Room 10
“โทษที...กูก็เมาเหมือนกันว่ะไปป์” “ห๊ะ?” นั่นเป็นคำพูดเดียวที่หลุดออกจากปากผมตอนนี้
มันเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงว่า’สงสัยอะไรวะ?’
“ก็เห็นเพื่อนมึงก็เรียกไปป์ กูเรียกมั่งไม่ได้รึไง?”ไอ้คว๊ายยยยยยยยยยย...ประเด็นมันไม่ใช่ตรงนั้นโว้ย!!!!! ผมอ้าปากค้างตะลึงในความหน้าด้านของไอ้ผู้ชายตรงหน้าอย่างไม่สามารถจะสรรหาคำพูดไหนมาด่าทอมันให้สาแก่ใจได้ เมื่อกี้มึงทำอะไรลงไปวะ!!!
“โอ๊ะ...คินมาอยู่นี่เอง อ้าวไปป์...หวัดดีครับ” พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก ไอ้อาร์ทเสือกตามมาสมทบอีกครับท่าน เออ..ให้ชีวิตมันชิบหายตายห่ากันไปข้างนึงเลย!!!
ภคินขมวดคิ้วนิดๆ “รู้จักกันด้วย?”
“นิดหน่อย ก็ไปส่งนายตอนเมาไง” เชื่อแล้วว่าบ้านมันสอนมาดีจริงๆขนาดคุยกะเพื่อนสนิทมันยังคุยแบบสุภาพเลยครับ
“เออ...อาร์ท กูกะไปป์จะกลับห้องแล้วนะ”
“อะไร?? กูไม่กลับเว่ย” เชี่ยนี่อะไร?? อยู่ๆก็ลากกูมาแล้วบังคับให้กลับเฉย มึงไม่ใช่พ่อกูนะว้อย
“โอเค..บายอาร์ท พรุ่งนี้เจอกันว่ะ” ว่าแล้วมันก็ลากแขนผมที่ทำหน้าตาเหรอหรา ผมส่งสายตาของความช่วยเหลือไปให้อาร์ทที่เหลือตัวเล็กลงเรื่อยๆ อาร์ททำหน้ามึนๆ(เอ๊ะ..ในงานขายแต่เหล้าไม่ได้ขายกัญชาซะหน่อย ไอ้ห่านี่ไปเมายามาจากไหนวะ?)โบกมือหยอยๆลาผมตามมารยาท แต่ทำไมกูรู้สึกว่ามันกวนตีนวะ!!!
“โอ๊ย!!มึงจะลากกูอีกนานมั้ย กูบอกแล้วว่ากูไม่กลับ”
“มึงต้องกลับ”
“แล้วทำไมกูต้องกลับ”
“เพราะกูจะให้มึงกลับ”
“เหตุผลเหี้ยไรของมึง ไร้สาระเว่ย!!!!”
ไอ้ห่านั่นไม่สนใจปาหมวกกันน็อคมาให้ผมหน้าตาเฉยๆ “มีอันเดียวใส่ไว้ละกัน”
“กูไม่ใส่”
“มึงเห็นรถกูมึงจะใส่เอง” ผมเหลือบไปมองรถมอเตอร์ไซด์ที่มันยืนบังอยู่ เอ่อ...นี่มึงยังเรียกมันว่ามอเตอร์ไซด์อีกเรอะ!!!!! กูว่าใช้คำว่าเศษเหล็กเคลื่อนที่ได้ยังจะเข้าใจง่ายกว่าเยอะ ผมมองสภาพยานพาหนะตรงหน้าที่ฝุ่นเกาะเคลอะไปหมด แจมด้วยน้องสนิมที่ขึ้นเป็นจุดๆ กระบังหน้ามีรอบแตกร้าวนับไม่ถ้วน ล้อสึกจนหาดอกยางแทบไม่เจอ
ให้กูซ้อนจักรยานแม่บ้านยังรู้สึกดีกว่านี้!!!!!!!!! “กะ...กูไม่กลับ รถอะไรมึงเนี้ยขามากูนั่งช็อปเปอร์ซะหรู แล้วดูรถมึงดิ๊ ขับๆไปล้อมันไม่กลิ้งออกมาเหรอวะ” เอ๊ะ...ทำไมบทพูดกูเหมือนผู้หญิงที่มันจ้องจับผู้ชายรวยๆเลยวะ
“มันไม่กลิ้งหรอก ถ้ามันจะกลิ้งก็คือกลิ้งไปทับหน้ามึงนั่นแหละ” มันก้าวขาควบไอ้เศษเหล็กนั่นไว้
“เอ๊ะ...ไอ้นี่!!!”
“ไปป์....ขึ้นมา” มันออกคำสั่งเสียงแข็งกร้าว มีเหรอผมจะยอม เสือกพัฒนามาเรียกชื่อเล่นกูอีกนะ
“ไม่!!”
“ไปป์...” ชั่วครูหนึ่งที่ผมเห็นสายตามันอ่อนลง ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า...มันดูเหมือนขอร้อง?
แล้วคนใจอ่อนอย่างผมจะทนได้ไงวะ... ผมเห็นมันแอบคลี่รอยยิ้มบางๆในตอนที่ผมขึ้นควบมอเตอร์ไซด์ซ้อนท้ายมัน “กูตายเพราะรถมึงขึ้นมามึงจะหาที่ไหนไปใช้คืนให้แม่กูวะ”
“ไม่อยากตายมึงก็มานั่งข้างหน้านี่สิ”
“เก็บมุกนี้ไปป้อสาวเหอะมึง”
มันแค่หัวเราะเบาๆแล้วสตาร์ทเครื่อง....
ลมเย็นๆพัดเข้ามาตีหน้าผม ยังดีที่มีหมวกกันน็อคช่วยกันลมเอาไว้ ส่วนไอ้คนเอาแต่ใจข้างหน้าก็ปล่อยให้มันโดนลมตีจนหนังตากลับเหอะครับ...หมันไส้ชะมัด!! มันเป็นบ้าอะไรวะ?? อยู่ๆก็มาลากผมไปเฉย แถมยังบังคับให้กลับพร้อมกับมันอีก(ถึงในใจลึกๆแล้วผมจะดีใจที่ไม่ต้องอยู่กับไอ้แซ๊กเวอร์ชั่นกลายร่างต่อก็เหอะครับ)
แต่ที่บ้ากว่านั้นคือ...
ทำไมกูยอมมากับมันง่ายๆวะ!!! นี่มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอกับคนที่ผมเกลียดขี้หน้ามาเป็นปี หาเรื่องตบตีกะมันไม่เว้นแต่ละวัน พอมันมาพูดเสียงอ่อนหน่อยก็ยอมทำตามที่มันบอกซะแล้ว เฮ้อออออออออออออ...สงสัยผมจะเป็นพวกจิตใจอ่อนไหวเกินไปเลยอภัยให้อะไรง่ายๆ
แต่เรื่องที่มึงมาจุ๊บแก้มกูเนี้ย....กูไม่อภัยโว้ยยยยยยยยยยยยยยยย!!!
โป๊กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก หมวกกันน็อคกระแทกกับหัวไอ้คนหน้าอย่างจังจนไอ้คนขับเอามือขึ้นมากุมหัวทันที
“โอ๊ยยยยยยยย....เล่นเหี้ยไรเนี้ยไปป์”
“เอาคืนที่มึงบังอาจมาล่วงเกินกู” ผมพูดผ่านหมวกกันน็อค แอบยิ้มชั่วๆที่เอาคืนมันได้
“นี่ตกลงกูเอาหมวกให้มึงใส่นี่เหมือนยื่นมีดให้มึงแทงกูใช่มั้ยวะ?” มันหัวเราะในลำคอเบาๆ “มึงรู้มั้ยว่าไอ้เน่านี่มันบิดได้เท่าไหร่”
“อย่านะโว้ยยยยยยย กูยังไม่อยากตาย”
มันไม่พูดอะไร...แต่ทำแม่งเลยครับ!!!!ไอ้เหี้ยนี่เสือกบิดไป120 กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!! ผมเกาะเอวมันเป็นแต๋วไปเลยครับ
“ไอ้ควาย ดอกยางก็ไม่มีมึงจะบิดหาพ่อมึงเหรอ”
“มึงก็สัญญามาก่อนว่าจะไม่มาโขกหัวกูอีก ไม่งั้นก็ได้นอนสมองไหลกับกูเนี้ยแหละ”
“เออๆๆๆๆๆๆ กูไม่โขกแล้วโว้ย ไม่ทำอะไรมึงแล้ว...พอใจยัง?” แล้วทำไมมึงยังไม่หยุดบิดครับพี่??
“อ๊อ...อีกอย่าง”
“อะไรวะ...หยุดบิดสักทีมึง กูไม่ชอบเสี่ยงตาย โดยเฉพาะตายบนรถเน่าๆแบบนี้”
“ห้ามเอามือออกด้วย”
กูมีสิทธิเลือกงั้นสิ???
แล้วทำไมกูถึงเสียรู้มันตลอดเลยวะ!!.................................................................................
..........................................................
....................................
...............
“อ๊า~ พี่เดียววววววววว~” ผมกระโดดตุบไปบนพุงพี่เดียว คว้าพี่หมีของผมมาฟัดให้หายหมันเขี้ยว
“โตแล้วนะมึงอ่ะ” ไอ้คุณรูมเมททำหน้าเอือมพลางวางหมวกกันน็อคไว้ที่มุมหนึ่งของห้อง ไม่สนใจผมที่ฟึดฟัดอยู่บนโซฟาสักนิด
“มึงก็เด็กเหมือนกันนั่นแหละ มีที่ไหนบังคับกูกลับเฉย..เอาแต่ใจว่ะ” เล็กๆน้อยๆขอให้กูได้สวนกลับครับ
ภคินไม่ตอบอะไร พูดให้ถูกคือมันจะกำลังจะด่ากลับแต่เสียงโทรศัพท์มันดังขึ้นต่างหาก(คนอย่างมันน่ะเหรอจะยอมให้ผมด่าข้างเดียว..ไม่มีทางซะหรอก!!)
“ครับ...แอม” แหม...สุภาพขึ้นมาเชียวนะมึง
“โทษทีครับ...มีเรื่องด่วนนิดหน่อย” มันเหลือบสายตามองผม “ครับ..ครับ ผมขอโทษครับแอม” แหม...เสียงออดเสียงอ้อนเชียวนะมึง
“ไม่เอาน่าแอมครับ ผมก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไร” จะว่าเสือกก็เสือกเถอะครับผมนั่งฟังมันใจจดใจจ่อเลย... มันตวัดมามองหน้าผมเป็นเชิงจับได้ว่าแอบฟังอยู่ ผมเลยรีบลุกขึ้นไปชงโอวันตินแก้เก้อ....เดี๋ยวมันจับได้(แต่หูผมยังเปิดสัญญาณอยู่นะครับ)
มันถอนหายใจ... “แอมครับ ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่องก็แค่นี้นะครับ” แล้วตัดสายเฉย!!!! เหยดดดดดดดด...มึงง้อหญิงได้ไม่ถึง2นาทีเลยพ่อคู๊ณ!!!!!!!!!!!!!!
ผมเห็นมันขว้างโทรศัพท์ไปบนพุงพี่เดียว...ไอ้เชี่ยนี่เล่นของสูงนะมึง ส่วนตัวมันเดินมาอยู่ข้างหลังผมเรียบร้อยแล้ว(อย่านะมึง..กูขนลุก)
“ให้กูด้วยแก้วนึง” มันเอานิ้วคลึงตรงหัวคิ้วมัน ท่าทางเซ็งๆ
“ผู้หญิงก็เงี้ย มึงง้อแป๊บเดียวเขาจะไปยอมหายงอนได้ไงวะ”
“กูว่าแล้วมึงต้องแอบฟัง” อุ๊ก....จุกครับกู ผมเลยฉีกโอวันติน3in1ใส่แก้วแก้เก้อ โดนจับได้ว่าเสือกแบบต่อหน้าต่อตานี่ก็น่าอายเหมือนกันนะครับ ไอ้คนข้างๆมันก็หัวเราะพลางส่ายหัวเอือมๆ
“กูรอกินอยู่นะ” มันพูดแค่นั้นแล้วเดินไปหย่อยตูดบนโซฟาข้างพี่เดียวดายหน้าตาเฉย เอ๊ะ...ไอ้ห่านี่เผด็จการจริงนะมึง แต่กูก็ต้องจำใจชงสองแก้วล่ะวะ ดันไปถูกจับได้ว่าแอบฟังมันคุยโทรศัพท์
“มึงก็รู้ว่าแอมเขาชอบให้ง้อเยอะๆ” ผมยื่นแก้วให้มันพลางทิ้งตัวลงนั่งอีกข้างนึงของพี่เดียวดาย ภคินเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย
“พูดยังกะมึงเคยมีแฟน”
แสดดดดดดดดดดดดดดดด!!! แฟนกูก็แฟนมึงนั่นแหละว้อย!!!! ใช้ของต่อเขาแล้วยังไม่รู้เรื่องอีก ไอ้ควาย!!!! “เออ!!มีดิวะ!! สวยด้วย” สวยเหมือนแฟนมึงเด๊ะเลย!!!
ภคินเบิกตากว้างเหมือนไม่เชื่อสายตา “ผู้หญิงเดี๋ยวนี้เขาไม่เลือกเลยเนอะ เห็นเป็นผู้ชายก็เอาหมด”
“ไอ้ห่านี่...แฟนกูก็....”
“ช่างมันเหอะกูไม่อยากรู้เรื่องแฟนเก่ามึง” มันยกโอวันตินขึ้นซด “ใส่น้ำเยอะว่ะ...จืดจัง”
“คราวหน้าก็ชงเองสิวะ ไม่มีมือมีตีนรึไงมึงน่ะ ใช้งานกูอยู่นั่นแหละ ทำไมมึงถึงได้ซกมกโสโครกแบบนี้วะ ลำบากกูต้องมาตามเก็บตามล้างให้ กูไม่ใช่แม่มึงนะโว้ย”
“แต่ตอนนี้มึงบ่นเหมือนแม่กูเป๊ะ”
“จะไม่ให้กูบ่นได้ไง คิดว่ากูว่างมาเหรอต้องมานั่งเก็บกวาดบ้านที่มึงทำสกปรกไว้ แล้วเรื่องสูบบุหรี่ในห้องนี่กูขอเหอะ กูบอกกี่รอบแล้วว่ามันเหม็น พอไล่มึงไปสูบที่ระเบียงก็เสือกไปดับบุหรี่บนขอบระเบียงอีก มันสกปรกไม่รู้รึไงกูต้องไปนั่งเช็ดอีก”
“เออๆ..คราวหน้ากูไม่ทำละ”
“แล้วไหนจะเรื่องที่มึงชอบเอาของกินกูในตู้เย็นไปกินอีก ไม่ได้เรียนมารยาทเบื้องต้นรึไงวะกูนะต่อให้หิวแทบตายกูก็ไม่กินหรอกมันเสียมารยาทโว้ย”
“กูรู้ว่ามึงใจดีไง....โอเค..เขาใจแล้ว กูสัญญาจะทำตัวให้ดีขึ้น” มันยักคิ้วแล้วดื่มโอวันตินอุ่นๆรวดเดียวหมด
ตึงงงงงงงงงงงงง
มันตั้งแก้วลงบนโต๊ะรับแขก
“ล้างให้ด้วยนะไปป์”
นี่มึงเข้าใจแล้วเหรอวะ??? ไอ้โสโครกเอ๊ย!!!!!!!!!!!!!
Special Far's chapter
“ผมมาหาแซ๊กครับ” ผมยื่นหัวเห็ดๆของตัวเองจากรอยแยกของประตูชมรมดนตรีสากล
“แซ๊กซ้อมอยู่ครับ เข้ามาก่อนสิ” ผู้ชายตรงหน้ายิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตรแล้วเดินนำไปที่ห้องซ้อมที่เป็นห้องกระจกใสๆเก็บเสียง เหมือนห้องอัดเสียงนั่นแหละครับ แต่เราทำได้แค่รออยู่นอกห้องเท่านั้น
ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่น่ะเหรอ???...
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ที่ผมตื่นงัวเงียขึ้นมารับโทรศัพท์เบอร์แปลกๆ พอรับแล้วก็ตาสว่างเลยครับ...แซ๊กโทรมา!!! ผมไม่ได้ตกใจที่แซ๊กโทรมานะ ผมตกใจว่ามันทำยังไงถึงได้สร่างเมาเร็วขนาดนี้ ทั้งๆที่เมื่อคืนยังเมาเหมือนหมาแท้ๆ ไม่ใช่หมาธรรมดาด้วยนะครับ เป็นหมาคลั่งจูบซะด้วย!!
วันนี้เป็นวันเสาร์ครับแซ๊กบอกผมว่าชมรมเขายังหาคนมาเล่นฟลุตให้ไม่ได้เลยขอร้องแกมบังคับให้เรียกผมมาแคสติ้ง(แหม...ใช้คำยังกะดารา) ผมเลยต้องถ่อออกบ้านมานั่งดูเขาซ้อมกันนี่ไง
“แซ๊ก...เพื่อนมาหา” ผู้ชายคนนั้นเคาะห้องเรียกไอ้หนุ่มผมยาวออกมาจากห้อง แซ๊กพยักหน้าหงึกหงักแล้วเปิดประตูพรวดออกมา เขามองหน้าผมแล้วมองซ้ายขวา
“อ้าว...ไปป์ไม่ได้มาด้วยเหรอ” เห็นหน้าก็ถามหาไปป์เลยนะครับ
“ไม่มา เราไม่ได้โทรบอกน่ะไม่อยากรบกวน” แต่ในใจผมอยากจะตอบว่า’ถ้ามาก็เห็นแล้วสิวะ…ไอ้โง่!!’
“อือ...เมื่อคืนเราเมาว่ะ ไม่รู้ทำอะไรให้ฟาร์ลำบากรึเปล่า โทษทีนะ”
“ช่างเหอะ ไม่ได้ลำบากอะไรหรอก” ลำบากกายน่ะไม่ แต่โคตรลำบากใจเลยเหอะครับ!!!
“เอาฟลุตมารึเปล่า?”
“อื้อ” ผมพยักหน้า ไม่กล้าสบตาแซ๊กตรงๆ....ก็นึกถึงเรื่องเมื่อคืนแล้วมันเขินนี่ครับ
ผมเดินตามแซ๊กเข้าไปในห้องซ้อม เสียงเครื่องดนตรีที่เคยดังกังวานทั้งหมดหยุดลงในทันทีพร้อมสายตาของทุกคนในห้องที่หันมามองผมเป็นตาเดียวจนรู้สึกประหม่า....ก็บอกแล้วครับว่าผมไม่ชอบเป็นจุดเด่น ไม่ชอบเข้าสังคม เกลียดการถูกจับจ้องที่สุด
“พวกมึง นี่ฟาร์นะ...ที่บอกว่าจะมาเล่นฟลุตให้พวกเราอ่ะ” กูไปบอกตอนไหนว่าจะเล่นให้คุณมึงครับ?? แล้วที่มาวันนี้มึงก็บังคับกูมาด้วยโว้ย!!
“เฮ้ย...น่ารักดีนี่หว่า” ผู้ชายที่นั่งอยู่โดนมีเชลโล่อยู่ที่ขาร้องทัก
“อะไรๆ เด็กน่ารักๆแบบนี้เจ๊จองค่ะ” สาวผมยาวทาลิปสีแดงแปร๋นขัดขึ้นมาก่อน
“อะไร...เจ๊กินเด็กเหรอ”
“เป็นผู้ชายเจ๊กินหมดค่ะ” ว่าแล้วเจ๊ก็กรีดเสียงหัวเราะแหลมบาดใจจนผมแทบจะเอามือขึ้นมาอุดหูถ้าไม่เกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาทจนเกินไป
“ก่อนเข้าชมรมน่ะเขาต้องโชว์ฝีมือกันก่อนนะ เราน่ะไหนลองเป่าฟลุตให้พี่ฟังหน่อย” พี่ผู้ชายใส่แว่นที่ดูเหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าชมรมว่าพลางยิ้มให้ผม เอ่อ...พี่ครับเคยถามกูมั้ยว่าอยากเข้ารึเปล่า? ถ้าไอ้หนุ่มผมยาวนี่ไม่บังคับผมก็ไม่หน้าโง่ถ่อมาที่ชมรมหรอกครับพี่!!!
แซ๊กหันมามองหน้าผมนิ่งๆ “ฟาร์...เป่าให้พี่พลฟังหน่อย”
แสดดดดดดดดดดดดดดดดด....ทำยังกะกูมาสมัครขอเข้าเองเลยนะมึง
แต่ผมก็ยังคงคอนเซ็ปนิ่งสงบสยบความชั่วในใจ ผมเปิดกล่องเครื่องดนตรีมันปลาบนั่นออก “จะให้ผมเล่นเพลงอะไรล่ะครับ?”
“อะไรก็ได้ครับ” พี่พลยิ้มหวาน แต่ผมอยากจะเอาฟลุตฟาดปากพี่แกให้แตกอย่างแรงครับ ถ้ากูเล่นเพลงชาติพวกมึงจะว่ากูมั้ย??? ผมส่งสายตาไปขอความช่วยเหลือจากแซ๊กซึ่งพ่อคุณก็ไม่ได้สนใจกูที่ตกที่นั่งลำบากเล๊ย มัวแต่เอาไอ้นู่นไอ้นี่มาขัดอยู่นั่นแหละ หยุดมามองกูสักนิดพ่อมึงจะตายรึไงวะ??
ผมสูดหายใจลึกๆพลางคิดถึงโน้ตเพลงที่เล่นบ่อยที่สุด อย่าหาว่ากิ๊กก๊อกเลยครับ แต่ผมนึกได้แค่เพลงกล่อมเด็กอย่างLullabyเท่านั้นแหละครับ
ฟาร์หลับตาลงแล้วเริ่มเป่าลมเข้าไปในท่อเหล็กอันเย็นวาบนั่น....
นิ้วเรียวไล่ตัวโน๊ตอย่างช้าๆ ค่อยๆบรรเลงบทเพลงขับกล่อม..... จากสูงไปต่ำ จากต่ำไปสูง เชื่องช้าแต่ทว่าเต็มไปด้วยความอ่อนหวานราวจะขับกล่อมคนในห้องให้ตกอยู่ในห้วงแห่งจินตนาการ
บทเพลงช่างอ่อนโยนราวกับขับกล่อมเด็กตัวน้อยให้เคลิ้มหลับบนเตียงนุ่มๆ...
ทุกคนนิ่งเงียบเหมือนกับตัวเองเป็นเด็กน้อยแล้วเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นมารดาผู้ร้องบทเพลงขับกล่อมให้ลูกรักหลับฝันดี หลายคนหลับตาลงเพื่อสัมผัสสายลมเอื่อยๆ...
แก๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
เครื่องเป่าทองเหลืองตกกระแทกพื้นเป็นเสียงกังวานจนบางคนถึงกับอุดหู รวมถึงผมที่ชะงักหยุดเป่าไปทันที ทุกสายจับจ้องไปที่แซ๊กที่กำลังขัดทรอมโบนแล้วเผลอทำมันร่วงอย่างอึ้งๆ
“แฮ่ๆๆ โทษทีว่ะมันลื่น” เจ้าตัวเกาหัวแก้เขินเลยโดนเพื่อนข้างๆตบเกรียนเป็นการขอบคุณ เออดีครับ แบบแม่งให้กบาลแยกเลย กูอุตส่าห์ตั้งใจเป่าเสือกมาขัดซะได้
“เก่งมากเลยครับ” พี่พลยิ้มพลางปรบมือให้ผม ผมแอบเห็นบางคนในชมรมก็แอบปรบมือให้ด้วย “ยินดีต้อนรับสู่ชมรมดนตรีสากลนะ”
“อ่า...คือผมแค่มาอยู่ชั่วคราวนะครับ ถ้าหาคนได้แล้วผมก็คงไม่อยู่ต่อนะครับ”
พี่พลยิ้มหวาน “ถ้าหาได้มันคงหาได้ไปนานแล้วล่ะครับ ตำแหน่งคนเป่าฟลุตของชมรมว่างมาหลายปีแล้ว พี่ดีใจที่มีคนมาเล่นให้วงเราซะที”
ผมก็ได้แต่ปั้นหน้ายิ้มคืนให้พี่พลเค้าล่ะครับ แหม...ลำบากใจนิดๆนะเนี้ยผมไม่ชอบเข้าร่วมกิจกรรมใดๆทั้งสิ้น ดังนั้นไอ้การเข้าชมรมเนี้ยบอกได้เลยว่าไม่เคยทำมันหรอกครับ
นัยน์ตาสีตาแอบเหลือบมองไปที่ผู้ชายที่พาเข้าชมรมมา ภายในใจก็รู้สึกเจ็บแปลบอย่างประหลาด
เมื่อกี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก...
แซ๊กเกลียดผมก็เลยทำแบบนั้น
ผมมั่นใจ.....
TBC
เห็นแว๊บๆว่ามีคนบ่นถึงน้องอาร์ทด้วย โผล่มาแล้วนะ แต่นิดเดียวน้องอาร์ทที่บ้านหวงค่าตัวแพงค่ะ (คนอ่าน-

)
ของดีต้องรอค่ะ ไปป์เล่าเรื่องบ่อยมันเลยไม่ค่อยเจอน้องอาร์ทเท่าไหร่ รอไปก่อนนะคะ
ตอนนี้คุณภคินเริ่มรุกแล้วนะ แอร๊ยยยยยยยยย~~~ พระเอกของเราทำตัวสมเป็นพระเอกซะที
PS.แอบเห็นคนอ่านบอกรักอ่ะ รักคุณเหมือนกันค่ะ 