เพราะรัก....จึงเปลี่ยนได้
Part 46
ครอบครัวกล...
.
.
.
.
ตั้งแต่แม่เตือนสติ ผมเริ่มทำจิตใจให้เข้มแข็ง นั่งทานข้าวกับแม่ ถึงจะกินได้ไม่มาก
แต่ก็กินไปไม่น้อยทีเดียว
แย่งหน้าที่พี่พยาบาลเช็ดตัวให้กลมันอีก เปลี่ยนชุดคนไข้ให้เรียบร้อย ทุกสัมผัสที่ทำ..
ผมใส่ใจสุดๆยังกะดูแลเด็กเล็กเลย ไม่เว้นแม้แต่จุดซ่อนเร้น ทำให้ซะสะอาดสะอ้านทาแป้งเด็กอีกตะหาก
คิดว่าคงสบายตัวเลยทีเดียว ขณะที่ผมดูแลกลนั้น..แม่ปล่อยผมไว้ตามลำพัง ท่านไม่เคยทำให้
ผมรู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย ประเสริฐจริงๆแม่ของผม
หลังจากรู้เรื่องผม..แม่ไม่เคยเซ้าซี้ถามไรอีกเลย กับเล่าให้ฟังว่าบอกพี่ๆน้องๆทุกคน
ในครอบครัวผมรับรู้หมดแล้ว แต่ไม่ได้พูดให้ฟังว่าใครคิดเห็นกันอย่างไร ผมเชื่อว่า..ถ้าลองแม่เป็นคนพูด
ทุกคนคงยอมรับได้แน่ เพราะพวกเรารักเคารพแม่มาก อะไรก็ตามที่แม่จัดการให้..เราเคารพการตัดสินใจ
ของแม่อยู่แล้ว เพราะเราเชื่อเสมอ...แม่ไม่เคยทำให้ลูกผิดหวัง ผมรู้สึกสบายใจไปเรื่องแล้ว
คงเหลือแค่รอการยอมรับและให้อภัย..จากครอบครัวของกลมันเท่านั้น
แม่ของกล ผมคิดว่าท่านคงทำใจได้ในระดับหนึ่ง ส่วนพ่อแล้วผมไม่กล้าคาดหวัง
เหตุการณ์เพิ่งผ่านมาสองอาทิตย์กว่า ยากเกินจะหวังว่าพ่อกลจะยอมรับได้...เรื่องนี้อย่าเพิ่งคิดดีกว่า
เอาเรื่องตรงหน้าก่อน เมื่อไหร่กลสิทธิ์ของผมจะตื่นสักที
ผมนั่งเฝ้ากลมัน..ในใจภาวนาอยากให้มันลืมตามาจัง..ผ่านมาทั้งวันแล้ว
แต่ก็ไม่เป็นไปอย่างที่หวัง แม่กลับบ้านไปตอนบ่ายแก่ๆ..ท่านห่วงน้องปล่อยให้อยู่ลำพังกันสองคน
คงกลับไปดูความเรียบร้อยก่อน
สองทุ่ม..แม่กับทุกคนมากันพร้อมหน้า เอาข้าวมื้อเย็นมาให้ผม พร้อมเอาเสื้อผ้า
มาให้เปลี่ยนด้วย ทุกคนมาเยี่ยมกลมัน แต่ที่อึ้งคือกุศโลบายที่แม่ให้วิวกับวุ้นหิ้วท้องมาทานข้าว
เป็นเพื่อนผมที่โรงบาล โดยแม่กับพี่ๆ กินมาก่อนแล้วที่บ้าน อาจเพราะพี่ทำงานมาเหนื่อย
จะให้หิ้วท้องรอคงไม่ไหว
ผมรู้ว่าแม่ทำแบบนี้ แค่ไม่อยากให้ผมกินข้าวคนเดียว มีน้องๆเป็นเพื่อน..คงช่วยให้ผม
กินได้เยอะขึ้น มันก็ได้ผลนะครับ เพราะผมกินได้มากกว่าเดิม คงเพราะเจ้าวิวกับเจ้าวุ้นกินเป็นเพื่อนละมั้ง
วิวมันอยู่ม.4 วุ้นม.1 วัยกำลังกินกำลังโตกันเลย
ท่ากินก็เอร็ดอร่อยซะคนมองพลอยหิวตาม กอปรกับมีคำถาม..ให้ต้องคอยตอบไปด้วย
ทำเอาเพลินไปเหมือนกัน คำถามส่วนใหญ่ก็เรื่องที่กรุงเทพฯชีวิตความเป็นอยู่ สังคมเพื่อนฝูงไรประมาณนี้
วัยกำลังอยากรู้อยากเห็น
ผมคิดไว้เหมือนกันหากเรียนจบมีงานทำ คงจังหวะที่วิวมันเอ็นฯเข้ามหาลัยพอดี
ผมจะให้มันเรียนที่กรุงเทพฯ ชีวิตเด็กเมืองกรุงช่วยให้เกิดความกระตือรือร้นมากขึ้น เพราะการแข่งขันสูง
วิสัยทัศน์เกี่ยวกับการใช้ชีวิตโตขึ้น ไม่เฉื่อยแฉะเรื่อยเปื่อยไปวันๆ ดูอย่างถมเพื่อนกลมัน จากเด็กปีหนึ่ง
ซื่อๆ บื้อๆ ตอนนี้คล่องปร๋อเลยหละ นี่แหละเค้าถึงว่า...คนเราลองมีโอกาสเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่เคยสัมผัส
เพื่อหาประสบการณ์ให้กับตนเอง ก็ย่อมทำให้พัฒนารู้เท่าทันโลกได้มากกว่าเดิม
ที่คิดว่าได้แน่ๆ หากใครได้มาใช้ชีวิตนักศึกษาในเมืองกรุง นั่นคือ
‘รู้อะไรไม่สู้ รู้เก่งคน’ เพราะการที่ได้มาเจอคนมากมายในกรุงเทพฯ..ล้วนแตกต่างกันไป
ทั้งดีทั้งเลวทั้งกล้าและเก่ง..หรือบางคนก็กร้านจนร่านไปเลยก็มี สิ่งเหล่านี้..จะช่วยให้น้องผมรู้มากขึ้น
ดีกว่าเป็นเด็กซื่อๆไม่ทันคน
เด็กต่างจังหวัดส่วนใหญ่ขาดความมั่นใจขี้อาย กลายเป็นคนไม่กล้าแสดงออก
สมัยนั้นส่วนใหญ่เป็นแบบนั้นจริงๆ เลยทำให้เด็กที่มาเรียนหาประสบการณ์ในกรุงเทพฯ ได้เปรียบพวกที่
ไม่มีโอกาสได้มาสัมผัสสิ่งเหล่านี้
แต่ใช่จะได้ดีกันทุกราย มีเหมือนกันที่เรียนไม่จบ กลับหลงแสงสีเสียผู้เสียคน
ไปก็เยอะแยะ จนคนเค้าเอามาแต่งเป็นเพลงเตือนสติก็หลายเพลง
หลังจากกินข้าวเรียบร้อย พี่ๆถามความคืบหน้าอาการกลมัน ผมบอกไปตามที่หมอ
มาเช็คร่างกายครั้งล่าสุด ทุกอย่างปกติรอแต่ให้ฟื้นเพียงอย่างเดียว
ส่วนเรื่องที่พี่ผมไปเรียกร้องเอากับเจ้าของบ้าน เค้ายินยอมจ่ายค่ารักษาพยาบาล
ให้ทั้งหมด ถือว่าเบาใจไป..ไม่ต้องกลายเป็นภาระให้พี่ๆอีก ไม่งั้นคงต้องนำเงินรายได้จากการสร้างบ้าน..
มาจ่ายค่ารักษาพยาบาลกลมันตามหน้าที่ เพราะมันบาดเจ็บเนื่องจากไปช่วยงานของพี่ผม นอกจากนี้
เจ้าของบ้านยังมีน้ำใจจ่ายค่าทำขวัญให้อีกสองพัน ซึ่งพี่ผมตั้งใจให้มันเพิ่มอีกสามพัน สรุปกลสิทธิ์
ได้รับเงินห้าพันกับการเจ็บตัวครั้งนี้ ถือว่าไม่น้อยเลย เงินห้าพันเท่ากับเงินห้าหมื่นเชียวหละ
เทียบกับทองคำในสมัยนั้น ทองรูปพรรณบาทละสามพันกว่า แต่เดี๋ยวนี้บาทละสองหมื่นกว่า
พอจะมองมูลค่าเงินที่แตกต่างออกใช่ไหม?
ทุกคนอยู่เป็นเพื่อนผมประมาณสี่ทุ่มก็พากันกลับ เพราะพรุ่งนี้พี่ต้องไปเก็บรายละเอียด
บ้านที่สร้าง..ก่อนส่งมอบให้เจ้าของ..ต้องเร่งให้จบภายในอาทิตย์นี้ เพื่อเบิกเงินงวดสุดท้ายมาเคลียร์
ค่าแรงคนงาน หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว เหลือกำไรประมาณเกือบสามหมื่น เค้าถึงค่อยแบ่งกันและไม่ลืม
แบ่งให้แม่เก็บไว้อีกต่างหาก นี่แหละพี่ชายผมหละ...
จากนั้นผมอยู่กับกลสิทธิ์เพียงลำพัง คืนนี้จิตใจผมสงบขึ้น ไม่ร้อนรนกระวนกระวาย
เหมือนคืนที่ผ่านมา คิดว่าคงหลับได้ เพราะรู้สึกสบายใจขึ้นมาก คงเพราะมีสติควบคุมตนเองได้แล้ว
หลังห้าทุ่มกว่า ตรวจความเรียบร้อยกลมันอีกครั้ง..เตรียมตัวนอน แต่พอออกจาก
ห้องน้ำ..เพิ่งแปรงฟันเสร็จ ประตูห้องถูกผลักเปิดพร้อมด้วยครอบครัวของกลเดินเรียงกันเข้ามา
มีแม่ พ่อ คุณยาย กลอยน้องสาวมัน น้าก้องน้องของแม่ รวมห้าคน
ผมรีบยกมือไหว้ เพราะทุกคนผมรู้จักคุ้นเคยดี พวกเค้ารับไหว้ผมเสร็จตรงเข้าหา
กลมันทันที แม่น้ำตาไหลเมื่อเห็นมันนอนบนเตียงคนป่วย แขนมีสายน้ำเกลือโยงติดอยู่
แกถึงกับร้องไห้สะอื้น ผมเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ที่มาเห็นสภาพลูกชายนอนป่วยไม่ฟื้นแบบนี้..
ย่อมใจเสียเป็นธรรมดา
สำหรับแม่ผมไม่แปลกใจ แต่ที่ต้องอึ้ง..คือผมเห็นพ่อกลตาแดงก่ำ..เหมือนกลั้นน้ำตา
ไม่ให้ร้องเต็มที่ ท่านยังเอามือลูบหัวมันเบาๆอีกต่างหาก น้องกลอยก็ยืนร้องไห้ข้างแม่ น้องสาวกลคนนี้
รักพี่ชายมาก เพราะเค้ามีกันสองคนพี่น้อง ซึ่งโตมาด้วยกันตั้งแต่ตายายเอาไปเลี้ยง
ส่วนน้าก้องกับยายต่างยืนดูนิ่งๆ เห็นหน้ายายท่านอิ่มบุญมาก ยอมรับว่าผมไม่แปลกใจ
ที่ท่านไม่ทุกข์ร้อนแสดงอาการเศร้าโศรก เพราะเคยสัมผัสคำพูดที่ให้แง่คิดตอนงานศพคุณตามาแล้ว
ยายเป็นกระจกสะท้อนให้เห็นภาพแม่ของผมอีกสิบปีข้างหน้าเลยก็ว่าได้ เป็นผู้หญิงแกร่งใจดีมีเมตตา
ยายมีส่วนอย่างมากที่ทำให้พ่อกลยอมลดทิฐิมาเยี่ยมมัน
ผมเพียงแต่คาดเดา พ่อกลเคยพูดตัดขาด..ตัดเป็นตัดตายกับกลมาก่อน
แต่พอเกิดเรื่องกลับไม่ทิ้งมัน แม้ผมจะแอบหวังอยู่ลึกๆ ว่าพ่ออาจจะมา เพราะถ้าท่านมาแสดง
ว่าให้อภัยกลมันแล้ว ในที่สุดพ่อก็มาจริงๆ
สรุปที่ผมคิดไม่ผิด เมื่อมารู้ทีหลัง..แม่กลเล่าให้ยายฟังอย่างไม่ปิดบัง
และยายเป็นคนพูดให้พ่อกลได้คิด อย่าลืมกลคือหลานรักของยาย ซึ่งท่านเลี้ยงมากับมือ
มีหรือที่จะไม่รู้จักนิสัยหลานท่าน ดังนั้นยายย่อมรู้จักกลสิทธิ์ดี ผมคงไม่ยกรายละเอียดมาเล่า
ว่ายายพูดอะไรกับพ่อ เพราะผมเองไม่ได้รู้ลึกขนาดนั้น รู้แค่ประมาณนี้เหมือนกัน
ทุกคนเยี่ยมกลกันเสร็จแล้ว พากันสอบถามเรื่องราวกับผมอย่างละเอียด
ยกเว้นพ่อกลท่านยังไม่เอ่ยปากพูดกับผมสักคำ ผมก็เล่าให้ฟังตามที่รู้มาทั้งหมด บอกแม้กระทั่งเรื่อง
คนจ่ายค่ารักษา และค่าทำขวัญ..ตามข้อมูลล่าสุดที่ฟังจากพี่อย่างไม่ปิดบัง เพราะครอบครัวกลสิทธิ์
สามารถตัดสินใจทุกอย่าง ขณะที่มันยังนอนไม่ได้สติอยู่นี่ ตามที่แม่บอกผมไว้..ถึงยังไง
ผมยังคงเป็นคนนอกอยู่ดี
สรุปครอบครัวกลจองโรงแรม..ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงบาลไว้คืนเดียว พรุ่งนี้เช้า
จะมาคุยกับหมอหากกลยังไม่ฟื้น พวกท่านจะย้ายมันเข้ากรุงเทพฯ จุดมุ่งหมายที่มา เพื่อย้ายมัน
ไปรักษาที่ศิริราช เพราะใกล้บ้านและสะดวกทันสมัย..พวกผู้ใหญ่เค้าคิดกันอย่างงั้น
อีกอย่างอาลพรู้จักกับหมอที่นั้น แกประสานงานจัดการให้เสร็จสรรพ คงถือโอกาส
ไถ่โทษที่กุ้งนางทำกลมันไว้เยอะ แกคงคิดได้ที่แกเองก็บันดาลโทสะลงมือกับมันก่อน จะว่ามันไม่เห็นหัวแก
ก็ไม่ได้ ถึงแม้มันดูไม่ดีที่ดันชกแกไป อย่างน้อยแกอาวุโสและอยู่ในฐานะพ่อเลี้ยงของมันด้วย
แต่ก็พูดยากอีก เพราะฐานะพ่อเลี้ยงที่เข้าข้างลูกสาว จนกลายเป็นเรื่องราว
ลุกลามใหญ่โต..กลมันคงจิตหลุดเหมือนกัน..เพราะถูกกดดันบีบคั้นไปซะทุกทาง พูดอะไรไป
ก็ไม่มีใครเชื่อ ไม่งั้นคงไม่หลุดเรื่องผมกับมันหรอก
เพราะแบบนี้แกคงอยากชดเชยให้ อย่างน้อยกลก็เป็นลูกของเมียแก
ยากที่จะทำเป็นใจดำอยู่ได้ ไม่งั้นแกเองอาจติดลบในสายตาแม่และญาติทางแม่ ที่ต่างรักแกกันทุกคน
ดูจากงานศพตาซึ่งแกตามไปทีหลัง ญาติพี่น้องรวมทั้งยายต่างต้อนรับแกอย่างอบอุ่น
กอปรกับมันสมองระดับวิศวะ..คงช่วยให้แกคิดได้เร็วขึ้นด้วย....พื้นฐานอาลพไม่ใช่คน
ที่จิตใจเลวร้าย ออกจะเป็นผู้ใหญ่ใจดีและอบอุ่นเสียด้วยซ้ำ
เพราะรักลูกมากจนความรักบังตาทำให้เห็นผิดเป็นชอบ ใช่มีแต่ความรักของหนุ่มสาว
เท่านั้นที่รักกันจนหน้ามืดตามัว บางทีความรักของพ่อแม่ที่รักลูกมากจนเกินไปอาจเกิดผลเสียได้ในที่สุด
ใช่ว่าลูกจะเป็นคนดีเสมอไป กลับเป็นคนนิสัยเสียเหมือนกุ้งนางก็มีออกเยอะแยะ เหมือนที่เค้ากล่าวว่า
‘พ่อแม่รังแกฉัน’ นั่นแหละ
แต่ผมเข้าใจอาลพนะ ที่แกเป็นแบบนั้น คงต้องการชดเชยที่ลูกสาวกำพร้าแม่
แล้วตัวแกยังแต่งงานใหม่อีก ผมคิดว่าแกคงไม่ต้องการให้ลูกรู้สึกขาดและต้องการให้ครอบครัวอบอุ่น
เลยตามใจลูกซะงั้น แต่ไม่มีเวลาที่จะสอนหรือให้การอบรมที่ดีตามไปด้วย ผลที่ได้จึงเป็นอย่างที่เห็น
กุ้งนางคือกระจกสะท้อนตัวตนกลสิทธิ์ในมุมหนึ่งของสังคมเช่นกัน หากกลสิทธิ์เป็นคน
ที่ขาดคนรักคนเข้าใจ กุ้งนางคงเป็นเหมือนกัน ต่างกันก็ตรงที่กลสิทธิ์กล้าทำแล้วกล้ารับ
ไม่ว่าสิ่งที่ทำจะชั่วช้าเลวทรามแค่ไหน มันไม่เคยปัดความรับผิดชอบ คิดโยนความผิดให้คนอื่น
แต่กุ้งนางไม่ใช่ สองคนนี้ต่างกันก็ตรงนี้แหละ นอกนั้นแทบจะเหมือนกันซะด้วยซ้ำ
เพราะต่างแสวงหาการยอมรับ..แสวงหาความรักในทางที่ผิดทั้งคู่
บังเอิญกุ้งนางเป็นผู้หญิงเลยแย่กว่ากลสิทธิ์ และได้รับผลกระทบเลวร้ายมากกว่านักจากการกระทำ
ของตนเอง..ถึงกับท้องไม่มีพ่อ หากเธอเป็นผู้ชาย ไม่รู้เหมือนกันจะทำระยำเลวทรามได้มากแค่ไหน
แล้วจะมีโอกาสกลับตัวเป็นคนดีเหมือนกลสิทธิ์มันหรือเปล่า นี่ก็ยากจะคาดเดาอีกเหมือนกัน
มาถึงตรงนี้ คงเริ่มมองเห็นมุมแต่ละคนกันแล้ว...ว่าที่พวกเค้าเป็นแบบนั้นเพราะอะไร
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น พวกเราอาจเป็นคนนอกจึงวิจารณ์ไปตามที่เห็น แต่เราไม่ได้รู้ลึกถึงจิตใจเค้าเหล่านั้น
ไม่ได้รู้ภูมิหลัง ไม่ได้รู้ว่าพวกเค้าซ่อนอะไรไว้ในใจกันอยู่บ้าง ที่เค้าทำ..ทำไปเพื่ออะไร?..แล้วได้อะไร?
เหมือนพวกนักโทษที่ทำผิดกฎหมายก่อคดีร้ายแรง...หลายคนพื้นฐานไม่ได้เลวร้าย
เหมือนที่เราคิด..เพราะเราเสพข่าวเพียงด้านเดียว อีกอย่างพวกเค้าเหล่านั้นไม่มีโอกาสแก้ตัวด้วย
เราวัดจากการกระทำและได้ตัดสินผิดถูกไปแล้ว ที่พูดตรงนี้ใช่ว่านักโทษจะดีกันทุกคน
บางคนก็เลวด้วยกมลสันดาน เลือดเย็นใจทรามและชั่วร้าย ทำเพื่อสนองตัณหา..มากกว่า
แสวงหาเหตุผลก็มีมากมาย
แต่ถึงยังไง ก่อนตัดสินว่าใครดีใครเลว เราควรแน่ใจเสียก่อน ที่สำคัญที่สุด
ในการตัดสินคนอื่น
‘อย่าเอาบรรทัดฐานของตนเองเป็นที่ตั้ง’ เพราะการตัดสินผู้อื่น
โดยเอาบรรทัดฐานตัวเราเป็นที่ตั้งแล้ว เมื่อนั้นเราจะเห็นว่าเค้าผิดเค้าถูกตามทัศนคติของเราทันที
หลังจากครอบครัวกลสิทธิ์พากันกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมแล้ว คืนนี้พวกท่านฝากให้ผม
ดูแลกลสิทธิ์เหมือนเดิม เพราะทุกคนเดินทางกันมาเหนื่อย กว่าจะมาถึงก็อาศัยน้าก้องกับพ่อของกล
เปลี่ยนกันขับรถคงเพลียไม่น้อย จึงลงความเห็นว่ากลับไปนอนพักเอาแรงกันก่อน แล้วพรุ่งนี้สายๆ
จะพากันมาพบหมอ คาดว่าคงราวสิบโมงเช้า เพราะผมบอกไปว่าหมอเวรลงตรวจเวลานี้
พวกท่านก็พยักหน้ารับ กลับกันไปราวตีหนึ่งเห็นจะได้
ความตั้งใจเดิมที่ว่าจะนอนหลับคืนนี้ กลับไม่เสียแล้ว เมื่อประสาทตาผมแข็งขึ้นมาซะงั้น
เพราะหลังจากรู้ว่า..ถ้าหากพรุ่งนี้กลสิทธิ์ยังไม่ยอมฟื้น ครอบครัวมันจะย้ายไปรักษาที่ศิริราช
ผมเองยังคิดไม่ตกว่าจะเอาไง จะตามไปดูแลก็ไม่แน่ใจว่าพวกเค้าจะยอมกันหรือเปล่า
หรืออาจใช่โอกาสนี้แยกเราจากกันเลยก็ได้ เพราะไม่รู้ว่ากลสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น
จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรไหม? คำถามเหล่านี้มันวนเวียนอยู่ในหัวผมตลอด จนนอนหลับไม่ได้แน่
ตัดสินใจลากเก้าอี้ มานั่งข้างเตียง เอื้อมมือไปกุมมือกลมันเอาไว้ ความรู้สึกสัมผัสผ่าน
ร่างกายที่อุ่นไปด้วยเลือดเนื้อของมัน ทำให้รู้ว่ามันไม่ได้จากผมไปไหน คงสามารถรับรู้สิ่งที่ผมจะพูด
ต่อไปนี้ ผมตั้งใจถ่ายทอดคำพูด ตามความรู้สึกให้มันฟัง
“
กล..มึงได้ยินกูไหม...พ่อแม่..น้ามึง..น้องกับยาย....ครอบครัวมึง
พวกเค้าพากันมาเยี่ยมมึงแล้ว...กูคิดว่าพ่อมึงคงหายโกรธมึงแล้วหละ...ไม่งั้นท่านคงไม่ลงทุนมาหามึง
ถึงนี่แน่ๆ..กูดีใจแทนด้วยนะ..แต่..พวกเค้าบอกว่าถ้าพรุ่งนี้มึงยังไม่ยอมตื่น เค้าจะย้ายมึงเข้ากรุงเทพฯ
ไปรักษาต่อที่ศิริราช....กูไม่รู้ว่าเค้าจะยอมให้กูตามไปดูแลมึงหรือเปล่า...เพราะกูยังไม่กล้าขอ...
แม้ใจกูตามมึงไปตั้งแต่ที่ได้ยินแล้วก็เถอะ....
มันก็อีกแหละ....พ่อมึงยังไม่พูดกับกูสักคำเลย ยังดีหน่อยที่ท่านยังยักหน้ารับไหว้กู..
ไม่ถึงกับเมินเสียทีเดียว...กูไม่มั่นใจว่าท่านจะยอมให้กูเข้าใกล้มึงหรือไม่ พวกท่านอาจจะแยก
พวกเราจากกันก็ได้ ตราบใดที่มึงนอนไม่ยอมตื่นซักที กูคงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปขอร้องให้พวกท่าน
เมตตาสงสารหรอกนะกล.....ตอนนี้กูอยากร้องไห้ว่ะ!....แต่กูรับปากกับแม่เอาไว้...เพื่อไม่ให้มึงกังวล.
กูต้องไม่ร้องและต้องเข้มแข็งให้ได้อย่างที่แม่พูด...ทั้งที่ใจกูร้องไปแล้ว..คงไม่ผิดใช่ไหม...
อยากน้อยกูก็ร้องในใจนิ...หึหึหึ!....มึงจะหัวเราะก็ได้นะ....กูไม่ว่ามึงหรอก...ที่มานั่งพูดงี่เง่าให้มึงฟัง
กูแค่ต้องการ....ให้มึงตื่นขึ้นมาสักที....อย่างน้อยตื่นมาก่อนที่พวกท่านจะตัดสินใจ
ทำอะไร.....กูกับมึงอาจช่วยกันขอร้องให้กูไปดูแลมึงได้จริงไหม?....ตอนนี้กูเหมือนตัวคนเดียว...
หัวเดียวกระเทียมลีบ...พูดอะไรไปคงไม่มีใครเค้าฟังกูหรอก...ดีไม่ดี...จะพาลทำให้พ่อมึงเกลียดกู
เข้าไปใหญ่ กูไม่อยากให้ท่านเกลียดกูไปมากกว่านี้แล้วว่ะกล....แค่ที่ท่านเย็นชาใส่กูก็รู้สึกแย่
ยิ่งกว่าอะไรแล้ว....ขืนท่านเกลียดกูไปมากกว่านี้...ความหวังที่จะได้อยู่กับมึงยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปอีก
กล...กูไม่อยากปล่อยมือมึงเลยนะ....กูไม่ได้ต้องการผิดสัญญากับมึง...
กะ..กู....กูขอสูดหายใจสักแป๊ป...ฮืดดดๆๆๆ!!!...เอาหละ...กูไหวแล้ว...หึหึหึ!..ถ้าไม่หยุด...
กูต้องร้องแน่เลยว่ะ!...กูไม่พูดต่อดีกว่า...ขืนพูดต่อกูร้องจริงๆ ด้วย...เดี๋ยวผิดคำพูดที่รับปากกับแม่อีก
กูอยากเข้มแข็งให้ได้อย่างแม่...กูต้องทำให้ได้สิจริงไหม?.....มึงรีบตื่นมานะกล....พรุ่งนี้เช้าเลยยิ่งดี...
ตื่นก่อนที่เค้าจะพามึงไปจากกู...ขอร้องหละกล...กูรอมึงอยู่นะ...พรุ่งนี้นะกล...สัญญา..
ตื่นมาอรุณสวัสดิ์กัน...ตกลงไหม?...เจ็ดโมงเช้า..ตามนี้นะโว้ย!...กูถือว่ามึงรับปากกูแล้ว..ถ้าไม่ตื่น..
ถ้ามึงไม่ยอมตื่น..กู..จะ..จะ...กูไปนอนเอาแรงดีกว่า...เจอกันพรุ่งนี้กล....”
ผมวางมือมันไว้ที่เดิม หันหลังพุ่งฟุบหน้าลงหมอนนอนคว่ำหน้าบนโซฟานั่นแหละ
ปล่อยน้ำตาไหลลงเรื่อยๆ ไม่ไหว..ผมกลั้นไม่อยู่จริงๆ...ทรมานอึดอัดหัวใจอย่างมาก หากครอบครัวมัน
ย้ายมันเข้ากรุงเทพฯ แล้วถือโอกาสนี้แยกเราจากกัน...ผมไม่อยากคิดเลย...ว่าผมจะอยู่ยังไง...
ถ้ารู้ว่าต่อไปนี้ไม่มีมันอีกแล้ว...
ผมรักมันไปแล้ว..รักมากด้วย...ผมจะทนได้เหรอ..??????
ขอโตดจริงๆ. ..ต้นฉบับมันมาแบบนี้..พี่กลยังไม่ตื่นง่า
อย่าว่านู๋นะ...ช่วงนี้พี่วีงานยุ่งด้วย....พี่เค้าบอกว่าตอนหน้าตื่นแน่นอน
รออีกนิดนะค่ะ Fc พี่เค้าไม่ได้แกล้งให้เครียดเลยน้า
แต่ตอนนี้มันเป็นจุดเปลี่ยนอีกตอนที่ไม่น่าข้ามนะ
ที่สำคัญเค้าอยากฝากแง่คิดตอนนี้ด้วย ตามที่ได้แทรกมา
ลองดึงใจความสำคัญกันดูนะค่ะ
Luk.[/color]