Room 42
งานศพคุณลุงชาติถูกจัดขึ้นอย่างเงียบๆในบรรยากาศแบบเป็นกันเองภายในชุมชน คนในละแวกนั้นมาร่วมงานกันพร้อมหน้าพร้อมตา ถ้ามองในแง่ดีสักหน่อยผมว่าบางทีลุงชาติแกอาจจะไม่ได้เลวร้ายก็ได้นะ อย่างน้อยทุกคนก็ยินดีมาร่วมงามศพแก แถมยังทำอาหารมากันคนละนิดละหน่อยมาช่วยเลี้ยงแขกในงานด้วย
พวกผมช่วยกันดูแลแขกในงานด้วยการเสิร์ฟข้าวเสิร์ฟน้ำหลังฟังพระสวดเสร็จ คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วที่ตั้งศพ เสร็จพิธีพรุ่งนี้ก็เผาเลย ผมเองก็ไม่รู้ว่าหลายวันที่ผ่านมานี่คุณน้าทำใจได้มากน้อยขึ้นแค่ไหน แกพยายามฝืนยิ้มให้แขกที่เดินเข้ามาปลอบใจแกทุกครั้ง แต่บางครั้งก็เห็นแกแอบไปนั่งทำหน้าเศร้าอยู่เงียบๆคนเดียวเหมือนกัน ส่วนภคินไม่ต้องพูดถึง...มันหายหน้าหายตาไปจากงานเสียทุกครั้ง เอาแต่ไปขลุกอยู่ในโรงครัวหรือไม่ก็เดินไปรอบๆวัด และจะกลับมาอีกทีเมื่อตอนเก็บของดึกๆเท่านั้น
....เฮ้ออออออออออออ...แล้วแบบนี้เมื่อไหร่จะเข้าใจกันนะ แม่ลูกคู่นี้.... ผมถอนหายใจเหนื่อยอ่อนพลางนั่งลงตรงแถวพื้นต่างระดับของศาลา มือก็ตักกระเพราะปลาในถ้วยโฟมกิน แต่อยู่ๆก็มีอีกคนมาทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ
“ข้าวเย็นเหรอ”
“เปล่าหรอกมื้อดึกน่ะ” ผมยิ้มบางๆให้ “เพลงไม่กินเหรอ”
สาวผมสั้นในเสื้อยืดกางเกงยีนส์สีดำดูทะมัดทะแมงส่ายหน้าแรงๆเสียจนผมปลิว “ไม่ล่ะ...อ้วน!!!!”
“ผอมจะตายยังมีอะไรให้อ้วนอีก” นี่แหละน๊า...ผู้หญิงนี่อะไรๆก็กลัวอ้วนจริงๆ ผมว่าเกิดมาก็กินๆไปเหอะครับ แต่ก็ได้แค่คิด...เผลอพูดออกไปเพลงคงเตรียมเผาศพผมพร้อมคุณลุงพรุ่งนี้รวดเดียวเลย
“ไอ้คินแม่งแย่ว่ะ” เพลงบ่นอุบอิบ “ไม่มาดูคุณน้าเลย”
“ภคินมันก็มีเหตุผลของมันแหละ” ผมคิดแบบนั้นจริงๆนะ ผมอยู่กับมาได้เกือบปีแล้ว... มันบ้าเลือด เอาแต่ใจก็จริงอยู่ แต่เรื่องแบบนี้มันมีเหตุผลในแบบของมันเองเสมอล่ะ ยิ่งเป็นเรื่องพวกนี้ผมยิ่งเข้าใจมัน....
จะว่าเข้าข้างมันก็คงได้มั้ง?... ผมอาจจะเป็นเด็กคิดอะไรตื้นๆแบบมันก็ได้ในบางที ไม่รู้สิ...การที่ผมเห็นมันลำบากลำบนทำงานหาเงินให้แม่แต่เหมือนแม่ไม่เห็นค่าเนี้ยมันน่าเจ็บปวดออกนะ.... การที่มันจะรู้สึกห่างเหินกับแม่ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพียงแต่ว่าตอนนี้มันเป็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดมากกว่าเดิมเท่านั้นเอง...
“นี่...เพลง”
“อะไร”
“ลุงชาติแกเป็นคนยังไงเหรอ” จะด้วยความอยากรู้หรืออะไรก็แล้วแต่ ....ผมดันถามสิ่งที่ไม่ควรจะถามออกไปซะแล้วสิ... เพลงเหมือนจะอึ้งไปกับคำถามของผมนิดหน่อย “เฮ้ย...ขอโทษที่ถามเรื่องส่วนตัวเกินไปนะ ลำบากใจก็ไม่ต้องตอบหรอก”
“เปล่า...ก็แค่แปลกใจว่าทำไมถึงอยากรู้เฉยๆ” เธอทำตาโตเหมือนยังมึนงงไม่หาย
“ก็แค่สงสัยน่ะ”
“สอดรู้สมเป็นไปป์ดีนะ” เฮ้ยๆ...เห็นแบบนี้ผมก็เสือกมีขอบเขตนะครับ แต่เรื่องนี้มันค้างคาใจจริงๆนี่นา... “กูรู้จักคินมันตั้งแต่เด็กแล้วล่ะ สมัยนั้นพ่อมันยังอยู่นู่นเลย”
“พ่อภคินน่ะเหรอ”
“ใช่...หล่อมาก หน้าเหมือนมันอย่างกับแกะ ขนาดตอนนั้นเด็ก...กูยังดูออกเลยว่าหล่อน่ะ” เธอว่าพลางหัวเราะเบาๆ “เสียแต่ว่าแกเป็นมะเร็งปอดเพราะสูบบุหรี่จัด....แกเลยเสียตั้งแต่คินมันยังอยู่ประถมเลยมั้ง”
“แล้วลุงชาติ??”
“ลุงแกเข้ามาหลังจากนั้นแหละ แต่กูเองก็ไม่รู้ที่มาที่ไปหรอก...ตอนนั้นกูยังเด็กมาก แต่เท่าที่จำได้ตั้งแต่ลุงแกเข้ามา คินมันก็ร่าเริงน้อยลง ชวนเล่นที่โรงเรียนมันก็ไม่ค่อยเล่น แต่ถ้าถามถึงลุงชาตินะ...บ้านกูอยู่ละแวกนี้แหละใครๆก็รู้จักแกทั้งนั้น”
“ลุงเขา....เอ่อ...เป็นไงบ้างน่ะ?”
“แกก็ขี้เหล้านะ เล่นไพ่ แทงบอล แทงม้าอะไรไปตามภาษาชาวบ้านทั่วไป แต่แม่กูบอกว่าแกก็นิสัยดีนะ....ไม่ได้แย่อะไร”
“อ๋อ...เหรอ...” บางทีแกอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่ภคินมันคิดก็ได้มั้ง...
ผมคนกระเพาะปลาในถ้วยช้าๆพลางเหม่อลอยอย่างใช้ความคิด...แต่รู้สึกเหมือนมีสายตาจับจ้องอยู่จนต้องเงยหน้าขึ้นไป คู่สนทนาเมื่อกี้กำลังจ้องหน้าผมอย่างเอาเป็นเอาตาย และไม่มีการหลบตาแม้แต่น้อยตอนถูกจับได้
“มะ....มีอะไรเหรอ”
“เปล๊า” โน้ต อุดม...สอนชายไทยเอาไว้ว่าถ้าผู้หญิงขึ้นเสียงสูงแสดงว่าเธอโกหกอยู่...
“ไม่มีอะไรแล้วยิ้มทำไม...แอบชอบเรารึไง”
“โห...นี่ถ้าไม่อยู่ในงานศพกูจะหัวเราะให้ฟันร่วงเลย คิดได้นะมึงอ่ะ” นี่เขาเรียกว่าหักอกกันซึ่งๆหน้าใช่ไหมครับ? “กูแค่คิดว่าไอ้คินมันโชคดีนะ”
“ที่ลุงชาติตายอ่ะนะ”
“ไม่ใช่โว้ย... ปากเสียสมแล้วที่อิแม๊กซ์มันชอบปะฝีปากกับมึง” โอเค...กูจะคิดซะว่ามันเป็นคำชมนะ “กูคิดว่ามันโชคดีที่มีมึงนะ”
ห๊ะ...เอาอะไรมาพูด โชคดีเพราะมีผมเนี้ยนะ.. “เราไม่ใช่ตัวนำโชคหรือตัวเงินตัวทองนะเพลง” ว่าแล้วก็ทำหน้ามุ่ยใส่คนที่หัวเราะเบาๆ....เฮ้ยๆ..งานศพนะครับพี่
“กูไม่ได้หมายความแบบนั้น มึงก็คิดได้นะ” เธอยังหัวเราะไม่เลิก
“แล้วหมายความว่าไงล่ะวะ” อ้าวนั่น...เริ่มหลุดวะกับผู้หญิงแล้วกู....
เธอไม่ตอบในทันที เอาแต่หัวเราะเบาๆ...มันจะตลกอะไรนักหนาวะ ไม่รู้รึไงคนที่รอฟังเขาอยากรู้ใจจะขาดน่ะ!!!...ผมไม่ได้อยากเสือกนะครับ...ไม่ใช่จริงๆนะ!!!!!
“โชคดีไง...ที่มีมึงอยู่ข้างๆ”
“ห๊า..???”
“อย่าเข้าใจอะไรยากสิวะ”
“เราไม่เห็นว่าที่เราอยู่จะช่วยให้อะไรมันดีขึ้นเลย.... ดูสิอย่างช่วงนี้มันก็ซึมๆไม่ยอมมาร่วมงานศพสักวันเลย”
“แค่มันยอมมาที่วัดนี่ก็ดีจะแย่แล้ว” เพลงยืนขึ้นบิดขี้เกียจแถมยังหาวแบบไม่ปิดปากอีกต่างหาก “ฮ๊าววววววววว...มึงรู้มั้ย...ไอ้คินมันเกลียดลุงชาติจะตาย เคยบอกด้วยว่าถ้าเขาตายมันจะไม่มาเผาผีเด็ดขาดเลย”
“โห...ขนาดนั้น”
“นี่ยังน้อยไปนะมึง...ถ้าสองคนนี้เหยียบเปลือกโลกแผ่นเดียวกันเมื่อไหร่....ธรณีลุกเป็นไฟแน่” เออ..เพลง ภคินมันไม่ใช่เจ้าแม่กาลีนะ
“กูถึงได้บอกไงว่าตั้งแต่คบกับมึง มันก็ดีขึ้นเยอะ”
“เอ๊า!!!แน่ละ...เราเป็นคนดีนี่นา” เพลงหันมาทำหน้าเอือมใส่ผมก่อนจะเดินจากไปหน้าตาเฉย อารมณ์ว่ากูทนมึงไม่ไหวละ นี่ถ้าไม่อยู่ในวัดเชื่อได้เลย...เธอสอยผมสักป้าบแน่ๆ...
พอเพลงหายไปจากเรติน่าผมก็เริ่มกลับเข้าสู่โหมดเหม่อลอยอีกครั้ง กระเพาะปลาในถ้วยเกลี้ยงไปแล้ว แต่ผมยังคงมีอะไรให้คิดอีกมากมาย....
ลมเย็นๆชวนเสียวสันหลังพัดวูบเข้ามา ผมรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างไม่มีสาเหตุ.... สงสัยอยู่ในวัดด้วย บรรยากาศมันเลยออกจะชวนขนหัวลุกไปเสียหน่อย นี่ก็ไม่รู้ว่าไอ้พระเอกมันไปเดินวนสิงเจดีย์อยู่ที่ไหน....บ้าชะมัด!!วัดตอนกลางคืนน่ากลัวขนาดนี้ยังจะออกไปเดินเล่นอีกนะ....
ไม่รู้รึไงคนเขาเป็นห่วงน่ะโว้ย!!!!!!!!!!!! “เป็นห่วงก็ไปตามสิครับ”
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!! ผมหันควับไปด้านหลังแล้วก็เป็นดังคาด เสียงเย็นๆแบบนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจากไอ้อาร์ทที่เดินทำหน้าเมากัญชามายืนค้ำหัวผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แม่งเอ๊ย...ดีนะกูไม่หลุดกรี๊ดกลางวัด ไม่งั้นอายไปยันชาติหน้าแน่ๆ
“ทำหน้าแบบนั้นทำไมน่ะครับ อย่าทำให้ผมหัวเราะในงานศพเลยครับ
“งั้นเปลี่ยนเป็นหัวมีเลือดออกแทนมั้ยล่ะ แม่ง...อยู่ๆก็โผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง”
“ก็ให้เสียงไปแล้วนี่ครับ ให้ก่อนอย่างอื่นเลยด้วยนะครับ”
“พอ...พอ...พอ กูไม่ขอเถียงอะไรกับมึงอีกแล้ว แล้วนี่งานเสร็จแล้วเหรอถึงได้ออกมากวนตีนกูเนี้ย”
“เสร็จแล้วสิครับ ไม่งั้นจะได้มาเห็นคนเป็นห่วงคินเหรอครับ”
ไอ้อาร์ท...มึงอ่านใจได้เรอะ เชี่ยนี่ต้องเล่นของแบบที่ไอ้ฟาร์บอกแน่ๆ!!!!!!!!!!!!!!! “ไม่ไปตามคินหน่อยเหรอครับ ไม่รู้ตอนนี้ไปอยู่ไหนแล้ว”
“ไม่รู้มัน...คงขอส่วนบุญอยู่ตามแถวนี้แหละ” ที่พูดไปนี่ไม่ใช่ไม่กลัวนะครับ....ขนลุกซู่เลยกู.... ยิ่งตอนไอ้อาร์ทมันหันมายิ้มเย็นๆให้นะ หูยยยยยยยยยยย...เยี่ยวแทบราดครับ
“ปากแข็งจังเลยนะครับ เอาเถอะครับ” มันยักไหล่ “คินมันจะไปเสียชีวิตที่ไหนไปป์ก็ไม่สนใจมันอยู่แล้วนี่ครับ”
“แล้วทำไมมึงต้องมาแดกดันกูด้วยเนี้ยไอ้อาร์ท....”
“ในเวลาที่อ่อนแอ...คนที่เข้มแข็งที่สุดอาจต้องการคนอยู่ข้างๆมากที่สุดก็ได้นะครับ” ผมไม่รอให้อาร์ทมันพูดจาเล่นลิ้นอะไรต่อแล้ว ผมลุกพรวดขึ้นแล้วรีบหนีบแตะสาวเท้าออกมาจากศาลาทันที มันเป็นความร้อนใจที่ไม่สามารถทนนั่งเฉยๆได้อีกต่อไป ผมอยากเจอมัน....อยากเห็นหน้า...อยากรู้ว่ามันเป็นยังไงบ้าง
ผมไม่รู้ว่ามันต้องการผมไหม....แต่ผมต้องการมันมากตอนนี้!!!!!!!!! ไม่รู้ว่าโชคดีหรือร้ายที่วัดแห่งนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตนัก แต่ดันร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ที่เบียดเสียดกันเต็มพื้นที่....ไอ้ตอนเช้ามันก็เย็นสบายดีอยู่หรอก แต่พอตกดึกมันเย็นเกินความจำเป็น แถมเวลาลมพัดแล้วกิ่งไม้ไหวมันชวนให้จินตนาการไปต่างๆนานาเสียจริง
ผมเดินเร็วๆมาถึงลานทรายกว้างๆของวัด... แต่ก็อย่างที่เห็นว่าไม่มีใครอยู่ เลยต้องเลี้ยวซ้ายไปทางวิหารวัดซึ่งตอนนี้ประตูปิดสนิทแสดงให้เห็นว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่แน่ๆ เลยต้องอ้อมผ่านเดินทะลุศาลาไปเรื่อยๆ ไอ้ผมก็ไม่กล้าสอดส่องสายตาซ้ายขวามากนัก...กลัวเห็นอย่างอื่นติดแถมมาด้วย โอ๊ย...มันหายไปไหนของมันเนี้ยเดินลึกไปอีกหน่อยก็ถึงเมรุแล้วนะเว่ย!!!!!
ผมปิดประสาทสัมผัสตัวเองให้มากที่สุด พยายามไม่สนใจกลิ่นธูปที่ลอยมาเตะจมูก พยายามไม่ดูเงาสีดำที่วูบไหวไปมา พยายามไม่ฟังเสียงหวีดร้องของลมที่ทำให้กิ่งไม้เสียดสีกัน ตะ....แต่ทำไมผมถึงได้ยินเสียงเหยียบใบไม้กรอบแกรบมาจากด้านหลัง.......
“เดินมาทำไมคนเดียว” “เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” ผมตกใจจนสะดุ้งโหยงแถมยังหลุดแหกปากซะเสียงดังลั่นวัด.. มึงจะตายอยู่ไหนกูไม่สนแล้วกูขอหลับหูหลับตาวิ่งก่อน ละ...แล้วทำไมกูวิ่งแล้วมันไม่ไปเนี้ย
“เฮ้ย...เป็นอะไร วิ่งทำไม...นี่กูเอง”
ชะงัก...และหันกลับไปมองด้านหลัง....
อ๊อ...มันนี่เอง!!!!!!!! ไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำให้กูต้องมายืนหน้าโง่จนเกือบเดินเข้าเมรุไปแล้ว ไอ้ภคินมีสีหน้ามึนงงขณะที่มือข้างนึงล็อคผมไว้ด้วยการดึงคอเสื้อ.... มิน่าล่ะกูวิ่งไม่ไปสักที
“มึงหายไปไหนมา กูเดินตามเป็นไกด์นำเที่ยววัดแล้วเนี้ย”
“กูต่างหากต้องถามมึงว่าออกมาเดินทำไมคนเดียว”
“ก็มาตามหาไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้เนี้ยแหละ” ผมลดวอลลุ่มลงหน่อยเมื่อคิดได้ว่าเผลอพูดเสียงดังในเขตศักดิ์สิทธิ์ “หายไปไหนมมาเนี้ย”
“ไม่ได้หายไปไหน ก็นั่งอยู่ตรงม้านั่งข้างๆลานทรายไง กูเห็นมึงเดินลิ่วๆไม่มองหน้าอินทร์หน้าพรหมก็เลยงงว่าจะรีบไปไหน”
“บ้าเอ๊ย...ก็ออกมาตามหามึงเนี้ยแหละ”
“หือ...หากูเนี้ยนะ?? หาทำไมเหรอ” มันทำหน้าเหมือนสงสัยว่ามีธุระอะไร
“ก็เป็นหะ....”
“เป็นหะ??” มันเลิกคิ้ว “หะอะไร”
“หะ..............ห่วง.....”
อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกก....เขินเว้ย!!!!!!!! เลือดขึ้นมาเดินเล่นบนหน้าอีกแล้ว เมื่อกี้กูเพิ่งจะกลัวผีหน้าซีดหน้าเซียวไปเองนะ!!!!!!!!!! ภคินยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่สดใสในรอบหลายวันที่ผ่านมาเลยล่ะ อย่าน้อยมันก็ไม่ได้ฝืนยิ้ม...ผมมั่นใจ “ดีใจจัง....มีคนเป็นห่วงด้วย”
“ก็เออสิ....บ้าจริง ออกมาเดินเล่นในวัดตอนกลางคืนทุกวันนี่คิดว่ามึงอยู่แถวอาร์ซีเอรึไงวะ”
มันหัวเราะเบาๆกับคำเปรียบเปรยของผม แล้วยิ้มออกมาอีก “เกือบหลงในอาร์ซีเอแล้ว...ดีนะมีคนมาตามกลับ”
ขอโทษเถอะครับ...ไอ้อาการหนาวๆร้อนๆบนหนังหน้าผมนี่มันเกิดจากทำอะไรผิดผีผิดประเพณีในวัดหรือเปล่าเนี้ย
“พอๆ...ไม่ต้องเขินแล้ว งานใกล้จะเลิกแล้วเรากลับไปเคลียร์ของกันดีกว่า”
“ภคิน...”
“หือ??”
“มึงไม่สบายใจรึเปล่า”
มันตาโต “เรื่องอะไรน่ะ”
“ก็....ทุกเรื่องแหละ เรื่องแม่ เรื่องลุงชาติ...” ผมถอนหายใจ “กูไม่เห็นมึงอยู่ในงานศพเลยสักวัน”
“ไปป์...กูเกลียดเขามากกว่าที่มึงคิดนะ..... อีกอย่างกูไม่อยากอยู่ให้แม่รู้สึกแย่หรอก”
“มึงไม่อยู่ต่างหากที่ทำให้แม่รู้สึกแย่”
“เขาไม่อยากเห็นหน้ากูหรอก ตอนนี้ปล่อยให้เขาอยู่กับไอ้ลุงชาติเสียให้พอเถอะ”
“ภคิน....”
“ขอโทษว่ะไปป์” มันก้มหัวลงมาซบที่บ่าผม แล้วเอ่ยด้วยเสียงเบาๆ “กูไม่รู้ว่าต้องทำยังไงกับเรื่องนี้จริงๆ.... กูเหนื่อย”
ได้ยินแบบนั้นผมก็ยกมือลูบเส้นผมมันเบาๆ “เหนื่อยก็พัก....อย่าไปคิดอะไรให้มันมากนักเลย”
“ขอบใจนะ....ขอบใจจริงๆ......” ตอนแรกผมคิดว่ามันจะรวบตัวผมเข้าไปกอดเสียด้วยซ้ำ แต่คงเพราะอยู่ในวัด...ภคินมันเลยทำแค่เพียงซบหน้าลงกับบ่าผมแล้วสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆเท่านั้น....
ผมไม่รู้หรอกว่ามันต้องเจอกับอะไรมาบ้างในชีวิต
รู้แค่ว่าอยากอยู่ข้างๆมันเท่านั้นเอง.....
.........................................................
..............................................
...................................
..................
กลิ่นเผาไหม้คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ผมพยายามหายใจเข้าให้น้อยที่สุดเพราะไม่อยากได้กลิ่นเนื้อที่ถูกเผานัก ควันไฟสีดำค่อยๆลอยเอื่อยจากปล่องไฟสูงก่อนจะสลายไปกับท้องฟ้าสีหม่น บรรยากาศน่าหดหู่โรยตัวไปทั่วบริเวณ
วันเผาศพไม่ว่าที่ไหนๆบนโลกก็เหมือนกัน...เต็มไปด้วยความโศกเศร้าและอาลัยอาวรณ์ คุณน้ายืนอยู่ใกล้เตาเผามากที่สุด เธออยู่ในชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้าและเอาแต่จ้องมองที่ประตูบานเล็กนั่นด้วยสายตาว่างเปล่าแต่น้ำตาไหลออกมาไม่หยุด เธอไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนวันก่อนๆที่ผมเห็นแล้ว ก็ไม่รู้ว่าแบบไหนแย่กว่ากัน....
แต่ในเรื่องน่าหดหู่ก็ยังมีเรื่องดีๆให้ใจชื้นนิดหน่อย ผมก้มลงมองที่ตีนบันไดก็เห็นไอ้ภคินในชุดเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์ท่าทางทะมัดทะแมงยืนเท้าแขนกับเชิงบันไดเงยหน้าจ้องผมอยู่แล้วเหมือนกัน เอาเถอะ...อย่างน้อยมันก็ยอมมาวันเผา ดีกว่าที่เพลงเคยบอกว่าสองคนนี้ไม่มีทางเผาผีกันเด็ดขาด จะว่าผมประสบความสำเร็จในการเกลี้ยกล่อมมันดีมั้ยเนี้ย...
มันยักคิ้วส่งสัญญาณว่าจะไปรอผมที่ศาลา ผมก็พยักหน้าตอบรับ คิดว่าอยู่บนนี้อีกสักพักแล้วจะตามมันไป พวกเพื่อนๆมันก็ทยอยกันลงไปทีละคนๆ เอาล่ะ...ผมเองก็จะลงไปบ้างเหมือนกัน...
“ลูก....ขอน้าคุยอะไรด้วยหน่อยสิ”
ห๊ะ?? ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม??? และเมื่อพิสูจน์ด้วยการหันกลับไปก็พบว่าผมไม่ได้หูเพี้ยน แม่ของภคินพูดกับผมจริงๆ..
“คะ...ครับ”
“เพื่อนสนิทคินใช่มั้ยลูก” เออ...ถ้าบอกว่าเป็นแฟน คุณน้าจะช็อกไหมล่ะครับ... “น้ามีเรื่องอยากจะฝากหน่อย”
“อะไรครับ”
“....ฝากดูแลคินหน่อยนะลูก......” แววตาที่รื้อไปด้วยน้ำตานั่นจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผม แค่นั้นผมก็รู้แล้วว่าเธอเป็นห่วงลูกชายจริงๆ...
แต่จะให้พยักหน้าเป็นพระรองทำความดีแทนพระเอกน่ะ.....มันไม่ใช่ผม!!!! “คุณน้าน่าจะดูแลเขาเองมากกว่านะครับ”
เธอเบิกตากว้างกับคำตอบที่ไม่คาดคิด “นะ....น้า......”
“ถ้าคุณน้าเป็นห่วงคุณน้าก็ต้องเป็นคนดูแลเองนะครับ เรื่องแบบนี้จะมาฝากคนอื่นดูแลได้ยังไง” น้ำเสียงผมแข็งกร้าวจนเธอตกใจ
“คินเขาไม่อยากให้น้าไปยุ่งกับเขาหรอก”
“คุณน้ารู้ได้ไงน่ะครับว่ามันไม่อยากให้คุณน้ามายุ่งด้วย เคยถามมันเหรอ?? มันเคยบอกอย่างนั้นเหรอ?”
“นะ....น้าขอโทษ...”
“อย่าบอกผมเลยครับ บอกลูกชายคุณน้าเถอะ” ผมถอนหายใจ “มันรอให้คุณน้าไปทำดีกับมันมานานแล้วล่ะครับ”
ผมกำลังพยายามคุมตัวเองไม่ให้เผลอตะโกนออกไปนะ....บ้าชะมัดทั้งๆที่เรื่องของครอบครัวคนอื่นแท้ๆแต่ผมทำเป็นเดินผ่านไม่เห็นไม่ได้หรอก....มันแฟนผมทั้งคนนะ!!!!!
“ผมก็ไม่รู้หรอกนะครับว่ามันเกิดอะไรกับชีวิตครอบครัวของคุณน้า แต่การที่คุณน้าไม่สนใจลูกชายตัวเองแบบนี้มันทำให้ภคินเสียใจมากนะครับ” ผมลดเสียงให้อ่อนลงเพราะเห็นว่าน้ำตาเธอใกล้จะไหลอยู่รอมร่อแล้ว “มันทำงานหาเงินให้คุณน้าทุกวันนี่ไม่ได้แสดงให้เห็นเลยใช่มั้ยว่ามันรักคุณน้าน่ะ...”
บ้าเอ๊ย....น้ำตาผมจะไหลอยู่แล้ว..... “ทั้งหมดมันเป็นความผิดของน้าเองแหละ” แต่เธอชิ่งร้องไห้ไปก่อนผมเสียแล้ว “นะ...น้ารู้ว่าน้าเลวมาก...เลวจริงๆที่ควบคุมตัวเองไม่ได้....ทะ...ทำให้ลูกชายต้องมามีปมแบบนี้...ฮึก...”
“ผมขอโทษครับ...ที่พูดไม่ดี”
เธอส่ายหน้าตอบทั้งหน้าตา “ไม่หรอก....ที่ลูกพูดมาน่ะถูกทุกอย่างเลยล่ะ”
“คุณน้าครับ.....จะเป็นการยุ่งเรื่องส่วนตัวมั้ย ถ้าผมอยากจะรู้เรื่องของคนที่ผมเป็นห่วงบ้าง.....” ผมจ้องเข้าไปในดวงตาที่สั่นไหวคู่นั้น “ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยครับ”
“ตามน้ามาสิ....”
เธอเดินลงบันไดนำผมไปช้าๆก่อนจะเลือกนั่งลงบนโต๊ะม้าหินที่อยู่ใต้ต้นไม้ตัวหนึ่ง สายลมโชยอ่อนพัดพาเอาอากาศเย็นๆเข้ามาถูกผิวจนผมแอบลูบแขนตัวเองเบาๆก่อนจะล้มตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม....
“น้ากับชาติเราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วล่ะ..... น้า....รักชาติมาตั้งนานแล้ว”
“แล้วคุณน้าแต่งงานกับพ่อภคินทำไมล่ะครับ!!!”
“ระ....เรื่องนั้น.... พ่อคินเป็นเพื่อนกับชาตินั่นแหละ เรารู้จักกันมานานแล้ว...” เธอก้มหน้า “คืนวันนั้นน้าคึกคะนองตามภาษาวัยรุ่น.... แล้ว...น้าก็เมา....” มือที่กุมอยู่บนโต๊ะของเธอเริ่มสั่นจนผมเผลอเอื้อมไปจับมันไว้...
“ครับ...ผมรู้แล้ว คุณน้าไม่ต้องเล่าแล้วก็ได้”
“มันเป็นความผิดพลาดของน้าเอง น้าไม่โทษใครหรอก..... น้าแต่งงานกับเขาทั้งๆที่ท้องอ่อนๆ แล้วเราก็เริ่มอยู่ด้วยกันต้องแต่ตอนนั้น..... ชาติรับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้...แฟนเขา...ทะ..ท้องกับเพื่อนสนิทของตัวเอง....ตลกร้ายใช่มั้ยล่ะ”
“........”
“ชาติเสียใจมาก.... เขากลายเป็นคนเสเพล....ดื่มเหล้า....สูบบุหรี่....เล่นการพนันเสียทุกอย่าง” พูดถึงตรงนี้มือของเธอก็สั่นแรงขึ้นจนผมรู้สึกได้... “เป็นเพราะน้า....เพราะน้าคนเดียว”
“อย่าโทษตัวเองเลยครับ”
“แต่คินไม่ได้เกิดมาจากความผิดพลาด....น้าเชื่ออย่างนั้นจริงๆ” เธอเผยรอยยิ้มบางๆที่น่าเศร้า “หลังจากพ่อคินเสียไปน้าก็เลยแต่งงานใหม่กับชาติ....หวังว่าคนที่น้ารักทั้งสองคนจะอยู่ร่วมกันได้.... แต่มันสายไปแล้ว....คินกลายเป็นเด็กเก็บตัวต่อต้านสังคม ส่วนชาติก็ติดทั้งเหล้าทั้งการพนันจนกู่ไม่กลับเสียแล้ว....”
“น้าแค่อยากให้คนที่น้ารักมีความสุข.....ทำไมมันถึงได้ยากจังเลยนะ....” วันนี้มันวันอะไรกันนะ....ทำไมทุกอย่างถึงได้ประเดประดังเข้ามาพร้อมกันหมดเสียจนผมตั้งตัวแทบไม่ทัน... ภคินมันจะรู้สึกยังไงนะถ้าได้ยินเรื่องนี้.... ใช่...แม่มันรักลุงชาติจริงๆอย่างที่มันคิดเอาไว้... แต่มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนกว่านั้น มันเต็มไปด้วยความผิดพลาดเกินกว่ามันจะรับได้ ผมรู้ว่ามันเข้มแข็ง...แต่เรื่องนี้มันออกจะเกินไปหน่อย...
ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมภคินถึงกลายเป็นคนกลัวความรักนัก เพราะความรักทำร้ายมันมากมายถึงเพียงนี้ การต้องถูกแย่งชิงความรักหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ทำให้มันกลายเป็นเด็กขี้หวง กลัวจะโดนแย่งสิ่งสำคัญไปอีก ผมชักโกรธมันไม่ลงเวลาโดนหวงมากๆซะแล้วสิ กลัวจะไปกระทบโดนแผลมันเข้า...
......ไม่ว่าทางไหนผมก็ไม่อยากให้มันเสียใจทั้งนั้นแหละ “ผมจะไม่ปลอบใจอะไรคุณน้าทั้งนั้นนะครับ เพราะการจมอยู่กับอดีตมันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอกครับ” เอาล่ะ...สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผมกระชับมือตัวเองที่เกาะกุมกันไว้ “สิ่งที่คุณน้าควรจะทำคือเดินไปข้างหน้า ลุงชาติแกเสียไปแล้วคุณน้าก็ควรจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้แล้วนะครับ เริ่มจากการปรับความเข้าใจกับลูกชายคุณน้าก่อนเลย....คุณน้ารู้มั้ย....คินมันเป็นคนไม่สนใจโลกก็จริง แต่ถ้าเป็นคนที่มันรักล่ะก็....ให้ตายแทนมันยังทำได้เลยนะครับ”
“เธอเป็นเพื่อนที่ดีของคินจริงๆ....”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ผมก็แค่ไม่อยากเห็นสถานการณ์ที่ต่างคนต่างคิดไปเองว่าอีกฝ่ายเกลียดแล้วเข้าหน้ากันไม่ติดแบบนี้” ผมถอนหายใจอีกครั้งแล้วบอกเธออย่างชัดถ้อยชัดคำ “บอกลูกชายคุณน้าเถอะว่าคุณรักเขาเหมือนกัน”
“นะ...น้ายังมีสิทธิของความเป็นแม่อยู่อีกเหรอ...”
“มีสิครับ มีจนกว่าจะหมดลมหายใจเลยด้วย เอาล่ะ...คุณน้าเลิกร้องไห้เถอะผมรู้ว่าคุณเสียใจเรื่องคนรักของคุณ แต่ในเมื่ออดีตมันเอากลับคืนมาไม่ได้แล้ว.... แต่ลูกชายคุณเขายังเป็นของของคุณเสมอ... ทำไมคุณไม่เอาเขากลับมาล่ะ”
“นะ...น้าควรจะทำยังไงดี” เธอยกมือขึ้นเสยผม “น้าควรบอกเรื่องนี้กับเขางั้นเหรอ”
“ไม่ครับ...เรื่องมันไม่ยากขนาดนั้นหรอก”
“แล้วน้าควรทำยังไงดี...”
“กอดมันแน่นๆแล้วบอกไปเลยว่าคุณน้ารักมันแค่ไหน ลูกผู้ชายน่ะ” ผมตบที่อกตัวเอง “เขาพูดกันด้วยใจ...เชื่อผมมั้ยล่ะ”
ว่าแล้วก็ฉีกยิ้มกว้างๆเสริมความมั่นใจในวิธีการของตัวเองเสียเต็มประดา..... กระแดะไปงั้นแหละครับ เอาจริงๆผมก็แอบหวั่นๆอยู่ไม่น้อย แต่ที่ทำให้มันตกใจแทบหลุดกรี๊ดก็คือ...ยิ้มครับ!!!! คุณน้ายิ้มตอบผมด้วย!!!!!!! โอ้มายก๊อด!!!
“คะ...คุณน้า...” คราวนี้กลายเป็นผมแทนที่เอ๋อจนไปไม่เป็น...
“ไม่มีอะไรหรอกจ่ะ น้าดีใจนะที่คินมีเพื่อนดีๆอย่างเธอ”
“ขอบคุณครับ”
ผมยิ้มกว้างกับคำชมที่ได้รับ แม้จะแอบเถียงในใจเงียบๆก็ตาม……
แฟนครับ!!! ไม่ใช่เพื่อน!!!!!TBC
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด มาต่อแล้วค่ะ/คลานเข่าเข้ามากราบ/ เขียนเสร็จสักพักแล้วแต่ไม่มีเวลามาโพสจริงๆค่ะ
ขออภัยท่านผู้มีอุปการะคุณทุกท่านค่ะ ผิดไปแล้ว โฮกกกกกกกกกกกกกกกก
ตอนนี้ยังอึมครึมอยู่นะ แต่น้อยลงนิดนึงเพราะไปป์มันป่วง= =
เห็นคุณKiissHyเอารูปนี้มาโพสให้เลยอยากแบ่งปันกัน
มันเหมือนคินซ้อมพี่เดียวดายมากเลยค่ะ เห็นแล้วฮาแตกเลย กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ขอบคุณที่เอามาแบ่งปันกันนะคะ ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกก> <
เจอกันตอนหน้าค่ะ คิดถึงคนอ่านทุกคน
PS.กำลังซุ่มแต่งเรื่องสั้นอยู่แหละค่ะ รออ่านกันด้วยนะ(แล้วเรื่องนี้ล่ะเว้ย
)
PS.แอบเห็นคนเชียร์ให้ไปป์ยังไม่เสียซิงด้วยนะ คุณพี่ไม่ได้ยุนะคะคุณน้อง เคลียร์กันเองค่ะ โฮ๊ะๆๆๆๆ
PS.เรื่องตอนพิเศษที่ผู้โชคดีรีเควสมารอแป๊บนะคะ รับรองหวานมือหงิกแน่ๆค่ะ