Room 43
อาการกระสับกระส่าย หน้ามืด ตาลาย คล้ายจะเป็นลม เดินวนเหมือนคนบ้ากำลังเกิดขึ้นกับผม…หลังจากที่กลับไปที่ศาลา เดอะแก๊งก็ขอตัวแยกย้ายกลับ ส่วนผมและภคินเดินมาส่งคุณน้าที่หน้าบ้าน ผมทำสายตาส่งซิกยุกยิก ๆ กดดันจนคุณน้าต้องเอ่ยปากขอให้ภคินเข้าไปคุยในบ้านสักแป๊บ ทิ้งให้ผมยืนเคว้งอยู่ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นจนต้องเดินวอร์มร่างกายไปมา
นี่ก็เกือบสิบห้านาทีแล้วที่สองคนนั้นหายเข้าไปในบ้านเงียบ ๆ โอ๊ย... ผมใกล้จะเป็นบ้าแล้ว ทำไมถึงไม่ออกมาสักทีนะ มีอะไรเกิดขึ้นในนั้นกัน แล้วนี่ผมควรจะเป็นห่วงใคร? ไอ้พระเอกหรือคุณน้าดีวะเนี้ย?
เพล้งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง เสียงกระจกแตกจากในบ้านทำให้หัวสมองของผมว่างเปล่า สองขาเริ่มออกวิ่งไปที่ตัวบ้านทันที... บ้าเอ๊ย... อย่ามาใช้อารมณ์ใส่กันนะเว่ย! ผมผลักประตูบ้านเข้าไปอย่างแรง...
“อย่าทะเลาะกันนะ!” ตึง!
ความรู้สึกต่อมาที่เกิดคือ... อายครับ... อายชิบหาย... หญิงสาววัยกลางคนที่กำลังกอดลูกชายของเธอเบิกตากว้างด้วยความตกใจที่ผมพรวดพราดเปิดประตูเข้ามา ส่วนคนตัวสูงที่ก้มหน้าซบลงบนบ่าของเธอก็เงยหน้าขึ้นมาทำหน้างงใส่ผม เออ... กูมาขัดจังหวะสินะ...
“อ่า... โทษทีครับ เออ... ผมไปรอข้างนอกดีกว่า”
“ไม่ต้องหรอก กูจะกลับพอดีเลย” มันพูดแล้วผละออกมาจากอ้อมกอดของผู้หญิงที่ตัวเล็กกว่ามาก แล้วเดินไปคว้ากระเป๋าสะพายบนโต๊ะมาพาดบ่า “ไปเหอะ...”
มันพูดแล้วเดินนำออกไปนอกบ้านหน้าตาเฉย ผมรีบก้มหัวขอโทษขอโพยคุณน้าใหญ่ที่ทำเสียเรื่อง แต่คุณน้าส่ายหน้าแล้วพึมพำเบา ๆ ว่า ’ขอบคุณมาก’ ขอบคุณเหรอ... ขอบคุณอะไรล่ะ?
พอเห็นหน้างงเป็นหมาแดกแฟ้บของผม คุณน้าก็เดินมาตบแก้มเบา ๆ แล้วพึมพำข้างหูว่า “ฝากดูแลคินด้วยนะ... คินเลือกไม่ผิดจริง ๆ”
“ไปป์....กลับ!!!!!” เสียงเรียกจากนอกบ้านตามด้วยเสียงสตาร์ทรถทำเอาผมวิ่งออกมาแทบไม่ทัน แม่ง... อย่าทิ้งกูนะมึง ไอ้ภคินหัวเราะลั่นตอนที่ผมรีบกระโดดซ้อนท้ายมันจนล้อโล้น ๆ ของไอ้เน่าทรุดลงไปเบา ๆ แล้วมันก็บิดรถบรึ้นนนนนนนนน... ออกรั้วบ้านไปเลย ผมรีบกระตุกเสื้อยืดสีดำนั่นแรง ๆ
“คุยอะไรกับแม่วะ”
“ไม่บอก...” โห... เจองี้ผมไปไม่เป็นเลยครับ รู้เลยว่า ’อยากรู้แต่ไม่อยากถาม’ มันเป็นยังไง ไม่ได้สอดรู้นะครับ! แค่เป็นห่วงเฉย ๆ มันผิดรึไงวะ!
“โถ...ไม่บอกแค่นี้ทำหน้าเครียดเชียว ฮ่า ๆ ๆ”
“เชี่ย!” ผมทุบหลังมันดังอั้ก... เสือกมีมาแอบมองหน้ากูจากกระจกข้างอีกนะ “อะไร... ไม่ต้องมองเลย ขับรถไปเลยมึง”
“อะไร... งอนเหรอ”
“ไม่ได้งอนเว่ย!” นี่ถ้าไม่ติดว่าซ้อนรถมันอยู่พ่อจะเตะก้านคอสักป้าบ ไอ้นี่ก็หัวเราะซะอารมณ์ดีที่ได้แกล้งผม
“ไม่มีอะไรหรอก...”
“ห๊ะ?”
“แม่แค่ขอโทษกู” มันหันกลับไปมองถนนในขณะที่ผมชักอยากขอร้องให้มันกลับมามองหน้าผมแทนบ้าง “ก็แค่นั้นเอง...”
“งั้นเหรอ แล้วมึงว่าไงล่ะ...” ลมแรง ๆ พัดตีเข้าที่ใบหน้าจนรู้สึกเคืองตา...
“กูไม่ได้พูดอะไร... เขาก็เดินมากอดกู” มันนิ่งไปสักพัก “กูไม่รู้จะตอบว่าอะไรว่ะ... มันพูดยากนะที่อยู่ ๆ แม่ก็มาพูดกับกูแบบนี้... กูไม่ได้อยากเจ้าคิดเจ้าแค้นอะไร... แต่ใจกูมันยังไม่ยอมรับ...”
เสียงมันสั่นในท้ายประโยคจนผมต้องกระตุกชายเสื้อมันเบา ๆ “มันต้องใช้เวลา... กูเข้าใจ”
“จะให้รักกันหวานแหววเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมันก็ไม่ได้น่ะ...” มันถอนหายใจ “กูดีใจนะที่แม่ยังเห็นกูสำคัญอยู่บ้าง...”
“แม่เห็นมึงสำคัญเสมอแหละ... ไอ้บ้าเอ๊ย” ผมยกมือขยี้หัวมันแรง ๆ จนเส้นผมพันมือพอดึงออกมามันก็ร้องอูย “ไม่ต้องคิดมากหรอก มึงก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามเวลาแหละ ต่อจากนี้อะไร ๆ ก็จะดีขึ้นเอง... จริงมั้ย?”
ดวงตาคมนั่นละออกจากถนนเปลี่ยนมาจับจ้องที่กระจกข้างแทน ภคินยกยิ้มบาง ๆ ตอบผม... แค่ได้เห็นรอยยิ้มมันก็ทำให้ผมอุ่นไปทั้งหัวใจ รู้ตัวอีกทีสองมือค่อย ๆ สอดเข้าไปกอดเอวคนข้างหน้าเอาไว้เสียแล้ว ไอ้เด็กแว้นดูตกใจไม่น้อยที่ถูกผมรุก (?) ในที่สาธารณะแบบนี้ แต่มันไม่แซวอะไร... คงรู้ว่าถ้าพูดไปแล้วผมเอามือออกแน่ ๆ
ผมชักจะเข้าใจภคินมากขึ้นเรื่องที่มันชอบมารุ่มร่ามในที่สาธารณะแล้วล่ะ... ตอนเด็ก ๆ มันคงมีเรื่องฝังใจบางอย่างล่ะมั้ง... ไอ้ผมก็จะพยายามลดเรื่องความอายลงบ้างละกัน... ถึงจะไม่หน้าหนาเท่ามันก็เถอะ
ด้วยความเพลียจากการนอนน้อย... ประกอบกับลมเย็น ๆ ที่ตีกระแทกหน้าทำให้ผมซบใบหน้าลงบนแผ่นหลังเบื้องหน้า แล้วปิดตาลงช้า ๆ ...
อุ่นจัง...…………………………………………………
……………………………………..
……………………………
………….
สถานการณ์การมีชีวิตของผมช่วงนี้ค่อนข้างราบเรียบเป็นกราฟเส้นตรง ไม่มีอะไรหวือหวานอกเสียจากการลุ้นระทึกตอนพรีเซ็นต์งานแต่ละครั้งที่ต้องเอาคอไปวางพาดบนเขียงให้อีแร้งอีกามารุมจิกรุมทึ้ง เฮ้อออออ... แค่พูดก็เหนื่อยแล้วครับ
แต่คนใกล้ตัว (และใกล้ใจ ฮิ้วววววววววววววว) กลับมีกร๊าฟที่โลดแล่นอย่างน่าเหลือเชื่อ ชีวิตพ่อพระเอกยิ่งกว่าสายชลหรือคุณชาร์ลสเสียอีก
หลังจากเหตุการณ์ที่แม่ขอโทษมันวันนั้น สถานการณ์ระหว่างแม่ลูกคู่นี้ก็ตึงเครียดน้อยลงครับ... แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ตึงเครียดเลยนะ มันเคยพาผมแวะเวียนซื้อข้าวหรือเอาเงินไปให้คุณน้าแทนการโอนผ่านตู้สี่เหลี่ยมไร้อารมณ์ ไม่รู้ทำไมแม่ลูกคู่นี้ถึงได้ไม่ค่อยพูดอะไรกันนะ... ผมกับแม่นี่พูดกันน้ำไหลไฟดับเลย ยิ่งมีไอ้เชอร์มาผสมโรงด้วยยิ่งเจี๊ยวจ๊าวกันไปทั้งบ้าน อาจเป็นเพราะไม่ได้พูดกันตามปกตินานแล้วด้วยมั้ง... เลยไม่รู้จะพูดอะไร ลำบากผมอีก ต้องมานั่งจ้อชวนคุยนู่นนี่ตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ แต่ก็เอาเหอะกินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกันก็ถือว่าพัฒนาขึ้นเยอะแล้วล่ะครับ
เกริ่นมาตั้งนาน เรื่องกินข้าวกับแม่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ชีวิตสายชล... เอ๊ย! ภคิน มันเด้งขึ้นเด้งลงเป็นกร๊าฟฟันปลาแบบนี้หรอกครับ เรื่องจริง ๆ เลยก็คือ...
มันกำลังโดนตามตื้อครับ! “นะไอ้คิน... ถ้าไม่ได้หนังหน้ามึงละครคณะเราชิบหายวายป่วงแน่ ๆ” ว่าแล้วพี่ท่านก็มา...
ไอ้ผมก็ไม่ได้นับเสียด้วยว่ามันผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเรียงคิวกันมายังไง... แต่ที่แน่ ๆ เวลามันมากินข้าวกับผมทีไรจะมีเดินมาไม่ซ้ำหน้าเลยครับ... เขาทำงานกันเป็นทีมจริง ๆ
ไอ้พระเอกหันไปมองด้วยสีหน้าที่พร้อมจะพ่นเส้นเล็กต้มยำใส่หน้าเพื่อนคนนั้น “กูบอกว่าไม่...”
บอกตามตรงถ้าผมเป็นเพื่อนมัน... กูต่อยหน้าแหกไปแล้ว คิดภาพตามนะถ้าคุณเป็นคนนอกอะ... มีไอ้เหี้ยคนนึงที่หน้าตาดีมาก ๆ แต่พอเราไปขอความช่วยเหลือต้องการพึงใบบุญในส่วนที่พ่อแม่มันให้มา (และแน่นอนว่าเราไม่มี) มันเสือกตอบเหมือนกูมาขอทำบุญผ้าป่าซะอย่างนั้น... ช่างไม่เห็นความสำคัญของสังคมจริง ๆ นะมึง! และนี่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ว่า ทำไมหนังหน้าดี ๆ อย่างมันถึงไม่ใช้หน้าตาหากิน... พี่ท่านเล่นต้านสังคมซะขนาดนี้
“งั้นมึงจะให้ใครเป็นวะไอ้คิน?”
“นั่นสิคะน้องคิน พี่วางเรื่องไว้หมดแล้ว น้องแค่มาซ้อมนิด ๆ หน่อย ๆ หลังเลิกเรียนจันทร์ถึงศุกร์กับวันเสาร์อาทิตย์เท่านั้นเอง” เออ... พี่ครับ ผมว่ามันไม่นิดหน่อยแล้วมั้ง... นี่มันล่อไปเกือบทั้งชีวิตละ
“นะมึงนะ... ถือว่าช่วยกู้หน้าให้คณะเถอะ ถ้ามึงไม่เล่นแล้วใครจะเล่น”
“ใครก็ได้ที่ไม่ใช่กู” พี่ท่านก็ยึดมั่นในอุดมการณ์จริง ๆ
จะว่าสงสารคณะมันก็สงสารนะ ผมยังคิดไม่ออกว่าไอ้ผมยาวรุงรังหรือไอ้หนุ่มถักเดรดล็อกคนไหนมันพอจะเป็นหน้าเป็นตาให้คณะมันได้เลย นี่ถ้าได้ไอ้ภคินรับรองว่าเงินค่าบัตรไหลเข้าคณะมันอื้อแน่ ๆ
“กูบอกมึงแล้วว่ากูไม่ว่าง ไปขอเหี้ยโจ้ไป... มันอยากเป็นพระเอก”
“เออใช่ ๆ ทำไมไม่มาขอกูวะ กูพร้อมเสมอสำหรับบทนั้น ปกติก็เล่นอยู่ทุกวัน” พอได้สอดปากไอ้โจ้ก็ยักไหล่แบบกูไม่แคร์... หูยยยยยยยยยยยยย
“ใช่ ๆ เพื่อนกูเนี้ยดาราระดับแถวหน้าของวงการ” คู่หูรักยมเดินมาตบบ่าเพื่อนรักมัน “ชื่อในวงการคือโจโจ้ ไมอ๊อกซี่”
เออ... กูว่ามึงชักจะเลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว... “เหี้ยคินมึงจะบ้าเหรอ กูไม่ได้จัดละครเรื่องถลกหนังกำพร้าไอ้หน้ามืดนะเว่ย” ผมเริ่มเข้าใจแล้วทำไมเพื่อนมันคนนี้ถึงได้ทำละคร... แค่ตั้งชื่อเรื่องยังลึกซึ้งขนาดนี้เลย ยอดเยี่ยมจนกูเกือบลืมตัวลุกขึ้นปรบมือให้
“โห... ‘ไรว้าคนอุตส่าห์อยากช่วย”
“อยากได้หน้าตาดีก็ไปขอไอ้อาร์ทนู่นไป”
ควับ! ทุกสายตาจับจ้องไปที่ผู้ชายที่อยู่ ณ หัวโต๊ะทันที มือไอ้อาร์ทที่กำลังจับช้อนของชะงักก่อนจะได้เข้าปาก มันค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าว แล้วหันมาสบตาทุกคนช้า ๆ ด้วยรอยยิ้มเย็น ๆ ...
“เอ่อ... กูว่ากูไม่กวนพวกมึงละ ไว้กูมาใหม่นะคิน คราวหน้ามึงไม่รอดแน่” ไอ้หนุ่มใส่แว่นคนนั้นชี้หน้าคาดโทษเอาไว้ ซึ่งไอ้พระเอกก็เกรียนพอที่จะยักไหล่เป็นเชิง ‘เรื่องของมึง’ ตอบเขาไป
“ไม่คิดจะทำกิจกรรมเพื่อสังคมบ้างเลยรึไงมึง?” ผมนั่งท้าวคางถามมัน
“ไม่ทำ... เสียเวลา เอาเวลาไปหาตังแดกดีกว่า” ว่าแล้วพี่ท่านก็บิดขี้เกียจ... เฮ้ย ๆ มือน่ะไม่ต้องมาพาดไหล่กูก็ได้ “งานแม่งก็เยอะ ต้องกลับไปดราฟท์งานอีกสามแผ่นเนี้ย มึงจะให้กูเอาเวลาที่ไหนไปซ้อมละครโง่ ๆ”
กูเชื่อว่าเชกสเปียร์ได้ยินคงน้ำตาไหลพราก... บทกวีไม่มีความหมาย ฉันงมงายสวดมนต์ขอพร... ละคร ’ถาปัตย์เป็นงานใหญ่ของคณะมันเลยล่ะ ไอ้ผมก็ไม่ใช่พวกอารมณ์สุนทรีย์ขนาดว่าจะไปดูละครอะไรเทือกนั้นเสียด้วย แต่เพื่อนที่คณะมันชอบมาเล่าให้ฟังทุกปี... โดยเฉพาะไอ้แม็กซ์ที่มาเล็งพระเอกทุกปี ถ้าจะพูดให้ถูกคือมาดูเป้าผู้ชายในงานครับ หน้าเน่อมันไม่มอง มันก้มหน้าเดินอย่างเดียว ผู้ชายทุกคนพึงระวังไว้นะครับ... เจอกะเทยก้มหน้าเดิน ไม่ใช่ว่าเป็นคนขี้อาย แต่มันเล็งจุดยุทธศาสตร์ทางการสืบพันธุ์ของเราอยู่ครับ
เฮ้ย ๆ เดี๋ยวก่อน จากเรื่องละคร ’ถาปัตย์มันกลายเป็นเรื่องไอ้แม็กซ์กับเป้าผู้ชายไปได้ไงวะ กลับมาที่เรื่องเก่าของเราอีกครั้ง... ผมแค่อยากจะบอกว่าละครมันดังมาก ๆ เลยนะครับ คนในมหาลัยซื้อตั๋วกันให้รึ่ม... นี่ถ้าได้ไอ้ขี้เก๊กนี่ไปเล่นคงไม่ต้องพูดถึงว่าเงินจะไหลเข้าคณะมันขนาดไหน แต่ก็อย่างว่าล่ะ... ถ้าไม่ไหลเข้าประเป๋ามัน ไอ้นี่มันยอมที่ไหนล่ะ ไอ้หน้าเงินเอ๊ย!
“ทำไม... มองหน้ากูแบบนั้นหมายความว่าไงวะ?”
“เปล๊า...” เฮ้ย ทำไมกูเสียงสูงวะ
“เออ... งั้นก็ดี กลับห้องกันดีกว่า”
ดีนะที่มันโง่ อ่านความคิดคนอื่นไม่ค่อยออกเท่าไหร่ เพราะมันเป็นพวกสนใจแต่ตัวเอง (เหมือนจะดีแต่ก็ไม่ดีว่ะ) ผมกับมันเลยลุกเอาจานข้าวไปเก็บแล้วขอตัวกลับกันก่อน ไอ้ฟาร์ส่งสายตาอาฆาตพยาบาทเข้าทำร้ายผมอีกครั้ง ที่ทิ้งมันไว้ในฝูงหมาบ้า โทษทีว่ะเพื่อน... ยังไงกูก็ต้องเอาตัวรอดก่อน มึงก็อยู่เสพกัญชาเป็นเพื่อนไอ้อาร์ทไปก่อนนะ กร๊ากกกกกกกกกก
โรงอาหารกลางของมหาลัยตั้งอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของสารพัดคณะ ให้บริการอาหารและเครื่องดื่มในราคาย่อมเยาที่เท่าเทียมกันกับคุณภาพความสะอาด... ผมมองกรรมวิธีการล้างถ้วยล้างจานตอนที่เดินเอาจานไปเก็บแล้วสาบานกับตัวเองในใจว่ากูจะไม่กลับมาแดกที่นี่อีกถ้าไม่จำเป็น และด้วยความว่าฝูงชนจำนวนมากจากหลากหลายคณะแห่มากินข้าวกันที่นี่เล่นเอาผมแทบจะเขย่งเท้าเดิน จนมีไอ้เหี้ยที่ไหนไม่รู้มาเหยียบเท้าเข้าไปเต็มตีน
“เหี้ย!” อุทานได้ต่ำช้ามากกู...
“คนโว้ยไม่ใช่หะ... เฮ้ย! ไอ้ไปป์นี่หว่า ไงวะไม่ได้เจอกันนานเลย”
“อะ... ไอ้ตุ้ย”
ครับ... มันเป็นเพื่อนจากโรงเรียนเก่าของผมเอง แต่อยู่คนละห้องกัน... เอ๊... รู้สึกมันจะอยู่ห้อง 8 ห้องเดียวกับ...
“เฮ้ย! ไงวะคิน มึงก็อยู่เหรอเนี้ย วันเลี้ยงรุ่นรึไงวะ”
ไอ้พระเอกยักคิ้วตอบเพื่อนมัน “ยืนตั้งนานเพิ่งจะทักนะไอ้ตุ้ย”
“โหยยยยยยยยยยย...พ่อคนดังมหา’ลัย กูก็นึกว่าจะจำหน้าเพื่อนไม่ได้แล้ว”
“ดังห่าไรมึง วัน ๆ จมอยู่กับคณะ จะเอาเวลาที่ไหนไปดังวะ”
“ตอบเป็นเซเลบเลยวุ้ยเพื่อนกู” ตุ้ยหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “เออ... กูได้ข่าวมาว่ามึงเลิกกับแอมแล้วเหรอวะ? กูไม่เชื่อเลยนะเว่ย ถ้าไม่ได้มาถามกับมึงตรง ๆ”
“ข่าวเก่าว่ะ เลิกไปตั้งนานแล้ว”
“เฮ้ย! มึงพูดจริงเหรอ... เสียดายคบกันมาตั้งนาน แถมแอมสวยจะตาย ผู้ชายคนไหนก็อยากเป็นแฟนด้วยทั้งนั้นแหละ”
“เหรอ...” มันคงไม่รู้จะตอบอะไรไอ้ตุ้ยแล้วจริง ๆ
“เออ... แล้วนี่มึงมีคนมาดามหัวใจแล้วรึยังวะ?” และแล้วไอ้ตุ้ยก็ถามคำถามที่ผมกลัวที่สุด... “สาว ๆ ที่คณะกูฝากให้มาถามมึงเพียบเลย”
“มีแล้ว... ก็นี่ไง... ไอ้ปะ... โอ๊ย! มึงเหยียบตีนกูทำไมเนี้ย?” ผมรีบชักตีนที่ขยี้หลังเท้าไอ้ภคินออกทันทีไม่ให้ไอ้ตุ้ยผิดสังเกตพร้อมส่งสายตาดุใส่มันทันที... อย่าพูดออกไปเชียวนะมึง แค่นี้เขาก็จะรู้กันหมดแล้ว...
“ปะ... นี่มันใครวะ ปูเป้มนุษย์ฯ ป่านสังคมฯ ปรางเศรษฐศาสตร์” มันพูดกลั้วหัวเราะ “หรือว่าใกล้ ๆ นี่...
ไปป์บริหารเป็นไง กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ไอ้สัดตุ้ยขำครับ แม่งหัวเราะไม่ได้ดูสถานการณ์เลย! มึงดูหน้ากูนี่ ตลกกับมึงมั้ย เช้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด “โอ๋ ๆ ๆ กูล้อเล่นน่าอย่าทำหน้าแบบนั้นสิวะ” ไอ้ภคินอ้าปากจะพูดอะไรสักอย่างแต่โดนผมเหยียบไว้ด้วยตีน “แล้วแฟนใหม่เป็นไงมั่งวะ”
คราวนี้ไอ้พระเอกเหล่มองผม ก่อนจะยิ้มมุมปากแล้วหันไปตอบ
“พูดมาก ขี้นินทา ขี้บ่น น่ารำคาญ ปากหมา พูดจาหยาบคาย ชอบโกหกปกป้องคนอื่น ติดลูกอมปัญญาอ่อน ตั้งชื่อติ๊งต๊องให้ตุ๊กตาหมีโง่ ๆ” อุก... กูทำอะไรไม่ถูก ได้แต่อ้าปากค้าง... เหมือนถูกตบหน้ากลางสี่แยก... “ห๊ะ?” ไอ้ตุ้ยอึ้งไม่แพ้กัน สีหน้าของมันบ่งบอกเลยว่ามันกำลังคิดอยู่ว่า ‘มึงคบอินั่นเข้าไปได้ยังไง?’
ไอ้พระเอกยกยิ้มมุมปากเอาแขนพาดบนไหล่ผมแล้วยักคิ้วกวน ๆ ให้ไอ้ตุ้ยทีนึง
“แต่น่ารักชิบหายเลยว่ะ...” แม่งเอ๊ยยยยยยยย... เขินกว่านี้มีอีกมั้ยวะ!? ไม่ต้องรอให้ผมหลอมละลายเป็นน้ำให้ลุงภาโรงมาเช็ดออก มันเอาแขนที่โอบไหล่ผมดึงตัวผมออกไปท่ามกลางสีหน้างงเป็นไก่ตาระเบิดของไอ้ตุ้ย ไอ้ผมนี่รีบจ้ำอ้าวนำมันไปเลย... อายจนแทบจะคลานเอาหน้าถูพื้นแทนใช้เท้าเดินอยู่แล้ว
พูดงี้มึงชมกูแต่แรกไปเลยไป! ชิ!.............................................................................
............................................................
.....................................
.............
กราฟชีวิตของผมที่นิ่งเหมือนเส้นชีพจรคนตาย แต่อยู่ ๆ มันก็พุ่งขึ้นพุ่งลงเป็นฟันปลาประหนึ่งหุ้นรวน... เรื่องมันเริ่มมาจากประโยคนั้น...
มันเป็นวันเสาร์ที่แสนเงียบสงบเป็นปกติธรรมดาสากลของโลก... ผมกับภคินอยู่ที่ห้องด้วยกันทั้งคู่ ต่างฝ่ายต่างทำงาน ผมต้องเขียนแผนการตลาด ส่วนไอ้พระเอกยึดโต๊ะกินข้าวใช้แทนกระดานเขียนแบบ ท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ แบบนี้ แต่ใครจะรู้เล่าว่าพายุจะก่อตัวขึ้นมาในวันนี้...
“ภคิน! กางเกงในมึงมาอยู่ในตะกร้ากูได้ไง!?” ปัง! ผมกระแทกตะกร้าผ้าลงกับโต๊ะกินข้าว
ภคินที่กำลังเหลาดินสอด้วยคัตเตอร์อย่างเมามันเงยหน้าขึ้นมามองผมเหมือนผมเดินมาถามว่า ’เฮ้ย... วันนี้มึงใส่กางเกงในเปล่าวะ?’
“กูใส่ไว้เองแหละ”
“เออ! กูรู้ มีกันอยู่สองคน ไม่ใช่มึงแล้วจะเป็นหมาตัวไหนล่ะ แต่ที่กูอยากรู้ก็คือ มึงมาใส่ตะกร้ากูทำไมมิทราบครับ... ตะกร้าตัวเองก็มีใช้”
“ถามแปลก” มันยังนั่งขูดดินสอไม่หยุด “ก็ให้มึงซักให้ไง”
“ตลกละ... กูไม่ใช่แม่มึงนะจะได้มาซักกางเกงในให้เนี้ย”
“ก็ใครบอกว่าใช่ล่ะ ซัก ๆ ไปเหอะมึง ไหน ๆ มึงก็จะซักของตัวเองอยู่แล้วนี่ จะซักคนละรอบให้มันเปลืองแฟ้บทำไม?”
“ไม่เว่ย! กูไม่ซักให้ใครทั้งนั้น” ว่าแล้วผมก็เทกระจาดกางเกงในออกมารื้อ ๆ ของมันออก “กูจะทิ้งของมึงไว้ตรงนี้ล่ะ”
เท่านั้นล่ะ มันปราดเข้ามาคว้ากางเกงในตัวเองพยายามยัดลงตะกร้าในอ้อมกอดผม ไอ้ผมก็ไม่ยอมครับกอดตะกร้าแน่นแทบจะจมหายไปในอกประหนึ่งตะกร้าเป็นเมียยอดรักที่ชู้อย่างมันจะมาแย่งชิงไป
“ไปป์...” มันกดเสียงต่ำ “อย่าดื้อ”
“ประโยคนั้นกูต้องพูดต่างหาก ก็บอกแล้วว่าซักเอง อย่าเซ้าซี้ได้มั้ยวะ?”
มันไม่ยอมแพ้ พยายามเสือกไสมือเข้ามาในตะกร้าผมให้ได้ งานนี้เลยเกิดสงครามยื้อแย่งกัน ผมก็ไม่ยอม มันก็ไม่ยอม งานนี้ต้องมีเสียเลือดเสียเนื้อกันบ้างวะ...
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” ผมกรีดร้องตอนที่มันจับตะกร้าได้แถมยังดึงไปทางนั้นสุดแรง ไอ้พระเอกยกยิ้มมุมปากด้วยความกวนตีนสุดแสนจะบรรยาย อ๋อ... มึงเล่นงี้กับกูใช่มั้ย...
พลั่ก! ผมแกล้งปล่อยมือออกจากตะกร้าหน้าตาเฉย เล่นเอาไอ้คนที่ยื้อแย่งอยู่เมื่อกี้ลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้น มันอ้าปากค้างไม่คิดว่าผมจะมามุกนี้... ส่วนผมน่ะเหรอ...
“กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก” หัวเราะน้ำหูน้ำตาไหล “เป็นไงล่ะมึงอยากดะ...”
พลั่ก! มันลากผมลงไปแดกในน้ำ... เอ้ย ไม่ใช่! มันดึงผมลงไปเผละอยู่บนพื้นเป็นเพื่อนหน้าตาเฉย ไม่พอแม่งยังกระโดดขึ้นมาฟัดกูเหมือนหมากัดตุ๊กตา เฮ้ย… พอ! พอ! พอ!
“พอแล้วมึง หน้ากูเยินหมดแล้วสัด”
“เห็นหน้ามึงแล้วหมั่นเขี้ยวว่ะ” เป็นหมาฟันเพิ่งงอกรึไงวะ กัดไปทั่วนะมึง...
“มึงไม่ต้องมานอกเรื่อง” ผมชี้หน้าคาดโทษ “มึงมันโสโครกที่สุด ไอ้เรื่องกางเกงในนี่กูก็รับไม่ได้แล้วนะ วันนู้นมึงแดกมาม่าแล้วไม่ล้างจานแถมไม่แช่น้ำอีก มึงรู้มั้ยว่าคราบต้มยำกุ้งมันขัดยากนะโว้ย แล้ววันก่อนมึงตัดกระดาษชานอ้อยเหลือเศษกระจายเต็มห้องก็ไม่ยอมกวาด แล้วเมื่อวานนะกูเปิดห้องมาก็สะดุดรองเท้ามึงอีกแล้ว ชั้นวางดี ๆ เขาก็มีให้ใช้ทำไมมึงไม่รู้จักวางวะ เก็บไว้วางอาหารหรือไง... แล้วตอนนั้นนะ...”
“หยุดตรงนั้นเลยมึง ไม่ต้องพูดต่อละ” แล้วจะให้กูพูดต่อยังไง มึงเล่นปิดปากกูแบบนี้ “มึงนี่ขี้บ่นเป็นสาวแก่ไม่มีผัวไปได้”
“ไอ้อวาย...” แปลว่าไอ้ควาย
“แหนะ... ยังจะด่ากูอีก มึงจะบ่นอะไรมากมายวะ ปล่อยวางบ้างเหอะ” ว่าแล้วมันก็ทำเนียนขว้างกางเกงในลงตะกร้าประหนึ่งชู้ตบาสฯ “แล้วเนี่ยนะ เลิกพูดคำหยาบใส่แฟนซะทีเหอะ”
“มึงขอให้กูกัดลิ้นตายเลยดีกว่า ภคิน... ปล่อยแขนกูได้แล้ว” ว่าแต่มึงไม่เคยพูดคำหยาบกับกูเลยเนอะ ไม่เค้ยไม่เคย...
“ไม่เอาไม่เรียกงั้นดิ... ไหนพูดตามสิ ‘คินจ๋า ปล่อยแขนไปป์หน่อยครับ’ “ อ๊ากกกกกกกกกกกก... ขนลุกว้อย!
“ให้ไอ้โจ้มีผัวก่อนเหอะแล้วกูจะพูด”
“เออ... เดี๋ยวกูบอกให้มันหาผัวเลยเนี่ย เดี๋ยว! อย่ามานอกเรื่อง! บอกให้เรียกคินไง ทำไมพูดยากพูดเย็นจังวะ?”
“เรียกแบบไหนมันก็เหมือนกันนั่นแหละ อย่าเรื่องมากได้ปะ?”
“ไม่เอา! มึงเรียกชื่อจริงแฟนได้ไง เรียกชื่อเล่นสิวะ”
“ชื่อเล่นกันชื่อจริงมึงต่างกันมากเลยนะ... แค่ ภ สำเภาตัวเดียวเนี้ยจะอะไรนักหนา”
“ต่างกันสิ! ต่างมากด้วย! ไหนเรียกกูว่าคินซิ”
“ไม่เอาโว้ย มันก็ยากพอ ๆ กับให้มึงเลิกซกมกนั่นแหละ”
“แค่เรียกมันจะยากอะไรวะ” ก็กูเขินอะ... ยากพอมั้ยล่ะแสรดดดดดดดดดด “ไหนเรียกคินดิ๊”
“ไม่! ไหนลองซักกางเกงในเองซิ”
“ไม่!” กูรู้ละทำไมกูอยู่กับมันได้... เกรียนทันกันซะขนาดนี้...
“งั้นก็เจ๊ากันไป ถอย... กูจะไปซักผ้า... อ๊อ เมื่อวานมึงยังไม่ล้างจานเลยนะ แช่ในซิงค์จนจิ้งจกไปว่ายน้ำเล่นแล้วมั้ง”
“ไปป์” มันขู่ผม
“เรียกคิน” “ภคิน” ผมขู่มันคืน
“ไปล้างจาน” “ไปป์...”
“ภคิน...”
“ไปป์...”
“ภคิน...”
“ไปป์...”
“ภะ...”
“เฮ้ย! พอแล้ว” ไอ้ภคินมันชิ่งตัดมุกผมก่อนอะ อ๊ากกกกกกกกกกกก... แย่งซีนกู กูโกรธ!
“ถ้ามึงจะบ่นกูมากขนาดนี้แถมยังไม่ยอมเรียกชื่อเล่นกูแบบนี้ล่ะก็...”
“ทำไม?”
มันยกยิ้มมุมปากขึ้นมา พร้อมกับเอ่ยประโยค “เรามาเล่นเกมกันดีกว่า...”
เอ๊ะ... ทำไมกูรู้สึกเสียวสันหลังวูบ ๆ กับสายตาท้าทายนั่น... “ห้ามพูดคำหยาบหนึ่งอาทิตย์... ใครแพ้ต้องทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ”TBC
ย่องมาอัพตอนดึกๆค่ะ เดี๋ยวจะไปนอนแล้ว
กำลังซุ่มคิดจะทำแฟนเพจของตัวเอง ถ้าทำแล้วอย่าลืมไปกดไลท์นะคะ...บังคับ 5555
เจอกันตอนหน้าค่ะ
PS.คาดว่าคนอ่านหลายๆคนคงเริ่มเปิดเทอมกันบ้างแล้ว มีความสุขกับชีวิตเปิดเทอมนะคะ