจพลาดพลั้งไปกับคนอื่นบ้าง แต่เราก็เล่าให้นิวฟังทุกครั้งนี่นา จริงมั้ยล่ะ แล้วตอนนี้เราก็เลิกกับทุกคนหมดแล้ว
นิวจะไม่ให้โอกาสเราบ้างเหรอ จริงอยู่ถึงเราจะไม่สดแล้วนะ แต่เราก็ไม่เคยรักใครมากกว่าที่เรารักนิวเลยนะ เห็นใจเรามั่งสินิว
      
                                จดหมายฉบับนี้คงเป็นแค่ส่วนนึงของทั้งหมดที่เราอยากบอกกับนิวอ่ะนะ ถ้าเป็นไปได้เราอยากไปหานิวเอง
ไปนั่งพูดคุยอยู่ใกล้ๆ นิวจะได้รู้ว่าเราจริงจังมากกว่าทุกครั้งที่เคยหยอดๆเล่นๆ แต่ตอนนี้เราเป็นผู้ใหญ่แล้วนะนิวเราจริงจังสุดๆ
ถ้านิวจะเข้าใจเราอยู่บ้าง ก็หวังว่าจะอ่านจดหมายฉบับนี้จนจบและไม่โกรธที่เราพูดเรื่องที่นิวเคยห้ามพูดมาในจดหมายฉบับนี้
นอกจากข้อความที่เราคิดแล้วเขียน เขียนแล้วขยำทิ้งไปหลายรอบเพื่อเลือกคำพูดที่ดีที่สุดโดยจะไม่ทำให้นิวแปลเจตนาเราผิดไป
เรายังได้แนบตั๋วเครื่องบินกรุงทเพฯ-สิงคโปร์มาให้ด้วย อ้อ…pocket money ที่เราแนบมาเป็นเชคสั่งจ่ายในชื่อนิวเลยนะ
หวังว่านิวจะให้คำตอบที่เรารอคอยอย่างมีความหวังนะเพื่อน ขอย้ำว่าคิดให้รอบคอบและตัดสินใจให้ดีที่สุดนะเรารออยู่ที่นี่เสมอ
ปล.ถ้านิวมาหาเราได้ ก็เดินทางมาตามวันเวลาที่เราระบุไว้ในตั๋วก็ดีนะ แต่ถ้าจะเลื่อนไฟลท์ก็ไปติดต่อที่เคาเตอร์ที่ดอนเมืองก็ได้
ปล.อีกนิดนึง ถึงแม้ว่าจะใช้ความรอบคอบในการตัดสินใจแค่ไหนก็ตาม อย่าลืมใช้หัวใจในการตัดสินใจด้วยนะนิว เราขอร้อง
                                  
แล้วเราจะรอการตอบรับจากนิวนะ
รักนิวเสมอครับ
Takecare
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 27-09-2007 01:40:22
ตอนที่17
จดหมายที่เขียนจากหัวใจและสมองของผม

31 ตุลาคม 2547
สวัสดี เทค เพื่อนรัก
      
ขอบคุณมากสำหรับความรู้สึกดีๆที่มีให้เรามาตลอดนะ เราอ่านจดหมายของเทคด้วยความเข้าใจ จริงๆนะเทค
เรายอมรับว่าวิธีการแก้ปัญหาของเทค มันตรงและรอบคอบน้อยไปหน่อย กับการที่เทคจะเข้ามารับภาระหนี้สินเหล่านี้แทนเรา
ด้วยการแต่งงาน คือมันไม่นิยายเกินไปหน่อยเหรอเทค เทคเองก็บอกว่าที่สิงคโปร์ไม่เปิดรับเรื่องคู่เกย์นี่นา แล้วยิ่งที่ผ่านมาเนี่ย
พ่อของเทคก็อยากให้เทคแต่งงานกับลูกสาวของหุ้นส่วนพ่อเทคซะเหลือเกิน ก็น่าจะเพราะเค้าหวังในตัวลูกชายคนเดียวอย่างเทค
มากจริงๆนะ ไหนจะเพื่อสานต่อธุรกิจไหนจะเพื่อมีลูกหลานสืบสกุลให้พ่อเทคอีกล่ะ แล้วการที่เทคไปบอกกบฝ่ายนั้นว่าไม่ยอม
แต่งงานด้วยเพราะเทคเป็นอะไร ไม่ทำให้พ่อเทคเครียดหนักไปเลยเหรอ ถึงเทคจะบอกว่าฝ่ายผู้หญิงเค้าหาเหตุผลอื่นมายกเลิก
โดยไม่ปริปากบอกว่าความจริงเป็นเพราะเทคไปแอบบอกรสนิยมของเทคให้เค้ารู้ก่อนมีการเจรจาตกลงเรื่องแต่งงานแต่งการกัน
แต่แน่ใจได้ไงว่าเร่องที่เทคพูดออกไปจะไม่ยอนมาทำร้ายตัวเองเข้าสักวัน ที่เราเขียนถึงเรื่องนี้ก่อนเพราะเราเป็นห่วงเทคนะเนี่ย
ทีนี้มาถึงเรื่องในจดหมายของเทคกันบ้าง เราจะบอกให้เทครู้สึกเท่ากับที่เรารู้สึกยังไงดีล่ะว่าเราซาบซึ้งมากๆ
กับความมั่นคง ความรัก และความจริงจังที่เทคบรรยายมาในจดหมาย เราอ่านไปยังอดคิดไม่ได้ว่าเหมือนเทคยืนพูดอยู่ตรงหน้า
แต่ความซาบซึ้งก็ยังเป็นเพียงแค่เรื่องของเราสองคนที่จะรู้กันไปอย่างนี้ ยังไงซะมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะบอกให้ใครๆซาบซึ้งไป
กับด้วยหรอกนะเทค เราคิดว่าการขอแต่งานของเทค เป็นเรื่องใหญ่เกินไป มันเป็นอนาคตที่ไกลตัวเกินไปสำหรับตัวในเราเวลานี้
เราเองก็อยากให้เทคคิดทบทวนด้วยความรอบคอบเหมือนกัน โลกนี้ไม่ได้มีแค่เราสองคนหรอกนะ เราเข้าใจเทคมากขึ้นกว่าเดิม
และเราก็รู้สึกดีที่ไม่ว่าจะนานแค่ไหน เทคยังคงให้เราได้อยู่ในที่ที่มีค่ามากเสมอ เราเองก็ยินดีจะอยู่ในพื้นที่นั้นของเทคตลอดไป
แต่ในความเป็นจริง ในสังคมที่ไม่ได้มีแค่เรากับเทค เรายังมองไม่เห็นว่าการเลืกทำตามหัวใจเพยงอย่างเดียวจะราบรื่นไปได้จริงๆ
      
                                เราคงเป็นคนไม่มีหัวใจสินะที่ไม่ยอมรับการช่วยเหลือที่เทคยินดีเสียสละทั้งชีวิตเพื่อเราแต่เราขอให้เทคคิดว่า
เพราะเรามีหัวใจและหัวใจของเรายังต้องคิดไตร่ตรองเพื่อใครๆอีกมากมาย เราไม่ได้มีชีวิตและหัวใจเพื่อตัวเราคนเดียวหรอกนะ
แม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่เราอยากทำเหลือเกินในเวลาที่เราเหนื่อยล้าที่สุดและต้องการคนที่พร้อมจะดูแลเราได้อย่างเทค แต่ก็ทำไม่ได้
เทคยังจำเรื่องของพี่ชายเราได้มั้ย ตอนนั้นเรายังเคยบอกเทคเลยว่า ทำไมพี่ชายของเราเลือกทำตามใจของเค้าโดยทิ้งนายแม่กับเรา
ทั้งๆที่พี่ชายก็เคยเป็นคนที่อยู่ข้างเราอยู่ข้างเดียวกันกับนายแม่ของเรามาก่อน เมื่อตอนที่คุณป๋ายืนยันว่าจะไปมีครอบครัวใหม่
ตอนนั้นพี่ชายเสียใจจะเป็นจะตาย ที่คุณป๋าพุดง่ายๆว่าดูแลครอบครัวมานานแล้ว อยากมีอิสระที่จะไปทำตามใจคุณป๋าเองบ้าง
แล้วไงล่ะ ผ่านไปไม่นาน พี่ชายก็บอกเราว่าเค้าเลือกลูกเมียเค้าและขอไปทำเพื่อครอบครัวของเค้า ฝากให้เราดูแลนายแม่แทนเค้า
มาถึงตอนนี้เราจะเป็นอีกคนที่เลือกทำตามใจตัวเองได้ยังไงกันล่ะเทค เราจะปัดความรับผิดชอบเรื่องต่างๆไปให้ใครในเมื่อไม่มี
      
                                ที่เราเขียนมาอย่างนี้ขอให้เทคเข้าใจด้วยว่าเราไม่ได้อยู่กับความรับผิดชอบด้วยความทุกข์ทรมานแต่อย่างใด
เราพอใจเต็มใจที่จะดูแลรับผิดชอบชีวิตของทุกคนในบ้านให้เค้ามีความสุขทั้งกายและใจ เพราะถ้าพวกเค้ามีความสุขเราก็สุขด้วย
ดังนั้นถ้าเทคจะเป็นห่วงเราก็ห่วงเถอะนะ แต่อย่ากังวลว่าเราจะทุกข์ร้อนกับความรับผิดชอบเหล่านี้เลย เมื่อไม่มีใครทำเรายินดีทำ
เราเริ่มต้นดูแลคนในครอบครัวแทนคุณป๋าแทนพี่ชายมาได้ระยะหนุ่งแล้ว ตอนนี้เรารู้สึกถึงภาระที่ต้องรับผิดชอบไว้อย่างดีที่สุด
ไม่ใช่เป็นภาระที่จำเป็นต้องรับไว้หรอกนะ แต่เป็นภาระที่เราเต็มใจจะดูแลพวกเค้าอย่างดีเท่าที่เราจะทำได้ ตอนนี้ทุกคนในบ้าน
เหลือเราเป็นที่พึ่งอย่างจริงจังแค่คนเดียวเท่าน้นเองนะ เราจะเลือกเดินไปตามความพอใจของเราเองไม่ได้หรอก เทคเข้าใจเรานะ
      
                                ขอบคุณอีกครั้งสำหรับความรู้สึกดีๆที่มีให้เรามาตลอดและมีแต่ะมั่นคงขึ้น เราขอโทษด้วยที่เราไม่สามารถ
ตอบแทนความรู้สึกดีมากมยของเทคได้เลยแม้แต่อย่างเดียว ถ้าเราบอกว่าเรารักเทค เทคจะเชื่อมั้ย นี่เป็นความจริงใจที่สุดจากเรา
แต่เราเลือกที่จะอยู่กับภาระหน้าที่ของเราที่นี่มากว่าจะไปอยู่กับหัวใจของเราที่นั่น ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่เทคคิดจะทำเพื่อเรา
เราก็ไม่รุ้ว่าจะมีใครทำเพื่อเราได้มากเท่าเทครึเปล่า แต่ขอให้รู้ไว้ว่าเราซาบซึ้งมาก ถ้าหากเราเลิอกได้เราก็จะเลือกตอบแทนน้ำใจ
ของเทคเป็นคนแรก เพียงแต่ตอนนี้เราไมอยู่ในฐานะที่จะเลือกอะไรได้ทั้งนั้นล่ะ ขอโทษอีกครั้งนะเทค เราขอโทษจริงๆ
เราคืนตั๋วเครื่องบินและเชคมาพร้อมจดหมายฉบับนี้และหวังว่าต่อจากนี้ไป เราจะไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้กันอีกแล้วนะเทค

จาก เราเอง คนโง่ที่ไร้หัวใจ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 27-09-2007 01:47:59
ตอนที่18
เหมือนนกไร้ปีก

หลังจากผมส่งจดหมายฉบับนั้นไปหาเทคแล้ว ชีวิตประจำวันของผมก็ผ่านไปอย่างเซื่องซึม เหนื่อยหน่าย สิ่งรอบตัวดูหม่นมัว
ผมกลับมาทำงานในเช้าวันจันทร์อย่างไร้เรี่ยวแรง คืนวันอาทิตย์ที่ผมต้องกลับมานอนบ้านลุงวิชิต ผมก็รู้สึกปวดหัวอยู่แล้วครับ
มาถึงที่ทำงานผมแยกไปล้างหน้าเพื่อเรียกความสดชื่นแต่ก็ไม่ได้ผลเท่าไหร่ ความเย็นของน้ำที่ชะโลมหน้าผมไม่ทำให้ผมชุ่มชื่น
ขึ้นมาได้เลย ริมฝีปากแห้งผากมีแต่ไอร้อนผ่าวออกจากปากของผม แต่ก็ยังไม่เท่าความเหือดแห้งทรมานที่กัดกินอยู่ในใจของผม

“น้องนิวไม่สบายหรือเปล่าครับ”
เสียงพี่ศรัณย์ถามขึ้นเบาๆจากด้านหลัง
“ตัวร้อนนิดหน่อยครับ คงโดนฝนตอนกลับมาเมื่อวานน่ะครับ”
ผมตอบด้วยเสียงแหบ
“ไหนพี่ดูซิ”
พี่ศรัณย์ถือวิสาสะเข้ามาแตะหน้าผากของผม “ไปหาหมอดีมั้ยเพราะเย็นนี้พี่จะพานิวไปสัมมนาด้วยน่ะ”
“แต่นิว……”
ผมกำลังคิดหาคำปฎิเสธ เพราะในเวลานี้ผมอยากกลับไปนอนร้องไห้เงียบๆคนเดียวมากกว่า
“งานนี้ยังไงพี่ก็ต้องขอให้นิวไปด้วยนะ เพราะคุณวิติดธุระจริงๆ พี่ถึงต้องให้นิวตามไปจดรายงานการประชุมคราวนี้”
เฮ้อ สุดท้ายเหตุผลและความจำเป็นของเจ้านายย่อมมาก่อนเสมอ
“ก็ได้ครับ งั้นน้องไปทำงานก่อนนะ แล้วจะถามพี่วิด้วยว่าต้องจดรายละเอียดอะไรบ้างตอนสัมมนาน่ะครับ”
แม้จะเบลอๆแต่ผมก็พยายามตั้งสติเพื่อจะทำงานในเช้าอันแสนหดหู่นี้ให้ผ่านไปได้อย่างดี

จนถึงตอนเย็นที่ผมจะต้องกลับบ้านพร้อมพี่ศรัณย์อาการไข้ก็ยังไม่ลดลง ดีที่ช่วงกลางวันพี่วิเอายาพาราฯมาให้กินแล้วนอนพัก
งานช่วงบ่ายมีแค่เคลียร์เอกสารทั้งงานที่ต้องพิมพ์ งานที่ต้องถ่ายเอกสารไว้ใช้ในงานสัมมนา จัดเตรียมป้ายชื่อ และสมุดลงชื่อ
จากนั้นพี่วิก็บอกให้ผมไปนอนพักในห้องทำงานของพี่ศรัณย์ก่อนก็ได้ แล้วผมก็นอนหลับยาวจนกระทั่งได้ยินเสียงพี่ศรัณย์ปลุก
ผมยังคงเดินไปทำอะไรต่างๆได้เป็นปกติแต่ถ้าถามว่ารู้ตัวรึเปล่าว่า ทำอะไรบ้าง? ก็ยอมรับเยครับว่าทำเหมือนเครื่องจักรน่ะครับ
ไม่รู้เป็นเพราะพิษไข้หรือเป็นเพราะกินยาแล้วนอนมากเกินไป แต่ผมมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รถพี่ศรัณย์มาจอดอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว

“น้องนิวไปไหวเหรอลูก ป้าว่านอนพักผ่อนที่บ้านดีกว่านะ ศรัณย์ไม่ต้องเอาน้องไปไม่ได้เหรอลูก”
คุณป้าสมรเป็นห่วงผมมาก
“ลูกก็อยากให้น้องนิวพักนะแม่ แต่คุณวิไปไม่ได้แล้วลูกไม่มีคนช่วยงานจริงๆนี่ครับ”
พี่ศรัณย์ ยืนยันว่าผมจำเป็นต้องไป
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณป้า น้องไปไหว อีกอย่างพี่วิก็สอนงานน้องไว้หมดแล้ว ถ้าให้คนอื่นไปแทนก็ต้องบอกกันใหม่”
“งั้นนิวไปพักไปลูกไป เดี๋ยวให้เด็กจัดกระเป๋าให้ อ้อ…จะต้องเตรียมของส่วนตัวก็ไปเตรียมก่อนซะลูก”
คุณป้าสมรจัดแจงให้
“งั้นน้องนิวไปพักซะก่อนนะครับ พี่ว่าจะออกเดินทางตอนหนึ่งทุ่ม อืม….มีเวลาตั้ง2ชั่วโมงพอมั้ยเนี่ย”
พี่ศรัณย์ถามไถ่
“พอครับ น้องขอตัวก่อนนะครับ”
ว่าแล้วก็เดินเลี่ยงออกมา แม้จะพูดแต่ละคำผมก็เหนื่อย อยากมีเวลาส่วนตัวสัก2ชั่วโมงก็ยังดี

เมื่อกลับเข้ามาในห้องนอนผมบอกให้เด็กรับใช้ที่ชื่อแป้นเข้ามาเก็บเสื้อผ้าเท่าที่จำเป็น และสั่งห้ามรบกวนตลอดสองชั่วโมงนี้
ทีแรกแม่แป้นทำหน้าเป็นเครื่องหมายคำถาม จนผมต้องย้ำด้วยสีหน้ายิ้มๆ(แม้จะฝืนยิ้มสุดๆ)แล้วยืนยันว่า “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ”
ผมรู้สึกเหมือนคนที่เพ้อๆละเมอๆยังไงก็บอกไม่ถูก เพราะทันทีที่ประตูห้องปิดลงผมเดินไปล๊อกห้องเพราะอยากร้องไห้ให้เต็มที่
แต่แทนที่ผมจะรีบโถมตัวลงไปนอนร้องไห้ให้สะใจ สมกับที่อัดอั้นมาตลอดทั้งวัน ผมกลับเดินไปส่องกระจกแล้วลองฝืนยิ้มดู
ประหลาดดีมั้ยครับ แต่พอผมเห็นหน้าตัวเองในกระจกแล้วผมว่าสภาพของผมก็ไม่ต่างจากคนที่ป่วยหนักมาหลายวันเลยล่ะนะ
ตาบวมๆ ปลายจมูกสีแดงกล่ำ ดูคนในกระจกสิยืนยิ้มทำบ้าอะไรอยู่ ยิ่งฝืนยิ้มน้ำตาก็ยิ่งเอ่อท่วมดวงตาทั้งสองข้างน่าสมเพชจริงๆ
จู่ๆก็เหมือนห้องทั้งห้องหมุนคว้างไปหมด ผมเห็นเงาตัวเองในกระจกพร่าเลือนเต็มที แม้ผมจะพยายามเดินต่อไปให้ถึงเตียงนอน
ก็เหมือนเป็นเรื่องยากเย็นนักหนา เรี่ยวแรงที่จะยกขาเดินก็ไม่มี ทำได้แค่ใช้แรงเท่าที่มีอยู่ลากขาพยุงตัวไปจนถึงเก้าอี้ที่ปลายเตียง

ทำได้เท่านี้ผมก็หมดเหมือนจะขาดใจซะแล้วสิ ใจเต้นแรงเหมือนไปวิ่งด้วยความเร็วสูงบนสายพานตามฟิตเนสยังไงยังงั้นเลยล่ะ
ผมเอามือกุมไปที่หัวใจซึ่งกำลังเต้นถี่และรัวขึ้นทุกที ดวงตาพร่าพรายและเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ผมอยากปล่อยโฮดังๆ
ก็ไม่กล้าทำเกรงคนอื่นจะได้ยินจึงต้องกัดริมฝีปากที่แตกระแหงไว้อย่างสุดกลั้น ร่างกายเบาหวิวเหมือนจะถูกลมพัดพาให้ปลิวได้
ผมเอนหลังลงไปนอนบนเตียงนุ่มปล่อยให้น้ำตาไหลพรากๆโดยไม่อดกลั้นอีกต่อไปแล้ว ขณะที่จดหมายของผมถูกส่งไปถึงเทค
หัวใจของผมก็หลุดลอยตามข้อความในจดหมายฉบับนั้นไปด้วย เพราะทุกตัวอักษรเหมือนกรีดเอาเลือดเนื้อของผมเขียนลงไป
ผมรู้ว่าคำปฎิเสธในจดหมายนั้นจะบาดลึกหัวใจคนอ่านอย่างร้ายกาจ แต่เค้าจะรู้มั้ยว่าคนเขียนก็กำลังทรมานแทบขาดใจเจียนตาย
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: luvdisc ที่ 27-09-2007 02:09:23
คุณน้อง คุณพี่เมาในความหล่อลากไส้ของบรรดาหนุ่ม ๆ ที่เราได้ไปเจอมาเมื่อเย็นนี้อ่ะ
ไม่สามารถเม้นท์ให้คุณน้องได้ ว่าง ๆ คุณพี่จะมาเม้นท์ให้นะ เมาหนุ่มสิงห์ 3 คนนั้น เอิ๊ก ๆ ๆ
 
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 27-09-2007 02:54:17
สวัสดีครับเพื่อน

ผมต้องไปทำธุระที่กรุงเทพฯอีกแล้วล่ะครับและคราวนี้คงไปนานหน่อย
คือจะเดินทางวันพรุ่งนี้แล้วกลับมาวันอาทิตย์นะครับ ก็เลยเอาเรื่องเล่า
มาลงให้อ่านกันแบบจุใจ ถือว่าฝากเรื่องเล่าไว้เป็นเพื่อนทุกๆคนนะครับ
กลับมาเมือ่ไหร่จะรีบนำที่พิมพ์ไว้มาลงต่อและจะเร่งพิมพ์ตอนที่เหลืออยู่
ตอนที่เพิ่งเอามาลงนี้ออกจะเศร้าไปซักนิดแต่ขอให้เชื่อเถอะนะครับว่า
ถ้าเพื่อนๆรู้สึกเศร้า เสียดาย อึดอัด ทรมานใจล่ะก็ ผมเป็นหนักยิ่งกว่า
อย่าว่าแต่ตอนที่อยู่ในสถานการณ์นั้นเลยครับแค่ผมต้องนึกย้อนกลับไป
รื้อฟื้นอารมณ์ ความรู้สึกที่ผ่านมาแล้วในครั้งนั้นก็ยังร้องไห้ไม่หยุดเลย
แต่ผมก็เต็มใจที่จะเล่าความทรงจำของผมให้เพื่อนๆฟังนะครับ
เพราะในความทรงจำนั้นอาจไม่งดงามไปซะทุกฉากทุกตอนก็จริง
แต่ความอิ่มใจเล็กๆน้อยๆที่ซ่อนอยู่ในช่วงเวลาเหล่านั้นมีค่ากับผมมาก
ผมฝากเรื่องเล่าของผมไว้ด้วยนะครับ ช่วยอ่านช่วยเม้นท์กันหน่อยนะครับ
วันจันทร์หน้า เราจะพบกันใหม่ในเรื่องเล่าของผมพร้อมตอนใหม่ๆแน่นอน

นอนหลับฝันดีนะครับ

จาก ผมเอง
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: A GE ที่ 28-09-2007 19:55:32
 :m15: :m15:  ทำไมรักของคุณนิวมันรันทดขนาดนี้ล่ะครับ  :m15: :m15:

 :impress: :impress: แล้วก็รอต่อครับนิว
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: Darklord ที่ 29-09-2007 10:40:15
 o7  รันทดจริง ๆเพื่อนช้าน
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: jammy ที่ 29-09-2007 11:21:21
เศร้ามักๆ  :a6: :a6: :a6:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: Serendipity ที่ 29-09-2007 21:53:38
งืมมมมมม สงสารพี่นิวจังอ่า สู้ๆคับ หุหุหุ
 :m15: :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 01-10-2007 23:48:17
เวลาชีวิตคนเรานี้สั้นนัก

ถ้าพรุ่งนี้เทคเกิดเป็นอะไรขึ้นมา

คงไม่มีอีกแล้ว โอกาสสำหรับความรักที่สวยงาม

ทำไมไม่ทำปัจจุบันให้มีค่าที่สุดหล่ะ

อย่าไปตั้งกฎเกณฑ์ คาดหวัง ตีกรอบ อะไรมากมายให้ชีวิตเลย

มันไม่ได้ทำให้นายมีความสุขหรอก
 :a1: :a1: :a1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: luvdisc ที่ 02-10-2007 02:39:41
คุณน้องเป็นไงละ ชิ เจอคนดี ๆ แล้วก็ไม่รักไม่ชอบ แล้วตอนนี้เป็นไง ชิ
 :m16:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 02-10-2007 17:02:16
ตอนที่19
รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี

การสัมมนากลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ตลอด3วันผ่านไปอย่างราบรื่น ผมมีหน้าที่ดูแลเรื่องผังที่นั่งผู้ร่วมประชุม เอกสารสำหรับ
ผู้ร่วมประชุมเพื่อนำมาวิเคราะห์ร่วมกับที่ประชุม ของว่างสำหรับช่วงคอฟฟี่เบรค รวมถึงหน้าที่จดรายงานการประชุมตลอด3วัน
วันแรกที่ต้องเตรียมงานก่อนการประชุม ทั้งไม่คุ้นกับงานและสมองเบลอด้วยพิษไข้ นึกดูแล้วก็ต้องถอนใจโล่งอกที่งานไม่พลาด
พอเข้าวันที่สองและสามอาการเบลอๆงงๆเหมือนจะหายเป็นปลิดทิ้งครับ เดาว่าเป็นเพราะผมยุ่งซะจนไม่มีเวลาจะคิดเรื่องตัวเอง
คืนที่สามนี่ล่ะครับที่เกิดเรื่องขึ้นจนได้ พี่ศรัณย์ชวนผมไปท่องราตรีพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของเค้าและบรรดาผู้ชายที่มาร่วมประชุม
แต่ผมไม่ชอบเที่ยวกลางคืนน่ะครับเลยอ้างไปว่าผมยังไม่หายดี คืนนั้นผมก็เลยนอนหลับไปก่อนส่วนพี่ศรัณย์ก็เอากุญแจห้องไป
ก็ไม่ต้องกังวลว่าพี่ศรัณย์จะกลับมากี่ทุ่มกี่ยาม พอมีเวลาว่างผมก็เริ่มจิตตกอีกแล้วสิครับ นั่งซึมอยู่อย่างนั้นแล้วก็เหมือนหมดสติ
เพราะจู่ๆสิ่งที่มองเห็น สิ่งที่ทำอยู่ก็ดับวูบไปเลย ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหลับไปตอนไหน ท่าทางคราวนี้จิตใจของผมย่ำแย่จริงๆล่ะครับ

“อืมมมม หายดีรึยางงงง หนายดูซิตัวร้อนรึเปล่า”
เสียงอู้อี้ของพี่ศรัณย์ดังอยู่ข้างๆนี่เอง
“เฮ้ย พี่ทำอะไรน่ะ”
ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นพี่ศรัณย์ล้มตัวลงนอนข้างบนเตียงผม
“พี่จาดูว่า น้องนิวตัวร้อนม๊ายยยย หนายๆ ขอจับหน่อยดิ๊ มาให้จับหน่อยมา”
มือของพี่ศรัณย์เปะป่ายไปทั่ว
“น้องไม่เป็นไรแล้ว พี่ศรัณย์ไปล้างหน้าล้างตาหน่อยดีกว่าครับ ท่าจะเมามาก”
ผมทำใจเย็นค่อยๆพูดและลุกจากเตียง
“มาวววววว ก็มาวอ่ะคร้าบบบบบ ไม่อยากล้างหน้านี่นา น้องนิวเช็ดหน้าให้พี่หน่อยนะ นะคร้าบบ”
พี่ศรัณย์ยังโอ้เอ้อยู่
“เอ่อ ก็ได้ครับ งั้นพี่ไปนอนที่เตียงพี่ไป นิวไปเอาผ้าขนหนูกับน้ำมาก่อนนะครับ”
ผมได้ทีผลุนผลันเข้าห้องน้ำไปเลย

ระหว่างที่ผมยืนใจสั่น เพราะสับสนและเริ่มรู้สึกว่าท่าทางของพี่ศรัณย์ชักจะไม่น่าไว้ใจซะแล้ว เค้าก็มาเคาะประตูเร่งเสียงดัง
ผมจึงมีเวลานึกอะไรไม่ได้มาก ต้องรีบเอาผ้าชุบน้ำแล้วออกไปเผชิญหน้ากับพี่ศรัณย์ที่ยังอยู่ในสภาพเมามายแทบยืนไม่อยู่

“พี่ศรัณย์ไปนั่งที่โซฟาแล้วกัน น้องจะตามไปเช็ดหน้าให้ครับ”
ไม่รอล่ะ ผมกึ่งลากกึ่งจูงพี่ศรัณย์ไปนั่งเอนกายที่โซฟาจนได้
ปกติพี่ศรัณย์เป็นคนผิวคล้ำแต่ก็ไม่ถึงกับดำหรอกครับด้วยว่าผิวพรรณสะอาดสะอ้านอย่างที่ผมแอบเรียกลับหลังว่า ‘ผิวลูกผู้ดี’
แต่คืนนี้พี่เค้าคงดื่มเยอะจริงๆ เพราะทั้งหน้าตาเนื้อตัวแดงจัดทีเดียวความร้อนผ่าวแผ่ซ่านออกมาจากทั้งผิวกายและลมหายใจ
ผมเดินไปซักผ้าขนหนูและชุบน้ำเย็นอีกหลายครั้งเพราะแค่วางผ้าที่เปียกหมาดๆไปที่ตัวพี่ศรัณย์ก็ทำให้ผ้าร้อนแทบจะในทันที
ตอนนี้ผู้ชายขี้เมาตรงหน้าผมหมดฤทธิ์และหลับสนิทเหมือนเด็กคออ่อนที่แอบหนีไปร่ำสุรากับเพื่อนฝูงเมื่อเมาเข้าขั้นก็หลับไป
ผมเองแทบจะยืนไม่อยู่เช่นกันสงสัยอาการไข้จะกำเริบขึ้นมาจริงๆซะแล้ว พอจะกลับไปนอนต่อผมถึงกับเดินเซไปจนแทบล้ม
พี่ศรัณย์ลุกมาจากโซฟาตอนไหนไม่รู้จู่ๆก็พุ่งเข้ามากอดผมซะแน่นในจังหวะที่ผมกำลังเดินโซเซอยู่นั่นเองจึงไม่ทันได้ระวังตัว

“พี่ศรัณย์ปล่อยนิวเถอะครับ เมามากแล้วก็ไปนอนไป นิวเหนื่อยแล้วดูแลพี่ไม่ไหวแล้วนะครับ”
ผมเบี่ยงตัวหลบ
“ม่ายอาวอ่ะ ถ้าพี่ปล่อยนิวก็หลุดมือพี่อ่าดิ ไม่ต้องทำไรแล้วน๊า พี่จะดูแลน้องนิวเองงงงงง”
พูดไปก็ซุกไซ้ไปด้วย
“แต่นิวเหม็นเหล้า ตัวพี่มีทั้งกลิ่นเหล้ากลิ่นตัว นิวจะอ้วกอยู่แล้วปล่อยซะเดี๋ยวนี้เลยนะ”
ผมสะบัดหลุดจนได้
“ก็ตัวนิวห๊อม…..หอมอ่า ขอพี่กอดอีกหน่อยนะครับน้องชายยยย”
เค้าดึงผมไปกอดอีกจนได้แถมมือไม้ก็ไม่อยู่สุขซะด้วย
“พี่จะบ้าเหรอ เรานามสกุลเดียวกันนะ สายเลือดเดียวกันก็ว่าได้”
รู้ว่าเค้าชอบผู้ชายก็ช๊อคแล้วแต่นี่เราเป็นลูกพี่ลูกน้องกันด้วย
“ไม่อยากได้บ้านคืนเหรอ”
คำนี้ทำให้ผมชะงักไปเลยจริงๆ
“แน่ะๆๆ อยากได้ใช่ม้า ก็รับข้อเสนอของพี่คืนนี้สิคร้าบบ”
ใช่ครับผมอยากได้บ้านคืนแต่อยากพ้นจากเงื้อมมือพี่เศรัณย์มากกว่า
“ข้อเสนออะไร”
ผมนึกอะไรไม่ออกแต่การพูดต่อรองเพื่อถ่วงเวลาก็น่าจะดีกว่าดิ้นรนให้เปลืองแรงเปล่า
“พี่จะเอาเงินขอพี่ให้นิวไปไถ่บ้านคืนจากพ่อพี่ แต่นิวต้องฝึกงานกะพี่จนกว่าจะเรียนจบแล้วเราก็หาเวลามาที่นี่กันบ่อยๆงายยย”
เพื่อนๆเคยได้ยินเรื่องของพวกผู้ดียุคเก่ามั้ยครับที่ชอบสมสู่กันเองน่ะ เจอเข้าจริงๆแล้วนี่ไงครับ
“แล้วพี่จะบอกลุงวิชิตว่ายังไงครับ คิดเหรอว่าถ้าเงินของพี่หายไปทีละเป็นแสนๆพ่อพี่จะไม่สงสัย”
แต่ถึงผมจะรู้สึกขยะแขยงและอนาถใจยังไง ผมต้องต่อรองให้นานที่สุดเพื่อหาทางรอด
“เรื่องนี้ม่ายมีปัญหาหรอก น่านะ ถ้านิวยอมพี่นิวจะได้บ้านคืนเร็วขึ้นแถมยังได้งานทำตั้งแต่ยังเรียนไม่จบด้วยนะ สนรึยางงง”
ผมยังไม่ได้ตอบอะไรทั้งนั้น ลีลาการซุกไซ้กอดรัดของพี่ศรัณย์ช่ำชองจนผมอ่อนปวกเปียกไปหมด แต่สมองของผมยังสั่งการอยู่
ผมจะทำอะไรบุ่มบ่ามก็ไม่ได้และไม่ว่าคืนนี้จะผ่านไปแบบไหน ผมจะยังคงทำงานที่นี่ต่อไปได้หรือ แล้วผมมีทางเลือกอะไรบ้าง
“เอ่อ พี่ศรัณย์มีถุงยางรึเปล่า”
เออได้ผลแฮะเค้านิ่งไปพักนึงแล้วส่ายหน้าไปมาแทนคำตอบว่าไม่มี
“งั้นน้องไปซื้อให้นะ”
ผมได้ทีรีบผละออกจากอ้อมแขนล่ำสันของพี่ศรัณย์ คว้ากระเป๋าตังได้ก็ชิ่งออกจากห้องทันที
พ้นออกมาด้านนอกได้ผมก็ลงไปนั่งใจหายใจคว่ำอยู่ที่Lobbyโรงแรมดูจนแน่ใจว่าเค้าไม่ตามมาก็ค่อยโล่งใจและผมก็นั่งอยู่อย่างนั้นถึงเช้า
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 02-10-2007 17:16:14
ตอนที่20
ข้อแลกเปลี่ยน

ผมกลับมาที่ห้องอีกทีตอน9โมงเช้า วันนี้เป็นวันที่เราต้องกลับกรุงเทพฯแล้ว ผมรอจนแน่ใจว่าทั้งพนักงานและแขกของโรงแรม
มีจำนวนพลุกพล่านมากพอ ผมจึงตัดสินใจเดินกลับขึ้นไปที่ห้องนอนซึ่งเพิ่งเกิดเรื่องเมื่อคืนนี้ เปิดประตูเข้าไปก็พบว่าพี่ศรัณย์
นอนหลับไหลไม่ได้สติ ผมย่องเข้าไปอย่างเงียบกริบ รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมาจัดของลงในกระเป๋าเดินทางเตรียมชิ่ง

“จะไปไหนล่ะ เก็บของเงียบเลยนะ”
พี่ศรัณย์ลุกขึ้นนั่งบนเตียงถามพลางสะบัดหน้าไล่ความมึนเมา
“น้องจะกลับละครับ ก็หมดหน้าที่แล้วนี่ครับ การสัมมนาก็เสร็จแล้ว น้องอยากกลับไปพักผ่อนที่บ้าน”
ผมไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าเค้าจะว่าอย่างไรแต่เวลานี้ผมอยากไปให้ห่างพี่ศรัณย์ที่สุด
“ไหนล่ะถุงยาง”
พี่ศรัณย์ลุงจากเตียงนอนมานั่งย่อตัวอยู่ข้างๆแล้วทวงถามผม
“อะไร ถุงยางอะไร ไม่เห็นรู้เรื่องเลย น้องกลับเลยดีกว่า เดี๋ยวต้องรวบรวมงานส่งพี่วิด้วยพรุ่งนี้ก็วันศุกร์แล้ว”
ผมรู้ว่าเป็นการแก้ตัวที่งี่เง่ามาก การทำไขสือแบบนี้คงรอดยาก แต่สมองสั่งงานไม่ทันจริงๆครับ
“ช่างเหอะ แล้วน้องนิวจะกลับยังไงครับ”
พี่ศรัณย์วิ่งมาขวางหน้าผมไว้ในขณะที่ผมกำลังกำลังจะลากกระเป๋าเดินออกไป
“ถึงน้องจะจนเป็นหนี้สินที่ติดค้างกันเป็นปีเป็นชาติ แต่น้องก็คงไม่สิ้นปัญญาถึงกับจะหาทางไปไม่ได้หรอก”
ผมเริ่มจะโมโหแล้วเหมือนกัน มันจะอะไรกับผมนักหนา
“ไม่เอาน่า พี่ว่าเราคุยกันดีๆได้นี่นา พี่บอกแล้วไงว่าพี่มีข้อเสนอ หรือมีอะไรที่น้องนิวอยากได้มากกว่านี้ก็บอกได้”
พี่ศรัณย์เดินเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นยื่นมือมาบีบไหล่ผมและออกแรงหนักขึ้นจนผมต้องปล่อยมือจากกระเป๋าที่ลากมาเมื่อครู่
“พี่ศรัณย์ก็ทราบอยู่แล้ว ถึงยังไงน้องก็ต้องหาเงินมาชดใช้ไถ่ถอนบ้านออกไปจนได้ ข้อเสนอของพี่ไม่จำเป็นเลย”
ผมจ้องหน้าของพี่ศรัณย์อีกครั้ง ผมดูท่าทางที่หายเมาของเค้าก็เบาใจว่าคงพอมีสติที่จะพูดกันรู้เรื่องกว่าเมื่อคืน
“อวดดีเกินไปแล้วนะ เรื่องแบบนี้ผู้ชายเค้าไม่ถือหรอกมีแต่ได้กับได้ โตจนขนาดนี้อย่าทำเป็นไม่เคยหน่อยเลยน่ะ”
พี่ศรัณย์ใช้น้ำเสียง ท่าทาง ที่เต็มไปด้วยความหยิ่งยะโสชนิดถอดแบบลุงวิชิตออกมาทีเดียว
“แต่นิวถือและไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องถูกต้องโดยเฉพาะเราเป็นลูกพี่ลูกน้องกนและเป็นผู้ชายเหมือนกัน”
ผมพยายามให้เหตุผลงัดข้อกับความเห็นแก่ตัวของพี่ศรัณย์ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลเลยเพราะแทนที่เค้าจะฟังบ้างก็เปล่า

พี่ศรัณย์ยังเดินเข้าใกล้ผมมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ผมถอยหลังและขัดขืนแต่เค้าก็ยิ่งออกแรงรั้งผมเค้าไปกอดรัดจนหายใจไม่ออก
“พี่ปล่อยน้องก่อนเถอะ ใจเย็นๆแล้วค่อยคุยกันอีกที เอ่อ บางที บางทีข้อเสนอของพี่ก็น่าสนใจ”
คำพูดนี้ทำให้เค้าปล่อยตัวผม
“แปลว่าจะยอมรับข้อเสนอของพี่ใช่มั่ยครับ”
เค้าก้มหน้าลงมาใกล้ผมจนได้กลิ่นลมหายใจที่มีกลิ่นเหล้าเจือจางของพี่ศรัณย์
“เดี๋ยวครับ น้องยังไม่พร้อม คือ โอ๊ยยยย น้องปวดท้องอ่ะ สงสัยท้องเสียแต่เช้า”
ว่าแล้วก็รีบชิ่งเข้าห้องน้ำไปทันที

โอ๊ย……นี่มันอะไรกันนักหนา ทำไมผมต้องเปลี่ยนห้องน้ำเป็นห้องวางแผนการเอาตัวรอดอยู่เรื่อยเลยแล้วจะเอาไงล่ะเนี่ย
แม้จะผ่านไปหลายนทีแต่ผมก็ยังคิดไม่ออกว่าควรจะเอาตัวรอดจากเรื่องนี้อย่างไร รู้ก็แต่ว่าผมไม่มีทางหลบอยู่ในนี้ได้ตลอด
เมื่อตัดสินใจแน่แล้วก็เปิดประตูออกมา ก็เห็นว่าพี่ศรัณย์เก็บข้าวของส่วนตัวลงกระเป๋าใกล้เสร็จแล้ว เอาไงของเค้าล่ะเนี่ย

“กลับกันเลยดีกว่า”
พี่ศรัณย์พูดขึ้นโยไม่ได้หันมามองผมสักนิด
“แปลว่าพี่เปลี่ยนใจเรื่องข้อเสนอแล้วใช่มั้ย น้องขอบคุณนะครับ ยังไงซะเราก็เป็นพี่น้องกันอยู่ดี มนไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
แม้จะยังไม่วางใจในท่าทีของพี่ศรัณย์นักแต่ถ้าเค้ามีจิตสำนึกและเปลี่ยนใจมันก็คงจะดี
“เปล่าครับ แต่พี่มาคิดๆดู เรื่องนี้เราน่าจะมีเวลาทำความตกลงกันนานๆ”
พี่ศรัณย์ยืดตัวขึ้นและลุกเดินมาประจันหน้าผม ยิ้มให้ผมเหมือนกำลังพูดเรื่องยั่วล้อกันเล่นไม่จริงจัง
“เชื่อเถอะเรายังต้องตกลงกันได้อีกหลายครั้ง เพราะน้องนิวยังมีเวลาทำงานเป็นผู้ช่วยของพี่อีกตั้งเดือนนึงเลยนะ”
คราวนี้รอยยิ้มของพี่ศรัณย์ดูมีเลสนัยและไม่น่าไว้ใจเลยจนนิดเดียว แต่อย่างน้อยผมก็ยังโล่งใจที่รอดพ้นเหตุการณ์เฉพาะหน้านี้ไปได้
“แล้วอีกอย่าง” พี่ศรัณย์เว้นวรรคไปนิดหนึ่งเอื้อมมือมาโอบคอผมแล้วดึงเข้าไปหาเค้าก่อนที่พี่ศรัณย์จะก้มหน้าลงมาข้างๆหูผม
แล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า “พี่เชื่อว่าเงินซื้อได้ทุกอย่างรวมทั้งศักดิ์ศรีของคนด้วย”
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 02-10-2007 17:58:03
โย่ว กำลังชีวิตทำไมมันยิ่งกว่าละครน้ำเน่าอีกอ่ะ

ต่อให้ทำดีแทบตาย คนแบบนี้ก็จะหาทางทำลายเราได้ทุกทางเช่นกัน
อยู่ห่างๆไว้แหละเป็นดี

เขาเคยคิดหรือได้ยินคำว่าพี่น้องบ้างไหม
 :a6: :a6: :a6:

งานนี้พึ่งคนที่เขารักเราจริงไม่ดีกว่าหรือ
พลาดท่าเสียทีให้พวกนี้ เจ็บไปจนวันตาย
 :m16: :m16: :m16:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 02-10-2007 21:21:39
โธ่ นิว ถ้าเป็นอย่างนี้รับข้อเสนอของเทคซะยังจะดีกว่าอีกนะ เฮ้อ... :m17:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 02-10-2007 21:48:47
ไม่ได้เข้ามาอ่านตั้งนาน มีครบทุกรสชาติเลยนะครับ
ซึ้งกับเทคจริงๆ
 o7
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 02-10-2007 22:04:35
สงสารเทค  เข้าใจนิว  :เฮ้อ:

ระวังตัวน้า  เด๋วพี่ศรันย์งาบไปก่อน เห่อ หมดกัน

ยังพอมีโอกาสมั้ย  เทคกับนิว   :m8:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: A GE ที่ 02-10-2007 22:35:40
 :m16: :m16: ทำไมพี่ศรัณย์ถึงได้ทำอย่างนี้ล่ะครับ  :a5: :a5:  ถึงจะไม่สนิทสนมกันมาแต่เด็ก  แต่คำว่าสายเลือดเดียวกันก็น่าจะทำให้คิดอะไรได้บ้างนะครับ  :angry2: :angry2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: luvdisc ที่ 03-10-2007 02:35:12
แอร๊ยยยยยยยยยยยยส พี่ศรัณย์ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด เชี่ยได้ใจมาก ช๊อบ ชอบ         :m3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: helmet ที่ 03-10-2007 21:31:23
หวัดดีคับพี่นิว

เด๋วถ้าบิวสอบเสร็จจะมาตามอ่านนะคร๊าบบ

 :a11: :a11: :a11:

ช่วงนี้ขออ่านหนังสือสอบก่อน  :a5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: jammy ที่ 03-10-2007 21:45:23
อนาจใจจังเป็นญาติกันเเท้ๆทำกันได้ :sad2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 03-10-2007 23:58:48
ตอนที่21
เงินหรือศักดิ์ศรี

ไม่ว่าเงินหรือศักดิ์ศรีต่างก็เป็นสิ่งจำเป็นของมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น เงินทำให้ชีวิตของเราอยู่รอด แต่คนเราจะมีชีวิตอยู่รอดไปทำไม
ถ้าการมีชีวิตอยู่ต่อไปของเราต้องกลายเป็นคนไร้ศักดิ์ศรี ผมเชื่อว่าศักดิ์ศรีกินไม่ได้ ทำให้ท้องอิ่มก็ไม่ได้ ปลดปล่อยความยากจน
ไปจากเราก็ไม่ได้ แน่ล่ะพูดมาแบบนี้บทสรุปของผมก็น่าจะเป็นคำพูดที่ว่า “แล้วจะนอนกอดศักดิ์ศรีจนตายไปพร้อมกันทำไม”
อย่าเพิ่งตัดสินจากความคิดในมุมนี้ของผมเท่านั้นครับ เพราะแม้ว่าศักดิ์ศรีจะไม่ทำให้เรากินอิ่มนอนหลับหรือสุขสบายขึ้นมา

แต่การใช้ชีวิตที่เคลือบด้วยเปลือกสวยหรูโดยปราศจากศักดิ์ศรีนั้น เราก็คงหาค่าอะไรไม่ได้เพราะชีวิตเราควรมีค่าไม่ใช่แค่มีราคา
ความมีค่าอยู่ในตัวเราทุกคน แต่การมีราคาเป็นสิ่งที่คนอื่นกำหนดให้เรา และเราจะยอมรับราคานั้นหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ของเราด้วย
ผมเชื่อเสมอว่าจงตีค่าตัวเองไว้อย่างพอดีเราจะได้ไม่หยิ่งผยองถือว่าเราดีกว่าใครแต่ก็อย่าตีค่าต่ำเกินไปจนไม่รู้จักเห็นค่าตัวเอง

เมื่อกลับมาถึงบ้านลุงวิชิตผมก็ขอตัวขึ้นห้องนอนอ้างว่าต้องรวบรวมและสรุปรายงานการประชุมไปส่งให้พี่วิในตอนเช้าพรุ่งนี้
คนอื่นๆก็ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติอะไร คงจะมีก็แต่พี่ศรัณย์ที่หลังจากนั้นประมาณ4ทุ่มเค้ามาเคาะห้องผมเพื่อจะคุยด้วย
ผมเดินออกมาคุยนอกห้องถามว่าเค้ามีธุระอะไร พี่ศรัณย์มาถามผมว่าเรื่องข้อเสนอที่เค้าเคยพูดไว้ ผมจะตัดสินใจอย่างไร

“เดี๋ยวพร่งนี้น้องค่อยบอกได้มั้ยครับ ตอนนี้ยังรวบรวมงานส่งพี่วิไม่เสร็จเลยครับ”
ผมบ่ายเบี่ยงเพราะยังไงก็ไม่ยอมแน่
“ทำไมคิดนานนักล่ะครับ พี่รอนานๆไม่ไหวนะน้องนิว”
พี่ศรัณย์โอบไหล่ผมลูบไล้เบาๆ
“น้องก็อยากคิดให้รอบคอบเท่านั้นครับ สำหรับพี่อาจเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับนิวมันคือเรื่องใหญ่มาก”
“ก็ได้ครับ แต่อย่าลืมว่าถ้าน้องนิวทำตามข้อตกลงของพี่ น้องจะได้ทุกอย่างที่ควรได้และได้มากกว่าที่อยากได้อีกนะ”

“ครับ” ผมหายใจเข้าลึกๆแล้วหันมายิ้มหวานๆ “แต่น้องต้องคิดก่อนว่าน้องจะได้คุ้มกับที่เสียไปมั้ยและน้องมีราคาแค่ไหน”

“ถึงกับประเมินราคาเชียว”
พี่ศรัณย์ทำท่าประหลาดใจนิดๆแล้วยิ่งก้มหน้ามาที่ซอกคอของผม “ถ้าสินค้าดีราคาเท่าไหร่พี่ก็สู้”
“เดินทางมาเหนื่อยๆ แล้วพรุ่งนี้พี่ต้องเข้าประชุมแต่เช้านี่นา ไปนอนเถอะครับ น้องจะกลับไปทำงานต่อแล้ว”
“ก็ได้ครับ พี่ดูไม่ผิดจริงๆว่าอย่างน้องนิวคงเข้าใจอะไรง่าย แล้วเรื่องนี้ก็จะมีเรารู้กันสองคน ก็คิดซะว่าพี่น้องเล่นกันนะจ๊ะ”

เมื่อแยกตัวมาจากพี่ศรัณย์ได้ ผมก็รีบเข้าห้องและล๊อกกลอนอย่างแน่นหนา เดินตรงไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งพี่ศรัณย์หามาให้
สำหรับต้องพิมพ์งานที่ได้รับมอบหมายจากพี่วิ ตอนนี้ที่หน้าจอยังมีงานค้างอยู่คือ สรุปรายงานการประชุมที่ผมจดไว้ตลอด3วัน
แต่ผมเซฟงานไว้และปิดหน้าจอลงไปก่อนเนื่องจากผมยังมีเรื่องที่ต้องพิมพ์อย่างเร่งด่วนและสำคัญมากซึ่งต้องส่งให้ทันพรุ่งนี้
ใบลาออก ของผมถูกนำไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานของลุงวิชิต โดยมีผมนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของลุงวิชิตเตรียมพร้อมจะให้เหตุผลเต็มที่

“ทำไมถึงคิดจะลาออกซะล่ะ หรือว่าลุงใช้งานเธอหนักเกินไป”
ลุงวิชิตซึ่งบัดนี้กลายเป็นคุณลุงใจดีสำหรับผมไปแล้ว
“เปล่าหรอกครับ แต่เหตุผลก็มีบอกไว้ในจดหมายลาออกอยู่แล้ว เชิญคุณลุงอ่านก่อนก็ได้ครับ”
ผมตอบอย่างสุภาพด้วยน้ำเสียงสบายๆและเป็นกันเองมากกว่าครั้งที่เจอกันแรกๆเมื่อหลายเดือนก่อน
“เอาล่ะ นั่งรอลุงซักครู่ลุงขออ่านเหตุผลของเธอก่อนนะ”
ลุงวิชิตแกะซองจดหมายออกและเริ่มอ่านไปทีละบรรทัดอย่างว่องไว
“เหตุผลของเธอ ลุงคงขัดไม่ได้ซะแล้วสิ เรื่องเกี่ยวกับอนาคตของเธอเลยนี่นา”
ลุงวิชิตวางจดหมายทับลงบนซองตรงหน้าเค้า
“ครับ ผมเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ ยังคิดว่าอยากใช้โอกาสที่คุณลุงเมตตามอบให้อย่างเต็มที่จนกว่าจะสิ้นปี”
ผมเลือกใช้ทั้งน้ำเสียง สายตา และคำพูดที่อ่อนน้อม สุภาพอย่างที่สุดเพื่อให้การลาออกครั้งนี้ส่งผลดีมากกว่าจะผิดใจกัน
“ตลอดเวลา2เดือนมานี้ ลุงเห็นเธอทำงานเอาจริงเอาจังนะ คุณวิลันดาก็บอกว่าสอนงานเธอแล้วไม่หนักใจอะไร ลุงเคยถามถึง
การสอนงานให้เธอว่าเป็นยังไง คุณวิลันดาก็ว่าสอนจนเป็นงานแล้ว นี่ถ้าเธอต้องกลับไปเรียนเค้าก็คงเสียดายเชียวล่ะ”

ลุงวิชิตพูดยิ้มๆ จะว่าไปตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ผมก็เห็นเค้ายิ้มบ่อยๆจนตอนนี้ผมไม่เกร็งไม่กลัวเหมือนมื่อครั้งก่อนๆที่เจอกันแล้วครับ
เหตุผลในการลาออกของผมซึ่งลุงวิชิตไม่อาจขัดได้ นั่นคือผมต้องไปฝึกงานสื่อสารมวลชนเพื่อขอจบตามหลักสูตรที่เรียนครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 04-10-2007 00:03:16
ตอนที่22
DJ. Generation

การลาออกของผมผ่านไปอย่างราบรื่น เนื่องจากเช้าวันที่ผมยื่นใบลาออกกับลุงวิชิตนั้น พี่ศรัณย์ติดประชุมตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง
เมื่อเสร็จธุระแล้วผมก็กลับไปเอาของใช้ที่ผมนำติดตัวมาสำหรับใช้ที่บ้านลุงวิชิตในช่วงสายวันเดียวกันและไปหาคุณหญิงน้า
ผมไม่ได้เล่ารายละเอียดจริงๆให้ใครฟังทั้งสิ้น(จะว่าไปที่จริงแล้วก็คือผมเพิ่งจะเล่าเรื่องนี้ก็ตอนที่พิมพ์เรื่องเล่านี่เองแหล่ะครับ)
หลังพ้นจากพวกผู้ดีจอมปลอมมาเสียได้สิ่งที่ต้องคิดเป็นลำดับต่อไปก็คือหางานพิเศษทำให้ได้เร็วที่สุดเพราะเหลือเวลาไม่มาก
ก็จะถึงกำหนดการจ่ายค่าไถ่บ้านให้ครบเต็มจำนวนทุกบาททุกสตางค์ แต่การหางานทำในกรุงเทพฯก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเอาซะเลย

“คุณเห็นว่าเราน่าจะลองหางานที่บ้านเรานะ ต่างจังหวัดน่าจะหางานได้ง่ายกว่า แล้วเราจะได้ไปอยู่เป็นเพื่อนนายแม่เราด้วย”
คุณหญิงน้า ให้คำปรึกษากับผมหลังจากเห็นว่าผมยังคงหางานพิเศษไม่ได้เสียทีทั้งที่ผ่านมาหลายวันแล้ว
“น้องก็ว่าอย่างนั้นครับ เพราะถึงจะหางานไม่ได้แต่ค่าใช้จ่ายก็ไม่สิ้นเปลือง อีกอย่างก็ใกล้สอบแล้วด้วยยังไม่ได้เข้าเรียนเลย”
ผมเห็นด้วย เพราะในสถานการณ์แบบนี้ถ้าได้ไปอยู่ใกล้ๆนายแม่ ได้ดูแลท่านด้วย หางานไปด้วยคงดีกว่าปล่อยท่านอยู่คนเดียว

ผมกลับมาอยู่ที่โคราชได้ไม่กี่วันก็มีประกาศทางสถานีวิทยุว่ารับสมัครผู้ที่สนใจจะฝึกงานDJ. โดยเป็นโครงการที่ทางคลื่นนี้
จัดขึ้นแบบไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่จะให้โอกาสคนฟังที่อยากเป็นนักจัดรายการวิทยุไปลองทำงานจริง ผมก็เลยตัดสินใจไปสมัครดู
แต่ปัญหาเรื่องไม่รู้ถนนหนทางของผมทำให้ต้องเรียก พี่อาร์ท กลับมาเป็นสารถีขับรถพาไปหาสถานีวิทยุแห่งนั้นในวันที่สมัคร
พี่อาร์ทเองก็กำลังวุ่นวายกับการเรียนปริญญาเอกซึ่งนับว่าเป็นปีสุดท้ายแล้วและดูท่าทางจะเครียดมากทั้งเรื่องเรียนและเรื่องงาน
แต่เค้าก็มีน้ำใจพาผมไปสมัครทดลองงาน รอรับกลับและเมื่อผมได้เข้าไปฝึกหัดงานDJ.เรียบร้อยแล้วพี่อาร์ทก็คอยรับส่งด้วย

“เป็นไงมั่งนิว ทำมาตั้งหลายวันแล้ว สนุกป่ะ พี่โคตรอยากทำเลยว่ะ”
พี่อาร์ทถามในวันหนึ่งขณะเราทานข้าวเย็นด้วยกัน
“ก็หนุกดีอ่ะพี่ ถ้าพี่อยากทำจริงๆก็ลาออกจากที่เรียนป.เอกซะเลยสิแล้วมาเป็นดีเจ”
ผมได้ทีเลยแซวซะหน่อยว่าระหว่างเป็นดอกเตอร์กับเป็นดีเจฝึกหัดจะเอาอย่างไหน
“ไอ้บ้า เรียนมาแทบตายเรื่องอะไรจะลาออกวะไอ้อ้วนนี่ พูดมาได้”
ฟังจากที่พูดดูเหมือนจะไม่ชอบใจแต่น้ำเสียงก็ยังคงแสดงว่าพี่อาร์ทล้อเล่น
“จะรู้เหรอ เห็นว่าอยากทำนี่นา ดีซะอีกไหนๆพี่ก็มารับนิวทุกวันตั้งหลายวันแล้วเนี่ยทำไมไม่มาทำงานด้วยเลยล่ะ”
ก็มันจริงนี่ครับระยะทางไม่ใช่ใกล้ๆก็ยังจะมารับ ผมบอกว่าจะกลับเองเค้าก็ไม่ยอมจะมารับผมกลับซะให้ได้

อย่างที่บอกล่ะครับพี่อาร์ทก็คงเห็นว่างานที่ผมทำสนุกและไม่ค่อยมีเรื่องให้เครียดเหมือนอย่างกับงานวิจัยของเค้าก็เลยพูดไปงั้น
พอเอาเข้าจริงก็กลับไปตั้งหน้าตั้งตาทำงานวิจัยส่งเพื่อจะได้เป็นดอกเตอร์กับเค้าซะที ส่วนผมเองก็ค่อยๆเรียนรู้งานDJ.จากพี่ๆ
แรกๆที่ผมเริ่มทำก็เหมือนเมื่อตอนทดสอบก่อนจะเข้าโครงการดีเจฝึกหัด คือให้อ่านพวกข่าวบันเทิงคั่นรายการเพลงทุกครึ่งชม.
ไม่ใช่ว่าพอเค้ารับแล้วก็จะได้เป็นดีเจทันทีหรอกนะครับ มีคนเข้าฝึกฝนรุ่นผมตั้งหลายคนก็สลับคิวกันอ่านข่าวและเกร็ดความรู้

ผมโชคดีกว่านิดหน่อยตรงที่เรียนเรื่องการเขียนข่าวมาก่อนเมื่อหาข่าวหรือเกร็ดความรู้จากเวปต่างๆได้แล้วก็เอามาสรุปอีกทีครับ
แต่สิ่งที่ยากและต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่นานเลยก็คือ การใช้เสียงสูงเสียงต่ำในการรายงานข่าวบันเทิง เพราะพี่เจ้าของสถานีเค้าไม่
ต้องการนอ่านข่าวแบบเรียบๆโดยขาดสีสัน ดังนั้นช่วงแรกๆถึงผมจะอ่านออกเสียงร.เรือและควบกล้ำได้ชัดแต่ก็แข็งทื่อเกินไป
พอจะหัดออกเสียงให้ดูหวือหวาตื่นเต้นเพื่อสร้างสีสันก็ดันพูดเร็วเกินไปรัวเกินไปจนพี่ๆดีเจเค้าบอกว่าลิ้นพันกันฟังไม่รู้เรื่องอีก

จนผ่านไปเป็นเดือนจึงเริ่มเข้าที่เข้าทางคือพูดคล่อง ชัดเจน มีลูกเล่นแต่ไม่รัวจนฟังไม่รู้เรื่อง ซึ่งกว่าจะผ่านได้เล่นเอาเกือบท้อเลย
แล้ววันหนึ่งเมื่อผมผ่านความท้อแท้มาได้ ผมก็ได้รับข่าวดีจากพี่เจี๊ยบที่เป็นทั้งเจ้านายและเจ้าของสถานีที่ผมไปฝึกงานดีเจอยู่ครับ
“สิ้นเดือนนี้พี่จะปรับผังใหม่ พอวันที่1มกราปีหน้าพี่จะให้นิวมาจัดรายการเต็มตัวแล้ว อีกแค่เดือนเดียวเตรียมตัวให้ดีนะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นแม้จะรู้สึกว่าเร็วเกินไปและหวั่นใจบ้างแต่ก็ยังน้อยกว่าตวามดีใจและตื่นเต้นที่อีกไม่นานผมก็จะได้เป็นDJ.
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 04-10-2007 00:08:44
ตอนที่23
คนรักเท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อ

เมื่อข่าวคราวที่ผมจะเข้ามาเป็นดีเจใหม่และจะได้รับเงินเดือนเทียบเท่าพนักงานประจำสถานีแพร่ออกไปด้วยความดีใจของเพื่อน
ในที่ทำงานที่ร่วมรุ่นฝึกฝนงานนักจัดรายการมาด้วยกัน ทำให้พี่ปิ๊กที่จัดรายการมาก่อนผมแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจผม

“สวัสดีครับพี่ๆ”
ผมเดินเข้ามาในสถานี้และยกมือไหว้พี่ๆที่อยู่แถวนั้นเมื่อเห็นพี่ปิ๊กเดินมาจึงยกมือไหว้เค้าด้วยแต่เค้าก็ไม่มอง
“เออ มาก็ดีแล้วล่ะเดี๋ยววันนี้พี่จะให้นิวลองจัดรายการลงเทปให้พี่ฟังก่อนนะ จะได้มาตรวจดูว่าต้องปรับหรือเพิ่มลดอะไรบ้าง”
พี่เจี๊ยบ เจ้านายของผมซึ่งเห็นท่าทางเชิดใส่ของพี่ปิ๊กแล้วก็รีบเดินมาชวนคุยเรื่องอื่นคงเห็นผมสีหน้าไม่ดีล่ะมั้งครับ
“โอเคเลยครับ แล้วพี่จะให้นิวไปดราฟเทปตอนไหนล่ะครับ”
ผมก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจท่าทีของพี่ปิ๊กแล้วคุยเรื่องงานกับพี่เจี๊ยบต่อไป
“เออ จะให้พี่แน่งน้อยไปช่วยละกัน เอาห้องซ้อม2นะ ตอนบ่ายนิวไม่มีคิวอ่านข่าวใช่ป่ะ เอาตอนนั้นแหล่ะ”
พี่เจี๊ยบกำหนดเวลาและสถานที่ไว้เบ็ดเสร็จแล้วหันไปสั่งพี่แน่งน้อยดีเจใจดีเสียงสวยทั้งในวิทยุและตัวจริง
“ได้เลยค่ะพี่ นิวกินข้าวก่อนละกันนะ พี่เลิกจัดตอนเที่ยงครึ่ง เดี๋ยวพี่ขอกินข้าวก่อน บ่ายโมงเจอกันห้องซ้อมสองเด้อ”
พี่แน่งน้อยรับคำพี่เจี๊ยบ แล้วหันมานัดแนะเวลากับผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะวิ่งกลับไปเตรียมจัดรายการต่อ

การฝึกจัดรายการในช่วงบ่ายผ่านไปด้วยความสนุกสนาน พี่แน่งน้อยสอนการเชื่อมเพลง ต่อเพลง สอนให้ดูคอร์ดเพลงเร็วและช้า
สอนให้เปิดจิงเกิ้ลเข้ารายการ และแนะนำว่าช่วงไหนมีใครเป็นสปอนเซอร์บ้างต้องจำให้ดีจะได้ไม่เปิดสปอตโฆษณาผิดตัวน่ะครับ
ซึ่งจะว่าไปก็เป็นเรื่องของความเข้าใจและอาศัยความชำนาญที่ต้องฝึกฝนไปเรื่อยๆส่วนเรื่องเพลง สปอท ก็มีในคอมฯอยู่แล้วครับ
จนกระทั่งช่วงเย็นๆที่ผมกำลังจะกลับบ้านแล้ว ผมก็ออกมานั่งรอพี่อาร์ทที่หน้าออฟฟิศตามเดิมจึงได้เจอพี่ปิ๊กที่กำลังจะเข้าไป
จัดรายการช่วง6โมงเย็น เมื่อเจอกันจังๆผมก็พยายามเลี่ยงเพราะรู้สึกว่าสายตาท่าทางที่เค้าแสดงออกต่อผมนั้นไม่ค่อยเป็นมิตร

“ทำไมเจอฉันแล้วไม่ไหว้”
นี่คือคำท้วงติงของพี่ปิ๊กทั้งๆที่เค้าเดินผ่านไปได้ซักพักแล้วถึงเดินย้อนกลับมาถามผม
“ก็นิวเห็นว่าพี่รีบๆก็เลยไม่ทันได้ทักครับ ขอโทษที”
ผมเกือบจะพูดแล้วว่าทีตอนเช้าผมไหว้ทำไมไม่รับไหว้ล่ะ
“ก็แล้วไป นึกว่าพอจะได้เป็นดีเจเลยคิดตีเสมอ ก็แค่ดีเจใหม่จะอะไรนักหนา อย่ามาอวดดีกะฉันแล้วกัน”
พี่ปิ๊กพูดลอยๆไม่ได้มองหน้าผม แต่ก็คงไม่ได้หมายถึงใครเพราะตรงนั้นก็มีแค่ผมกับเค้าเท่านั้น
“ผมไม่ได้คิดงั้นนะครับพี่ แต่ก่อนตอนผมฟังวิทยุอ่ะ ผมก็ยังนึกชอบพี่เลยว่าจัดรายการสนุกดี”
ผมบอกจากใจจริง แม้ตอนนี้จะเริ่มเสื่อมความนิยมลงไปแล้วก็เหอะ
“อ๋อ พอมาเจอจริงๆตอนนี้ก็คงไม่ชอบแล้วใช่มั้ย แหงสิ ก็คงคิดว่าจะดังเท่าฉันแล้วล่ะมั้ง ให้มันน้อยๆหน่อยนะนิว”
อ้าว ซวยเลย ไม่รู้ว่าผมพูดไม่เคลียร์หรือพี่ปิ๊กอยากหาเรื่องผมให้ได้ถึงแปลเจตนาผมไปซะคนละทาง
“ไม่ใช่อย่างนั้นครับ เพียงแต่เดี๋ยวนี้ผมมาฝึกงานไงครับ ช่วงที่พี่เริ่มจัดผมก้กลับบ้านละ แล้วพอกลับไปก็มัวแต่ดูละคร”
ผมก็พูดไปตามตรงอีกเช่นเคย เพราะเมื่อก่อนตอน6โมงเย็นถึง2ทุ่มผมก็ฟังพี่เค้าจัดรายการจริงๆหลังจากนั้นก็ไปดูละคร
“เอาเถอะ ถึงนิวไม่ฟังพี่ซักคนก็คงไม่เป็นไรหรอก คนฟังพี่ตั้งเยอะตั้งแยะ อย่างว่านะชั่วโมงบินผิดกันน่ะ”
พูดจบพี่ปิ๊กก็ยักไหล่แบบฝรั่งมังคาแสดงท่าทางว่าไม่ใส่ใจ ต่อให้ผมจะไม่ฟังเค้าจัดรายการแต่คนอื่นก็ฟังเพราะเค้าดังอยู่แล้ว
“นี่จะ6โมงแล้ว นิวไปรอพี่ที่เค้าจะมารับ ด้านนอกนะครับ สวัสดีครับ”
ผมรีบขอตัวออกจากบรรยากาศมาคุตรงนั้น และไม่ลืมยกมือไหว้พี่ปิ๊ก

เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วผมก็เล่าให้นายแม่ฟังว่าที่ทำงานใหม่ต้องเจอกับอะไรบ้าง นายแม่เองก็เป็นห่วงไม่อยากให้มีปัญหากับใคร
ผมเองก็บอกไปว่าจะพยายามเลี่ยง แล้วอีกอย่างผมก็จะพยายามอยู่ห่างๆไว้ เมื่อรู้สึกว่าเค้าไม่ชอบเราก็คงไม่เข้าไปข้องเกี่ยวด้วย
“ทำแบบนั้นมันก็ดีหรอกลูก แต่คนเราไม่เหมือนกันนะลูก น้องอาจคิดว่าต่างคนต่างทำงานก็หมดเรื่องแต่เค้าคิดแบบนี้รึเปล่า”
นายแม่ เตือนให้ผมคิดให้รอบคอบอีกครั้ง เพราะถึงจะได้ทำงานพิเศษที่ตรงกับสายที่เรียนมา และเป็นงานที่ผมชอบมากก็ตาม
แต่ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจก็ไม่อยากให้ผมต้องทนแรงกดดันจากเพื่อนร่วมงานประเถทที่ชอบข่มคนอื่นให้ด้อยกว่าตัวเค้าแบบพี่ปิ๊ก
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 04-10-2007 00:18:00
ตอนที่24
ฟ้าหลังฝน

การจ่ายเงินค่าไถ่บ้านงวดสุดท้ายเร็วกว่าที่ผมคิดเพราะคุณหญิงน้านำเงินมาให้ลุงวิชิตตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม ผมและคุณหญิงน้า
ปรึกษากันว่าเราจะไม่โอนเงินให้ลุงวิชิตทางบัญชีเหมือนที่เคยทำมางวดก่อนๆ แต่จะเอาเงินก้อนนี้ไปมอบให้ลุงวิชิตที่บ้าน
ผมล่ะซึ้งกับคำที่ว่า ‘มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่’ ก็วันนี้แหล่ะครับ เพราะหลังจากกการโอนเงิรผ่อนบ้านให้ลุงวิชิต
อย่างถูกต้อง ตรงเวลาและครบทุกจำนวนตามที่ตกลงกันไว้ แถมคราวนี้การมาขอพบลุงวิชิตของผมกับคุณหญิงน้ายังมาพร้อม
กับเงินจำนวนไม่ใช่น้อย ดังนั้นท่าทีและการต้อนรับของลุงวิชิตจึงแตกต่างจากวันแรกเมื่อหลายเดือนก่อนที่เราเคยมาขอเข้าพบ
ครั้งนี้ลุงวิชิตออกมานั่งรถที่ระเบียงบ้านคอยการมาถึงจของผมและคุณหญิงน้า โดยไม่ต้องให้แม่แป้นสาวใช้คอยไปเชิญมาพบ

“มากันแต่เช้าเลยนะครับคุณหญิง ไม่ต้องกลัวหรอกครับถ้าเงินครบยังไงผมก็ไม่ผิดคำพูดแน่”
ลุงวิชิตถามหลังจากจิบกาแฟในแก้วไปเพียงเล็กน้อย
“ดิฉันเห็นว่าคุณวิชิตว่างช่วงเช้าก็เลยอยากจัดการธุระให้เสร็จเร็วหน่อยน่ะค่ะเพราะนี่ก็ลางานมาแค่ครึ่งวัน”
คุณหญิงน้าออกตัวเพื่อรักษามารยาทแต่ความจริงแล้วเพราะเราสองคนน้าหลานไม่อยากยืดเยื้อกับคนบ้านนี้ต่างหาก
“งั้นก็ดีครับ ถึงยังไงก็ต้องเคลียร์กันที่เงินก้อนสุดท้ายนี้อยู่แล้ว ไม่ทราบว่าจะจ่ายเป็นเชคหรือเงินสดล่ะครับ”
สุดท้ายลุงวิชิตก็เป็นคนที่วกกลับเข้าเรื่องซะเอง
“เงินสดค่ะ ตั้งใจว่าจะให้คุณวิชิตถือเงินสดไว้เลยจะได้อุ่นใจว่าทางเราไม่บิดพลิ้วแน่นอน”
คุณหญิงน้าบอกผมล่วงหน้าว่ากันพลาดเอาไปให้เองเลยจะได้นัดวันโอนที่คืนด้วยน่ะครับ
“ผมว่าคุณหญิงไม่ไว้ใจผมมากกว่ามั้ง คงคิดว่าถ้าโอนเงินงวดสุดท้ายมาแล้วผมจะแกล้งลืมแล้วไม่โอนบ้านคืนให้”
แววตาและน้ำเสียงของลุงวิชิตแสดงความรู้ทันอย่างออกนอกหน้า แต่ถ้าจริงแล้วจะทำไมในเมื่อเอาเงินมาให้ไม่ได้มาขอเงินนี่

“แหม คุณลุงรอบคอบเสมอเลยนะครับ น้องก็บอกคุณหญิงน้าแล้ว่าถ้าทำอย่างนี้คุณลุงอาจเข้าใจผิดได้แต่เราก็ถือว่าเราจริงใจ”
ผมรีบขัดขึ้นเพื่อแก้สถานการณ์ เพราะท่าทางคุณหญิงน้าก็ใช่จะยอมให้ลูบคมได้ง่ายๆ
“ไอ้เจ้าคนนี้ฉลาดนัก ช่างไกล่เกลี่ยได้ดีนี่ เอาเถอะถือว่าลุงพูดเล่นก็แล้วกันนะนิว แล้วเธอหางานได้รึยังเนี่ย”
เค้าว่ากันว่าคนมีเงินน่ะจะพูดจาจะหัวเราะก็เสียงดังกว่าคนทั่วไปเห็นจะจริงครับ เสียงลุงวิชิตลั่นคับบ้านเชียวล่ะตอนนี้
“หาได้แล้วครับ โชคดีที่ไปลองเทสงานดีเจแล้วผ่าน ก้เลยให้ลองงานไปเรื่อยๆ แต่ยังไม่ได้เงินเดือนนะครับ”
“อ้าว แล้วจะคุ้มเหรอ ระวังจะโดนเค้าหลอกให้ทำงานให้ฟรีนะ แต่ก็เป็นการฝึกงานเพื่อขอจบด้วยนี่ก็ต้องทำสินะ”
เกือบแล้วมั้ยล่ะครับ เพราะตอนที่ผมจะลาออกน่ะผมบอกว่าจะไปฝึกงานสื่อสารมวลชนเพื่อขอจบแต่จริงๆแล้วไม่ใช่หรอกครับ
“เอ่อ อ่ะครับ ใช่เลยครับ น้องเองก็อยากได้งานที่มีเงินมาช่วยคุณน้าผ่อนบ้านให้คุณลุงแต่ตอนนี้เรื่องเรียนจบสำคัญที่สุดครับ”
“เอาอย่างนี้สิ พอเรียนจบก็โทรศัพท์มาหาลุงนะ ลุงจะดูตำแหน่งว่างๆที่บริษัทไว้ให้ แล้วเราจะได้มาทำงานด้วยกันอีก”

ลุงวิชิตเอ่ยปากชวนด้วยน้ำเสียงจริงใจ แสดงว่าช่วงที่ผมมาทำงานที่นี่ถือว่าผ่านการประเมินสินะแอบภูมิใจนะเนี่ย

“แต่น้องเรียนจบด้านสื่อสารฯมานะครับ คงหาตำแหน่งในบริษัทคุณลุงยากซักหน่อยมั้งครับน่าจะรับคนที่จบมาโดยตรง”
ผมปฏิเสธให้ดูเหมือนเกรงใจเสียเต็มประดาทั้งที่ความจริงแล้วผมปฎิเสธด้วยเหตุผลอื่นต่างหากล่ะ
“ลืมแล้วเหรอว่าเราเป็นญาติกัน พ่อเธอก็เป็นน้องชายแท้ๆของลุง ทำไมแค่นี้ลุงจะช่วยหลานชายไม่ได้ล่ะ จริงมั้ยคุณหญิง”
ลุงวิชิตหันไปขอความเห็นจากคุณหญิงน้า ผมนึกในใจว่าตอนนี้ผมพ้นสภาพลูกหนี้แล้วน่ะสิถึงมาเห็นผมเป็นญาติ
“ก็คงต้องรอให้หลานเรียนจบก่อนน่ะค่ะคุณวิชิต ตอนนี้แค่ให้เค้าเรียนจบได้ดิฉันก็สบายใจแล้ว”
คุณหญิงน้าไม่ตอบรับหรือบ่ายเบี่ยง แต่ก็ให้คำตอบที่ทุกฝ่ายสบายใจ
“อะไรกันคุณหญิง หลานชายออกจะตั้งใจเรียน ผมล่ะนับถือน้ำใจเด็กจริงๆ ตัวแค่นี้ก็กล้าออกหน้ารับผิดชอบปัญหาใหญ่ๆ
ทั้งที่ตอนปัญหามันมีขึ้นมาน่ะ เจ้าหลานชายยังเล็กอยู่เลย ใครจะนึกนะคุณหญิงว่าปัญหาของคนรุ่นก่อนต้องพึ่งพาคนรุ่นนี้”

ผมนั่งฟังประโยคชื่นชมของลุงวิชิตด้วยความไม่แน่ใจว่าเค้าจริงใจรึเปล่า แต่อย่างน้อยผมก็รู้สึกว่าไม่มีความนัยแฝงเร้น

“น้องต้องกราบขอบพระคุณคุณลุงมากๆเลยครับ” ผมยกมือไหว้และก้มลงกราบไปที่ตักของลุงวิชิตตามที่เตรียมการมา
“เพราะต่อให้น้องมีเงินทองมากมายมาคืนให้คุณลุง แต่คุณลุงไม่ให้โอกาสไม่เชื่อถือคำพูดของน้อง น้องก็คงทำอะไรไม่ได้เลย
ขอบพระคุณอย่างที่สุดที่ยังเชื่อในเกียรติอันน้อยนิดของน้อง ถ้าคุณลุงไม่ให้โอกาสแต่แรกน้องคงทำความตั้งใจนี้ไม่สำเร็จแน่”

ขณะที่พูดอยู่นี้ผมก็ลอบมองสีหน้าของ ลุงวิชิต ไปด้วยเห็นแววตากับท่าทีที่อ่อนโยนลงบ้างแล้วก็ค่อยสบายใจหน่อย
“ลุงเองก็เกือบจะตัดโอกาสที่จะได้รู้ว่าตระกูลของเรายังมีคนใจเด็ดและรักษาเกียรติอย่างเธอ ต่อไปเราจะเป็นญาติที่ดีต่อกันนะ”
หลังจากการเล่นละครของผมจบลง ผมก็ยืดตัวตรงและขอนัดหมายวันที่จะไปโอนบ้านซึ่งลุงวิชิตก็ตกลงโดยดีไม่มีท่าทีบิดพลิ้วให้เห็น
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 04-10-2007 00:26:38
ตอนที่25
พี่ศรัณย์

ถัดจากนั้นเพียงสามวัน ลุงวิชิตและคุณป้าสมร ก็เดินทางมายังจังหวัดที่ผมอยู่เพื่อโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านหลังนี้คืนให้ผม
งานนี้คุณหญิงน้าไม่ได้เดินทางมาด้วยเนื่องจากเชื่อใจผมแล้วว่าผมจะจัดการเรื่องทุกอย่างให้สำเร็จได้อย่างไม่มีปัญหาแน่นอน
คุณหญิงน้าเตรียมเงินจำนวนหนึ่งให้ผมติดตัวไว้เพื่อใช้เป็นค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้กับกรมที่ดินตามขนาดพื้นที่ของตัวบ้าน

แต่การณ์กลับเป็นว่าลุงวิชิตจะออกค่าใช้จ่ายส่วนนิ้แทนให้ทั้งหมด เพื่อเป็นการแสดงน้ำใจให้กับผมในฐานะที่เราเป็นญาติกัน
สำหรับนายแม่และพี่ชายนั้นไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย โดยให้เหตุผลว่าในเมื่อผมเป็นคนจัดการปัญหานี้จนสำเร็จลงได้ก็ยกสิทธิ์ขาด
เรื่องโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งหมดของบ้านหลังนี้ให้ผมเป็นคนจัดการ รวมทั้งสิทธิ์ในการบริหารจัดการบ้านหลังนี้ด้วยเช่นกัน
ฉะนั้นเมื่อผมลงชื่อเป็นผู้ซื้อบ้านแล้ว ฐานะเจ้าของคนใหม่แห่ง ‘บ้านนพรัตน์’ จึงคืนมาเป็นของผมโดยสมบูรณ์แต่เพียงผู้เดียว

“นี่ก็เที่ยงแล้วนะ หาอะไรทานกันก่อนดีมั้ยลูก”
ป้าสมรถามขึ้นหลังจากที่พวกเราทั้งสามเดินลงมาจากอาคารของกรมที่ดิน
“เดี๋ยวรอตาศรัณย์ก่อนสิคุณ จะได้ไปทานซะพร้อมๆกัน”
ลุงวิชิตพูดถึงลูกชายคนเล็กของเค้าเป็นครั้งแรกตั้งแต่เจอกันวันนี้
“พี่ศรัณย์มาด้วยเหรอครับคุณลุง”
ผมถามด้วยความแปลกใจและตกใจปนกัน เพราะต้งแต่ลาออกก็ไม่ได้เจอพี่ศรัณย์อีกเลย
“ลุงขับรถไม่ไหวแล้วลูก ก็เลยให้พี่เค้าขับรถมาให้ทีแรกก็อิดออดแต่พอรู้ว่าจะมาโอนที่ให้เธอ พี่ศรัณย์ก็เลยยอมมา”
“เพื่ออะไร” ผมเผลอหลุดปากออกมา “ก็คงเห็นว่ามาทำธุระให้ญาติพี่น้องน่ะก็เลยขับมาส่งลุง นัดกันเที่ยงๆเดี๋ยวคงมา”
ลุงวิชิตให้คำตอบกับผมทั้งที่ผมก็หลุดปากไปอย่างนั้นเอง แล้วซักพักพี่ศรัณย์ก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดใกล้ๆกับจุดที่พวกเรายืนอยู่

“มีร้านอาหารอร่อยๆแนะนำมั้ยครับน้องนิว”
พี่ศรัณย์ถามขณะที่พวกเราอยู่บนรถเตรียมจะไปหาที่ทานอาหารกลางวัน
“อาหารอร่อยน่ะหาไม่ยากหรอกครับ แต่ผมไม่ใช่คนฟุ่มเฟือยยิ่งต้องใช้หนี้ใช้สินด้วยแล้วก็ไม่มีโอกาสไปร้านอาหารหรอก”
“อะไรกัน แค่ร้านอาหารอร่อยๆจะสิ้นเปลืองซักเท่าไหร่ใช่มั้ยครับคุณพ่อ”
พี่ศรัณย์หันไปถามลุงวิชิตที่นั่งเบาะหน้าข้างคนขับ
“ศรัณย์ก็อย่าเรื่องมากน่ะลูก น้องเค้ารู้จักใช้เงินก็ดีแล้ว ใครจะช่างเสาะหาที่กินที่เที่ยวได้อย่างลูกล่ะ” ลุงวิชิตปรามลูกชาย
“แม่ก็เห็นด้วยกับที่น้องนิวพูด ถึงไม่เป็นหนี้เป็นสินก็ควรกินอยู่แบบพอดี ไม่สิ้นเปลืองน่ะถูกแล้วจ้ะ” ป้าสมรหันมายิ้มให้ผม
“แหม คุณพ่อคุณแม่ พอเจอหลานรักเข้าหน่อยก็ถล่มลูกเลยนะ ลูกก็แค่อยากให้น้องนิวเป็นไกด์พาไปทานอาหารน่ะครับ”
ปากพี่ศรัณย์ก็พูดทำนองน้อยใจลุงวิชิตกับป้าสมรไปอย่างนั้น แต่สายตาลามกที่มองมาทางกระจกหลังสิครับที่ผมขนลุก
“งั้นน้องจะพาไปทานร้านอาหารตามสั่งละกันครับ อาหารอร่อยแต่คงต้องทนร้อนทนควันและกลิ่นผัดกับข้าวนะครับ”
“เอาเลยลูก เธอพาลุงกับป้าไปทานร้านนี้แหล่ะ ลุงก็ชอบทานอะไรง่ายๆอยู่แล้ว นะคุณสมรนะ” ลุงวิชิตช่วยตัดสินใจ
“ค่ะคุณ งานนี้ก็ต้องแล้วแต่คนนำทางล่ะค่ะ นะนิวนะ” ป้าสมรรับคำแล้วหันมาพยักหน้ากับผม

ผมบอกเส้นทางให้พี่ศรัณย์ขับรถไปจนถึงร้านอาหารตามสั่ง ซึ่งเป็นร้านที่ขายริมถนน เจ้าของร้านจะหันหน้าร้านมาด้านนอก
ทั้งตู้กระจกสำหรับวางสิ่งของที่ต้องใช้ประกอบอาหาร เครื่องครัว เตาแก้ส ก็จะอยู่ด้านหน้าร้านทั้งหมด มีโต๊ะให้นั่งด้านใน
เมื่อได้ที่นั่งแล้วผมก็ถามว่าแต่ละคนจะทานอะไรกันบ้าง ลุงวิชิตและป้าสมรมีท่าทีสบายๆอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะทนสภาพร้านได้
แต่พี่ศรัณย์น่ะสิครับ นั่งยุกยิกๆเหมือนกับว่าผมพาไปนั่งในดงหมามุ่ยอย่างนั้นล่ะ ช่วยไม่ได้ก็ร้านนี้อร่อยจริงๆนี่แต่ว่าไม่หรูหรา
เมื่อทานอาหารกันเสร็จแล้ว พี่ศรัณย์อาสาไปส่งผมที่บ้านก่อนที่จะพาลุงวิชิตและป้าสมรกลับกรุงเทพ เพราะยังไงก็เป็นทางผ่าน
ผมบอกไปแล้วว่าไม่ต้องไปส่งเพราะผมมีนัดกับเพื่อน แต่บังเอิญว่าลุงวิชิตอยากไปกราบกระดูกคุณย่าที่มาเก็บไว้ที่วัดในโคราช
ลุงวิชิตบอกให้พี่ศรัณย์ไปส่งเค้าและป้าสมรที่วัดก่อนจะได้ถือโอกาสพาลูกชายเค้าไปกราบกระดูกคุณย่าด้วยเพราะนานๆจะมานี่
ผมเองก็ต้องติดรถไปด้วยเพื่อพาครอบครัวของลุงวิชิตไปให้ถึงที่เก็บกระดูกคุณย่า ซึ่งนายแม่มาเปลี่ยนที่ไว้เมื่อต้นปีนี่เองน่ะครับ

“งั้นน้องขอตัวก่อนนะครับ” ผมรีบหาทางเลี่ยงออกจากครอบครัวนี้ให้เร็วที่สุด
“เอาไว้เจอกันใหม่นะลูก ว่างๆแวะไปหาป้ากับลุงมั่งนะจ๊ะ”
ป้าสมรรับไหว้ผมแล้วเดินเข้ามากอด ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมป้าสมรถึงเมตตาผมนักแต่ผมก็รู้สึกดีนะครับ
“ฝากบอกนายแม่เธอด้วยนะว่าลุงไม่ได้แวะไปหา เอาไว้มีเวลาจะมาเยี่ยมเยียนกันใหม่นะ”
ลุงวิชิตเองก็เดินมาตบบ่าผมเบาๆ ก่อนจะฝากความไปถึงนายแม่ 
“ลูกอยากไปซื้อของที่ห้าง เดี๋ยวลูกไปกับน้องนิวนะครับแล้วจะกลับมารับที่นี่พี่ไปด้วยคนนะ”
เมื่อเจอมุขหน้าด้านขนาดนี้ผมก็จนปัญญาเหมือนกัน เลยต้องยอมให้พี่ศรัณย์มาส่งที่ห้างสรรพสินค้าตามที่ผมอ้างว่านัดเพื่อนไว้
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: Serendipity ที่ 04-10-2007 01:25:59
แล้วพีนิวจะทำยังไงต่อไปล่ะคับเนี่ย
มาต่อเร็วๆนะคับ^^
 :m13: :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: jammy ที่ 04-10-2007 12:54:24
ยังไม่เลิกหวังเเฮะไอ้นี่ :m16:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 04-10-2007 15:00:19
 :m26: อยากอ่านตอนต่อไปเร็วๆจัง
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 04-10-2007 18:21:16
ดีใจด้วยนะครับ ในที่สุดก้อทำสำเร็จ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 04-10-2007 22:51:58
ตอนที่26
คนพาล

ผมพาพี่ศรัณย์มาห้างสรรพสินค้าที่อยู่คู่จังหวัดผมมานาน แทนการจะพาไปที่ห้างใหญ่อย่างเดอะมอลล์เพราะคิดว่าถ้าพี่ศรัณย์มา
เจอห้างสรรพสินค้าเล็กๆมีของให้เลืกไม่มากนักพี่ศรัณย์จะได้กลับไปหาพ่อแม่เค้าซะทีไม่ต้องตามติดเป็นเงาตามตัวผมอยู่อย่างนี้

“พี่ศรัณย์จะไปซื้ออะไรก็ตามสบายนะครับ ผมจะแยกไปก่อน ป่านนี้เพื่อนคงมาแล้ว”
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าผมไม่ได้นัดใครไว้ทั้งนั้นแต่ก็เป็นข้ออ้างเดียวที่ผมน่าจะหลุดไปจากการตามติดของพี่ศรัณย์
“อืม พี่ก็ว่าจะเดินดูของไปเรื่อยๆนะ อีกซักพักค่อยกลับไปรับคุณพ่อคุณแม่น่ะครับ น้องนิวไปเดินกับพี่หน่อยสิ”
พี่ศรัณย์ยังคงจะยื้อผมไว้ให้อยู่กับเค้าต่อทั้งที่ผมก็บอกแสดงออกขัดเจนว่าไม่อยากอยู่ใกล้เค้า
“แต่ผมรีบ ไม่อยากให้เพื่อนรอนานนี่ก็บ่ายโมงกว่าแล้วด้วย ขอตัวนะครับ”
ผมเสียงแข็งด้วยความไม่พอใจและไม่เห็นว่าจะต้องรักษาน้ำใจกันอีกต่อไป
“แต่พี่ไม่รีบ งั้นพี่ไปด้วยละกน ให้แน่ใจว่าน้องนิวเจอเพื่อนแล้วพี่ค่อยไปซื้อของก็ได้”
โห....ไอ้หน้าด้าน ถ้าผมไม่อายคนแถวนั้นคำๆนี้จะต้องหลุดจากปากผมเข้าหูพี่ศรัณย์แน่ๆ
“พี่จะตามไปคุมผมรึไง อย่าลืมสิว่าผมไม่ใช่ลูกน้องและไม่ใช่ลูกหนี้ของพี่แล้วนะ”
ผมเริ่มโมโหจนไม่เก็บคำพูดแล้วครับ นั่นแหล่ะครับโกรธสุดก็ด่าได้เท่านี้
“อ้อ ไม่ต้องย้ำหรอก ทำไมล่ะพอไม่ต้องกราบกรานคุณพ่อพี่แล้วก็เลยจองหองใส่พี่เหรอ”
พี่ศรัณย์เสียงเข้มใส่ผม ท่าทีโอหังแบบนี้แหล่ะที่ถอดแบบลุงวิชิตมาทุกกระเบียด
“ผมไปหาเพื่อนดีกว่า”

ผมเดินหนีแต่พี่ศรัณย์ก็เดินตาม ผมไม่รู้จะไปไหนดีเลยขึ้นไปนั่งชั้น5ที่เป็นโซน Fast Food
ผมขึ้นมานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของชั้นขายอาหารประมาณ15นาทีแล้วครับ ตอนนี้ฝั่งตรงข้ามผมมีพี่ศรัณย์นั่งจ้องหน้าผมไม่วางตา
แม้ผมจะแสร้งหันไปหันมาเหมือนกับว่ากระวนกระวายใจรอคอยเพื่อนที่นัดไว้ แต่ก็ต้องชะงักเพราะสายตาของพี่ศรัณย์ทุกทีสิ

“ไหนล่ะเพื่อนน้องนิว พี่ว่ารอตั้งนานแล้วนะ รู้งี้ไปเดินซื้อของกับพี่ซะก็สิ้นเรื่อง”
พี่ศรัณย์หมุนนาฬิกาข้อมือดูอีกครั้งสองครั้ง
“ผมลองโทร.หาเพื่อนอีกทีดีกว่า เผื่อกำลังเดินทางมา”
ผมลุกขึ้นแกล้งเดินไปหาตู้โทรศัพท์ แต่พี่ศรัณย์ท้วงว่าทำไมไม่ใช้มือถือ
“หรือว่าความจริงน้องนิวไม่ได้นัดใครแต่ไม่อยากเจอพี่ก็เลยโกหกเพื่อจะชิ่ง รังเกียจพี่มากรึไง”
เออ...ฉลาดซะทีก็ดีเหมือนกันแต่ผมก็สะดุ้งสุดตัวเพราะท้ายประโยคเสียงพี่ศรัณย์ดังขึ้น
“แล้วผมจะนัดกับใครหรือไม่นัดใครเลย มันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วย”
เอาสิ! เป็นไงเป็นกัน ผมก็เดือดเหมือนกัน ยุ่งอะไรกับชีวิตกูนักวะ
“ทำไมพูดจาห่างเหินแบบนั้นล่ะน้องชาย ลืมแล้วเหรอว่าเราเคยอยู่ห้องเดียวกันตั้ง3วัน3คืน”
นอกจากจะใช้วาจาที่จาบจ้วงด้วยน้ำเสียงจองหองไม่เคยเปลี่ยนแล้วยังคงโลมเลียผมด้วยสายตา
“อยู่แล้วทำไม ในเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นซักนิดอย่าคิดว่าจะไซโคกันหน่อยเลยน่ะ”
ผมเถียงเพราะผมรู้ว่าผมมีสิทธิ์ปกป้องตัวเอง
“แล้วนึกว่าคนอื่นจะเชื่อมั้ยล่ะ”
พี่ศรัณย์ยิ้มเจ้าเล่ห์ใช้ข้อศอกเท้าโต๊ะแล้วยื่นหน้ามาหาผม
“หมายความว่ายังไง”
ผมถามกลับ และเริ่มหวั่นใจว่าคนพาลอย่างนี้คงทำได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหน
“แค่พี่บอกใครๆว่านิวมาทำงานพิเศษอย่างอื่นนอกจากงานที่บริษัทและงานพิเศษที่ว่าก็คืองานที่นิวต้องตามพี่ไปที่ชะอำ”
พี่ศรัณย์ เอามือลูบใต้คางของเค้าไปมา และเหล่ตามองผมอย่างไว้เชิง
“หุบปากเลยนะ คิดเหรอว่าพ่อกับแม่ของคุณจะยอมรับได้ถ้ารู้ว่าลูกชายเป็นเกย์ คงไม่ง่ายนักหรอกที่คุณจะไปเสียชื่อไปด้วย”
“พี่ไม่โง่หรอก แค่พี่บอกว่าน้องนิวมากับพี่ก็จริงแต่ไปค้างกับใครก็ไม่รู้ตั้ง3วันจนหาเงินมาใช้หนี้คุณพ่อพี่ได้เร็วก่อนถึงกำหนด
นิวลองคิดดูสิว่าใครกันแน่ที่จะรับไม่ได้ เออ แล้วอย่าลืมคิดเผื่อด้วยนะว่านายแม่กับคุณหญิงน้าของนิวน่ะใครจะช๊อคกว่ากัน”

พี่ศรัณย์ เยาะเย้ยผมด้วยคำพูดทุกถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความลำพองใจ ทั้งยังอวดดี ผมน้ำตาร่วงด้วยความโกรธและคับแค้นใจ

ไม่ใช่ว่าผมกลัวคำขู่ของเค้า ไม่ใช่ว่าผมจะสนใจความคิดสกปรกนั่น แต่เพราะผมชิงชังเศษมนุษย์ที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมนี่ต่างหาก
“นี่น่ะเหรอสายเลือดผู้ดี ตีราคาคนเป็นเงินก็ทำได้ ป้ายสีสาดโคลนอย่างไม่รู้จักอาย ต่ำทรามจนน่าเสียดายสายเลือด”
ผมด่าออกไปเบาๆเพราะไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน แต่เน้นทุกๆก็คำหวังจะให้เค้าได้ยินให้ชัดเจน
“หึหึหึ ถึงจะด่าอีกแค่ไหนก็คงไม่ทำให้เงินในบัญชีพี่ลดลงได้หรอก แล้วเงินที่พี่มีนี้แหล่ะที่จะซื้อนิวได้ ยกเว้นจะติดใจให้กินฟรี”
แย่แล้วครับ คราวนี้พี่ศรัณย์ท่าทางจะโมโหผมจริงๆถึงกับลุกขึ้นมากระชากแขนผมที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“เลิกดูถูกคนที่เค้าจนกว่าซะทีเถอะ แล้วถ้าผมจะต้องขายให้พี่ สู้ให้คนอื่นกินฟรีดีกว่า”
“ปากดีเหลือเกินนะ อยากรู้นักว่าถ้าเอาไอ้นั่นอุดปากจะติดใจจนดูดไม่เลิกรึเปล่าจ๊ะน้องรัก”

พี่ศรัณย์ฉุดผมให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วดึงตัวผมเข้าไปใกล้เพื่อให้ผมได้ฟังประโยคชั่วชาติเมื่อครู่นี้

“เดนมนุษย์ชัดๆ”
ผมหันไปจ้องหน้าอย่างเอาเรื่องและคิดจะสู้ไม่ถอย
“เดนมนุษย์เหรอ มานี่เลยมา”
พี่ศรัณย์รั้งผมไปโอบไว้แน่นกว่าเดิมพร้อมกับลากตัวผมให้เดินตามไปกับเค้า
“จะทำอะไรนี่มันในห้างนะ”
ผมตกใจแต่ไม่กล้าโวยวาย พี่ศรัณย์ยิ่งได้ใจโอบผมและบีบหัวไหล่จนตัวผมชิดติดพี่ศรัณย์มากขึ้น
“ในห้างสิยิ่งดีไม่ต้องเสียค่าโรงแรม”
พี่ศรัณย์ก้มมากระซิบที่ข้างหูผมแล้วสูดกลิ่นน้ำหอมที่ซอกคอของผมด้วยท่าทีสุดหื่นกาม
“ไอ้ทุเรศ สมสู่กับพี่กับน้องตัวเองก็ได้งั้นเหรอ”
ผมด่าหยาบที่สุดเท่าที่จะคิดได้ ทั้งที่ยังสลัดอ้อมกอดของพี่ศรัณย์ไม่ได้ซักที

“สมสู่กันเองนี่แหล่ะดีนัก เลือดจะได้เข้มข้นไม่มีเลือดไพร่มาเจือให้จาง อีกอย่างจะได้ไม่มีใครปากสว่างฟ้องกันเองให้ใครรู้ไง”
พี่ศรัณย์ยังคงโอบไหล่ผมไว้แน่นและพูดจาน่ารังเกียจมากขึ้นไปอีก จนมาถึงหน้าประตูห้องน้ำชายซึ่งแทบจะไม่มีใครเดินผ่าน
“เข้าไป”
พี่ศรัณย์ดันตัวผมเพื่อเปิดประตูห้องน้ำ
แต่ผมไม่ยอมพี่ศรัณย์ผลักผมอีกครั้งผมก็เลยกระแทกเข่าใส่เป้ากางเกงพี่ศรัณย์ ได้ผลครับเค้าลงไปกองอยู่ที่พื้น
จากหน้าตาหื่นกามเมื่อครู่กลับบิดเบี้ยวเขียวคล้ำ คงจุกจนพูดไม่ออกแล้วล่ะครับ “สมน้ำหน้า”
ผมวิ่งหนีจากตรงนั้นแต่ยังไปไม่พ้นทางเดินแคบๆแถวนั้นเลยครับพอหันไปอีกทีก็เห็นพี่ศรัณย์วิ่งตามมาจนเกือบจะทันอยู่แล้ว
“นิวจะวิ่งไปไหน” มือแข็งแรงของผู้ชายคนหนึ่งคว้าข้อศอกผมไว้และถามผมด้วยเสียงห้าวๆผมหันไปมองถึงรู้ว่าเป็นพี่อาร์ท
ผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นมากทีเดียวเมื่อพี่ศรัณย์มาถึงผมเห็นว่าจวนตัวแล้วก็เลยพูดไปว่า “คนนี้ชื่อพี่อาร์ทเป็นแฟนผมรู้จักกันไว้ซะสิ”
พีศรัณย์ยืนอึ้งไปเล็กน้อย แต่พอเห็นพี่อาร์ทที่สวมบทบาทได้อย่างรวดเร็วทำท่าจะชกโครมเข้าให้เท่านั้นแหล่ะ พี่ศรัณย์ก็โกยแทบไม่ทัน
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 04-10-2007 23:09:04
ตอนที่27
ความในใจ

พี่ศรัณย์ทำหน้างงนิดหน่อยที่จู่ๆผมก็มีแฟนโผล่ขึ้นมาเป้นตัวเป็นตน แต่นั่นก็ทำให้เค้ายอมเดินจากไปโดยไม่ต้องพูดอะไรกันอีก
เมื่อหันกลับมาเห็นหน้าพี่อาร์ทยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก ผมก็เลยบอกว่าช่วยพาผมไปจากที่นี่ก่อนหาที่นั่งคุยกันแล้วจะเล่าให้ฟัง

“นิวขอโทษนะที่เอาพี่ไปอ้างแบบนั้น แต่ก็อยากที่นิวเล่ามาทั้งหมดแหล่ะ นิวก็เพิ่งเจอเกย์หื่นๆแบบนี้ไม่รู้จะหาทางออกไหน”
ผมอธิบายยืดยาวจนมาสรุปที่คำขอโทษซึ่งผมไม่รู้ว่าพี่อาร์ทจะคิดยังไงที่จู่ๆก็ถูกผมเอาไปแอบอ้างว่าเป็นแฟนทั้งที่เค้าไม่ใช่เกย์
“เออ ดีแล้วล่ะถ้าคิดอะไรไม่ออกจะบอกไปแบบนั้นก็ได้ เฮ้อ โชคดีนะเว่ยที่มาเจอพี่ไม่งั้นจะทำไงเนี่ยเจ้าอ้วน” พี่อาร์ทลูบหัว
“กลัวพี่จะเสียหายอ่ะดิ อยู่ดีไม่ว่าดีดันเดินเข้ามาเป็นคู่เกย์ของนิวไปได้”
ผมยังเกรงใจอยู่ดีที่ทำให้เค้าต้องมารับสมอ้างไปด้วย
“พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่หว่า ดีซะอีกลองเป็นเกย์ดูซักวันก็ไม่เสียหายอะไรใช่ป่ะ”
พี่อาร์ทพูดทีเล่นทีจริงแต่ก็ทำให้ผมอึ้งเล็กน้อย
“อย่าพูดกำกวมได้ป่ะ”
ผมเหล่ตาแสดงท่าจับพิรุธอย่างเห็นได้ชัด “เฮ้ย อย่าขี้สงสัยเด่ะ เออ พี่ไปเอาน้ำมาให้นะมาตั้งนานละ”
พี่อาร์ทไม่ตอบคำถามของผม แต่ลุกขึ้นเดินไปรินน้ำใส่แก้วมาให้ตามหน้าที่เจ้าของบ้านที่ดี ใช่ครับตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านพี่อาร์ท

หลังจากที่ผมขอให้พี่อาร์ทพาออกจากห้างฯแห่งนั้น พี่อาร์ทก็ตั้งใจว่าจะไปส่งผมที่บ้านน่ะแหล่ะแต่เค้าต้องแวะเอาของที่บ้านแม่
พอมาถึงที่บ้านแม่พี่อาร์ทคนข้างบ้านบอกว่าแม่พี่อาร์ทออกไปข้างนอกผมก็เลยเล่ารายละเอียดต่างๆในระหว่างที่นั่งรอด้วยกัน
เมื่อเล่าเรื่องที่คับข้องใจให้พี่อาร์ทฟังจนหมดแล้วก็ถามเค้าว่าช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้างเพราะพี่อาร์ทก็ดูเครียดๆไม่เหมือนที่ผ่านมา

“พี่อย่างเซ็งมากว่ะนิว ตอนนี้พ่อก็ด่าพี่ว่าจะเรียนอะไรนักหนา แม่ก็มาทวงเงินเบี้ยเลี้ยงที่พี่ต้องได้จากงานวิจัยเอามาจ่ายหนี้
บัตรเครดิตแล้วไอ้บัตรเนี่ยพี่ก็บอกแม่แล้วว่าอย่าไปทำเลยก็ไม่เชื่อ ตั้งแต่ทำมาเนี่ยแม่พี่รูดเงินไปให้พี่ชายพี่ใช้ตลอดเลยนะเว่ยนิว
คิดดูดิแต่พอไม่มีเงินจ่ายเค้าแม่ก็มาทวงกะพี่ พี่ถามว่าทำไมไม่ให้พี่ชายพี่มันใช้เงินคืน แม่ก็บอกว่ามันลำบากแล้วพี่ไม่ลำบากรึไง
อาจารย์เก้าเป็นที่ปรึกษางานวิจัยพี่อ่ะนะ ก็ทวงงานอยู่ได้แล้วงานเก่าที่พี่ทำเสร็จแล้วส่งไปนะ เค้าเอาไปเสนอว่าเป็นชื่อเค้าทำเอง
ตอนนี้เงินเดือนก็ได้เพิ่มขึ้นแล้วถ้าได้งานวิจัยอีก2ชิ้นก็มีสิทธิ์ลุ้นศาสตราจารย์ แต่ไอ้ตำแหน่งกับเงินของเค้ามาจากสมองของพี่
พี่ไม่เข้าใจว่ะ ทำไมคนรอบข้างพี่จ้องจะเอาประโยชน์จากพี่ พอหาให้ไม่ได้หาให้ไม่ทันก็ด่าพากันด่าพี่หาว่าเรื่องแค่นี้ก็ทำไมได้
แม่งเอ้ย ถ้าทำง่ายๆก็ทำกันเองดิวะ ตอนนี้พี่รู้สึกว่าไม่มีใครรักพี่ซักคน มีแต่จะกดดันให้พี่เป็นอย่างใจเค้า พี่โคตรเหนื่อยว่ะ”


โถ...พ่อคุณ พอให้โอกาสเล่าเรื่องของตัวเองบ้าง พี่แกระบายซะผมเป็นกระโถนท้องพระโรงเลยเชียว แต่ก็น่าเห็นใจนะครับ
ผมเข้าใจความรู้สึกพี่อาร์ทในเวลานี้มากๆเลยครับ เพราะผมก็ผ่านการแบกรับภาระแทนคนรอบข้างมาแล้ว รู้ดีว่าเหนื่อยแค่ไหน
เมื่อเทียบกันแล้วผมยังโชคดีซะกว่าที่คนรอบข้างของผมยังเป็นกำลังใจช่วยให้ผมไม่ทรุดลงไปกลางทาง แต่พี่อาร์ทไม่มีใครเลย

“เอาน่า ถึงไงพี่ก็มีนิวอยู่นะ มีอะไรก็เล่าได้ปรึกษาได้ ถึงช่วยอะไรไม่ได้แต่ช่วยรับฟังก็น่าจะช่วยได้มั้ง” ผมปลอบใจ
“แต่พี่อยากมีใครที่รักพี่จริงๆว่ะตอนนี้พี่ว้าเหว่อ่ะ เฮ้ย อย่ายิ้มอย่างนั้นดิพี่ไมได้ปัญญาอ่อนนะแต่เหมือนหมดแรงชีวิตว่ะ”
“เออๆก็รู้แหล่ะ แต่ไม่เคยเจอโหมดอ่อนไหวนี่หว่าเจอแต่เถื่อนๆ นิวว่าพี่ไปกอดแม่ดิเวลานิวกอดแม่จะรู้สึกมีพลังชีวิตขึ้นอ่ะ”

ผมก็แนะนำตามที่ผมทำอยู่เสมอ ผมเชื่อว่าการกอดกันเหมือนการชาร์ตแบต ทำให้ความอ่อนล้ากลับมีพลังขึ้นมาอย่างประหลาด
“แต่แม่พี่ไม่ชอบแสดงความรัก ก็ประสาคนจีนอ่ะนิวเอะอะโวยวาย พี่เคยไปกอดแม่แต่โดนด่ากลับซะอีกมาหาว่าเป็นลูกแหง่”
“อ้าวกรรมแล้วล่ะ นิวก็ไม่รู้จะช่วยยังไงแต่นิวเชื่อว่าอ้อมกอดของแม่ถ่ายทอดอบอุ่นและเติมเต็มทุกอย่างให้เราได้มากที่สุด”

“งั้นพี่ขอกอดนิวได้ป่ะ”
พี่อาร์ทพูดขึ้นลอยผมไมเคยเห็นเค้าย่ำแย่เท่านี้มาก่อน ผมก็เลยขยับเข้าไปกอดเค้าไว้เพื่อให้กำลังใจ
“ขอบคุณนะนิวพี่รู้สึกดีขึ้นมาก นิวโชคดีว่ะที่มีแต่คนรัก ถ้ามีใครรักพี่กอดพี่ไว้แบบนี้นานๆก็ดีเนอะ แต่แม่งไม่มีใครเลย”
พี่อาร์ทกอดผมไว้แน่นซบหน้าลงที่บ่าผมแล้วก็รำพันไปพร้อมๆกับน้ำตาที่ไหลพราก จนผมเองก็พลอยสงสารและเศร้าไปด้วย
“ตอนนี้พี่อบอุ่นป่ะล่ะ”
ผมถามพี่อาร์ทและยังไม่คลายอ้อมกอดพี่อาร์ทพยักหน้าแทนคำตอบ
“งั้นนิวก็รักพี่นะ”
ผมปลอบใจด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆเพราะผมมีเพื่อนขี้เหงา เพื่อนขี้งอน จึงไม่เห็นว่าจะแปลกถ้าเราจะบอกว่ารักเพื่อน
“พี่ก็รักนิวว่ะ รักมากด้วย ไม่รู้ทำไมว่ะมีปัญหาทีไรพี่คิดถึงนิวทุกทีเลย นิวรักพี่จริงดิ”
พี่อาร์ทซบหน้าลงร้องไห้เหมือนเด็กๆ นี่แหล่ะน๊า...ครอบครัวแยกกันก็เป็นปัญหา แต่อยู่ด้วยกันแล้วไม่เข้าใจกันก็ใช่ว่าจะดี
“ก็จริงดิพี่ เราสองคนสนิทกันจะตาย พี่เป็นพี่นิวเป็นน้อง ถ้าพี่น้องไม่รักกันจะรักแมวที่ไหนวะ”
ผมพูดขำๆเพื่อกลบความเศร้า ผมเป็นโรคประหลาดเห็นคนอื่นร้องไห้ทีไรจะบ่อน้ำตาแตกไปด้วยซะให้ได้
“แล้วนิวรู้มั้ยคนรักกันเค้าทำกันยังไงพี่จะบอกให้”
เฮ้ย! อีกแล้วเหรอ ผมตกใจสุดๆเพราะนอกจากที่เค้าพูดแล้วว่าตรงหว่างขาของพี่อาร์ทมีบางอย่างแข็งตัวขึ้นเป็นลำดันหน้าขาของผม
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 04-10-2007 23:19:02
ตอนที่28
สถานการณ์น่าอึดอัด

ผมรีบผละจากอ้อมกอดของพี่อาร์ททันที อดนึกไม่ได้ว่าเป็นหารหนีเสือปะจระเข้รึเปล่า แต่ผมเชื่อว่าเค้าคงไม่ทำอะไรรุนแรง
ยังไงซะแม่เค้าก็เป็นเพื่อนกับนายแม่ของผมเค้าคงไม่ใช้อารมณ์ชั่ววูบทำเรื่องไม่ดีในบ้านของเค้าเองแน่ๆ แต่ผมก็ต้องถอยก่อน
ผมดันตัวพี่อาร์ทให้ออกห่างจากผมนิดหนึ่ง ไม่มากจนเหมือนกับว่าผมรังเกียจเค้าแต่ก็ห่างพอจะรู้ว่าท่อนลำของเค้าไม่ถูไถอยู่ที่
บริเวณหน้าขาของผมแล้วก็โล่งใจได้ ผมเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งทำไมผมจะไม่รู้ว่าเวลามีอารมณ์ร่างกายจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง

“เอ่อ พี่อาร์ทในบ้านมันร้อนอ่ะ ไปเดินตากแอร์ในห้างกันดีกว่านะ เขียนโน้ตบอกแม่พี่ไว้สิว่าถ้ามาถึงบ้านแล้วให้โทร.หาพี่”
เออ ผมล่ะขำตัวเองจริงๆตอนแรกก็หนีพี่ศรัณย์จากห้างมาบ้านพี่อาร์ทตอนนี้ก็จะชิ่งจากบ้านพี่อาร์ทกลับไปเดินห้างอีกแล้ว
“นิวไม่รักพี่แล้วเหรอ ไหนว่าจะอยู่กับพี่ไง พี่บอกแล้วว่าพี่ไม่มีใครเลย นิวก็รักพี่สักคนสิ ได้เปล่า”
พี่อาร์ททำเสียงอ้อนผิดปกติอย่างแรง ผมยังนึกว่าเถื่อนๆอย่างเค้าจะลากไปตบจูบซะอีก ฮ่าๆๆๆๆ
“แต่นิวไม่ได้รักพี่แบบแฟน นิวรักพี่แบบพี่ชายต่างหากล่ะ แล้วพี่เองก็เหอะ แน่ใจแล้วเหรอว่ารักนิวแบบไหน”
ผมแสดงจุดยืนของตัวเองและพยายามให้พี่อาร์ททบทวนความรู้สึกของเค้าให้ดีว่านี่คือความรักหรือความผูกพันกันแน่?
“แล้วถ้าพี่ยืนยันว่าพี่รักแบบแฟน พี่จะมีโอกาสนั้นมั้ย”
พี่อาร์ทก็ไม่ละความพยายามเหมือนกัน
“แต่นิวไม่ใช่เกย์”
ผมปฏิเสธเสียงแข็ง ถึงผมจะยอมรับตัวเองแล้วก็เหอะแต่ผมก็จะยอมรับตัวตนของผมกับเทคเท่านั้น
“พี่ก็ไม่ใช่ พี่ยังมีอารมณ์กับผู้หญิง แต่พี่ก็รักนิวด้วย แล้วถ้านิวรับรักพี่พี่ก็ยินดีเลิกรักผู้หญิงทุกคน มองก็ไม่มองด้วยเอ้า”
เอากับเค้าสิ ผมเริ่มงงแล้วว่าพี่อาร์ทเป็นประเภทไหนกันแน่ หรือแค่จะตามน้ำเพื่อให้ผมยอมรับเค้าให้ได้ซักทาง

“ฟังให้ดีนะพี่ เราจะเป็นพี่น้องกันแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว และถ้านิวจะรักผู้ชายขึ้นมาจริงๆนิวก็มีคนที่นิวจะรักอยู่แล้วครับ”
ผมรู้ว่าคำพูดนี้มันเยื่อไยมาก แต่เมื่อเทียบกับที่ผมเคยทำร้ายจิตใจเทคแล้วนี่ยังน้อยไปแล้วทำไมผมจะต้องเลี้ยงไข้ด้วยล่ะ
“พี่เข้าใจแล้ว จริงๆนิวไม่ต้องโกหกพี่ก็ได้ว่านิวไม่ได้เป็นเกย์ นิวบอกพี่ได้ป่ะว่านิวรักใครอยู่”
พี่อาร์ทยอมจำนนอย่างง่ายดาย ซึ่งผมก็พอใจที่เราจะไม่มีความบาดหมางต่อกัน แต่คำถามพี่อาร์ทนี่สิ ถ้าผมตอบจะเร็วไปมั้ย
“นิวขอเก็บไว้เป็นเรื่องส่วนตัวได้ป่ะ อีกอย่างนิวก็ยังไม่แน่ใจอะไรอีกหลายอย่างเลยนะพี่ ถ้านิวตัดสินใจได้นิวจะบอกพี่ครับ”
ผมหาทางออกแบบนี้ แต่ก็จริงนี่ครับ ถึงแม้ว่าถ้าผมจะรักผู้ชายซักคน คนแรกที่ผมจะรักก็คือเทค แต่ขอให้ทุกอย่างลงตัวอีกนิด
“ถึงนิวไม่บอกพี่ก็เดาได้ว่าคนที่นิวรักจะเป็นใคร แต่จำไว้นะว่าพี่จะรักนิวไปแบบนี้แหล่ะ ที่ตรงนี้มีพี่รออยู่เสมอ”
พี่อาร์ทพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็มีรอยยิ้มบางๆทำให้ผมสบายใจขึ้น แต่ให้ตายเหอะผมไม่ชอบให้ใครรอเลยจริงๆ
“แปลว่าเรายังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันได้ใช่มั้ยครับ”
ผมถามย้ำเพื่อให้แน่ใจว่าทั้งผมและพี่อาร์ทคิดตรงกันว่าเราจะคบกันต่อไปในฐานะพี่น้อง

“ใช่สิ ยังไงนิวก็จะเป็นน้องชายของพี่ตลอดไป เออ ก็ดีเหมือนกันเผื่อต่อไปพี่จีบสาวๆจะได้ให้นิวช่วยดู”
เอ้า เปลี่ยนรสนิยมอีกแล้วเหรอวะ ตอนแรกก็บอกว่ามีอารมณ์กับผม ตอนนี้ก็จะกลับไปจีบสาวอีกแล้ว สักทางเหอะพี่
“สรุปจะกลับไปคบผู้หญิงแน่แล้วใช่มั้ยเนี่ย”
ผมอดหัวเราะไม่ได้ เพราะนึกอยู่แล้วว่าท่าทางพี่อาร์ทคงไม่ใช่เกย์หรอกมั้ง
“อ้าว ก็ถ้าพี่จะมีแฟนเป็นผู้ชายพี่ก็จะมีนิวคนเดียวไง แต่ถ้ามีแฟนเป็นผู้หญิงพี่ก็มีไปเรื่อยแลห่ะ กำไรชีวิตโว้ยไอ้อ้วน”
เออ แต่ถ้าคิดแบบนี้นอกจากจะเถื่อนแล้วยังใจดำอีกด้วย แต่ผมว่าคงพูดเล่นน่ะเพราะเท่าที่รู้จักกันพี่อาร์ทไม่ใช่คนมักมาก
“แต่นิวคงดูไม่ได้หรอกนะว่าคนไหนนิสัยเป็นยังไง เดี๋ยวนิวจะช่วยดูก็แล้วกันว่าคนไหนสวยๆ จะช่วยเลือกพี่สะใภ้ด้วย”
ผมยิ้มให้พี่อาร์ทอย่างเปิดเผย ตอนนี้สถานการณ์ที่เคยอึดอัดกลับคลี่คลายลงมากแล้วล่ะครับ
“งั้นนิวขอถือว่าพี่ไม่เคยบอกรักนิวก็แล้วกันนะ”
ผมสรุปตามความคิดของผมเอง
“ไม่เอาโว้ย พี่บอกแล้วไงต่อให้พี่เจอคนสวยแค่ไหน พี่ก็จะเก็บพื้นที่ในใจไว้รอนิวเสมอ สมองเสื่อมรึไงวะเพิ่งพูดไปหยกๆ”
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 05-10-2007 07:46:53
ตอนที่29
หวังพบพานกับรักประโลมจิตใจ รักกลายเป็นเจ็บนานช่างรวดร้าว
 
เทคจะกลับมาเมืองไทยช่วงปีใหม่ครับ เค้าส่งเมล์มาบอกผมตั้งแต่ก่อนสิ้นเดือนธันวา ผมเองก็ส่งเมล์กลับไปบอกเตค้าเรื่องงาน
ซึ่งนับจากวันที่1มกราคม พ.ศ.2548ผมจะเริ่มงานดีเจแบบจริงจังโดยบรรจุเป็นพนักงานคนหนึ่งของสถานีวิทยุที่ผึกงานอยู่
ประมาณวันที่28 ธันวาคม พ.ศ. 2547เทค โทรศัพท์มาหาผม พอดีกับช่วงที่ผมกำลังหาข่าวจากอินเตอร์เนตเพื่อจะไปอ่านใน
ช่วงคั่นรายการของพี่ดีเจที่กำลังจัดรายการอยู่ ผมรับสายแล้วทั้งตื่นเต้นและดีใจเมื่อเทคบอกว่ากลับมาถึงเมืองไทยตั้งแต่เมื่อวาน

เทค บอกว่าจะมาหาผมที่โคราชในวันสิ้นเดือนเพื่อจะอยู่ฉลองปีใหม่กับผมด้วย ผมดีใจมากๆเพราะคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะบอกให้
เทคได้รุ้ความรู้สึกในใจของผมสักที การได้ผ่านปัญหา โดยเฉพาะคนที่มาบอกว่าเค้ารักผมล้วนทำให้ผมยิ่งคิดถึงเทคมากขึ้นครับ
นึกถึงครั้งแรกที่เทคบอกรักและจูบผม ตอนนั้นผมกลัว ตกใจและโกรธ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจขยะแขยงเหมือนที่รู้สึกกับพี่ศรัณย์
หรือกับพี่อาร์ทที่บอกรักผมเพียงครั้งเดียวแต่ผมรู้สึกอึดอัดมากกว่าที่เคยได้ยินคำว่ารักจากเทคทั้งที่เทคพูดซ้ำๆแต่ผมก็ฟังไม่เบื่อ
ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมจะยอมรับตัวเองและบอกความรู้สึกของผมให้เทคได้รู้ซะทีก่อนที่จะช้าไปมากกว่านี้ จริงมั้ยครับเพื่อนๆ

“นิว รอเรานานมั้ย ขอโทษทีนะเราลงรถทัวร์แล้วเดินไปอีกทางนึงอ่ะ เคยแต่เอารถมาเลยงงๆ”
เทคเดินมาทักผมจากด้านหลัง แทบจะไม่ต้องหันกลับไปมองผมก็จดจำเสียงของผู้ชายคนนี้ได้ขึ้นใจทีเดียว
แต่แทนคำตอบทุกอย่าง ผมน้ำตาคลอด้วยความเต็มตื้นเมื่อคนที่ผมรอมายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว ผมจะโผเข้าสวมกอดเทคไว้สุดตัว
“นิวเป็นไรอ่ะ เฮ้ย เจอกันทั้งทีอย่าร้องไห้สินิวเราใจเสียหมด”
เทคกอดตอบผมไว้แน่นพอกันแต่ก็คงสงสัยจนต้องถามผม อาจเพราะไม่คิดว่าผมจะเป็นฝ่ายกอดเค้าก่อน
“เราดีใจนี่นา รู้มั้ยเราคิดถึงเทคแค่ไหนเราเหนื่อยจะตายเลยเทค ตอนนี้เราแทบยืนไม่อยู่ขอเรากอดเทคนานๆหน่อยนะ”
ผมยังคงสวมกอดเอวของเทคไว้แน่นเหมือนกลัวว่าถ้าคลายอ้อมแขนเพียงนิดจะทำให้ผู้ชายตัวสูงใหญ่คนนี้หลุดลอยไปจากผม
“โอ๋ๆๆ อย่าร้องไห้เลยนะคนดี เรากลับมาก็เพราะเราคิดถึงนิวเหมือนกันแหล่ะ ถ้าเหนื่อยมากนักก็ซบที่อกเราสินิว”
เทค เลื่อนมือข้างหนึ่งจากที่โอบกอดผมนั้นเปลี่ยนเป็นลูบศรีษะและหลังของผมเหมือนจะปลอบโยนเด็กขี้แงที่ร้องไห้ไม่หยุด

ผมคิดอะไรไว้หลายอย่าง มีเรื่องราวมากมายที่อยากไถ่ถามทุกข์สุขของเทค รวมทั้งสิ่งสำคัญที่สุดที่จะต้องบอกเทคให้รู้ให้ได้เลย
แต่พอเจอกันจริงๆ สิ่งที่ผมไม่ได้คิดไว้และไม่เคยคิดว่าจะกล้าทำก็คือการโผเข้ากอดเทคกลางสถานีขนส่งแบบนี้ ไม่อายแล้วครับ
ยิ่งได้กอดเทคนานขึ้นเท่าไหร่ร่างกายและจิตใจของผมก็อบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด น้ำตาที่ไหลรินอยู่นั้นเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
แผงอกของเทคกว้างใหญ่ให้ผมได้พักพิงเสมอ รูปร่างสูงหนาของเทคเหมือนเกราะป้องกันภัยทุกอย่างที่จะมาถึงผมไม่ว่าทิศใดๆ
อ้อมแขนของเทคกอดรัดผมไว้แน่นขึ้นกว่าเดิม แต่ผมไม่รู้สึกอึดอัดสักนิดกลับอยากให้เค้ากอดไว้แน่นๆแบบนี้ตลอดไปด้วยซ้ำ
กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆที่ติดกายเทคอยู่นี้ยังคงเป็นน้ำหอมกลิ่นเดิมที่ผมคุ้นเคยมานาน เหมือนกับเจ้าของน้ำหอมที่ผมไม่เคยลืมได้เลย

“เช็ดน้ำตาซักหน่อยนะ เดี๋ยวคนเค้าจะคิดว่าเรารังแกนิว”
เทค ช่วยซับน้ำตาให้ผมอย่างเบามือเหมือนที่เคยทำ ทุกสัมผัสยังนุ่มนวลเสมอ
“ขอบใจนะ สงสัยเราจะดีใจมากไปหน่อยเราคิดว่าเราจะไม่ได้เจอเทคอีกแล้วซะอีก”
ผมพูดด้วยความรู้สึกที่คละปนกันหลากหลาย ทั้งความรู้สึกผิดและหวั่นใจว่าเค้าจะไม่กลับมาอีก
“ทำไมนิวคิดงั้นล่ะ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ จำไว้นะต่อให้เราตายเราก็จะกลับมาหานิวให้ได้เลย”
เทค พูดเพื่อเอาใจผมหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ผมไม่สบายใจเลยที่เค้าพูดเรื่องความตายทั้งที่ยังหนุ่มแน่นแบบนี้

“เรากลัวว่าจดหมายฉบับนั้น จะทำให้เทคเข้าใจเราผิด จะทำให้เทคไม่อยากเจอเราอีกน่ะสิ”
ผมหมายถึงจดหมายจากคนใจร้ายฉบับนั้น ตอนนั้นผมก็รักเทคแล้วแต่ผมก็จำเป็นต้องเขียนไปแบบนั้น
“ไม่หรอกนิว ต่อให้นิวปฏืเสธเราอีกกี่ครั้ง เราก็ไม่โกรธนิว และเราอยากให้นิวสบายใจว่าเราเข้าใจนิวดีนะ”
เทค ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วเก็บผ้าเช็ดหน้าที่ซับน้ำตาให้ผมลงในกระเป๋าเสื้อของเค้า
“เทคเข้าใจเราจริงๆนะ หมายถึงว่าเทครู้ใช่มั้ยว่าเราคิดยังไง เทตอ่านจดหมายแล้วเข้าใจสิ่งที่เราอยากบอกจริงๆนะ”
ผมถามย้ำและยิ้มบางๆหวังว่าสิ่งที่ผมต้องการบอกเค้าก็คือผมรักเค้าแต่ผมทำตามใจตัวเองไม่ได้นั้นเค้าจะรู้ใจผมจริงๆ
“แน่นอนอยู่แล้ว เราจะไม่บังคับนิวอีกแล้วและเราก็ตัดใจได้แล้วนะ เราสัญญาต่อไปเราจะไม่พูดเพ้อเจ้ออีกแล้วนะเพื่อน”
เราต่างก็ผละออกจากกันทั้งที่ใจผมอย่างอ้อยอิ่งอยู่ในอ้อมกอดเค้านานๆ แต่ผมก็เริ่มปลาบแปลบใจกับคำตอบของเทค
“เพื่อนเหรอ”
ผมครางออกมาเบาๆเริ่มแน่ใจว่าเทคไม่ได้เข้าใจความหมายลึกๆในจดหมายของผมเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้....เทค มาอยู่นี่เองเหรอ ไอหาทอยเลทซะรอบกว่าจะเจอ ร้อนก็ร้อน คนก็เยอะ”
เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา ผมและเทคหันไปเห็นชายหนุ่มแต่งตัวโก้หรูเดินตรงมาทางนี้ สักพักเทคจึงแนะนำให้รู้จัก'แฟนเค้า'
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 05-10-2007 08:52:07
ตอนที่30
ชาตินี้ แม้เป็นได้เพียงเพื่อนกัน แต่รู้ไว้คนอย่างฉัน ไม่มีวันลบเธอจากใจ

โชคดีเหลือเกินที่ผมผละออกจากอ้อมกอดของเทคก่อนที่‘ตัวจริง’ของเค้าจะโผล่มาเห็นสิ่งที่ไม่ควรจะเห็นเมื่อครู่นี้
ผมหันไปยิ้มทักทายโดยกะประเมินจากสายตาว่า‘แฟนคนล่าสุดของเทค’คงจะอายุเท่าๆกับผมกับเทคนี่แหล่ะครับ

“Hello I ชื่อโฟ๊ก I’m glad to meet you”
แฟนเทคแนะนำตัวพร้อมยื่นมือมาเชคแฮนด์ตามธรรรมเนียมสากล
“เราชื่อนิวยินดีเหมือนกัน ชื่อโฟ๊กมาจากอะไรเหรอ เพลง โฟลคซองคำเมือง หรือว่า รถโฟล์คล่ะครับ”
ผมชวนแฟนของเทคคุยแก้เก้อ ทั้งที่ตอนนั้นสมองผมเหมือนหลอดไฟที่ดับๆติดๆ ขมุกขมัวไปหมด
“อืม แล้วแต่อ่ะไอไม่ซีเรียส แต่ถ้าเลือกได้ขอเป็นรถโฟล์คดีกว่าค่อยดูมีคลาสหน่อย ใช่ป่ะเทค”
โฟล์คหันไปอ้อนเทค แหม.....ช่างน่ารักน่าเอ็นดูซะจริง
“แหม ยังไงมันก็ออกเสียงว่าโฟ๊กอยู่ดีแหล่ะน่ะ ไปหาไรกินดีกว่า นิวจะพาเราไปไหนก่อนดี”
เทคหันมาถามผมซึ่งยืนงงอยู่ก็เพราะแต่เดิมเราตกลงกันไว้แบบหนึ่งเพราะผมไม่รู้ว่าจะมีอีกคนเพิ่มเข้ามา
“เอ่อ ทีแรกเราจัดห้องพักไว้ให้ที่บ้านเราน่ะ กะว่าจะให้เอากระเป๋าเดินทางไปไว้ก่อนแล้วออกมาหาไรกิน”
ผมตอบไปตามตรงเพราะผมไม่ระแคระคายซักนิดว่าเทคจะมาหาผมพร้อมกับคนรักใหม่ของเค้าเจอแบบนี้ผมก็เสียสูญไปเลย

“แล้วถ้าเรากับแฟนไปพักที่บ้านนิวจะสะดวกมั้ยล่ะ เกรงใจนายแม่ของนิวด้วยน่ะสิ”
เทคออกตัวอย่างเกรงใจ ก็คงเป็นเพราะเทครู้อยู่แล้วว่าเป็นความสะเพร่าที่ไม่ได้บอกผมว่าจะพาแฟนมาด้วย
“โอ๊ยยยยยย ไม่เอาหรอกเทค เรามาเที่ยวนะไม่ได้มาเข้าค่ายจะได้ไปแออัดกันอยู่ที่บ้านนิว เอ่อ…เราเกรงใจน่ะนิว”
โฟล์ค ตัดบทด้วยความรำคาญแต่ท่าทีที่เค้าหันมาพูดกับผมเหมือนจะเกรงใจนั้นกลับมาบางอย่างที่แฝงอยู่หรือผมจะคิดมากไปเอง
“เอาเป็นว่าโฟล์คกับเทคตกลงกันเองดีกว่าสะดวกแบบไหนก็บอกเรานะ เราต้อนรับเพื่อนได้สบายอยู่แล้ว”
ผมบอกอย่างจริงใจ เพราะถือว่ายังไงซะผมก็เป็นเจ้าบ้านต้องให้การต้อนรับอย่างดีที่สุดก็ต้องแล้วแต่เค้าล่ะครับ
“เราอยากไปค้างบ้านนิวไปกราบนายแม่กับคุณป้าใหญ่ด้วย แล้วก็............”
เทค ยังพูดไมทันจบประโยคดี โฟล์คก็ขัดขึ้นซะก่อน เอาเหอะ ตกลงกันยังไงแล้วค่อยบอกผมก็แล้วกัน

“ไอตัดสินใจจะนอนโรงแรม เทคอยากไปค้างบ้านนิวก็ตามใจนะ ถ้าใจดำทิ้งไอไว้คนเดียวได้ก็ลองดู”
โฟล์ค ทำท่าจะลากกระเป๋าเดินทางไปอีกทาง หลังจากตัดพ้อเทคด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดสุดขีด
“โอเคๆครับ เราไม่ทิ้งโฟล์คไปไหนหรอก” เทคหันไปง้อแฟนแล้วกลับมายิ้มเจื่อนๆบอกผมว่า “ขอโทษทีนะนิวเข้าใจเรานะ”
ผมมีสิทธิ์จะโกรธ มีสิทธิ์ที่จะไม่เข้าใจด้วยเหรอครับ ในเมื่อตอนนี้เค้าเป็นแฟนกันแล้ว แต่ผมเป็นใครกันล่ะ ก็แค่คนอื่นเท่านั้น
“คริกๆๆๆ อะไรกันน่ะเทค แค่จะตามใจแฟนก็จะต้องขอโทษและขอความเห็นใจกันด้วยเหรอ ก็แค่เพื่อนเก่า”
เสียงหัวเราะต้นประโยคช่างไร้เดียงสาและเห็นเป็นเรื่องขบขันสุดๆ แต่ท้ายประโยคที่ใช้หางตามองมาทางผมน่ะสิบาดลึกกว่าคำพูด

เมื่อตกลงกันได้ผมก็พาเทคและโฟล์คไปหาที่พักเป็นโรงแรมระดับห้าดาวซึ่งเศรษฐีอย่างเค้าทั้งคู่มีปัญญาจ่ายได้แน่ จริงสินะ!
เทคเองก็ร่ำรวยมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยิ่งมาคบกับโฟล์คซึ่งก็คงรวยไม่น้อยไปกว่ากัน เสียเงินแพงหน่อยเพื่อแลกกับความสบาย
ย่อมดีกว่าไปทนอุดอู้อยู่ในบ้านแคบๆไม่มีบริกรคอยอำนวยความสะดวก ไม่มีร้านอาหาร ไม่มีพนักงานให้เรียกใช้ตลอด24ชม.
ผมถามว่าทั้งคู่มีโปรแกรมอะไรกันต่อบ้าง เทค บอกว่าอยากไปไหว้อนุสาวรีย์ย่าโม ส่วนโฟล์คขอนอนพักผ่อนที่ห้องจะดีกว่า
ดังนั้นช่วงที่เค้าเข้าพักในโรงแรม ผมก็เลยมานั่งรออยู่ด้านล่างที่เป็น Coffee Shop สั่งกาแฟรสขมมาดื่มเพื่อไล่ความซึมเซา
สักประเดี๋ยว เทค ก็ตามลงมา ผมสังเกตท่าทางของ เทค ดูไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ คิดว่าคงเป็นเรื่องที่พักก็เลยพูดให้เค้าสบายใจ

“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกนิว โอเค เราไม่สบายใจที่แฟนเราแสดงอาการแบบนั้นเรื่องที่พัก แต่เราไม่สบายใจเรื่องอื่น”
เทค เปิดฉากด้วยคำพูดที่ส่งผ่านความอึดอัดใจมาพร้อมด้วยแววตาที่ยากจะอธิบายได้
“แล้วเรื่องอะไรล่ะ หรือว่าไม่ชอบโรงแรมนี้ เสียใจจ้ะเปลี่ยนไม่ทันแล้วเพื่อน”
ผมพยายามพูดเหมือนจะเดาใจและสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายขึ้น
“นิว เราขอโทษเรื่องที่เราพาแฟนมาด้วยแล้วไม่ได้บอกนิวก่อน”
เทคกุมมือผมไว้ ตอนนั้นแม้แก้วกาแฟจะร้อนแต่มือผมเย็นจัด
“เฮ้ย คิดมากไปเปล่า แค่มีเพื่อนร่วมคณะทัวร์เพิ่มอีกคนเดียวไม่ทำให้เราวุ่นวายอะไรนักหนาหรอกน่า”
ผมฝืนยิ้มและพูดถึงเฉพาะเรื่องการต้อนรับเค้าทั้งคู่ ทั้งที่ในใจผมก็รู้ดีว่าความอึดอัดใจมีมากกว่าเรื่องนี้
“เราอ่านจดหมายของนิวแล้ว เราคิดว่านิวตัดขาดเราแน่ หมายถึงชาตินี้เราก็คงเป็นได้แค่เพียงเพื่อนกัน เราก็เลย…..”

“ก็เลยตกลงเป็นแฟนกับโฟล์ค แล้วก็พาโฟล์คมาให้เราเห็น ให้เรารู้ว่าเทคไม่แคร์เราเหมือนกันใช่มั้ย”
ความอึดอัดใจที่คุกรุ่นพลุ่งพล่านขึ้นโดยไม่ตั้งใจทำให้ผมเผลอตัวกระชากมือกลับ
“เราขอโทษที่แสดงกิริยาไม่ดี”
เมื่อรู้สึกตัวผมก็ข่มใจให้เย็นลงและสูดลมหายใจลึก ยืดตัวตรงพร้อมจะฟังเหตุผลของเทคว่าเค้าคิดอะไรอยู่กันแน่
“เรารู้ว่านิวมีภาระอีกมากเราก็ไม่อยากเพิ่มความกังวลใจให้นิวอีก เรารู้ว่าความรักระหว่างเพื่อนจะสวยงามเสมอและยั่งยืนเสมอ
แต่ก่อนเราวู่วามเกินไปและไม่พยายามเข้าใจนิวเลย มาถึงวันนี้เราเองโตขึ้นมีสิ่งที่ต้องดูแลรับผิดชอบมากขึ้น เราถึงเข้าใจแล้วว่า
การต้องคิดต้องทำเพื่อใครคนอื่นมันเป็นยังไง เราไม่อยากเห็นแก่ตัวดึงนิวไว้อีกแล้ว และในช่วงเวลานั้นโฟล์คคือคนที่อยู่กับเรา
เค้าให้กำลังใจและเตือนสติให้เรายอมเป็นแค่เพื่อนนิวยังจะมีโอกาสคบหากันไปได้ตลอดชีวิตแต่ถ้าเรายิ่งเอาแต่ใจมากเท่าไหร่
นิวก็ยิ่งลำบากใจ ถ้านิวเบื่อหน่ายความงี่เง่าของเราจนทิ้งเราไป ทีนี้แม้แต่ความเป็นเพื่อนก็คงไม่เหลือด้วย เราทนไม่ได้จริงๆนะ
เราตั้งใจไว้แล้วว่าต่อไปเราจะดีกับแฟนเราให้มากๆ รักเค้าเหมือนที่เรารักนิว และเราจะไม่กวนใจนิวด้วยเรื่องความรักเก่าๆอีก”


“อืม เราดีใจนะที่เทคคิดได้ซะที ไปไหว้ย่าโมกันเถอะ เดี๋ยวโฟล์คจะรอนาน”
ผมเค้นทุกคำอย่างยากลำบาก มันทั้งสับสนและทรมานที่ต้องเผชิญความเจ็บปวดอย่างไม่มีโอกาสตั้งตัว
“เราขอกอดนิวอีกครั้งได้รึเปล่า อย่างน้อยก็ในฐานะเพื่อน หวังว่านิวคงไม่ตำหนิเรานะ”
เทคจะรู้มั้ยว่านี่เป็นคำขอร้องที่ผมเต็มใจจะทำมากที่สุด แม้ในฐานะเพื่อนผมก็คงต้องยอมรับให้ได้ 
ผมพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ให้แนบเนียนที่สุด เพราะไม่อย่างนั้นหยดน้ำตามากมายของผมต้องไหลรินไม่หยุดแน่
นี่เป็นอ้อมกอดแรกที่ผมกับเทคกอดกันอย่างจริงจังไม่ใช่การหยอกล้อกันเล่นแต่แทนที่จะอบอุ่นซาบซึ้งมันกลับเหน็บหนาวเหลือเกิน

อวสาน :+:กว่าจะรู้ว่ารัก:+: ภาค3
โปรดติดตามการปิดฉากฉบับสมบูรณ์ได้ใน :+:กว่าจะรู้ว่ารัก:+: ภาค 4
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อัพเดทล่าสุด)
เริ่มหัวข้อโดย: krappom ที่ 05-10-2007 09:41:32

 :try2: :try2: :try2: :try2:

ขออนุญาตเอาตัวมาแปะไว้ก่อนนะ

แบบว่าอ่านไม่ทัน  :m23:


หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 05-10-2007 10:13:10
อ่านแล้วปวดร้าวจริง ๆ
ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วยนะเนี่ย
ชีวิตหนอชีวิต :m15:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 05-10-2007 11:11:58
เพลง แม้ไม่มีวัน
นันทิดา แก้วบัวสาย

ยินดี ที่เธอมีใจให้กัน
ที่เธอช่างดีกับฉัน มากมายได้อย่างนี้
แต่ฉัน ฉันเองเหมือนคนไม่ดี
ไม่รับน้ำใจไมตรี ของคนที่ดีเหลือเกิน

ฉันรู้ ว่าเธอคงน้อยใจ
ยิ่งใกล้ยิ่งชิดเท่าไหร่
กลับกลายเป็นความห่างเกิน
โปรดรู้ ฉันยังเสียใจเหลือเกิน
ที่ฉันต้องทำเป็นเมิน
เพราะไม่อยากให้เธอคิดไกล

แม้ไม่มีวัน ที่ฉันจะรักเธอ
แต่ขอให้รู้เสมอ เธอสำคัญกว่าใคร
ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เธอทำให้
จะจารึกไว้ในใจ ของคนใจร้ายอย่างฉัน

ยินดี ที่ได้เจอคนอย่างเธอ
ได้แต่ปลื้มใจเสมอ ที่เธอแสนดีอย่างนั้น
ชาตินี้ แม้เป็นได้เพียงเพื่อนกัน
แต่รู้ไว้คนอย่างฉัน ไม่มีวันลบเธอจากใจ

[wma=300,50] http://www.freewebs.com/djballoon0846/Maemaimiwan.wma [/wma]
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 05-10-2007 11:28:17
ง่า..เศร้าจบภาค3ยางเศร้าขนาดนี้  ภาค4จาเศร้ากว่านี้มะเนี่ยพี่นิว  ถ้าเทคคบกับโฟล์คเพื่อประชดพี่นิว แย้วต่อไปจาลงเอยกันแบบไหนล่ะเนี่ย มีแต่เศร้ากับเศร้า  :sad2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 05-10-2007 11:43:16
วันเวลามีค่าเสมอ จงทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
ทุกสิ่งที่อ้างว่านั่นดี นู้นดี ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ตีกรอบขึ้นมา
สรรค์สร้างเพื่ออ้างตัวเองเหนือคนอื่น

แท้จริงแล้วกลับไม่มองหัวใจตัวเอง
 o7 o7 o7
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: ANA ที่ 05-10-2007 12:14:15
 :sad2: :sad2: :sad2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: subaru ที่ 05-10-2007 14:35:08
 :m17:เศร้าจังเลย ยิ่งอ่านยิ่งเศร้า :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: Darklord ที่ 05-10-2007 14:38:33
ลงเอยกันด้วยดี
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: ๐Dna๐ ที่ 06-10-2007 02:48:30
อ่านแล้วเศร้า มากๆเลยอ่ะครับ :o11:

หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: Serendipity ที่ 06-10-2007 03:25:41
 o7 o7 o7 เศร้าเลย หุหุหุ
มารอนะคับพี่นิว^^
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 06-10-2007 04:13:54
อ่านจนตาปวดตา ไมมานเศร้าแบบนี้  o7 o7
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 06-10-2007 06:24:07
เศร้า  :m8:  :m8:  :m8:

เมื่อโอกาสผ่านไป....อยากย้อนเวลาแค่ไหน...คงกลับกลับไปไม่เหมือนเดิม...

ขอให้ภาคสี่  ชื่อว่า ....ยามเมื่อลมพัดหวน...นะ
รออย่างมีความหวัง

สู้ๆนะน้องนิว   :a2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: นางมารร้าย ที่ 06-10-2007 10:32:40
เศร้าจังค่ะ

อยากให้เทคได้อ่านเรื่องนี้อ่ะ  เพื่อรับรู้ความรู้สึกของนิว

ขอให้ ภาค 4 ทั้งคู่สมหวังในความรักนะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 06-10-2007 22:45:57
สวัสดีครับเพื่อนๆ
แวะมาคุยด้วยมีเรื่องจะเล่าเยอะเลย

ขอบคุณสำหรับการติดตามกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ภาคแรกจนถึงภาค3นี้นะครับ
ตอนแรกผมเริ่มอ่านเรื่องพี่เป็ดพี่อ้อยก็ในพันทิป แต่กว่าจะได้อ่านก็จะจบเรื่องแล้ว
ผมก็เลยปริ้นมาอ่านที่บ้าน โอย น้ำหูน้ำตาท่วม แล้วพอรู้ว่ามีเล้า(เป็ด)เป็นของพวกเราเอง
ขอสารภาพว่าแรกๆไม่เคยอ่านเรื่องใครเลย อย่าโกรธกันนะครับ ก็ผมเพิ่งตกงานอ่ะ
แต่พอได้อ่านก็เริ่มจากเรื่องที่เค้าฮิตๆกันก่อน บางเรื่องขำกระจาย บางเรื่องเล่นเอาน้ำตาซึม

หลังจากเป็นผู้อ่านมาซะนานก็ชักจะเอาใหญ่ อิอิอิ เกิดแรงบันดาลใจจะอัพเลเวลมาเป็นนักเขียนดูบ้าง
ก่อนหน้านี้ผมเขียนไดอารี่ลงเวปมาบ้างแล้ว ประกอบกับผมเล่าเรื่องของผมกับเทคอย่างที่เพื่อนๆอ่าน
ให้คนนั้นฟังที คนนี้ฟังที (และทีละคน) เนื่องจากแต่ละคนมักจะขอให้เล่าแบบต่างกรรมต่างวาระน่ะสิ
แทนที่จะมาพร้อมกันผมก็ต้องเล่าหลายรอบเหมือนฉายหนังซ้ำยังไงยังงั้น เลยเอามาพิมพ์ให้อ่านผ่านสื่อซะ

ทีนี้เพื่อนเลิฟอย่างสาวตัวกลม และ ผู้มีอุปการะคุณคุณพี่เกี๊ยกซึ่งทั้งคู่ชอบอ่านนิยายในเล้าแบบเป็นชีวิตจิตใจ
เหมือนถ้าไม่ได้อ่านจะลงแดงซะให้ได้(ล้อเล่นๆ) 2คนนี้แหล่ะจุดประกายว่าผมน่าจะลองเอาเรื่องที่ผมเล่าไปเขียนบ้าง
ผมก็บอกปัดเรื่อยๆ บอกตรงๆว่าผมไม่กล้าเขียนอ่ะครับ กลัวไม่มีคนอ่าน กลัวคนหาว่าเอาอย่างพี่เป็ด เลยไม่เอาดีกว่า

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

มาพูดถึงการแบ่งภาคกันบ้าง บอกตามตรงทีแรกคิดว่าเรื่องจะสั้นๆง่ายๆ
คงใช้เวลาแป๊บเดียวก็จบเหมือนตอนนั่งพูดซึ่งผมก็พูดน้ำไหลไฟดับอยู่แล้ว
แต่พอเริ่มเขียนก็ได้คำแนะนำจาก เจ๊สอง ว่าควรมีบทพูดซะบ้าง เออ...ก็จริงเนาะ
ผมก็เพิ่มบทพูดเข้าไปเพื่อให้เพื่อนๆอ่านแล้วเข้าใจง่ายขึ้นผ่านคำพูดของคนในเรื่อง
ก็ได้รับคำแนะนำจาก [[GobGab]] บอกว่าน่าจะลงป็นแต่ละตอนให้ชัดเจนก็จะดี
ก็เห็นด้วยอีกเพราะก่อนหน้านี้พิมพ์ไปเรื่อยเปื่อยจัดฟ้อนท์ก็ยากจะขึ้นต้นลงท้ายก็งงๆ

เอาล่ะมาถึงเรื่องเล่าในแบบที่ขัดเกลาเรียบร้อยแล้วทั้งเรื่องบทพูดและแบ่งเป็นตอน
ผมก็ถึงได้รู้ว่า เฮ้ย เรื่องที่เราเล่าแป๊บๆจบ(แป๊บๆนี่กว่าจะเล่าจบก็ปาเข้าไป3ชั่วโมง)
พอเอามาเรียบเรียงให้อ่านก็รู้ว่าใช้เวลามากกว่าที่คิดและท่าทางจะไม่จบง่ายๆ
ก็เลยขอแบ่งเป็นภาคก็แล้วกันนะครับเพราะถ้าเล่ารวดเดียวผมคงไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น
ส่วนที่ว่าทำไมแต่ละภาคมีตอนไม่เท่ากันก็เพราะผมแบ่งตอนไม่ได้สัดส่วนน่ะสิ(มือใหม่ครับ)
และอีกส่วนหนึ่งเพราะเรื่องราวภาคต่อๆมามีบุคคล สถานการณ์ รายละเอียดที่เพิ่มขึ้นด้วย


ชีวิตคนเราก็แบบนี้แหล่ะครับยิ่งโตยิ่งมีเรื่องให้ต้องพบต้องเจอมากขึ้น
ยิ่งผ่านวันคืนผ่านร้อนผ่านหนาว(ว่าซะแก่เชียว)ชีวิตก็มีรายละเอียดเพิ่มขึ้น
ก็คงไม่ว่ากันนะครับที่ยิ่งเล่าในแต่ละภาคก็ยิ่งเพิ่มตอนมากขึ้นตามลำดับ
สำหรับภาค3นี้ จริงๆผมพิมพ์ไว้ถึงตอนที่35แล้วนะครับแต่ดูจากโครงเรื่อง
ที่วางไว้เห็นทีจะลงให้ครบรวดเดียวไม่ไหวแน่เพราะจะทำให้เรื่องเล่าในภาคนี้
ขาดความกระชับ และพอถึงตอนอวสานจริงๆ(แต่เหลืออีกหลายตอนที่ยังไม่ได้พิมพ์)
เรื่องเล่านี้ก็จะดูไม่น่าติดตามแล้ว ผมก็เลยขอขมวดปมไว้ที่สถานการณ์บีบหัวใจนี่ล่ะ

สำหรับภาค4จะเอามาลงให้อ่านกันประมาณเดือนพฤศจิกายนนะครับขอเวลานิดนึง
เวลาที่ผมขอนี่ก็เอาไว้เพื่อพิมพ์เรื่องเล่าภาค4ต่อให้จบแล้วเอามาลงให้อ่านกันรวดเดียว
ดังนั้นจะมีการปรับตอนที่31ของภาค3 ไปเป็นตอนที่1ของภาค4และจะพิมพ์ส่วนที่เหลือด้วย
เท่าที่วางโครงเรื่องใหม่ของภาค4ก็น่าจะมีความยาว30ตอนจบเหมือนกับภาค3นี่ล่ะครับ

แล้วช่วงกลางเดือนตุลาคมจนถึงปลายเดือนผมจะไปอยู่ดูแลคุณป๋าที่หัวหินซักระยะน่ะครับ
คงไม่เอาแลบทอปไปด้วยก็คงพิมพ์ไว้ให้มากที่สุดแล้วเซฟไว้ในเครื่องก่อนละกันนะครับ
แล้วพอขึ้นเดือนพฤศจิกายนปั๊บผมก็จะเอามาลงให้อ่านกันรวดเดียวแบบจบบริบูรณ์
ปล.ระหว่างที่รอภาค4 ผมจะตั้งกระทู้เพลงประกอบเรื่องเล่า :+: กว่าจะรู้ว่ารัก :+: นะครับ
ถ้าคิดถึงผม(เออ...จะมีคนคิดถึงมั้ยเนี่ย)ก็แวะไปฟังเพลงในกระทู้ของผมหน่อยแล้วกัน
บางที บทเพลง อาจช่วยเล่าอะไรๆแทนใจผม แทนใจเทค และใจของเราสองคนได้บ้าง

ขอบคุณที่อ่านอย่างอดทนมาจนถึงบรรทัดนี้
จาก ผมเอง
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: น้ำค้าง ที่ 06-10-2007 23:30:26
ชอบอ่านเรื่องนี้ค่ะ สนุก เขียนได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เลย
แต่มันเศร้าไปหน่อยนะ เทคไม่น่ามีแฟนเลยใจร้อนชะมัด
หวังว่าภาค 4 นิวคงจะไม่เศร้าอย่างนี้นะจ๊ะ ขอให้สมหวังในความรักนะ
จะรออ่านภาค 4 จ้า
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: jammy ที่ 07-10-2007 00:12:32
บอกได้คำเดียวว่า เฮ้อออออออออ  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 07-10-2007 18:33:48
  o1จะรอภาค4นะครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: สาวตัวกลม ที่ 07-10-2007 23:35:43
เป็นกำลังใจให้เพื่อน เขียนภาคต่อไปนะจ้ะ สู้ๆๆๆๆๆ :m13:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: ~prince™~ ที่ 08-10-2007 01:24:42



                     ..............ผมพึ่งได้อ่านเรื่องของพี่นิว....อ่านแล้วชอบากเลยคับ................

                     ....................เลยติดตามอ่านมาเรื่อยๆจนถึงภาคนี้................................

                     ....................ผมว่าชีวิตพี่นิวเนี่ยยิ่งกว่านิยายซะอีกเนอะ.........................

                     ...............อ่านแล้วได้มีหลายอารมณ์หลายความรู้สึกจริงๆ.......................

                     ...........................ยังไงก็จะรออ่านภาคสี่นะครับ.....................................

                     

                     ..................................เป็นกำลังใจให้นะคับ.......................................... :a1:






หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjoh ที่ 08-10-2007 01:25:23
กะแล้วเชียว ว่ามันต้องมีอะไรทุกทีเลยซิน่า เฮ้อ
ยังไงก้อเป็นกำลังใจให้นิวครับ
 :a2:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: kryo_lover ที่ 08-10-2007 22:33:01
เพิ่งสอบเสร็จเลยแวะเข้ามาดู

มาต่อเยอะมากเลย

ไว้เค้ากลับมาอ่านวันหลังนะ

สู้ตายคร้าบ

 :a9:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: My name M ที่ 08-10-2007 23:37:02
 :undecided:...พี่นิวครับ ตลอดเวลาที่ผมคุยกับพี่มา ผมไม่เคยรู้ว่าพี่เคยผ่านช่วงเวลาที่ น่าเศร้า และความทรงจำที่เต็มไปด้วยน้ำตา ผมว่าพี่เก่งมาเลยครับ ที่สามารถผ่านช่วงเวลาเหล่านี้มาได้ หากเป็นผม ยังไม่รู้เลยครับ ว่าผมจะทำยังไง ผมดีใจมากนะครับที่ได้มารู้จักและไดคุยกับพี่ ทุกครั้งเวลาที่ผมเครียด แล้วผมมาคุยกับพี่ มันทำให้ผมได้รับรู้อะไรหลายอย่างและได้รู้ว่าเราควรเลือกทางใด  ในการตัดสินใจ
                ในความคิดผมเรื่องพี่กับพี่เทค บ้างครั้งผมก็คิดเหมือนพี่เทคนะครับ เลือกที่จะเป็นเพื่อน เพราะเป็นความสัมพันธ์ ที่ยาวนานมากที่สุด หากเราเลือกทางอีกเส้นหนึ่ง  เส้นทางของคู่ชีวิต มันอาจจะมีวันหนึ่งที่เราต้องจากกันเพราะความไม่เข้าใจกัน  .......   ถึงยังไง ไม่ว่าเราจะเลือกเส้นทางไหน ยังไงเราก็ยังมีเขาอยู่ข้างในนั้น  ข้างในที่เต็มไปด้วยความทรงจำดี ๆ ที่เราเคยมีความสุขด้วยกันกับเค้า  .........  ในความคิดผม ผมว่าพี่นิวก็ยังไม่เคยลืมพี่เทค และผมว่าพี่ก็ยังรักพี่เค้าอยู่นะครับ  ผมคิดแบบนั้นแต่มันคงอยู่ที่พี่อ่ะครับ ว่าพี่คิดยังไง
                 ผมว่าบ้างครั้งช่วงเวลาเหล่านี้อาจจะผ่านมาอีกครั้ง เพราะเรื่องต่าง ๆ หมักจะเกิดขึ้นได้เสมอเราไม่รู้ว่าอนาคต และชีวิตเราเป็นแบบไหน ( หากผมขอ คงอยากให้พี่กับพี่เทคได้รักกัน...รักกันตลอดไป...*พูดแล้วน้ำตาจะไหล :sad2:*....)  ชีวิตพี่ผมว่ามันเต็มไปด้วยเรื่อง ที่คาดไม่ถึงนะครับ  ผมว่าสักวันพี่กับพี่เทคอาจจะรักกันจริงก็ได้ครับ  ....  ยังผมก็ขอเป็นแรงใจให้ครับ  ผมจะตั้งชมรมคนรักเทคกับนิว...555+ :a3:   
                  :m3:.... ผมจะรอครับ  รอดูว่าสิ่งที่ผมหวังจะเป็นจริงป่าวครับ.... :m3:
[wma=300,50]http://sandth.schtuff.com/ruk_pu?action=binary.wma[/wma]

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: A GE ที่ 16-10-2007 23:55:40
 :a11: :a11: ขอบคุณนะครับนิว  อ่านแล้วเศร้าจัง   :m15: :m15:

ตกลงแฟนเทคเนี่ยะ  เค้าเรียกว่าตัวโกงอะป่าวเนี่ยะ  :m26: :m26:  มีการให้เทคตัดใจเปนเพื่อนกะนิวแทนที่จะให้กำลังใจตามง้อ  :angry2: :angry2:  สุดท้ายก็คือต้องการเปนแฟนเทคนี่เอง  :laugh: :laugh:

 :impress: :impress:ว่าแล้วก็รอภาค4ครับผม

หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 20-10-2007 14:48:10
เข้ามารอภาคสี่ เมื่อไหร่จะสมหวัง
 :m18: :m18: :m18: :m18:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: artday ที่ 21-10-2007 14:34:09
 o14 มารอภาค4ครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: Chanta ที่ 15-11-2008 16:25:20
เราอ่านเรื่องนี้ของท่านเปนเรื่องแรก.....

แต่เราจะติดตามต่อไป  ...

ไปอ่านก่อนน่ะ

 :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: Chanta ที่ 15-11-2008 16:31:59
ง่ะ....

เศร้าอ่า.......

แต่ยังมีภาค 4 ต่อจิงหรือ...

ไม่เอาเศร้าน่ะ.... :serius2:

 :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 24-11-2008 21:29:28
ถึงแม้จะเศร้าไปหน่อย แต่เราก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้ ใช่มั้ยครับ
ขอบคุณมากสำหรับการติดตามครับ

ผมเอง

ปล.ภาค4ไม่มีแล้วครับ แต่อาจจะมีผลงานเรื่องใหม่ที่ไม่ต่อเนื่องจากเรื่องนี้มาให้อ่าน เร็วๆนี้ (ขอเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกนิดนะครับ)
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: win_zah ที่ 29-11-2008 03:30:12
อืมม นนท์ยังอ่านไม่จบอ่ะคับ
แต่อยากจะบอกว่านนท์อยู่เมกา

แล้วก็เกิดวันที่ 7 กันยาด้วย
ซึ้งมากๆๆๆๆ

ตอนนี้หยุด thank ging ยาวที่เมกายังไงก็จะอ่านให้จบเลยคับ
ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆนี้นะคับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 13-12-2008 01:56:16
สวัสดีครับ คนเกิดวันเดียวกัน แวะมาทักทายครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: maabbdo ที่ 13-12-2008 23:13:50
อ่านแล้ว เศร้าจังเลย

มันคงเป็นอะไรที่เศร้ามากๆเลยเนอะ

 :sad4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+: (อวสาน)
เริ่มหัวข้อโดย: pooinfinity ที่ 25-09-2009 23:45:27
ดูท่าทางจะมีตอน 4

สงสัยเทคจิเลิกอีกแล้ว ชัวร์
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: ริกะจัง ที่ 28-06-2011 23:15:59
อ่านไปร้องไห้ไปจนไมเกรนขึ้น
อะไรมันจะแซดได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะเรื่องจดหมายตอบกลับฉบับนั้น

ตกลงคุณนิวก็ไม่ได้บอกรักคุณเทคเหรอคะ มายยยย นะ มายยยย ยอม
ยังไงคุณเทคก็ต้องเลือกคุณพี่นิวอยู่แล้วล่ะ

ว่าแต่คุณพี่นิวนี่โคตรเสน่ห์แรงเลยเหอะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: na-au ที่ 01-04-2012 20:05:12
จบภาค 3 แล้ว ทำไมมันเศร้าจังอ่ะ
จะรออ่านเรื่องใหม่ก็แล้วกันนะ

น้าอุ๊
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: Yร้าย ที่ 15-04-2012 01:52:46
ไม่อยากรับรู้อะไรอีกเลย....
สมองมันว่างไปแล้ว...........
ทำไมนะคน 2 คนที่รักกันแต่ไม่สามารถที่จะอยู่ร่วมกัน....
มันทรมานมากเลยนะ...ข้าพเจ้าเสียใจมากมายเลยจริง ๆ........
อยากให้ชีวิตเป็นเหมือนนิยายในบางตอนก็ได้......เลือกเอา
ตอนที่มันมีความสุขที่สุดมาตอนหนึงก็ได้....อยากให้ตอนนั้นมันเป็นของ
เทคกะนิว......ข้าพเจ้าเพิ่งมาอ่านทั้ง 3 ภาค..น้ำตาแทบจะไม่เหลือให้ไหลอีกแล้ว
ขอได้มั๊ย?...ขอให้นิวกะเทคได้มาอยู่ดูแลซึ่งกันและกันซักทีเถอะนะ...ข้าพเจ้ารับไม่ได้จริง ๆ ฮือๆๆๆๆๆๆ I'm so sad...... :z3:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: maru ที่ 02-05-2012 19:22:29
ขอบคุณสำหรับเรื่องเรื่องเล่าที่น่าประทับใจค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: รอยยิ้มอาบยาพิษ ที่ 03-11-2014 09:29:15
ภาค4 มันหายไปไหนอ่าาาาาา
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: teamkoyza ที่ 30-12-2014 11:27:46
 :sad4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: top_fy ที่ 22-11-2015 09:58:21
ได้อ่านจบแล้ว รวมทั้ง4ภาคเลย. อยากบอกว่าสงสาร พี่ทั้ง2,คนมากๆ ร้องไห้เลยอ่านตอนสุดท้าย ถ้าชาติหน้ามีจริงก็ขอให้พี่ทั้ง2คนได้รักกันเหมือนที่สัญญากันเอาไว้นะครับ ขอบคุณเรื่องราวดีๆนะคับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องเล่า] :+: กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค3 :+:
เริ่มหัวข้อโดย: Genina ที่ 04-05-2016 17:27:54
พี่นิว ผมอ่านเรื่องพี่จบแล้วนะ ผมขอแสดงความเสียใจด้วย แต่อย่างน้อยพี่ก็ได้ดูแลพี่เทคจนถึงวินาทีสุดท้ายนะครับ
ผมเองกลับมาฟังเพลง "เขียนถึงคนบนฟ้า" ก็เพราะพี่นี่แหละ
เรื่องของพี่จะเป็นนิยาย(แนวเรื่องเล่า)ที่ผมชอบเรื่องนึง ไม่มีฉากอย่างว่าเหมือนเรื่องอื่น แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นของคำว่ามิตรภาพ ครอบครัว และบุคคลที่ก้ำกึ่งระหว่างคนรักและเพื่อน
ผมอยากให้พี่อ้อย พี่ฉอดนำไปทำเป็นซีรีย์มาก
ตอนนี้พวกพี่ๆเองคงจะอายุประมาณ 35 36 กันหมดแล้ว หน้าที่การงานก็คงไปกันได้ดี
ผมขอเก็บเพลง "เขียนถึงคนบนฟ้า" ไว้เป็นตัวแทนความรักของพี่ทั้ง 2 คนนะครับ   

ปล.ขอบคุณคุณ j123 มากๆที่ส่ง กว่าจะรู้ว่ารัก ภาค 4 ให้ได้อ่านครับ