29
ถ้าจะบอกว่า เป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ภาสกรจึงกล้าทำในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ขณะนี้ก็คงได้ ตื่นมาก็โมเมเสียว่าไม่รู้ตัวและจำอะไรไม่ได้เลยชายหนุ่มก็จะเอาไปอ้างได้เต็มปากเต็มคำ เพราะรูปการณ์ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น แต่เอาเข้าจริงแล้วภาสกรรู้ตัวดีว่าตนกำลังทำอะไรอยู่
เขารู้ดีว่าเมื่อเขาถอนปากอวบอิ่มของตนออกจากปากแดงซ่านที่เขาได้แต่มองอยู่ไกลๆมาตลอด คิดอยากทำอย่างนี้มาแทบทุกครั้งที่เห็นแล้วลืมตาขึ้นนั้นเขาได้มองเห็นหนุ่มน้อยนทีเต็มสองตา รู้แน่ว่านี่คือนที คือชายหนุ่มที่เขาขับรถชนเมื่อเดือนสองเดือนก่อน นี่คือชายหนุ่มที่เขาผูกพันแทบจะเรียกได้ว่ารักใคร่ คือ “ชายหนุ่ม” มิใช่หญิงสาว ร่างกายตรงหน้าเป็นร่างกายของเด็กหนุ่มวัย 19 เป็นร่างกายที่เหมือนกับเขาแทบทุกประการ ต่างกันเพียงว่ามันบอบบาง นุ่มนิ่ม น่าทะนุถนอมไปหมดเท่านั้น เขารู้ดีว่านี่คือผู้ชาย และเขากำลังกอดจูบอยู่กับผู้ชาย ไม่ใช่หญิงสาวอย่างที่ควรจะเป็น
กระนั้น ภาสกรก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงจูบนทีอีกครั้ง เนิ่นนานอ้อยอิ่งราวกับว่าไม่มีสิ่งใดในโลกให้ทำอีกแล้วนอกจากจูบหนุ่มน้อยคนนี้
รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควร แต่ภาสกรก็ทำ
“ควร” กับ “ไม่ควร” ใครเป็นคนบอก เอาอะไรมาบอก และใช้อะไรเป็นเกณฑ์หรือ ต่อให้สิ่งที่เขากำลังทำอยู่นี้มัน “ไม่ควร” สำหรับใคร แต่มันควรสำหรับเขา ในเมื่อคนตรงหน้าเป็นคนที่เขาฝันถึง คะนึงหา รักและปราถนาแน่แล้ว จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงเขาไม่สนใจทั้งนั้น
ชายหนุ่มถอนปากของตนออกจากปากบางแดงใสนั้นอีกครั้ง ค่อยๆเลื่อนมันไปที่แก้มขาวเนียน ซุกจมูกเข้าไซร้ ได้กลิ่นสบู่กลิ่นเดิมที่เมื่อคืนนี้ได้แต่สูดดมอยู่ไกลๆ มาตอนนี้ได้อิงแอบแนบชิดแล้ว ก็เหมือนว่าหัวใจที่อยู่ในอกจะกระเด็นหลุดออกมาให้ได้ ฝ่ามือหนาของเขาลากไปทั่วร่างของหนุ่มน้อย ผิวเนื้อเนียนนุ่มไร้รอยตำหนิหรือแม้แต่ขนสากมือสักเส้น ภาสกรสัมผัสร่างกายของนทีช้าๆ แผ่วเบา ราวกับหนุ่มน้อยคือดวงแก้วที่มีค่าเหลือเกินสำหรับเขา
ใบหน้าค่อยๆ เลื่อนลงมาที่คอระหง ฝังจมูกเข้ากับเนื้อเนียนหอมสะอาดของนที ได้ยินเสียงครางกระเส่า เบาๆจากร่างที่อยู่ในอ้อมกอดอารมณ์ของเขาก็ยิ่งกระเจิงไปไกล จนเมื่อสัมผัสเริ่มหนักหน่วงขึ้น ร่างทั้งสองก็ยิ่งเบียดแน่นเข้าหากัน ร่างกายเคลื่อนไหวไปตามอารมณ์ปราถนา จากความอบอุ่น เริ่มกลายเป็นความเร่าร้อนอยู่ในอก แทบจะลุกไหม้ หยาดเหงื่อซ่านกระเซ็นไปตามจังหวะการเคลื่อนไหว มีเสียงเรียกชื่อของหนุ่มน้อยดังอยู่ข้างหูของเจ้าตัว ซ้ำไปซ้ำมาราวกับกลัวจะลืมว่าคนตรงหน้านี้ชื่ออะไรอย่างไรอย่างนั้น
“นที จ๋า... นที...”
หนุ่มน้อยบีบแขนภาสกรแน่น ร้องหาคุณชายของเขาแผ่วเบา แต่ชัดเจนด้วยแรงอารมณ์ไม่แพ้กัน จากนั้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็คลายสภาพกลับสู่ความนุ่มนวล เงียบ และสงบตามเดิม มีกันและกันอยู่ในอ้อมกอดหลับตาพริ้มไม่มีเสียงใดนอกจากเสียงหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยเท่านั้น ความสุขล้นราวกับว่าไม่มีสิ่งใดบนโลกจะดีไปกว่าสิ่งที่เขามีอยู่ข้างๆเป็นอย่างนี้
ความสุขที่ใครต่อใครก็บอกว่ามากล้นจนไม่อาจเปรียบประมาณได้ มันเป็นอย่างนี้เอง ถ้าไม่ได้มาสัมผัสกับตัว ภาสกรจะไม่มีวันรู้เด็ดขาด ความสุขทางเพศไม่ใช่ประเด็นเพราะภาสกรเคยสัมผัสมาแล้วไม่น้อย แต่ความสุขทางใจที่มีคนข้างๆอยู่ด้วยต่างหาก ที่ภาสกรกำลังคิดถึง อิ่มเอมจนไม่อยากลืมตาขึ้นมาอีกเลย
แม้ภาสกรจะหลับตาสนิท และเหน็ดเหนื่อยแทบจะหลับไปเพียงใดแต่สติของเขาก็ยังไม่ขาดหายไปเมื่อนทีกระซิบข้างๆตัวเขาเบาๆว่า
“คุณชายครับ... ผมรักคุณชาย”
แม้จะอยากได้ยินเท่าไร และแม้ว่าพอได้ยินแล้วหัวใจจะพองโตขึ้นมาด้วยความสุข แทบลอยขึ้นไปสัมผัสสวรรค์เพียงใด แต่ภาสกรก็พบว่าประโยคนี้เองที่ดังก้องสะท้อนอยู่ในหัวเขาซ้ำไปซ้ำมา ยิ่งนานเข้าก็ยิ่งนำพาความลำบากใจ ความละอาย ความรู้สึกผิดและ ความกังวลแทบจะไม่อยากตื่นขึ้นมารับรู้ว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้นเป็นความจริงมาสู่เขามากขึ้น... กระนั้นชายหนุ่มก็เหนื่อยเกินกว่าจะนอนตาโพลงคิดอะไรอยู่ในใจอย่างนั้น
เขาหลับไปในอ้อมกอดของคนที่เพิ่งบอกว่ารักเขา...
แต่เขาก็ไม่ได้ตอบไปสักคำ ว่าเขารู้สึกเช่นไรกับคนที่อยู่ข้างๆเขาเลย
นทีตื่นขึ้นด้วยความมึนงง ตัวของเขาปวดร้าวระบมไปหมด ไม่ใช่จากสัมผัสที่ภาสกรมอบให้เขา เพราะสัมผัสเหล่านั้นช่างเบาหวิว และทะนุถนอมมากที่สุดเท่าที่ใครเคยสัมผัสเขามาตลอดชีวิต แต่ความเจ็บปวดทั้งหมดมาจากความว่างเปล่าของพื้นที่ข้างตัว หนาวเย็นยะเยือกจนแสบผิวกาย เมื่อตื่นมาไม่พบภาสกร
มีรอยยับของเตียง เสื้อผ้าของตนที่กองไว้ไม่เป็นระเบียบที่ปลายเตียง และชุดนอนที่จนแล้วจนรอดภาสกรก็ไม่ได้ใส่ให้เขาวางอยู่ที่เตียงอีกเตียงข้างๆ เป็นพยานหลักฐานบอกเขาว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นเป็นความจริง
น้ำตาไหลลงอาบแก้มของนที ด้วยความปิติ ระคนกังวลใจอย่างที่ไม่ควรรู้สึกเมื่อพบว่าตนเพิ่งได้ร่วมรักกับคนที่ตนรัก และเฝ้าใฝ่ฝันมาตลอด นทีกังวลใจไปหมด กลัว ระแวงไม่กล้าดึงผ้าห่มผืนหนาออกให้พ้นร่าง แล้วเดินไปอาบน้ำแต่งตัวออกไปข้างนอกเลย กลัวเหลือเกินว่าการที่ภาสกรหายไป ไม่ได้นอนกอดเขาอยู่ข้างกันนั้นมันจะหมายถึงว่า ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรกับเขาเลย
แน่ละภาสกรหรือจะรู้สึกอะไรกับเขา เขามีอะไรดี ก็แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แสนธรรมดาเท่านั้น ภาสกรจะรักเขาอย่างที่เขารักภาสกรเหลือเกินได้อย่างไร
สิ่งที่เกิดขึ้น เกิดมาจากความเมาเท่านั้น ภาสกรคงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
ขณะที่นทีรู้ตัวดีทุกสัมผัส ทุกลมหายใจ ทุกเสียงร้องของภาสกร เขายังมีสติอยู่ไม่ได้ลืมไปหมดเสียทุกอย่าง เขาจึงยอมภาสกรด้วยความรัก และอยากให้ชายหนุ่มตรงหน้ามีความสุข ผลพลอยได้คือเขาเองก็มีความสุขมากแทบจะเปรียบไม่ได้เช่นกัน
แต่ทำไมฟ้าถึงแกล้งเขาได้ลง
ทำไมต้องส่งคนมาให้เขารัก ทำไมต้องให้คนนั้นดีกับเขามากมาย ทำไมถึงต้องให้เขามีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับคนนั้นด้วย และทำไมถึงต้องให้ชายคนนั้นมาหายตัวไปอย่างง่ายดายแทนที่จะนอนกกกอดกันในเช้าวันแรกหลังจากได้ร่วมรักกันด้วย
ต่อให้มองออกว่าอะไรเป็นอะไร แต่นทีก็ไม่อยากฟูมฟาย คิดมากไปเองอยู่ฝ่ายเดียว จึงตัดสินใจเหวี่ยงผ้าห่มออกจากร่าง ลุกขึ้นไปอาบน้ำ ลูบไปจากจุดที่ภาสกรสัมผัส แม้หวั่นใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ก็มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดไปแล้ว คือความสุขที่สุดในชีวิตแล้วนับแต่พ่อตายไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกในไม่กี่นาทีข้างหน้า ก็ไม่น่าจะแย่เท่ากับสิ่งที่เขาได้รับมาตลอดก่อนจะเจอภาสกรหรอก
ถึงจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เขาจะจำเมื่อคืนนี้ได้ไปตลอดชีวิต คืนที่เขาขึ้นไปสัมผัสสิ่งที่ใกล้เคียงกับสวรรค์ที่สุดที่เขาเคยสัมผัสมาในชีวิต
ภาสกรนั่งอยู่ริมน้ำ ขาหย่อนลงไป มองไปยังป่าละเมาะฝั่งตรงข้ามกับทางน้ำสายเล็กๆที่ไหลเอื่อยๆอยู่หลังบ้านพัก ในใจยังคงคิดสับสนอยู่มาก วนเวียนคิดถึงแต่หนุ่มน้อยที่ยังคงหลับไม่รู้เรื่องอยู่ข้างใน หากเขามีนทีอยู่ด้วยเพียงคนเดียวในโลก ไม่ต้องเจอ ดาริกา และปุยฝ้าย ไม่ต้องกลับไปทำงาน ไม่ต้องกลับกรุงเทพไปพบท่านพ่อ หม่อมแม่ ไม่ต้องทำหน้าที่ลูกที่ดี แต่งงานสืบสกุลไป ไม่ต้องเดินไปบนทางที่มีกรอบของความถูกต้องเหมาะสมตามทำนองคลองธรรมขนาบข้างทางอยู่ละก็ เขาจะมีความสุขมากทีเดียว
แต่ในเมื่อทุกสิ่งที่เขาคิดมาทั้งหมดมันเป็นสิ่งที่เขาต้องสัมผัสพบเจอไปตลอดชีวิต การมีนทีเข้ามาอยู่ในนั้น ดูเหมือนจะทำให้ทางที่สวยงามของเขานั้นขาดสะบั้นลงเท่านั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนที ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด เขาจะเดินไปไหนมาไหน จูงมือหนุ่มน้อย นั่งกินข้าวกัน ดูหนังกัน อิงแอบแนบชิดกัน เข้านอนด้วยกัน ร่วมรักกันอย่างคู่รักคู่อื่นได้อย่างไร ในเมื่อทั้งเขาและนที ต่างก็เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่...
หากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นไปเพราะฤทธิ์เหล้า ตื่นมานทีก็ลืมไปไม่รู้ตัวก็ดีอยู่หรอก เขาจะถือว่าเป็นกำไรชีวิตและจะยังทำดีกับนทีต่อไปเรื่อยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในเมื่อประโยคสุดท้ายที่เขาได้ยินเมื่อคืนนี้มันออกมาจากปากของนทีชัดเจนราวกับฝ่ายนั้นก็รู้ตัวดี และยอมให้เขาทำอะไรต่อมิอะไรเพราะ “รัก” เขาแล้วละก็เรื่องนี้ย่อมต่างออกไป
หากนทีบอกว่า “รัก” เขาก็แปลว่านทีเป็นเกย์แน่นอน ส่วนเขาไม่ใช่ ความสัมพันธ์นี้ก็ไม่ควรจะดำเนินต่อไปไม่ใช่หรือ ในเมื่อเขาแน่ใจว่าตัวเองเป็นผู้ชายทั้งแท่ง เรื่องที่เกิดขึ้นมันก็น่าจะเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดได้กับชายหนุ่มทั่วไปเพราะความเมา แต่ตื่นขึ้นก็กลับไปใช้ชีวิตปกติ แต่งงานมีลูกเมียไปตามเรื่องไม่ใช่หรือ... เหมือนนทีเป็นเพียงเครื่องมือระบายอารมณ์ทางเพศเท่านั้น
เขาไม่ผิดไม่ใช่หรือไง เขาไม่ได้ชอบผู้ชายนี่ เขายังอยากใช้ชีวิตของเขาไปตามปกติ สักวันก็คงชอบผู้หญิง แต่งงานสืบสกุลไปตามที่ควรจะเป็นไม่ใช่หรือ... แล้วเขาจะมารู้สึกผิดทำไม
เขากลัวหรืออย่างไรว่า จริงแล้วเขาเองต่างหากที่รักนทีมากเกินกว่าที่นทีรักเขา เขาเป็นเดือดเป็นร้อนไม่ใช่หรือไงตอนที่หม่อมแม่แยกเขาออกจากนทีเมื่อคราวที่แล้ว เขากลัวหรือไงว่าหากเจอนทีอีกครั้งแล้ว เขาจะบอกนทีว่าเขาเองก็รักนทีเช่นกัน เขากลัวหรืออย่างไรว่าเมื่อเขารักนทีแล้ว ก็หมายความว่าเขาเปลี่ยนจากชายหนุ่มธรรมดาๆคนหนึ่ง กลายเป็นชายรักร่วมเพศ เป็นคนส่วนน้อยของสังคม เป็นคนที่น่ารังเกียจและเป็นส่วนเกินที่คนส่วนใหญ่รับไม่ได้ เขากลัวชีวิตเขาจะเปลี่ยนไป แทนที่จะภูมิใจในคู่รักและเชิดหน้าชูตาหล่อนในสังคม เหมือนที่ท่านพ่อเขารักและภูมิใจในตัวหม่อมแม่ของเขา หากเขายอมรับว่ารักนที เขาคงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ ให้ใครรู้เรื่องของเขาไม่ได้ ชีวิตเขาจะมีความสุขหรือชีวิตเขาจะเป็นเหมือนท่านพ่อได้อย่างนั้นหรือ
แน่ละเขามีความสุขเมื่อได้อยู่กับนที นึกถึงว่าหากมีโอกาสได้ใกล้ชิดหนุ่มน้อยมากเท่าเมื่อคืนอีกครั้ง เขาก็คงสุขใจเกินกว่าจะหาที่เปรียบได้ แต่เขาก็ไม่ได้อยู่กับนทีเพียงสองคนบนโลกนี่นา
ถามตัวเองจนแน่ใจแล้วภาสกรก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่า เขารักนทีจริงๆ รักเท่าที่ชายหนุ่มสักคนจะพึงรักผู้หญิงสักคนได้ ที่เขาคิดมาตลอด ที่เขาไม่แน่ใจในความรู้สึก และความสัมพันธ์ระหว่างเขาและนทีนับแต่เริ่มรู้สึกแปลกๆกับหนุ่มน้อยเมื่อได้มาเที่ยวกันที่นี่ ความจริงแล้วเขาแทบจะแน่ใจมากด้วยซ้ำว่าเขาคงรู้สึกเป็นอื่นกับนทีไม่ได้ นอกจากเขา “รัก” หนุ่มน้อย แต่เขาหลอกตัวเอง ปฏิเสธตัวเอง เพราะเขาคงยอมรับไม่ได้ว่าตัวเองเป็นเกย์ เขากลัวเหลือเกินว่าชีวิตเขาจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป...
ชายหนุ่มเครียดจัดจนปวดขมับเหลือเกิน รู้สึกถึงแรงกระตุกของเส้นเลือดที่ขมับเต้นดัง ตุบ ตุบ เพราะไม่สามารถหาทางออกให้ตัวเองได้
ถ้าเขายอมรับว่าเขารักนที ชีวิตเขาก็คงเปลี่ยนไป
แต่ถ้าเขาปฏิเสธนที ก็เท่ากับว่าเขาจะต้องทำร้ายนทีอีกครั้งเมื่อรู้อยู่เต็มอกว่านทีรักเขา... ไหนเขาสัญญากับตัวเองว่าจะไม่มีวันทำร้ายนทีอย่างไรเล่า
จุดที่เขาต้องตัดสินใจไม่ได้อยู่ไกลเลย เขามาถึงมันแล้วเมื่อนทีนั่งลงข้างๆ
นั่งข้างกัน ไม่ได้ไกลไปกว่าเมื่อคืนที่นอนก่ายกันเท่าไหร่ แต่นทีกลับรู้สึกว่าภาสกรอยู่ห่างไกลเขาเหลือเกินจนไม่อาจสัมผัสได้ ความเงียบชวนอึดอัดใจทอดตัวลงปกคลุมบรรยากาศ ไม่มีใครยอมเอ่ยอะไรขึ้นทักใครก่อน ไม่รู้ว่าจะเริ่มเรื่องอย่างไร ให้ต่างฝ่ายต่างเจ็บ ต่างลำบากใจให้ได้น้อยที่สุด
ใบไม้สีน้ำตาลแก่ใบหนึ่งร่วงลงระหว่างเขาทั้งคู่ เหมือนหัวใจของนที เมื่อภาสกรพูดเบาๆ ราวกับเสียงติดอยู่แค่ในลำคอว่า “ผมเสียใจ”
เงียบ นทีไม่ตอบแม้แต่นกที่มักบินไปร้องเพลงไปรอบตัวพวกเขายามที่อยู่กันสองคนก็ไม่โผล่มาเลยสักตัวราวกับธรรมชาติก็กำลังตั้งใจรอฟังคำที่นทีจะตอบคุณชายหนุ่มเช่นกัน อกของภาสกรแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อเห็นดวงหน้ากังวลใจ และเศร้าใจเกินกว่าจะบรรยายได้ของอีกฝ่าย
รู้ดีว่าเอื้อมมือไปดึงหนุ่มน้อยเข้ามากอดเท่านั้นเอง อีกฝ่ายคงหายกังวล คงยิ้มได้ คงไม่ต้องทำหน้าเศร้าแบบที่เขาไม่ชอบเห็นนี้อีก แต่ก็รู้ดีว่าหากทำอย่างนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขาและหนุ่มน้อยก็จะยืดเยื้อออกไป จนสุดท้ายผลเสียก็จะตกเป็นของเขาทั้งคู่เอง ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก
น้ำคลอคลอเบ้านที แต่ภาสกรไม่เห็นเพราะไม่กล้ามองหน้าหนุ่มน้อยอีกแล้วได้แต่ก้มหน้านิ่งเฝ้ารอคำพูดอะไรสักคำจากอีกฝ่ายเท่านั้น
“คุณชายไม่ต้องเสียใจหรอกครับ...” นทีพยายามสะกดใจไม่ให้ร้องไห้ออกมาแต่ยากเหลือเกิน เมื่ออีกฝ่ายแก้ตัวว่า
“เมื่อคืนผมเมา แล้วมันก็มืดมากผมไม่รู้ตัวเลยว่าผมทำอะไรลงไป” ภาสกรแก้ตัวได้อย่างหน้าด้านที่สุด ผิดมหันต์ที่สุด หากธรณีจะสูบเขาลงไปเดี๋ยวนั้นเพราะทำให้หนุ่มน้อยผู้น่าสงสารคนนี้ต้องเสียใจทั้งๆคนที่ผิดก็ไม่ใช่นที เขาก็คงไม่แปลกใจเลย “นที ถ้าคุณโกรธที่ผม... ที่ผม... ทำอย่างนั้นกับคุณละก็ผมขอร้องให้คุณยกโทษให้ผม และลืมเรื่องนั้นไปได้ไหม”
“ผมไม่ยกโทษอะไรให้คุณชาย เพราะผมไม่ได้โกรธอะไร” น้ำตาไหลอาบลงทั้งสองแก้มเนียนของนที แต่เสียงกลับไม่สั่นอย่างที่คิด เพราะเขาพยายามทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ตัวเองดูอ่อนแอน้อยที่สุด “แต่จะให้ผมลืมผมทำไม่ได้”
นทีลุกขึ้นหันหลัง กลั่นความรู้สึกจากใจทั้งหมดออกมากองวางเอาไว้ให้ผู้ชายคนนี้เห็นเสียทีเดียว เจ็บทีเดียวแล้วก็พอกันทีก่อนจะเดินหนีไปให้พ้น
จบแล้วนที... จบแล้ว... ยอมรับ แล้วเดินจากมาเสียเถอะ
ภาสกรลุกขึ้นในที่สุด พอคว้าไปจับมือนทีไว้แน่นเท่านั้นน้ำตาของหนุ่มน้อยก็ไหลท่วมลงมาคล้ายน้ำตกสาริกาที่เขาเห็นเมื่อวานนี้
“...นที ที่คุณบอกผมน่ะจริงหรือเปล่า เมื่อคืนที่ผมได้ยิน คุณไม่รู้ตัวใช่ไหม คุณเมาใช่หรือเปล่านที” หนุ่มน้อยไม่ได้หันมาแต่ตอบว่า
“ถึงคุณชายจะบอกว่าคุณชายเมาและจำอะไรไม่ได้เลยก็เถอะ แต่ผมจำได้ ผมจำได้ว่าผมมีความสุขที่สุดในโลก ผมยอมให้มันเกิดขึ้นไม่ใช่เพราะผมเมาไม่ได้สติ แต่เพราะผมมีสติครบถ้วนดีทุกอย่างต่างหาก ที่ผมบอกคุณชายเป็นคำที่มีความหมายที่สุดในชีวิตของผม เป็นคำที่ผมไม่เคยพูดให้ใครฟัง มีเพียงสามคนบนโลกเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้ยิน คือพ่อ แม่ แล้วก็คุณชาย... ผมรักคุณชาย และผมหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ”
“นที” ภาสกรหมุนตัวหนุ่มน้อยมาสบตาเขา เห็นน้ำตาที่ไหลรินเรื่อยๆไม่ยอมหยุดก็ตกใจ แทบจะอยากฆ่าตัวเองให้ตายไปเดี๋ยวนั้นที่ทำให้หนุ่มน้อยเสียใจอีกแล้ว “ผมขอโทษนที... คุณเข้าใจผมนะ ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย นที ผมไม่ได้เป็นเกย์”
หนุ่มน้อยไม่อยู่ฟังอีกต่อไป ทิ้งให้คุณชายหนุ่มยืนกำมือแน่น โกรธแค้น และไม่ให้อภัยในสิ่งที่ตัวเองทำไป น้ำตาค่อยๆไหลลงมาเช่นกัน ด้วยความที่เจ็บเหลือเกิน ... เจ็บที่สุดที่เคยเจ็บมาในชีวิต เหมือนหัวใจของเขาหลุดติดมือนทีไปด้วยเมื่อหนุ่มน้อยสะบัดตัวออกจากภาสกรแล้วเดินจากไปช้าๆ
สายๆภาสกรก็ขับรถพาทุกคนกลับกรุงเทพ นทีไม่คุยกับเขาอีกเลยแม้แต่คำเดียว ดาริกาและปุยฝ้ายก็รู้สึกได้ แต่ไม่มีใครกล้าพอจะเอ่ยปากถาม ต่อให้ไม่ถามก็น่าจะเดาได้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ภาสกรนั่งน้ำตาคลอไปตลอดทาง