กว่าจะจบตอนได้ ง่วงจนสัปหงก....
14.2 เสี่ยวก็ได้ ซึ้งก็เป็น...
ตกเย็นผมก็พากิ๊งไปกินข้าวอีกมื้อ ระหว่างรอข้าว ผมก็เดินเข้าเซเว่นตรงข้ามร้านข้าวแล้วเดินกลับมา
เปิดเบอร์ดี้กินครับ
“มึงง่วงขนาดต้องกินกาแฟเลยเหรอ?”
“อือ ง่วงเป็นเชี่ยนๆ รอคนแถวนี้มาแก้ให้...” กิ๊งทำหน้าบูดใส่ นิ่งกับมุขทะลึ่ง
“โอ๋ๆ ล้อเล่นๆ” แต่คิดจริงครับ ฮา “แต่ช้าแต่ อย่างอนน่า ดูนี่ๆ เบอร์ดี้... หนึ่งในใจคุณ แต่กิ๊งหนึ่งในใจกันย์น้า” นิ่ง ไม่ตอบครับ... ยังไม่หายงอนอีก
“กิ๊งขอ...ได้ไหม” มันเงยหน้าบูดๆ ขึ้นมองผมจีบมือ
“ตอนนี้ไม่ได้กำลังทำอยู่หรอกเหรอ”
“ใช่ แต่ตอนนี้....มันเป็นแบบนี้” จีบมืออีกครั้ง แต่นิ้งโป้งกับนิ้วชี้ห่างๆ กัน
“ฉลาดเนอะรู้ด้วยว่าจีบไม่ติด”
“กิ๊ง...ก็ใจอ่อนซะทีสิ”
“ก็เคยบอกไปแล้วนี่ว่า ผู้ชายที่มาจีบน่ะ กินแห้วพันเปอร์เซ็นต์”
“กิ๊งก็นับกันย์เป็นคนที่1001สิ กันย์ไม่ชอบแห้ว กันย์อยาก...สมหวัง นะๆๆๆๆๆๆๆๆ ปากกา พัดลม ปืน นะๆๆๆๆๆ” กิ๊งทำหน้างงกับมุขนี้
“อะไรอ่ะ งง” มันถามมาพร้อมขมวดคิ้ว
“ปากกา พัดลม ปืน ไง”
ปากกา pen
พัดลม fan
ปืน gun
มันนิ่งคิดแล้วก็เงยหน้าจ้องผมเหมือนกับตกใจ มันคงแปลออกแล้ว แทนที่จะตอบกลับถามกลับมา
“กันย์...มึงเมาเปล่า....”
“กูไม่ได้กินเหล้าสักหยด มึงคิดว่ากูเมาเบอร์ดี้หรือไงเล่า”
“เหรอ...งั้น กูจะจำไว้ว่ากาแฟ มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์” มันว่า แล้วเนียนไม่ตอบคำถาม
ผมเคยคิดว่ากิ๊งฉลาดครับ แต่ ตอนนี้ผมว่ามันโง่แล้วแหละ
มันเข้าใจอะไรยากชะมัด!!! กูบอกว่ารักมึงๆๆๆๆๆ
เป็นแฟนกัน นะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เห็นใจกูบ้างเซ่!!!.......
พอกินอิ่ม ผมก็พากิ๊งไปนั่งดูผมเล่นบาส พี่พุนี่ก็อะไร ทำท่าดีใจใหญ่เลยที่เห็นกิ๊ง ผมก็ตามเคยออกอาการหึงกิ๊งออกนอกหน้าจนพี่พุแซวว่า
“เพื่อนกันนี่เค้าหวงกันขนาดนี้เลยเรอะ!!” ผมก็เลยตอบไปแบบไม่แคร์สื่อว่า
“ไม่รู้สิพี่...วันนี้ยังเป็นเพื่อนอยู่แต่ต่อไปได้เป็นมากกว่านี้แน่” จบประโยคนั้นพี่พุก็หัวเลาะลั่น ส่วนกิ๊งก็ก้มหน้าแบบอายๆ แต่ก็ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
หกโมงเย็นผมก็ไปส่งกิ๊งที่คณะตามเดิม เราเดินออกจากโรงยิมไปที่รถ
“ไม่อยากเป็นแล้วจริงๆ เหรอ?” จู่ๆ กิ๊งก็ถามขึ้นทำเอาผมงง
“หือ?”
“ไม่อยากเป็นเพื่อน...” ต่อจนจบประโยคจนได้
“อือ... อยากเป็นมากกว่านั้น”
“กันย์ กูผู้ชายนะ” มันจริงจังอีกแล้ว
“กูรู้...” ถ้ามึงเป็นผู้หญิงมึงจะมีช้างน้อยไหม? อยากจะถามกลับไป แต่ไม่อยากเล่นมุขทะลึ่งเพิ่มเพราะมันจำเรื่องตอนเมาไม่ได้เลย คำตอบของผมไม่ทำให้มันเชื่อว่าผมรู้จริงๆ มันจับมือผมไปทาบที่หน้าอกแบนราบของมัน ราบ... จริงๆ ฮา
“นมก็ไม่มี มดลูกก็ไม่มี มึงเข้าใจป่ะ”
“แล้วไง ถ้ามี มึงก็ผู้หญิงแล้วดิ ไหนๆ ก็ให้จับข้างบนแล้ว แถมข้างล่างด้วยได้ป่ะ” มันถลึงตาใส่อีกครั้งไม่ขำมุข
“กูซีเรียสนะเนี่ย” สีหน้าจริงจังทำให้ผมหุบยิ้ม จริงจังก็ได้วะ
“แล้วไงล่ะ ก็รู้แล้วไม่เห็นต้องย้ำหลายรอบเลยนี่”
“กูไม่ใช่กระเทยด้วยนะ กูไม่มีวันจะไปทำนมหรืออะไรให้เหมือนผู้หญิง เพราะงั้น...”
“ก็ดีแล้วนี่...แค่นี้ยังรักมากแล้ว อย่าไปทำอะไรที่มึงไม่ชอบเลย กูกลัวจะรักมึงมากกว่านี้” ผมตอบเหมือนไม่ใช่สิ่งสำคัญ อีกฝ่ายถอนใจระอา ผมยุติบทสนทนาด้วยการติดเครื่องแล้วพากิ๊งไปส่งที่คณะ แล้วบอกว่า
“เดี๋ยวพ้นโทษเมื่อไรแล้วจะมารับนะกิ๊ง”
“แค่ซ้อมบาส พูดยังกับติดคุก”
“ที่ไหนทำให้กันย์ไปหากิ๊งไม่ได้ มันคือคุกทั้งนั้นแหละ” กิ๊งยิ้มพลางส่ายหน้าต่อ
“ไม่ต้องมารับหรอก ตั้งแต่วันนี้ต้องซ้อมถึงเที่ยงคืนทุกวันน่ะ เพราะวันเสาร์ก็วันจริงแล้ว”
“เหรอ งั้นยิ่งต้องมาใหญ่เลย ถึงจะเที่ยงคืน รถกันย์ก็ยังไม่เปลี่ยนกลายเป็นฟักทองหรอกนะ” ผมบอกพลางหัวเราะ
“แล้วกันย์ล่ะ ... อีกนานไหมกว่าจะเปลี่ยนใจ” เอ๊ะ!! หมายความว่ายังไงวะ
“อะไรเล่า... จะบอกให้ตัดใจ ให้กลับไปคิดใหม่อีกสิ บอกให้รู้ ถ้าเรื่องตัดใจจากกิ๊ง กันย์คิดและทำมาตลอดตั้งแต่ที่เราเจอกันครั้งแรกแล้ว ถ้ามันทำกันได้ง่ายๆ ก็ทำไปแล้วแหละไม่ต้องรอให้บอกหรอก” ผมตอบแบบหงุดหงิดนิดๆ
“นั่นสินะ ก็บอกเองแท้ๆ ว่าไม่ได้อยากเป็นเกย์ แต่ก็ยังมาตามจีบผู้ชายแบบนี้ กันย์นี่บ้าชะมัด”
“ช่วยไม่ได้ ก็อยากมาทำให้รักทำไม หัดมีความรับผิดชอบซะบ้างสิ”
“กูแค่ไม่อยากผิดไปมากกว่านี้ มึงคิดว่ากูควรจะดีใจมากใช่ไหมที่กูไปทำให้ผู้ชายคนนึง... มาเป็นเกย์เหมือนกู ไปแย่งแฟนของคนอื่นให้มาเป็นแฟนกู แล้ววันนึงเมื่อมึงเบื่อ หมดรักกูขึ้นมา มึงก็คงนึกเสียใจว่า มึงไม่น่า....”
“มึงคิดมากกิ๊ง ไหนบอกมาซิ มึงรู้ตัวว่าชอบผู้ชายตอนกี่ขวบ” เจอคำถามนี้มันก็อึ้งครับ คงลำบากใจไม่อยากตอบแต่ก็ถอนใจ
“ถ้าพูดว่ารู้ตัว ก็คงม.ปลายแล้ว แต่ที่จริง ถ้าให้กูนึกย้อนๆ ไป มันอาจจะเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นนานแล้ว”
“มึงเองก็ไม่ได้รู้ตัวว่าจะชอบผู้ชายมาตั้งแต่เกิดซะหน่อย กูเองก็เหมือนกัน ไม่ได้ชอบผู้ชายมาตั้งแต่เกิด แต่มึงกับกู ต่างกันตรงที่...กูรู้ตัวช้ากว่ามึงก็เท่านั้นเอง”
สองทุ่มก็กลับมานั่งเฝ้ากิ๊งต่อ ก็มีพี่โย่งนั่นอยู่ทั้งคนใครจะกล้าปล่อยให้อยู่คนเดียวได้ลงล่ะครับ ผมนั่งลงพิงที่ผนังห้องอเนกประสงค์ของคณะ รอแล้วก็รอ ปล่อยให้กิ๊งซ้อมไปเรื่อยๆ โดยคอยมองตลอดเวลา
จนเที่ยงคืนผมก็ไปส่งกิ๊งที่หอ
“จริงๆ แล้ว มึงไม่ต้องมารับกูก็ได้นะ” ประโยคนี้ได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน กิ๊งชอบโวยวายว่าผมน่ะดื้อด้าน บอกอะไรไม่เคยจำ แต่มันเองก็พอกันแหละรู้ว่าพูดแล้วผมจะไม่ทำตามก็ยังจะห้ามให้ได้อะไรขึ้นมา
“กูบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร” ผมบอกกลับไปอีกครั้ง มันถอนใจก่อนถามต่ออีก
“พรุ่งนี้มึงจะมารับกูอีกไหม”
“มาสิ ดึกป่านนี้แล้วจะปล่อยให้กลับคนเองคนเดียวได้ไง”
“เดี๋ยวก็มีคนพากูไปส่งเองแหละน่า”
“ไม่เอา กูเป็นห่วง กูไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นแหละ ขนาดตัวกูเองนะ กูยังไม่ไว้ใจเลย เวลาอยู่ใกล้มึงทีไร กูควบคุมตัวเองไม่ได้ทุกที”
“มึงนี่มันเหลือเกินจริงๆ งั้นถ้ามึงจะมารับ มึงกลับบ้านไปนอน หรือไปเที่ยว หรือไปทำอะไรก่อนแล้วค่อยมาก็ได้ มานั่งเบื่ออยู่คณะทำไมตั้งหลายชั่วโมง”
“อะไรก็ไม่แน่นอนหรอกกิ๊ง ถ้ากูไปกินเหล้ากูอาจจะเมาแล้วไม่ได้มา ถ้ากูนอนหลับ มึงน่าจะรู้ว่ากูโคตรขี้เซา หรือถ้ากูไปทำอะไรที่อื่น อาจจะเกิดแอคซิเด็นท์อะไรก็ได้นี่ กูไม่อยากทำให้มึงต้องรอ... กูมากกว่านี้แล้ว” นั่นสินะ... ถ้าสิ่งที่กิ๊งพูดตอนเมาพอจะมีความจริงอยู่บ้าง มันอาจจะรอผมอยู่เงียบๆ มาสักพักแล้วก็ได้ แต่ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำให้มันต้องรอ... ผมจะเสียสละเป็นฝ่ายรอมันบ้าง ไม่ว่าจะนานแค่ไหน...ก็ตาม
“เฮ้อ...งั้นถ้าจะมา เอารถยนต์มาแล้วกันนะ”
“ทำไมอ่ะ?”
“เถอะน่า...” มันบอกพร้อมกับหมุนตัวเพื่อจะเข้าหอ เดินไปสองก้าว
“กูไปส่งได้ไหม...”
“ไม่เป็นไร ขอบใจ” ตอบกลับโดยไม่หันมา
“เดินดีๆ นะ เป็นห่วง” คราวนี้ชะงักหันกลับมาใหม่
“มึงจะห่วงอะไรผู้ชายอย่างกูนักหนา” ถ้าประโยคไหนมีคำว่าผู้ชายนี่มันจะเน้นคำนี้มากกว่าปกติทุกทีเลย ผมสังเกตและแอบหงุดหงิดเล็กๆ ด้วย แต่ไม่อยากพูด
“กูไม่แคร์ว่ามึงเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง กูห่วงมึงเพราะมึงเป็นคนที่กูรัก” ผมบอกพร้อมส่งรอยยิ้มจริงใจ ไม่หัวเราะ เพราะไม่ได้เล่นมุข มันคือความจริงจากใจ เหมือนกิ๊งจะทำหน้าว่าซึ้งก่อนจะเดินกลับมายืนข้างๆ
“กันย์.. รถคันนี้น่ะ มีโอ...แต่ใจดวงนี้....(มันชี้ที่หน้าอกข้างซ้ายของตัวเองด้วย) มีกันย์นะ” ฮื้อ ผมไม่ได้เล่นมุข แต่กิ๊งกลับเล่นกลับมาแทน
เวรกรรม!
แต่ที่สำคัญ! เจ็บใจตัวเองชะมัด นี่ผมปล่อยให้มันคิดมุขใกล้ตัวขนาดนี้ออกก่อนผมได้ไงเนี่ย!!
วันต่อมาหลังซ้อมบาสเสร็จ ผมก็ขับบีเอ็มมาจอดที่คณะตอนสองทุ่มตามคำบัญชาการแล้วก็เข้าไปหากิ๊งอีกครั้ง พอจบเพลงที่กำลังซ้อมมันก็เดินมาหาแล้วถามว่า
“จอดรถไว้ไหนล่ะ”
“ก็ที่เดิมแหละ” ผมตอบ และมันจับมือผมจูงเดินออกมา
“จะกลับแล้วเหรอ ยังไม่เที่ยงคืนเลย”
“เปล่า แต่เอากันย์ไปเก็บ”
“ทำไมอ่ะ”
“ก็กันย์ดูเฉยๆ ก็ไม่ได้ จ้องเอาๆ แล้วกิ๊งจะมีสมาธิซ้อมไหม” มันโวยวายมา เอ๊ะ แค่มองก็ผิดด้วยเหรอวะ?
เราเดินมาถึงรถ ผมก็ปลอดล๊อก กิ๊งเปิดประตูรถแล้วผลักผมเข้าไปนั่งที่ตำแหน่งคนขับ มันเดินมายืนข้างๆ อยู่ระหว่างประตูรถที่แง้มไว้ ผมติดเครื่องยนต์ เพื่อให้แอร์ทำงาน
“เลือกเอาว่าจะกลับไปบ้านก่อนแล้วค่อยมารับ หรือจะนั่งรอในรถดีๆ จนกว่ากิ๊งจะมา”
“ถ้ากันย์ไม่เลือกทั้งสองอย่างล่ะ”
“หัดฟังกูบ้างได้ไหมกันย์”
“แล้วเป็นอะไรกันล่ะ ถึงต้องเชื่อฟัง ถ้ามาเป็นแฟนกันย์เมื่อไร จะเชื่อฟังกิ๊งทุกอย่างเลย”
“ทำมาเป็นพูดดีพอถึงเวลาจริงๆ ทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่าหรอก”
“ดูถูก...”
“ก็ดื้ออย่างนี้แหละเลยไม่อยากตกลงด้วย กลัวจะช้ำใจ” กิ๊งทำเสียงงอน เชิดจมูกเบ้ปากนิดนึงพลางปรับเบาะของผมให้เอนราบไปข้างหลัง มันโน้มตัวเข้าไปเปิดเพลงในรถ ทำให้ร่างบางแนบบริเวณหน้าขา อยู่ไกลๆตรงนั้นหน่อยไม่ดีกว่าเหรอไงเนี่ย ...
เสียงเพลงเบาๆ ล่องลอยมาพร้อมร่างบางๆ ของกิ๊งที่ยืดตัวขึ้นมายืนดังเดิม ทำเอาผมถอนใจเฮือก
“แอร์ก็เย็น เพลงก็เพราะ รออยู่นี่แหละน่า..” กิ๊งขอมา ขณะที่เอามือลูบขาอ่อนผมไปมาอีกต่างหาก
เฮ่อ... ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย.... กูจะบ้าแล้ว...
“งั้นขออะไรอย่างแล้วจะรออยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหนเลย” ผมบอก แล้วยิ้มให้ มันขมวดคิ้ว คงรู้ทันว่าต้องขออะไรเอาเปรียบ
“ว่ามาสิ” ผมยื่นมือไปกุมมือมันไว้แล้วไล้เบาๆ
“ขอจูบได้ไหม” ผมคิดว่าถ้าขอไปอย่างนั้น มันคงปฏิเสธแน่ๆ แต่ถ้ามันปฏิเสธ ผมก็จะไปนั่งเฝ้ามันต่อ แต่จะตกลงก็คง...อาจจะยาก
“ได้” เฮ้ย!! ทำไมตอบรับง่ายจังวะ แปลกใจ แต่ใครจะสน พอมันเปิดไฟเขียวผมก็เกี่ยวเอวมันเข้ามาทันที กิ๊งเสียหลักซบลงมาทับผมทั้งตัวทั้งๆ ที่ยังยืนอยู่นอกรถ
เอาวะ! ขออะไรก็ไม่ให้สักอย่าง
ได้จูบก็ยังดี!
กิ๊งเงยหน้าขึ้นจากอกผม มือมันวางบนไหล่
เวลาอยู่ใกล้ๆ ก็บอกแล้วว่ามันควบคุมตัวเองไม่ได้ก็ไม่เชื่อ ผมเคลื่อนศีรษะเข้ามาหวังจะได้ลิ้มรสจุมพิตแสนหวานนั่นอีกครา แต่แล้วกลับแทนที่ด้วยนิ้วชี้เรียวยาวแตะที่ริมฝีปากไว้เบาๆ
“ไม่ใช่ตอนนี้นะกันย์ รอให้กิ๊งกลับมาก่อน” มันตอบกลับมาเสียงแหบๆ ส่งสายตาที่เหมือนจะหว่านเสน่ห์ หัวใจเต้นแรงอีกแล้ว รู้สึกว่ามันเซ็กซี่จังเลย อึ้งจนทำอะไรไม่ถูกเลย หลังจากนั้น ผมก็เลยเหมือนเด็กน้อยที่แสนดี ยอมรอแต่โดยดี ทั้งๆ ที่อยู่ในรถน่าเบื่อกว่าออกไปดูกิ๊งซ้อมเต้นอีกนะ แต่เพื่อ...สัมผัสนั้น ยอมได้ ผมเลยฟังเพลงไปเรื่อยๆ เอามือถือมาเล่นเกม อ่านเว็บ แล้วก็เผลองีบไป จนกระทั่งกิ๊งเปิดประตูรถเข้ามานั่นแหละถึงได้ตื่น พอดีนอนในรถมันไม่ค่อยสบายไม่เหมือนนอนบนเตียงไม่งั้นก็อาจจะไม่ตื่น
“กลับมาแล้วเหรอ” ผมถามและมันพยักหน้า ผมติดเครื่องแล้วขับพามาส่งที่หอ พยายามเงียบๆ ไว้กลัวไก่ตื่น จนมาถึงหอผมก็ยังเงียบ
“ไปแล้วนะกันย์” กิ๊งบอกลาแล้วเอื้อมไปเปิดประตูรถ
“เดี๋ยวดิกิ๊ง กันย์รอแล้วนะ สัญญาว่าจะให้อะไรน่ะลืมไปแล้วเหรอ”
“ไม่ลืม แต่เห็นว่าเงียบเลยนึกว่าเปลี่ยนใจไม่เอาแล้ว”
“เปล่าๆ แค่อดใจไว้เฉยๆ กลัวว่าถ้าจูบกันที่คณะ เดี๋ยวจะอดใจไม่ได้ พากิ๊งกลับบ้านตัวเองแทน” อีกฝ่ายพยายามจะกลั้นหัวเราะ
“ขนาดนั้นเชียว...” ตอนพูดก็ยิ้มกว้างพลางเอนกายมาหาแล้ววางมือไว้บนไหล่ผม ใจเต้นตึกตักเลยตอนที่หน้ามันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่มันไม่ได้จูบนะครับ เพียงแตะจมูกไว้ที่จมูกของผมแล้วหลับตาลง นิ่งค้างอยู่อย่างนั้นเหมือนจะรอคอยให้ผมเป็นฝ่ายเริ่มต้น ผมขยับกาย แตะริมฝีปากลงไปที่ริมฝีปากบางสีสดนั่นเบาๆ อย่างรักใคร่ ก่อนจะเรียกร้องหาความหอมหวานจากกันและกัน เหมือนจะเนิ่นนานกว่าเราจะถอนริมฝีปากออกจากกัน แต่กลับไม่เพียงพอเลยสักนิดสำหรับผม อยากจะได้มากกว่านี้ใจจะขาด ....
หลังจากมอบจุมพิตที่แสนอ่อนหวานมาให้ กิ๊งก็เปิดประตูออก แล้วหันมาบอก...
“เหลืออีกสามนะที่ค้างไว้ กิ๊งจะค่อยๆ ทยอยคืนให้ ถือซะว่าเป็นจูบทดลองใช้” ว่าไปนั่น กิ๊งนี่ก็จริงจังเหลือเกิน
“แล้วถ้ากันย์อยากได้มากกว่านั้นล่ะต้องทำยังไง”
“ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำยังไง แต่ถ้าเรา...ปากกา พัดลม ปืน เมื่อไร มันก็เพิ่มเป็น unlimited แบบอัตโนมัติไปเองแหละ” ฮึ้ย... รอยยิ้มหวานๆ แบบนี้แสดงว่าพอมีหวังใช่ไหม?
“งั้นรีบมารักกันย์เถอะ กันย์ไม่อยากได้แบบ ทดลอง กันย์อยากได้ แบบ unlimited”
จบตอน14 แล้วน้า เย้ๆ 
ขอนอนต่อแล้วนะ ไม่ไหวแล้วค่ะ ฮ้าววววว

ช่วงนี้ขอดองเม้น ไว้ก่อนนะคะ ไม่ไหวจริงๆค่ะ นอนน้อยมากเลย
แต่ ไม่มีเวลาตอบ แต่มีเวลาอ่านนะ ใครแวะมาอ่านก็ เม้นเป็นกำลังใจหน่อยนะคะ